racing-club.net

Bike Forum => my bike diary / my life diary => Topic started by: O'Pern on March 01, 2010, 05:16:13 pm

Title: มีค 53 / 26 - 1 Moscow & Saint Petersburg - Russia
Post by: O'Pern on March 01, 2010, 05:16:13 pm
1 มีค 53
   “แม่ครับ แม่เดินหน้าห้องผม แม่ระวังงูเขียวตัวเล็กๆ ด้วยนะครับ มันชอบนอนอยู่บนแนวรั้ว”
   “อ๋อ พิกุลจัดการมันไปเรียบร้อยแล้วล่ะ”
   “  . . . . . . . . . . . . .”
   
   อ้าว งงเลยครับ มันอยู่ของมันดีๆ ไปฆ่ามันทำไมเล่า ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต กรรมทางศาสนาพุทธเราจะตอบสนองให้เราเจ็บป่วยบ่อยครับ จะหนักขนาดไหนก็แล้วแต่ว่าคุณไปฆ่าเขาบ่อยแค่ไหน

   ช็อคครับ รู้สึกสงสารงูน้อยขึ้นมาอย่างจับใจ สัณชาติญาณคนแท้ๆ ที่คิดไปเองว่าคนอื่นเขาจะทำร้ายเรา ก็เลยต้องทำร้ายคนอื่นเขาก่อน
   
   วันนี้วันหยุดชดเชยวันมาฆะบูชา ลูกผมอยู่บ้าน
   “พ่อ กลับมาบ้านเร็วๆ หน่อยนะ”
   “พ่อ ซื้อพิซ่ามาฝากมิวด้วยนะ”
   “พิซซ่ามีไขมันเยอะลูก พ่อซื้อไก่ KFC แทนได้ไหม”
   “ก็ได้”
   ผมแวะซื้อไก่กลับบ้าน กะว่าจะไปกินกับลูก ซื้อมา 3 ชิ้น ลูกผมกิน 2 ที่เหลือเป็นของผม พร้อมกับสลัดทูน่าอีกคนละถ้วย
   กลับมาบ้านไม่เจอลูก แม่บ้านบอกว่ามิวไปวิ่งเล่นอยู่บ้านเพื่อน (บ้านอยู่เยื้องกันนิดเดียว เขาเล่นกันตั้งแต่เด็ก) มิวไปกินข้าวกลางวันกับเพื่อนเรียบร้อยแล้ว
   อ้าว ว้า อุตส่าห์ซื้อมาเผื่อ แต่อีกสักพักดีใจ จะได้กินไก่คนเดียว ฮ่าๆ หิวมาตั้งแต่เช้า มื้อเช้าผมกินนิดเดียวเอง
   เอากระเป๋าไปเก็บบนห้อง เปลี่ยนกางเกงขาสั้นลงมา จัดจานและอุปกรณ์เตรียมกิน เปิดแอร์ในห้องรออย่างดี สักพักมิววิ่งกระหืดกระหอบกลับมาบ้าน
   “พ่อ ไหนไก่ล่ะ”
   ผมชี้ไปที่ถุง มิวคว้าถุงทั้งใบรีบวิ่งกลับไปบ้านเพื่อน ผมตะโกนไล่หลัง
   “มิวๆ จะไปไหน”
   “มิวเอาไปฝากพี่ข้าว พี่ไม้”
   อืมม ลูกผมมีน้ำใจดีครับ ก็ดีใจ แต่ผมนี่สิ โดนตัดหน้าแบบจะจะ ยิ่งกำลังหิวอยู่ด้วย เซ็งสัตว์เลย โดนลูกลักไก่
   เดินคอตกเอาจาน ช้อน ส้อมไปเก็บ หยิบน้ำเปล่ากระดกซดลูบท้องแทน
   
   ตกลงเรื่องตกแต่งห้องคอนโดผมลงตัวเรียบร้อยแล้วครับ ตอนนี้หาข้อมูลพวกของจุกจิกที่จะใช้ในห้องต่อ เช่นทีวี โซฟา ต้นไม้ที่ต้องอึดทน และสุดท้ายคือจักรยานมินิแบบ Fixed ไม่รู้ว่าจะหาได้จากไหนเลยนะครับนี่ 
Title: Re: มีค 53
Post by: O'Pern on March 02, 2010, 06:30:05 pm
2 มีค 53
   วันแรกของการหยุดยาว รถติดหนักเป็นธรรมดา แต่แถวบ้านผม ถนนพระราม 2 มันไม่ธรรมดาครับ
   เมื่อตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นมา ทางด่วนเขาเปิดช่องบริการแบบ Easy Pass คือเป็นเหมือนบัตรเติมเงิน เอาไปติดที่กระจกหน้า จะผ่านช่องเก็บเงินได้แบบอัตโนมัติ ผ่านปุ๊บตัวเซนเซอร์ก็จะรับทราบและตัดเงินพร้อมโชว์ตัวเลขเงินที่เหลือในบัตรให้เราดูด้วย ฟังดูดี และน่าจะรวดเร็วใช่ไหมครับ
   ทั่วโลกเขาใช้กันแล้วดี แต่อะไรก็เกิดได้ที่เมืองไทยครับ
   แม่งช้าสัตว์ครับ ขับรถเข้าไปแล้วไม้กั้นก็ไม่ยอมยก ต้องถอยไปถอยมา บางคันโยกอยู่ 3 ครั้งถึงจะผ่านได้ ลองนึกภาพว่าคุณกำลังขับรถตามมาติดๆ สิ การถอยหลังสักคันหนึ่ง มันทำให้รถคันหลังๆ เขาต้องถอยไปด้วย จะมีคันหลังๆ หน่อยที่พอจะมองออก เลยเว้นช่องว่างไว้
   ผ่านได้แล้วยังไม่พอครับ มันยังตัดเงินเกินอีกด้วย เอาล่ะสิ แล้วจะไปทวงถามกับใครล่ะ ไม่มีใครให้อยู่พูดคุยด้วยสักคน ตอนเช้าๆ เร่งรีบกันทุกคนอีกด้วย สุดท้ายก็เหมือนถูกกินเปล่าไปฟรีๆ
   ด่านพระราม 2 เขาเปิดช่อง Easy Pass นี้ถึง 2 ช่องทาง ทำให้ไอ้ช่องนี้แหละครับ ที่เป็นตัวต้นเหตุทำรถติด ทำให้ท้ายแถวของด่านพระราม 2 ท้ายแถวยาวไม่ต่ำกว่า 5 กม เป็นแบบนี้ทุกวัน ทุกเช้า ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นมาจนถึงทุกวันนี้ !!! และจะต้องเป็นเช่นนี้อีกต่อไป
   ต้องด่าว่า ไอ้ไทยเอ๊ยยย
   
   เมื่อวานผมไปซื้อรองเท้าคู่ใหม่ เป็นรองเท้าใส่ทั่วไป ไม่ใช่รองเท้าจักรยาน ผมลืมเล่า เลยมาเล่าวันนี้
   เป็นรองเท้าแบบ Casual ไทยเรียก คัทชู (ทำยังกะสมัย ร 5) เป็นยี่ห้อของไทย ชื่อ Pan เล็งมา 2 ปีกว่า เปิดตัวราคา 2250 บาท ตอนนี้เขาลด 50% ลองสวมดูแล้วถูกใจ เลยเลือกได้มา 1 คู่
   ไม่ได้มาเล่าอวดว่ามีรองเท้าใหม่ แต่จะมาบอกวิธีการเลือกรองเท้าของผม
   การเลือกขนาดของรองเท้า ผมจะไม่เลือกแบบพอดีเสมอไป บางคู่ผมเลือกให้ใหญ่ไว้นิดหน่อย (ใหญ่กว่าเดิมสักครึ่งเบอร์) บางคู่เลือกแบบพอดี แล้วแต่กิจกรรมหลักที่เราจะใช้กับรองเท้าคู่นั้น แต่ไม่ควรเลือกแบบคับหรือพอดีเอามากๆ
   เลือกรองเท้าตอนบ่าย ใครๆ ก็รู้ เพราะเท้าเราเดินมาตลอดวันแล้ว เท้ามันขยายตัวเรียบร้อยแล้ว แต่ผมจะใส่รองเท้าคู่ที่เราชอบที่สุดไป เพราะจะได้เทียบกันแบบจะจะว่าคู่ใหม่จะดีทัดเทียมของเก่าที่ว่าเจ๋งๆ ของเราไหม
   หากเป็นรองเท้าที่ใช้เดิน หรือใส่แล้วต้องออกนอกบ้านทั้งวัน แบบนี้ผมเลือกใหญ่กว่าเดิมสักครึ่งเบอร์ กิจกรรมก็เช่นตอนไปต่างประเทศ ผมจะต้องเจอกับอะไรบ้างก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ คือเดินทางบ่อย ขึ้นรถ ลงเรือ และเดินเท้า ดึกๆ ยังมีออกช้อปปิ้งแถม การเลือกรองเท้าหลวมทำให้เท้าขยายได้อย่างอิสระ หรือถ้าซื้อมาแล้วดันไม่ชอบใส่หลวม ก็สามารถใส่ถุงเท้าหนาช่วยได้ หรือถ้ายังไม่พอ ก็สามารถหาแผ่นรองด้านในมาเสริมได้
   แผ่นรองนี้มีประโยชน์มาก ช่วยดูดซับเหงื่อได้ดี ใช้ไปนานๆ ก็เปลี่ยนแผ่นรองนี้ได้ง่ายดายมาก แผ่นรองนี้มีหลายแบบนะ เป็นฟองน้ำก็มี เป็นแบบปั๊มขึ้นรูปก็มี ผมใช้ทั้ง 2 แบบ แล้วแต่ลักษณะรองเท้าและกิจกรรม ถ้าเดินหนักๆ ก็ใช้แบบฟองน้ำก็ดีครับ ถอดมาซักล้างได้ ใส่แล้วอย่าลืมถอดมาบ้างก็แล้วกัน
   แต่ถ้าเป็นกิจกรรมที่ไม่ต้องเหยียบลงบนรองเท้าตลอดเวลา เช่นนั่งทำงานประจำ นั่งประชุม นั่งสัมนา นั่งเครื่องบิน หรือเดินไม่มาก แบบนี้เลือกรองเท้าแบบพอดีเท้าได้ครับ
   
   กลางวันเข้าไปที่ไอวี่ (ชื่อคอนโด) เข้าไปดูห้องครั้งสุดท้ายก่อนลงมือตกแต่ง พบว่าหลายจุดที่ผมออกแบบมันต้องปรับแต่งอีกรอบ เลยรีบโทรบอกช่างถึงปัญหา และให้เขาลองเขียนแบบ 3D มาดูกันก่อน
   เดินไปชมห้อง Fitness สวย ถูกใจมากครับ มีเครื่องเล่นมากมาย แต่ยังไม่เคยใช้บริการสักที อีกไม่นานล่ะ เจอกันแน่
   
   เออ เมื่อคืนผมเจองูตัวเก่า มันยังอยู่ที่เดิมเลย ตาไม่ฝาดแน่ๆ
   มันยังไม่ตาย เย้ๆ ๆ ๆ ๆ

   ตอนเย็นไปรับลูกที่โรงเรียน เขาเดินออกมาพร้อมกับถุงผักในมือ เป็นผักที่เขาปลูกเองจากแปลง เขาบอกผมให้นำมาทำอาหารกินได้ ไร้สารพิษเชียวนะ
   
   ราว 0620 ผมออกไปรดน้ำต้นไม้ สอดสายตามมองหางูเขียวที่รัก ไม่เห็นจะเจอตัว สงสัยยังไม่มืดพอ
Title: Re: มีค 53
Post by: O'Pern on March 03, 2010, 06:36:23 pm
3 มีค 53
   เช้านี้ลูกผมสอบ NT ไม่รู้แปลว่าอะไร แต่เป็นการสอบวัดผลของกระทรวงศึกษาธิการ ลูกผมเรียนโรงเรียนเอกชน แต่ไม่ได้เป็นแบบโรงเรียนหรูหราชื่อดัง เป็นโรงเรียนเล็กๆ แถวบ้าน สอนแบบบูรณาการ คือรวมหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างเอาไว้ในขั้นตอนเดียว มีห้องละ 25 คน ต่อครู 2 คน
   เรียนกันแบบสบายๆ ไม่เร่งรีบ ไม่เร่งรัดเด็ก การบ้านน้อยมากๆ บางวันก็ไม่มี แต่งชุดแบบฟอร์มก็จริง แต่เป็นชุดแบบสบายๆ ไว้ผมได้ตามสบาย ขอแค่อย่าให้รุงรัง
   เด็กที่เรียนสไตล์นี้จะอ่านออกเขียนได้ช้ากว่าพวกที่เรียนแบบเร่งเรียนครับ แต่ข้อดีของเด็กแนวนี้คือเขาจะมีความสุขมากๆ หน้าตายิ้มแย้มสดชื่นกันทุกคน ตกเย็นพ่อแม่มารับก็ไม่ค่อยอยากจะกลับบ้านกัน อยู่เล่นกันจนเย็นมืด ลูกผมก็เป็นครับ
   “มิว กลับบ้านได้แล้วลูก มืดแล้ว โรงเรียนเปิดไฟแล้ว”
   “ยังๆ มิวจะอยู่เป็นเพื่อนน้องคนนั้น” พูดพร้อมกับชี้ไปที่เด็กคนหนึ่ง นั่งเล่นอยู่คนเดียว ยังไม่มีใครมารับเลย
   ผมปล่อยลูกตามสบายครับ เรียนเก่งหรือไม่ผมเฉยๆ ผมอยากให้ลูกมีความคิดและจิตนาการมากๆ และที่สำคัญสุดก็คือ ผมอยากให้เขารู้ว่าตัวเองต้องการอะไรในชีวิต
   ผมมารู้ว่าตัวเองต้องการอะไรในชีวิตเอาตอนอายุ 20 กว่าๆ พอนึกได้ผมก็รู้ทิศทางที่จะเดินทันที มันเหมือนมีเข็มทิศขึ้นมาในสมอง ไม่ได้เป็นเหมือนเข็มชี้ทางนะ แต่เป็นเหมือนพลังสนามแม่เหล็กดึงดูดเราเข้าไปเองเลยล่ะ
   ใช่แล้วครับ ผมชอบรถยนต์ พอรู้ว่าตัวเองชอบก็หวนคิดถึงเรื่องสมัยเด็กตอนที่ผมเห็นท้ายรถคันหน้าบนถนน ผมก็สามารถบอกยี่ห้อ รุ่น ได้หมดทุกคั้น ซึ่งตอนนั้นผมยังไม่ได้เข้าโรงเรียนเลย แค่พอพูดได้ ผมก็รู้เรื่องรถยนต์แล้ว
   อันนี้แม่ผมบอกครับ ผมเองไม่รู้เรื่องอะไรหรอก แต่ที่บ้านฐานะไม่ดี ไม่มีบ้านไหนสนับสนุนให้ลูกเล่นรถหรอกครับ เลยต้องแอบเล่นเอง ศึกษาเอง คิผมคิดค้นหาวิธีขับเอง จนกระทั่งเป็นดริฟท์อย่างที่เห็นฮิตๆ กันในปัจจุบัน แต่ดริฟท์ของผมมันไม่เหมือนที่วัยรุ่นเขาขับกันทุกวันนี้นะ ของผมเกิดจากการขับเร็วมากๆ จนมันไถล คือดริฟท์แล้วต้องเร็ว ดริฟท์แล้วช้า จะไปดริฟท์ทำไมวะ ผมงง
   ส่วนลูกผมเขาบอกว่าเขาชอบเครื่องบินครับ เขาอยากเป็นนักบิน อยากเป็นกัปตันเครื่องบินโดยสาร ได้ยินแล้วก็ต้องคอยหมั่นทบทวนความคิดเขาอยู่เสมอ ดูว่าเขายังชอบอยากเป็นกัปตันอยู่ไหม ผมจะได้ช่วยผลักดันให้เขาตามหาฝันอีกแรง
   ผมไต่ตามหาความฝันด้วยตัวเองคนเดียวครับ ไม่มีใครสนับสนุนสักคน จึงรู้ว่ามันแสนจะลำบาก ฉะนั้น หากสิ่งใดที่ผมพอจะช่วยลูกได้ ผมยินดีทำอย่างสุดความสามารถ
   ผมเล่นรถมาในสายของนักทดสอบ สั่งสมความรู้มาระดับหนึ่ง จึงเขียนบทความให้กับนิตยสารรถยนต์หลายเล่ม จนสุดท้ายตกผลึกก็มาทำนิตยสารเอง (แต่ตอนนี้หยุดพักการผลิตไปนานแล้ว) ส่วนรถยนต์แรกๆ ก็ขับด้วยทุนตัวเอง จนกระทั่งมีสปอนเซอร์มาสนับสนุน ผมว่าเป็นจุดสูงสุดของมือใหม่โนเนมที่ไต่เต้ามาด้วยตัวเองแล้วล่ะ ฝันของผมยังไม่จบเท่านั้น ยังอีกไกลแสนไกล แต่ต้องพักไว้ก่อน ตอนนี้ชีวิตมีแต่เรื่องลูก
   ฝันของเขาสำคัญกว่าฝันของผมครับ
Title: Re: มีค 53
Post by: O'Pern on March 04, 2010, 08:50:22 pm
4 มีค 53
   เมื่อคืนออกไปดูงูน้อย เจอครับ มันจะมาตอนมืดๆ หน่อย แค่เห็นว่ามันยังอยู่ดีสบายดีก็โอเคแล้วล่ะครับ ผมมองหามันทุกวัน มันจะจำหน้าผมได้หรือเปล่าก็ไม่รู้

   ช่วงนี้หาข้อมูลของจักรยานแบบ Fixed ผมเคยขี่ตอนหนุ่มๆ ครับ แต่เป็นแบบเสือหมอบสเตอร์ริง นานกว่า 30 ปีมาแล้ว จำความรู้สึกไม่ได้แล้วล่ะ แต่ที่คิดว่าจะเล่นแนวนี้เพราะจะเอามาแต่งห้องที่คอนโดด้วย รถมันโล่งๆ เกลี้ยงๆ แถมสีสันของมันช่างเร้าใจเหลือเกิน ผมคงจะเอาแนวโทนสีขาว
   เจอร้านหนึ่งชื่อ Big Brother เขาว่าอยู่แถววงเวียนใหญ่ ผมหาข้อมูลก็ไม่รู้ทำเลที่ตั้ง ไม่งั้นจะแวะไปชมสักหน่อย เพราะผมผ่านประจำ แถมถ้าได้ลองขี่ จะยิ่งได้รู้ว่าเราพอจะเอาอยู่หรือไม่
   ตอนนี้เทใจไปที่รถ Fixed แบบ Mini เพราะเอามาวางขวางจะเต็มพื้นที่หน้าประตู แต่ถ้าใช้รถที่ยาวกว่านี้ซึ่งอาจจะเป็นแบบล้อ 26 (ไม่รู้จะมีแบบ Fixed หรือไม่) ก็จะต้องวางจักรยานแนวตั้ง เอาล้อแนบกำแพงแบบที่เห็นกันทั่วไป
   แต่ก็อีกนั่นแหละนะ ผมเป็นคนตัดสินใจช้า เผลอๆ หากได้ลองขี่แล้วอาจไม่ชอบนี้ ก็คงเกลียดรถแบบนี้กันไปข้างหนึ่งเลย ก็เพราะการที่บันไดมันหมุนตลอดเวลามันมีข้อจำกันเยอะมากน่ะครับ เช่น
-   ขี่ขึ้นเนินขึ้นทางชันลำบาก เพราะไม่มีเกียร์
-   ขี่ลงเขาแสนจะยาก เพราะปล่อยฟรีไม่ได้ ลงเร็วๆ คงต้องชักขาออก
-   ขี่ทางแคบๆ ซิกแซกยากมาก บางครั้งเราต้องปล่อยฟรีแล้วบิดเอวบาลานซ์รถ แต่รถแบบนี้มันทำไม่ได้
-   ขี่ชิดขอบทางเท้ามากๆ ก็ไม่ได้ บันไดมันจะหมุนตีกับฟุตบาท อันนี้จะกลิ้งได้ง่ายมาก
-   ส่วนใหญ่เป็นล้อขนาด 700 ซึ่งไม่ค่อยจะเหมาะผม และคนที่ตัวไม่สูงมาก 
มีข้อเสีย ก็มีข้อดีครับ ที่เด่นๆ แล้วผมชอบก็คือมันทรงตัวทำ Track Stand ได้ง่าย ขี่ถอยหลังก็ยังได้ ชอบอีกอย่างคือรถมันโล่งๆ ดี
   
   กลางวันผมไปประชุมแถวสุขุมวิท ปกติจะขี่จักรยานไป แต่วันนี้อากาศร้อนจัด เลยไปรถไฟฟ้าใต้ดินแทน
   ขากลับไปรับลูกที่โรงเรียนแล้วพาไปออกกำลังกายที่ห้อง Fitness ของคอนโด แถมด้วยว่ายน้ำต่อ เล่นกันจนเพลียทั้งพ่อทั้งลูก ขากลับชวนกันไปกินสุกี้ MK
   สงสัยคืนนี้คงจะหลับสบายแน่ๆ
Title: Re: มีค 53
Post by: O'Pern on March 05, 2010, 07:58:32 pm
5 มีค 53
   อ้อ เมื่อวานผมช่วยเหลือนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นคนหนึ่ง เจอกันในรถไฟใต้ดิน ผมเห็นเขาตรงทางออก กำลังยืนเก้ๆ กังๆ ยืนดูแผนที่ คนผ่านไปผ่านมาก็ไม่มีใครสนใจ ของถนัดผมเลยสิครับแบบนี้
   “มีอะไรให้ช่วยไหมครับ” ผมพูดเป็นภาษาอังกฤษนะ เขาเงยหน้าขึ้นมาตอบ
   “Yes”  “This” พูดพร้อมกับชี้นิ้วลงบนแผนที่
   เขาถามหาทางเชื่อมต่อไปยังรถไฟฟ้า BTS น่ะครับ ต้องอธิบายนิดหน่อย เพราะรถไฟ MRT ของสถานีนี้มันชื่อสุขุมวิท แต่ไอ้สถานีเดียวกันนี้แหละ ของ BTS เขาจะชื่อสถานีอโศก เจ๋งไหมเล่าพี่น้อง ไทยเราถนัดทำเรื่องง่ายๆ ให้เป็นเรื่องยาก สถานี้เดียวกันแท้ๆ จุดเดียวกันเป๊ะ เดินเชื่อมถึงกันได้ แต่ดันไปเรียกกันคนละชื่อ
   โธ่ ไอ้ไทยเอ๊ยย
   “ตามผมมาครับ”
   “Thank You” เขาพูดพร้อมกับเก็บแผนที่และเดินตามผมมา ระหว่างทางเดินต้องผ่านทางเข้าเล็กๆ ชื่อ Metro Mall ก็เป็นจุดขายของเล็กๆ น้อยๆ แหละ แต่มันอาจทำให้คนไม่คุ้นเคยหลงทางเดินเข้าไปได้ง่าย เพราะคิดว่าเป็นทางเชื่อมกับ BTS ไง แต่มันไม่ใช่ เราต้องเดินผ่านไปจนกระทั่งถึงทางออกบนถนนใหญ่เลย นั่นแหละถึงจะเจอบันไดเลื่อนขึ้นไปเชื่อมต่อ BTS
   “ขึ้นบันไดนี้ไปก็จะเป็นรถไฟฟ้าครับ” ผมตอบพร้อมกับชี้นิ้ว
   “Thank You Thank You”
   “ยินดีเสมอครับ” ผมพูดตอบพร้อมกับส่งยิ้มอย่างจริงจัง และเดินลุยฝ่าแดดตอนกลางวันต่อไป

   ที่เล่ามาก็เพราะอยากให้คนไทยเราช่วยเหลือนักท่องเที่ยวกันมากๆ ครับ แม้จะพูดภาษาอังกฤษไม่เก่งก็ไม่ใช่ปัญหาเลย เขาไม่ได้ถามอะไรเราซับซ้อนหรอก เกือบจะทั้งร้อยก็จะถามทางในแผนที่ เราก็แค่ชี้ และบอกทาง
   ผมเคยเจอแบบเขาจะไปที่ไกลมาก เลยบอกเขาว่าควรนังแท๊กซี่นะ เพราะไม่อยากให้เขาเอาชีวิตมาเสี่ยงกับรถเมล์ไทย ไม่ใช่แค่พนักงานขับรถหวาดเสียวนะ เกิดมันไปผ่านเอาโรงเรียนช่างกล แล้วมันวิ่งขึ้นมายิงกัน แทงกันบนรถ อะไรจะเกิดขึ้น ไม่อยากตามแก้ปัญหา ไม่อยากให้เขามาเห็นสิ่งที่ไม่ควรแม้กระทั่งรับรู้
   ผมเคยยืนดูฝรั่งเรียกสามล้อ สถานที่ก็ไม่ได้ไกลเล้ยย จากแถวปากคลองตลาดไปสนามหลวงเรียกฝรั่งไปตั้งร้อยบาท เว่อร์ดีไหม เล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ก็ยังไปโกงเขาได้
   แท๊กซี่ก็พอกันครับ ทางใกล้ๆ ก็สามารถทำให้มันไกลได้ ขับมันวนเล่นซะงั้น เขาคงไม่คิดหรอกมั้งว่ารายได้จากการท่องเที่ยวนั้นมีมูลค่ามหาศาลเพียงใด
   ย้ำอีกครั้งนะครับว่าจุดแข็งของไทยเรานั้นมีหลายเรื่อง และเรื่องการท่องเที่ยวก็เป็นหนึ่งในนั้น
   
