Author Topic: กพ 52 7-8 อัมพวากับ TCC / 15 ขึ้นดอยอินทนนท์  (Read 10810 times)

Offline O'Pern

  • fear is a mind killer
  • Administrator
  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 7411
  • don't let your fear stand in the way of your dream
    • racing club
สองสามปีมานี้ ผมกลับมาสนใจเรื่องจักรยานอย่างจริงจังอีกครั้ง ส่วนรถดริฟท์นั้นเรียกว่าแทบจะทิ้งไปเลย ด้วยเหตุผลเดียวก็คือ ผมต้องการเก็บเงินไว้เป็นค่าใช้จ่ายเรื่องลูก

รถยนต์ที่ผมแสนจะรัก ตกแต่งมากับมืออย่างละเอียดเพื่อให้เป็นรถดริฟท์ที่สมบูรณ์แบบในสไตล์ของผมเอง หลายชิ้นส่วนได้มาราคาแพง และหายากมากในประเทศ อีกหลายชิ้นส่วนนั้น ผมออกแบบเองกับมือ และสร้างขึ้นเฉพาะที่จะใช้กับรถคันนี้คันเดียวเท่านั้น

ทว่าทุกวันนี้แทบจะไม่ได้ใช้งานมันเลย


30 มค 52
ไปเอารถพับ KHS F20-W ที่ Siam Strida สุทธิสาร พอเจ้าหน้าที่เข็นลังออกมาก็แปลกใจ เพราะว่ามันไม่ได้พับมาเหมือนพวกรถของ Dahon แปลกดี พับได้ แต่ทำไมไม่พับก็ไม่รู้ ทั้งๆ ที่มันจะประหยัดเนื้อที่ลงมาก
   เป็นอันว่าเราแค่มาประกอบท่อคอเข้ากับรถ และสวมหลักอาจลงไป เป็นอันว่าใช้งานได้เลย เป็นรถประกอบนอกเลยนะครับนี่ นั่งลองเซ็ทติ้งรถคร่าวๆ ที่ร้านเขาอยู่นาน พอตกเย็นก็ไปรับมิว

31 มค 52
   วันนี้มิวหยุด ไม่ได้แตะจักรยานเลยแม้แต่น้อย

1 กพ 52
   บ้าเห่อตื่นแต่เช้ามาเซ็ทรถ ต้องรีบเซ็ทให้เร็ว เพราะอีกไม่กี่วันจะต้องใช้งานรถคันนี้อย่างหนักแล้ว เริ่มจากเซ็ทเบาะ เซ็ทระดับคอแฮนด์ เออ ไอ้คันนี้ใช้ Stem แบบปรับระดับได้ด้วย ก็ดีเหมือนกัน ตอนขึ้นดอยอินทนนน์จะได้ปรับมันให้ต่ำลงสุดไปเลย
   เบาะเดิมของ KHS นั่งนุ่มมากๆ แต่ก้นผมไม่คุ้นเคยกับเบาะแบบนี้ เคยนั่งแต่แบบแข็งๆ เหมือนไม้กระดาน เจอเบาะนุ่มนั่งแล้วมันดินๆ ยังไงพิกล นั่งแล้วมันชอบเลื่อนตำแหน่งอยู่เรื่อย คงต้องหาเบาะใหม่เสียแล้ว
   บันไดของเดิมติดรถมาเป็นของ VP แบบแป้นใหญ่ แต่หมุนดูแล้วมันฝืดๆ ซึ่งจะกินแรงกผมตอนปั่นอย่างมาก โดยเฉพาะตอนขึ้นเนินที่แรงกดทุกรอบนั้นสำคัญยิ่ง ผมคงเอาบันได Shimano XT Clipless จาก KHS คันใหญ่ (คันเก่า ปี 93) มาใช้เป็นการชั่วคราว ส่วนตอนนี้ใช้บันไดธรรมดาๆ ไปก่อน
   เป็นอันว่าเบาะนุ่มๆ ของ KHS และบันไดแป้นใหญ่ของ VP นั้นไม่ได้ใช้งานเลย เดี๋ยวสักพักคงประกาศขายในเวป
   ตกเย็นไปรดน้ำต้นไม้บนดาดฟ้า วิ่งลงบันไดไม่ระวัง หัวเข่าเลยไปชนกับเสาเหล็ก ดัง “ตุ๊บ” เสาไม่สั่นเลย แต่ขาผมสั่นเป็นเจ้าเข้า เจ็บมากๆ โชคดีที่ไม่มีแผล เลือดไม่ไหล ไม่ช้ำอีกด้วย แปลกมากๆ ทั้งๆ ที่โครตจะเจ็บเลย
   รีบเอายาบัวหิมะมาทา เพราะไม่รู้จะหาอะไรที่ดีกว่านี้

2 กพ
   ตื่นมาก็เดินไม่ได้เลย ยังกะคนขาเป๋า จะงอก็ต้องค่อยๆ งอ เคลื่อนย้ายตัวแต่ละทีนั้นแสนจะลำบาก ใส่กางเกงยังยากเลย ทำไงดีล่ะ อาทิตย์หน้าก็ต้องปั่นไปตลาดน้ำอัมพวากับ TCC เขาอีกด้วย อยากไปมากๆ ไม่เคยไปทริปค้างคืนกับพวกเขาเลย
   ตื่นมาก็หัดเดินย่องๆ ลำบากจริงๆ เอายาบัวหิมะแบบเดิมมาทา วันนี้ไม่ได้ไปไหน เลยอยู่บ้านทายามันสามรอบเลย
   ได้แต่ลูบๆ คลำๆ รถ แต่ปั่นไม่ได้ มันงอขาไม่ได้
   ออนไลน์ thaimtb.com เห็นคนขายมาตรวัดราคา 290 บาท โห ถูกมากๆ เลยจองไปสองอัน บอกเขาว่าจะไปรับเอง เพราะผมขี้เกียจไปโอนเงิน แต่กลับไม่ขี้เกียจปั่นจักรยานไปรับของที่สวนพลู  พรุ่งนี้เรานัดกันตอนกลางวัน

3 กพ 52
   ยังกะปาฏิหาริย์ ผมเดินได้ปกติแล้วในช่วงข้ามวันเท่านั้น ตอนเดินยังเจ็บนิดๆ แต่ปั่นจักรยานแล้วไม่เจ็บ แปลกดีเหมือนกัน แต่ต้องอย่าชล่าใจ เดี๋ยวเกิดมันเจ็บขึ้นมาอีกจะแย่ เลยได้แค่ปั่นเบาๆ ยังเซ็ทรถไม่จบเลยนะนี่ สับจานหน้ารวนมากๆ ชิฟแล้วชอบเกิน ต้องคอยกดทอนอยู่เรื่อย ไม่รู้ทำไม หรือว่าติดตั้งมาไม่ดี แต่ลองถอดมาใส่ใหม่ก็ยังเป็นแบบเดิมอีก งงมาก
   ต่างจากของ XTR ปี 93 คันเก่าแก่ของผม ที่ใช้มาจนถึงปัจจุบันนี้ก็ 15 ปี ยังไม่เคยรวนแม้แต่น้อย จะมีรวนนิดๆ ช่วงกลางๆ ของเฟืองท้ายเท่านั้น ที่ชิฟแล้วเข้าบ้าง ไม่เข้าบ้าง แต่จานหน้านั้นหายห่วง แม่นยำเหมือนวันแรกที่ได้ขี่เลย
   ตกลงเป็นอันว่าผมเอาเบาะนั่งของ Vetta Tri Shock ที่ติดรถ GT อีกคันมาลองใช้งานดู เป็นพวกเบาะแข็ง นั่งแล้วค่อยคุ้นก้นขึ้นมาหน่อย สบายกว่าเบาะนุ่มๆ เสียอีก
   ก้นเราคงด้านแล้วกระมัง
   รถ 20W นี้ใช้หลักอานขนาดเดียวกับรถ GT เลย คือ 27.2 ก็เลยถอดมาสลับกันทั้งยวง รถ GT ใช้หลักอานของ Kalloy เช่นเดียวกันกับรถ F 20W แต่ของรถ GT เป็นแบบนอทล็อคตัวเดียว ส่วนของ 20W จะใช้นอทสองตัวล็อค แน่นอนว่าผมชอบแบบนอทตัวเดียวมากกว่า ทำงานได้เร็วกว่าเยอะ
   กลางวันไปรับมาตรวัดที่สั่งไว้ โดยผมจอดรถยนต์ไว้ที่สวนลุมไนท์บาซาร์ และปั่นไปสวนพลู ตอนบ่ายไป Pro Bike มา ไปหาสิ่งที่ผมต้องการก็คือกระเป๋าแร็คหลัง ยังไม่รู้เอาแบบไหนดี ก็เลยเอารถไปลองใส่ด้วย ไปถึงก็เจอ Pannier ของ Ortlieb ถูกใจเข้า สีเดียวกับตัวรถผมเลย เข้ากันได้ดีมาก ใบเล็กไปหน่อยสำหรับรถใหญ่ แต่กับรถพับแล้วผมว่ามันดูได้สัดส่วนกันมากๆ
   ลองใส่ลองถอดอยู่นาน สุดท้ายก็ได้เจ้านี่แหละกลับมาบ้านพร้อมกับยางใน 20 นิ้ว ของ Dahon และสูบลมแบบ mini floor pump ของ Giyo ยี่ห้อแปลกๆ แต่ลองสูบแล้วเวิร์คมากๆ ผมเบื่อแบบมือกดเต็มทน เพราะปั่นมาเหนือยๆ มาปะยางแทบจะไม่มีแรงกดสูบเลย
   ผมเลือกขากระติกน้ำของ Zefal มาสองอัน ท่อคอรถ KHS สีดำ ผมจึงเลือกขากระติกดำ ส่วนเฟรมเป็นสีน้ำเงิน จึงใช้ขากระติกสีน้ำเงิน
   อ้อ ได้แถมรัดอเนกประสงค์แบบมีไฟของ Trek มาอีกอัน เอาไว้ใส่ตอนกลางคืน ส่วนไฟหน้า ไฟท้าย คงไปดูที่คลองถมแทน
« Last Edit: March 03, 2009, 02:19:13 pm by O'Pern »
i drive / i race / i test / I drift
I row / I run / I fun / I ride

Offline O'Pern

  • fear is a mind killer
  • Administrator
  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 7411
  • don't let your fear stand in the way of your dream
    • racing club
Re: O'Pern Bike Diary
« Reply #1 on: February 10, 2009, 02:10:48 pm »
4 กพ 52
   หัวเข่าซ้ายดีขึ้นมาก เดินไม่เจ็บแล้ว แต่ลองกดๆ ดูก็จะเจ็บนิดหน่อย ยังดีวะ วันเสาร์คงไปอัมพวาได้ล่ะ
   ปั่นตอนเช้าแถวบ้านไป 5 กม ทดลองรถ และทดลองคนไปในตัว ระยะทางสั้นแค่นี้เอง มันไม่รู้เรื่องอะไรหรอก
   ลองซ้อมเอา Pannier ใส่รถเข้าๆ ออกๆ ลองเอาของใช้ใส่จริงๆ ดู โห หนักไม่เบาเลย แล้ววันจริงเราจะปั่นไหวไหมวะนี่
   KHS F20W เป็นรถทัวริ่งขนานแท้ ให้ขาตั้งกลางแบบคู่มาด้วย ซึ่งมันเวิร์คมากๆ ในการยกของใส่หรือหยิบของออกจากรถ แต่การออกแบบของมันยังต้องปรับปรุงอีกเยอะ เริ่มจาก
   - น้ำหนักมาก ตัวโครงยึดกับรถทำด้วยเหล็ก แต่ตัวขาตั้งชิ้นที่ติดพื้นทำด้วยอลูมิเนียม
   - Ground Clearance ห่วยมากๆ (ไว้ดูจากภาพเอาเอง)
   - เจาะช่องสำหรับขั้นนอทยึดได้ทุเรศจริงๆ จะว่าไปแล้วจะใช้คำว่าอัปลักษณ์ก็ไม่ผิดอะไรนัก หากจะเจาะแบบนี้ โปรดอย่าเจาะเสียยังดีกว่า เพราะมีวิธีไงง่ายๆ ด้วยการจับรถหงายท้องแล้วใช้บล็อคเบอร์ 18 พร้อมด้ามต่อยาวไขได้สบายมากๆ แต่พวกจักยานคงไม่มีบล็อคเบอร์ใหญ่ขนาดนี้ ถ้าเป็นพวกเล่นรถยนต์ เขาจะมีกันเป็นถาดๆ เลย

5 กพ 52
   วันนี้ไปร้านแสงเพชร จรัลสนิทวงศ์ เป็นร้านจักรยานที่ใหญ่ที่สุดและใกล้บ้านผมที่สุด ขนาดใกล้แล้วก็ยังห่างกันเกือบ 10 กม ระยะทางนั้นไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะขนาด Pro Bike อยู่ไกลถึงสวนลุม ผมยังไปออกบ่อย ที่ไม่ชอบใจก็คือเรื่องของที่จอดรถอย่างเดียว ไปแล้วจอดยาก มีที่จอดหน้าร้านเพียง 1 ช่องเอง ไม่รู้ว่าด้านในจะจอดได้หรือไม่ กลัวไม่ปลอดภัย แถมไม่มีใครแนะนำ ระยะหลังก็เลยได้แต่ปั่นจักรยานไปแทน
   เป้าหมายวันนี้มีหลายอย่าง ของจำเป็นก็คือ Bar End แต่อยากได้แบบเท่ๆ หน่อย ที่เคยเห็นนั้นไม่ค่อยถูกใจเท่าไหร่เลย มีแต่พวกแบบหน้าตาเชยๆ และไม่ก็พวกก้านสั้นๆ
   พูดถึงเรื่องของจุกจิกที่ผมชอบอีกอย่างก็คือพวกไฟ เพราะมันใช้งานได้อเนกประสงค์ วันนี้เลยได้ไฟแบบห่วงรัดยางยืดมาสองอัน สีแดงและสีขาวอย่างละอัน เป็นรุ่นใหม่ ไฟคู่สองดวง สว่างสะใจดีจริงๆ อันละ 200 บาท เด่นตรงเล็กเบาเหลือเกิน ตอนไป Touring แล้วต้องจอดรถก็ปลดออกง่าย พกง่าย และเบากระทัดรัด ใช้แบตแบบกลมขนาดเหรียญบาทถึงสองอันแน่ มิน่าไฟแรงเพราะเหตุนี้กระมัง นี่แหละครับ ของใช้ที่ชาว Touring ต้องการ
   มีไฟอีกชิ้นที่น่ารักดีคือไฟติดปลายแฮนด์ เลยซื้อติดกลับมาด้วย

6 กพ 52
   วันนี้เป็นวันแห่งความวุ่นวาย เพราะรถก็ยังไม่พร้อม คนก็ยังไม่พร้อม แถมอุปกรณ์ทั้งรถและคนก็ยังไม่ค่อยจะพร้อมเลย เป็นการออกทริปที่กระท่อนกระแท่นเป็นอย่างมาก แถมกลางวันผมมีประชุม เย็นก็รับมิว กลับมาถึงบ้านก็เย็น มีเวลาเตรียมของแค่ไม่กี่ชั่วโมง
   จากการวิเคราะห์เส้นทางแล้ว ทริปนี้เหมาะกับรถ Full Size มากกว่า ผมเลยใช้ KHS คันใหญ่ เป็นรถ MTB คันแรกของผมซื้อปี 93 ทนทานดีมากๆ ไม่เคยซ่อม ไม่เคยเสีย
   ผมใช้แร็คหลังของ Giant อันเดียวกันกับที่ใส่ Child Seat ตอนมิวนั่งสมัยเด็กๆ เอา Pannier ของ Ortlieb ที่เพิ่งซื้อมาลองแขวนดู โอโห พอดีเป๊ะ ล็อคแน่นดีมาก ถูกใจจริงๆ ใจจริงอยากได้แร็คหน้าอีกอัน แต่ปัญหาคือด้านหน้าผมใช้ช้อคฯของ Rock Shock ซึ่งมันไม่มีรูยึดแร็คมาให้ หากอยากได้ คงต้องออกแบบทำเอง ซึ่งผมทำแน่ๆ
   ที่ผมต้องการแร็คหน้านั่น มีสองเหตุผล
1 คือต้องการเพิ่มพื้นที่การใส่สัมพาระ
2 ต้องการใส่สัมพาระเพื่อถ่วงน้ำหนัก
   งานนี้ไม่มีแร็คหน้า เลยต้องใช้กระเป๋าหน้าแฮนด์เป็นตัวถ่วงน้ำหนักไปก่อน ซึ่งมันก็โอเค พอถ่วงได้บ้าง แต่พอใส่ของเยอะแล้วกระเป๋ามันห้อย มันเป็นกระเป๋าที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ จุดยึดไม่แน่นหนาเลย ใส่ของแบบขำขำนั้นพอได้ แต่ใส่แบบเต็มที่แล้วไม่เวิร์คเลย เลี้ยวแล้วกระเป๋าแกว่งไปมา กลายเป็นยิ่งขี่ไม่ดี
   ผมเลยเอาขากระติกน้ำของ Giant แบบยึดแฮนด์ มาใส่ พร้อมใส่น้ำอีก 1 กระติก ทำให้เพิ่มน้ำหนั้กที่แฮนด์ได้อีกราว 0.5 กก ทำให้ขี่แล้วดีขึ้นกว่าเดิม ลองเอาน้ำขวดละ 300 cc ถ่วงด้านหน้าอีก 2 ขวด คราวนี้แจ๋วมาก ใส่ของแบบ Full Load แล้วปั่นปล่อยมือได้สบาย
   ผมเล่นรถจักรยานมาพร้อมกับเล่นรถยนต์ จึงให้ความสำคัญในเรื่องของการบาลานซ์เป็นที่สุด รถจะหนักขึ้นผมก็รับได้ ขอให้บาลานซ์ดีเป็นพอ
   รถที่บาลานซ์ดีก็จะต้องปล่อยมือขี่ได้ ลำพังรถเปล่านั้น ผมว่าทุกคันล้วนปล่อยมือขี่ได้ แต่ถ้าใส่เฉพาะ Pannier หลังหนัก 7 กก แบบผม รับรองว่าปล่อยมือแล้วรถแกว่งแน่ๆ ผมรู้เพราะว่าผมลองมาแล้ว เกือบกลิ้งมาแล้ว กลับมาบ้านรีบเอาของมาถ่วงหน้าอย่างไวเลย
   จนรถเสร็จสมบูรณ์ บรรทุกแบบ Full Load แล้ว รถสามารถปล่อยมือปั่นได้ แถมยังปล่อยมือแล้วรถยังปล่อยไหลฟรีได้อีกด้วย ซึ่งมันทำได้เฉพาะรถที่บาลานซ์แบบสมบูรณ์เท่านั้น
   จะเป็นเช่นนั้นได้ ผมต้องบริหารจัดการ Pannier ทั้งสองข้างให้มีน้ำหนักเฉลี่ยพอๆ กัน กระเป๋าข้างหนึ่งเป็นอุปกรณ์แคมปิ้งและการนอน ได้แค่ ถุงนอน ผ้าห่ม รองเท้าแตะ กระเป๋าอีกข้างเป็นเสื้อผ้า เครื่องใช้ส่วนตัว กระเป๋านี้จะเบากว่าอีกด้าน ผมจึงถ่วงด้วยน้ำดื่มไปอีก 2 ขวด
   ส่วนอุปกรณ์ของรถ ได้แก่สายล็อค ยางใน ชุดปะยาง เครื่องมือ ชุดปฐมพยาบาล อาหารว่าง ผมใส่ด้านบนของตระแกรงหลัง เพื่อให้หยิบใช้งานได้สะดวก ไม่ต้องคอยเปิดกระเป๋าใหญ่แต่อย่างใด
   กระเป๋าหน้าแฮนด์ ผมใส่กล้อง โทรศัพท์ ใส่ของของขบเคี้ยว ลูกอม ผ้าเช็ดหน้า ซองแว่น กระดาษโนท ปากกา และไฟหน้า อ้อ บนแฮนด์ ผมยังติดตั้งถังขยะไว้อีกด้วย เผื่อตอนฉีกลูกอมหรือขนมกิน จะได้ไมต้องทิ้งลงพื้น
   ผมยังมีกระเป๋ากลางรถใบจิ๋วอีกสองใบ อันนี้จะเป็นกระเป๋าสำรอง สำหรับชิ้นที่หยิบออกมาใช้แล้วขี้เกียจเก็บใส่กระเป๋าใหญ่
   กว่าจะเสร็จสิ้นเรื่องรถได้ก็เกือบ 3 ทุ่ม นี่ยังหาที่ติดไฟท้ายไม่ได้เลย เพราะพอใส่ Pannier และกระเป๋าหลังแล้ว มันบดบังไฟท้ายไปเสียหมดเลย จากเดิมใส่ไฟท้ายแบบรัดหลักอาน จึงต้องหาแบบใหม่มาใช้เสียแล้ว
   เออ นึกขึ้นได้ ผมยังมีไฟท้ายแบบติดปลายแฮนด์อีกชุด แต่เอามาลองใส่แล้ว ทำให้ผมจับ Bar End ไม่ถนัดเท่าที่ควร เลยตัดใจไม่ใส่ไฟชุดนี้ ทั้งๆ ที่ใส่แล้วสวยมากๆ เท่สุดยอด สว่างสะใจดีด้วย ตำแหน่งก็เยี่ยม สามารถมองเห็นทั้งด้านข้าง และด้านหลัง แถมน้ำหนักก็เบา เอาเป็นว่า หากใครไม่ใช้ Bar End ผมแนะนำไฟชุดนี้เลยล่ะ
   ผมยังมีไฟแบบแถบรัดอเนกประสงค์ของ Trek อีกเส้น ตอนแรกกะจะเอามาสวมแบบปลอกคอ ซึ่งมันก็โอเค ใช้งานได้ดี แต่ลองๆ ไปแล้วอาจไม่เวิร์ค เพราะตอนเหงื่อออกอาจทำให้ผมรำคาญได้ จึงเป็นอีกชิ้น ที่ซื้อมาแล้วไม่ได้ใช้

