Author Topic: 7-8 กุมภาพันธ์ ไปตลาดน้ำอัมพวากันครับ ค้าง 1 คืน  (Read 5551 times)

Offline O'Pern

  • fear is a mind killer
  • Administrator
  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 7411
  • don't let your fear stand in the way of your dream
    • racing club
จัดโดยชมรมจักรยานเพื่อสุขภาพแห่งประเทศไทยเช่นเคย รายละเอียดตามนี้ครับ

http://www.thaicycling.com/board/viewtopic.php?f=7&t=918

สองล้อท่องอัมพวา กับ ททท.สำนักกรุงเทพฯ
7-8 กุมภาพันธ์ 2552

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักกรุงเทพฯ ชมรมจักรยานเพื่อสุขภาพแห่งประเทศไทย และ ชมรมจักรยาน ทีโอที TOT ขอเชิญทุกท่านร่วมกิจกรรมปั่นสองล้อมุ่งสู่อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม สัมผัสวิถีชีวิตชาวคลองอัมพวา ล่องเรือชมหิ่งห้อยยามค่ำคืน ร่วมทำกิจกรรมสร้างสรรค์ สนับสนุนกิจกรรมเที่ยวไทยครึกครื้น ...เศรษฐกิจไทยคึกคัก..

กำหนดการ

เสาร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2552

07:00 น. พบกัน ณ ห้างโลตัสพระราม 2 ถนนพระราม 2 (อยู่ระหว่างประสานขอที่จอดรถค้างคืน)
ลงทะเบียน / รับเสื้อที่ระลึก ร่วมรับประทานอาหารเช้า
08:00 น. ล้อหมุน มุ่งสู่อัมพวา ระยะทางประมาณ 70 กม
12:00 น. ถึงอัมพวา ร่วมรับประทานอาหารกลางวัน เสร็จแล้วปั่นท่องเที่ยวเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวและชมวิถีชีวิตชาวอัมพวา
ระยะทางประมาณ 30 กม.
บ่าย...พร้อมกันเพื่อรับทราบที่พัก ซึ่งมีหลายหลายให้เลือกกันทั้งรีสอร์ท โฮมสเตย์ แยกพักห้องละ 2 -10 คน
แยกย้ายเข้าที่พักทั้งทางบกและทางน้ำตามที่ได้เลือกจัดไว้
อาหารเย็นตามอัธยาศัย เพื่อสนับสนุนการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น ล่องเรือชมหิ่งห้อยตามอัธยาศัย

อาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2552

ตื่นเช้าร่วมทำบุญตักบาตรพระริมคลองตามอัธยาศัย
08:00 น. ร่วมรับประทานอาหารเช้า เสร็จแล้วแยกเป็นสองกลุ่ม

กลุ่มแรก... ปั่นไปร่วมกันทำกิจกรรมซ่อมจักรยานให้น้องๆ จนถึงเที่ยงวัน ร่วมรับประทานอาหารกลางวัน บ่ายๆ.รวมตัวกันปั่นกลับกทม. ระยะทางประมาณ 70 กม.
กลุ่มที่สอง...ปั่นไปให้กำลังใจ หรือจะร่วมช่วยกันซ่อมก็ไม่ว่ากัน หากจะปั่นท่องเที่ยวจะจัดทีมนำท่องเที่ยว อาหารกลางวันตามอัธยาศัย และปั่นกลับกทม. ระยะทางประมาณ 70 กม.

รายละเอียดทริป

 : ระยะทางไปกลับประมาณ 170 กม. อาจมากหรือน้อยกว่าได้ สะสมระยะทาง
 : เตรียมหมวกกันกระแทก หมวกคลุมหน้า อุปกรณ์กันแดด ถุงแขน ครีมกันแดด ยางในอะไหล่ พร้อมชุดปะยาง เสื้อผ้า ของใช้จำเป็นส่วนตัว รองเท้าแตะ
 : กรุณาตรวจเช็คสภาพรถจักรยานคู่ใจของท่านให้พร้อมปั่น ก่อนออกเดินทาง
 : รับจำนวนจำกัด เพียง 200 ท่าน เท่านั้น
 : ค่าประกันอุบัติเหตุ และสนับสนุนกิจกรรมรวม 200 บาทต่อท่าน ทุกท่านสามารถร่วมกิจกรรม ได้ทุกท่าน
 : กรุณาแจ้งชื่อ – นามสกุล อายุ เบอร์โทรศัพท์ เพื่อทำประกันอุบัติเหตุที่ 02-612-4747
 : ชำระเงินที่ที่ทำการชมรมฯ จุฬาซอย 6 02-612-4747
หรือโอนเข้าบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ สาขา บรรทัดทอง ชื่อบัญชี คุณพิชิตฯ คุณมงคลฯ คุณศักดิ์รพงค์ ฯ บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ 063-220311-5 (กรุณาแฟกซ์สำเนาการโอนเงินไปที่ 02-612-5511) หรือส่งทางE-mail : tcc_thaicycling@hotmail.com
รัก...ชมรมฯ โปรดขอรับใบเสร็จทุกครั้งที่ชำระเงิน
สำหรับผู้ที่ชำระโดยวิธีโอนเข้าบัญชี กรุณารับใบเสร็จ ณ จุดพบ
 : สามารถนำรถยนต์จอดได้ที่ลานจอดรถห้างโลตัส พระราม2(กำลังอยู่ระหว่างประสานจอดค้างคืน)