   เย็นนี้ลูกผมมีการแสดงละครเวที ปีก่อนๆ ได้เล่นเป็นตัวเอก แต่ปีนี้รู้สึกจะเป็นละครโรงใหญ่ เอานักเรียนทั้งชั้นปีมาเล่นรวมกัน ท่าทางจะฮาไม่น้อย
   เตรียมเทปไปบันทึกภาพเหมือนอย่างเคย ผมเก็บเรื่องราวต่างๆ ไว้ในม้วนเทปเต็มไปหมด รวมของวันนี้ก็หมดไป 14 ม้วนแล้ว เก็บสะสมไปเรื่อยๆ ครับ สักวันหนึ่งเขาโตขึ้น พร้อมจะเข้าใจโลก หากเขามาเห็นตัวเองสมัยเด็กเข้า คงเป็นอีกเรื่องมหัศจรรย์ที่บางคนอาจมองข้าม แต่พ่อธรรมดาๆ คนหนึ่งก็ทำให้ลูกได้โดยไม่ยาก 
   แค่ผมอยากให้สิ่งที่ไม่สามารถซื้อหาด้วยเงินให้เขาน่ะครับ
Title: Re: มีค 53
Post by: O'Pern on March 08, 2010, 02:05:26 pm
6 มีค 53
   มีประชุมเต็มวันยาวเหยียดเช้าจรดค่ำ กลับมาบ้านเอาตอนสี่ทุ่มกว่า ไม่ได้เปิดคอมพิวเตอร์ ไม่ได้เช็คเมลล์เช็คข่าวอะไรเลยสักนิด 
   เป็นอีกวันที่อยู่แต่ในห้องแอร์ พักเบรกก็มีบริการน้ำชากาแฟ และของเติมความอ้วน กลางวันก็กินกันแบบไม่ยั้ง (คนอื่น) แต่ผมต้องยั้ง แต่ก็มีถลำๆ ไปบ้าง เจอโต๊ะบุฟเฟ่ต์แบบหลากหลายทีไรกลับมาบ้านต้องอ้วนทุกที ขนาดลองแค่อย่างละชิ้นเล็กๆ ยังอิ่มแน่นเลย
   ตอนบ่ายมีรุ่นพี่จาก TCHA โทรมาหา
   “คุณเปิ้ล วันนี้ไปดูพลุกันไหม”
   “เบียร์ช้างเขาจัดน่ะ ที่สะพานพระราม8”
   !!! งงล่ะสิ ทำไมข้อมูลมันผิดเพี้ยนไปขนาดนี้
   “เจ๊กครับ งานของเบียร์สิงห์ครับ เขาจัดงานเปิดตัวเบียร์อาซาฮี จุดพลุที่สะพานแขวนครับ”
   “ชมรมเขาไปกันเยอะนะ คุณเปิ้ลไปไหม”
   “ผมไม่สะดวกไปครับ ผมติดประชุมอยู่เลย”
   คุยสักพักก็วางสายไป แต่จะบอกให้ว่าผมโครตจะเสียดายเลย ผมมีกระทั่งบัตรฟรีลงเรือ ล่องจากแถวสะพานซังฮี้มาถึงสะพานแขวน ดูพลุราว 45 นาที แล้วก็ล่องกลับ พร้อมอาหารแบบสุดยอดบนเรือหรู
   อีกทั้งเรือยังผ่านหน้าคอนโดฯ อีกด้วย ผมแค่ยืนอยู่หน้าห้องก็เห็นพลุแบบชัดใสกว่าใคร
   แต่ทั้งหมดนี้มันไม่เกิดขึ้นหรอกนะ ผมไม่ได้ไป
   เซ็งเล็กน้อย
   
7 มีค 53
   อาทิตย์ที่แล้วตั้งใจจะไปไหว้พระที่ศาลเจ้าพ่อเสือแต่คนแน่นมาก เข้าไม่ได้ จอดรถไม่สะดวก แถมมีธุระต่อ วันนี้ของแก้มือครับ ตื่นมันตี 5 เลย ออกจากบ้านตอน 0600 ปรากฎว่าได้ผลครับ คนไม่แน่นเหมือนอาทิตย์ก่อน ก็อาทิตย์ที่แล้วมันตรงกับวันมาฆะบูชานี่นา
   ไปกับภรรยาครับ ลูกไม่ยอมตื่น เลยมากันสองคน ยืนแบบเก้ๆ กังๆ เพราะด้านในมีคนมากันเยอะมากแล้ว ผมทำอะไรไม่ถูก ที่เคยไหว้พระตามปกติก็ไปจัดหาดอกไม้ ธูป เทียน อาจมีทองคำเปลวมาให้ 2-3 ชิ้นเล็กๆ แล้วก็เอาเงินใส่ตู้ตามอัธยาศัย ส่วนใหญ่จะเป็นวัดไทย วัดตามต่างจังหวัด
   แต่นี่ศาลเจ้าพ่อเสือครับ ออกแนวจีนหน่อย เขาไหว้กันไม่เหมือนของวัดไทยเลย แตกต่างกันเยอะมาก ทางเข้าก็เต็มไปด้วยซุ้มขายของไหว้ กระดาษเงินกระดาษทอง ยังมีลูกบอลคริสตัล มีกระจกแปดเหลี่ยม มีรูปปั้นเสือในอิริยาบถต่างๆ มีคนมาเร่ขายปล่อยนก ฯลฯ
   งงครับ ผมไม่ค่อยได้ไปไหว้พระบ่อยนัก แถมยังเจอป้ายเขียนตัวโตๆ เรื่องปีชง ยืนอ่านถึงเข้าใจขั้นตอนต่างๆ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าเราทำถูกต้องหรือไม่อยู่ดีแหละ เลยแอบๆ ยืนดูคนอื่นเขาทำก่อน แต่ก็อีกนั่นแหละ แต่ละคนมากันคนละแนวเลย ไหว้ไม่เหมือนกัน รู้สึกว่าต่างคนต่างทำ ไม่เห็นจะมีใครสนใจใครเลยแม้แต่คนเดียว
   สุดท้ายเลยต้องถามเจ้าหน้าที่ครับ ก็ถามแบบตรงๆ เลยนี่แหละ
   “พี่ครับ เขาไหว้กันอย่างไรหรือครับ”
   “ไหว้ธรรมดา หรือไหว้ปีชง” คนขายหน้าตาออกจีนๆ ถามผมกลับมา
   เฮ้ย มีออปชั่นด้วยเฟ้ย เอาปีชงละกัน ผมปีวอก เขาว่าปีชง
   “ปีชงครับ”
   “เอาชุดนี้ไป 80 บาท” เจ๊หยิบกระดาษเงินกระดาษทอง พร้อมธูปเทียนมา 1 ชุด วางบนถาดแล้วยื่นให้ผม”
   เลยให้เขาจัดมา 2 ชุดครับ สำหรับภรรยาด้วย
   ทำตามขั้นตอนตามป้ายบอก คือไปไหว้ จุดธูป เทียน แต่พอไหว้เสร็จเราต้องหยิบกระดาษเงินกระดาษทองที่พับไว้ เอามาปัดร่างกาย 12 ครั้ง ก็ทำแบบเขินๆ ครับ ไม่คุ้นเลย แต่ก็เห็นหลายคนเขาทำนะ
   สุดท้ายก็เอากระดาษไปเผา เป็นอันเสร็จสิ้นพิธี
   มองหน้ากับภรรยา ถามกันว่าไปไหนต่อดี เขาบอกอยากไปไหว้วัดเล่งเน่ยยี่ เจริญกรุง เยาวราช ได้เลย พี่จัดให้
   ผมเคยไปวัดนี้ครั้งล่าสุดก็เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ผมไปถ่ายทำสารคดีเกี่ยวกับตรุษจีน ผมเฝ้าอยู่ในวัดตั้งแต่ยังไม่เที่ยงคืน ผู้คนต่างมากันคับคั่ง ภายในวัดควันธูปตลบไปหมดจนแสบตา ผมต้องใช้คลานออกมาจากวัดแบบทุลักทุเล พร้อมแบกกล้องตัวโต
   วันนี้ไปที่เดิมอีกครั้ง จำอะไรไม่ค่อยได้หรอกครับ รู้แค่ว่าที่ตั้งและทางเข้าอยู่ถนนเจริญกรุง ไม่รู้ว่าเขาให้จอดรถอยู่ไหม แต่เมื่อก่อนน่ะ จอดฟรี
   มาวันนี้จอดชั่วโมงละ 20 บาท แต่ศาลเจ้าพ่อเสือจอดชั่วโมงละ 30 บาท วัดนี้เป็นวัดจีนขนานแท้ ออกแบบการไหว้ได้ดีมาก มีรายละเอียดเขียนบอกทีละขั้นตอน เรียกว่าถ้าทำอะไรไม่เป็นแค่มายืนอ่านก็รู้เรื่อง
   ชุดไหว้ปีชงของวัดนี้ 100 บาทครับ มาแนวเดียวกันคือกระดาษเงินกระดาษทอง และเทียน (ส่วนธูปหยิบได้ฟรีด้านหน้า / บางคนไหว้แบบอื่น จะใช้ธูป 16 ดอก ไหว้ปีชง ใช้ 3 ดอก)
   ที่วัดนี้เราต้องเขียนวันเดือนปีเกิดใส่กระดาษสีแดงแผ่นใหญ่ เจ้าหน้าที่บอกว่าจะเอาไปทำบุญให้เรา อืมม ดูดีนะ
   ขั้นตอนการไหว้คล้ายๆ กันครับ แต่ที่วัดเล่งเน่ยยี่เราต้องไปไหว้เทพเจ้าแห่งโชคลาภ (มีชื่อจีน ผมกลัวจำผิด เดี๋ยวไม่ดี) ไหว้เสร็จไม่ต้องเผากระดาษ เจ้าหน้าที่จะเอาไปสวดให้เราอีกรอบ ก่อนหน้านั้นมีขั้นตอนเอากระดาษปัดร่างกาย 12 ครั้ง มีการมาไหว้แทนกันด้วยนะ ถ้าไหว้แทนเราไม่ต้องปัดร่างกาย เออ ดีว่ะ มีเผื่อแผ่ด้วย
   ทุกครั้งที่ไหว้พระขอพร ผมมักจะอฐิษฐานด้วยคำพูดแบบเดิมๆ สั้นๆ นั่นคือ “ขอให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมทำลงไป เป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสม” หากจะให้ผมขอ ผมก็จะขอแบบนี้แหละ ไม่เคยขอให้ร่ำรวย ไม่เคยขอให้ประสพความสำเร็จใหญ่โต จะมีเพิ่มอีกข้อก็คือ “ขอให้โลกนี้สงบสุข ไม่มีสงคราม มีแต่สันติสุข คนรวยแบ่งปันให้คนจน”
   จะไหว้วัดไหน เมื่อไหร่ ศาสนาอะไร ผมก็มักจะอฐิษฐานแนวนี้ตลอด ขอแบบนี้มาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว 
   เดินผ่านอีกเคาเตอร์มีพระนั่งอยู่ เขาบริการสวดให้เราตลอดปีเลย มีค่าใช้จ่ายชื่อละ 100 บาท เลยจัดไป 3 ชุด พ่อ แม่ ลูก
   ขากลับออกมาวนผ่านหน้าวัด เจอป้ายมาวางขวาง เขียนว่า “ที่จอดรถเต็ม”
                ดูกันต่อไปครับว่าผมจะมีโชคดีหรือโชคร้ายอะไรกันบ้างหลังจากไปไหว้พระมาแล้ว
Title: Re: มีค 53
Post by: O'Pern on March 08, 2010, 09:07:40 pm
8 มีค 53
   นี่ผมไม่ได้ขี่จักรยานอย่างเป็นทางการมาเป็นเดือนแล้วนะนี่ อาทิตย์หน้ามีทริปของ TCHA เขาจะไปแปดริ้วกัน ระยะทางไปกลับก็้ร้อยกว่าโล พอๆ กับตอนไปทริปบางปะกงนั่นแหละ ปกติผมปั่นได้สบายมากนะ แต่คราวก่อนชล่าใจ ปั่นแบบไม่มีแบบแผน ไม่เป็นระเบียบ ขากลับเลยหมดแรง
   ทริปนี้ต้องวางแผนใหม่ เพราะต้องเจอกับอากาศที่ร้อนจัด แดดแรงแบบสุดยอดอีกด้วย ตกลงว่ามันจะสนุกหรือทรมานก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ยังดีที่ไปกับ TCHA ผมรู้สึกเหมือนไปกับญาติพี่น้อง เจอคนคุ้นหน้าตลอดทริป ไม่ว่าจะปั่นกลุ่มเร็ว หรือกลุ่มช้าก็รู้สึกสนุกเหมือนกัน
   เอาไงดีวะ แทบจะไม่ได้ออกกำลังกายเลย กลัวจะหอบแดดเอาเสียก่อน
   
   เช้านี้เลยเอาจักรยานคัน KHS HT ออกขี่เบาๆ แถวบ้าน ช่วงเช้าอากาศยังไม่ร้อนมากนัก มีลมโชยสบายๆ ขี่แล้วรู้สึกสนุกนะ น่าเสียดายที่ขี่ได้แป๊บเดียวก็ต้องเตรียมตัวไปส่งลูก (ผมปรับเวลาใหม่น่ะครับ เมื่อก่อนจะมีเวลาช่วงเช้ามากกว่านี้ราว 30 นาที)
   ขับรถผ่านคนขี่จักรยาน ผมกดแตรปิ๊นๆ ให้สองที มองดูเขาด้วยความอิจฉาครับ อิจฉาที่เขาได้ขี่จักรยาน จะไปทำงาน ทำธุระอะไรก็สุดแท้แต่ เขาคงไม่รู้หรอกมั้งว่าผมอิจฉา
   “มึงจะบ้าหรอ อิจฉาเขาทำไม จักรยานมึงก็มีตั้งหลายคัน”
   ผมคุย msn กับเพื่อนสนิท ก็โดนเขาด่ากลับมา เป็นการด่าแบบไม่ได้โกรธแค้นอะไรกันหรอกนะ ด่าแบบสนิทสนมมากกว่า
   ใช่ ผมมีจักรยานเหมือนเขา หรืออาจจะดีกว่าเขาอีก แต่ผมไม่มีเวลาเหมือนเขานี่หว่า
   คำว่าไม่มีเวลานี่คนชอบเอามาอ้างตอนที่ตัวเองทำในสิ่งที่ควรทำ แต่ดันไม่ได้ทำ เช่น ไม่มีเวลาออกกำลังกาย ไม่มีเวลานอน ไม่มีเวลาไปเข้าห้องน้ำ บางคนบอกไม่มีเวลากินข้าวอีกด้วย
   ก็เข้าใจว่าทุ่มเทให้กับงานมาก เวลาหมดไปกับการทำงาน ทำภาระกิจต่างๆ
   แบบนี้เจ้านายชอบครับ ทำงานกันแบบถวายหัว ถวายชีวิตให้เลย
   แต่จะดีกว่าไหมครับ ถ้าเราเดินทางสายกลางกัน ถึงเวลางาน เราทำเต็มที่ พอถึงเวลาพัก เราก็พักผ่อนให้เต็มที่บ้างสิ พักผ่อนกาย และอย่าลืมพักผ่อนใจด้วย ไอ้พวกออกไปกินเหล้าตอนกลางคืนแล้วบอกว่าไปพักผ่อนน่ะ ผมไม่เห็นด้วยนะ แบบนั้นเขาเรียกเที่ยวกลางคืน รวมไปถึงพวกอบายมุขอีกรอบด้าน
   การพักผ่อนที่ผมเอ่ยถึงนั้น รวมถึงการทำงานอดิเรกด้วยนะครับ ไม่จำเป็นว่าต้องนอนหลับหรืออยู่นิ่งๆ ใครชอบอะไรก็ว่ากันไป บ้างชอบอ่านหนังสือ บ้างชอบออกกำลังกาย แต่ผู้หญิงบางคนจะชอบช็อปปิ้ง ก็ว่ากันไปครับ กระเป๋าใครกระเป๋ามัน
   
   เย็นไปรับลูกที่โรงเรียน เขามีงานแสดงบนเวทีตอนปิดภาค วันนี้เขาแสดงรำไทย และเล่นดนตรีไทย ผมเอาวีดีโอไปถ่ายเช่นเคย
   ตกเย็นพาลูกไปกินก๋วยเตี๋ยว มิวชอบเย็นตาโฟ ผมชอบก๋วยเตี๋ยวต้มยำ จากนั้นก็เดินเล่นในร้านหนังสือ กลับมาบ้านเอาตอนค่ำ
   หัวค่ำเดินลงบันไดแบบไม่มีสมาธิ มือถือของข้างหนึ่ง ลื่นตกบันได โชคดีไม่ล้ม ไม่มีแผล แต่เจ็บฝ่าเท้าเล็กน้อย แป๊บเดียวก็หายละ
Title: Re: มีค 53
Post by: O'Pern on March 09, 2010, 09:04:10 pm
9 มีค 53
   ปั่นขำขำแบบลองรถ ลองเกียร์ มีเรื่องน่าแปลกใจที่ยางหลังที่เคยซึมๆ ผมถอดมาแช่น้ำก็ไม่เจอแผล ครั้นใส่เข้าไปใหม่กลับใช้งานได้ดีจนถึงทุกวันนี้ อะเมซิ่งดีว่ะ
   ยางหน้ามีแผล ปะแล้วไม่รั่วอีก คือยังใช้งานได้ ระยะหลังยิ่งขี่ไม่บ่อย รถเลยไม่ค่อยโทรม
   วันนี้ผมไปส่งของอีกแล้ว งวดนี้เล่นตลาดวงเวียนใหญ่เลย จอดยากแบบสุดยอด ที่ปากคลองตลาดยังจอดง่ายกว่าเยอะ เพราะมีที่จอดให้เช่น แต่วงเวียนใหญ่ไม่มี ต้องแย่งกับเจ้าถิ่น คือรถสามล้อแถวนั้น
   ผมรออยู่สักพัก รถที่จอดก็ออก ผมเดินเข้าไปยืนกันไว้ แล้วกวักมือเรียกรถคนงานให้เลื่อนเข้ามาจอด คนคุมแถวนั้นถีบเก้าอี้พลาสติคมาที่ผม ห่างตัวผมสักฟุตกว่าๆ นัยว่าจะจองที่ หรือไม่ให้ผมจอดอย่างไรนี่แหละ ผมก็แค่หยิบเก้าอี้นั้นออกเสีย แล้วรถคนงานก็จอดได้ แต่ผมไม่มองหน้า ไม่สบตาอะไรเขา
   “พี่ถ้ามีเรื่องกับมันหลังเบาะรถเรามีไม้นะ” คนงานบอกผม
   ผมหันไปยิ้ม ไม่ได้ตอบอะไรเขา ผมมาส่งของ ส่งเสร็จแล้วก็กลับ ผมไม่ได้มามีเรื่องอะไรกับใคร
   “แล้วเกิดมันมาหาเรื่องเราล่ะ” คนงานถามต่อ
   “ก็แค่เดินหนีเขาไป” ผมตอบแบบซื่อๆ อย่างนี้แหละ
   “ถ้าเกิดเขาเอาไม้มาตีเราล่ะ”
   “ผมก็จะท้าเขาซัดกันด้วยมือเปล่า”
   คนงานทำหน้างง เขาว่าทุกวันนี้ไม่มีใครชกต่อยมือเปล่ากันแล้ว มีแต่มีด ไม้ ปืน
   ผมจึงอธิบายให้เขาฟังว่าการทำแบบนั้นมันไม่ใช่นักเลง เขาเรียกอันธพาล มันคนละเกรดกัน นักเลงคือคนจริง ต่อสู้จริง มีคุณธรรม แต่อันธพาลคือพวกเกเร แต่ที่สำคัญคือเราเป็นคนงานส่งของ เรามาแค่ส่งของแล้วก็กลับ เราก็ทำหน้าที่ของเราไป
ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาฟังแล้วจะเข้าใจผมไหม
   ส่งของ เข็นรถเข็นฝ่าแดดแรงจัดจนแสบผิว ทาครีมกันแดดไปก็เท่านั้น เหงื่อออกไหลเป็นน้ำ ตอยนบ่ายก็ไปส่งของแถวจักรรวรรดิ์ ผ่านแถวคลองถม รถติดหนักสุดยอดดีเหลือเกิน เดินยังเร็วกว่าเลย ส่งของกลางแดดแรงจัด แถมวันนี้ไปกับรถกระบะแบบไม่มีหลังคา มันยิ่งแสบร้อนแผ่นหลังกว่ารถกระบะของคนงานเสียอีก
ตกเย็นถึงได้ไปรับลูกที่โรงเรียน วันนี้เขามีการแสดงอีกชุด เป็นการเต้น แหม ได้ยืนอยู่หน้าสุดเสียด้วย
   ก่อนหน้านั้นเขาจัดซุ้มกิจกรรมของนักเรียน ผมเข้าร่วมอย่างเต็มใจ จนเสร็จสิ้นพิธีก็พากันไปกินอาหารญี่ปุ่นที่ร้านฟูจิ
   ต่อด้วยเดินเล่นที่ร้านหนังสือ ตระเวณยืนอ่านอยู่หลายร้าน กลับมาบ้านเอาตอนค่ำ
   วันนี้ผมเหนื่อยและเพลียมากเลย
Title: Re: มีค 53
Post by: O'Pern on March 10, 2010, 07:32:43 pm

   
10 มีค 53
   ลืมตาตื่น แต่ไม่มีแรงลุก ร่างกายเมื่อยล้า เลยไมได้ออกขี่จักรยาน ใช้เดินดูต้นไม้แทน เตรียมความพร้อมของจักรยานด้วยการสูบลมอัดเข้าเต็มสเปคเหมือนเดิม ยางหน้าผมทนได้ 65 psi ยางหลังทนได้ 95 psi ก็ใส่ไปตามนั้น ยางนอกของล้อหลังเป็นยางสลิค มีรอยฉีกขาดยาวราว 1.5 ซม แต่ช่วงมีมีรอยปริน่าจะสัก 1 ซม แผลรอยปริแตกกว้างราว 1 มม
   ผมเห็นแผลนี้มานานหลายเดือนมาก ออกใช้งานมาหลายทริปแล้วก็รอดมาได้ ทริปที่คิดว่าน่าจะเกิดการแตกหรือฉีกขาดกลางทางอย่างตอนไปลุยวังน้ำเขียว อุทยานแห่งชาติทับลาน ก็ยังรอดมาได้ ถนนโหดสุดๆ แบบ 100% Off Road ทั้งขึ้นเขาและลงเขา ปั่นขึ้นเนินบนถนน Off Road นี้โหดกว่าทางลาดยางเยอะมาก เพราะล้อหน้ามันดิ้นไปมาตอนเจอหิน
   เป็นอันว่าก็จะใช้ยางนอกที่ฉีกขาดนี้ต่อไป อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะทนทานได้นานสักเพียงใด ใช้แล้วชอบนะนี่ ชอบตรงผิวยางมันหนาตลอดเส้นน่ะครับ หากเทียบกับยางแบบวิบากแล้ว แบบนั้นเขาจะเป็นบั้งๆ แต่ตรงที่ไม่มีดอกยางนี่สิ บริเวณนั้นคือจุดอ่อนเลยนะ โดนหนามตำนิดเดียว ยางดอกดุๆ โหดๆ ก็รั่วได้ง่ายดายเอามากๆ
   แต่กับยางสลิคของผม ยางมันมีความหนาเท่ากันตลอดทั้งหน้ายางเลย ผมชอบตรงจุดนี้เองแหละครับ ชอบอีกอย่างคือผมรู้สึกว่าแรงต้านอากาศมันน้อยนะ
   เช้านี้ฝนตกครับ แถวบ้านตกปรอยๆ อากาศเย็นสบายดีตลอดวันเพราะไม่มีแดด ฟ้ามึดครึ้ม เหมือนจงใจจะต้อนรับพวกเสื้อแดงกวนเมืองยังไงยังงั้น
   พรุ่งนี้แล้วสินะที่เขาจะออกมาก่อม็อบกันอีก แถวบ้านผมฝั่งธนฯ ก็มีจุดตรงวงเวียนใหญ่ที่พวกเขาจะมารวมตัวกัน ก็ขอให้มาจริงเถอะครับ ผมจะเอาจักรยานออกปั่นใช้งานเสียที ไม่ได้ขี่มานานมาก ถือเป็นการวอร์มไปในตัว 
   ผมบอกแล้วไง คนไทยเรามีอะไรแปลกๆ จนผมต้องเรียกว่า ไอ้ไทยเอ๊ยย
   ก็จะไม่แปลกได้อย่างไร แค่คนๆ เดียว สามารถทำให้ประเทศปั่นป่วน เศรษฐกิจย่ำแย่ได้ถึงเพียงนี้ ผมเองก็เคยเสนอทางออกไปแล้ว มีทั้งแนวบุ๋นและบู๊
ผมคิดสิ่งสร้างสรรค์ได้ ผมก็ย่อมคิดวิธีเอาชนะคนพาลด้วยวิธีสกปรกได้เช่นเดียวกัน
   ไม้นวมมาหลายปีแล้วครับ ผมไม่ชอบรบยืดเยื้อ ถ้าเล่นวิธีผม แป๊บเดียวจบ แต่บอกก่อนนะว่ามีการเสียเลือด ถ้าคิดว่าเลือดของคนกรุงเทพฯ สำคัญกว่าเลือดทหารภาคใต้ก็ตามใจครับ (วันนี้ก็มีข่าววางระเบิดอีกแล้ว)
   สำหรับคนที่จะไปชุมนุม ผมอยากจะถามว่า ตั้งแต่เกิดมาคุณทำอะไรเพื่อชาติบ้างหรือยังครับ ถ้ายังไม่เคย ก็ไม่เป็นไร แต่โปรดอย่าไปช่วยทำลายมันอีกเลย
   ผมไม่รู้ว่าไทยเรามีหน่วยงานพิเศษเพื่อรองรับภาระกิจเหล่านี้ไหม แต่ถ้าเป็นที่ USA เขาจะมีหน่วย CIA ทางอังกฤษก็จะมี MI6 หน่วยพวกนี้ทำงานได้สารพัดทั้งในเกม นอกเกม บนดิน ใต้ดิน สายสืบ ไปจนถึงไส้ศึก ทำแล้วจบสวยด้วย ปิดงานแบบเรียบร้อย ใสสะอาด
   ช่วงตลอดเวลาที่ลูกน้องทักษิณก่อม็อบ มันคือช่วงเวลาอันตรายของทุกๆ ที่ที่พวกเขาเดินผ่านครับ ขอเตือนทุกธุรกิจ ห้างร้านต่างๆ มีความเป็นไปได้ว่าอาจมีการปล้น ขโมย ลักทรัพย์ ซึ่งเหตุเหล่านี้เราพึ่งตำรวจเขาไม่ได้หรอกครับ ตำรวจไทยทำอะไรไม่ได้มากไปกว่า จับมอเตอร์ไซค์ ไถต่างด้าว และข่มเหงผู้อ่อนแอกว่า ไอ้ที่เห็นมีผลงานน่ะ มันโดนบังคับมาให้ทำครับ ปกติเขาจะเที่ยวกินเหล้าเคล้านารีกัน (ไม่มีวงเล็บคำว่า “ส่วนใหญ่”)
      