7 กพ 52
   วันนี้ผมไปทริปอัมพวากับกลุ่ม TCC เป็นทริปค้างคืนทริปแรกของผมกับกลุ่มจักรยาน ทุกทีเคยไปแค่ทริปวันเดียว
   บ้าเห่อตื่นแต่เช้า ปั่นไปจุดนัดพบเวลา 0700 ตรง แต่แปลกมากที่ไปตามเวลาทีไร มักจะมีคนมาก่อนหน้าผมอยู่เยอะมากๆ ผิดกับการนัดกับพรรคพวกกลุ่มอื่นที่ไม่ค่อยจะตรงเวลาเอาเสียเลย
   ลงทะเบียน เจ้าหน้าที่แจกถุงยังชีพ ประกอบด้วย เอกสารเกี่ยวกับพื้นที่อัมพวา มีเสื้อกั๊กสะท้อนแสง มีโฟมล้างหน้าด้วย (ไอ้นี้ตอนแรกผมคิดว่ามันคือครีมกันแดด เลยพกติดรถไว้) มีเครื่องดื่มเกลือแร่ขวดเล็กมาให้อีกขวดหนึ่ง (ไอ้นี้รสชาติแปลกมาก เหมือนกับกิน M150 หรือ กระทิงแดงเสียมากกว่า)
   มีอาหารเช้าให้ด้วยนะ เป็นของทานง่าย ไม่เลอะเทอะตามสไตล์คนใช้จักรยาน นั่นคือข้าวเหนียวกับหมู ไก่ เนื้อ ให้เลือกตามสบาย ใครจะตุนไว้ทานกลางวันก็ย่อมได้
   ช่วงนี้คนเริ่มทะยอยกันมาเยอะขึ้นเรื่อยๆ จนราว 0730 พี่คากิก็เป็นจ่าฝูงนำพลพรรคเพื่อนๆ จากสวนลุมปั่นตามมาร้อยกว่าคน พี่คากิมากับ Bike Friday พร้อม Trailer รถเท่มากๆ ช่วงนี้ผมได้พบกันคุณโบ นิคเนม nubeau ใน thaimtb เป็นครั้งแรก ประทับใจมากที่เธอแกร่งราวหญิงเหล็ก เป็นทั้งนักวิ่งและนักจักรยาน
   เจอกับน้องอีกคนชื่อเฮี้ยง คนนี้ตัวเล็กผอม แต่แกร่งมาก พบกันหลายงานแล้ว บ้านเธออยู่พระโขนง แต่ปั่นมาถึงโลตัสพระราม 2
   0800 ก็เริ่มพิธีปล่อยตัวนักเดินทาง เราเดินทางกันเป็นขบวน รวมแล้วกว่า 300 คัน เพราะมีคนที่ไม่ได้ลงทะเบียน แต่ขอร่วมปั่นด้วย มีรถเจ้าหน้าที่ตำรวจนำทาง และปิดท้ายขบวน
   ช่วงแรกคึกกันมาก ปั่นกันค่อนข้างเร็ว ผมเองก็เร็วกับเขาด้วย ทั้งๆ ที่รถตัวเองแบกน้ำหนักสัมพาระอยู่ราว 7 กก ผมแบกของไปเยอะ เพราะเผื่อตัวเองจะนอนเต้นท์ด้วย (แต่มีชื่อว่านอนบ้านพัก) เป็นการทดสอบแบบ Fully Load ครั้งแรกของผมเลย
   กระเป๋าข้างของ Ortlieb ใช้กับรถ KHS Full Size ได้ดีมากๆ ไม่แพ้รถพับเลย ซื้อมาแพง แต่ใช้แล้วโอเคแบบนี้ ไม่ค่อยเสียดายเงินเท่าไหร่นัก แถมระหว่างทางที่พัก ยังมีพี่ๆ หลายท่านมาสอบถามเกี่ยวกับเจ้ากระเป๋าใบนี้อยู่หลายคน
   ระหว่างทางนี้เอง ที่เป็นเวลาพบปะพูดคุยกับเพื่อนๆ นักปั่นด้วยกัน เห็นรถใครสวย เท่ ผมมักจะเอ่ยปากชมเขา ใจจริงอยากคุยด้วย แต่ไม่รู้เริ่มอย่างไรดีนั่นเอง
   รู้จักเพื่อนใหม่ ชื่อพี่ปุก คุยกันค่อนข้างนาน เพราะเขาเองก็สนใจการขับขี่สไตล์ทัวริ่งที่ผมชื่นชอบเอามากๆ มีน้อง (ตัวโต) อีกคนเข้ามาคุยด้วย ชื่อโบ ทราบภายหลังว่ามากับพี่ปุก
   เราออกปั่นกันแต่เช้า ทำให้ถึงจุดหมายราวเที่ยง งานนี้เราได้สปอนเซอร์จาก ททท ช่วยออกเงินเป็นคูปองอาหารให้นักจักรยานทุกคน คนละ 100 บาท ผมขอขอบคุณจากใจแทนนักปั่นทุกท่านด้วยครับ
   สถานที่เป็นวัดริมน้ำ พร้อมทางเดินเลียแม่น้ำท่าจีน บรรยากาศสุดยอดมากสำหรับผม แต่คงเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนท้องถิ่น พอถึงจุดพักกลางวัน ผมก็ออกปั่นเลาะทางเดินริมน้ำไปอีกสัก 5 นาที เพื่อเป็นการ Cool Down ทั้งๆ ที่ตอนปั่นมาก็ไม่ได้แรงอะไรนักหนาเล้ยย เอาเป็นว่า Cool Down พอเป็นพิธี ทำให้เป็นนิสัยแหละดี
   มื้อกลางวันผมทานก๋วยเตี๋ยวไปสองชามน้ำ 1 แห้งอีก 1 เป็นก๋วยเตี๋ยวต้มยำทะเล และทานน้ำมะพร้าวไป 1 แก้ว เงินยังเหลืออีกเยอะเลยซื้อทอดมัน และไก่ทอดมาทานอีก (แบ่งกันกับผู้ร่วมโต๊ะท่านอื่น) สุดท้ายยังเหลืออยู่อีก 20 บาท เลยซื้อกล้วยอบไป 1 ถุง เผื่อไว้กินเวลาอื่น
   ที่ต้องซื้อให้หมด 100 บาท ก็เพราะคูปองนี้คืนไม่ได้ หากเหลือ ก็เท่ากับทิ้งเงินไปอย่างน่าเสียดาย
   ช่วงบ่ายมีกิจกรรมให้ข้อมูลเกียวกับภูมิปัญญาชาวบ้าน ทั้งการเก็บถนอมอาหาร การทำน้ำชีวภาพ ผลิตถ่านในรูปแบบต่างๆ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้แก่ผลิตผลทางการเกษตร แต่ดูนักปั่นจะเนือยๆ ยังไงพิกล อาจเหนื่อย หรือไม่คุ้นเคยกับกิจกรรมในลักษณะนี้ก็เป็นได้
   ผมซื้อของฝากภรรยาเป็นขนมไทยพื้นบ้าน แน่นอน ผมคิดถึงเขาผมจึงทำเช่นนั้น ส่วนลูกก็คิดถึงเหมือนกัน แต่เขาไม่ชอบทานขนม เลยคิดไม่ออกว่าทำอย่างไรดี
   และแล้วจุดเปลี่ยนก็บังเกิดขึ้นกับผม จอดรถทิ้งไว้ราวชั่วโมงกว่า ขากลับตอนจะปั่นกลับเข้าที่พัก ผมรู้สึกเหมือนกับว่าล้อหลังคด ปั่นแล้วมันดิ้นๆ ยังไงพิกล จอดรถลงหมุนล้อดูก็เห็นรอยเบี้ยวชัดเจน
   แก้มยางผมแตกครับ ปริออกมานิดๆ แต่ยาวราว 2 นิ้ว ซึ่งถือว่าแผลไม่ใหญ่ แต่ปัญหาก็คือแผลมันสามารถขยายใหญ่ได้อีกเรื่อยๆ นี่สิ
   ทำไงดี ผมไม่มียางนอกสำรองมา มีแค่ยางในกับชุดปะมาเท่านั้นเอง มองดูรอบๆ ตัวก็ไม่เห็นมีใครเขาพกยางนอกกันสักคน (อาจมีบ้างล่ะนะ แต่ผมมองไม่เห็น หรือไม่ก็อยู่ในกระเป๋าของเขา)
   โชคดีมีรถเซอร์วิสของชมรมจักรยานเพื่อสุขภาพแห่งประเทศไทยเขามาด้วย ผมจึงปั่นไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ ถามอยู่สองคน แต่มีคนที่ช่วยเหลือผมอย่างจริงใจก็คือพี่สันติ พี่คนนี้ผมคุยตั้งแต่กลางวันแล้ว ดูเขามีอัธยาศัยดี หน้าตายิ้มแย้ม นึกไม่ถึงว่าตอนเย็นต้องมาขอความช่วยเหลือจากเขา
   ผมต้องปั่นไปมาหลายที่ระหว่างบ้านพัก และจุดที่รถเซอร์วิสจอด มีทั้งหลงทางนิดๆ แต่ไม่ใช่ปัญหาอะไร เพราะบรรยากาศสองข้างทางนั้นดีเหลือเกิน เป็นถนนแคบๆ สองข้างทางเป็นต้นไม้แน่นไปหมด
   สุดท้ายได้ยางนอกขนาด 1.9 พร้อมยางในมา เป็นยาง Camel ของไทยทำแถมดอกวิบากสุดๆ ต่างจากยางที่ผมใช้ซึ่งเป็นแบบ On Road ขนาด 1.5 เยอะมากๆ
   เอาไงดีวะนี่ ได้ของมาแล้ว จะเปลี่ยนดีไหม เปลี่ยนไปนั้นดีแน่ เพราะสบายใจ ปั่นได้อีกนาน แต่ดอกแบบนี้ มันคงกินแรงเราเพิ่มขึ้นเยอะมากๆ เราไม่ได้มารถเปล่า เราแบกของมาหนัก 7 กก แถมต้องปั่นกลับอีกเกือบ 100 กม (รวมปั่นแวะท่องเที่ยวด้วย)
   ผมลองขย่มรถ ลองกดๆ บนแร็คหลัง ดูว่าแผลมันจะปริเพิ่มไหม ปรากฏว่าไม่ ผมลองปล่อยลมออกดู ก็เพิ่งรู้ว่ายางในผมเสียด้วย ผมใช้จุกลมแบบ Presta พอคลายเกลียวแล้วกดลง ลมกลับไม่พุ่งออกมาเหมือนอย่างเคย งงมาก ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น
   มืดแล้ว ผมต้องรีบสรุป ผมยังไม่ได้เข้าที่พักเลย ผมนั่งอยู่ริมน้ำที่วัด เหม่อมองสายน้ำ ทอดสายตาไปไกลๆ ปล่อยใจ
   แล้วจึงได้คำตอบว่า เป็นไงเป็นกัน ลองคิดว่าเราไม่มียางนอกสำรองมาจะเป็นอย่างไร
   ผมตัดสินใจไม่เปลี่ยนยาง แต่กลับขอพกยางนอกยางในชุดนั้นสำรองไว้ หากผมไม่ได้ใช้จริงๆ หากกลางทางยางผมไม่แตก ผมจะกลับเอายางชุดนี้ไปคืนเขาที่ชมรมฯ ถนนบรรทัดทอง
   ผมเข้าที่พักเป็นคนสุดท้าย ผมพักที่บ้านไม้ชายคลอง ผมหาเส้นทางจากแผนที่ๆ เจ้าหน้าที่แจกตอนเช้านั้นเอง กระเป๋าหน้าแฮนด์มีช่องใส่แผนที่ ผมได้ใช้มันอย่างเป็นทางการเสียที
   จำนวนคน กับจำนวนห้องพักที่ระบุไว้มันคลาดเคลื่อนกันไปหมด ห้องที่มีชื่อผมอยู่ นอนกันอย่างหนาแน่นถึง 6 คน ในขณะที่อีกห้องขนาดเท่ากัน แต่เขานอนกัน 3 คน ผมจึงขอห้องข้างๆ นอนด้วย ซึ่งเขาตอบรับเป็นอย่างดี
   แต่ใจผมนั้นเผื่อมานอนเต้นท์ด้วยอยู่แล้ว หากไม่มีที่นอนจริงๆ ผมสามารถเอาถุงนอนไปปูนอนที่ม้านั่งริมน้ำได้สบายๆ บรรยากาศริมน้ำนั้นดีเหลือเกิน จะเบื่อก็เรื่องเสียงของเครื่องยนต์เรือนี่แหละ เรื่องยุงไม่ใช่ปัญหา ผมมีเครื่องไล่ยุงแบบใส่ถ่าน แถมด้วยผ้าเย็นกันยุงอีก 1 ผืน
   การใช้ชีวิตร่วมกับเพื่อนร่วมห้องนั้นมีเพียงปัญหาเดียวที่ผมเคยเจอ นั้นคือนอนกรน เท่าที่ผ่านมาตอนผมไปประชุมไม่ว่าจะในหรือนอกประเทศเพื่อนที่ร่วมห้องเกือบทุกคนล้วนกรนเสียงดัง ไอ้พวกกรนเป็นจังหวะเรื่อยๆ ครอกกกกก ฟี ครอกกก ฟี้ แบบนี้ผมถือว่าเบสิค เพราะฟังไปนานๆ เราก็เคลิ้มหลับไปได้เอง และพวกนี้มักไม่กรนดัง
   เคยเจองานหนึ่งนอนกับขี้เมา ผมเพิ่งรู้ว่านรกมีจริง เพราะเขากรนแบบไม่เป็นจังหวะ มีไล่โทนเสียง มีดัง มีค่อย มีเงียบหายไป ใช่เลย มีการหยุดหายใจเกิดขึ้นด้วย หนุ่มคนนี้อายุราว 30 เศษ ทั้งกินเหล้าหนัก สูบบุหรี่ตลอด
   นอนกรนบ้าๆ แบบนี้ตลอดคืน ฟังไปก็ยิ่งเครียด นอนไม่หลับ ระยะหลังมานี้ผมมี Ear Plug สำหรับอุดหูนอนมาด้วยตลอดทุกครั้งที่ต้องออกเดินทาง
   แน่นอน ครั้งนี้ก็เอามาด้วย แต่โชคดีที่ไม่ต้องใช้
   พวกเรา 4 ชีวิตในห้องนอน ปิดไฟนอนราว 3 ทุ่มกว่า ใช่เลย พวกเรานอนเร็วเพราะเหนื่อยเพลียมาทั่งวัน แต่หารู้ไม่ว่าห้องเราเปิดไฟสว่างอีกครั้งตอนตี 3 !!! 
   ก่อนนอนลุงเล็กสวดมนต์ชุดใหญ่มากๆ ให้พวกเราในห้องอีกด้วย มีสวดพาหุง สวดชินบัญชร อะไรราวๆ นี้ ผมพนมมือบนอก นอนฟังลุงเล็กสวด
   ไม่รู้หลับไปตอนไหนเหมือนกัน