นำทริปโดย น้าหมี คณะกรรมการ และผึ้งงานชมรมฯ
รายการข้างต้นอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม

สิ่งที่ผู้ร่วมเดินทางจะได้รับ
 เสื้อโครงการ 1 ตัว
 ที่พัก 1 คืน
 อาหาร 4 มื้อ
 ประกันอุบัติเหตุวงเงิน 100,000 บาท /ค่ารักษาพยาบาล 10,000 ต่อครั้ง (แนบใบเสร็จและหนังสือรับรองแพทย์ในวัน/เวลาที่คุ้มครอง)

• ที่ทำการชมรมฯ เวลาทำการ 9.00 – 18.00 น.
849/53 จุฬาซอย 6 ถ.บรรทัดทอง แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330 โทร.02-612-4747 โทรสาร 02-612-5511

จุดรวมพลสำหรับผู้ที่จะเริ่มปั่นจากสวนลุมพินีฯ

05:30 พบกัน ณ สวนลุมพินีฯ บริเวณพระบรมรูป ร.6
6:00 น. ล้อหมุน มุ่งสู่ห้างโลตัสพระราม 2 เพื่อรวมกลุ่มมุ่งสู่อัมพวา
นำโดย อาสุทธิชัย – เฮียคากิ –เฮียสมบูรณ์ - คุณหล่อ





i drive / i race / i test / I drift
I row / I run / I fun / I ride

Offline O'Pern

  • fear is a mind killer
  • Administrator
  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 7411
  • don't let your fear stand in the way of your dream
    • racing club
รายงานทริปครับ