   อ้อ ผมเจอบ้านของงูแล้วครับ มันขดอยู่ในช่องรอยแตกกำแพงรั้วของบ้านที่ติดกัน เห็นตั้งแต่เมื่อคืนแล้วล่ะ เมื่อเช้าแอบมองดูก็เห็นมันนอนขดอยู่ ก็รู้สึกดีทีเห็นมันสุขสบาย ไม่ได้โดนใครฆ่าไปเสียก่อน
Title: Re: มีค 53
Post by: O'Pern on March 11, 2010, 09:57:01 pm
11 มีค 53
   อัดอั้น ไม่ได้ขี่จักรยานจริงจังมาเป็นเดือน วันนี้ไม่ต้องไปส่งลูกที่โรงเรียน เขาปิดเทอมแล้ว เลยเอาจักรยานออกปั่นอย่างสบายอารมณ์
   ตอนเช้าอากาศเย็นลงกว่าเมื่อวานอีกครับ จากเดิมร้อนอบอ้าวชนิดที่อาบน้ำเสร็จก็เหงื่อออกเสียแล้ว พอมาเจอเย็นแบบลมโชยพัดแบบนี้รู้สึกดีเหลือเกิน
   เอารถคัน KHS HT ออกปั่นครับ เพราะเป็นการซ้อม และทดลองรถไปในตัว ดูว่ามีสิ่งใดผิดปกติไหม อาทิตย์นี้ TCHA เขามีทริปไปแปดริ้ว ฉะเชิงเทรา ไม่รู้ว่าคนจะเยอะหรือเปล่านะ คือมีบางคนเขาเป็นห่วงเรื่องไอ้พวกม็อบปกป้องนาย ทำลายชาติไง ก็ต้องดูกระแสในช่วงวันเสาร์กันอีกทีครับ หากมันก่อกวนเมืองกันมาก มีวี่แววความไม่ปลอดภัย ผมว่าเขาคงจะยกเลิกทริปกัน แน่ล่ะ คงมีบางคนตกข่าวและหลงมา ผมว่าน่าจะจัดทริปเล็กๆ พาไปกินอาหารเช้าแล้วค่อยสลายตัว
   ก็ไม่ได้เป็นความผิดของใคร หากจะหาคนผิดก็ต้องโทษไอ้คนกวนเมืองนี่แหละครับ
   ตอนสายเอาจักรยานออกปั่นตอนแรกคิดว่าจะไปแป๊บเดียว ที่ไหนได้ มากลับบ้านเอาตอนเกือบ 3 ทุ่ม ตลอดวันผมนั่งในออฟฟิซอยู่ที่โต๊ะฝ่ายการเงิน เจ้าหน้าที่เขาไม่มาครับ แม้จะน่าเบื่อหน่อย แต่ยังดีกว่าการออกไปเข็นของส่งของเยอะเลย
   ขากลับบ้านนี่เป็นประสพการณ์ใหม่ของผมครับ เพราะไม่ค่อยได้ขี่ตอนกลางคืน ผมไม่ได้เตรียมแว่นตาใสมาด้วย แต่ยังดีที่มีไฟหน้า ไฟท้ายติดไว้ตลอดเวลา ปกติผมใส่ชุดสีดำ แต่ขากลับผมเปลี่ยนเป็นเสื้อสีขาว และกางเกงขาสั้นมีแถบสะท้อนแสงเล็กๆ แทน
   ขี่แล้วแปลกๆ ครับ มันดีตรงไม่ร้อนเลยสักนิด ปกติปั่นกลางแดดแล้วแสบผิวมาก แต่นี่เฉยๆ เลย สบายดีจริงๆ ไม่เปลืองครีมกันแดดอีกด้วย สุดยอดก็ตรงนี้แหละ เพราะทุกวันนี้ผมเสียเงินไปกับค่าครีมกันแดดเยอะเป็นอันดับหนึ่ง เรียกว่าไปไหนมาไหน หากไม่รู้จะซื้ออะไรดี ก็มองหาครีมกันแดดนี่แหละ รับรองได้ใช้ชัวร์
   ริมสองข้างทางปกติจะเป็นตึกแถว เป็นร้านค้า แต่พอกลางคืนมันเปลี่ยนไปเยอะเลยครับ ร้านพวกคาเฟ่จะมีสาวๆ มานั่งเรียกลูกค้าหน้าร้าน หากเป็นย่านชุมชนก็จะเจอร้านค้าขายอาหาร เป็นพวกข้าวต้มบ้าง ก๋วยเตี๋ยวบ้าง คนกินก็จอดรถริมถนนกันเลยครับ ง่ายๆ แบบนี้แหละ ไทยชอบ
   จะต้องระวังเพิ่มก็เรื่องรถยนต์นี่แหละครับ ผมกลัวเขามองไม่เห็น ไอ้การที่เรามองเห็นเขา มันไม่ได้แปลว่าเขาจะเห็นเราด้วยหรอกนะ สิ่งที่สำคัญสุดในการขี่กลางคืนคือทำให้คนรอบข้างเขามองเห็นเรา แล้วความปลอดภัยจะตามมาเอง
   ที่สุดคลาสสิคของผมที่เจอตลอดก็คือรถเมล์ปาดหน้าเพื่อจอดป้าย ทั้งๆ ที่เขายกคันเร่งนิดเดียว จักรยานคันเล็กๆ ก็ผ่านไปได้แล้ว แต่นี่ไม่ จะต้องปาดเบียดเข้ามาจนชิดขอบทาง ไอ้การจอดชิดขอบทางน่ะดีครับ ทำถูกต้องแล้ว แต่มันควรทำเฉพาะตอนถนนโล่งๆ ว่างๆ ไม่ใช่มาเบียดเอารถเล็กๆ ที่ใช้แรงคนขับเคลื่อนแบบนี้
   ไม่ได้โกรธอะไรเขาหรอกครับ เพราะรู้ว่าเราดันไปอยู่ผิดที่ผิดเวลาเอง แต่แปลกนะ ที่พอถนนโล่งๆ พวกเขามักจะจอดกันไม่ค่อยชิดขอบทางเท่าไหร่เลย ลองสังเกตุดูกันสิ
Title: Re: มีค 53
Post by: O'Pern on March 12, 2010, 09:11:21 pm
12 มีค 53
   เมื่อคืนอ่านเวปจักรยาน มีคนถามว่า พรุ่งนี้จะขี่จักรยานกันอย่างไร เขาคงหมายถึงว่าวันนี้ และช่วงเวลาที่มีม็อบกวนเมือง จะขี่จักรยานกันดีไหม สะดวกไหม อะไรทำนองนี้
   ผมว่านี่แหละครับ คือสิ่งที่จักรยานชนะรถทุกอย่างเลยก็ว่าได้ เพราะหากเขาปิดถนนกัน จักรยานเราก็ขี่ได้สบาย แต่ก็ต้องดูท่าดีสถานการณ์และจุดที่ล่อแหลมด้วยนะครับ จุดใดที่คนมาชุมนุมเยอะมากๆ ก็เลี่ยงไว้หน่อย
   แต่ตอนพฤษภาทมิฬนี้ผมก็ยังขี่จักรยานเล่นที่ราชดำเนินอยู่เลยครับ ตระเวณร่อนไปทั่ว ที่สะพานวันชาติแถวบางลำพู มีทหารวางลวดหนามหีบเพลง มีกระสอบทรายทำเป็นบังเกอร์ มี M16 ติดตั้งขาทรายประจำที่ แต่อีกฟากจะเป็นชาวบ้านเดินไปเดินมา ทหารเองก็พูดคุยกับชาวบ้านอย่างสนุกสนาน แต่นั้นคือเหตุการณ์ก่อนวันนองเลือดนะ
   หรืออย่างตอนงานฉลองในหลวงที่เขาปิดถนนราชดำเนินจัดงานกันใหญ่โต ก็มีคนเอาจักรยานไปปั่นกันเยอะเลยครับ จักรยานจะมาด้อยก็ตอนลุยฝ่าฝูงชนแบบเบียดเสียดกันไม่สะดวก แค่นี้เองแหละครับ
   ตั้งใจจะเอาจักรยานออกปั่น แต่ก็อดครับ คนงานขับรถไม่มาทำงาน ผมเลยต้องขับรถพาคนงานไปส่งที่ทำงาน แล้วก็ยังต้องส่งของตลอดวันจนถึงเย็น
   ก็เหนื่อยดีครับ แดดแรงกว่าวันก่อนเยอะเลย จะดีตรงถนนโล่งดีมาก แต่ไม่รู้ว่าวันอื่นๆ จะว่างแบบนี้อีกหรือไม่ หรือจะเกิดเหตุเลวร้ายกว่าที่คิดก็ไม่รู้
   “เฮ้ย ทีหลังมึงเอาคนที่รู้งานเป็นงานมาหน่อยสิวะ” เจ้าของร้านค้าตะโกนว่าคนงาน ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหนที่เป็นคนใหม่ ผมนั่นเอง
   ก็เพราะผมเก้ๆ กังๆ ยกของไปก็ไม่รู้ว่าจะวางตรงไหนดี บ้างก็วางแล้วไม่ถูกใจเขา จัดเรียงสินค้าไม่ได้ดังใจเขาคิด
   เรื่องธรรมดาครับ โดนด่ามาหลายหนแล้ว มีครั้งหนึ่งผมยกของหนักๆ แล้วเอ่ยปากถามว่า จะให้ผมวางตรงไหนดีครับ ได้คำตอบกลับมาว่า
   “วางบนหัวมึงนั่นแหละ” ตะโกนสวนออกมาเสียงดังลั่น
   ได้แต่ยิ้มให้เขา เราไม่มีสิทธิ์ไปด่าหรือโต้ตอบอะไรเขาหรอกครับ เราเป็นแค่คนงาน โดนด่าว่าแค่นี้เรื่องเล็กน้อยครับ อย่าไปคิดว่าเป็นเรื่องอะไรใหญ่โต คนงานบางคนโมโหที่โดนดุด่า ผมเลยสอนเขาให้คิดใหม่
   “เราต้องคิดว่าเขาด่าว่าเราแล้วเขาสบายใจขึ้น เขาอาจกำลังเครียด เขาอาจเจ็บป่วย เขาด่าว่าเราแล้วเขารู้สึกดีขึ้นก็ปล่อยเขาไปเถิด หากเราไม่ชอบก็ฟังแล้วปล่อยผ่านไปเสีย อย่าเก็บมาคิดซ้ำ ใจเราเองต่างหากที่จะเจ็บแค้น”
   คนงานฟังแล้วทำหน้างง ผมบอกเขาแบบนี้จริงๆ

   ตลอดทั้งวันผมผ่านร้านลูกค้า ทุกบ้านต่างเปิดทีวีติดตามข่าวพวกสมุนทรราชกันทุกบ้าน ผมแปลกใจบางอย่าง ผมอาจคิดมากไป ลองมาอ่านความคิดเห็นของผมดู
   
1 เรื่องชื่อหน่วย SWAT ไทยเรียกหน่วย “สวาท” แต่ผมคิดว่าน่าจะออกเสียงให้เป็นไทยๆ ว่าหน่วย “สวัสดิ์” แถมไม่มีใครคนไหนช่องใดเคยบอกผู้ชมทางบ้านเลยว่าไอ้ชื่อหน่วย SWAT ย่อมาจากคำว่าอะไร แปลว่าอะไร (Special Weapon And Tactic) 

2 ชุดของเจ้าหน้าที่ปราบจราจล เขียนที่หน้าอกตัวโตๆ ว่า Police ทำไมต้องใช้คำภาษาอังกฤษด้วย เราคนไทย มีแต่คนไทยอ่าน เขียนเป็นภาษาไทยจะดีกว่าไหมครับ เช่นเดียวกับรถกรงขังคันใหญ่สีดำ เขียนคำว่า Police สีขาวตั้วเบ้อเริ่ม คิดหาคำว่าตำรวจแบบไทย แต่เท่ๆ หน่อย แม้คิดยาก แต่ถ้าคิดได้ จะเท่มากๆ

3 หน้ารถพยาบาลก็เหมือนกัน เขียนคำว่า Ambulance ขับรถในไทย มีแต่คนไทยอ่าน ทำไมต้องเขียนภาษาอังกฤษด้วย แถมสติกเกอร์ด้านหน้ายังติดกลับด้านอีกนะ นัยว่าจะให้คนที่ขับรถคันข้างหน้าเขาอ่านผ่านกระจกมองหลังได้ โห เท่มากพี่ คนงานขับรถผมอ่านไม่ออกชัวร์ (แต่ทุกคนรู้ว่ามันคือรถพยาบาล แม้จะไม่ติดสติกเกอร์ Ambulance)

4 อันนี้ไม่เกี่ยวกับม็อบทรราช แต่เป็นเรื่องภาษาอังกฤษที่ไม่จำเป็นเช่นกัน มันคือป้ายทะเบียนของรถบรรทุกใหญ่ จะมีเขียนคำว่า Thailand ติดไว้ด้วย เอ๊ะ หรือว่าเขาจะเผื่อให้ขับไปส่งของที่ต่างประเทศก็ไม่รู้

   วันนี้ดีกว่าเมื่อวานหน่อย กลับมาบ้านเอาตอนเกือบหนึ่งทุ่ม เจอลูกรื้อของเล่นระเกะระกะเต็มห้องเละเทะไปหมด (เขาอยู่บ้านคนเดียว) เลยอ้าแขนให้เขาเข้ามากอด
กอดเขาแล้วเขาก็กอดตอบ บอกว่ารักเขา รักมากด้วยนะ เขาตอบมาว่า
   “มิวก็รักพ่อครับ”
Title: Re: มีค 53
Post by: O'Pern on March 13, 2010, 06:02:07 pm
13 มีค 53
   อากาศเย็นได้วันเดียว มาวันนี้ร้อนจัดอีกแล้ว รู้สึกว่าถนนโล่งดีจริงๆ แต่ถ้าโล่งเพราะม็อบ แบบนี้ขอเป็นรถติดแบบเดิมดีกว่านะ
   กลางวันเข้ามาบ้าน วันนี้ผมมีลงนามเซ็นสัญญาว่าจ้างตกแต่งห้องคอนโด ผมเลือกบริษัทนี้เพราะคุยกันมานานสักระยะ เห็นผลงานจริงของเขาแล้ว ได้คุยกับลูกค้าที่เขาพอใจผลงาน ตอนสรุปทำสัญญา เขายังพาแม่มาคุยเรื่องราคากับผมอีก คือเป็นลูกที่ทำธุรกิจสานต่อของครอบครัว ผมชอบเด็กแบบนี้ครับ ขยันขันแข็ง ทำงานดี ก็เลยใช้บริการเขาสักหน่อย
   แต่ก่อนหน้านี้เราคุยกันนานกว่าจะลงตัว เพราะเขาตามไอเดียผมไม่ทัน ผมคิดของอะไรแปลกๆ มาให้เขาเล่นตลอด อีกทั้งในห้องยังมีกำแพงกั้น ผมก็ให้เขาทุบทิ้งเสีย กลายเป็นจัดเลย์เอ้าท์ของห้องกันใหม่ ตำแหน่งของเครื่องปรับอากาศมันดูเกะกะ ผมก็ให้เขาช่วยย้ายตำแหน่ง ระบบไฟส่องสว่างผมใช้หลอดไฟซ่อนใต้ฝ้า ปล่อยให้มีแสงลอดออกมานิดๆ แสงน่าจะสวย แต่เสียตรงเปลืองไฟ ก็หยวนๆ เพราะผมนอนเร็ว เปิดแค่วันละแป๊บเดียว อยากได้สวยก็ต้องทนเอาหน่อย
   เอกสารสัญญามีกำหนดเวลาเบิกจ่ายเงินอย่างละเอียด มีค่าปรับกรณีที่หากผมชำระเงินเขาล่าช้าง ค่าค้างชำระเขาอีก 15% ต่อปีอีกด้วย เรื่องเงินผมไม่มีปัญหา จะทำห้องให้ดี ผมก็ต้องเตรียมเงินไว้จ่ายเขาอยู่แล้ว แต่ผมอยากให้ห้องเสร็จเร็วตรงตามเวลา เลยใช้เขาช่วยเติมเรื่องค่าปรับล่าช้า กรณีที่เขาทำงานช้า เขาก็โอเค ไม่โยกโย้ ใส่ลงไปในสัญญาให้ว่า หากล่าช้าเกินกว่า 6 เมษายน 53 เขายอมให้ปรับวันละ 1000 บาท ผมว่าแฟร์ดี แมนดี หาน้อยบริษัทที่ทำงานแบบนี้ แถมยังอยู่ใกล้บ้านอีกด้วย อดใจรอดูผลงานหลังห้องเสร็จครับ ถ้าผมพอใจคงได้ใช้บริการกันอีกแน่ๆ ผมมีบ้านอีกหลังที่สร้างเมื่อ 20 ปีก่อนรอตกแต่งใหม่อีกรอบ และยังมีบ้านของพรรคพวกเพื่อนฝูงที่ผมออกแบบอีกหลายหลัง
   ในเวปจักรยานมีคนโพสถามความเห็น เขาอยากได้ยางทางเรียบ ผมแนะนำให้เขาเลือกยางสำหรับทางเรียบ แต่แปลกที่คนส่วนใหญ่จะแนะนำยางอย่างลูกผสม หรือ Intermidate กันแทน คงจะเผื่อสำหรับลุยมั้ง ไม่รุ้สิ แต่ดูจากหน้าตาดอกยางแล้ว มันเหมาะกับทางลูกรังเสียมากกว่า
   ยังมีคนโพสหานักออกแบบตกแต่งครับ ผมก็เสนอตัวไป แต่บอกว่างานของผมเน้นดีไซน์ และเลือกใช้แต่วัสดุชั้นดี ถ้ามีงบเหลือพอก็ติดต่อมาได้ ถัดไปอีก 2 วันก็มี pm มาหา ขอดูภาพผลงาน ผมไม่มี่ให้เขาดูครับ มีแต่ภาพ 3D เอาไว้ดูกันเอง เลยบอกว่ามีแต่ห้องจริงให้ชม หนังสือ Room ก็ติดต่อมาขอถ่ายลงหนังสือ ยั้งแต่ห้องยั้งไม่ได้เริ่มทำอะไรเลย หรือจะรอชมในหนังสือ Room ก็ได้ครับ (เห็นเขาติดต่อมาว่าจะขอถ่ายลง แต่ห้องจริงยังไม่เสร็จนะ)
   
   พรุ่งนี้มีทริปไปตลาดเก่าแปดริ้ว ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติก็ไม่มีปัญหา ผมไปแน่ แต่ช่วงนี้บ้านเมืองไม่สงบ ขาไปไม่เท่าไหร่ เป็นห่วงตอนกลับ เพราะม็อบชินวัตรเขาเริ่มมากันเยอะแล้ว เขาตะโกนร้องปาวๆ ต่อสู้เพื่อตระกูลชินวัตร
   แต่แปลก ที่คนนามสกุลชินวัตรต่างหนีออกนอกประเทศกันหมด ทั้งลูก เมีย น้อง ฯลฯ
   ผมอยากไปขี่จักรยาน แต่ครอบครัวไม่อยากให้ไป กลัวผมจะกลับบ้านไม่สะดวก ยิ่งทริปล่าสุดก็ยังแอบนั่งรถเมล์กลับบ้านเลย เอาไงดีวะ
Title: Re: มีค 53
Post by: O'Pern on March 15, 2010, 08:57:27 pm
14 มีค 53
   ตกลงเป็นอันว่าไม่ได้ไปทริปจักรยานกับ TCHA ครับ แต่เอาจักรยานออกขี่ปั่นเล่นแถวบ้าน
   เดินไปเดินมาในบ้าน ก็เหลือบมองงูตัวเก่าที่ชอบขดอยู่ที่กำแพงรั้ว วันนี้เพิ่งมีโอกาสเห็นตัวมันเต็มๆ ตอนเลื้อย ปรากฎว่ามันไม่ใช่งูตัวเก่าที่ผมเคยเห็นประจำน่ะครับ คือมันผอมกว่ากันเยอะ เหมือนสายยางเส้นเล็กๆ แต่ตัวเก่าจะหุ่นล่ำๆ หน่อย ลำตัวอ้วนๆ เอ๊ะ หรือว่าตอนผมเห็นมันเพิ่งจะไปกินอะไรมา แล้วตอนนี้มันย่อยเสร็จแล้ววะ แต่ก็ไม่น่าใช่ งูตัวเก่าต้องตายไปแล้วจริงๆ แน่เลย
   ช่วงนี้ผมต้องเร่งรีบจัดการกับห้องคอนโดครับ อยากจะเซอร์ไพร์สพ่อแม่ กะว่าสงกรานต์หากไม่ได้ไปเที่ยวไหนกันก็จะให้พ่อแม่ไปพักผ่อนที่ห้องคอนโดนี่แหละ ให้พ่อแม่เข้าไปพักประเดิม ถือว่าเป็นศิริมงคลสำหรับลูกที่ไม่ค่อยได้ให้อะไรแก่พ่อแม่นัก
   ทำไปทำมาเริ่มบานครับ ทั้งๆ ที่กะงบเผื่อบานแล้ว แต่ว่ามันบานแบบลาม เพราะมีเรื่องห้องน้ำเข้ามาเกี่ยวอีกด้วย ตอนแรกกะจะทำแบบสวยพอใช้ แต่คิดๆ แล้ว ไหนๆ ก็อยากจะสุดๆ ก็ขอลงชุดใหญ่เลยก็แล้วกัน
   มันเป็นการทำห้องเผื่อคนอื่นด้วยน่ะครับ คือเผื่อพ่อแม่ เผื่อภรรยาและลูก เผื่อแขกจากต่างประเทศ ก็เลยคิดไปสารพัด นี่ถ้าเป็นห้องที่ผมใช้เองคนเดียวจะง่ายมากครับ ผมชอบของน้อยๆ ชิ้น แต่ของที่ใช้ขอเป็นของดีที่สุด ไอ้ดีที่สุดคือผมพอใจมากสุดนะ ไม่ได้แปลว่าแพงที่สุด
   ที่ผมชอบคือเก้าอี้ปรับเอนนอนได้ โต๊ะทำงานขนาดใหญ่ เก้าอี้แบบนั่งทำงานสบายๆ หากมีทีวีสักเครื่องก็ขอแบบธรรมดาๆ และถ้าได้เครื่องเสียงชุดเล็กๆ เสียงพอใช้ได้ดีสักชุดจะดีมาก
   สิ่งที่เร่งด่วนสุดในคอนโดผมตอนนี้คือโซฟาแบบเตี้ยๆ แบนๆ อ่างล้างหน้า และโคมไฟบนโต๊ะทำงาน

   ไม่ได้ออกไปไหน อยู่บ้านแบบเบื่อๆ คิดแล้วน่าจะออกไปปั่นจักรยานกับทริปเขานะนี่ ตอนแรกตัดสินใจไม่ไปก็เพราะอยากอยู่บ้านพร้อมหน้าพร้อมตากันกับครอบครัว แต่เอาเข้าจริงภรรยาพาลูกไปเรียนพิเศษ ระหว่างนั้นเขาก็ไปนวดหน้านวดตัว ผมเลยขอรออยู่ที่บ้านดีกว่า
   อากาศยังคงร้อนอบอ้าว ยังดีที่พอมีลมพัดบ้าง อยู่บ้านแบบเหงาๆ เลยนั่งออกแบบห้องทำงาน บ้านหลังเก่าแก่ที่สร้างเมื่อ 20 ปีก่อน ตั้งแต่ตอนผมยังเรียนหนังสืออยู่เลย บ้านหลังนี้ออกแบบตกแต่งมาหลายรอบแล้ว แต่ยังไม่ลงตัวสักที ผมไม่ได้เรียนมาทางด้านนี้ด้วยน่ะครับ บางจุดเลยมีขาดๆ เกินๆ บ้างก็จิตนาการแรงเกินที่จะสร้างได้
   