8 กพ 52
   ผมเองเป็นคนตื่นเช้ามาแต่ไหนแต่ไร ปกติอยู่บ้านก็จะตื่น 0530 บ้างก็อาจเป็น 0500 เพราะผมนอนเร็ว ผมนอนพร้อมลูกตอนหัวค่ำครับ
   มางานนี้ ผมเจอคนตื่นเช้ากว่า
   ลุงเล็กแกตื่นตี 3 ครับ !!!
   งานเข้าแล้วครับพี่น้อง ผมเองเป็นคนตื่นง่ายอยู่แล้วด้วย ได้ยินเสียงอะไรนิดหน่อยก็ตื่นละ กลายเป็นว่าได้นอนไปไม่ถึง 6 ชั่วโมงดี สิ่งที่ทำได้ดีสุดในตอนนี้ก็คือเอาผ้าห่มดึงขึ้นมาปิดตาครับ เพราะไฟในห้องแม้จะเป็นแบบ Dimmer แต่ตำแหน่งที่ไฟส่องลงมานั้น มันพอดีกับตาผมเป๊ะเลย ส่วนเพื่อนร่วมห้องอีกสองคน ก็สบายหน่อยตรงไฟไม่แยงตานี้ล่ะ
   ผมนอนกลิ้งหนีดวงไฟไปมา จนตื่นอย่างเป็นทางการก็ตอน 0545 ลุงเล็กแกปลุก บอกว่าเขานัดกันใส่บาตรหกโมงเช้า พวกเราเตรียมตัวเสร็จกันตอน 0630 ออกมานอกห้องพบว่าอีกหลายห้องเขายังไม่ตื่นกันเลย ส่วนเรื่องการใส่บาตรนั้น พระสงฆ์ท่านจะบิณฑบาททางเรือพาย เราต้องไปรอท่านริมน้ำ
   บรรยากาศริมน้ำที่ผมพักนี้ดีมากๆ ครับ น้ำขึ้นสูงเต็มตลิ่ง ไม่มีขยะสักชิ้น อากาศเย็นสบายๆ คิดว่าหากเป็นตอนหน้าหนาวคงจะสุดยอดมาก
   สักพักเจ้าหน้าที่ยกหม้อขนาดใหญ่มา มันคืออาหารเช้าของพวกเราวันนี้ เป็นข้าวต้มหมูแต่มีกุ้งปนมาด้วย รสชาติดีครับ ผมทานไป 3 ชามเล็กๆ หากคิดเป็นข้าวสวยก็ประมาณ 3 ทัพพี
   ช่วงเช้านี้เองที่พวกเรามีโอกาศพบปะพูดคุยกันในกลุ่มนักจักรยาน หลายคนที่ได้แต่เคยส่งยิ้มให้กันก็มาพูดคุยกัน ผมเองได้รู้จักเพื่อนใหม่ๆ หลายท่าน โดยมากจะเป็นรุ่นพี่ และอีกมากที่เป็นรุ่นพ่อ
   0800 เราออกจากที่พักไปยังจุดนัดพบ คือวัดริมน้ำที่เมื่อวานเราทานมื้อกลางวันกันนั้นแหละ สักพักก็ออกเดินทางกลับกรุงเทพฯ แต่มีบางส่วนแยกกลับส่วนตัว บางกลุ่มขอไปปั่นเที่ยวต่อกันเอง ซึ่งแถวนั้นยังมีตลาดน้ำท่าคา หลายคนบอกว่าสวยกว่าอัมพวานี้เสียอีก กลุ่มสุดท้ายที่รับงานหนักสุดคือทำกิจกรรมซ่อมจักรยานให้แก่เด็กๆ ในท้องถิ่น
   ใจผมตอนนี้อยู่ที่รถตัวเองเพียงอย่างเดียว กลัวอยู่เรื่องเดียวก็คือยางมันจะระเบิดออกมาไหม จอดรถที่ไรก็ต้องหมั่นก้มดูแก้มว่ามันปริแตกมากขึ้นเพียงใด ขากลับนี้ปั่นไม่ค่อยสนุกเลย เพราะต้องพะวงอยู่ตลอดเวลา เจอทางไม่เรียบทีไรต้องคอยยกก้นขึ้นจากเบาะเพื่อช่วยลดแรงกระแทก
   เขากลับเขาพาปั่นเที่ยวรายทางเล็กๆ น้อยๆ จึงทำให้การออกเดินทางจริงนั้นมันสายไปเยอะมากๆ เช่นเดียวกับแดดที่เริ่มแรงขึ้นๆ ทุกๆ ที
   ขากลับนี้กลุ่มกระจัดกระจายกันไปเยอะมากๆ ผมปั่นเกาะกลุ่มมากับเพื่อนใหม่สองคนชื่อดนัยและอากิ และยังมีฝรั่งชาวแคนาดาอีกคนที่ชื่อเคน คนนี้ผมเห็นมาหลายงานมากๆ แล้ว เพิ่งจะมาได้คุยก็ครั้งนี้เอง น่ารักและอัธยาศัยดีมากๆ
   ดนัยและอากิเป็นเพื่อนสนิทกัน ดนัยปั่นมานานแล้ว แต่อากิเพิ่งจะออกทริปครั้งแรก แต่ดูท่าทางแล้วปั่นดีเหลือเกิน คุมรถได้นิ่งมาก ใช้เกียร์ได้คล่องแคล่ว ชิฟแต่ละครั้งแทบจะไม่ได้ยินเสียงโครมครามเลย ได้ยินแค่แต๊กๆ ที่ชิฟเตอร์เท่านั้น สุดยอดจริงๆ
   ขากลับนี้ผมไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ครับ เพราะรถมีปัญหาเรื่องยาง ผมทำใจไว้แล้วว่ามันจะต้องระเบิดตอนไหนสักแห่ง แต่ไม่ห่วงนัก เพราะมียางนอกยางในสำรองไว้แล้ว ตอนนี้รถผมต้องแบกน้ำหนักเพิ่มขึ้นมาอีกราว 1 กก เพาะมีขนมของฝากที่ซื้อมาจากตลาดน้ำอัมพวาเยอะเลย แถมด้วยยางนอก และยางในอีกอย่างละ 1 เส้น คนที่เพิ่งเห็นรถผมต่างคิดไปว่า ผมเองรอบคอบเหลือเกินที่ติดยางนอกสำรองมาด้วย หารู้ไม่ว่าผมเองเพิ่งจะไปขอมาจากรถเซอร์วิสของชมรมฯ เมื่อเย็นวานนี้เอง
   ปั่นกันแบบทุกข์ๆ ไปเรื่อยๆ จนมาเข้าถนนพระราม 2 ราว 1200 เราพักทานอาหารกลางวันกันที่ปั๊มน้ำมัน อาหารก็คือก๋วยเตี๋ยวผัดไทยที่ได้รับแจกมาตอน 0830 เช้าวันนี้เอง ผมเองไม่รับมา เพราะว่ากลัวจะเป็นภาระ กลัวห่อก๋วยเตี๋ยวมันจะแตกและเปิดออกทำให้ข้าวของผมในถุงจะแย่กันหมด ที่จริงน่าจะมีถุงพลาสติคห่อผัดไทยอีกทีจะดีมากๆ
   แต่ถึงรับมาผมเองก็อาจทานไม่หมดก็ได้ เพราะปั่นมาเหนื่อยๆ ผมจะไม่ค่อยอยากอาหาร กลางวันวันนี้ผมทานแค่ซาลาเปาลูกเล็ก 1 ใบ นมถั่วเหลือง 1 กล่อง และซื้อน้ำดื่มเทใสกระติกอีก 1 ขวด
   สักพักก็ออกเดินทางกัน ผมมองดูแต่ละคนล้วนแห้งกรอบกันหมด คงจะเหนื่อยหน่ายกับแสงแดดที่แรงเหลือเกิน แต่ก็ต้องจำใจออกปั่น ทำไงได้ เราเลือกที่จะมาเป็นแบบนี้เองมิใช่หรือ
   บางคนจัดกลยุทธรูปแบบของกลุ่มในการปั่น เพราะมีช่วงทวนลมบ้าง ลมพัดตัดขวางบ้าง แต่ผมเฉยๆ กับเรื่องพวกนี้ เพราะผมตั้งใจที่จะออกมาพบกับเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว วันนี้คือวันซ้อมความอดทนของผม งานหนักกว่านี้ของผมรออยุ่ในวันอาทิตย์ที่ 15 กพ ผมมีงานปั่นขึ้นดอยอินทนนน์ งานนั้นหนักหนากว่าเรื่องแบกของ หรือเรื่องปั่นทวนลมเยอะมากๆ
   ช่วงนี้เองที่ผมเริ่มรู้สึกเจ็บก้นเอามากๆ ขายังมีแรง ใจยังไม่ถอย แต่พอหย่อนก้นกระทบอานปุ๊บ ก็รู้สึกเจ็บแสบทันที เห็นรถของพี่ต่อใช้รถ Kona Sutra สีฟ้า เป็นรถแบบทัวริ่งแท้ๆ ผมเองสนใจพอควร แต่สนใจกว่านั้นคือเขาใช้เบาะนั่งยี่ห้อ Brooks เบาะยี่ห้อนี้ได้รับความนิยมมากๆ ในหมู่ชาวทัวริ่ง ผมจึงขอพี่ต่อลองรถหน่อย แต่ที่จริงอยากแค่ลองนั่งเบาะดู
   จากก้นที่เจ็บๆ นั่งแล้วเจ็บน้อยลงมากๆ เบาะมันยืดหยุ่นได้ เป็นเบาะนั่งที่ทำด้วยหนังวัวแท้ๆ ราคาแพงเหลือเกิน ยิ่งหากเป็นรุ่นที่รางทำด้วยไทเทเนียมแล้วราคาเต็มเฉียดหนึ่งหมื่นบาทเลย !!!
   กลายเป็นตอนนี้ผมมีสองปัญหา
   1 เรื่องยางนอก ที่มันสามารถจะระเบิดออกมาได้ทุกเวลา เพราะมันปริออกมามากแล้ว คนขี่ตามหลังต่างทักว่าล้อเบี้ยว ล้อคด กันหลายคน
   2 เจ็บก้น
   แต่ปั่นมาได้สักพักก็พบปัญหาข้อที่ 3 เพิ้มอีกนั้นคือปวดคอด้านหลัง
   สองข้างทางของถนนพระราม 2 ไม่มีต้นไม้ใหญ่สักต้นให้หลบแดด หากจะหลบก็ต้องปั่นไปรอใต้สะพานลอยเท่านั้น
   ช่วงบ่ายนี้ตัวช่วยอย่างพวกเกลือแร่ของผมเริ่มหมดพอดี แต่ยังเหลือเกลือแร่ของแจกจากตอนลงทะเบียน ลองชิมดูแล้วรสชาติเหมือนเครื่องดื่มบำรุงกำลังพวก M150 หรือกระทิงแดงเสียมากกว่า ไม่ค่อยคุ้นกับเกลือแร่รสชาติแบบนี้เลย แต่ก็ยกซดกระดกให้มันหมดๆ ไปซะ
   ยิ่งปั่นก็ยิ่งเข้าเขตเมืองมากขึ้นทุกทีๆ ผมมองภาพภรรยาและลูกที่นำมาใส่ไว้ในช่องใส่แผนที่บนกระเป๋าหน้าแฮนด์อยู่หลายครั้ง มองแล้วรู้สึกดีนะ งานหน้าและงานต่อๆ ไป ผมคงทำแบบนี้อีก แม้จะมีคนแซวเยอะก็ตามที
   “แหม มีผู้คุมมาด้วย” คนเขามักแซวกันแบบนี้
   แดดแรงๆ แบบนี้ทำให้ผมยิ่งสงสารเห็นใจมือใหม่ทุกๆ ท่าน แต่ผมไม่รู้ว่าใครใหม่กันบ้าง แต่ในกลุ่มที่ผมปั่นอยู่ตอนนี้ ผมรู้ว่ามีอากิเป็นหนึ่งในนั้น ดนัยสอนอากิเรื่องการบังลม ผมเองก็เข้าไปช่วยบังกับเขาบ้างเหมือนกัน ทำผิดๆ ถูกๆ ต้องให้ดนัยสอน เขาเก่งเรื่องเทคนิค วิชาการ ส่วนผมไม่เก่งอะไรสักอย่าง รู้แค่ว่าชอบปั่นจักรยานท่องเทียวเพียงอย่างเดียว
   เจ็บก้น ปวดคอ ทรมานน่าดู แต่โชคดีที่ไม่เป็นตระคริว สงสัยอัดเกลือแร่ทัน ต่างจากงานครั้งก่อนที่ผมเป็นตระคริวตอนปั่นไปตลาดน้ำบางไทร ครั้งนั้นแสนจะเสียฟอร์มเป็นที่สุดเลย น่าอายจริงๆ มีผู้หญิงวัยรุ่นสองคนใส่เสื้อสีส้มเหมือนกันขี่มาทัก
   “พี่ไหวไหมคะ”
   พูดไม่ออกจริงๆ ทั้งเจ็บตระคริว ทั้งอาย พอกลับถึงบ้านหลังจบทริปนั้น ผมบอกกับตัวเองว่า จะต้องไม่เป็นตระคริวอีกต่อไป
   เข้าไปสอบถามเกี่ยวกับเรื่องตะคริวในเวปของ Bikeloves.com ได้คำตอบมาว่า เกิดจากหลายสาเหตุ หนึ่งในนั้นคือร่างกายขาดเกลือแร่ งวดนี้ผมจึงเตรียมผงเกลือแร่ไปด้วย เพียงพอทั้งขาไปและกลับ บ๊ะ.. ได้ผล ตะคริวไม่ได้ถามหาผมเลยสักนิด แถมพลังขายังมีแบบเหลือเฟือ ทั้งๆ ที่รถแบกน้ำหนักมากขึ้นกว่าเดิมอีก 7 กก
   เจ้าเกลือแร่นี้คือเพื่อนแท้ของนักเดินทางจริงๆ
   ปั่นเกาะกลุ่มมากันแบบทุกข์ปนสุข ที่ว่าทุกข์ก็เพราะมันร้อนจัด ส่วนสุขนั้น คงจะมาจากการที่ได้ร่วมปั่นกับเพื่อนๆ ที่รู้ใจ ถึงปลายทาง Lotus พระราม 2 ราว 0330 ผมมองหาเจ้าหน้าที่ของชมรมฯ เพื่อที่จะคืนยางนอกและยางในที่ขอยืมมาแต่ไม่ได้ใช้แก่เขา แต่หาไม่เจอ เลยนั่งคุยกับเพื่อนๆ ที่ลานจอดรถเป็นการพักเหนื่อย
   ดนัยและอากิแพ็คจักรยานขึ้นรถเรียบร้อยก็มาพักคุยกับผมต่อ พอรู้ว่าบ้านผมอยู่แถวพระราม 2 นี้เองก็มีน้ำใจอาสาไปส่ง ผมขอบคุณในไมตรี แต่เกรงใจเขา เลยเลือกที่จะปั่นกลับบ้านเองในระยะทางอีกราว 10 กม
   หลายท่านทะยอยกันกลับ ลานสนามฟุตบอลของโรงเรียนรัตนโกสินทร์แม้แดดจะยังคงแรงจ้า แต่กลับเงียบสนิท ไร้ซึ่งผู้คน ผมก้าวขึ้นรถปั่นออกมาอย่างเชื่องช้า เพราะความล้าจากการเดินทาง
   แต่พอออกถนนใหญ่เท่านั้นแหละ ก็เริ่มอัดเร็วๆ แบบเดิมอีกแล้ว คงเป็นเพราะภาพสองคนบนกระเป๋าหน้าแฮนด์ของผมกระมัง

i drive / i race / i test / I drift
I row / I run / I fun / I ride

Offline O'Pern

  • fear is a mind killer
  • Administrator
  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 7411
  • don't let your fear stand in the way of your dream
    • racing club
Re: O'Pern Bike Diary
« Reply #2 on: February 10, 2009, 02:12:30 pm »
9 กพ 52
   มิวหยุดเรียน ผมอยู่กับลูก ไม่ได้ยุ่งกับจักรยานเลยแม้แต่น้อย