7 กพ 52
   วันนี้ผมไปทริปอัมพวากับกลุ่ม TCC เป็นทริปค้างคืนทริปแรกของผมกับกลุ่มจักรยาน ทุกทีเคยไปแค่ทริปวันเดียว
   บ้าเห่อตื่นแต่เช้า ปั่นไปจุดนัดพบเวลา 0700 ตรง แต่แปลกมากที่ไปตามเวลาทีไร มักจะมีคนมาก่อนหน้าผมอยู่เยอะมากๆ ผิดกับการนัดกับพรรคพวกกลุ่มอื่นที่ไม่ค่อยจะตรงเวลาเอาเสียเลย
   ลงทะเบียน เจ้าหน้าที่แจกถุงยังชีพ ประกอบด้วย เอกสารเกี่ยวกับพื้นที่อัมพวา มีเสื้อกั๊กสะท้อนแสง มีโฟมล้างหน้าด้วย (ไอ้นี้ตอนแรกผมคิดว่ามันคือครีมกันแดด เลยพกติดรถไว้) มีเครื่องดื่มเกลือแร่ขวดเล็กมาให้อีกขวดหนึ่ง (ไอ้นี้รสชาติแปลกมาก เหมือนกับกิน M150 หรือ กระทิงแดงเสียมากกว่า)
   มีอาหารเช้าให้ด้วยนะ เป็นของทานง่าย ไม่เลอะเทอะตามสไตล์คนใช้จักรยาน นั่นคือข้าวเหนียวกับหมู ไก่ เนื้อ ให้เลือกตามสบาย ใครจะตุนไว้ทานกลางวันก็ย่อมได้
   ช่วงนี้คนเริ่มทะยอยกันมาเยอะขึ้นเรื่อยๆ จนราว 0730 พี่คากิก็เป็นจ่าฝูงนำพลพรรคเพื่อนๆ จากสวนลุมปั่นตามมาร้อยกว่าคน พี่คากิมากับ Bike Friday พร้อม Trailer รถเท่มากๆ ช่วงนี้ผมได้พบกันคุณโบ นิคเนม nubeau ใน thaimtb เป็นครั้งแรก ประทับใจมากที่เธอแกร่งราวหญิงเหล็ก เป็นทั้งนักวิ่งและนักจักรยาน
   เจอกับน้องอีกคนชื่อเฮี้ยง คนนี้ตัวเล็กผอม แต่แกร่งมาก พบกันหลายงานแล้ว บ้านเธออยู่พระโขนง แต่ปั่นมาถึงโลตัสพระราม 2
   0800 ก็เริ่มพิธีปล่อยตัวนักเดินทาง เราเดินทางกันเป็นขบวน รวมแล้วกว่า 300 คัน เพราะมีคนที่ไม่ได้ลงทะเบียน แต่ขอร่วมปั่นด้วย มีรถเจ้าหน้าที่ตำรวจนำทาง และปิดท้ายขบวน
   ช่วงแรกคึกกันมาก ปั่นกันค่อนข้างเร็ว ผมเองก็เร็วกับเขาด้วย ทั้งๆ ที่รถตัวเองแบกน้ำหนักสัมพาระอยู่ราว 7 กก ผมแบกของไปเยอะ เพราะเผื่อตัวเองจะนอนเต้นท์ด้วย (แต่มีชื่อว่านอนบ้านพัก) เป็นการทดสอบแบบ Fully Load ครั้งแรกของผมเลย
   กระเป๋าข้างของ Ortlieb ใช้กับรถ KHS Full Size ได้ดีมากๆ ไม่แพ้รถพับเลย ซื้อมาแพง แต่ใช้แล้วโอเคแบบนี้ ไม่ค่อยเสียดายเงินเท่าไหร่นัก แถมระหว่างทางที่พัก ยังมีพี่ๆ หลายท่านมาสอบถามเกี่ยวกับเจ้ากระเป๋าใบนี้อยู่หลายคน
   ระหว่างทางนี้เอง ที่เป็นเวลาพบปะพูดคุยกับเพื่อนๆ นักปั่นด้วยกัน เห็นรถใครสวย เท่ ผมมักจะเอ่ยปากชมเขา ใจจริงอยากคุยด้วย แต่ไม่รู้เริ่มอย่างไรดีนั่นเอง
   รู้จักเพื่อนใหม่ ชื่อพี่ปุก คุยกันค่อนข้างนาน เพราะเขาเองก็สนใจการขับขี่สไตล์ทัวริ่งที่ผมชื่นชอบเอามากๆ มีน้อง (ตัวโต) อีกคนเข้ามาคุยด้วย ชื่อโบ ทราบภายหลังว่ามากับพี่ปุก
   เราออกปั่นกันแต่เช้า ทำให้ถึงจุดหมายราวเที่ยง งานนี้เราได้สปอนเซอร์จาก ททท ช่วยออกเงินเป็นคูปองอาหารให้นักจักรยานทุกคน คนละ 100 บาท ผมขอขอบคุณจากใจแทนนักปั่นทุกท่านด้วยครับ