15 มีค 53
   ผมไปส่งของที่ปากคลองตลาดอีกแล้วครับ วันจันทร์จะไม่มีแผงค้ามาวางบนทางเท้ากัน ทำให้ถนนโล่งมาก ต่างจากวันอื่นๆ ที่วางกันแทบทุกตารางนิ้ว ก็ขนาดป้ายรถเมล์ยังไม่เว้นน่ะครับ คนยืนรอรถเมล์ก็ไปยืนกันบนถนนโน่น แต่ไม่ใช่เลนซ้ายสุดนะ ต้องเขยิบไปอีกเลน เพราะเลนซ้ายสุดจะเป็นที่จอดรถของรถสามล้อ พอรถเมล์มาก็ต้องจอดเลนที่สามครับ จอดแล้วก็เหลือเลนขวาสุดเลนเดียวให้รถยนต์แล่นผ่าน แต่บางทีก็ผ่านไม่ได้หรอกนะ เพราะฝั่งขวาสุดก็มีรถจอดเหมือนกัน กลายเป็นว่าบล็อคกันทั้งถนน เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนแถวนี้เขาน่ะครับ
   แดดร้อนแรง ก็ทนกันไปครับ คิดบวกก็คือได้วิตามินดีฟรีๆ ไม่ต้องไปคิดลบที่มันจะได้กระ ฝ้า แสบผิว ร้อน ฯลฯ คิดแล้วใจไม่เป็นสุข อย่าไปคิดครับ
   ผมเข็นของส่งของจนคนเริ่มคุ้นหน้าแล้ว
   “อ้าว วันนี้มาเร็วนี่นา” คนเข็นผักคนหนึ่งเอ่ยปากทัก เพราะทุกทีผมจะไปส่งตอนบ่าย ตอนเย็น
   “ครับพี่ ลูกค้าเขาเร่งมา” ผมตะโกนตอบกลับไป พร้อมกับส่งยิ้ม
   คนแถวนี้แม้จะดูเร่งรีบ แต่ก็มีรอยยิ้มที่หาได้ทั่วทุกมุมถนน ขอเพียงแต่เรายิ้มให้เขาก่อน เกือบทั้งนั้นที่ผมได้รับรอยยิ้มกลับคืนมา เจอใครมองหน้าผมก็ยิ้มให้หมดแหละครับ ส่งยิ้มไม่เห็นเสียเงินอะไรสักหน่อย คนส่งเสียอีกที่จะเป็นสุข มีคนหนึ่งมองหน้าผมแปลกๆ แต่พอเจอกันรอบสองรอบสาม เขาก็ยิ้มตอบ
   
   กลางวันผมกลับเข้าบ้าน ลูกโทรมาบอกให้ซื้อไก่ทอด KFC มาฝาก จัดออเดอร์มาเสียอย่างดิบดี เพราะมีเพื่อนมาเล่นที่บ้านด้วยอีก 2 คน แวะจอดที่ Royal Garden ถนนเจริญนคร เข้าไปดูปรากฎว่าร้าน KFC เขาปิดไปแล้ว เอาไงดีวะ ระหว่างทางกลับบ้านลองแวะ Bic C เห็นซุ้มขายไก่ทอดห้าดาว เฮ้ยย เคยเจอแต่ไก่ย่างนี่หว่า แต่ป้ายเขียนชัดเจนนะ ตอนแรกคิดว่าร้านเป็นของปลอมเสียอีก
   ไก่ทอดห้าดาวเขาใช้เนื้อไก่ของ CP ปลอดสาร ปลอดยาปฏิชีวนะ ผมเดาเอาเองต่อไปอีกว่าน่าจะไม่ได้ฉีดฮอร์โมนด้วยนะ เขาขายน่องละ 17 บาท แต่ถ้าเป็นไก่ของ KFC จะน่องละ 35 บาท แต่ KFC เขาเผื่อให้เรานั่งกินในร้าน เขามีค่าใช้จ่าย แต่ไก่ของห้าดาวจะใส่ถุงให้เรากินที่อื่น หรือจะยืนแทะหน้าร้านก็ตามใจ แหม แต่ราคาต่างกันหนึ่งเท่าตัว ให้เลือกได้ ผมของแบรนด์ไทยไก่ห้าดาวดีกว่าครับ
   ซื้อเผื่อลูกแล้วก็เลยเอามากินเองด้วยครับ รสชาติดีใช้ได้เลยล่ะ ไม่เหมือนไก่ KFC หรอกนะ แต่ก็เป็นรสชาติของตัวเอง น้ำจิ้มเปรี้ยวๆ หวานๆ รสอร่อย ที่เด็ดก็คือมีข้าวเหนียวขายถุงละ 5 บาทอีกด้วย ซุ้มไก่ทอดนี้ขายติดกับซุ้มไก่ย่าง เห็นแล้วตลก เพราะคิดว่าเป็นร้านของปลอม ของเลียนแบบ
   บ่ายแม่เพื่อนเข้ามาเก็บเงินมัดจำตกแต่งห้องคอนโดงวดแรก ก็จ่ายเขาไปพร้อมกับเสนอความคิดเพิ่มเติมในแบบห้องอีกหลายจุดเลย คุยไปคุยมาแล้วไอเดียไหล กลายเป็นว่าผมอาจตัดสินใจทำห้องน้ำใหม่หมดทั้งห้อง ไม่เหลืออะไรที่เป็นของเดิมเลยแม้แต่ชิ้นเดียว
โอววว ไม่นะ
Title: Re: มีค 53
Post by: O'Pern on March 16, 2010, 08:05:54 pm
16 มีค 53
   หมู่นี้ไม่รู้เป็นอะไร ไม่ค่อยอยากขี่จักรยานเลย ก็ตื่นเช้าเหมือนเดิมนะ แต่ก็แค่เดินยืดเส้นยืดสาย หรือเป็นโรคขี้เกียจก็ไม่รุ้
   แบบนี้เขาเรียกขาดแรงจูงใจครับ ทางแก้ก็ต้องหาแรงจูงใจมา เช่นวางเป้าหมายว่าเราจะไปขี่ที่โน่นที่นี่ ซึ่งมันโหด เราก็ต้องแกร่งตาม ไม่งั้นจะไปไม่ไหว แบบนี้มันถึงจะปั่นสนุก
   ดูช่วงเดียวกันนี้เมื่อปีก่อนสิ ผมมีเป้าหมายจะไปขี่ลุยหิมะที่ประเทศญี่ปุ่น ซุ่มฟิตซ้อมจนลดน้ำหนักได้ 5 กก ลดลงแบบหมูๆ มากเลย มาตอนนี้มันเด้งขึ้นมาเท่าเดิมอีกแล้ว ฮ่าๆ ไอ้เวร
   ดูข่าวม็อบชินวัตรแล้วผมชื่นชมทหารที่ตั้งรับม็อบที่ ราบ 11 อย่างมาก ผมว่าเจอแบบนี้ม็อบงงเหมือนกันนะ เพราะเจ้าหน้าที่แทบจะกลายเป็นผู้คุมม็อบเสียเอง มีการพูดภาษาอีสาน มีเรียกเสียงเฮ “ไหนคนเสื้อแดง ขอเสียงหน่อย” อะไรทำนองนี้ นี่แหละครับคือสุดยอดนักเจรจา
   
   ตลอดวั้นนี้ผมเร่งค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับประเทศรัสเซียและเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เพราะต้องไปเข้าประชุมด่วนในสัปดาห์หน้า
   “เฮ้ เปิ้ล เตรียมตัวให้พร้อมนะ อาทิตย์หน้าเจอกันที่มอสโคว์” เพื่อนผมส่งข้อความมาทาง msn
   งงแบบตั้งตัวไม่ถูก เรียกกันแบบเร่งด่วนน่ะผมเจอประจำ แต่มักจะเป็นแค่สิงคโปร์ ฮ่องกง แต่งานนี้เล่นกันข้ามซีกโลก แถมยังไปเฉียดประเทศฟินแลนด์ ย่านสแกนดิเนเวียนี้ของโปรดปรานสำหรับผมอย่างมาก จักรยานนี้เพียบเลย (ลองชมภาพที่ผมนำมาลงในเวปดูสิ)
   เอาวะ แม้จะไม่รู้เรื่องอะไรสักนิด ไม่เคยแม้กระทั่งคิดจะไปรัสเซีย แต่ก็ตบปากรับคำไปแล้ว
   เขาใช้เงินอะไร สกุลอะไร อาหารอะไร อากาศอย่างไร ผู้คนเป็นอย่างไร ฯลฯ สารพันคำถามผุดขึ้นมาพร้อมๆ กับ ทำเอามึนไปสักพัก ยังดีที่ช่วงนี่ลูกผมปิดเทอมแล้ว ไม่ต้องไหว้วานให้ใครช่วยไปรับไปส่ง
   อืมม อีกคำถามที่หัวใจผมแอบถามเสียงดังๆ ว่า “งานนี้จะได้ขี่จักรยานไหมวะ”
Title: Re: มีค 53
Post by: O'Pern on March 17, 2010, 09:53:52 pm
17 มีค 53
   ในขณะที่ไอ้ไทยยังคงกัดกันเอง สมเด็จพระเทพฯ เสด็จเยือนประเทศพม่า กระชับสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทรงพระเจริญ
   ดูทีวีเห็นข่าวแล้วตกใจ มีพระปลอมอุบาทว์ เอาเลือดไปเทในกระถางธูปที่ฝ่ายทหารเขาเคารพบูชา ก่อนหน้านั้นทหารเขายืนกั้นไว้ ไอ้พระปลอมห่านี้มันก็เอาเลือดไปสาดใส่เขา เหี้ยได้สุดยอดของความทุเรศจริงๆ
   
   เช้านี้เริ่มฟิตร่างกายแล้ว แต่ไม่ได้ปั่นโหดๆ เอาแค่แถวๆ บ้านพอ ปั่นไปราว 30 นาทีเอง ต่อด้วยมื้อเช้าแบบสุดยอด คือผัดผักคะน้าใส่เนื้อไก่ (แต่ผมไม่ได้กินเนื้อ กินแต่ผัก) กินกับไข่เจียวใส่หอมใหญ่ ทอดในน้ำมันมะกอก แถมเช้านี้ต้องขับรถไปส่งของในตลาดท่าดินแดง แล้วก็เจอฝนตกลงมาอย่างแรงครับ เปียกปอนไปหมดทั้งตัว ก็ลุยมันทั้งอย่างนั้นแหละ พอส่งของเสร็จฝนก็หาย เออ ให้มันได้อย่างนี้สิ
   มื้อกลางวันกินน้ำเต้าหู้หนึ่งถุง กับถั่วคั่วอีก 2 กำมือ รีบกิน รีบทำงาน บ่ายไปส่งของที่ปากคลองตลาดอีกแล้ว ตัวยังเปียกไม่ทันหายดีก็เจอฝนปรอยๆ เข้าไปอีก ดีเหมือนกัน ถือว่าเป็นการทดสอบความแข็งแกร่งของร่างกาย ถ้าผ่านมาได้ ไม่เป็นหวัดอะไร นั่นคือร่างกายเราแกร่งในระดับหนึ่งล่ะนะ แต่ถ้าจะไปลุยหิมะในรัสเซียที่ ณ เวลานี้ อุณหภูมิราว -7 องศาที่ Moscow ผมคงต้องแกร่งกว่านี้
   ฝนตกจนตัวเปียกปอน รองเท้า Pan คู่ใหม่ก็มาโดนน้ำครั้งแรก ตอนแรกเสียดาย แต่คิดบวกก็คือเป็นการทดสอบการกันน้ำ เพราะผมจะใส่รองเท้าคู่นี้ไปรัสเซียด้วย ต้องมีการลุยพื้นหิมะ เดินบนทะเลสาบน้ำแข็ง ฯลฯ
   ยังต้องส่งของต่อที่ตลาดวงเวียนใหญ่ อันนี้ที่จอดรถคับแคบมาก จากตอนเช้าท้องฟ้ามืดครึ้ม มาตอนนี้เจอแดดแรงจ้าจนแสบผิว ชุดผมมาแห้งก็ตอนนี้แหละ
   “ถ้าลังเปียก มึงเอาของมึงกลับไปเลยนะ” ลูกค้าคนหนึ่งตะโกนใส่ ตั้งแต่เห็นผมเข็นของเข้ามาส่งในร้านเขา
   “เฮ้ย ตัวมึงเปียก มึงอย่าเดินเข้ามาในร้านกู”
   ไม่ต้องไปตอบโต้อะไรหรอกครับ หน้าที่ของคนงานก็คือส่งของต่อไป เป็นที่ระบายอารมณ์ให้เขาสุขใจ ดุด่าผมแล้วสบายใจก็ทำไปเถิด ผมไม่เก็บมาคิดอะไรหรอก
   มากลับบ้านเอาตอน 0600 ครับ พอได้ขึ้นรถแล้วรู้สึกสบายตัวอย่างมาก ต่างจากการขับรถกระบะคนงานลิบลับ นี่ยังดีนะที่เป็นรถเก๋งธรรมดาๆ ถ้าเป็นสักสิบกว่าปีที่แล้ว ผมจะขับรถสปอร์ทเปิดประทุนกลับบ้าน (หากกลับตอนกลางคืน) คงไม่มีใครคิดหรอกครับว่าไอ้คนขับรถนี่แหละ ที่มันเพิ่งจะไปเข็นลังเข็นของส่งในปากคลองตลาดเมื่อตะกี้นี้เอง
   อาหารเย็นวันนี้ผมแวะตลาดนัดแถวบ้าน ซื้อข้าวโพดต้มมา 6 ฝัก (20 บาท) ผมกินเอง 4 แบ่งให้ลูก 2
   แต่เอาไม่อยู่ครับ ตกดึกหิว หยิบเอาข้าวไรน์บดอัดเป็นแผ่น ทาเนยถั่ว ซัดไป 2 แผ่น ค่อยยังชั่วหน่อย
   ตลอดทั้งวันนี้ผมเดินเข็นรถเข็นอยู่กลางถนน ฝนตกก็ต้อนทน แดดออกก็ต้องสู้ โดนลูกตะคอกตะโกนด่าสารพัด แต่สัปดาห์หน้า ผมต้องไปนั่งรอเครื่องบินขึ้นในเลาจ์ของผู้โดยสารระดับเฟิร์สคลาส แต่งตัวอย่างดี มีอาหารอย่างหรู มีเหล้าไวน์แพงๆ เสิร์ฟฟรีตลอดเวลา
   ชีวิตไร้กรอบของผมสนุกดีไหมครับ
Title: Re: มีค 53
Post by: O'Pern on March 18, 2010, 08:37:01 pm
18 มีค 53
   เช้าเอารถ Giant Revive ออกปั่นครับ ไม่ได้ขี่มันมานานหลายเดือน คิดจะขายเหมือนกัน แต่ก็เสียดาย เพราะว่ารถของผมเป็นปี 2006 เป็นปีสุดท้ายที่ทาง Giant เขาผลิตรถรุ่นนี้ แถมรถผมเป็นรถรุ่นตัวท๊อป ออปชั่นเต็มรถ เริ่มจากมาตรวัดฝังในแฮนด์ มีฝาครอบล้อแบบ Aero ใช้เกียร์ดุมของ Shimano Nexus 7 Sp เป็นเกียร์ดุมที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยใช้มา (ไม่เคยใช้ของโรลอฟ 14 Sp) ที่สวยสุดก็คือมีการเก็บโซ่ซ่อนในเฟรม ดูเหมือนจักรยานไฟฟ้าไม่มีผิด
   ขี่ไปได้สัก 30 นาที ที่จริงรถคันนี้เหมาะกับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาขี่ เพราะมันใช้แรงเยอะ รถมันหนัก และท่านั่งมันเป็นแบบกึ้งเอนนอน (เป็นรถแบบ Semi Recumbent) แลกกับการที่นั่งสบายแบบสุดยอด ไม่มีคำว่าเจ็บก้นแม้แต่น้อย รับประกันได้เลย
   
   อีก 7 วัน จะถึงวันเดินทางของผม เป็นครั้งแรกที่จะไปประเทศรัสเซีย ผมมีธุระที่เมือง Moscow แต่เสร็จธุระแล้วอยากขอเที่ยวต่อ มีเมืองชื่อ Saint Petersburg เป็นอีกเมืองที่น่าสนใจมาก มีงานศิลปที่ผมชื่นชอบอยู่มาก เมืองนี้ตั้งอยู่ด้านขอบซ้ายเกือบจะสุดของประเทศรัสเซีย เรียกว่าถ้าเข้าประเทศ Estonia (เพิ่งจะแยกตัวออกจากสหภาพโซเวียตเมื่อยุคปี 90) และข้ามช่องแคบที่มีชื่อว่า Gulf of Finland ก็จะถึงประเทศฟินแลนด์แล้ว นั่นคือเข้าเขตย่านสแกนดิเนเวีย ทวีปที่ผมชื่นชอบมากที่สุด สองปีก่อนผมไปเหยียบดินแดนที่อยู่เหนือสุดของทวีปยุโรป ที่ตั้งสูงจนเกือบจะถึงขั้วโลกเหนืออยู่แล้ว
   ที่นั่นคือแหลมเหนือ ภาษาท้องถิ่นของชาวนอร์เวย์จะเรียกว่า Nord Kapp ภาษาสากลเรียก North Cape สวยงามมาก ผมเพิ่งเข้าใจว่าพระอาทิตย์เที่ยงคืนมันเป็นอย่างไรก็ตอนนี้แหละ ระยะทางขึ้นเขาก็เป็นทิวทัศน์ที่สวย ชมธารน้ำแข็งที่ฝรั่งเรียกฟยอด (Fjord) เป็นอ่าวที่น้ำภายในที่บรรจุคือน้ำแข็งน่ะครับ ในช่วงฤดูหนาวบางอ่าวก็สามารถลงไปเดิน ไปเล่นสเกต หรือถ้าพื้นแข็งมากๆ ก็จะสามารถขับรถยนต์ได้สบายๆ
   ระหว่างทางผมเห็นนักขี่จักรยานหลายคน ต่างคนต่างมาจะ ไม่ได้จัดทริปกันมา ณ วินาทีนั้น ผมบอกกับตัวเองว่า ผมจะต้องมาที่นี่อีกครั้งด้วยจักรยานอย่างพวกเขาบ้าง
   แต่เข้าประเทศฟินแลนด์ นอร์เวย์ และประเทศในย่านสแกนดิเนเวียเขาต้องใช้วีซ่านี่หว่า แม้จะเป็นวีซ่าแบบเชงเก้น (วีซ่ารวมที่ใช้เข้าออกได้ทุกประเทศในกลุ่ม EU) แต่มันก็ต้องใช้เวลาในการดำเนินการ ผมเหลือเพียงแค่ 7 วัน แถมวันๆ ช่วงนี้ยังต้องไปเข็นของส่งปากคลองตลาดประจำอีกด้วย
   โถ กรรมของจับกังอย่างผมจริงๆ
   จะได้เข้าสแกนดิเนเวียหรือไม่ ผมไปขอวีซ่าแบบ on arrival จากที่โน่นได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ เอาล่ะโว๊ย งานนี้มีลุ้น
   แต่ก็ต้องคิดแผนสำรองกรณีเข้าไปสแกนดิเนเวียไม่ได้ นั่นคือผมจะตลุยเมือง Saint Petersburg แทน เมืองแห่งศิลปวัฒนธรรม มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน

   “น้องหญิงๆ จะไป Brussels เมื่อไหร่ครับ” ผมโทรหาน้องคนหนึ่งที่จะไปประจำการที่กรุง Brussels ประเทศ Belgium เร็วๆ นี้
   “ไป 14 เมษายน ค่ะพี่”
   “พี่จะเข้ายุโรปหรือ” น้องหญิงถามย้อนกลับมา
   “พี่ไปธุระที่ Moscow แต่อยู่นั่นแค่ 2 คืน แล้วไม่รู้ไปไหนต่อดี” ผมก็ตอบไปตามซื่อ นี่ถ้าผมมีเพื่อนอยู่ใน Moscow หรือในรัสเซียก็ดีสินะ คงไม่ต้องคิดวางแผนอะไรมากมาย
   “ถ้าพี่จะเข้า Brussels ไปก่อนก็ได้ จะโทรบอกเพื่อนให้”
   “อืม จ๊ะ ไม่เอาดีกว่า ไม่รู้จักเขา เกรงใจตายเลย”
   ถามสารทุกข์สุกดิบกันสักพักก็วางสายไป แล้วก็นึกถึงเพื่อนคนอื่นๆ ตามมา ถึงตอนนี้ใครอยู่ประเทศไหน ผมเก็บไว้หมด เพราะเผื่อมีแผนการณ์อะไรใหม่ๆ จะได้ติดต่อกันโดยทันที

   ตลอดวันนี้ทั้งวันยังคงเป็นคนงานขนส่งสินค้าครับ แต่วันนี้เหนื่อยเป็นพิเศษ ต้องไปซื้อของเข้าร้าน คือไปรับของจากร้านอื่น แล้วนำมาเก็บในโกดังของตัวเอง ก็ต้องยกขี้นรถเอง และพอถึงร้านก็ต้องยกลงและจัดเรียงเอง
   ไปส่งของปากคลองตลาด ระหว่างนั่งรอลูกค้าจ่ายเงิน หยิบเอาหนังสือแพรวเดือน กพ มาอ่านเล่น เห็นโฆษณาอันหนึ่ง อ่านแล้วต้องอ่านซ้ำอีกหลายเที่ยว และอ่านกันทุกตัวอักษรอย่างละเอียด
   เขาโฆษณาเกี่ยวกับนิตยสารรถยนต์ชื่อดังของญี่ปุ่นคือ Option จะมีภาคภาษาไทยแล้ว เร็วๆ นี้
   ที่ผมอึ้งก็เพราะ ผมอยากทำนิตยสาร Option ภาคภาษาไทยเป็นอย่างมาก เมื่อปี 2000 ปีที่ผมหยุดพักการผลิตนิตยสาร Racing Club นั้น ผมเองก็คิดถึงการกลับมาอีกครั้งของนิตยสารเล่มนี้ มันจะออกมาแนวไหนดีที่จะอยู่ยั้งยืนยง ขายโฆษณาได้ง่ายๆ หน่อย มีเนื้อหาสาระแบบครอบคลุมรถบ้านและรถแต่ง ซึ่งผมมาลงตัวเอาที่การอยากได้นิตยสาร Option มาแปลเป็นภาษาไทยนี่แหละ
   ช่วงปีต่อมาผมคุยกับเพื่อนญี่ปุ่นสองคนที่อยู่ฮอกไกโด เขาทำธุรกิจรถยนต์มือสอง เรารู้จักกันตอนไปแข่งเรือใบนานาชาติ ผมบอกเขาว่าผมอยากทำนิตยสาร Option เป็นอย่างมาก เขาพอจะช่วยผมได้ไหม จำได้ว่าบอกเขาอยู่หลายครั้งหลายหน
   เขาตอบมาทันทีว่ามันยากมาก ไทยเป็นประเทศเล็กๆ หากทาง Option จะขายลิขสิทธิ์ คงจะต้องเป็นภาษาสากล และจะต้องมองตลาดใหญ่อย่าง USA เป็นที่แรก
   ตอบมาแบบจริงใจ โดนใจจริงๆ ครับ ผมไม่รู้จักใครในญี่ปุ่นมากไปกว่านี้ ก็เลยพับความฝันนั้นเก็บใส่ลิ้นชักไว้
   มาวันนี้ มันมีคนหยิบเอาความฝันของผมไป ผมถึงอึ้ง ถือนิตยสารเล่มนั้นอยู่ในมือนานมาก รู้สึกดีใจกับเด็กไทยที่จะมีนิตยสารดีๆ ให้อ่านกัน
   แต่โดยส่วนตัวแล้วผมเสียใจเหลือเกิน ผมอธิบายไม่ถูกนะ ผมไม่มีศักยภาพพอที่จะทำอย่างเขา ไม่รู้จะไปพูดคุยติดต่ออะไรกับใคร เห็นเขากำลังจะเปิดตัว ก็ได้แต่ทำตาปริบๆ
เหมือนเด็กคนหนึ่งกำลังมองผลไม้ที่อยู่สูงบนต้น หยิบอย่างไรก็ไม่ถึง แต่แล้วจู่ๆ ก็มีคนมาพร้อมกับเก้าอี้และตะกร้อ จัดการสอยผลไม้นั้นไปเสีย
   จะว่าเว่อร์ก็ได้นะ ผมน้ำตาซึมเลยล่ะ
Title: Re: มีค 53
Post by: O'Pern on March 19, 2010, 09:12:40 pm
19 มีค 53
   
   “พี่ไม่ใส่แม็กหรอ รถรุ่นนี้แต่งขึ้นนะ รถเพื่อนผมยังเอาไปแข่งดริฟท์เลย”
   “ดริฟท์ที่เขาขับแล้วตูดมันปัดไปปัดมาน่ะ”
   “ผมเคยนั่งกับเพื่อน ดริฟท์ทีนะ หญิงมองตรึม”
   ผมปล่อยให้เขาพูดไปเรื่อยๆ ได้แต่ยิ้มแห้งๆ ตอบเขาไป
   บทสนทนาเริ่มต้นขึ้นในโกดัง เขาเป็นคนมาส่งของที่ร้านผม และเผอิญที่รถผมจอดอยู่หน้าโกดังพอดี พนักงานส่งของหนุ่มช่างคุยช่างพูด เขาคงจะชอบรถยนต์เหมือนวัยรุ่นหลายๆ คน โดยเฉพาะเรื่องดริฟท์
   “เพื่อนผมมันลงเครื่องเจพี่ วิ่งเร็วน่าดูเลย” เขาพูพร้อมกับเดินวนเวียนไปมาดูรถผม
   “180 นี่ก็ลงเจได้นะพี่”
   ผมยิ้ม ไม่ได้ตอบอะไรเขาไป กลัวเรื่องยาว สักพักเขาก็ลงของเสร็จแล้วก็ลากลับไป
   ตลอดวันนี้ผมยังคงขับรถส่งของ เข็นของส่งให้ลูกค้า ช่วงนี่ออกส่งของแทบทุกวัน เพราะเมื่อใดที่คนงานขาด ก็มักจะเป็นคิวของผมที่ต้องทำงานแทน จะเรียกว่าชีวิตผมผูกอยู่กับพวกเขาก็ไม่ผิด
   ส่งของที่ปากคลองตลาดอีกแล้ว เจอฝรั่งยืนงงกับแผนที่ ผมปรี่เข้าไปเสนอตัวเหมือนเช่นทุกที แต่คราวนี้ไม่เหมือนทุกที
   “สวัสดีครับ มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ” ผมพอพูดภาษาอังกฤษได้เล็กๆ น้อยๆ
   “No No Thank you” เขาตอบเสียงห้วนๆ พร้อมกับพับแผ่นที่เก็บอย่างเร็ว และรีบเดินหนีผมไป
   เล่นเอาผมหน้าชาไปเลย เขาคงโดนคนไทยหลอก หรือไม่ก็มีข้อมูลมาว่าให้ระวังคนที่มาคุยด้วย มาตีสนิทด้วย
   ก็น่าหรอกนะ พี่ไทยเราเก่งในเรื่องที่คาดไม่ถึงเสมอ โดยเฉพาะเรื่องการโกง เริ่มกันตั้งแต่คนงานระดับล่าง ไปจนถึงนายกรัฐมนตรี
   ตลาดย่านนี้มีฝรั่งเดินกันเยอะมากครับ เห็นคนหนึ่งเดินสูบบุหรี่ แต่สักพักเขาหยุดและก้มลงเอาบุหรี่ถูกับพื้นจนดับ แล้วถือบุหรี่นั้นไว้ ส่วนสายตาก็มองหาถังขยะ
   เฮ้ย ผมไม่เคยเห็นคนไทยทำแบบนี้เลย ของเรามีแต่ทิ้งแล้วใช้เท้าขยี้ แต่ที่มีมากกว่านั้นคือดีดแม่งทิ้งทั้งยังงั้นเลย ไม่ได้ดับไฟก่อนอีกด้วย อันนี้พบได้ตามท้องถนน คนสูบบุหรี่ขณะขับรถทุกคน ล้วนแล้วแต่ใช้ดีดทิ้งทั้งนั้น ย้ำว่าทุกคน
   