10 กพ 52
   ภาระกิจเดือนนี้ของผมยังไม่จบ ผมยังมีทริปขึ้นดอยอินทนน์ในวันอาทิตย์ที่ 15 นี้ อีกแค่ 5 วันเท่านั้น
   หัวเข่าของผมไม่เจ็บแล้ว แต่หากกดๆ บนลูกสะบ้าดูก็จะรู้สึกเจ็บๆ บ้างนิดๆ เอาเป็นว่าดีขึ้นราว 90-95% เรียกได้ว่า หากผมปั่นขึ้นเขาไม่ไหว ก็ไม่มีสิทธิ์มาโทษหัวเข่า
   อีก 5 วัน ผมจะต้องไปเจอกับประสพการณ์ที่หากใครเป็นนักปั่น จะต้องไม่มีวันลืม ระยะทางราว 45 กม แถมขึ้นเขาตลอดทาง ช่วงหลังเป็นทางชันมากๆ ๆ คนส่วนใหญ่จะถอดใจกันตรงนั้น เรียกได้ว่าเห็นเส้นทาง แข้งขาก็อ่อนแรงไปโดยปริยาย
   ผมอยู่ กทม ไม่มีที่ให้ซ้อมมากนัก สิ่งที่ทำได้ดีสุดก็คือทำให้ร่างกายแข็งแรงอยู่เสมอ แต่ภาระกินขึ้นเขาที่ผมกำลังจะไปเจอ มันไม่ได้อาศัยแค่พลังขาเท่านั้น มันยังมีเรื่องของเทคนิคการปั่น การเซ็ทติ้งรถ ผมคิดว่าพื้นฐานมันคงไม่ต่างจากการแข่งรถแบบ Hill Climb เท่าไหร่
   ผมเล่นจักรยานมาพร้อมๆ กับรถยนต์ ผมประยุกต์สองสิ่งเข้าด้วยกัน ผมเขียนทฤษฏีขึ้นมาเองหลายอย่าง เช่นเรื่องของการบาลานซ์รถ ที่ผมจะให้ความสำคัญมากที่สุด
    หากเป็นการแข่งรถยนต์แบบ Hill Climb ก็ต้องการรถที่มีฐานล้อยาว เพิ่มน้ำหนักแรงกดไปด้านหน้าเยอะๆ หน่อย (รถยนต์เขาถ่วงน้ำหนักด้วยการใช้เรื่องของ aerodynamic เข้ามาช่วย) รถ Hill Climb จึงมีสปอยเลอร์หน้าอันโตๆ ใหญ่ๆ กว้างๆ เอาไว้เพิ่ม Down Force ต้องเซ็ทรถให้เป็นแบบ Unbalance คือเซ็ทแบบถ่วงหน้า แบบไม่สมดุลย์ เพื่อให้ท้ายเบา ล้อตะกุยทางได้ดี (แต่ถ้าเบาเกินไปก็จะเกิดอาการล้อฟรี อันนี้ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่)
   นอกจากเพิ่ม Down Force ด้านหน้าแล้ว ยังต้องมีถ่วงด้านหลังอีกด้วย กรณีกดหน้าหนักเกินไปจนล้อฟรี ก็เลยต้องมีสปอยเลอร์หลังอันโตๆ ไว้คอยปรับสมดุลย์
หากเป็นการแข่งแบบพวกแรลลี่ ก็มักจะขยายฐานล้อ (Track) ให้มากสุดเท่าที่จะทำได้โดยไม่ผิดกติกา
   กับจักรยานก็คงใช้หลักการเดียวกัน (หากผมคิดถูก)
   ผมต้องถ่วงน้ำหนักไว้ด้านหน้าเยอะๆ หน่อย แต่ก็ต้องทำรถให้เบาเข้าไว้ด้วย มิใช่เอาของไม่จำเป็นมาแขวนติดไว้ดังเช่นผมทำตอนเดินทางไกล งานนี้ผมจึงต้องปรับ Stem ให้ก้มต่ำลง นี่ถ้าเป็นไปได้อยากลองใส่ Drop Bar แบบพวกเสือหมอบจัง คงจะก้มได้ต่ำสะใจ
   แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง ผมคงใช้ Flat Bar แบบเดิม จะว่าไปมันก็ไม่เชิงเป็น Flat Bar แบบของ MTB รุ่นเก่าๆ หรอก แฮนด์ของ KHS F20-W มันมียกช่วยนิดๆ เรียกกว่า Raise Bar ครั้นหากจะกลับด้านลงภาพคงออกมาน่าเกลียดมาก โชคดีตรงได้ Stem แบบปรับระดับได้ จึงกดให้มันลงต่ำสุด
   แต่ Stem แบบนี้ มันทำให้เกิดตัวแปรเรื่องของระยะยืดแขนตามไปด้วย (ต่างจากการใช้ Fix Stem ที่ระยะยืดแขนจะกำหนดโดยความยาวของตัวมันเอง) ยิ่งก้มต่ำ ระยะยืดแขนก็ยิ่งมาก ยิ่งต้องเลื่อนเบาะมาด้านหน้ามากยิ่งขึ้นตามไปด้วย
   F20W คันนี้มีองศาของ Seat Tube ที่เอนมากๆ มันดีสำหรับการปั่นเดินทางไกลเลยแหละ ผลของการที่องศาของ Seat Tube นี้เอนมาก ทำให้การปรับเบาะสูงขึ้น ตำแหน่งเบาะนั้งก็จะยิ่งเลื่อนออกไปด้านหลังมากขึ้นตามไปด้วย
   กลายเป็นว่าจากเดิมเป็นรถช่วงสั้น แต่ถ้าหากปรับเบาะสูงขึ้น ก็จะกลายเป็นรถช่วงยาวได้ด้วย อืมม… ออกแบบเฟรมได้สุดยอดดีจริงๆ
   โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากใครชอบแบบ Speed Bike ในรุ่น F20-R เขาจะให้แฮนด์แบบ Cow Horn แปลเป็นไทยก็คือแฮนด์แบบเขาวัว แฮนด์แบบนี้นอกจากจะเพิ่มระยะยืดของแขนแล้ว ยังช่วยในเรื่องการก้มต่ำอีกด้วย ผมว่าแฮนด์แบบนี้แหละ ที่เหมาะกับการปั่น Hill Climb ที่ผมกำลังจะไปเจออยู่นี้
   หากผมอยากได้ตำแหน่งการจับที่คล้ายกับแบบ Cow Horn ก็ต้องไปหา Bar End มาช่วยเสริม ประโยชน์ของ Bar End ในความคิดของผมก็คือมีตำแหน่งให้เปลี่ยนท่าจับแฮนด์ การเปลี่ยนตำแหน่งบ่อยๆ ช่วยลดอาการชาตามมือตามนิ้วได้เป็นอย่างดี
   ประโยชน์ของ Bar End อีกอย่างก็คือจับโยกขณะปั่นขึ้นเขาได้ดีมากๆ โดยผมจะใช้ลำตัวท่อนบนกดลงไปบนแฮนด์ เพื่อเพิ่มน้ำหนักไปยังด้านหน้าได้ตามที่ผมต้องการ และหากผมจะปั่นในลักษณะเช่นนี้ ผมต้องสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ลำตัวท่อนบนของผมตามไปด้วย ทั้งแขน หลัง ไหล่ แม้กระทั่งต้นคอ
   นอกจากนั้นก็ยังต้องเสริมเรื่องของกล้ามท้องที่เป็นพื้นฐานของทุกกีฬาไปแล้ว
   กำลังขานี้ก็ละเลยไม่ได้เชียว หัวใจสำคัญของการปั่นเลยล่ะ
   กลายเป็นว่า 5 วันที่เหลือนี้ ผมคงต้องทุ่มเทให้แก่การออกกำลังกายอย่างมาก ส่วนรถก็ทำได้แค่ลดน้ำหนักมัน เช่น
-   ถอดแร็คหน้าหลัง
-   ถอดบังโคลนหน้าหลัง
-   ถอดขาตั้งคู่ที่แสนจะหนักออก
-   เอาหลักอานสั้นของ MTB มาใส่แทน

แต่พอมาคิดดูอีกที ผมอาจถอดแค่ขาตั้งกลางก็เป็นได้ เพราะขากลับผมอาจ       
ต้องใช้ Pannier ติดแร็คแขวนปั่นกลับบ้านอีกด้วย
   อย่าเพิ่งสรุปเลย เร่งฟิตร่างกายกันดีกว่า
i drive / i race / i test / I drift
I row / I run / I fun / I ride

Offline O'Pern

  • fear is a mind killer
  • Administrator
  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 7411
  • don't let your fear stand in the way of your dream
    • racing club
Re: O'Pern Bike Diary
« Reply #3 on: February 18, 2009, 02:14:00 pm »
11 กพ 52
   ปั่นวอร์มเล่นแถวบ้านแค่แป๊บเดียว เน้นออกกำลังกายในบ้านแทน วิดพื้น ซิทอัพ เน้นลำตัวท่อนบน และใช้กำลังขา เย็นไปรับมิวตามปกติ

12 กพ 52
   ไป Pro Bike ซื้อ Bar End ยี่ห้อ Pro (ผมเดาว่ามาจาก Pro Gear) แล้วตรงดิ่งไปร้านแสงเพชร จรัลสนิทวงศ์ ซื้อมาตรวัดของ Cat Eye
   มาตรวัดติดตั้งง่าย เป็นแบบ Wireless ที่ผมชอบ รุ่นใหม่นี้มีไฟส่องสว่างด้วย ส่วน Bar End นั้นผมจนปัญหาใส่มัน เพราะต้องเลื่อนปลอกมือ มันแน่นเหลือเกิน คงเอาไปทำที่ลำปางแทน
   ผมจัดเตรียมอุปกรณ์ไว้ครบครัน ที่มากสุดคือเรื่องของอาหารเสริมระหว่างการปั่นจักรยาน ผมให้ความสำคัญกับการปั่นครั้งนี้มาก เป็นการขึ้นเขาครั้งแรกของผม ผมไม่เคยขึ้นเขาใดมาก่อนเลย มาเขาแรกก็เล่นอันที่สูงสุดในประเทศเสียแล้ว

13 กพ 52
   น้าชูจาก  คนลำปาง จาก Siam Strida มารับผมที่บ้านตอนเช้า จากนั้นก็ออกเดินทางสู่จังหวัดลำปางทันที ใช้ถนนเส้นหลักที่ขึ้นเหนือ ถึงลำปาง 5 โมงเย็น รีบเอาจักรยานลงจากรถ พบว่าท่อคอแฮนด์มีรอยครูดยาว คงจะกระทบกับของแข็งอะไรสักอย่างขณะอยู่บนรถ น่าเสียดายจริงๆ เลย รถใหม่เอี่ยมแท้ๆ
   รถ F20W คันนี้มีข้อหนึ่งที่ผมไม่ชอบเอามากๆ นั้นคือกลไกการพับคอ มันมิได้เป็นแบบบานพับเหมือนรถพับทั่วไป หากแต่ใช้วิธีถอดยกท่อคอแฮนด์ออกมาทั้งก้านเลย แต่ยกออกมาแล้วก็มีสายเกียร์ สายเบรก ระโยงระยาง เกะกะมากๆ เรียกว่าหากจะขนย้ายรถไม่ให้เป็นร้อย จะต้องใช้คนสองคนทำภาระกิจนี้ คือคนหนึ่งจับตัวรถ อีกคนมาช่วยถือท่อคอแฮนด์ชุดนี้ … น่าอนาจจริงๆ
   ขนของลงจากรถเสร็จก็ปั่นเล่นในตัวเมืองลำปาง น้าชูเป็นคนท้องถิ่นนี้ จึงมีพรรคพวกมากมาย ปั่นตระเวณบ้านคนโน้นที คนนี้ที ผมสนุกมากๆ ความรู้สึกเหมือนตอนเด็กๆ ที่ปั่นจักรยาน BMX ไปหาเพื่อนๆ แถวบ้านเป๊ะเลย ไม่น่าเชื่อ ความรู้สึกนี้กลับมาอีกทีใน 26 ปีให้หลัง อากาศในตัวเมืองเย็นสบายดีมากๆ หากกรุงเทพฯจะเป็นเช่นนี้ได้ ก็คงเฉพาะหน้าหนาวตอนเช้าๆ เท่านั้น
   เพื่อนๆ น้าชูให้ความสนใจกับจักรยานพับของ KHS มาก เพราะต่างจังหวัดไม่มีใครเขาปั่นรถพับกัน เส้นทางในท้องถิ่นเหมาะแก่เสือหมอบและจักรยานภูเขาเท่านั้น
   น้าชูใช้รถ F3 ซึ่งเป็นรถที่ทำความเร็วได้ดีมาก ยางขนาดเล็กขนาด 20X1.38 แถมมีจานหน้า 3 ใบ เฟืองหลังอีก 9 เฟืองใหญ่สุดคือ 26 ส่วนรถผม F20W จะใช้ยาง 20X1.50 จานหน้า 3 โบเท่ากัน (จำนวนเฟืองเท่ากัน) ส่วนเฟืองหลังผมมี 8 แต่อัตราทดเฟืองใหญ่สุดของผมเป็นเบอร์ 32
   น้าชูต้องเซ็ทติ้งรถใหม่ เริ่มจากปลอกแฮนด์ และ Bar End ตอนหลังน้าชูอยากเอาชุดเฟืองท้ายของ MTB ใส่ เพราะต้องการเฟืองใหญ่ๆ ไว้ปั่นขึ้นเขา แต่ทดลองแล้วไม่สำเร็จ เพราะตีนผีขาสั้นเกินไป สับเข้าจานใบใหญ่สุดไม่ได้
   เราไปทำรถกันที่ร้านช่างวี ช่างที่น้าชูบอกว่ามีฝีมือที่สุดในจังหวัดลำปาง ช่างวีเป็นคนกรุงเทพฯ แต่มาอยู่ลำปางสิบกว่าปี เป็นร้านเล็กๆ แทบจะไม่มีของขาย หากแต่รับบริการเซ็ทติ้ง ปรับแต่ง และอัปเกรดจักรยาน
   รถผมไม่มีปัญหาอะไร แต่มีแค่ข้อกวนใจเล็กๆ น้อย เช่น ก้ามวีเบรกทำงานไม่เท่ากัน และเฟืองจ๊อกกิ้งหมุนแล้วมีสะดุด (เป็นเฉพาะตอนใช้เฟืองใบใหญ่สุด) พอช่างวีทราบปัญหาก็จัดการปรับแต่งให้ ใช้เวลาแค่ 1 นาทีเสร็จ เราไปเจอสุดยอดฝีมือตัวจริงเข้าแล้ว อ้อ…ถึงตอนนี้ผมเองเพิ่งรู้ว่าความแข็งอ่อนของมือเบรกขณะกดนั้น เขาก็ปรับตั้งกันได้ด้วย โง่จริงๆ เลยเรานี่
   มื้อเย็นผมทานเปาะเปี๊ยะสดแกล้มกับต้นหอมสดๆ สิบกว่าต้น สมัยเด็กผมไม่ทานผัก แต่ปัจจุบันทานแต่ผักเยอะมากๆ มันเริ่มมาจากเมื่อตอนหนุ่มๆ ที่ผมหันมาสนใจเรื่องสุขภาพ
   ผมนอนที่บ้านน้าชู บ้านตั้งอยู่ในซอยใกล้ถนนใหญ่ เสียงรถวิ่งดังพอควร แต่ผมนอนหลับสบายเพราะใส่ Ear Plug อุดหูเอาไว้

14 กพ 52
   เช้านี้ผมทานต้มเลือดหมู รสชาติดีพอควร วันนี้ทั้งวันไม่ค่อยได้ทำอะไรต้องพักผ่อนให้มากๆ กลางวันทานข้าวมันไก่ร้าน ข้าวมันไก่สบตุ๋ย ชื่อน่ารักดี เป็นชื่อของตำบลนี้ เจ้าของร้านเป็นนักปั่นในกลุ่มเดียวกันกับที่ผมจะไปแจมกับเขาวันพรุ่งนี้ด้วย
พี่ศักดิ์เจ้าของร้านเคยปั่นขึ้นดอยอินทนนท์มาแล้วด้วย MTB แต่พรุ่งนี้เขาจะปั่นขึ้นด้วยเสือหมอบเดิมๆ
   ที่ต้องบอกว่าเดิมๆ ก็เพราะพวกเสือหมอบเขามีลูกเล่นซุกซ่อนกันแพรวพราว เริ่มจากบางคันใช้จานหน้าแบบ 3 ใบ บ้างก็เปลี่ยนเฟืองหลังให้มีขนาดใหญ่ขึ้น จะได้เบาขามากขึ้นขณะไต่ทางลาดชัน
   แต่กับพี่ศักดิ์นั้นกลับกัน เขาต้องการพิสูจน์พลังที่แท้จริงของรถและตัวเขาเอง นี้คือความต่างของนักแข่งกับนักปั่นจักรยาน
   มื้อเย็นผมทานข้าวถึงสองจาน เป็นข้าวผัดไก่พร้อมไข่ดาว 1 ฟอง และผัดผักคะน้าหมูกรอบอีก 1 จาน เพราะต้องสำรองพลังที่จะใช้ปั่นวันพรุ่งนี้
   ก่อนนอนผมยืดเส้นจนทั่วร่างกาย แต่ทำได้ไม่ถนัดเหมือนตอนอยุ่บ้านนัก คืนนี้ผมต้องนอนแต่หัวค่ำ เพราะต้องตื่นแต่เช้าเพื่อออกเดินทางไปอำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ฐานที่ตั้งของทางขึ้นดอยอินทนนท์ พรุ่งนี้เราออกเดินทางกันตอนตี 4 ครับ
   ดูทีวีเขาพยากรณ์อากาศ ยอดดอยอุณหภูมิ 2 องศา ส่วนพื้นล่างของดอยอินทนนท์นั้น 6 องศา !!!
   ผมมีเสื้อจักรยานสำหรับปั่นตอนอากาศหนาว แต่ผมไม่ได้เตรียมมาด้วย นึกไม่ถึงว่าจะเจอเรื่องเช่นนี้ เพราะในกรุงเทพฯนั้นร้อนจัดทีเดียว
   ผมนอนริมหน้าต่าง เปิดบานเกล็ดแง้มๆ ยังหนาวจับใจ ต้องใช้ผ้านวมห่มช่วยตลอดคืน
   ก่อนนอนอ่านหนังสือที่ติดมือไปชื่อ Lonely Bike ของคุณสว่าง ทองดี เดินทางด้วยจักรยานได้บ้าเลือดดีมาก อ่านแล้วชักอยากเขียนเรื่องของตัวเองเหมือนกัน
   