   สถานที่เป็นวัดริมน้ำ พร้อมทางเดินเลียแม่น้ำท่าจีน บรรยากาศสุดยอดมากสำหรับผม แต่คงเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนท้องถิ่น พอถึงจุดพักกลางวัน ผมก็ออกปั่นเลาะทางเดินริมน้ำไปอีกสัก 5 นาที เพื่อเป็นการ Cool Down ทั้งๆ ที่ตอนปั่นมาก็ไม่ได้แรงอะไรนักหนาเล้ยย เอาเป็นว่า Cool Down พอเป็นพิธี ทำให้เป็นนิสัยแหละดี
   มื้อกลางวันผมทานก๋วยเตี๋ยวไปสองชามน้ำ 1 แห้งอีก 1 เป็นก๋วยเตี๋ยวต้มยำทะเล และทานน้ำมะพร้าวไป 1 แก้ว เงินยังเหลืออีกเยอะเลยซื้อทอดมัน และไก่ทอดมาทานอีก (แบ่งกันกับผู้ร่วมโต๊ะท่านอื่น) สุดท้ายยังเหลืออยู่อีก 20 บาท เลยซื้อกล้วยอบไป 1 ถุง เผื่อไว้กินเวลาอื่น
   ที่ต้องซื้อให้หมด 100 บาท ก็เพราะคูปองนี้คืนไม่ได้ หากเหลือ ก็เท่ากับทิ้งเงินไปอย่างน่าเสียดาย
   ช่วงบ่ายมีกิจกรรมให้ข้อมูลเกียวกับภูมิปัญญาชาวบ้าน ทั้งการเก็บถนอมอาหาร การทำน้ำชีวภาพ ผลิตถ่านในรูปแบบต่างๆ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้แก่ผลิตผลทางการเกษตร แต่ดูนักปั่นจะเนือยๆ ยังไงพิกล อาจเหนื่อย หรือไม่คุ้นเคยกับกิจกรรมในลักษณะนี้ก็เป็นได้
   ผมซื้อของฝากภรรยาเป็นขนมไทยพื้นบ้าน แน่นอน ผมคิดถึงเขาผมจึงทำเช่นนั้น ส่วนลูกก็คิดถึงเหมือนกัน แต่เขาไม่ชอบทานขนม เลยคิดไม่ออกว่าทำอย่างไรดี
   และแล้วจุดเปลี่ยนก็บังเกิดขึ้นกับผม จอดรถทิ้งไว้ราวชั่วโมงกว่า ขากลับตอนจะปั่นกลับเข้าที่พัก ผมรู้สึกเหมือนกับว่าล้อหลังคด ปั่นแล้วมันดิ้นๆ ยังไงพิกล จอดรถลงหมุนล้อดูก็เห็นรอยเบี้ยวชัดเจน
   แก้มยางผมแตกครับ ปริออกมานิดๆ แต่ยาวราว 2 นิ้ว ซึ่งถือว่าแผลไม่ใหญ่ แต่ปัญหาก็คือแผลมันสามารถขยายใหญ่ได้อีกเรื่อยๆ นี่สิ
   ทำไงดี ผมไม่มียางนอกสำรองมา มีแค่ยางในกับชุดปะมาเท่านั้นเอง มองดูรอบๆ ตัวก็ไม่เห็นมีใครเขาพกยางนอกกันสักคน (อาจมีบ้างล่ะนะ แต่ผมมองไม่เห็น หรือไม่ก็อยู่ในกระเป๋าของเขา)
   โชคดีมีรถเซอร์วิสของชมรมจักรยานเพื่อสุขภาพแห่งประเทศไทยเขามาด้วย ผมจึงปั่นไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ ถามอยู่สองคน แต่มีคนที่ช่วยเหลือผมอย่างจริงใจก็คือพี่สันติ พี่คนนี้ผมคุยตั้งแต่กลางวันแล้ว ดูเขามีอัธยาศัยดี หน้าตายิ้มแย้ม นึกไม่ถึงว่าตอนเย็นต้องมาขอความช่วยเหลือจากเขา
   ผมต้องปั่นไปมาหลายที่ระหว่างบ้านพัก และจุดที่รถเซอร์วิสจอด มีทั้งหลงทางนิดๆ แต่ไม่ใช่ปัญหาอะไร เพราะบรรยากาศสองข้างทางนั้นดีเหลือเกิน เป็นถนนแคบๆ สองข้างทางเป็นต้นไม้แน่นไปหมด
   สุดท้ายได้ยางนอกขนาด 1.9 พร้อมยางในมา เป็นยาง Camel ของไทยทำแถมดอกวิบากสุดๆ ต่างจากยางที่ผมใช้ซึ่งเป็นแบบ On Road ขนาด 1.5 เยอะมากๆ
   เอาไงดีวะนี่ ได้ของมาแล้ว จะเปลี่ยนดีไหม เปลี่ยนไปนั้นดีแน่ เพราะสบายใจ ปั่นได้อีกนาน แต่ดอกแบบนี้ มันคงกินแรงเราเพิ่มขึ้นเยอะมากๆ เราไม่ได้มารถเปล่า เราแบกของมาหนัก 7 กก แถมต้องปั่นกลับอีกเกือบ 100 กม (รวมปั่นแวะท่องเที่ยวด้วย)