ขากลับบ้านแวะตลาดนัดข้างทาง มองหาของกินมื้อเย็นสักหน่อย ตลาดนัดแถวบ้านผมขายของแบบชาวบ้านๆ ครับ ไม่ค่อยมีของหรูหราแพงๆ หรอก มีแต่ของห่วยๆ ของถูกๆ แต่วันนี้เจอของแปลก ไม่คิดว่าจะได้เห็น มันคือมันฝรั่งทอดแบบทอดทั้งหัว
   ผมเคยกินมันฝรั่งทอดหน้าตาแบบที่ที่ตลาด ทงแดมุน โซล เกาหลีใต้ เขาเอามันฝรั่งมาหั่นเป็นแว่น แต่ไม่ได้ตัดขาดจากกันนะ ใช้ใบมีดพิเศษ มันจะเป็นชิ้นเดียวยาวติดต่อกันตลอดลูก เสียบในไม้ยาวๆ ทอดแล้วโรยเกลือ กินร้อนๆ อร่อยดี เขาขายไม้ละ 1000 วอน ประมาณ 40 บาท
   ที่ตลาดบ้านผมทำเหมือนกันเป๊ะ ขายไม้ละ 20 บาท แต่กัดกินแล้วรสชาติยังไม่เหมือนว่ะน้อง ของแท้เขาหั่นหนาหน่อย เคี้ยวแล้วมีเนื้อ ไอ้แถวบ้านผมเขาหั่นบาง แถมทอดนาน กลายเป็นมันฝรั่งกรอบไปฉิบ อืมม จะว่าไปคนอื่นเขาอาจชอบแบบกรอบก็เป็นได้นะ
   กินเสร็จนึกขึ้นได้ เฮ้ย นี่มันอ้วนนี่หว่า
   กลับมาบ้านเจอลูกก็อ้าแขน เขาก็วิ่งมากอด เล่าโน่นนี่ว่าวันนี้เขาเล่นอะไรบ้าง ทำอะไรบ้าง
ผมหอมเขา มองตาแล้วบอกเขาว่าผมรักเขามาก
Title: Re: มีค 53
Post by: O'Pern on March 20, 2010, 11:07:23 pm
20 มีค 53
   เช้านี้ส่งของที่ตลาดวงเวียนใหญ่ ผมบอกให้คนงานวิ่งลงไปจองที่จอดรถให้ เขาว่าไม่กล้า เขากลัวพวกรถสามล้อต่อย เลยบอกว่าไม่ต้องกลัว เขาไม่ทำอะไรหรอก ให้ไปกับผม ว่าแล้วก็จอดรถไว้ แล้วเดินไปกับคนงาน เดินเข้าไปในดงรถตุ๊กๆ พอรถออกก็ยืนจองที่จอดรถไว้ รถคันไหนจะเข้ามาจอดก็บอกเขาว่าจะมีรถกระบะมาลงของ
   พวกนี้เขาเจ้าถิ่นครับ คือเขาต้องจ่ายเงินค่าจอดให้แก่หัวหน้าคิว ไอ้หัวหน้านี่ก็เอาไปให้กับเจ้านายมาเฟียอีกทอดหนึ่ง
   แต่เจ้าถิ่นก็มักจะเก่งแต่แค่ในถิ่นตัวเอง เหมือนหมาน่ะครับ อยู่ในบ้านเห่าอย่างดังเลย ใครอย่าแหยมเข้ามาข้ากัดแหลก เออ เอ็งเก่ง แต่พออยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง พวกหมาเจ๋งๆ นี้ไปไม่รอดครับ สู้หมาข้างถนนที่ติ๋มๆ ไม่ได้ พวกนี้เขาปรับตัวเก่ง รู้จักโอนอ่อนผ่อนตาม อย่างน้อยก็เรื่องการข้ามถนน หมาบ้านสู้หมาข้างถนนไม่ได้แน่ๆ
   คนนักเลงก็เช่นเดียวกันครับ มักจะเก่งแต่ในถิ่นตัวเอง เก่งตอนรวมตัวรวมกลุ่มกัน พอคนเยอะๆ ไอ้พวกนี้แม่งจะเก่งมาก เก่งฉิบหายเลย เขาถึงเรียกว่าพวกหมาหมู่ไงครับ เพราะถ้าอยู่ตัวคนเดียวมันจะจ๋องมาก เดินก้มหน้าก้มตา น่ารักสิ้นดี
   
   เหลืออีก 5 วัน ผมจะต้องเดินทางไปประเทศรัสเซีย ข้าวของผมไม่มีอะไรมาก ที่เป็นห่วงตอนนี้ก็คือเรื่องกล้องถ่ายวีดีโอ กล้องตัวเก่าแบตฯเริ่มเสื่อมแล้ว แต่ปัญหาใหญ่กว่านั้นคือมันมีอาการเหมือนหัวเทปสกปรก ผมใช้กล้องแบบ Mini DV ครับ เป็นเทปเล็กๆ ข้อดีคือคุณภาพของภาพสูงกว่า DVD ข้อเสียก็คือตัวกล้องมันหนากว่าแบบที่บั้นทึกด้วยแผ่น DVD ยิ่งเจอกล้องรุ่นใหม่ๆ บันทึกด้วย Hard Disk นี่ยิ่งเบาเข้าไปใหญ่ แต่คุณภาพของภาพจะต่ำกว่า เขาถึงออกรุ่น HD ตามมาไง
   ยังดีที่ระบบไฟในรัสเซียเป็นแบบ 220 V เหมือนกัน ผมแค่เตรียมอแดปเตอร์แปลงขาเสียบ จากขาแบนเป็นขากลม เท่านั้นเป็นใช้ได้
   เห็นโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ๆ ของ Sony เขาถ่ายวีดีโอได้ในระดับ HD น่าทึ่งที่มือถือเครื่องเล็กๆ สามารถทำได้ แถมถ่ายได้ถึง 1.30 ชม ก็เลยหาข้อมูลดู การหาข้อมูลของผม มักจะมองหาข้อเสียก่อนครับ ดูรุ่นที่เราชอบไว้ ไม่ต้องไปมองข้อดี มองแต่ข้อเสีย อ่านดูแล้วพิจารณาว่าเรารับได้ไหม มันเกิดขึ้นบ่อยไหม ทางบริษัทเขาแก้ไขปัญหาอย่างไร ฯลฯ
   อ่านไปอ่านมา พบว่าไม่ว่าโทรศัพท์อะไรก็ล้วนมีข้อเสียครับ เลยจนแล้วจนรอดก็ยังสรุปไม่ได้เสียที ไม่แน่อาจต้องซื้อเครื่องถูกๆ มาใช้งานแก้ขัดไปก่อน แต่ไม่แน่เหมือนกันว่าไอ้เครื่องถูกๆ นี่แหละ มันอาจคือตัวจริงก็เป็นได้ เพราะผมเป็นคนที่ใช้อะไรไม่พังจะไม่ยอมเปลี่ยน ไอ้ที่เปลี่ยนนั่นแหละ คือมันพัง ไม่ก็จวนเจียนแล้ว
Title: Re: มีค 53
Post by: O'Pern on March 25, 2010, 11:21:31 pm
21 มีค 53
   ตื่นเช้ามาก็จริง แต่ก็ได้แต่ขี่จักรยานเล่นแถวบ้าน วันนี้ผมมีธุระ ไปไหนนานไม่ได้
   ตอนสายไปคอนโดไอวี่ วันนี้เขามีประชุมลูกบ้านเป็นครั้งแรก ผมไม่เคยอยู่คอนโดมาก่อน ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรกับเขานัก ก็เลยเข้าประชุมกับเขาดู เป็นการประชุมที่แปลกจากที่เคยพบ เพราะผมไม่รู้จักใครสักคนในห้องนั้นเลย
   ทางคอนโดเขาจัดเรือรับส่งให้ ผมเองก็สนใจ นอกจากฟรีแล้วยังสนุกกว่าขับรถเป็นไหนๆ แต่ลืมไปว่าเรือมันนั่งได้แค่ 20 คนครับ และคนคิดจะดื่มด่ำกับบรรยากาศแบบผมมีเยอะ เอาเข้าจริงคนแน่นครับ เห็นเรือแล่นออกไปพร้อมกับมีคนต่อคิวอีกยาว ผมว่าให้ขับอีกสองหรือสามเที่ยวก็ยังไม่พอ หนำซ้ำผมเป็นห่วงตอนขากลับ เราจะต้องมาแย่งกันขึ้นเรือแบบนี้อีกหรือ ผมไม่ถนัดการเบียดแย่งกับใคร คนไหนมาเบียดก็ให้เขาไปก่อน เขาคงรีบกว่าเรา กลายเป็นว่าตัวเองเลยช้าอยู่คนเดียว
   ตัดสินใจขับรถไปเองครับ เข้าไปลงทะเบียนแบบงงๆ กรอกรายชื่อ เซ็นรับเอกสาร ทำตามขั้นตอนต่างๆ มีเสียงโทรศัพท์เข้ามา
   “พี่เปิ้ล ๆ ไปประชุมกับเขาหรือเปล่า” รุ่นน้องที่คอนโดโทรมาหา เราเพิ่งรู้จักกัน
   “ใช่ครับ ผมอยู่หน้าห้องประชุมนี่แหละครับ”
   “เข้ามาเลยๆ เดี๋ยวเจอกัน” ผมตอบไปก็ดีใจไปที่พอจะมีคนรู้จักอยู่บ้าง
   ผมใส่สเวตเตอร์แขนยาว กางเกงยีน รองเท้าหนังสีดำ คือแต่งให้เรียบร้อยเข้าไว้ ไม่รู้ว่าต้องประชุมอะไรกับใครบ้าง แต่คนอื่นเขาเล่นกันแบบสบายโครตๆ เลย กางเกงขาสั้น รองเท้าแตะ ผู้หญิงนี่เล่นเสื้อกล้าม เสื้อสายเดี่ยว ก็สนุกดีครับ แปลกไปกว่าที่เคยเจอเยอะ
   รุ่นน้องชวนผมนั่งด้วยกัน แต่นึกยังไงไม่รู้ ผมอยากนั่งคนเดียว ก็เลยเข้าห้องประชุมทีหลัง ห้องประชุมบรรยากาศดีครับ อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา
   การประชุมมีหลายวาระ แต่หลักๆ คือเลือกกรรมการ ตอนแรกผมคิดอยากเป็นกับเขาด้วย แต่มาสะดุดตอนกลัวเขาเรียกประชุมแล้วผมไม่ว่าง ผมอาจติดธุระ อาจกำลังเข็นของส่งของอยู่ปากคลองตลาด เอ๊ะ นี่เขารู้ไหมนี่ว่าคนเข็นผักอย่างผมจะไปเป็นกรรมการกับเขาด้วย
   โชคดีมีคนโดดเด่นกว่าผมเยอะ มีทั้งวิศวกรโยธา นักตรวจสอบบัญชี หมอ ฯลฯ เลือกเสร็จก็เฮโลกันไปกินข้าว คนแน่นแบบสุดยอดมาก ก็ต่อคิวกันไปตามธรรมเนียมครับ คนเยอะแบบนี้เลือกอะไรมากไม่ได้ มันเกะกะคนอื่นเขา ได้แต่รีบๆ ตัก รีบๆ กิน
   เดินถือจานไปโต๊ะไหนก็ถูกจองหมด สุดท้ายไปนั่งกับเพื่อนบ้านท่านหนึ่ง เขาคุยกันในกลุ่มเรื่องการเดินทางในต่างประเทศ ผมเลยถือโอกาสแอบฟัง ท่าทางสนุกดี
   กินเสร็จผมเดินไปดูที่ท่าเรือริมน้ำ โอ้โห คนรอเรือกลับคอนโดเพียบเลยโว๊ยย โชคดีที่เราขับรถมา มันดีกว่ารอเรือมารับท่ามกลางแดดแรงจัดตั้งเยอะ แถมรอกันแบบไม่มีคิว คือใครวิ่งลงเรือได้ก่อนเป็นผู้ชนะ เฮ้ยยย แบบนี้ผมไม่ชอบ
   ตกเย็นไปคอนโดไอวี่อีกรอบ พาภรรยาและลูกไปว่ายน้ำ ส่วนผมเล่น Fitness ยืนดูเขาว่ายน้ำอยู่ในห้องกระจกชั้นบน ผมไม่ได้เข้าห้องออกกำลังกายอย่างนี้มาเป็นสิบปีแล้ว วันนี้รู้สึกตื่นเต้นและสนุก เริ่มจากวิ่งเบาๆ ไป 30 นาที จะว่าเบาก็ไม่เชิง เพราะผมปรับให้ทางลาดชัน 12% และตอนวิ่งบนพื้นราบ (0%) ผมถือดัมเบลข้างละ 2 กก วิ่งอยู่สัก 15 นาทีเห็นจะได้ พอลงจากลู่วิ่งมานี้เดินตัวปลิวเลย เหงื่อซ่ก
   จากนั้นก็ไปออกกำลังกายกับเครื่องแบบ Station เล่นมันหมดทุกตัวเลยครับ ใหม่ๆ ไม่คุ้น ปรับไม่ค่อยเป็นก็มี ใช้วิธีอ่านวิธีการใช้ที่เขาติดไว้ แต่ก็ทำแบบเก้ๆ กังๆ ผมใช้เวลากับแถวนี้ไปราว 1 ชม ขับรถกลับบ้านแทบจะไม่มีแรงยกแขนมาจับพวงมาลัยเลยล่ะ ไม่ได้เว่อร์
   ขากลับพากันไปกิน MK สุกี้ สั่งกันเต็มโต๊ะ ผมเน้นผัก เห็ด เต้าหู้ ลูกกินคล้ายๆ กับผม ภรรยาชอบพวกปลาหมึก เซี่ยงจี้
   กลับบ้านผมขออาบน้ำคิวแรก เสร็จแล้วก็ชิงหลับก่อนใครเพื่อนเลย

22 มีค 53
   ขี่จักรยานวอร์มเล่นๆ แถวบ้าน หมู่นี้ไม่ได้ไปไหนไกลเลย
   ตลอดวันนี้ผมทำงานเข็นส่งของเช่นเคย อากาศร้อนจัดจนแสบผิวก็ทนกันไป มีหมวกปีกกว้างเป็นอุปกรณ์ที่ผมใช้ติดตัวประจำ
   ส่งของแบบแทบไม่มีเวลาพัก กลางวันกินแค่น้ำเต้าหู้ และเมล็ดทานตะวัน จวบจนถึงเย็นก็มีแค่เมล็ดทานตะวันให้แทะเล่น งานเยอะครับ ลูกค้าต้องการสินค้าเร็ว ก็ต้องบริการเขาอย่างเต็มที่
   กลับมาบ้านเอาเกือบจะ 4 ทุ่ม เห็นแฮนด์ตรงของรถ KHS ที่ให้เพื่อนยืม เพื่อนคนนี้พบกันใจเวปจักรยาน เขาขี่ผ่านบ้านผม ก็เลยเปิดบ้านต้อนรับ ผมเห็นเขาขี่รถมินิแต่แฮนด์ตัดสั้นเหลือเกิน เขาเป็นคนตัวโตสูงใหญ่ ผมเลยให้แฮนด์ที่ยังไม่ได้ตัดแก่เขาไปลองใช้ ผมว่าน่าจะเหมาะกับสรีระเขามากกว่าแฮนด์สั้นกุด
   เป็นอันว่าเขาขี่แล้วชอบ จะขอซื้อ ผมขายไม่ถูก เลยยกให้ เขาบอกเกรงใจ ไม่กล้ารับ เลยบอกเขาว่าให้เอาไปใช้ เบื่อแล้วค่อยเอามาคืน เจอกันอีกทีที่ทริปบางปะกง เขาไปซื้อแฮนด์ใหม่แล้ว บอกว่าจะเอามาคืนให้ผมที่บ้าน
   มาวันนี้เขาเอามาคืนแล้ว พร้อมกับฝากแคตตาล็อคแร็คของ Thule ปี 09 มาให้ผม 1 เล่ม แหม ถูกใจจริงๆ ครับ เพิ่งรู้ว่า Thule เขาก็มีกล่องใส่จักรยานแบบ Hard Case เสียด้วย
   กลับมาบ้านแบบหมดแรง เข้าห้องไปลูกก็นอนหลับแล้ว ผมเลยหลับตามเขาไป

23 มีค 53
   เช้าเอารถ KHS F20-W ออกขี่ คันนี้จอดมานานเกือบเดือน เอามาให้ล้อมันหมุนบ้าง ให้สายเกียร์สายเบรกมันขยับบ้าง แต่ก็ขี่ไม่นานเท่าไหร่เลย สัก 30 นาทีเห็นจะได้
   ยังคงทำงานส่งของอยู่ตลอดวันครับ คนงานถามผมว่าเหนื่อยไหม ผมยิ้ม บอกเขาว่ายิ่งยกของมากเราก็จะยิ่งแข็งแรง เราได้ออกกำลังกาย เราตากแดดก็ได้วิตามินดี กระดูกและฟันเราจะแข็งแรง เขาทำหน้างง
   มีคนงานบางคนอู้งาน ผมก็เลยบอกเขาไปว่าอย่าสนใจเขาเลย เราทำงานของเรา ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด งานของเราต้องบริการลูกค้า ต้องส่งสินค้าให้รวดเร็ว จัดเรียงจัดวางให้ถูกใจเขา แม้จะเหนื่อยก็ไม่เป็นไร แค่พักก็หายเหนื่อยแล้ว เขาบอกไม่ค่อยมีเจ้าของที่ไหนมายกของกับคนงาน ผมยิ้มไม่ได้ตอบอะไรเขา บอกแค่ว่าช่วยๆ กัน
   การช่วยคนอื่นแม้จะทำให้เราเหนื่อยไปบ้าง แต่เป็นความเหนื่อยที่มีความสุข มันสุขใจที่เราได้ช่วยเหลือเขา แม้เพียงจะเล็กน้อยก็เถอะ ยิ่งช่วย เราก็ยิ่งมีความสุข
   คนเราจะชนะกันด้วยวิธีคิดครับ การคิดดี คิดบวก ทำให้จิตใจเราสงบและสุขสบาย ขนาดรถผมพังกลางถนนผมยังดีใจ เออ โชคดีนะนี่ที่มันพังแค่นี้ มันพังแถวนี้ ดีที่มันไม่ไปพังตอนเราไปเที่ยวต่างจังหวัด อะไรทำนองนี้
   ในขณะที่บางคนจะคิดโมโหรถ ทำไมมันพังบ่อยจัง ทำไมเสือกมาพังตอนนี้ ฯลฯ หารู้ไม่ว่า ต้นเหตุก็คือคนขับนั้นแหละที่ไม่ได้ดูแลรถอย่างดีพอ
   ทุกวันนี้จิตใจผมเป็นสุขและสงบเอามากๆ ขับรถก็ไม่เคยโมโหใครบนท้องถนนอีกเลย (เมื่อก่อนตอนหนุ่มๆ เคยเป็นครับ) ขนาดรถเมล์มาปาดเบียดผมก็ยังเฉยๆ เบรกได้ก็เบรกไป เบรกไม่ทันก็กดคันเร่งแซงให้มันพ้นๆ ไป แค่นี้ก็จบ ไม่เห็นจะต้องมาโมโหในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เลย โกรธเขาไปเราก็ทุกข์ใจเปล่าๆ แถมบางทียั้งเก็บไปคิดเจ็บแค้น บางคนคิดจะแก้แค้น นั่นประไร ไปกันใหญ่แล้ว
   ตอนบ่ายมีโทรศัพท์มา
   “เฮ้ย เปิ้ล มึงจะมางาน Motor Show วันไหน”
   ดูเบอร์ไม่คุ้น แต่ฟังเสียงแล้วคุ้นมากๆ แม้ไม่ได้คุยกันนานหลายเดือน
   เพื่อนสนิทผมเองจากบริษัท Daimler Chrysler โทรมาชวนไปงาน Motor Show ในวันพรุ่งนี้
   “มึงว่างวันไหนก็มา พรุ่งนี้วัน VIP มะรืนวัน Press”
   ปกติผมจะไปงานวัน Press ผมจะพบพรรคพวกในวงการรถยนต์ราวปีละ 1 ครั้งก็งานนี้แหละ เพื่อนๆ ผมคือพวกนักข่าวบ้าง พวกค่าย Pr บ้าง ผู้บริหารค่ายรถยนต์ต่างๆ บ้าง แต่ผมไม่ได้ไปงานนี้มาสัก 2 ปีติดต่อกั้นแล้วเห็นจะได้
   ก็เพราะต้องคอยขับรถส่งของ เข็นรถส่งของนั่นแหละครับ แม้จะอยากไปงาน แต่ก็ตัดสินใจไม่ไป บอกแล้วไงว่ามันอยู่ที่วิธีคิด
   “เอาเป็นว่า หากพรุ่งนี้กูไปได้ก็จะโทรบอกมึงล่วงหน้าละกัน” ผมตอบไปอย่างนั้นจริงๆ ไม่ใช่แค่ให้ความหวัง แต่ผมไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องมาเข็นของส่งอย่างวันนี้อีกหรือไม่
   วันนี้กลับบ้านเร็วหน่อย ราว 1 ทุ่ม กลับมาทันเล่นกับลูก ชวนกันดูทีวี นั่งเล่นด้วยกัน ดูเขาเล่นบ้าง อ่านหนังสือบ้าง เขามานั่งตักผม เลยกอดเขาจากด้านหลัง หอมหัวเขา
   ลูกใคร ใครก็รักเน๊อะ
Title: Re: มีค 53
Post by: O'Pern on March 25, 2010, 11:53:39 pm
24 – 25 มีค 53
   คนงานขับรถชนแท๊กซี่ หน้ารถพังยับ หม้อน้ำแตก กระจังแตก ฝากระโปรงย่นเป็นรูปจั่ว ปกติผมจะขับรถคันนี้ส่งของ แต่วันนี้คนขับรถเขามาทำงาน ผมเลยเป็นเด็กท้ายรถของรถกระบะอีกคันหนึ่งแทน
   ชักสงสัยว่าทำไมเจ้าคนนี้ถึงมีแต่เรื่องร้ายๆ สอบถามว่าเขาเกิดปีใด ผมคิดว่าเป็นปีวอกเหมือนผมแน่ๆ เป็นปีชง
   “ผมเกิดปีเสือครับ พ่อบอกให้ไปไหว้ศาลเจ้าพ่อเสือเหมือนกัน ผมยังไม่ได้ไปสักที ปีนี้โดนมาเยอะแล้ว”
   เขาโดนเยอะจริงๆ ครับ ตั้งแต่ต้นปีมาเลยนะ มอเตอร์ไซค์ล้ม ตามด้วยพาคนซ้อนท้ายเอาเขาไปชนกับมุมรถตุ๊กๆ จนขาหัก (ตัวเองไม่เป็นไร) หนักหน่อยก็โดนไฟดูดจนสลบไป 1 วันเต็มๆ และล่าสุดมาก็ขับรถชนโดยแท๊กซี่ตัดหน้ากระทันหัน
   