15 กพ 52
   น้าชูตะโกนปลุกเรียกผมอยุ่นาน ผมก็ยังไม่ตื่นสักที นั่นเป็นเพราะผมใส่ Ear Plug อุดหูอยู่ครับ
   ผมชอบพวกจักรยานตรงที่ทุกคนล้วนตื่นแต่เช้า และมากันตรงเวลาดีมาก เราออกเดินทางจากลำปางไปถึงอำเภอจอมทองก็ใช้เวลาไปชั่วโมงกว่า พอถึงก็ต้องรีบไปลงทะเบียน ผมได้เบอร์ 338 เดาว่าคงเป็นนักแข่งลำดับที่ 338 ของวันนั้น ทราบภายหลังว่ามีคนลงทะเบียนถึง 600 กว่าท่าน และอีกมากมายที่มาร่วมปั่นเฉยๆ ไม่ได้ลงทะเบียนแข่งขัน
   ผมลงทะเบียนในรุ่น 50 กม รุ่นนี้จะต้องปั่นกันตั้งแต่พื้นราบ แต่มีอีกรุ่นคือ 16 กม รุ่นนี้จะมีรถพาไปปล่อยด้านบนเกินครึ่งทางไปเยอะมากแล้ว เขาจะปั่นกันตั้งแต่จุดกางเต้นท์ หน้าที่ทำการของอุทยาน
   ปล่อยตัวอย่างเป็นทางการก็สัก 7 โมงกว่า ผมรออยุ่ท้ายกลุ่มกับพรรคพวกที่ไปด้วยกันจากลำปาง แต่พอออกตัวแป๊บเดียว เขาก็เร่งฝีเท้ากันใหญ่ ความเร็วราว 20 แต่ผมไม่อยากปั่นขนาดนั้นในตอนออกตัว ร่างกายที่ไม่ได้วอร์มจะหมดแรงได้ง่าย อาหารเช้าก็ทานแค่กล้วยสองลูก ข้าวเหนียวคำเล็กๆ คำเดียว อากาศก็เย็นยะเยือก แถมทราบมาว่าบนยอดดอยจะหนาวกว่านี้อีกเยอะมาก
   “เปิ้ล เอ็งปั่นขึ้นอินทนนท์น่ะ มีแรงอย่างเดียวยังไม่พอ เอ็งต้องเอาใจมาเยอะๆ ด้วย” น้าชูบอกผมแบบนี้อยุ่หลายครั้ง หลายหน
   ผมเริ่มทำการเติมกำลังใจให้ตัวเอง ด้วยการดูรูปภรรยาและลูกที่นำติดตัวไปด้วย หากหมดแรง ก็ดูรูปหรืออาจแค่นึกถึงเขาสองคนนั้น
   ผมจะเอาใบประกาศนียบัตรและเหรียญไปอวดลูก ทำเช่นเดียวกับตอนที่ลูกแข่งกีฬาชนะและนำเหรียญมาอวดผมเสมอๆ
   เผลอแป๊บเดียว ระยะทางแค่ 2 กม ด้านหลังผมมีแค่รถพยาบาลตามมา นั่นหมายถึงว่าผมคือคนสุดท้ายของขบวน
   ช่วงนี้เส้นทางค่อนข้างราบเรียบ ค่อยๆ ลาดขึ้นทีละน้อยๆ ใครๆ ก็ปั่นได้สบาย สักพักมาถึงช่วงเนินแรกที่เหมือนออเดิฟ เพราะชันมาก แถมเป็นโค้งเอสเล็กๆ อีกด้วย ถึงตรงนี้ผมแซงไปได้ 3 คน ผ่านแค่เนินแรกขาก็ตึงแล้วครับ ระยะทางที่เหลืออีกยาวไกลเหลือเกิน
   ผมเห็นคนยางแตกบ้าง จอดพักดื่มน้ำบ้าง จอดทานอาหารที่เตรียมไปบ้าง แต่ผมยังไม่จอด ไม่อยากเอาเท้าลงพื้น อยากลองวัดใจตัวเองดู กะว่าจะให้ขาแตะพื้นก็เฉพาะจุดให้น้ำเท่านั้น เพราะผมต้องจอดเติมถึงสองกระติกโตๆ
   ระหว่างทางต้องจิบน้ำสลับกับเกลือแร่บ่อยๆ สิ่งที่ผมกลัวตอนปั่นจักรยานทางไกลก็คือเรื่องตะคริว เคยเป็นอยู่หนหนึ่งตอนออกทริปที่บางไทรกับกลุ่ม TCC ตอนนั้นยังไม่ค่อยรู้เรื่องโภชนาการอะไรเลย ถึงแม้ร่างกายจะแกร่งสักปานใด แต่ถ้าตะคริวกินก็จบสิ้น จะปั่นต่อก็สามารถทำได้ แต่มันแทบจะเร่งความเร็วอีกไม่ได้เลย นอกจากจะหยุดพักนานๆ
   อากาศหนาวเริ่มหายไป กลายเป็นแดดแรงจ้า ร้อนมากๆ ครับ ถ้ายิ่งร้อนจัดก็จะยิ่งเป็นตะคริวได้ง่าย เพราะร่างกายสูญเสียเหงื่อเยอะ เราต้องเติมเกลือแร่และน้ำให้ทัน ถ้าไม่ทันก็เสร็จมัน
   ผมเปิดมาตรวัดให้แสดงเวลาแทนที่จะเป็นระยะทางเหมือนที่ตอนปั่นปกติ แต่ก็ไม่ค่อยได้ก้มดูสักเท่าไหร่หรอก มองดูข้างทางบ้าง คิดใจลอยไปโน่นนี่บ้าง แต่ขาก็ยังไม่หยุดปั่น ถึงเนินชันทีไร เป็นได้ใช้เกียร์ 1-1 ตลอดเลย (ใช้จานหน้าใบเล็กสุด จานหลังใบใหญ่สุด)
   จะว่าไปแล้วช่วงเวลานี้แหละที่ผมคิดเรื่องธุรกิจได้มากมาย เรื่องใดค้างคาใจมานานก็กลับคิดหาข้อสรุปได้ง่ายๆ เลย อืมม การหลั่งเหงื่อทำให้สมองเราโล่งโปร่งได้เพียงนี้เชียวหรือนี่ ผมปั่นความเร็วราว 15 กม/ชม เพื่อเป็นการวอร์ม ปั่นวอร์มแบบนี้มาสัก 10 กม ผมยังคงเป็นคนในกลุ่มหลังๆ รถพยาบาลเบื่อที่จะตามผมแล้ว เขาใช้วิธีเร่งไปดักรอบนเนินข้างหน้าแทน ผ่านทางลาดชันมาสองสามอัน เห็นบางคนพักเชิงเนินประปราย
   พอผมแซงผ่านใคร ก็จะทักทาย “สวัสดีครับ” ไปเรื่อย ไม่รู้จะคุยอะไรก็ถามว่ามาจากไหนครับ อะไรทำนองนี้ มีพี่คนหนึ่งใช้ Trek สีขาว ปั่นและเข็นสลับกัน ไปพร้อมๆ กับผมตลอดทาง ผมจะมาแซงเขาตอน 3 กม สุดท้ายแค่นั้นเอง
   ปั่นมาสัก 30 กม ยังไม่เจอจุดให้น้ำเลย โหห… โหดสมชื่อ รถเซอร์วิสของกลุ่มลุ่มน้ำวังของพรรคพวกผมก็คงอยู่ด้านหน้า ผมประหยัดน้ำด้วยการหยิบของขบเคี้ยวมาทาน หนึ่งในนั้นคือบ๊วยหวานแบบไม่มีเมล็ด อมแล้วเค็มๆ ได้เกลือดี เหมาะมากแก่ร่างกายขณะนี้ อมสักพักค่อยเคี้ยว จะได้รสชาติหวานๆ ชุ่มคอ ประหยัดน้ำดีจริงๆ ผมมีบ๊วยแบบนี้ 1 ถุงใหญ่ แต่แจกพรรคพวกไปเยอะแล้ว เหลือไว้เองแค่สิบกว่าเม็ด ไม่รู้จะเพียงพอหรือไม่
   แต่ไม่เป็นไร เพราะยังมีของกินอีกเยอะ มีเซียงจาด้วย เป็นขนมของจีนที่ผมชอบกินตอนเด็กๆ เปรียวๆ หวานๆ
   มีอาหารเจล คล้ายพวก Power Gel แต่ไม่ใช่ ของผมเป็นแบบเน้นบำรุงสุขภาพ มิใช่เพื่อนักกีฬา ด้านในบรรจุสารสกัดจากสาหร่ายทะเลน้ำลึก แต่หน้าตาของหลอดคล้ายกันมาก ของผมยี่ห้อ Agel UMI มีสองรส แอ๊ปเปิ้ลและองุ่น
   สุดท้ายคือช็อคโกแลตดาร์คของโปรด ผมเตรียมไว้สองชิ้น แต่จะกินตอนเข้าเส้นชัยแล้ว 1 ชิ้น และจะกินตอนขับรถกลับอีก 1 ชิ้น
   เป็นการให้รางวัลแก่ตัวเอง
   ปั่นแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาวจนมาถึงจุดให้น้ำจุดแรก ผมเติมเสียเต็มสองกระติก อันแรกใส่น้ำเปล่า อีกอันใส่ผงเกลือแร่ ช่วงนี้ผมจอดเพื่อทานแซนวิชที่ภรรยาน้าชูให้ตอนก่อนออกเดินทาง ทานเสร็จก็ปั่นต่อเลย
   ทางเริ่มลาดชันมาขึ้นเรื่อยๆ ต่างจากช่วงแรกทีมีลงเนินพอให้เร่งส่งต่อไปเนินหน้ากันได้บ้าง
   นับจากจุดนี้ ผมเห็นคนลงเข็นกันมากมาย ผมเองแม้จะปั่นไหว แต่ความเร็วมันก็ไม่ได้มากมายอะไรเลย ตอนช่วงขึ้นเนินชันความเร็วของผมเหลือแค่ 5 กม/ชม เท่านั้นเอง คนเข็นยังแซงผมเลย
   ชันมากๆ ขามันก็ล้า มันจะหมดแรงเอา ก็เลยใช้วิธีปั่นซิกแซกตัดขวางถนน ปั่นวิธีนี้จะลดความชันของเนินลงได้ แต่ข้อเสียคือเราต้องปั่นระยะทางไกลกว่าคนอื่น แถมถนนนี้ก็ยังมีรถวิ่งขึ้นลงตลอดเวลาอีกด้วย ทำให้ผมต้องคอยหันหน้าดูตลอดเวลาทุกครั้งที่ปั่นตัดขวางถนน
   เนินโหดๆ ผมมักจับบาร์เอนโยกขึ้นบ้าง กดลงบ้าง ทำให้มันเป็นจังหวะกับการกดบันได ใช้ลำตัวท่อนบนกดลงบนแฮนด์ช่วยอีกที
   บางช่วงของเส้นทาง เหลือแค่ผมเพียงคนเดียวบนท้องถนน ด้านหน้ามองไปก็ไม่เห็นใคร ส่วนด้านหลังเขาก็ยังเข็นกันขึ้นมาไม่ถึง
   เห็นรถคันหนึ่งจอดวางนอนอยู่ข้างทาง ผมตกใจมาก คิดว่าล้มหรือเป็นลมไป เลยรีบหยุดรถดู มองไปก็ไม่เห็นใคร ไม่เห็นร่องรอยเบรกของรถยนต์ จักรยานก็ไม่เสียหาย สุดท้ายก็รู้ อ้อ.. เขาปวดท้องขี้นี่เอง
   ถึงช่วงนี้ก็มาได้สักครึ่งทางแล้วครับ ระยะทางเต็มของเขาคือ 50 กม มิใช่ 45 แบบที่ผมได้ข้อมูลมา ครึ่งทางแรกนั้นพอไหว เพราะแม้มีเนินสูงก็จริง แต่มีช่วงให้พักขาเป็นทางราบและมีลงเขาบ้างนิดหน่อย แต่ไอ้ครึ่งหลังนี้สิ มีแต่ขึ้น ขึ้น ขึ้น ขึ้น ไปเรื่อยๆ นานๆ จะมีลงสักอันให้ผมยืนเพื่อพักผ่อนก้นจากแรงกดบนอาน
   ปั่นนานๆ ก็มีอาการชาตามเท้าบ้าง ผมแก้ด้วยการยกขาดึงบันไดขึ้น แทนที่จะกดลงเหมือนปกติ การเปลี่ยนอิริยาบทเช่นนี้ แม้ไม่ช่วยในเรื่องสมรรถนะการปั่น แต่ช่วยลดความเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อได้เป็นอย่างดี นี้คืออีกหนึ่งข้อดีของบันไดแบบ Clipless ที่ผมค้นพบตอนปั่นแบบทัวริ่ง
   อาการมือชาก็เช่นกัน มันหายได้ง่ายๆ ด้วยการจับ Bar End ดีๆ สักชุด จากเดิมที่ผมมักจะชาบ่อยๆ แปลกที่วันนี้แทบไม่ชาเลยแม้แต่น้อย สุดยอดมากๆ เลย
   ตะคริวก็ไม่เป็น มือก็ไม่ชา เท้าก็ไม่ชา ผมไร้ซึ่งอุปสรรคใดๆ แล้ว ที่เหลือก็คือแค่แรงกายและแรงใจของผมเท่านั้นเอง
   ใจผมน่ะสู้เสมอครับ ใจผมคิดว่าตัวเองต้องไปไหว ผมมาดอยอินทนนท์เพื่อปั่นจักรยานขึ้นไปยอดดอย ผมจะไม่มีวันนั่งรถเซอร์วิสขึ้นไป มีคนลำปางอีกกลุ่มหนึ่งคอยเฝ้ามองผมอยู่ ผมต้องแสดงฝีมือให้เขาเห็นว่าคนกรุงเทพฯ ที่วันๆ ปั่นแต่ทางเรียบก็สามารถขึ้นเขาได้ ผมต้องการไปบอกลูกผมว่าผมปั่นขึ้นจุดสูงสุดของประเทศไทยมาแล้ว แม้ว่าเขาอาจจะยังไม่รับรู้อะไรนักก็ตามที
   ผมสร้างเงื่อนไขในใจขึ้นมาเรื่อยๆ นานๆ เข้าไปใจมันก็แกร่ง เคยเห็นมดแบกซากแมลงกันไหมครับ มดตัวนิดเดียว แต่แบกซากแมลงชิ้นโตๆ ได้ หรือกระทั่งมดรวมพลังกันก็ยังสามารถแบกของหนักกว่าตัวเองเป็นสิบเท่าได้สบาย หรือที่สุดยอดที่สุดคือมดต่อตัวกันทำแพข้ามน้ำผมก็เคยเห็นมาแล้ว
   ความท้อแท้ไม่เคยมีอยู่ในยีนของมด
   มดตัวนี้กำลังปั่น KHS F20-W ของมันอยู่ มันปั่นต่อไปเรื่อยๆ อย่างกับไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนือย แม้บางช่วงบางตอนความเร็วจะลดลงเหลือแค่ 3-4 กม/ชม เท่านั้น มันก็ยังไม่ยอมลงเข็น แม้ว่าการเข็นจะเร็วกว่าก็ตามที
   สักพักใหญ่แต่ห่างไกลกันแค่ไม่กี่กิโลก็มาถึงจุดให้น้ำอีกจุด ขณะนี้เป็นเวลาเที่ยงวัน ผมพักเติมน้ำเต็มสองกระติก เจ้าหน้าที่ชวนทานข้าวกล่อง แถมให้ผมเลือก  กล่องหนึ่งเป็นข้าวขาหมู อีกกล่องเป็นข้าวหมูแดง มีไข่ต้มครึ่งฟอง ผมเลือกข้าวหมูแดงแน่ เพราะมีไข่ ยังไงก็ดีกว่ากินข้าวขาหมูมันๆ อยู่แล้ว อาหารรสชาติแย่มาก เย็นชืด หมูก็มีแค่ไม่กี่ชิ้น แถมหั่นเสียบางเป็นกระดาษ น้ำราดยังต้องพัฒนา จะน่าสนใจก็ตรงไข่ครึ่งฟองนั้น เพราะมันคือแหล่งโปรตีนชั้นดี
   แต่แล้ว ผมก็ทานข้าวมื้อนั้นจนหมดเกลี้ยงกล่อง เป็นอันว่าผมได้พลังงานช่วงบ่ายแล้ว ต่อไปอีกราว 15 กม ผมจะถึงเส้นชัยที่อยู่บนยอดดอย
   แล้วขาผมก็ทำงานต่อ ปั่นซอยไปเรื่อยๆ แต่แรงกดลูกบันไดมันน้อยลงทุกทีๆ จนความเร็วมันเหลือเพียงแค่ 2 กม/ชม เท่านั้น ผมไม่เคยปั่นได้ช้าแบบนี้มาก่อน กว่าจะทำให้บันไดหมุนแต่ละรอบนั้นช่างแสนยากเย็น
   ที่ความเร็วต่ำขนาดนั้น รถแทบจะทรงตัวตั้งอยู่ไม่ได้ จึงต้องหักแฮนด์เพื่อปรับสมดุลย์อยู่ตลอดเวลา ใครอยู่แถวนั้นจะเห็นว่าผมปั่นแล้วแฮนด์โยกเยกยึกยัก ยังกะคนขี่รถไม่เป็นเลย
   แต่ที่เด็ดสุดก็คือ ปั่นแล้วล้อหน้าลอย เนินมันชันจนผมไม่รู้จะสรรหาคำอะไรมาบรรยายจริงๆ กลัวจะหงายหลังยกล้อ เลยต้องก้มหน้าโน้มตัวจนคางไปวางอยู่บน Stem
   เมื่อยก็เมื่อย ล้าก็ล้า แถมต้องออกแรงปั่นท่าก้มๆ แบบนี้อีกด้วย
   ปั่นต่อไปอีกชั่วโมงกว่า แต่เดินทางได้ไม่เกิน 3 กม เกลือแร่ของผมหมด ต้องใช้เกลือแร่จากอาหารเสริมแทน ทะยอยกินบ๊วยหวานไปเรื่อยๆ จนถึงจุดให้น้ำอีกครั้ง พบคุณลุงท่านหนึ่งแจกเกลือแร่แก่นักปั่น ลุงแจกผม 1 ซอง ผมเห็นแกมีอีกเยอะ เลยขอมาอีก 1 ซอง เพราะกระติกของผมใบใหญ่ หากจะให้ถูกสเปค ต้องใส่ถึง 3 ซอง
   จิบเกลือแร่แก้ตะคริวไปเรื่อยๆ หากหมดแรง ท้อแท้ ก็ดูรูปภรรยาและลูกสลับไปพลาง ทำให้จิตใจฮึกเหิมขึ้นมาบ้าง แต่ตอนนี้ผมเริ่มเจ็บก้นบ้างแล้ว
   ผ่านจุดชมวิวที่แสนจะชัน มีช่วงหนึ่งผมเห็นยอดของพระธาตุอยู่ไกลลิบๆ เห็นถนนคดเคี้ยวไต่ระดับขึ้นไปอีกสูงมากๆ มีนักปั่นหลายท่านแวะจอดกันตรงนี้ ถ่ายรูปเล่นกันก็เยอะ จากจุดนี้ไปพระธาตุที่มองเห็นเหมือนลอยอยู่บนฟ้านั้นราว 5 กม และเส้นชัยจะอยู่ถัดไปอีกสัก 5 กม หากเจ้าหน้าที่บอกผมไม่ผิด
   หากผมปั่นได้ 5 กม/ชม นั่นคือผมต้องปั่นอีกราวสองชั่วโมง
   อีกสองชั่วโมงเท่านั้นเอง
   โห อีกตั้งสองชั่วโมงแน่ะ
   ยังไงก็หนีสองชั่วโมงไม่พ้น ใจจะคิดแบบใดก็ช่าง ยังไงผมก็ต้องปั่น ผมไม่ลงเข็น ไม่จอดพักบ่อยๆ ไม่ลงมาจูง ผมมีโอกาสมาปั่นไม่ง่ายนัก ผมไม่ใช่คนพื้นที่นี้ที่จะมาเมื่อไหร่ก็ได้ ผมมีแค่เพียงโอกาสเดียว และอาจมีเพียงครั้งเดียวก็เป็นได้
   ผมพยายามหาเงื่อนไขมาผูกมัดตัวเองให้มากเข้าไว้ มันทำให้จิตใจแกร่งขึ้นได้นิดหน่อย ใจผมยังสู้ แต่ขามันอ่อนล้าเหลือเกิน กดบันไดแต่ละครั้งรถก็เคลื่อนเป็นระยะทางแค่คืบ
   ท้องอิ่มแล้ว ไม่รู้สึกหิว แต่ร้อนจัด และเหนื่อยอ่อนมาก ผมจิบแต่เกลือแร่ และตัดสินใจเอาน้ำเปล่าอีกกระติกมาเทราดหลังให้ชุ่มเย็น ลดอาการเสียน้ำจากแสงแดดที่แผดเผา
   กัดฟันปั่นจนถึงพระธาตุ มองย้อนลงมาเห็นเส้นทางที่เราผ่านแล้วมันแสนจะภูมิใจ และจะยิ่งภูมิใจกว่านี้หากผมไปถึงยอดดอย ถึงตอนนี้ผมเหลืออีก 5 กม แต่เส้นทางมันยังคงชันต่อเนื่อง แม้ไม่โหดเท่าที่ผ่านมา แต่ขามันล้าจนอ่อนแรงแล้ว
   สุดท้ายเลยต้องสะกดจิตตัวเองบังคับให้ร่างกายระงับความเจ็บปวด เพิ่งสมาธิไปที่การปั่น ช่วงนี้ผมเริ่มปวดหัวเข่าด้านซ้ายนิดๆ (เหตุเกิดเมื่อตอนก่อนออกทริปอัมพวา)
   หวังว่าจะปั่นได้ความเร็ว 5 กม/ชม แต่เอาเข้าจริงมันเหลือแค่ 2-3 เท่านั้น ตัดใจหยิบช็อคโกแลตดาร์คที่เตรียมไว้กินฉลองบนยอดดอย เอามาเข้าปากเสียหนึ่งชิ้น เพื่อเติมน้ำตาลบ้าง เผื่อจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น
   ปกติแล้วผมไม่ชอบเติมน้ำตาลล้วนๆ เลย ผมชอบแหล่งพลังงานจากผลไม้ และโปรตีนมากกว่า เพราะผมอยากลดน้ำหนักไปด้วยนั่นเอง
   ได้ของโปรดเข้าปากแล้วรู้สึกดีเหลือเกิน จะยิ่งรู้สึกผิดมากหากปั่นไม่จบด้วยซ้ำไป
   ผ่านจุดให้น้ำอันสุดท้าย จุดนี้ผมไม่ได้พัก ผมไม่เติมน้ำแล้ว น้ำเปล่าผมก็เอามาฉีดราดตัวจนหมดแล้ว เพื่อเพิ่มความเย็น และลดน้ำหนักรถไปด้วย จะได้ไม่ต้องแบกหนัก เทน้ำหมดกระติกทิ้งนี้ก็ลดน้ำหนักไปได้ราว 750 กรัม
   ถึงตอนนี้มันรู้สึกหนักหนามากเหลือเกิน ปั่นจนไม่ได้ชมวิวอันสวยงามรอบข้าง ได้สูดแต่กลิ่นป่า ได้ยินแต่เสียงหัวใจตัวเองเต้น และลมหายใจเข้าออกฟืดฟาดๆ
   นึกถึงหน้าเพื่อนๆ แต่ละคน นึกถึงเพื่อนฝรั่ง ผมพูดออกมาเสียงดังว่า
   Althought I’am a slow cyclist, but I never stop.
   ปั่นความเร็วแค่ 2-3 กม/ชม มาตลอดหลายชั่วโมง หัวเข่าเริ่มรู้สึกตึงๆ แต่พอพ้นเนินลูกใหญ่ที่เป็นทางโค้ง ผมก็เห็นซุ้มเส้นชัยอยู่ลิบๆ
   สูดลมหายใจเข้าแรงๆ สองสามครั้ง แต่ก็ยังไม่มีแรงกดบันไดให้รถมันวิ่งมากไปกว่าที่ผ่านมาเลย ผมยังคงไต่เนินชันด้วยความเร็วเท่าเดิม
   ใกล้เส้นชัย เพื่อนๆ กลุ่มลุ่มน้ำวัง จังหวัดลำปาง วิ่งออกมาปรมมือต้อนรับ บางคนตบหลัง ตบไหล่ จับแขน ทุกคนมาแสดงความยินดีกับผม โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือน้าชู
   เพราะน้าชูรู้ว่าผมไม่เคยปั่นขึ้นเนินใดมาก่อนเลย ผมเคยปั่นแต่ทางเรียบ อย่างเก่งก็ปั่นวันละ 200 กม แต่ก็เพียงแค่หนเดียวเท่านั้น ถือว่าเป็นนักปั่นที่พื้นฐานน้อยก็ว่าได้ ต่างจากคนย่านนี้ที่มีดอยมีภูให้ซ้อมปั่นกันทุกเย็น
   คุณลุงอาวุโสมามอบดอกไม้ชื่อ “คำปู้จู้” ให้ผมที่จุด Finish เพื่อนๆ ผมทุกคนล้วนปั่นกันขึ้นมารอผมหลายชั่วโมงแล้ว ยังมีน้ำใจเหลือข้าวไว้ให้ผมสองห่อ แต่ผมทานไม่ลง
   ไม่มีเวลาชื่นชมกับยอดดอยอันสวยงาม ผมต้องรีบกลับลำปาง ต้องขับรถยนต์อีกร้อยกว่ากิโลเมตร
   