   ผมลองขย่มรถ ลองกดๆ บนแร็คหลัง ดูว่าแผลมันจะปริเพิ่มไหม ปรากฏว่าไม่ ผมลองปล่อยลมออกดู ก็เพิ่งรู้ว่ายางในผมเสียด้วย ผมใช้จุกลมแบบ Presta พอคลายเกลียวแล้วกดลง ลมกลับไม่พุ่งออกมาเหมือนอย่างเคย งงมาก ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น
   มืดแล้ว ผมต้องรีบสรุป ผมยังไม่ได้เข้าที่พักเลย ผมนั่งอยู่ริมน้ำที่วัด เหม่อมองสายน้ำ ทอดสายตาไปไกลๆ ปล่อยใจ
   แล้วจึงได้คำตอบว่า เป็นไงเป็นกัน ลองคิดว่าเราไม่มียางนอกสำรองมาจะเป็นอย่างไร
   ผมตัดสินใจไม่เปลี่ยนยาง แต่กลับขอพกยางนอกยางในชุดนั้นสำรองไว้ หากผมไม่ได้ใช้จริงๆ หากกลางทางยางผมไม่แตก ผมจะกลับเอายางชุดนี้ไปคืนเขาที่ชมรมฯ ถนนบรรทัดทอง
   ผมเข้าที่พักเป็นคนสุดท้าย ผมพักที่บ้านไม้ชายคลอง ผมหาเส้นทางจากแผนที่ๆ เจ้าหน้าที่แจกตอนเช้านั้นเอง กระเป๋าหน้าแฮนด์มีช่องใส่แผนที่ ผมได้ใช้มันอย่างเป็นทางการเสียที
   จำนวนคน กับจำนวนห้องพักที่ระบุไว้มันคลาดเคลื่อนกันไปหมด ห้องที่มีชื่อผมอยู่ นอนกันอย่างหนาแน่นถึง 6 คน ในขณะที่อีกห้องขนาดเท่ากัน แต่เขานอนกัน 3 คน ผมจึงขอห้องข้างๆ นอนด้วย ซึ่งเขาตอบรับเป็นอย่างดี
   แต่ใจผมนั้นเผื่อมานอนเต้นท์ด้วยอยู่แล้ว หากไม่มีที่นอนจริงๆ ผมสามารถเอาถุงนอนไปปูนอนที่ม้านั่งริมน้ำได้สบายๆ บรรยากาศริมน้ำนั้นดีเหลือเกิน จะเบื่อก็เรื่องเสียงของเครื่องยนต์เรือนี่แหละ เรื่องยุงไม่ใช่ปัญหา ผมมีเครื่องไล่ยุงแบบใส่ถ่าน แถมด้วยผ้าเย็นกันยุงอีก 1 ผืน
   การใช้ชีวิตร่วมกับเพื่อนร่วมห้องนั้นมีเพียงปัญหาเดียวที่ผมเคยเจอ นั้นคือนอนกรน เท่าที่ผ่านมาตอนผมไปประชุมไม่ว่าจะในหรือนอกประเทศเพื่อนที่ร่วมห้องเกือบทุกคนล้วนกรนเสียงดัง ไอ้พวกกรนเป็นจังหวะเรื่อยๆ ครอกกกกก ฟี ครอกกก ฟี้ แบบนี้ผมถือว่าเบสิค เพราะฟังไปนานๆ เราก็เคลิ้มหลับไปได้เอง และพวกนี้มักไม่กรนดัง
   เคยเจองานหนึ่งนอนกับขี้เมา ผมเพิ่งรู้ว่านรกมีจริง เพราะเขากรนแบบไม่เป็นจังหวะ มีไล่โทนเสียง มีดัง มีค่อย มีเงียบหายไป ใช่เลย มีการหยุดหายใจเกิดขึ้นด้วย หนุ่มคนนี้อายุราว 30 เศษ ทั้งกินเหล้าหนัก สูบบุหรี่ตลอด
   นอนกรนบ้าๆ แบบนี้ตลอดคืน ฟังไปก็ยิ่งเครียด นอนไม่หลับ ระยะหลังมานี้ผมมี Ear Plug สำหรับอุดหูนอนมาด้วยตลอดทุกครั้งที่ต้องออกเดินทาง
   แน่นอน ครั้งนี้ก็เอามาด้วย แต่โชคดีที่ไม่ต้องใช้
   พวกเรา 4 ชีวิตในห้องนอน ปิดไฟนอนราว 3 ทุ่มกว่า ใช่เลย พวกเรานอนเร็วเพราะเหนื่อยเพลียมาทั่งวัน แต่หารู้ไม่ว่าห้องเราเปิดไฟสว่างอีกครั้งตอนตี 3 !!! 
   ก่อนนอนลุงเล็กสวดมนต์ชุดใหญ่มากๆ ให้พวกเราในห้องอีกด้วย มีสวดพาหุง สวดชินบัญชร อะไรราวๆ นี้ ผมพนมมือบนอก นอนฟังลุงเล็กสวด
   ไม่รู้หลับไปตอนไหนเหมือนกัน