   ยังคงทำหน้าที่ส่งของอย่างขมักเขม้น ยังไม่ได้เตรียมตัวเตรียมของเพื่อไปรัสเซียแม้แต่น้อย ตะลอนอยู่บนถนนแดดร้อนจ้า แต่พรุ่งนี้แล้วสิที่จะต้องไปธุระที่รัสเซีย ที่อุณหภูมิติดลบ (ตอนเย็น หรือตอนไม่มีพระอาทิตย์) แถมอาจมีฝน ซึ่งไอ้ฝนที่ยุโรปนี้มันมักจะเป็นละอองๆ บ้างก็ตกปรอยๆ บางที่อาจมีเทลงมาบ้าง แต่แปลกตรงที่มันไม่ค่อยมีฟ้าร้อง ฟ้าแล่บ ฟ้าผ่า ไม่รู้เหตุผลเหมือนกัน
   กลับมาบ้านเอาตอนเกือบ 2 ทุ่ม เร่งจัดกระเป๋าอย่างทันทีทันใด ผมเอากล้องวีดีโอมาล้างหัวเทปด้วยการใช้สเปรย์ Contact Cleaner ฉีดเข้าไป ปรากฏว่ามันรวนเลยครับ เซ็งฉิบเป๋ง ใส่เทปเข้าไปมันก็กินเทป กลายเป็นว่างานนี้ได้แต่กล้องภาพนิ่งอย่างเดียว
   วุ่นวายกับวีดีโอเทปอยู่นาน เพราะผมชอบถ่ายวีดีโอมากกว่าถ่ายภาพนิ่ง ผมว่ามันมีชีวิตชีวากว่า แม้ภาพจะไม่ค่อยสวยนัก แต่มันได้อารมณ์เต็มที่จริงๆ
   พรุ่งนี้ผมเดินทางแต่เช้า ภรรยาและลูกบอกจะไปส่ง แต่ผมเกรงใจ เพราะขากลับบ้านเขาจะรถติดหนักกันมาก
   “ดูแลบ้านดีๆ นะลูก เล่นของเล่นแล้วเก็บให้เรียบร้อยนะครับ” ผมบอกลูกขณะกอดเขาในอ้อมแขน
   ภรรยาหันมามองแล้วส่งยิ้มให้
   “เดินทางปลอดภัยนะจ๊ะพ่อ”
Title: Re: มีค 53 / 26 - 1 Moscow & Saint Petersburg - Russia
Post by: O'Pern on April 04, 2010, 08:44:36 pm
26 มีค 53 BKK - Moscow
   วางแผนแรกไว้ว่าจะนั่งรถเมล์ไป เอาเข้าจริงกลัวสายครับ เพราะรถเมล์เขาจอดทุกป้าย เลยไปแท๊กซี่แทน ว้า ไม่เท่เลยว่ะ ผมคงเป็นคนไม่กี่คนที่คิดว่านั่งรถเมล์ไปสนามบินแล้วเท่มั้ง
   หากนั่งรถเมล์จะใช้เวลาราวหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ แต่ถ้าแท๊กซี่ทำได้แค่ 30 นาทีเศษ หมดเงินไป 310 บาท ยังไม่นับค่าทางด่วนสองต่ออีก 45 + 25 หึหึ
   ถึงแล้วรีบเช็คอินก่อนเพื่อนเลยครับ ถ้าไปก่อนนานมาก เคาเตอร์เขายังไม่เปิดก็ต้องรอไป ผมแนะนำให้ยืนรถที่หน้าเคาเตอร์เลย เพราะหากเจ้าหน้าที่เห็นคนมายืนรอแล้ว เขาอาจเปิดทันทีก็เป็นได้ แต่ถ้าเราไปยืนรอที่อื่น คือรอให้มีคิวก่อนแล้วค่อยเข้าไปต่อ แบบนี้จะช้า เราควรเป็นผู้เริมคิวคนแรกจะดีกว่า
   แป๊บเดียวเจ้าหน้าที่ก็มาแล้ว ยกกระเป๋าขึ้นชั่ง ติด Tag เรียบร้อย ผมพูดประโยคคลาสสิค ที่เช็คอินทุกครั้งก็ต้องพูดแบบนี้
   “ขอที่นั่งริมทางเดินนะครับ”
   ถ้าเจ้าหน้าที่คนไทยก็จะคุยง่ายหน่อย แต่ถ้าเป็นต่างชาติก็ต้องพูดภาษาอังกฤษ แต่ไม่ยากอะไรหรอก เขาได้ยินแบบนี้กันจนชิน ที่นั่งริมทางเดิน เรียกว่า aisle seat ครับ ออกเสียงว่า ไอล ซีท ไม่ใช่ ไอเซิ้ล ซีท นะ ได้ยินแบบอันหลังบ่อยมากเลย เหมือนอีกคำว่า Fuel น่ะครับ ต้องเรียก ฟยีล ไม่ใช่ ฟูเอล ผิดมหันต์ถึงขั้นคุยกันไม่รู้เรื่องกันเลย
   ได้รับบัตรโดยสารมา ผมหยิบดูเวลาเครื่องออกเป็นอันดับแรก ตามด้วยหมายเลขประตูขึ้นเครื่อง โออ เหลือเวลาอีกเพียบ ผมวางแผนให้เหลือเวลาไว้เยอะๆ ก็เพราะจะได้เข้าไปในเลาจ์ของ First Class น่ะครับ ในนั้นมีอาหารเพียบ มีเหล้า ไวน์ มีอินเทอร์เนท มีที่นอน มีแม้กระทั่งห้องอาบน้ำ และบริการนวด (นวดจริงๆ)
   ถ้าเป็นสนามบินดอนเมืองแบบเมื่อก่อน เราต้องเสียภาษีสนามบินเอง เขามีตู้ให้กดหน้าทางเข้าตรวจพาสปอร์ท ตั้ง 500 บาทแน่ะ ค่าภาษี ค่าธรรมเนียม จะเรียกอะไรก็สุดแท้แต่ ภาษาไทยมันคือเงินกินเปล่า เงินที่จ่ายไปแบบฟรีๆ เหมือนโดนไถจากนักเลงข้างถนน
   เข้าไปด้านในเพื่อตรวจเอกสารเตรียมตัวออกนอกประเทศ ถึงช่วงนี้จะมีแค่เฉพาะคนเดินทางจริงๆ เท่านั้น คนที่ไปส่ง ญาติ เพื่อน เขาไม่ให้เข้าแล้วครับ
   ก่อนต่อคิวไหนๆ ต้องดูให้ดีนะ ไม่ใช่เห็นหางแถว เห็นคนไทยก็เข้าไปต่อได้เลย มีเยอะที่คนไทยนี่แหละต่อผิดคิว
   ชะเง้อคอดูว่าหน้าเคาเตอร์เขาเขียนว่าอะไรก่อน บางทีสำหรับพาสปอร์ทต่างประเทศ บางทีสำหรับคนไทยเท่านั้น โดยมากหากเป็นคนไทยจะเป็นตัวหนังสือสีเขียว และถ้าสำหรับต่างชาติจะเป็นสีแดง
   ยืนได้พักเดียวก็มีครอบครัวฝรั่งมาต่อหลังผม
   “คุณครับ คิวนี้สำหรับพาสปอร์ทไทยครับ ของคุณต้องใช้คิวด้านโน้นครับ”
   “โอ ขอบคุณมากครับ ขอบคุณครับ”
   คนไทยรอบข้างมองผมกันใหญ่ อ้าว ทำไมเรื่องเล็กๆ แค่นี้ก็ไม่ช่วยเหลือนักท่องเที่ยวกันล่ะครับพี่น้อง ปัดโธ่ ปล่อยให้เขายืนรอฟรีๆ หรอ ต่อผิดคิว เจ้าหน้าที่เขาก็ไล่ให้ไปต่อคิวใหม่ เสียเวลาโครตๆ เสียความรู้สึก แม้ว่าเราจะโง่เองก็ตาม
   หัดรู้จักช่วยเหลือคนอื่นกันบ้างสิครับ ช่วยโดยที่เขาไม่ต้องร้องขอยิ่งดี
   ตรวจเอกสารเสร็จก็เข้าด้านในได้ ผ่านด่านตรวจอาวุธและสิ่งของต้องห้าม เช่นไฟแช็ค ของมีคม ที่ไม่ยกเว้นกระทั่งกรรไกรตัดเล็บ ถ้าหากตรวจเจอก็จะโดนหยิบทิ้งถังขยะหมด ไม่มีการยกเว้น ถ้าเป็นของเหลวก็จะนำเข้าได้ไม่เกิน 100 cc หากใครจะนำของเหล่านี้ไป ก็ขอให้ใส่กระเป๋าโหลดใต้ท้องเครื่องบินแทนได้ครับ เขาแค่ห้ามนำขึ้นเครื่อง เพราะกลัวจะไปก่อวินาศภัยเท่านั้นเอง
   ของไทยเราพัฒนาตรวจเข้มตามระบบสากลแล้วครับ ต้องถอดรองเท้า ต้องถอดเข็มขัด ถอดนาฬิกา เรียกว่าหากใครอยากเดินผ่านซุ้มตรวจแบบรอบเดียวก็ขอให้ถอดทุกอย่างที่ทำด้วยโลหะออก ผมถอดจนเหลือแต่กางเกงกับเสื้อ
   ผ่านได้แล้วก็มาแต่งตัว มามองหน้ากันแบบขำขำ นั่งมองไอ้พวกคนที่ตรวจแล้วไม่ผ่าน มันต้องเดินไปเดินมา หากคิวยาว จะโดนไล่ไปต่อคิวใหม่ เซ็งสัตว์
   พ้นด่านนี้ออกมาก็จะเป็น Duty Free ครับ บอกได้เลยว่าสนามบินสุวรรณภูมิของไทยเราสวยเป็นอันดับต้นๆ ของโลกจริงๆ ครับ (ผมไม่เคยไปทุกประเทศในโลกหรอกนะ แต่ดูจากการที่เขาจัดอันดับ) กว้างใหญ่ โอ่โถง สวยงามด้วยศิลปไทย ที่ผมชอบมากคือยักษ์ และเรื่องราวเกี่ยวกับรามเกียรติ ไอ้นี่แหละไทยแท้ๆ มันต้องพรีเซนต์แบบนี้ ฝรั่งเขาทึ่ง ยืนถ่ายรูปกันเพียบ แต่คนไทยไม่ค่อยสนใจหรอก
   ผมไม่สนใจจะซื้อของใน Duty Free แต่ก็ชอบเดินดูเล่น มันสนุกดี ก็ไม่มีอะไรให้ทำมากกว่านี้นี่หว่า
   เป้าหมายของผมที่รีบเข้ามาก็เพราะจะเข้าไปในเลาจ์ของ First Class ต่างหาก หิวก็หิว แถมต้องรออีกเป็นชั่วโมงกว่าเครื่องจะออก รีบปรี่เดินไปยังเป้าหมายทั้นที
แสดงบัตรขึ้นเครื่อง และเซ็นชื่อเข้ารับบริการ ฟรีครับ
   ว่าแล้วไอ้โลโซอย่างผมที่เมื่อวานเพิ่งจะไปเข็นผักส่งปากคลองตลาด มาวันนี้มันแปลงร่างเป็นไฮโซกับเขาแล้วเฟ้ย คิดแล้วขำนะ ไม่รู้มีคนแบบผมสักกี่คน
   ผมตรงดิ่งไปยังบาร์อาหาร หยิบของที่อยากกินอย่างละนิด แต่ได้มาเต็มจาน เดินตรงดิ่งไปยังโต๊ะอินเทอร์เนทที่แอบอยู่มุมห้องด้านหลัง
   เอ๊ะ เขาปรับปรุงห้องใหม่นี่หว่า เมื่อก่อนไม่ได้จัดห้องแบบนี้ มองดูรอบๆ ตัวด้วยความงง ไม่ค่อยคุ้นเคย เห็นสาวญี่ปุ่น 2 คน ใช้เครื่องอยู่ เหลืออีก 1 เครื่อง ผมตรงดิ่งเข้าไปเสียบ
   ขณะที่ตัวเองกำลังอ่านข่าวสาร พยากรณ์อากาศต่างๆ สาวที่นั่งข้างๆ เขาเปิดเครื่องไม่ได้ หน้าจอมืดตลอด ขยัมเมาส์ หรือกดปุ่มอะไร เครื่องก็ไม่ตอบสนอง ก็เลยสละเครื่องตัวเองให้เขาใช้งาน เขาอาจมีธุระด่วนกว่าผม
   “แล้วคุณไม่ใช้หรือ” เขาถามหน้างงๆ
   “เชิญคุณก่อนได้เลยครับ” ผมตอบพร้อมส่งยิ้มกว้าง ตามสไตล์ ถ้าจะยิ้ม ก็ต้องยิ้มให้เต็มที่
   พูดจบก็หยิบจานอาหารมานั่งกินด้านหลังโต๊ะคอมฯ กินไปก็ถ่ายรูปห้องเล่นไปด้วย ถ่ายมุมอินเทอร์เนทซึ่งมีภาพด้านหลังของ 2 สาวติดมาด้วย ไม่น่าเชื่อว่าภาพนี้จะมีประโยชน์ภายหลัง
   หยิบของกินเข้าปากไปเรื่อย อันไหนอร่อย หรือไม่ค่อยได้กิน ก็หยิบซ้ำมาอีก อาหารหลากหลายดีครับ โดยมากจะเน้นแบบหยิบง่ายกินง่ายไม่เลอะเทอะ เช่นแซนวิช BLT (Bacon / Lettuce / Tomato) (แซนวิชใส่ เบคอน ผักกาดหอม และมะเขือเทศ) เค๊กชิ้นเล็กๆ หลากหลายแบบ พายต่างๆ เครื่องดื่มสารพัดชนิด ไวน์ น้ำอัดลม กาแฟ ฯลฯ ตาลายเลยล่ะครับ ใครหิวจัดๆ มาเจอแบบนี้ อาจหยิบไม่ถูก
   นั่งกินอยู่สักพัก สองสาวชาวญี่ปุ่นก็เดินออกจากห้องไป ผมยังไม่ได้เข้าไปใช้เครื่องต่อทันทีหรอก ยังกินไม่เสร็จดีเลย มีของอร่อยๆ อีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้ชิม
   อีกสัก 10 นาทีถัดมา ผมได้ยินเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ดังทีเครื่องคอมพิวเตอร์ ตอนแรกผมเฉยๆ คิดว่าเครื่องมันตั้งปลุกไว้หรืออย่างไร เห็นดังอยู่สักพัก เลยเดินไปดู
   อ้าว .. สองสาวลืมโทรศัพท์ไว้ ผมหยิบเครื่องมากดรับสาย แต่กดไม่เป็นครับ ภาษาญี่ปุ่นล้วนๆ ขนาดจะมั่วกดยังมั่วผิดเลย ญี่ปุ่นเขาใช้โทรศัพท์ของ Softbank เดาว่าเป็นระบบ CDMA (ไม่รู้ตัวย่อครับ ขออภัย)
   เอาล่ะสิ คุยไม่รู้เรื่อง แต่รู้ว่าเขาลืมโทรศัพท์ไว้
   ผมรีบเปิดกล้องถ่ายรูป ดูภาพที่ผมเพิ่งจะถ่ายไว้ มันเห็นแค่ด้านหลังของสองสาว แต่ยังดีที่เห็นชุดที่เขาใส่อย่างชัดเจน
   “คุณครับ พอจะทราบเที่ยวบินของนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นสองคนนี้ไหมครับ” ผมถามเจ้าหน้าที่เคาเตอร์ เพราะก่อนเข้าห้อง เขาจะจดบันทึกเที่ยวบินเอาไว้
   แต่เขาบอกไม่รู้ จำไม่ได้ คนเยอะ    
   เฮ้ย  ผมงงว่ะ แค่เดินไปเช็คให้หน่อยเดียวก็ไม่ทำ คนอื่นเขาเดือดร้อนมันไม่เห็นจะรับรู้อะไรเลย
   “นักท่องเทียวเขาลืมโทรศัพท์ไว้น่ะครับ ผมจะเอาไปให้เขา เขาโทรเข้ามา แต่คุยกันไม่รู้เรื่อง” ผมขยายความต่อ
   “อ๋อ งั้นฝากไว้ที่นี่ก็ได้ค่ะ”
   อืมม ดูดีนะนี่ ฝากไว้กับมึง มึงก็เอาของเขาไปแดกอ่ะดิ ขนาดแค่เปิดสมุดดูบันทึกเที่ยวบิน มึงยังไม่ทำให้เลย ไอ้สัตว์ กูคงจะเชื่อมึงหรอกนะ
   “เราคุยกันแล้วครับ ผมบอกให้เขารอข้างนอก แต่หาไม่เจอ เลยจะไปให้เขาที่ประตูขึ้นเครื่องเลย” ผมเริ่มอำเขาบ้าง เรียกว่าเกทับ
   “เห็นเขาเดินไปทางออก G ค่ะ”
   ได้ยินแล้วผมรีบวิ่งไปทันที อาหารเยอะแยะยังไม่กินไปได้ไม่เท่าไหร่เลย รีบคว้าเป้สะพายทันที
   เดินหาอยู่นานก็ไม่เจอครับ วนเวียนอยู่สัก 15 นาทีเริ่มกังวลใจ ทีแรกคิดว่าจะหาได้ง่ายๆ สักพักมีโทรศัพท์เข้ามา ผมกดรับไม่เป็น แต่คราวนี้มั่วถูก
   “สวัสดีครับ สวัสดีครับ” สถานการณ์จริงพูดภาษาอังกฤษนะ
   ไม่รู้ว่าทางโน้นเขาไม่ได้ยินหรืออย่างไร ไม่มีเสียงตอบกลับมา แต่ผมได้ยินเสียงเขาพูดเป็นภาษาญี่ปุ่น เป็นเสียงผู้ชาย
   เอาไงดีว้าา ร้อนรนใจฉิบเป๋ง รู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย ตอนนี้หายหิวเป็นปลิดทิ้ง ลืมหมดทุกอาการ
   เดินผ่านจอบอกเที่ยวบิน ผมมองหาเครื่องที่ปลายทางประเทศญี่ปุ่นก็ไม่มีสักอัน มีแต่ประเทศย่านยุโรป และฟิลิปินส์
   เห็นนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นกำลังคุยธุระกัน คิดไปพลางว่าหากผมอยู่ใกล้ๆ หมอนี่ เกิดมีโทรศัพท์เข้ามาอีก ผมจะยื่นให้เขาคุยกันซะเลย จะได้จบๆ กันไป
   แต่เขาคุยกันนานมากจนผมไม่กล้าเข้าไปสอดแทรก เลยวิ่งไปวิ่งมาแถวนั้นอีกรอบ ยังไม่เจอ ก็เลยลงไปที่ห้องเลาจ์ First Class อีกที ในมือกำโทรศัพท์ของเขาแน่น
   มีเจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินของสายการบินมาคุยกับเจ้าหน้าที่คุมห้องเลาจ์ ผมเดินไปพบพอดี เจ้าหน้าที่สายการบินกำลังสอบถามคนคุมห้องเรื่องโทรศัพท์ ผมเลยเข้าไปเสนอตัว
   “ผมเป็นคนพบเครื่องเองครับ กำลังเดินหาเจ้าของเครื่องอยู่เลย”
   “เครื่อง Boarding เรียบร้อยแล้วค่ะ ใกล้จะออกแล้ว เจ้าของเขาอยู่บนเครื่องเรียบร้อยแล้ว” เจ้าหน้าที่ภาคพื้นบอกผม เราสองคนออกเดินสาวเท้าก้าวเร็วพร้อมๆ กันโดยมิได้นัดหมาย
   เดินไปไกลเลยล่ะครับ  กลายเป็นว่าเครื่องนี้บินไปฟิลิปินส์ก่อน แล้วถึงต่อไปยังโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นอีกทอด ปัดโธ่
   ที่ประตูขึ้นเครื่องไม่เหลือใครเลยสักคน อยากส่งให้ถึงมือเจ้าของจริงๆ ก็ทำไม่ได้ แต่ก็รู้สึกดีล่ะน่า แม้จะต้องส่งผ่านเจ้าหน้าที่ก็ตาม ยังไงเจ้าของเขาก็ได้รับเครื่องคืนแน่ๆ
   เดินกลับมาช้าๆ อย่างกระหยิ่มใจ รู้สึกภูมิใจแทนคนไทยทั้งปวง เขาคงจะรู้สึกดีกับประเทศไทย คนไทยแน่ๆ เล่นเอาผมลืมหิวเลยล่ะครับ
   หมดเวลาไปกับตรงนี้ราว 45 นาที ผมเดินไปยิ้มไปตลอดทาง ผ่าน Duty Free ก็มองไปเรื่อย แต่ในใจมันยังคงคิดเรื่องความภูมิใจไม่หาย
   ผมเข้าไปที่ประตูขึ้นเครื่องตามเวลา ผู้คนมากันแน่นครับ เกือบจะหมดลำเป็นชาวรัสเซีย เพราะเครื่องบินตรงดิ่งไปมอสโคว์ โดยมากจะเป็นนักท่องเที่ยวครับ ดูจากมีเด็กเล็กๆ มากมาย ผู้คนของรัสเซียหน้าตาไม่เหมือนชาวอเมริกัน ตาของเขาจะคล้ายๆ แขกนิดๆ แต่ไม่ใช่พวกแขกขาวนะ ยังคงดูเป็นฝรั่งอยู่
   เด็กเล็กวิ่งเล่นกันเยอะ มีคนหนึ่งปีนเก้าอี้สูงแบบสตูล (Stool - ม้านั่งคนเดียว) แล้วเกิดพลาดตกลงมา ผมเอามือไปช้อนรองศีรษะของเขาได้ก่อนที่จะฟาดกับที่พักเท้าพอดีเป๊ะ ไม่งั้น ต้องมีคนเสียเลือด
   คนที่เห็นตกใจกันใหญ่ ไอ้ที่ไม่รู้สึกอะไรเลยคือตัวเด็กเอง พ่อแม่เข้ามาขอบคุณผมกันใหญ่ ผมยิ้ม บอกว่าไม่เป็นไรๆ และลูบหัวเด็กเอ็นดูเขา ผมเห็นเด็กๆ ที่ไหน มักคิดถึงลูกตัวเองเสมอ
   ทุกครั้งที่ได้ช่วยเหลือใคร ผมก็จะรู้สึกดีและภูมิใจ และคิดว่าใครๆ ก็คงรู้สึกเหมือนผม
   สักพักเจ้าหน้าที่ประกาศเรียกขึ้นเครื่อง คนพากันไปต่อคิว ผมไม่รีบร้อน ตั๋วเป็นแบบกำหนดที่นั่ง แถมยังต้องนั่งอีกราว 10 ชม ในที่แคบๆ เรียกว่าได้นั่งกันจนเบื่อไปข้างหนึ่ง
   ถึงตรงนี้เตรียมแค่บัตรขึ้นเครื่องใบเดียวพอครับ ดูแค่ว่านั่งตำแหน่งไหนก็พอแล้ว พาสปอร์ทเก็บไว้ให้ดีๆ ก่อนมาให้ถ่ายเอกสารเก็บไว้ในกระเป๋าเดินทางอีกใบ และถ้าลุยแบบ Backpack เจ๋งๆ ก็ให้สแกนหน้าพาสปอร์ทแล้วส่งเข้าอีเมลล์ตัวเอง เผื่อจะใช้ก็แค่เข้าไปโหลดในอีเมลล์ได้ทันที
   ผมได้ที่นั่งด้านแถวหน้าของผนังกั้นห้อง นั่นคือจะได้ที่ยืดขาแบบกว้างมาก ยืดกันจนสุดยังไม่ถึงผนังเลย สบายสุดเลยเลยล่ะ จุดนี้คือตำแหน่งที่ดีสุดของการเดินทางในชั้นประหยัด ( Y Class) แม้ที่นั่งจะไม่กว้างเท่ากับ Business Class แต่ Leg Room กว้างกว่าเยอะ ฮ่าๆ ดีใจ
   ผู้โดยสารเต็มลำครับ ยังดีที่ไม่ได้นั่งติดกับคนอ้วน คนตัวโต เพราะจะต้องโดนเบียดจากแขนและลำตัวของเขา ก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกนะ แต่ถ้าเจอแบบนี้จะนั่งกันไม่เป็นสุขเลยล่ะครับ อีกพวกคือกลิ่นตัวแรง มักจะเป็นพวกแขก
   ด้านหลังของผมเป็นครอบครัวชาวรัสเซีย มีลูกสาวตัวเล็กน่ารักอายุ 1 ปี 5 เดือน ชื่อ Nasha ผมเล่นกับเขาตลอดทางจนถึงมอสโคว์ แก้เบื่อได้เป็นอย่างดี อยากจับมาอุ้ม แต่เกรงใจพ่อแม่เขา
   บินยุโรปแบบนี้ได้เครื่องดีหน่อยครับ มีหน้าจอดูหนังเล่นเกมแบบส่วนตัว มีหนังและเกม เป็นสิบๆ อันให้เลือก แถมเล่นแข่งกันกับผู้โดยสารท่านอื่นได้อีกด้วย เจ๋งมากๆ มีภาพแสดงการบินให้รู้ว่าตอนนี้อยู่ถึงไหนแล้ว ผมดูแล้วมันผ่านแถวเทือกเขาหิมาลัยด้วย เฮ้ย เจ๋งว่ะ ไม่ได้ไปปีนแบบคนอื่นเขา แต่เราได้เห็นจากเบื้องบน ถ่ายรูปมาด้วยแหละ หิมะเพียบบบบบ
   ภาษาวัยรุ่น เด็กเน็ทเรียก สุโค้ย ผมไม่รู้ว่าว่าอะไร คงจะสุดยอดมั้ง (เดา)
   สักพักเขาปิดไฟให้ผู้โดยสารนอนกัน ผมไม่ค่อยหลับหรอกครับ ได้แค่หลังตา พักสายตา นอกหน้าต่างสว่างโร่เลยนะ ต้องปิดม่านหน้าต่างน่ะ ถึงจะมืด ช่วงนี้พนักงานบนเครื่องบินเขาพักผ่อนกัน ถ้าใครอยากได้อะไรก็เดินไปหา ไปหยิบเอาเองได้ทีท้ายเครื่องเลยนะครับ อยากกินอะไรก็ขอพนักงานเขาได้ อย่ารื้อค้นหาเอง เราหาไม่เจอหรอก แถมยังจะทำของเขาไม่เป็นระเบียบเสียอีก
   โดยมากก็จะเป็นพวกแซนวิช ของขบเคี้ยวถุงเล็กๆ ผลไม้ น้ำดื่ม ถ้าเป็นเครื่องทางยุโรปนี้จะมีเบียร์ ไวน์ ชีส ฯลฯ
   ผมชอบเดินดูเล่น หยิบดูเล่น แต่ไม่ค่อยกินของเหล่านี้