   การขึ้นเขาครั้งนี้จะเป็นประสพการณ์ที่ผมจะจำแบบไม่มีวันลืม

ขอบคุณ
-   น้าชู และเพื่อนกลุ่มลุ่มน้ำวัง
-   Mu – you’re my inspiration
-   Cheri – the very best girl behind

   

16 กพ 52
   ตื่นเช้าก็รีบจัดกระเป๋าเพื่อเดินทางกลับ มีโกเงี๊ยบขับรถมาหาตอนเช้า โกเงี๊ยบเป็นนักปั่นฝีเท้าดี ขึ้นยอดดอยแห่งนี้มาหลายหนแล้ว แถมขึ้นด้วยเสือหมอบเดิมๆ สองจานอีกด้วย แต่งานที่ผ่านมาเขาขออาสาเป็นทีมเซอร์วิสให้แก่นักปั่นรุ่นน้อง
   สักพักพี่ศักดิ์ก็มาเยี่ยมอีกคน เอาแคบหมูถุงโตมาฝากผม ขอขอบคุณในไมตรีครับ
   น้าชูพาไปทานข้าวแกงร้านดังที่สุดในลำปาง รสชาติอร่อยมากๆ กินแล้วไม่เหมือนร้านข้างถนนพวกอาหารตามสั่งเลย รสชาติเหมือนกับทำกินเองที่บ้าน ยอมรับว่าติดใจจริงๆ
   จากนั้นก็เริ่มเดินทางกลับกรุงเทพฯ ทันที ระยะทางราว 600 กม แดดแรงตลอดทาง แวะทานกลางวันข้างทางไปสัก 30 นาที ถึงกรุงเทพฯ ราว 1630 น้าชูส่งผมที่สถานีรถไฟฟ้าใตดินลาดพร้าว
   ผมกับน้าชูแยกกันตรงนี้ แต่การผจญภัยของผมยังไม่จบ เพราะของผมพะรุงพะรังเอามากๆ
   ขาตั้งกลางแบบคู่ของรถรุ่นนี้ใช้ดีจริงๆ เพราะผมขนของหนักมาก หากเป็นขาตั้งข้าง รถคงจะเอียงแอ่น แฮนด์ฟาดพับ และล้มไปหลายครั้งแล้ว ขาตั้งแบบนี้แหละครับที่รถทัวริ่งเขาต้องการ (แต่ถ้าหากทำให้มันสูงขึ้นได้อีกสักนิด ไม่เลียดพื้นแบบที่เป็นอยู่นี้ก็จะดีมาก)
            ลงรถไฟใต้ดินที่สถานีลาดพร้าว รถผมพะรุงพะรังมากๆ แบกของหนักเกือบ 10 กก เป็นรถ KHS F20-W มี Pannier หลังสองใบ กระเป๋าตระแกรงท้าย 1 ใบ มีหมวกกันน็อควางอยู่บนกระเป๋าท้ายอีก 1 อัน กระเป๋าบนตะแกรงหน้า 1 ใบ ตัวรถเหน็บกระติกน้ำขนาดใหญ่ 2 ใบผมพับแล้วเข็นลงไปในสถานนี ผ่านการตรวจากเจ้าหน้าที่ด้วยการแค่แง้มๆ ดูพอเป็นพิธี ผมว่าใจจริงเจ้าหน้าที่คงลำบากใจเรื่องการตรวจเป็นแน่ เขาตรวจก็เพราะมันเป็นหน้าที่ของเขาเท่านั้นเอง
            ผมพับแล้วเข็นไปเรื่อยๆ อย่างทุลักทุเล จอดซื้อตั๋ว เจ้าหน้าที่ผู้ชายบอกว่า เชิญใช้ช่องทางพิเศษเลยนะครับ พร้อมกับชี้ทางไปลิฟท์ให้ อยุ่ในตัวรถไฟก็จอดตรงมุมตู้ ล็อครถเข้ากับสายล็อคที่เขามีให้สำหรับคนใช้ wheel chair
           ขึ้นที่สถานนีสีลม เข็นไปขึ้นลิฟท์ แต่พอจะออก มองหาทางพิเศษไม่เจอ เลยถอด Pannier ออกใบหนึ่ง เพื่อจะเข็นผ่าน gate ไป แต่มันไม่พ้น คนอื่นเห็นผมต่างพากันจะช่วยยกของ แต่มีเจ้าหน้าที่รีบวิ่งมาบอกว่า " ทางพิเศษอยู่ตรงนี้ครับ " เขาชี้ไปยัง gate ด้านทางเข้า แล้วเขาก็เปิดประตูรอให้ผมเข็นผ่าน
            เข็นออกมาถึงหน้าดุสิตธานี กางรถและจอดรื้อเอารองเท้า หมวก แว่นตา ถุงมือ แต่งตัวมันตรงนั้นแหละ คนผ่านไปมาเพียบบบ
            จากนั้นก็ปั่นต่อจนถึงบ้านที่พระราม 2 ถึงบ้านราวหกโมงกว่า ช่วงเย็นสีลม สาทร รถติดหนักมากๆ ทางจักรยานบนสาทรออกแบบมาดีมาก ทำให้มอเตอร์ไซค์วิ่งกันเป็นระเบียบดี ไม่ต้องคอยมุดซอกแซ่กไปมา ทำทางจักรยานแบบนี้เยอะๆ แหละครับ ท่านมาถูกทางแล้ว จักรยานผมปั่นได้ไม่เร็ว เพราะแบกของหนัก ยังมีมอเตอร์ไซค์บางคันกดแตรไล่อีกด้วย ผมคงจะเกะกะเขาจริงๆ
   สิ่งแรกที่ทำเมื่อถึงบ้านก็คือเข้าไปหาลูก ผมอวดเหรียญ และประกาศนียบัตรที่ได้ตอนปั่นถึงยอดดอยอินทนนท์ให้ลูกดู
   “พ่อได้ที่หนึ่งเลยหรือครับ ถึงได้เหรียญทอง”
   “เปล่าหรอกลูก เหรียญมันสีทองทุกอันแหละ เขาให้เป็นที่ระลึกน่ะ”
   คืนนั้นผมไม่ได้อ่านหนังสือให้ลูกฟัง แต่ร้องเพลง “นิทานหิ่งห้อย” เพลงเก่าๆ ของวงเฉลียงแทน

17 กพ 52
   ผมยืนมองจักรยาน F20W พลางคิดไปถึงเหตุการณ์เมื่อสองวันก่อนที่ผมปั่นมันขึ้นดอยอินทนนท์ ยืนยิ้มในใจอย่างภาคภูมิ คุ้มค่ากับการอดทนปั่น ไม่ลงเข็น ไม่ขึ้นรถเซอร์วิส เพราะผมสามารถคุยได้อย่างเต็มที่ว่าปั่นมาตลอดทางตั้งแต่พื้นราบ กม 0
   การปั่นขึ้นดอยอินทนนท์นั้น เขามีกันหลายระยะทางครับ บางคนไปเริ่มกันที่ด่านเก็บเงินด่านแรก ก็จะย่นระยะทางไปสัก 9 กม ส่วนคนที่ปั่นตั้งแต่ที่ทำการอุทยาน จุดกางเต้นท์ด้านบนโน้น เขาจะปั่นกันแค่ 16 กม
   ฉะนั้น หากเห็นคนคุยว่าปั่นขึ้นดอยอินทนนท์มาแล้ว ก็ต้องถามเขาว่าเริ่มปั่นกันตั้งแต่จุดไหน ส่วนตัวผมคงไม่ไปคุยอะไรกับใคร ไม่ชอบโอ้อวด ผมไม่อาจหาญจะเป็นผู้พิชิตดอยอินทนนท์เหมือนคนอื่นเขา ผมขอเป็นเพียงแค่นักปั่นจักรยานธรรมดาๆ เท่านั้นเอง
   เหมือนตอนขับรถยนต์ ที่ตอนแข่งเขาจะเรียกผมว่านักแข่งกัน รู้สึกเขินอายจริงๆ เพราะรู้ตัวเองว่าไม่ได้เสี้ยวของนักแข่งรถแม้แต่น้อย ผมเป็นเพียงแค่คนขับรถธรรมดาๆ ครับ
   บ่ายผมนั่งพิพม์บันทึกเล่าเรื่องราวที่ผ่านมาจนถึงเย็น ก็ไปรับมิวตามปกติ
i drive / i race / i test / I drift
I row / I run / I fun / I ride

Offline O'Pern

  • fear is a mind killer
  • Administrator
  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 7411
  • don't let your fear stand in the way of your dream
    • racing club
Re: O'Pern Bike Diary
« Reply #4 on: February 20, 2009, 05:58:18 pm »
18 กพ 52
   ผมเริ่มคิดอยากให้มิวปั่นจักรยานกับผมบ้าง ไม่ได้อยากให้เขามาเดินสายนักแข่งเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะด้านรถยนต์หรือจักรยาน แต่คิดแค่ในเรื่องออกกำลังกาย และปลูกฝังการเดินทางท่องเที่ยวด้วยจักรยาน เพราะในงานปั่นที่ดอยอินทนนท์ ผมเห็นเด็กอายุ 7 ขวบเท่ามิวถึงสองคน แถมปั่นมาแล้วหลายภูเขาในภาคเหนืออีกด้วย
   ผมอยากให้ลูกผมเป็นอย่างเด็กพวกนั้นบ้าง คงต้องเริ่มจากหารถก่อน เด็กพวกนั้นเขาใช้รถ Full Size 26 กันเลย ขี่กันได้อย่างไรก็ไม่รู้ รถผิดสัดส่วนไปเยอะมากๆ แม้จะใช้เฟรมขนาดเล็กสุด 13-14 เบาะก็ปรับลดลงต่ำสุด Stem สั้นสุด
   ทุกวันนี้มิวใช้รถ 16 นิ้วของ LA เป็นรถสำหรับเด็ก ถอดล้อช่วยออกหลายปีมากแล้ว ปั่นจนยืดหลักอานขึ้นมาสูงเสมอกับแฮนด์ แต่ยังคงต่ำเกินไปสำหรับช่วงขา ผมปรับเช่นนี้เพราะอยากให้เขาพอจะหยั่งเท้าถึงพื้นได้บ้าง
   หากจะเป็นรถที่พอเหมาะกับเขา ก็คงเป็น MTB ล้อ 24 ที่ช่วงรถจะสั้นกว่าแบบล้อ 26 เยอะมาก ผมเคยเห็นผ่านตามาบ้าง เป็นรถสเปคต่ำ  มีจานหน้าใบเดียว เฟืองหลัง 7 หรืออย่างเก่งอาจเป็น 8

19 กพ 52
   ฟิตจัด อยากลองแข่ง Triathlon ดู ทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นคนเหล็กอะไรกับเขาเลยสักนิด ตื่นเช้ามาวิ่ง 5 กม ใช้เวลาไป 45 นาที กลางวันปั่นจักรยาน 30 โล เย็นว่ายน้ำไปหนึ่งชั่วโมง ได้ระยะทางมาแค่ 500 เมตร
   คืนนี้กลับมาบ้านแทบสลบ น้ำหนักตัวลดลงมานิดหน่อย
   ช่วงนี้ผมปั่นแต่ KHS F20-W เพราะ KHS HT ของผมยางแตกตั้งแต่ทริปอัมพวา ยังไม่ได้จัดการกับมันเลย ที่ทิ้งไว้ค้างคาก็เพราะไม่รู้จะใช้ยางเบอร์เดิมดีไหม หรือจะลองใช้ยาง 1.25 ดูบ้าง เพราะผมเองก็ยังมียางสำรองของเบอร์นี้อยู่อีกชุดหนึ่งที่รถคัน GT ซึ่งหากเก็บทิ้งไว้นาน ยางก็คงจะทะยอยหมดอายุ
   แต่ถ้าซื้อใหม่ ต่อไปจะเล่นยางขอบพับเท่านั้น เพราะเบากว่า พกพาก็สะดวกกว่า ยางขอบพับร้านแสงเพชรขายไม่แพง ถูกกว่าร้าน Pro Bike ถึงสองเท่าตัว (เทียบคนละยี่ห้อ แต่สเปคใกล้เคียงกัน)
   ช่วงนี้อากาศร้อนมาก กลางวันแดดแรงจัด แม้ไม่แสบผิวเหมือนแดดในหน้าหนาว แต่ร้อนจนตัวเหนียวเหนอะหนะ ความร้อนทำให้ร่างกายเหนื่อยล้า ปั่นไป 30 กม รู้สึกเริ่มเจ็บก้น (ใช้เบาะ Vetta) ต่างจากตอนปั่นรถใหญ่อย่าง KHS HT ที่ใช้เบาะ San Macro ที่ทรงใกล้เคียงกัน แต่กลับไม่ค่อยเจ็บเท่าไหร่