8 กพ 52
   ผมเองเป็นคนตื่นเช้ามาแต่ไหนแต่ไร ปกติอยู่บ้านก็จะตื่น 0530 บ้างก็อาจเป็น 0500 เพราะผมนอนเร็ว ผมนอนพร้อมลูกตอนหัวค่ำครับ
   มางานนี้ ผมเจอคนตื่นเช้ากว่า
   ลุงเล็กแกตื่นตี 3 ครับ !!!
   งานเข้าแล้วครับพี่น้อง ผมเองเป็นคนตื่นง่ายอยู่แล้วด้วย ได้ยินเสียงอะไรนิดหน่อยก็ตื่นละ กลายเป็นว่าได้นอนไปไม่ถึง 6 ชั่วโมงดี สิ่งที่ทำได้ดีสุดในตอนนี้ก็คือเอาผ้าห่มดึงขึ้นมาปิดตาครับ เพราะไฟในห้องแม้จะเป็นแบบ Dimmer แต่ตำแหน่งที่ไฟส่องลงมานั้น มันพอดีกับตาผมเป๊ะเลย ส่วนเพื่อนร่วมห้องอีกสองคน ก็สบายหน่อยตรงไฟไม่แยงตานี้ล่ะ
   ผมนอนกลิ้งหนีดวงไฟไปมา จนตื่นอย่างเป็นทางการก็ตอน 0545 ลุงเล็กแกปลุก บอกว่าเขานัดกันใส่บาตรหกโมงเช้า พวกเราเตรียมตัวเสร็จกันตอน 0630 ออกมานอกห้องพบว่าอีกหลายห้องเขายังไม่ตื่นกันเลย ส่วนเรื่องการใส่บาตรนั้น พระสงฆ์ท่านจะบิณฑบาททางเรือพาย เราต้องไปรอท่านริมน้ำ
   บรรยากาศริมน้ำที่ผมพักนี้ดีมากๆ ครับ น้ำขึ้นสูงเต็มตลิ่ง ไม่มีขยะสักชิ้น อากาศเย็นสบายๆ คิดว่าหากเป็นตอนหน้าหนาวคงจะสุดยอดมาก
   สักพักเจ้าหน้าที่ยกหม้อขนาดใหญ่มา มันคืออาหารเช้าของพวกเราวันนี้ เป็นข้าวต้มหมูแต่มีกุ้งปนมาด้วย รสชาติดีครับ ผมทานไป 3 ชามเล็กๆ หากคิดเป็นข้าวสวยก็ประมาณ 3 ทัพพี
   ช่วงเช้านี้เองที่พวกเรามีโอกาศพบปะพูดคุยกันในกลุ่มนักจักรยาน หลายคนที่ได้แต่เคยส่งยิ้มให้กันก็มาพูดคุยกัน ผมเองได้รู้จักเพื่อนใหม่ๆ หลายท่าน โดยมากจะเป็นรุ่นพี่ และอีกมากที่เป็นรุ่นพ่อ
   0800 เราออกจากที่พักไปยังจุดนัดพบ คือวัดริมน้ำที่เมื่อวานเราทานมื้อกลางวันกันนั้นแหละ สักพักก็ออกเดินทางกลับกรุงเทพฯ แต่มีบางส่วนแยกกลับส่วนตัว บางกลุ่มขอไปปั่นเที่ยวต่อกันเอง ซึ่งแถวนั้นยังมีตลาดน้ำท่าคา หลายคนบอกว่าสวยกว่าอัมพวานี้เสียอีก กลุ่มสุดท้ายที่รับงานหนักสุดคือทำกิจกรรมซ่อมจักรยานให้แก่เด็กๆ ในท้องถิ่น
   ใจผมตอนนี้อยู่ที่รถตัวเองเพียงอย่างเดียว กลัวอยู่เรื่องเดียวก็คือยางมันจะระเบิดออกมาไหม จอดรถที่ไรก็ต้องหมั่นก้มดูแก้มว่ามันปริแตกมากขึ้นเพียงใด ขากลับนี้ปั่นไม่ค่อยสนุกเลย เพราะต้องพะวงอยู่ตลอดเวลา เจอทางไม่เรียบทีไรต้องคอยยกก้นขึ้นจากเบาะเพื่อช่วยลดแรงกระแทก
   เขากลับเขาพาปั่นเที่ยวรายทางเล็กๆ น้อยๆ จึงทำให้การออกเดินทางจริงนั้นมันสายไปเยอะมากๆ เช่นเดียวกับแดดที่เริ่มแรงขึ้นๆ ทุกๆ ที
   ขากลับนี้กลุ่มกระจัดกระจายกันไปเยอะมากๆ ผมปั่นเกาะกลุ่มมากับเพื่อนใหม่สองคนชื่อดนัยและอากิ และยังมีฝรั่งชาวแคนาดาอีกคนที่ชื่อเคน คนนี้ผมเห็นมาหลายงานมากๆ แล้ว เพิ่งจะมาได้คุยก็ครั้งนี้เอง น่ารักและอัธยาศัยดีมากๆ
   ดนัยและอากิเป็นเพื่อนสนิทกัน ดนัยปั่นมานานแล้ว แต่อากิเพิ่งจะออกทริปครั้งแรก แต่ดูท่าทางแล้วปั่นดีเหลือเกิน คุมรถได้นิ่งมาก ใช้เกียร์ได้คล่องแคล่ว ชิฟแต่ละครั้งแทบจะไม่ได้ยินเสียงโครมครามเลย ได้ยินแค่แต๊กๆ ที่ชิฟเตอร์เท่านั้น สุดยอดจริงๆ