   นี่แหละครับ นั่งกิน นอนกินของแท้ เมื้อยเนื้อตัวฉิบเป๋ง บินนานๆ แบบนี้ ผมชอบนั่งด้านหลังๆ หน่อยครับ ชอบมายืนคุยกันเล่นด้านท้ายเครื่อง เจอใครก็คุยไปหมดแหละ เริ่มจากส่งยิ้ม และทักทายพูดคุยว่าเป็นคนชาติอะไร จะไปไหน ถ้าเป็นประเทศดังๆ ก็จะมีเรื่องถามเขาเยอะแยะ  และถ้าเป็นสาวๆ ด้วยจะยิ่งคุยสนุกมาก ฮ่าๆ จริงๆ นะ
   พอเริ่มเข้ายุโรป หน้าต่างเครื่องบินค่อยๆ มีเกล็ดหิมะจับตัวทีละน้อย สวยดีครับ เห็นเป็นโมเลกุลที่เป็นแฉกๆ ได้อย่างชัดเจน (ถ้าโมเลกุลสมบูรณ์จะมี 6 แฉก)
   เดินไปเดินมาสุดท้ายก็ถึงเสียที เครื่องจอดลงที่สนามบินโดโมเดโดโว อ้อ เวลาที่รัสเซียจะช้ากว่าไทย 4 ชม ครับ งานนี้ผมใส่นาฬิกาตัวลุยของผมไป มันปรับเวลาได้ 2 ประเทศ วัดอุณหภูมิได้ วัดปริมาณรังษี UV ได้ ปลุกได้ เตือนทุกชั่วโมงได้ ที่เด็ดสุดและหาเรือนไหนทำได้ยากคือ บอกเวลาน้ำขึ้นน้ำลงสุงสุดในแต่ละวันได้อีกด้วย (เหมาะแก่การเที่ยวถ้ำริมทะเล)
   อีกชิ้นที่เป็นของติดตัวตอนไปต่างประเทศตลอดทุกทริปก็คือกระเป๋าเป้ของ Victorinox คนอย่างผมไม่บ้ายี่ห้อ แต่ที่เลือกอันนี้เพราะเป็นกระเป๋าเป้อันเดียวที่ผมสามารถใส่เอกสารขนาด A4 ได้โดยไม่ยับ และหยิบใช้ได้สะดวกรวดเร็ว (ใช้ใส่แผนที่) แถมยังใส่กระติกน้ำได้ 2 ใบ และล้วงหยิบของในเป้ได้ถนัดมือมากๆ
   ลงจากเครื่องแบบเร่งรีบ เพราะผมรู้ว่าคิวของการตรวจพาสปอร์ทตรวจคนเข้าเมืองนั้นยาวมาก ยิ่งลำนี้บรรทุกผู้โดยสารมาเต็มลำ
   ผมไม่เคยมาที่นี่มาก่อน ค่อยๆ เดินกลัวหลงเหมือนกัน มองหาป้ายนำทางเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น พบแล้วๆ เขาแยกการตรวจเหมือนของไทยเราเลย ซุ้มสำหรับพาสปอร์ทรัสเซียคิวยาวสุดยอด ส่วนซุ้มของคนต่างประเทศต้องขึ้นชั้น 2 เออ แปลกดีว่ะ ไปก็ได้ ถ้าผิด ถ้าหลงก็ค่อยลงมา ไม่เห็นยากอะไร
   พอมาชั้นนี้เจอแบบนานาชาติเลยครับ ฝรั่งก็มี คนเอเชียก็มี ญี่ปุ่นเพียบ เกาหลีพอมี คนยืนต่อแถวกันพอควร ไม่ยาวเว่อร์เหมือนด้านล่าง แต่มีซุ้มหนึ่งไม่มีคนมาต่อคิวเลย ผมสงสัยเพราะเห็นเจ้าหน้าที่รอตรวจอยู่ เดินไปอ่านใกล้ๆ เขาเขียนว่า “สำหรับหนังสือเดินทางอีเลคโทรนิคเท่านั้น”
   อ่านแล้วสงสัย ก็หนังสือเดินทางของไทยเราปีหลังๆ ก็เป็นอีเลคโทรนิคแล้วนี่นา (จะมีแถบให้สแกนข้อมูลของตัวเราอย่างละเอียด)
   ไม่ต้องคิดอะไรมาก สงสัยก็ถามครับ คนอย่างผมลุยๆ ไม่มีอาย
   “สวัสดีครับ หนังสือเดินทางของผมสามารถใช้ช่องนี้ผ่านได้ไหมครับ” ถามเป็นภาษาอังกฤษนะ ลุยไทยโดดๆ ไปไม่ได้รอดแน่นอน
   “ใช้ได้เลย” เจ้าหน้าที่ตอบ พร้อมกับยื่นมือมารับ พอผมส่งหนังสือเดินทางให้เท่านั้นแหละ คิวอื่นที่ต่อกันยาวๆ ต่างเฮโลมาต่อหลังผมเต็มไปหมด แหม แสดงการเป็นผู้นำเชียวนะครับนี่
   เออ แล้วตั้งนานที่พี่ๆ ต่อคิวกันมานี่ ไม่ได้อ่านป้ายเขากันบ้างเลยหรือวะนี่
   เสร็จแล้วก็มารอกระเป๋า บางสนามบินต้องเสียค่าใช้บริการรถเข็น แต่ที่นี่ฟรี เป็นสนามบินเล็กๆ ครับ ไม่ได้ใหญ่โตอย่างสุวรรณภูมิของไทยเราก็จริง แต่ขอโทษ เขามีสนามบินรายรอบเมืองอยู่ถึง 5 อัน กระจายความหนาแน่นกันไป ไม่ได้แห่กันมาจุดเดียวอย่างไทยเรา นี่คือแนวคิดที่แตกต่างกัน
   ออกมานอกอาคาร สูดอากาศของรัสเซียปืดแรกอย่างเป็นทางการ โอโหห เย็นสะใจดีครับพี่น้อง ตอนนี้ 7 C สบายๆ แต่ถ้าลมพัดมาแรงๆ ล่ะก็ ขอหลบในอาคารจะดีกว่านะ
   ผมไม่ค่อยเตรียมอุปกรณ์กันหนาวไปแบบเต็มพิกัดครับ มีแค่เสื้อแจ๊กเก็ตตัวเดียว ไม่มีชุดแบบ Long John ใส่แค่เสื้อยืดตัวเดียว กับกางเกงยีน หากหนาวก็มีแจ็คเก็ตทับชั้นเดียว แต่ผมมีหมวกคลุมหัวแบบ Hood ครับ ไอ้นี้แหละตัวเจ๋งของผมเลย ยี่ห้อ Adidas ซื้อมาจากญี่ปุ่น ชอบมากๆ แถมด้วยผ้าคลุมหน้าของ HAD (ทรงเดียวกับของยี่ห้อ Buff ที่ชาวจักรยานรู้จักกันดี) ของเยอรมัน หากเจอลมแบบไม่มีที่หลบ ก็คลุมหน้า และคลุมหัว แค่นี้จบ (แต่เอาเข้าจริงมันยังหนาวมือว่ะ อยากได้ถุงมือจริงๆ เลย)
   มาถึงตรงนี้เอาตอนเกือบจะ 6 โมงเย็น แต่แดดแรงจัดเหมือนไทยเราสัก 3-4 โมง ลมพัดแรงตามสไตล์ยุโรปเหนือ แปลกใจที่ลานจอดรถมีแต่หิมะเต็มไปหมด เอ๊ะ มันยังไม่ละลายไปอีกหรือวะนี่ นึกแล้วเท่ดีเหมือนกัน ถ่ายรูปออกมาแล้วเหมือนอยู่เมืองนอก ; )
   รัสเซียยุคเปิดประเทศแล้วรถติดหนักครับ ต้องรีบเข้าตัวเมืองมอสโคว์ เอาของไปเก็บที่พักก่อนแล้วค่อยว่ากัน ผมเอากระเป๋าเดินทางใบใหญ่แบบ Hard Shell ไป เพราะกลัวโดนกรีดเป้ วันนี้ไม่มีธุระอะไร สบายๆ
   เข้าพักที่ Crown Plaza Hotel / Moscow – World Trade Center ขอโทษนะ วันนี้จับกังขอแอบหรูหน่อย นอน รร 5 ดาว ห้องพักกว้างใหญ่ดีครับ ทีวีชัดเจนดีมากทุกช่องเลย ต่างจากโรงแรมของไทยเราที่มักจะชัดแค่ไม่กี่ช่อง ฮ่าๆ
   เฮ้ย 2 ทุ่มกว่าแล้ว ฟ้ายังสว่างอยู่เลย แดดแรงจัด เลยออกไปเดินเล่นที่จตุรัสแดง ก็เป็นจตุรัสกลางเมืองขนาดใหญ่มากๆ กว้างเว่อร์ๆ เหมือนที่อิตาลีก็มีสถานที่แบบนี้เยอะมาก ลานนี้ห้ามนำรถยนต์เข้ามา เลยเดินเล่นอย่างสบายอารมณ์ มีนักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปกันเยอะมากๆ ผมเห็นใครมากันสองคนแล้วผลัดกันถ่ายรูปก็จะอาสาช่วยถ่ายรูปให้เขา เห็นเขามีความสุขกัน ก็พลอยสุขใจไปด้วย ผมไปคนเดียว ภรรยาและลูกไม่ได้มาด้วย พอเจอบรรยากาศสวยๆ ซึ้งๆ แบบนี้ รู้สึกคิดถึงพวกเขาจับใจ
   “เราถ่ายภาพให้คุณบ้างไหม” นักท่องเที่ยวคนหนึ่งอาสาจะถ่ายรูปให้ผมบ้าง หลังจากผมกดให้เขาไปหลายรูป
   “ไม่ครับ ไม่เป็นไร”
   “ทำไมล่ะ ไม่ต้องเกรงใจ” เขาทำหน้าสงสัย
   “หวังไว้สักวันผมจะพาภรรยาและลูกมาถ่ายด้วยกันครับ” ตอบพร้อมกับส่งยิ้มแบบจริงใจ
Title: Re: มีค 53 / 26 - 1 Moscow & Saint Petersburg - Russia
Post by: O'Pern on April 04, 2010, 08:47:20 pm
27 มีค 53 Moscow
   ตื่นเช้าตรู่ตั้งแต่ 0530 ฟ้าเริ่มสว่างแล้วครับ อากาศหนาวเย็นดีมากราว 3 C โรงแรมอยู่ริมแม่น้ำ มองเห็นน้ำเป็นน้ำแข็ง หึหึ ของจริงว่ะพี่น้อง น่าจะเอาเฮลบลูบอยมาด้วย
   รร ให้น้ำดื่ม 2 ขวด ผมจะดื่มน้ำตอนตื่นนอนเช้าทันทีราว 1 ลิตร บิดเกลียวเปิดขวดซดทีเดียว แทบสำลักครับ เพราะแม่งเสือกเป็นน้ำโซดา วิ่งไปคายแทบไม่ทัน ฟองเต็มปากเลย รีบมองขวดมันเขียนว่า Soda Water วิ่งไปดูอีกขวดเขียนว่า Still Water โถๆ เขาไม่ได้แกล้ง เราน่ะผิดไปเองที่หยิบผิดขวด
   กินอาหารเช้าแบบง่ายๆ ที่โรงแรมครับ อาหารจะดีกว่าย่านสแกนดิเนเวียเยอะ ที่โน่นมีแต่ขนมปังแห้งๆ กรอบๆ กับชีส และเนื้อเย็น และผักหน้าตาประหลาด แต่ที่นี่ก็เหมือนกับยุโรปทั่วไป มีไข่ดาว เบคอน ไส้กรอก ผักสลัด ซีเรียล จะเด่นที่มีขนมปังหลากหลายดีมาก ผมชอบ French Bread เป็นที่สุด แต่เชื่อไหมว่าอร่อยสู้ร้าน Delifrance ที่ถนนสีลมไม่ได้เลย
   เวลาไม่เร่งรีบ ก็จะกินช้าๆ ซึมซับบรรยากาศไปเรื่อยๆ จานแรกไม่ต้องคิดมาก ขอเป็นของหนัก เล่นไข่ดาว 2 ฟอง สั่งทอดสุก เบคอนสัก 5 ชิ้น ไส้กรอกชิ้นเล็กๆ 2 ชิ้น ราดซอสมะเขือเทศ มัสตาร์ด และเหยาะลงอบเชยลงไปด้วย คนที่นี่ชอบเครื่องเทศแบบอบเชยกันมากครับ ผมเองก็ชอบ ชื่อสากลคือ Cinnamon
   หมดจานนี้ก็แทบอิ่มแล้วล่ะครับ ที่เหลือคือกินเล่น เจออันไหนอยากลองก็ขอมาสักอย่างละ 1 ชิ้น แต่หยิบครบทุกอย่างไม่ได้ มั้นจะล้นจานเอา โดยเฉพาะพวกของหวานอย่างขนมปังเดนิช พาย
   ผมมีธุระที่มอสโคว์ 2 วัน มีประชุมเช้าถึงบ่ายในวันนี้และพรุ่งนี้
   วันนี้มาว่างอีกทีเอาตอนบ่ายๆ เย็นๆ เลยไปเดินเที่ยวพิพิธภัณฑ์อาร์เมอรี่ แชมเบอร์ และพระราชวังเครมลิน ได้เห็นประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 850 ปีของสหภาพโซเวียต อีกทั้งยังเป็นสถานที่เก็บสมบัติล้ำค่าของชาติ ของราชวงค์โบราณรัสเซีย ตระการตาครับ
   ก่อนเข้าพิพิธภัณฑ์ที่นี่เขาต้องฝากเสื้อโค้ชไว้ด้านนอก คิดดูสิมีคนเข้าชมวันหนึ่งเป็นพันๆ คน เจ้าหน้าที่ต้องทำงานตลอดเวลา เห็นแล้วเหนื่อยแทนเลยล่ะครับ คนเก่าไป คนใหม่มา ฝากฟรีอีกด้วยครับ ทำงานกันด้วยใจจริงๆ
   เขามีหูฟังให้เช่าฟังคำบรรยายภาษาอังกฤษด้วยนะ ยิ่งถ้าศึกษาประวัติศาสตร์รัสเซียมาก่อนแล้วจะยิ่งฟังสนุก ผมฟังแล้วจับใจความได้บ้างไม่ได้บ้าง เพราะมึนกับชื่อของราชวงค์ เช่น พระเจ้าซาร์นิโคลัส พระนางแคเทอรีนที่ 1 ที่ 2 พระเจ้าอเลกซานเดอร์ที่1 ที่2 ฯลฯ
   ตกเย็นไปเดินเล่นสำผัสวิถีชาวบ้านดีกว่า เลือกไป Arbat Street ลักษณะเป็นถนนคนเดิน เน้นขายของที่ระลึก มีการแสดงดนตรีข้างถนนด้วย ผมสนใจคนหนึ่งแกเล่นกีตาร์คลาสสิค พร้อมขาย CD ก็สักแผ่นละ 300 Ruble (ราวๆ 300 บาท) แต่ดูปก CD แล้วไม่มั่นใจเลย เพราะใช้พรินเตอร์แบบ Ink Jet พิพม์ แถมมีรอยโดนหยดน้ำอีกด้วย ทำให้ตัวหนังสือเลือนหาย ดูไม่ค่อยโปรเท่าไหร่ กลัวโดนหลอก
   เข้าไปร้านหนึ่ง พนักงานชวนคุย
   “คุณมาจากประเทศใดหรือ”
   “ประเทศไทยครับ”
   “ประเทศไทยหรอ ฉันเคยไปภูเก็ต ทะเลสวยมาก น้ำใสสะอาด”
   “ถ้าคุณว่าภูเก็ตสวย ที่จริงมันมีสวยกว่านั้นอีกเยอะมากครับ แต่มันไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว เลยไม่ได้รับการโปรโมท”
   “อ้าวหรอ งั้นเกิดฉันไปประเทศไทยอีก คุณก็พาฉันเที่ยวได้น่ะสิ”
   “ได้แน่นอนครับ ผมขี่จักรยานท่องเที่ยวในไทยมาเยอะ ผมรู้จักสถานที่อีกหลายแห่งที่ไม่มีในแผนที่”
   “หาา มีสถานที่ๆ ไม่มีในแผนที่ด้วยหรือ” เธอทำหน้าสงสัยอย่างมาก
   “มีครับ มีอีกเยอะ โดยเฉพาะเส้นทางที่รถยนต์เข้าไปไม่ถึง และคนยังไม่ค่อยก้าวล่วงเข้าไป”
   ตอบจบก็ส่งยิ้ม เธอยิ้มตอบ ท่าทางจะชอบประเทศไทยจริงๆ
   วิถีอเมริกันเข้ามาสหภาพโซเวียตเยอะแล้วครับ ถนนนี้มีร้านกาแฟ Starbucks มี McDonald มี Pepsi
   ผมเป็นคนมีความรู้ไม่มากนะ แต่ผมเชื่อว่าประชาธิปไตยนั้นดี ก็ต่อเมื่อผู้คนรู้สึกใช้สิทธิของตนเอง
   อย่างเมืองไทยเราในตอนนี้นะ ผมว่าเหมาะแก่ระบอบคอมมิวนิสต์แบบสหภาพโซเวียตยุคก่อนอย่างมากเลยล่ะ

   รัสเซียเขาเด่นด้านศิลปะ และดนตรีอย่างมากครับ ยุคสหภาพโซเวียตที่เป็นระบอบคอมมิวนิสต์ ใครจะออกนอกประเทศได้ก็ต้องเป็๋นเทพระดับสุดยอด ดังนั้น การแสดงกายกรรม ดนตรี บัลเล่ย์ ฯลฯ นักแสดงเหล่านี้แหละครับ ถึงจะมีสิทธิออกนอกประเทศได้
   คืนนี้ผมเข้าชมการแสดงละครสัตว์ของโรงละครที่มอสโคว์ เป็นการแสดงของใคร อะไรก็ไม่รู้นะ คือเขาจะสลับหมุนเวียนกันมาโชว์ตลอดเวลา ช่วงแรกจะโชว์กายกรรม ก็เหมือนที่ดูกันในทีวีแหละครับ แต่พอเห็นของจริงแบบสดๆ แล้วมันน่าทึ่งกว่าเยอะมาก มีช่วงหนึ่งเขาแสดงผาดโผนแล้วพลาดตกลงมาจากที่สูง (มีสลิง) เขาก็เริ่มแสดงซ้ำใหม่ทันที เรียกว่าแสดงจนผ่าน แบบนี้เรียกสปิริตครับ
   แสดงได้สักพักก็มีเบรกเพื่อจัดเวทีใหม่ ช่วงเบรกนี้สนุกมาก คนจะไปเข้าห้องน้ำกัน ไปซื้อน้ำซื้อขนมมากินกัน เด็กๆ ชอบป๊อปคอร์น ผมเลยไปเอามาบ้าง ทำตัวกลมกลืน
   การแสดงช่วงหลังเป็นละครสัตว์ แต่มันไม่เห็นจะน่าตื่นเต้นอะไรเลย คิดว่าจะมีพวกสิงห์โต เสือ แล้วใช้แส้ควบคุม กลายเป็นกอดปล้ำกับงูเหลือม และจรเข้ที่แอบมัดปากเอาไว้ นี่ถ้ามันมาเจอลุงแย้มที่ฟาร์มจรเข้ คงจะเข้ามากราบแทบเท้า เพราะลุงเล่นเอาหัวเข้าไปสอดขณะจรเข้อ้าปาก
   มีทีเด็ดที่ผมชอบมากอันเดียวคือการฝึกแมวน้ำครับ เคยเห็นแบบเลี้ยงลูกบอล และกลิ้งไปกลิ้งมา โบกครีบ งานนี้เขาให้แมวน้ำยืนครับ ยืนตัวตรงแบบคนเลย แถมมีเปิดเพลงแล้วเดินผสมเต้นเป็นจังหวะ เดินท่าเดียวกับผู้ฝึกเป๊ะ น่ารักมากๆ
   เขาห้ามถ่ายภาพขณะแสดงครับ กลัวแสงแฟลชจะรบกวนสมาธินักแสดง และรบกวนสัตว์
   คืนนี้กลับเอาดึกหน่อย เกือบจะ 4 ทุ่ม พออาทิตย์ลับฟ้า ก็เจอกับอากาศหนาวแบบของจริง ไม่มีสลิง ไม่มี่สตั้น ไม่มีสเปเชียลเอฟเฟค หิมะขาวโพลนไปหมด
   ขำขำครับ ราว 0 C เท่านั้นเอง
   กลางคืนเข้าห้อง พบจดหมายสอดเข้ามาใต้ประตู ใจความว่า

Dear Guest
Please do not forget to set your clock 1 hour forward at 2 am on march 28th due to switch to summer time

   อ๋อ เขาให้ผมปรับเวลาร่นขึ้นมา 1 ชม นั่นเอง แหม ไม่ยาก จัดไป
Title: Re: มีค 53 / 26 - 1 Moscow & Saint Petersburg - Russia
Post by: O'Pern on April 04, 2010, 09:01:16 pm
28 มีค 53 Moscow
   ตื่นเช้ามาเดินเล่นแถวโรงแรม เห็นแม่น้ำเป็นน้ำแข็งอย่างชัดเจน นี่มันเย็นจัดได้ขนาดนี้เชียวหรือ เคยได้ยิน ได้ฟัง แต่ก็เฉยๆ พอมาเห็นด้วยตาตัวเองแล้วจะเข้าใจ นี่ขนาดฤดูใบไม้ร่วงนะครับ คือพ้นฤดูหนาวมาแล้ว ถ้าหนาวจริงๆ จะขนาดไหน
   “ก็ราว -30 C”
   เพื่อนผมตอบมาหน้าตาเฉย ที่ไซบีเรียจะหนาวกว่านี้อีก
   “หนาวแค่ไหน”
   “- 65 C”
   โหห ยิ่งกว่าช่องฟรีซอีกว่ะ มิน่าเล่า มวกของทหารรัสเซียเขาถึงทำด้วยขนสัตว์ครอบปิดมิดหมดทั้งศีรษะ แถมมีช่องเปิดมาปิดหูได้อีกด้วย
   ชักอยากไปเห็นนะ ว่าที่ไซบีเรียนั้นชาวบ้านเขาจะอยู่กันอย่างไร เมืองเป็นอย่างไร นึกไม่ออกจริงๆ
   “มีคนไปเที่ยวไซบีเรี่ยบ้างไหม” ผมถามตามความสงสัย
   “ก็พอมี แต่ยังไม่ค่อยแพร่หลายนัก มันไปลำบาก ไม่ได้ไปสบาย”
   อาหารเช้าในโรงแรมเหมือนเดิม อาหารก็เหมือนเดิม ต่างจากเดิมเล็กน้อยในรายละเอียดปลีกย่อย คือจากเดิมมีเครปสอดไส้เชดดาชีส มาวันนี้เป็นเครปสอดไส้เนื้อสับ
   ผมเปลี่ยนจากไข่ดาวสุกมาเป็นไข่ต้มแทน ลดไขมันได้บ้างนิดหน่อย แอบหยิบเอาซีเรียลใส่กล่องเล็กๆ ไว้กินเล่นระหว่างวัน นี่ยังดีนะที่หยิบออกมานิดหน่อย เพราะถ้าไปลุยแบบ Backpacker และได้พักในโรงแรมหรูล่ะก็
   เริ่มจากหยิบเอาขนมปังที่ชอบมา ผมเลือก French Bread แบบไม่ต้องลังเล เอามาผ่ากลาง หยิบเอาแฮม เบคอน ชีส ผัก มะเขือเทศ หอมใหญ่ เอามาจัดเรียงไว้ เสร็จแล้วก็ห่อด้วยกระดาษทิชชู่ผืนใหญ่ที่หาได้จากแถวนั้นแหละ จะทำสัก 1 หรือ 2 ชิ้น เอาไว้กินตลอดวัน อย่าลืมหยิบซอสมะเขือเทศมาด้วย ถ้าชอบมัสตาร์ดก็เหน็บมาด้วยกัน ส่วนน้ำดื่มก็เติมให้เต็มขวดก่อนออกลุย จะซื้อข้างนอกก็ได้ แต่แพงแบบยอมสะอึกเลยล่ะ ขวดละสัก 40 บาทเห็นจะได้ (น้ำเปล่า 500 cc) ถ้าเป็นน้ำอัดลมก็ราว 70 บาท และถ้าเป็นน้ำอัดลมในสนามบินก็จะพุ่งไปขวดละ 90 บาท
   