20 กพ 52
   เช้านี้ไม่ได้วิ่ง วิ่งไม่ไหว เจ็บเข่า ตื่นมาก็เลยสลับเบาะนั่งของรถ W ลองเอาเบาะของ KHS ที่เขาแถมมาลองใส่ดู พร้อมกับลองหลักอานของเขาด้วย (จากเดิมใช้หลักอานของ GT)
   หลักอานของ W ใช้นอทสองตัวในการปรับ ตัวหลังยึดให้แน่นหนา ตัวหน้าใช้ปรับแบบ Fine Tune ซึ่งกว่าจะรู้ก็ทำให้ผมต้องถอดเข้าออกถึงสองรอบ เพราะดันไปล็อคนอทตัวหน้าแทน ที่ถูกก็คือ นอทตัวหน้าไขแค่ปานกลาง นอทตัวหลังให้ไขแน่นได้ หากจะต้องการปรับก้มเงย ก็ให้มาหมุนเร่งหรือคลายที่นอตตัวหน้าแทน
   เบาะของเขาเป็นแบบหนานุ่ม ยี่ห้อ Velo แต่ภายนอกพิพม์ตรา KHS เบาะแบบนี้นั่งที่แรกแล้วสบาย แต่นั่งนานๆ แล้วมันชอบเลื่อน สำหรับวันนี้ผมเจ็บก้น เลยเอาเบาะนี้มาลอง รู้สึกชอบเหมือนกัน เพราะมันนุ่มดี แต่ขี่ไกลๆ ไม่รู้จะชอบไหม
   ปั่นบนท้องถนน บางช่วงผมเบรกแรงๆ ทั้งสองมือ รถหยุดนิ่ง แต่ก้นผมเลื่อนจนตกเบาะ โห เบาะหยุ่นๆ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง เพราะเบาะแข็งๆ บางๆ ไม่เคยออกอาการเช่นนี้มาก่อน
   กลางวันเอายางนอกและยางในไปคืนชมรมจักรยานเพื่อสุขภาพแห่งประเทศไทย ที่บรรทัดทอง ยางนี้ผมยืมเอามาสำรองเผื่อแตกกลางทางตอนขากลับจากทริปอัมพวา สรุปว่ารอด ยางไม่แตก เลยนำไปคืนเขาดีกว่า
   เสร็จแล้วไป Pro Bike ต่อ เอาสายรัดอเนกประสงค์แบบมีไฟของ Trek ไปเปลี่ยน เพราะผมใช้ไม่ได้ ผมจะเอามารัดขากางเกง มันรัดไม่ได้ ปรับสั้นสุดแล้วก็ยังหลวมไปมาก แต่ถ้าประยุกต์เอาไปทำเป็นปลอกคอหมาจะเท่มาก
   แปลก ผมไม่รู้มาก่อนว่าทางร้านเขาไม่คืนเป็นเงินสด เขาให้ผมหาของเปลี่ยนชดเชยแทน ตอนแรกโมโหมาก แต่ไม่ได้โวยวายอะไรเขา เพราะเป็นนโยบายของร้าน คนเขาแค่ทำตามหน้าที่
   ผมไม่รู้จะเลือกอะไรทดแทนดี เพราะร้านนี้มีแต่ของระดับโครตแพง แม้รู้ทั้งรู้ แต่ผมเองก็ซื้อของจาก Pro Bike เขาอยู่หลายครั้ง ล่าสุดก็กระเป๋า Pannier ของ Ortlieb นี่แหละ
   มองไปทางไหนก็เจอแต่ของที่เราไม่ได้ใช้ แม้อยากได้ยางสำรอง แต่มันก็แพงเหลือเกิน ร้านแสงเพชรถูกกว่าเยอะเลย สุดท้ายเลยได้สายรัดกางเกงของ Zefal มาหนึ่งคู่ เป็นสายรัดแบบ Velcro ผมกะจะเอามาประยุกต์ใช้รัดของขณะเดินทางด้วย ใช้รัดแร็คตอนพับรถก็ได้ ใช้ได้อีกหลายอย่างนอกเหนือจากรัดขากางเกงน่ะ ผมถึงได้เอามา
   แดดกลางวันนี้แรงจริงๆ แสบตามากๆ หากยังคงร้อนอยู่เช่นนี้ เห็นทีจะต้องเปลี่ยนเวลาปั่นแล้วกระมัง เพราะกลับมาบ้านแล้วรู้สึกเพลียเหลือเกิน อาการคล้ายตอน Overtrain เลย
i drive / i race / i test / I drift
I row / I run / I fun / I ride

Offline O'Pern

  • fear is a mind killer
  • Administrator
  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 7411
  • don't let your fear stand in the way of your dream
    • racing club
Re: O'Pern Bike Diary
« Reply #5 on: February 23, 2009, 12:05:03 pm »
21 กพ 52
   วันเสาร์ มิวหยุด ผมอยู่กับมิวทั้งวัน ช่วยกันล้างบ่อปลา และรดน้ำต้นไม้ ว่างๆ ผมก็ปรับแต่งจักรยานเล็กน้อย พบว่านอตยึด Stem เริ่มคลายตัวออก มันต้องเป็นตอนผมจับ Bar End โยกกดขึ้นลงตอนปั่นขึ้นอินทนนท์แน่ๆ

22 กพ 52
   เช้าพาเชอรี่และมิวไปปั่นจักรยานเล่นกันที่พุทธมณฑล เป็นการขนย้ายเจ้า F20-W ขึ้นรถครั้งแรกอย่างเป็นทางการ กว่าจะยัดลงได้ใช้เวลาไปกว่า 30 นาที เพราะจัดการเองคนเดียว
หากใครต้องขนย้ายจักรยานบ่อยๆ ผมไม่แนะนำให้ใช้รถของ KHS เลยครับ ข้อเสียของรถพับ KHS มีดังนี้
-   พับแล้วยังใหญ่ ไม่เล็กเหมือนพวก Dahon เขา เพราะมีขนาดเฟรมที่ใหญ่กว่า
-   คอพับไม่ได้ แต่ใช้ถอดด้วยการคลายแกนปลด แถมต้องคลายจนนอทตัวเมียอีกด้านหลุดออกมาก่อน ถึงจะปลดสลักออกได้ และจะมาช้าอีกทีตอนใส่เข้าไปใหม่นี่แหละ เพราะต้องทำตามวิธีเดิมตอนถอดย้อนกลับทุกขั้นตอน
-   ที่แย่สุดๆ ก็คือ ตอนใส่ท่อคอใหม่ ต้องมาตั้ง Center แฮนด์กันทุกครั้งไป
-   ท่อคอที่ถอดออกมาก็แสนจะเกะกะ เพราะมีสายเบรก 2 เส้น สายเกียร์อีก 2 เส้น ระโยงระยาง หากใครใส่กระติกน้ำที่ท่อคอแบบผม ขากระติกก็จะช่วยเป็นตัวเกะกะอีกอย่าง
-   ท่อคอที่เกะกะนี้เป็นภาระอย่างยิ่งสำหรับผู้เคลื่อนย้ายรถ ไม่ว่าจะอุ้มมุมไหน อย่างไร ท่อคอพร้อมแฮนด์นี้ก็จะแกว่งไปมาจนชนกับชิ้นส่วนอื่น หากตัวมันเองไม่เป็นรอย ก็จะทำให้ชิ้นส่วนที่มันกระทบเป็นรอย เช่น เฟรม ตะเกียบ ฯลฯ
-   หากใครใส่ Bar End ก็จะยิ่งเพิ่มความเกะกะเข้าไปอีก เพราะมันยื่นออกมาเกะกะมากๆ
-   หากใครใส่มาตรวัด ก็ต้องระวังกระทบจนแตก หรือโดนกระแทกจนหล่นหายขณะเคลื่อนย้าย แนะนำให้ถอดออกก่อน
-   ไฟหน้าก็ต้องระวังด้วยครับ จะยิ่งหล่นหายได้ง่ายเลยทีเดียว
-   ใครยึดกระติกน้ำที่ท่อคอแบบผม ก็ต้องถอดกระติกออกก่อนด้วยนะครับ ป้องกันน้ำหก
ไอ้ตอนปั่นใช้งานได้ดีน่ะโอเค แต่ถ้าเจอข้อเสียกันขนาดนี้แล้ว คนที่พับบ่อยๆ คงต้องคิดกันให้หนักก่อนจ่ายเงินซื้อนะครับ คันละสองหมื่นหน้าพันบาทแน่ะ หึหึ ทำให้จากรถพับ กลายเป็นรถแห่งภาระได้ง่ายๆ เลยล่ะ
การเคลื่อนย้ายจักรยานได้ช้า ทำให้ผมออกจากบ้านสายกว่าปกติ แวะซื้ออาหารเช้าเข้าไปทานในพุทธมณฑลด้วยเลยทำให้ยิ่งสาย แดดก็แรงเร็วตามระเบียบ เล่นเอาปั่นได้แค่ไม่เท่าไหร่เองก็ต้องกลับบ้านเสียแล้ว
พุทธมณฑลวันนี้มีคนมาปั่นจักรยานกันเยอะมากๆ จากเดิมที่เห็นแบบนับคันได้ วันนี้เห็นเป็นสิบคันเลยครับ ผมจอดรถที่เวฬุวันเหมือนเดิม ไปกี่ครั้งก็จอดตรงนี้แหละ กลายเป็นที่ประจำไปเสียแล้ว
ผมชอบบริเวณนี้เพราะร่มรื่นและใกล้ริมลำน้ำขนาดใหญ่ ลมพัดเย็นสบายดี จนบางทีผมจำโต๊ะปิคนิคมานั่งก็มี
ขากลับขับขึ้นทางยกระดับไปลงปิ่นเกล้า ไปเดินเล่นตลาดนัดแถวโรงพยาบาลศิริราช ไปเจอบ๊วยแบบที่ผมใช้กินตอนปั่นขึ้นดอยอินทนนท์ ก็เลยซื้อเก็บไว้สองถุง ชอบตรงไม่มีเมล็ด แกะซองทานง่าย ใส่ถุงมือก็ยังฉีกใส่ปากง่ายเลย รสชาติก็ดี นี่สิ อาหารของชาวจักรยานตัวจริง
เย็นพาภรรยาและลูกไปตลาดน้ำอัมพวา ที่เดียวกับที่ผมไปกับกลุ่ม TCC เมื่อสองสัปดาห์ก่อนนี่แหละ บ้านผมอยู่พระราม 2 จึงขับรถออกไปไม่ไกลนักสัก 30 นาทีก็ถึง ไม่รู้สินะ พอไปที่ไหนคนเดียวแล้วผมอยากให้ภรรยาและลูกไปด้วยทุกครั้งเลย
ไปถึงอัมพวาก็เย็นพอดี หลายคนทะยอยกันกลับ แต่ก็มีคนเพิ่งมาอย่างผมอีกเยอะมาก ผมว่าที่นี่เหมาะกับตอนเย็นจนถึงค่ำมากกว่านะ อากาศดีมากๆ ผมเลือกจอดรถไกลหน่อย และเดินเลาะริมน้ำมายังตลาด ผู้คนยังคงแน่น แต่ไม่เท่ากับตอนที่ผมไปกับกลุ่ม TCC เมื่อตอนต้นเดือน (7-8 กพ)
ผมให้อิสระลูกเลือกอาหารทานได้เอง มิวเลือกไข่นกกระทาทอดในเตาขนมครก แถมติดใจกินถึงสองจาน เขามาบอกทีหลังว่าใจจริงอยากกินอีกจาน แต่กลัวพ่อว่าเอา เชอรี่เลือกทานกุ้งอบวุ้นเส้นจานเล็กๆ ส่วนผมชอบของแปลกใหม่ ทานปลาเก๋าสะเต๊ะ เดินเล่นชมร้านค้าอยู่นานจนถึงสองทุ่มจึงได้กลับบ้าน
i drive / i race / i test / I drift
I row / I run / I fun / I ride

Offline O'Pern

  • fear is a mind killer
  • Administrator
  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 7411
  • don't let your fear stand in the way of your dream
    • racing club
Re: O'Pern Bike Diary
« Reply #6 on: February 24, 2009, 01:17:45 pm »
23 กพ 52
   เมื่อคืนกลับบ้านดึก มิวเลยนอนดึกตาม ทำให้ตื่นสาย ก็เลยออกจากบ้านสายไปด้วย เป็นครั้งแรกที่ไปโรงเรียนสาย ทั้งๆ อยู่โรงเรียนอยุ่ใกล้บ้าน
   ใจอยากปั่นจักรยาน แต่แดดแรงจนทนไม่ไหว ร้อนแสบผิวเหลือเกิน กลับมาบ้านจัดการย้ายตำแหน่งติดตั้งมาตรวัดความเร็วใหม่ จากเดิมอยู่บน Stem ตอนนี้ผมปรับ Stem ยกขึ้นเป็น 0 องศาแล้ว ทำให้มุมมองไม่ชัดเจน เลยย้ายมาตรวัดไปไว้ที่บนแฮนด์ตามแบบสมัยนิยม
   ผมชอบมาตรวัดแบบ Wireless ก็ตรงนี้แหละครับ ย้ายง่าย ไม่ต้องรื้อสายหรือพันซ่อนใหม่ กลายเป็นว่ามาตรวัดราคาถูกจากจีนที่ผมซื้อมาอันละ 300 แถมซื้อมาตั้งสองอัน เพราะกะจะใส่รถอีกคันก็เลยยังคงเก็บไว้ในแพ็คอยู่เลย สงสัยไว้ต้องไปประกาศขายในเวป
   ตอนบ่ายโทรไปคุยกับพี่เจี๊ยบ รุ่นพี่ที่ผมให้ความนับถือและหารือกันอยู่เสมอเกี่ยวกับเรื่องจักรยาน คำแรกที่พี่เจี๊ยบถามผมก็คือ “ดอยอินทนนท์เป็นไงบ้าง”
   7.17 ชม ครับพี่ ผมตอบอย่างภาคภูมิใจ ผมไม่ลงจากรถจูงเลยแม้แต่น้อย จอดเท้าแตะพื้นแค่ตอนเติมน้ำใส่กระติก และจอดกินข้าวกลางวันไป 10 นาที
   แต่คำตอบที่ได้รับกลับมานั้นแตกต่างจากคนอื่นหลายเรื่อง คนอื่นต่างชื่นชมว่าผมมีความพยายามดี อดทนดี แต่พี่เจี๊ยบกลับให้ข้อคิดอีกหลายเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพร่างกายตามมา ประเด็นแรกเลยคือเรื่องของหัวเข่า
   การที่ผมทนฝืนกดบันไดอยู่นานถึง 7 ชั่วโมงกว่านั้นมันไม่ธรรมดา โอเคอดทนได้น่ะเก่ง แต่เก่งแล้วเข่าพังยังจะโอเคอยู่ไหม ยังดีนะที่ใช้เฟือง 1-1 (จานหน้าเล็กสุด เฟืองหลังใหญ่สุด) เพราะถ้าผมฝืนปั่นแบบนี้ขณะทำความเร็วสูงต่อเนื่องนานๆ อย่างพวกเสือหมอบ ที่ใช้เฟืองเบอร์อื่นที่หนักขากว่านี้  ผมอาจไม่ได้ปั่นจักรยานอีกตลอดชีวิต !!!
   พี่เจี๊ยบให้แง่คิดที่ผมมองข้ามมาตลอดอีกหลายเรื่อง คุยกันเป็นชั่วโมงมีแต่สาระล้วนๆ ผมกับพี่เจี๊ยบเล่นรถในสไตล์คล้ายๆ กัน แม้จะเริ่มต้นมากันคนละสาย แต่ตอนนี้เราชอบเหมือนกันหนึ่งเรื่องคือเรื่องของการขับขี่จักรยานแบบทัวริ่ง
   คุยกับพี่เจี๊ยบอย่างออกรสออกชาติ ทั้งแลกเปลี่ยนทรรศนะ ทั้งวิจารณ์อุปกรณ์ต่างๆ ตามที่ตัวเองได้สัมผัสมา ผมจะใช้งานจักรยานบนถนนจริงล้วนๆ ส่วนพี่เจี๊ยบที่มีภาระทางบ้านอยู่มาก ก็จะปั่นบนเทรนเนอร์เป็นหลัก ต่างคน ต่างสไตล์ เรื่องความรู้ วิชาการผมยกให้พี่เขาเป็นเบอร์หนึ่งเลยล่ะ
i drive / i race / i test / I drift
I row / I run / I fun / I ride

Offline O'Pern

  • fear is a mind killer
  • Administrator
  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 7411
  • don't let your fear stand in the way of your dream
    • racing club
Re: O'Pern Bike Diary
« Reply #7 on: February 25, 2009, 12:52:41 pm »
24 กพ 52
   ตื่นมาปั่นจักรยาน เช้านี้ปั่นไป 11 กม เอาคัน F20-W ออกไปปั่นเซ็ทติ้งใหม่ หลังจากเปลี่ยนมาทดลองใช้เบาะเดิมติดรถก็ยังเซ็ทไม่ค่อยลงตัว รู้สึกขาดๆ เกิน ๆ เพราะเบาะมันนุ่มนิ่มมาก นั่งแล้วจม คล้ายๆ กับรู้สึกว่านั่งตอนแรกจะระดับหนึ่ง แต่พอนั่งไปนานๆ มันจะจมลงไปอีกนิดหน่อย เลยต้องมีการปรับตั้งความสูงเผื่อไว้เล็กน้อย เอาเป็นว่ายังไม่ค่อยคุ้นกับเบาะนุ่มนิ่มแบบนี้สักเท่าไหร่
   อ้อ เบาะของ Brooks เองก็มักจะเจอปัญหาเช่นนี้เหมือนกัน เพราะเบาะนั่งมันยืดหยุ่นได้ นั่งไปนานๆ สักพักหนังก็จะยืดยานลงมานิดหน่อย หากใครไม่ละเอียดพอก็จะไม่ค่อยรู้สึกตัวเท่าไหร่นัก
   กลางวันแดดร้อนแรงจัดมากๆ ขนาดเดินผ่านแดดยังแสบผิว ผมเลยยกเลิกการปั่นกลางวันไปชั่วคราว คงจะอีกนานสักพักกว่าจะมาปั่นกลางวันกันใหม่
   ปั่นรถล้อเล็กมานานทำให้ใจคิดถึง KHS คันใหญ่อย่างมาก ติดตรงยางมันแตก ยังไม่ได้เปลี่ยนเลย เพราะลังเล ไม่รู้จะใช้ยางเบอร์เดิมดีไหม ใจอยากใช้ยางเบอร์เล็กลง แต่กลัวจะปั่นสู้แบบยางใหญ่ไม่ได้
   ผมมีรถ GT HT อีกคัน คันนี้ใช้ยาง 1.25 ไว้พรุ่งนี้เช้าจะเอาออกไปลองดู ถ้าชอบก็อาจจะมีการสลับยางกันเกิดขึ้น
   กลับมาจากลำปางหลายวันแล้ว แต่เพิ่งนึกขึ้นได้ถึงเรื่องงานแข่ง Adventure ที่เมืองกาญจน์ เห็นเขาโฆษณาในหนังสือจักรยานว่าในทีมสองคนต้องอายุรวมกันถึงร้อย หรือเกินร้อยปี ผมก็เลยไม่ได้สนใจอะไร วันนี้ไปรื้อเอกสารเจอเวปไซต์ของเขา พออ่านเข้าก็พบว่ามีหลายรุ่น อายุเท่ไหร่ก็ได้ แถมคู่ผสมชายหญิงก็ยังได้อีกด้วย ใจอยากร่วมงานพวกนี้มาก แต่ไม่รู้หาคู่ที่ไหนดี มิวเองก็ยังไม่แข็งแกร่งพอ แต่ถ้าให้เวลาฟิตอีกสักปีสองปีคงพอไหว
   มาเห็นในเวปเขาปิดรับสมัครวันที่ 24 กพ นี้พอดี จบข่าวเลยครับท่านผู้ชม ฝันสลาย
i drive / i race / i test / I drift
I row / I run / I fun / I ride