   ขากลับนี้ผมไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ครับ เพราะรถมีปัญหาเรื่องยาง ผมทำใจไว้แล้วว่ามันจะต้องระเบิดตอนไหนสักแห่ง แต่ไม่ห่วงนัก เพราะมียางนอกยางในสำรองไว้แล้ว ตอนนี้รถผมต้องแบกน้ำหนักเพิ่มขึ้นมาอีกราว 1 กก เพาะมีขนมของฝากที่ซื้อมาจากตลาดน้ำอัมพวาเยอะเลย แถมด้วยยางนอก และยางในอีกอย่างละ 1 เส้น คนที่เพิ่งเห็นรถผมต่างคิดไปว่า ผมเองรอบคอบเหลือเกินที่ติดยางนอกสำรองมาด้วย หารู้ไม่ว่าผมเองเพิ่งจะไปขอมาจากรถเซอร์วิสของชมรมฯ เมื่อเย็นวานนี้เอง
   ปั่นกันแบบทุกข์ๆ ไปเรื่อยๆ จนมาเข้าถนนพระราม 2 ราว 1200 เราพักทานอาหารกลางวันกันที่ปั๊มน้ำมัน อาหารก็คือก๋วยเตี๋ยวผัดไทยที่ได้รับแจกมาตอน 0830 เช้าวันนี้เอง ผมเองไม่รับมา เพราะว่ากลัวจะเป็นภาระ กลัวห่อก๋วยเตี๋ยวมันจะแตกและเปิดออกทำให้ข้าวของผมในถุงจะแย่กันหมด ที่จริงน่าจะมีถุงพลาสติคห่อผัดไทยอีกทีจะดีมากๆ
   แต่ถึงรับมาผมเองก็อาจทานไม่หมดก็ได้ เพราะปั่นมาเหนื่อยๆ ผมจะไม่ค่อยอยากอาหาร กลางวันวันนี้ผมทานแค่ซาลาเปาลูกเล็ก 1 ใบ นมถั่วเหลือง 1 กล่อง และซื้อน้ำดื่มเทใสกระติกอีก 1 ขวด
   สักพักก็ออกเดินทางกัน ผมมองดูแต่ละคนล้วนแห้งกรอบกันหมด คงจะเหนื่อยหน่ายกับแสงแดดที่แรงเหลือเกิน แต่ก็ต้องจำใจออกปั่น ทำไงได้ เราเลือกที่จะมาเป็นแบบนี้เองมิใช่หรือ
   บางคนจัดกลยุทธรูปแบบของกลุ่มในการปั่น เพราะมีช่วงทวนลมบ้าง ลมพัดตัดขวางบ้าง แต่ผมเฉยๆ กับเรื่องพวกนี้ เพราะผมตั้งใจที่จะออกมาพบกับเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว วันนี้คือวันซ้อมความอดทนของผม งานหนักกว่านี้ของผมรออยุ่ในวันอาทิตย์ที่ 15 กพ ผมมีงานปั่นขึ้นดอยอินทนนน์ งานนั้นหนักหนากว่าเรื่องแบกของ หรือเรื่องปั่นทวนลมเยอะมากๆ
   ช่วงนี้เองที่ผมเริ่มรู้สึกเจ็บก้นเอามากๆ ขายังมีแรง ใจยังไม่ถอย แต่พอหย่อนก้นกระทบอานปุ๊บ ก็รู้สึกเจ็บแสบทันที เห็นรถของพี่ต่อใช้รถ Kona Sutra สีฟ้า เป็นรถแบบทัวริ่งแท้ๆ ผมเองสนใจพอควร แต่สนใจกว่านั้นคือเขาใช้เบาะนั่งยี่ห้อ Brooks เบาะยี่ห้อนี้ได้รับความนิยมมากๆ ในหมู่ชาวทัวริ่ง ผมจึงขอพี่ต่อลองรถหน่อย แต่ที่จริงอยากแค่ลองนั่งเบาะดู
   จากก้นที่เจ็บๆ นั่งแล้วเจ็บน้อยลงมากๆ เบาะมันยืดหยุ่นได้ เป็นเบาะนั่งที่ทำด้วยหนังวัวแท้ๆ ราคาแพงเหลือเกิน ยิ่งหากเป็นรุ่นที่รางทำด้วยไทเทเนียมแล้วราคาเต็มเฉียดหนึ่งหมื่นบาทเลย !!!
   กลายเป็นตอนนี้ผมมีสองปัญหา
   1 เรื่องยางนอก ที่มันสามารถจะระเบิดออกมาได้ทุกเวลา เพราะมันปริออกมามากแล้ว คนขี่ตามหลังต่างทักว่าล้อเบี้ยว ล้อคด กันหลายคน
   2 เจ็บก้น
   แต่ปั่นมาได้สักพักก็พบปัญหาข้อที่ 3 เพิ้มอีกนั้นคือปวดคอด้านหลัง
   สองข้างทางของถนนพระราม 2 ไม่มีต้นไม้ใหญ่สักต้นให้หลบแดด หากจะหลบก็ต้องปั่นไปรอใต้สะพานลอยเท่านั้น
   ช่วงบ่ายนี้ตัวช่วยอย่างพวกเกลือแร่ของผมเริ่มหมดพอดี แต่ยังเหลือเกลือแร่ของแจกจากตอนลงทะเบียน ลองชิมดูแล้วรสชาติเหมือนเครื่องดื่มบำรุงกำลังพวก M150 หรือกระทิงแดงเสียมากกว่า ไม่ค่อยคุ้นกับเกลือแร่รสชาติแบบนี้เลย แต่ก็ยกซดกระดกให้มันหมดๆ ไปซะ
   ยิ่งปั่นก็ยิ่งเข้าเขตเมืองมากขึ้นทุกทีๆ ผมมองภาพภรรยาและลูกที่นำมาใส่ไว้ในช่องใส่แผนที่บนกระเป๋าหน้าแฮนด์อยู่หลายครั้ง มองแล้วรู้สึกดีนะ งานหน้าและงานต่อๆ ไป ผมคงทำแบบนี้อีก แม้จะมีคนแซวเยอะก็ตามที
   “แหม มีผู้คุมมาด้วย” คนเขามักแซวกันแบบนี้
   แดดแรงๆ แบบนี้ทำให้ผมยิ่งสงสารเห็นใจมือใหม่ทุกๆ ท่าน แต่ผมไม่รู้ว่าใครใหม่กันบ้าง แต่ในกลุ่มที่ผมปั่นอยู่ตอนนี้ ผมรู้ว่ามีอากิเป็นหนึ่งในนั้น ดนัยสอนอากิเรื่องการบังลม ผมเองก็เข้าไปช่วยบังกับเขาบ้างเหมือนกัน ทำผิดๆ ถูกๆ ต้องให้ดนัยสอน เขาเก่งเรื่องเทคนิค วิชาการ ส่วนผมไม่เก่งอะไรสักอย่าง รู้แค่ว่าชอบปั่นจักรยานท่องเทียวเพียงอย่างเดียว
   เจ็บก้น ปวดคอ ทรมานน่าดู แต่โชคดีที่ไม่เป็นตระคริว สงสัยอัดเกลือแร่ทัน ต่างจากงานครั้งก่อนที่ผมเป็นตระคริวตอนปั่นไปตลาดน้ำบางไทร ครั้งนั้นแสนจะเสียฟอร์มเป็นที่สุดเลย น่าอายจริงๆ มีผู้หญิงวัยรุ่นสองคนใส่เสื้อสีส้มเหมือนกันขี่มาทัก
   “พี่ไหวไหมคะ”
   พูดไม่ออกจริงๆ ทั้งเจ็บตระคริว ทั้งอาย พอกลับถึงบ้านหลังจบทริปนั้น ผมบอกกับตัวเองว่า จะต้องไม่เป็นตระคริวอีกต่อไป
   เข้าไปสอบถามเกี่ยวกับเรื่องตะคริวในเวปของ Bikeloves.com ได้คำตอบมาว่า เกิดจากหลายสาเหตุ หนึ่งในนั้นคือร่างกายขาดเกลือแร่ งวดนี้ผมจึงเตรียมผงเกลือแร่ไปด้วย เพียงพอทั้งขาไปและกลับ บ๊ะ.. ได้ผล ตะคริวไม่ได้ถามหาผมเลยสักนิด แถมพลังขายังมีแบบเหลือเฟือ ทั้งๆ ที่รถแบกน้ำหนักมากขึ้นกว่าเดิมอีก 7 กก
   เจ้าเกลือแร่นี้คือเพื่อนแท้ของนักเดินทางจริงๆ
   ปั่นเกาะกลุ่มมากันแบบทุกข์ปนสุข ที่ว่าทุกข์ก็เพราะมันร้อนจัด ส่วนสุขนั้น คงจะมาจากการที่ได้ร่วมปั่นกับเพื่อนๆ ที่รู้ใจ ถึงปลายทาง Lotus พระราม 2 ราว 0330 ผมมองหาเจ้าหน้าที่ของชมรมฯ เพื่อที่จะคืนยางนอกและยางในที่ขอยืมมาแต่ไม่ได้ใช้แก่เขา แต่หาไม่เจอ เลยนั่งคุยกับเพื่อนๆ ที่ลานจอดรถเป็นการพักเหนื่อย
   ดนัยและอากิแพ็คจักรยานขึ้นรถเรียบร้อยก็มาพักคุยกับผมต่อ พอรู้ว่าบ้านผมอยู่แถวพระราม 2 นี้เองก็มีน้ำใจอาสาไปส่ง ผมขอบคุณในไมตรี แต่เกรงใจเขา เลยเลือกที่จะปั่นกลับบ้านเองในระยะทางอีกราว 10 กม
   หลายท่านทะยอยกันกลับ ลานสนามฟุตบอลของโรงเรียนรัตนโกสินทร์แม้แดดจะยังคงแรงจ้า แต่กลับเงียบสนิท ไร้ซึ่งผู้คน ผมก้าวขึ้นรถปั่นออกมาอย่างเชื่องช้า เพราะความล้าจากการเดินทาง
   แต่พอออกถนนใหญ่เท่านั้นแหละ ก็เริ่มอัดเร็วๆ แบบเดิมอีกแล้ว คงเป็นเพราะภาพสองคนบนกระเป๋าหน้าแฮนด์ของผมกระมัง
i drive / i race / i test / I drift
I row / I run / I fun / I ride

Offline simpleway

  • Amateur Racer
  • *
  • Posts: 40
  • I'm a llama!
จบแล้วหรือครับ
อ่านติดพัน
หรือ ไป charge batt ครับ