Offline O'Pern

  • fear is a mind killer
  • Administrator
  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 7411
  • don't let your fear stand in the way of your dream
    • racing club
Re: O'Pern Bike Diary กพ 52
« Reply #8 on: February 27, 2009, 01:02:24 pm »
25 กพ 52
   เอารถ GT HT ออกไปลองมา 11 กม เส้นทางเดิม รถคันนี้ผมชอบน้อยที่สุด ทั้งๆ ที่มันเบาที่สุด ที่ไม่ชอบคงเป็นเพราะ Stem มันยาวและไม่ค่อยจะยกเท่าไหร่ นั่งปั่นแล้วจะก้มกว่ารถคันอื่นๆ
   แต่ไอ้ท่านั่งแบบนี้แหละที่ทำเวลาได้ดี เพราะปั่น 11 กม ใช้ระยะเวลาไป 30 นาที แต่รถ F20-W จะใช้เวลาไป 37 นาที หากจอดเทียบกันแล้วรถคันนี้ระดับแฮนด์ต่ำกว่า KHS F20-W ราวๆ 1 คืบแน่ะ
   ผมไม่ได้ปั่นด้วยแรงเท่ากันนะ กับรถ GT ผมอัดเร็วกว่า ยางมันหน้าแคบกว่า อัดแล้วเร็ว อัดแล้วพุ่ง กดแล้วติดตีน ก็เลยเร่งทำความเร็วได้ดี
   ใจชักชอบยางเล็กซะแล้วสิ แต่กลัวตรงทางแบบลูกรังนี่แหละ เพราะตอนออกทริปบางทีก็เจอลูกรังเข้าให้บ้างเหมือนกัน แม้จะไม่บ่อยก็ตามที
   เอาเป็นว่า หากปั่นลูกรังแล้วพอไปได้ ไม่ต้องถึงกับไปดีก็เถอะ ผมคงเลือกใช้ยาง 1.25 แทนของเดิมที่เป็นขนาด 1.50
   วันนี้เจอปัญหากวนในเรื่องหลักอานของรถ GT คันนี้ คือมันเป็นรุ่นแบบใช้นอทไขตัวเดียว (single nut operated) ไขก้มเงย เลื่อนหน้าหลัง ก็คุมด้วยนอทตัวเดียว ซึ่งตอนแรกผมชอบมาก เพราะไขแค่ทีเดียวจบ จึงทำไปใช้งานกับรถ F20-W ในภาระกิจขึ้นอินทนนท์ที่ผ่านมา
   แต่พอตอนนี้สลับมาใช้กับตัวรถ GT และใช้คู่กับเบาะเดิมของมัน กลายเป็นว่าผมปรับตั้งระดับของตัวล็อคเบาะได้ลำบากมาก จะปรับแต่ละครั้งต้องคลายนอทออกมาจนหลวมเหมือนกับจะต้องถอดมันทั้งยวง แถมมองดูแล้วมันยังมีร่องเหลื่อมๆ แม้จะไขยึดแน่นหนาแล้วก็ตาม
   ขับไม่ถึง กม ในบ้าน ร่องขบเฟืองตั้งเบาะเริ่มเข้าที่ พอมันเข้าที่ก็กลายเป็นว่านอทไขไม่แน่นพอเสียอีกนี่ เป็นแบบนี้อยู่ถึง 3 ครั้ง ดีนะที่ผมปั่นเซ็ทรถในบ้าน ถ้าปั่นข้างนอกเจอแบบนี้เซ็งแน่ๆ
   ตอนเย็นไปรับมิว ขากลับหน้าบ้านมีตำรวจปิดถนน เขาบอกว่ารถขบวนจะผ่าน แต่การปิดของเขาใช้วิธีขี่มอเตอร์ไซค์มาปาดหน้าแล้วหยุดให้ผมจอดรถยนต์ ทั้งๆ ที่ขับมาเร็วเกือบ 100 กม/ชม ผมเบรกแล้วเบนหลบจนรถหยุดนิ่ง กลัวคันหลังจะชนท้ายเอา ผมเลยสอนลูกให้เห็นถึงอันตรายที่เราหยุดรถกระทันหัน แม้ไม่พอใจตำรวจ แต่ก็ไม่เก็บมาเป็นสาระให้รกใจ
   ก่อนนอนวิดพื้น ซิทอัพ เล่นจนเมื่อยตัวแล้วค่อยหลับไป

26 กพ 52
ตื่นสายไปหน่อย ราว 6 โมง เลยไม่ได้ออกไปปั่นจักรยานตอนเช้า สงสัยเมื่อคืนเล่นออกกำลังกายก่อนนอน แถมกลางคืนตื่นขึ้นมาฉี่ ไม่ได้หลับสนิทรวดเดียว
ว่างๆ ตอนกลางวันเลยเอารถ F20-W ออกไปอัดมา 30 กม กลับมาบ้านโทรมเลย อากาศร้อนมากๆ ทุกทีแค่เหงื่อซึมๆ แต่วันนี้เล่นเอาเปียกโชกทั้งตัว
ที่เลือกเอาคันนี้ออก ก็เพราะว่ามันใส่บันได Clipless ไว้อยู่นี่แหละครับ ขี้เกียจถอดมาสลับ ผมถนัดบันไดแบบนี้มากๆ วางเท้าแล้วมันมั่นคงดี ต่างจากรถ GT ที่ผมลองเมื่อวานใส่บันไดธรรมดา วางเท้าแล้วไม่นิ่งเลย บางจังหวะส้นเท้าซ้ายไปชนกับ Chain Stay แถมเป็นอยู่หลายครั้งอีกด้วย
   อาการนั่งแล้วก้นเลื่อนตำแหน่งลดน้อยลง แต่ยังคงมีบ้าง ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับกางเกงด้วยไหม เพราะวันนี้ใส่กางเกงวอร์ม มันเป็นผ้าสองชั้น ด้านนอกเป็นผ้าร่ม ด้านในเป็นคล้ายผ้าซับใน ใส่สบายดีเหมือนกัน เหงื่อออกชุ่ม ก็ยังไม่รู้สึกรำคาญ แต่ผ้ามันกันน้ำออกได้ดีเหลือเกิน ถึงบ้านถอดแล้วรู้สึกเย็นโล่งเลย
   ยืดเส้นทั่วตัวเสร็จแล้วนอนแช่น้ำในอ่างอย่างสบายกาย อยากรู้เหมือนกันว่าอ่างแบบจากุซี่จะให้อารมณ์ประมาณใด ไม่เคยมี ไม่เคยแช่ แต่ก็ไม่อยากได้ แค่อยากรู้เฉยๆ นอนยกขาสูงๆ แช่น้ำแล้วสบายดีเหลือเกิน
   ระยะนี้ออกกำลังสม่ำเสมอ น้ำหนักค่อยๆ ลดลงทีละนิด รู้สึกดีใจจริงๆ เอาชุดสูทเก่าๆ สมัยหนุ่มๆ มาใส่ได้พอดีเป๊ะ โชคดีที่ปัจจุบันนี้ไม่ต้องสวมชุดพวกนี้แล้ว รู้สึกสบายดีเหลือเกิน
i drive / i race / i test / I drift
I row / I run / I fun / I ride

Offline O'Pern

  • fear is a mind killer
  • Administrator
  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 7411
  • don't let your fear stand in the way of your dream
    • racing club
Re: O'Pern Bike Diary กพ 52
« Reply #9 on: February 28, 2009, 01:48:35 pm »
27 กพ 52
   เมื่อวานทานมื้อเย็นแล้วรู้สึกแปลกๆ เพราะปกติไม่ค่อยได้ทานอะไร จะว่าไปแล้วผมทานหนักมื้อเช้า และสายๆ ช่วงบ่ายมักเป็นแค่ผลไม้ เย็นไม่ค่อยทาน
   นอนหลับสบายดีจนถึงเช้า เอารถคันที่ขี่สบายสุดออกไปลอง คันนี้ผมไม่เคยเอ่ยถึงเลย เป็นรถแบบ Semi Recumbent ของ Giant รุ่น Revive DX ปี 06 เป็นรถที่ออกแบบมาให้นั่งปั่นได้สบาย ประธานกรรมการของบริษัท Giant ที่ไต้หวันก็ใช้รุ่นเดียวกันกับผมนี่แหละครับ
   คันนี้ผมซื้อมาให้พ่อขี่ ตอนนั้นพ่อปีนต้นไม้สูง 2 เมตร แล้วตกลงมากระดูกสันหลังทรุด โชคดีไม่หัก พักฟื้นสามเดือนก็เดินได้ตามปกติ ปัจจุบันยังคงวิ่งวันละ 3 กม ที่สวนสาธารณะใกล้บ้านทุกเช้า
   รถคันนี้นั่งขี่สบายดีเหลือเกิน เป็นการนั่งลงไบบนเบาะทั้งก้น แถมมีพนักพิงหลังมาให้อีกด้วย แฮนด์ก็ปรับได้อย่างอิสระเลย สบายสุดๆ แล้ว
   ข้อเสียก็คือหนัก และจากท่าปั่นที่กึ่งๆ เอนนอน ทำให้ออกแรงกดบันไดได้ไม่หนักเท่าท่านั่งของรถ MTB พวกนั้นเขาใช้ย่ำลงตรงๆ ได้เลย แต่ของเรานี้ต้องเหยียบแบบยื่ดไปข้างหน้าหน่อย
   รถแบบนี้เหมาะกับผู้สูงอายุ ผู้มีปัญหาเรื่องสันหลัง ผู้ป่วยพักฟื้น คนอ้วน คนน้ำหนักตัวมากๆ หรือคนทั่วไปก็ขี่ได้ ผมขี่แล้วยังชอบใจเลย ผู้ปั่นจักรยานไม่ค่อยคล่องก็ใช้งานได้ดีครับ เพราะเซ็ทรถแล้วเท้าสามารถเหยียบพื้นได้สบายเลย
   อ้อ รถคันนี้เป็นคันสุดท้ายของ Revive DX แล้วนะครับ รถปี 06 เป็นปีสุดท้ายที่ผลิตออกมา ปัจจุบันเลิกทำแล้ว กลายเป็นว่าผมได้เก็บรถสะสมโดยบังเอิญ
   รหัสตามท้ายว่า DX นั่นคือรุ่น Top ของ Revive ครับ คันนี้พิเศษด้วยการใช้เกียร์ดุมของ Shimano Nexus 7 Sp ใช้เบรกดุมแบบมีจานระบายความร้อนของ Shimano มีฝาครอบล้อแบบ Aero มีมาตรวัดฝังมาให้ในคอแฮนด์ เท่ที่สุดคงเป็นบังโซ่ที่เก็บโซ่เสียเนี๊ยบ ขับไปไหนคนก็ถามว่าใช้ไฟฟ้าหรือเปล่า มีช้อคฯแบบปรับแข็งอ่อนได้ มีสปริงปรับ Preload ได้ พร้อมยางกันฝุ่นหุ้มปิดทับช้อคฯและสปริงแบบ Coil Over อีกที
   ส่วน Revive รุ่นธรรมดาจะใช้เกียร์แบบตีนผี ไม่มีบังโซ่ ใช้เบรกแบบ V ไม่มีฝาครอบล้อ ไม่มีมาตรวัด ไม่มียางกันฝุ่นช้อคฯ
   เนื่องจากรถมันหนัก อัตราเร่งแย่ ใช้เส้นทางเดิมๆ ตอนเช้า 11 กม ทำเวลาไป 45 นาที แต่ถ้าไม่คิดอะไรมาก คิดว่าออกกำลังกายก็จะเป็นข้อดี เพราะได้ออกแรงเยอะมากๆ กว่ารถทุกคันที่ผมมี แถมนั่งสบายไม่เจ็บก้นเลยแม้แต่น้อย
   เรียกว่า หากอยากออกแรงเยอะๆ ในเวลาจำกัด ก็เอาคันนี้ออกปั่นได้เลย
i drive / i race / i test / I drift
I row / I run / I fun / I ride

Offline O'Pern

  • fear is a mind killer
  • Administrator
  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 7411
  • don't let your fear stand in the way of your dream
    • racing club
Re: O'Pern Bike Diary กพ 52
« Reply #10 on: March 01, 2009, 02:56:40 pm »
28 ก.พ. 52
   วันนี้วันเสาร์ เป็นวันแข่งงาน Adventure ที่เมืองกาญจน์ น่าเสียดายจริงๆ ที่สมัครไม่ทัน นี่ถ้าเขามีรุ่นแข่งเดี่ยวผมจะไม่พลาดเลย แม้จะรู้ว่าไม่ชนะก็เถอะ ความสุขของผมคือการได้เข้าร่วมงานเท่านั้นเอง ผมไปแต่ละที่ก็เพื่อสู้กับตัวเอง สู้กับขีดจำกัดความสามารถของตัวเอง
   งานแข่งพวกนี้มันสนุกตั้งแต่ตอนคิดแล้วครับ แล้วก็ตอนวางแผนฝึกซ้อม การออกกำลังกาย เรื่องอาหาร เรื่องการดูแลกล้ามเนื้อ การบริหารร่างกาย หากผมจะลงแข่งสักงาน ก็จะต้องเตรียมความพร้อมให้แก่ร่างกายกันเป็นเดือนเลยทีเดียว
   แม้จะไม่ชนะ แต่ผลจากการที่เราเตรียมตัวก็ทำให้ร่างกายเราดูดีขึ้น เราแข็งแรงขึ้น สุขภาพกายและใจดีขึ้น
   เช้านี้ผมออกปั่นจักยานคัน F20-W ตั้งแต่ 0530 บ้านผมอยู่ชานเมือง รถเลยไม่พลุกพล่าน ยิ่งวันหยุดนี้สบายไปเลย รถน้อยดีเหลือเกิน เช้านี้ปั่นเส้นทางใหม่ ไปทางตลาดสินทวี และวกวนในซอยแถวนั้นที่เมื่อก่อนเป็นสวน แต่ตอนนี้เริ่มมีหมู่บ้านทะยอยกันผุดขึ้นทีละแห่งสองแห่ง
   ถึงบ้านอีกที 7 โมง ปั่นไปเกือบ 20 กม ขนาดแดดไม่ออก เหงื่อยักซ่กขนาดนี้เชียว ถอดเสื้อ ยืดเส้นสักพักก็ทานอาหารเช้าเป็นผัดสารพัดผัก และไข่เจียว ไม่มีข้าวครับ วันไหนไม่ได้ออกกำลังกายหนักๆ ผมจะลดคาร์โบไฮเดรตเท่าที่จะทำได้ แต่พอไปงานเลี้ยงทีไร ทนไม่ไหวทุกที กลับมาก็้ต้องไล่ลดพุงกันใหม่หมด
   วันนี้มิวหยุด ผมอยู่กับเขาทั้งวัน อยู่ว่างๆ ไม่ได้ออกกำลังกาย ทำไมมันชอบหิวอยากกินโน่นกินนี่ก็ไม่รู้ สงสัยต่อมอิ่มอักเสบ ผิดกับตอนออกกำลังกาย ที่ผมมักจะไม่ค่อยอยากกินอะไรเท่าไหร่เลย
   ช่วงนี้ไม่ค่อยมีเป้าหมายอะไรให้ท้าทายเลย จะมีก็ไปตอนเดือนเมษายนเลย ช่วงสงกรานต์ ผมจะไปเกาะช้าง นำจักรยานไปด้วย จะได้ปั่นเล่นบนเกาะ แต่ไม่รู้จะทำได้มากน้อยเพียงใด เพราะถนนบนเกาะก็แสนจะคับแคบ แถมมีเนินชันหลายจุด
   ขากลับจากเกาะช้าง ผ่านจันทบุรี ผมอยากปั่นขึ้นเขาคิชกูฏดูสักครั้ง คงให้เชอรี่กับมิวไปนั่งรอที่น้ำตก ขอเวลาผมท้าท้ายกับร่างกายตัวเองสักนิด
   ขณะปั่นจักรยานเมื่อเช้า ผมโยกแฮนด์แล้วได้ยินเสียงแต๊กๆ เบาๆ หลายครั้ง รู้สึกเหมือนอาการนอทคลาย แต่เมื่อวานซืนก็ไล่ไขนอทบริเวณ Stem ครบหมดทุกจุดแล้วนี่นา เอ๊ะ หรือว่าผมไขตัวปลดท่อคอไม่แน่น.. แต่ก็ไม่ใช่ เช็คดูแล้วก็แน่นหนาดี
   มาไล่กวดนอททั้งหมดดูอีกรอบ กลายเป็นตัวมีนอทตัวหนึ่งที่คลายออกมานิดหน่อย คือนอท Stem ตัวที่มันปรับองศาได้นี่แหละ โชคดีมันไม่มาคลายตอนปั่นขึ้นอินทนนท์
   ปั่นรถทัวริ่งทางเรียบนานๆ ตอนนี้ชักอยากได้ Stem แบบมีช้อคฯ มาลองบ้างเสียแล้ว เจอทางขรุขระคงจะสบายมือสบายแขนขึ้นมาหน่อย ที่จริงอยากได้หลักอานมีช้อคฯด้วยนะ แต่กลัวนั่งแล้วมันยุบหรือเปล่าก็ไม่รู้ มีระบบการปรับ Preload ด้วยไหมก็ไม่รู้
i drive / i race / i test / I drift
I row / I run / I fun / I ride