   สายๆ ออกไปผจญภัยเล่นในเมือง รัสเซียนี้เด่นเรื่องระบบขนส่งมวลชนอย่างมากครับ เขามีรถไฟใต้ดินมาตั้งแต่ปี 1965 ยุคนั้นไทยเราทำไรอยู่ว้าาา เขาทำสงครามมาตลอด อุโมงค์รถไฟใต้ดินเลยทำไว้เสียลึกมาก เพราะเอาไว้ให้ประชาชนใช้เป็นหลุมหลบภัยได้ด้วย แถมยังมีห้องเสบียง ประชาชนสามารถหลบอยู่และกิน อาศัยอยู่ใต้ดินราว 1 เดือน !!!
   แถมสมัยก่อนความหรูหราวิจิตรตระการตามักจะมีแค่ในวัง บ้านเรือนผู้คนก็จะเป็นแค่ตึกทรงเหลี่ยมๆ หน้าตาเชยๆ สีทึมๆ เขาจึงทำสถานีรถไฟให้สวยราวกับพระราชวัง ตกแต่งสถานีต่างๆ ไม่ซ้ำกัน เลยลองไปใช้บริการดู
เจ๋งดีครับ ราคา 28 Ruble (ราว 28 บาท) จ่ายทีเดียว ขึ้นลงได้ตลอดทั้งวัน เป็นรถไฟรุ่นเก่า แต่เร็วชมัด มาทุกๆ 2 นาที มาแบบตรงเวลาอีกด้วย ที่เด็ดสุดคือเขาออกแบบระบบระบายอากาศได้ดีมากๆ ผมยืนในอุโมงค์ลึกลงไปเกือบ 100 เมตร แต่ยังมีลมเย็นจากด้านบนพัดโชยเข้ามา อากาศเสียมันระบายออกไปทางไหน อากาศดีมันเข้ามาทางไหน อันนี้น่าขบคิด หากภาครัฐจะส่งผมไปดูงานด้านนี้อีกทีคราวหน้า จะจัดการหาข้อมูลมาให้
ลงบันไดเลื่อนในรัสเซียให้ยืนชิดขวานะครับ ให้ทางซ้ายโล่งๆ เข้าไว้ เผื่อคนที่เขาเร่งด่วนจะได้แซงขึ้นไปได้
ผมเลือกไปสถานีที่สวยๆ อยากดูงานศิลปด้านใน แล้วก็ไม่ผิดหวัง แม่งเล่นโคมไฟระย้าเลยครับ ไม่ได้มีแค่โคมเดียว ซัดไปเป็นแนวยาวตลอดทางเลย มีภาพวาดบนผนังอีกด้วย ชื่นชมคนของเขานะ เพราะไม่มีพวกมือบอนมาทำลายงานศิลปโบราณเหล่านี้เลย ทั้งๆ ที่เอามือลูบจับชิ้นงานได้อย่างอิสระ ไม่มีพวกขีดเขียน ไม่มีคุ้ยแคะแกะงัดแผ่นโมเสก สุดยอดว่ะ
ศิลปที่ผมบอกคือโมเสกครับ กระเบื้องชิ้นเล็กๆ มาจัดเรียงกันจนเป็นภาพวาด สวยโครตๆ มองไกลๆ คิดว่าภาพวาด ดูใกล้ๆ แล้วทึ้ง
ชักสนุกครับ เลยนั่งเล่นดู 2- 3 สถานี้ เดินออกแล้วก็เข้าใหม่ รอรถขบวนใหม่ ไม่กล้าไปไกล กลัวหลงทาง จะบอกให้ว่า ในสถานีรถไฟใต้ดินของรัสเซีย ไม่มีภาษาอังกฤษแม้แต่ตัวเดียว ฮ่าๆ ใครใจถึงก็ลองมาดูได้ กระทั่งป้ายทางเข้า ทางออก ป้ายชื่อสถานีต่างๆ ก็เป็นภาษารัสเซีย บางตัวพอเดาได้ แต่เชื่อเถอะว่ามันอ่านออกเสียงกันคนละอย่าง คนละโลก
แต่จะกลัวไปใย ไปกับผม ผมพาลุย หลงประจำอยู่แล้ว นี่คือรสชาติของชีวิต ตอนไปอิตาลี ผมเดินหลงทางบนเกาะ Capri งานนั้นตื่นเต้นและกลัวสุดๆ เพราะมันเป็นเกาะ ถ้าพลาดเรือนี่ไม่รู้จะทำยังไงเลย และผมหลงเข้าไปในย่านบ้านพักคน ไม่มีร้านค้า ไม่มีผู้คน เดินอยู่คนเดียวในซอยแคบๆ ที่ขับรถได้พอดีคัน อากาศก็หนาว ใกล้มืดอีกด้วย ลักษณะคล้ายเขาวงกตคดเคี้ยวไปมา เมืองบ้าอะไรก็ไม่รู้

วันนี้ออกเดินทางไปเมือง Saint Petersburg อยู่เหนือขึ้นไปจากมอสโคว์อีก บินราว 1.30 ชม นั้นคือจะต้องหนาวขึ้นอีกพอควร เพราะมันอยู่ละติจูดเดียวกับพื้นที่ในเขตสแกนดิเนเวีย อยู่บนเส้นขนานเดียวกับเมือง Helsinki ของฟินแลนด์เลยล่ะครับ เรียกว่าหากบินข้าม Gulf of Finland นิดเดียวก็จะเข้าสแกนดิเนเวียแล้ว เสียดายไม่ได้ขอวีซ่าไป เลยอยู่ได้แค่รัสเซีย
   อ้อ รัสเซียยุค 5 ปีหลังมานี้ไม่ต้องใช้วีซ่าแล้วนะครับ ตั้งแต่สหภาพโซเวียตล่มสลาย ปฏิรูปการปกครองใหม่ ก็โดนแบ่งแยกดินแดนไป 15 ประเทศ รัสเซียเองก็เซ็งครับ แต่ทำไงได้ ประเทศมันใหญ่โตเกินจะปกครองได้ ก็เลยโดนแบ่งแยกไป ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สานสัมพันธ์ไทย-รัสเซียก็มาสานต่ออีกครั้ง (ครั้งแรกเมื่อ ร5 ครับ) ไทย-รัสเซียเราสนิทสนมกันมานาน ตั้งแต่รัชกาลที่ 5 ยุคล่าอาณานิคมนั้นแหละครับ อังกฤษ ฝรั่งเศษ โปรตุเกส ต่างล่าหาเมืองขึ้นในแถมเอเชียกันใหญ่ ไทยเรานี่แหละครับที่โดนเล็งอยู่
   ร5 เลยส่งสาสน์ไปเชิญทางรัสเซียให้เสด็จมาเยือนไทย อังกฤษ ฝรั่งเศษ เขากลังรัสเซียครับ เพราะนี่คือขาใหญ่ตัวจริง ยุคนั้นอเมริกายังไม่ได้แจ้งเกิดประเทศเลยนะ พอเขารู้ว่าเราเชิญรัสเซียมาก็แอบส่งจดหมายไปบอกว่าไทยเราเป็นประเทศเล็กๆ มีโรคระบาดเยอะ อย่าไปเลย ทางรัสเซียทราบข่าวก็เลยบอกปฏิเสธ ไม่มาไทย
   ร5 ทราบข่าว เลยส่งขุนนางไปเชิญด้วยตัวเอง ทางรัสเซียเห็นความตั้งใจจริงก็เลยมา ไทยเราต้อนรับอย่างเต็มยศ มีถ่ายภาพคู่กับกษัตริย์รัสเซีย เล่นเอางงกันทั่วโลก ว่า ทำไมรัสเซียกับไทยถึงได้สนิทสนมกัน ทั้งๆ ที่อยู่กันคนละซีกโลก
   อังกฤษ ฝรั่งเศษ ก็จะเอาดินแดนให้ได้ ฮึ่มๆ กันอยู่นาน จน ร5 ท่านส่งลูกไปเรียนด้านการทหารที่รัสเซีย ฝากฝังให้ดูแลลูกให้ด้วย เท่านั้นแหละครับ ทางรัสเซียจึงออกจดหมายไปบอกอังกฤษ ฝรั่งเศษว่า
   “โปรดละเว้นการกระทำใดๆ ในประเทศไทย ดินแดนของลูกบุญธรรมของเรา”
   อึ้งกันไปทั่วหน้า จะรบก็ไม่กล้ารบ กลัวเจอของแข็งอย่างรัสเซีย เพราะประเทศนี้เขารบจริง คนเขาแกร่งจริง แถมอาวุธก็ถึงจริง ไม่ต้องคิดอะไรมาก เขาไปดวงจันทร์ได้เป็นประเทศแรกในโลกก็แล้วกัน
   รัสเซียเองก็เข้าใจอังกฤษ และฝรั่งเศษ ไทยเราจึงต้องยอมเสี่ยดินแดนในมาเลเซียให้แก่อังกฤษไป และเสี่ยดินแดนกัมพูชา ลาว ให้แก่ฝรั่งเศษไป ลองไปดูแผนที่ไทยโบราณครับ จะพบว่าเรายิ่งใหญ่มากๆ
   ขนาดเพลงสรรเสริญพระบารมีที่เปิดกันในโรงหนัง ก็ยังเป็นการแต่งทำนองของทางรัสเซียน่ะครับ คิดดูก็แล้วกันว่าสถาบันกษัตริย์ของเราสนิทกันเพียงใด
   ตอนก่อนมานี้ผมรู้สึกเฉยๆ กับรัสเซียนะ แต่พอมีข้อมูลด้านประวัติศาสต์ และรู้ว่าเขาเคยช่วยเหลือเราขนาดนี้ ทำให้ผมสำนึกถึงบุญคุณของเขานะ กลายเป็นว่าหลังจากวั้นนี้ ผมเริ่มท่องเที่ยวในรัสเซียอย่างละเอียดถี่ถ้วนมากยิ่งขึ้น
   
   ผมมาถึงสนามบินเซเรเมโตโวเอาตอนสายๆ เป็นสนามบินใหม่เอี่ยม เปิดได้ไม่ถึง 6 เดือน สภาพใหม่มากๆ ที่นี่เขาไม่ทำสนามบินใหญ่ๆ อันเดียว อย่างที่บอก เขาทำสนามบินไม่ใหญ่ แต่ทำเยอะๆ แทน ไม่ต้องมีใหญ่ แต่กูมีเยอะ โดนปิด โดนถล่ม โดนอะไรก็ไม่หวั่น เรามีสำรองเฟ้ยย
   แต่สนามบินเล็กก็ยั้งมีหลายเทอมินอลนะครับ ไม่ใช่เล็กแบบกระจิ๋วหริว งานนี้บินสายการบินในประเทศชื่อ รอสซิย่า แอร์ไลน์ เป็นเครื่องบินลำเล็กน้อย กระทัดรัด บนเครื่องเสิร์ฟแบบรัสเซียแท้ๆ คือขนมปังกลมผ่าซีก มีเนยมาให้ 1 แผ่น จบ ฮ่าๆ กินกันแค่นี้แหละ อ้อ มีน้ำให้อีกแก้วหนึ่ง พนักงานชายบนเครื่องตัวโต หน้าตาดุมาก ทำนองว่าใครไม่เชื่อฟัง กูตบฟ่ำ

   เครื่องจอดที่สนามบินพูลโคโว เมืองมหานคร Saint Petersburg อีกเมื่องใหญ่ที่ดังรองจากมอสโคว์
   บินในประเทศไมต้องตรวจเอกสารอะไร ง่ายๆ สบายๆ ออกจากเครื่องบินก็คอยมองดูหน้าจอมอนิเตอร์ว่าจะรับกระเป๋าได้ที่สายพานเบอร์อะไร แต่ที่นี่เป็นเมืองเล็ก ไม่มีงวงช้างมารับ เครื่องบินจอดกลางลาน มีรถคอยรับส่ง
   ออกมานอกอาคาร สูดอากาศปืดแรก โหหห เย็นฉิปเป๋ง น้ำแข็งแม่งเต็มเมืองกว่ามอสโคว์เสียอีก มองไปนอกอาคารเห็นทะเลสาบ โหห มันเป็นน้ำแข็งทั้งแผ่นเลยว่ะ เคยได้ยินคนเล่า พอมาเห็นจริงแล้วทึ่ง สงสัยว่าปลามันจะอยู่ได้อย่างไร
   เมือง Saint Petersburg นี้มีประวัติยาวนานครับ มีพระราชวังโบราณสวยๆ ให้ชม แน่นอน ผมไม่พลาด
   ไปชมหมู่บ้านพุชกิ้น เป็นสถานที่พักอาศัยของเจ้าขุนมูลนาย คนชนชั้นระดับสูง หนึ่งในนั้นคือ อเลกซานเดอร์ พุชกิ้น ซึ่งเป็นยอดนักกวีเอกของรัสเซีย ก็ยิ่งใหญ่อลังการ แต่ดูแล้วผมหวนคิดถึงประชาชนระดับรากหญ้านะ รู้สึกว่ามันจะแตกต่างกันมากไปหน่อย เข้าใจว่ามันคนละระดับกัน แต่หากสังคมเป็นเช่นนี้นานๆ เข้า จะเกิดการลุกฮือ เพราะเสวยสุขบนความทุกข์ประชาชน
   ตามมาด้วยการชมพระราชวังแคทเทอรีนพาเลซ วังที่มีห้องเป็นร้อยๆ ห้อง ตกแต่งแบบคาดไม่ถึงว่าจะวิจิตรพิศดารขนาดนี้ พื้นไม้เป็นปาร์เก้ แต่จัดเรียงเป็นลวดลายกราฟิค ลายดอกไม้ ฯลฯ ก็ขนาดเข้าชมวังน่ะ เขาให้สวมถุงผ้าครอบรองเท้าอีกที ป้องกันทำพื้นเขาเป็นรอย แต่ถ้าเป็นที่ญี่ปุ่น เขาจะให้เราถอดรองเท้า เดินเท้าเปล่า เอารองเท้าใส่ถุงพลาสติคและเดินถือเอาเอง
   มีห้องหนึ่งเว่อร์มากที่สุด คือประดับตกแต่งด้วยอำพัน (Amber) มันคือยางไม้ธรรมชาติ ใช้เวลานับร้อยนับพันปีในการก่อตัว เขาเอามาเรียงตกแต่งจัดวางจนเต็มทั่วห้องไปหมด ทั่วทั้งห้องสีเหลืออำพันไปหมด คนอื่นเขาดูสวยกัน แต่ไม่ใช่สำหรับผม ผมดูแล้วมันแปลกๆ มากกว่า เข้าใจว่าทำยาก ทำนาน แต่ทำแบบนี้แล้วมันจะอยู่สบายจริงๆ หรือ
   พระนางแคทเทอรีนทรงโปรดการกินอย่างมาก กินแต่ละมื้อใช้เวลาราว 4-5 ชม หุ่นก็เลยใหญ่ ผมเลยเข้าใจ อ๋อ ที่ชุดในราชวงค์ของรัสเซียเขาใส่กระโปรงสุ่มกันก็เพื่ออำพรางหุ่นท่อนล่างกันนี่เอง เข้าใจแล้วๆ ๆ ๆ นึกภาพย้อนไปถึงวันแรกๆ ที่เข้าชมพิพิธภัณฑ์ได้เลย ตอนนั้นสงสัยว่าทำไมบัลลังค์ของพระมเหสีถึงได้ใหญ่กว่าของกษัตริย์ ก็เพราะว่ามันออกแบบไว้รองรับสุ่มที่กระโปรงนั่นเอง
   มีห้องหรูๆ มากมาย มีชื่อห้องแบบง่ายๆ คือเรียกตามสีของห้อง เช่น ห้องสีเขียว ห้องสีแดง ห้องสีข้าว ห้องสีฟ้า ก็เข้าใจง่ายดีนะ โดยมากจะประดับตกแต่งด้วยทองคำ ใช้ปิดหรือทาลงบนแผ่นไม้แกะสลัก
มองแล้วนึกถึงพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติของไทยเราเลยครับ ที่ตั้งอยู่ติดกับธรรมศาสตร์ ตรงสนามหลวงนี่แหละ ผมเป็นคนชอบสิงของเหล่านี้ ผมเดินพิพิธภัณฑ์ตั้งแต่เด็กๆ ครับ อายุ 17 ผมก็เข้าชมแล้ว ไปคนเดียวนี่แหละ ค่าเข้าคนละ 10 บาท จอดรถก็ยังฟรีอีก แต่ของเราจัดวางแล้วผมรู้สึกหดหู่นะ วางของเก่าโบราณแบบไร้ค่าเลยน่ะ หอกทำสงครามของสมเด็จพระนเรศวรก็วางแม่งกองๆ ไว้งั้นแหละ มันจะของจริงแบบ Original หรือเปล่าผมไม่รู้หรอกนะ แต่ถ้าจัดเรียงให้หรูๆ จัดแสงไฟเด่นๆ พร้อมมีรายละเอียดที่มาที่ไปอธิบายแก่ผู้เข้าชม ผมว่าแจ๋วว่ะ หอกอันเดียวก็ทำให้คนยืนอึ่งทึ่งดูได้ยาวนาน ยังไม่นับของชิ้นอื่นๆ อีกนะครับ ที่ชิ้นใหญ่สุดก็คือราชรถศึก เฮ้ย ผมว่ามันยิ่งใหญ่นะ แต่ของเราแม่งเอาไว้จอดกองๆ กันไว้ ดูยังกะซาเล้ง เซ็งสัตว์
ออกมาข้างนอกก็เจอฝนโปรยครับ ปกติผมจะพกร่ม แต่วันนี้ขี้เกียจถือ ผมใช้ Hood คลุมแทนไง ภายนอกเป็นสวนสไตล์ฝรั่งเศษครับ แต่เนื่องจากหิมะตกปกคลุมหนัก เขาเลยใช้ผ้าห่อรูปปั่นศิลปต่างๆ เอาไว้จนหมด ต้นไม้สวยๆ ก็ไม่มีใบ เหลือแต่กิ่งก้าน ท้องฟ้ามีดครึ้ม บรรยากาศทึมๆ ผมเลยปรับโหมดการถ่ายภาพเป็นแบบ B&W เสียเลย บ้างก็ลองแบบ Sepia ผมว่าดูดีกว่าภาพสีทึมๆ เยอะ
ก่อนเข้าที่พัก แวะซุปเปอร์ข้างถนน แบบเดียวกับ Lotus / Big C บ้านเรานี่แหละ ของเขาชื่อร้าน Oken นี่แหละครับ ของถูกจริงๆ เรานักท่องเที่ยวแต่ซื้อราคาเดียวกับชาวรัสเซียท้องถิ่น เท่าที่สำรวจดูพบกว่าสินค้านำเข้าจะแพงกว่าไทยเรามากครับ ผมดูจากช็๋อคโกแลตน่ะครับ เพราะกินบ่อย แพงกว่าไทยเราเยอะมากเกือบเท่าตัว เลยเลือกกินแต่สินค้าที่ Made in Russia แทน มีพวกขนมปังกรอบแบบที่กินกับสลัด ช็อคโกแลตดาร์ค และขนมแปลกๆ ของท้องถิ่น ผมอยากลองดู
    อ้อ คืนนี้ผมพักโรงแรมเล็กลงมาหน่อย เหลือระดับ 4 ดาว ชื่อ Sokos Hotel Olympic Garden ห้องเล็กลงมาหน่อย วิวก็ลดเกรดลงมานิด (อันเก่าวิวชมเมืองผ่านแม่น้ำ)
Title: Re: มีค 53 / 26 - 1 Moscow & Saint Petersburg - Russia
Post by: O'Pern on April 04, 2010, 09:04:09 pm
29 มีค 53 Bomb Moscow
    เช้าวันแรกที่ Saint Petersburg อากาศไม่สดใสครับ ฟ้ามืดครึ้ม อากาศหนาวเย็น ภายนอกอาคารมีแต่หิมะ ต้นไม้ไม่มีใบสักต้น ยิ่งโดนฝนโปรย จะทำให้พื้นยิ่งลื่นมาก ผมเดินก็ยังลื่นเกือบล้มอยู่หลายหน พลางนึกถึงพวกขี่จักรยาน นี่ถ้าผมเอาจักรยานมาขี่จะเป็นอย่างไรวะนี่
   โรงแรมเล็กหน่อย ล็อบบี้เล็กๆ แต่ห้องอาหารใหญ่
   ห้องทานอาหารสวยดีครับ มีเตาผิงด้วย และใช้ไม้ฟืนสุมก่อไฟจริงๆ ด้วย ข้างนอกหนาวนี่หว่า หนาวกว่าที่มอสโคว์อีกครับ เลยได้ผิงไฟอุ่นๆ โห บรรยากาศเหมือนอยู่เมืองนอกอีกแล้ว
   อาหารเช้าโรงแรมก็ยังคงแบบเดิมๆ ครับ ไข่ ขนมปัง เบคอน ไส้กรอก แฮม สลัด ซีเรียล น้ำผลไม้เมืองหนาว เช่น แครนเบอรี่ กีวี แน่นอน ผมซัดแหลกเลย
   เดินเล่นชมเมืองครับ มันเป็นเมืองเก่าที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานไม่แพ้มอสโคว์นะ หากเปรียบกรุงเทพฯ เป็นมอสโคว์ เมือง Saint Petersburg ก็เทียบได้กับเชียงใหม่ หรือเมืองใหญ่ๆ เลยน่ะ เป็นเมืองมีเอกลักษณ์ในตัวเอง เมืองนี้มีหลายชื่อ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาหลายที หนังสือเก่าๆ จะเรียกว่า เลนินกราด (กราด แปลว่าเมือง) เลนินก็คือคนรัสเซียที่มีอิธิพลในยคุสหภาพโซเวียต
ตะลอนไปเรื่อยเลยครับ เขามี Landmark กระจายๆ ทั่วเมือง ชมเสาหินอเลกซานเดอร์ ตั้งอยู่กลางจตุรัส ชมอนุเสาวรีย์พระเจ้าปีเตอร์มหาราช สุดยอดกษัตริย์ของชาวรัสเซีย
ไอ้เรื่อง Landmark นี้สำคัญนะครับ มันทำให้บ้านเมืองสวยงาม กรุงเทพฯเรามี Landmark ไม่เท่าไหร่เลย แถมยังไม่เด่น ไม่สวยอีกด้วย คือมีก็ตั้งไว้งั้นๆ ไม่ได้ชื่นชมกันอย่างจริงจัง
ยกตัวอย่างเช่น อณุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ มีไว้เชิดชูเกียรติทหาร แล้วไงต่อ ไหนที่มาที่ไป ไหนประวัติ มีไว้ให้รถอ้อมเล่น ไอ้ฉิบหาย
อณุเสาวรีย์ประชาธิปไตยก็อีกอัน แต่อันนี้ดูดีหน่อย เพราะได้บารมีของถนนราชดำเนินมาเสริม ถนนสวย ก็ทำให้ Land Mark เด่นไปด้วย
ที่สวยสุดในกรุงเทพฯ ผมว่าคงเป็นพระบรมรูปทรงม้าครับ สวยเพราะมันโล่ง คนเดินได้ สัมผัสได้ อันนี้มันมีไว้ให้รถอ้อมเล่นจริงๆ แต่น่าเสียดาย ดันกลายเป็นที่ประท้วงของตระกูลชินวัตรและลูกสมุนไปเสียนี่ มันเป็นที่ประกอบพระราชพิธีของกษัตริย์มาตั้งแต่สมัยโบราณแท้ๆ แม้กระทั่งปัจจุบันก็ยังคงใช้อยู่เลย
Landmark ของไทยอีกอันที่สวย แต่น่าเสียดายสุดๆ ก็คื่อภูเขาทองครับ คนแทบไม่รู้จักกันแล้ว ลองถามคนรอบตัวคุณดูสิครับว่าเคยขึ้นภูเขาทองไหม คำตอบแทบจะเป็นศูนย์
เมือง Saint Petersburg ประกอบด้วยเกาะมากมายเป็นร้อยเป็นพันเกาะ จึงมีสะพานเชื่อมแต่ละเกาะมากตามไปด้วย จำกันไม่ไหวเลยล่ะครับ สะพานเพียบ หน้าตาก็เหมือนๆ กันอีก มีสะพานหนึ่งกว้างที่สุดในโลก ใช้เป็นฉากภาพยนต์เรื่อง James Bond 007 ผมจำภาคไม่ได้ แต่สวยเอาเรื่องเลยล่ะ
อีกสักพักเดียวก็เจอเรือลาดตระเวณชื่อ Aurora จอดอยู่ริมน้ำ เป็นเรือที่ปลดประจำการแล้ว เป็นอนุสรณ์แห่งการปฎิวัติการเปลี่ยนแปลงการปกครองครั้งสำคัญของรัสเซีย เรือลำนี้เคยใช้เป็นเรือพระที่นั่งของผู้แทนพระเจ้าซาร์ที่ส่งมาร่วมงานพระราชพิธีราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นเป็นกษัตริย์ในรัชการที่ 6
เรือจอดลอยลำในน้ำที่เป็นน้ำแข็ง บนฝั่งก็มีร้านขายของที่ระลึกแก่นักท่องเที่ยว ผมไม่ค่อยสนใจของเหล่านี้ ไม่ชอบตั้งโชว์ ผมชอบพวกของใช้จริงๆ แต่วันนี้มาติดใจหมวกทหารนักบินใบหนึ่ง ไม่คิดว่าจะเป็นหมวกของเก่าโบราณ มีแว่นตานักบิน หมวกมีหูฟังติดไว้ครบครัน พร้อมสายไฟเสียแจ๊คใช้งานได้จริงอีกด้วย
“เท่าไหร่ครับ”
“3000 รูเบิ้ล”
“ของดั้งเดิมในปี 1975 สภาพดี อุปกรณ์พร้อม” เจ้าของคนขายอธิบายต่อ
ผมชอบพวกของทหารครับ มาเจอชิ้นนี้แบบไม่ทั้นตั้งตัว หากรู้ว่ามีของพวกนี้ ผมจะเดินหาร้านขายของแบบนี้โดยเฉพาะเลยน่าจะได้ของที่ดีกว่านี้เยอะ
ใกล้ๆ กันเป็นป้อมปีเตอร์แอนด์พอล ในสมัยก่อนใช้เป็นที่คุมขังนักโทษการเมือง เป็นป้อมปราสาทที่สร้างขึ้นพร้อมๆ กับนคร Saint Petersburg โดยพระบัญชาของกษัตริย์พระเจ้าปีเตอร์มหาราช แต่ปัจจุบันใช้เป็นสุสาน เป็นที่เก็บพระศพของราชวงศ์โรมานอฟทุกพระองค์

กลางวันกินอาหารพื้นเมืองดูครับ เขาสั่งกันเป็นคอร์ส ก็ว่ากันไปครับ จะให้กินอะไรก็จัดมาแล้วกัน เดี๋ยวก็รู้
จานแรกมาเป็นสลัดครับ ผักล้วนๆ เลย ไม่มีเนื้อสัตว์ใดๆ เลย เย็นเจี๊ยบอีกด้วย กินคำแรกแล้วแทบหยุด ฝืนๆ กินไปเรื่อยๆ ก็พอกินได้ เขารอจนเรากินจานแรกหมดแล้วถึงจะเสิร์ฟจานต่อไป
   จานที่สองคือซุป เป็นซุปมะเขือเทศครับ มีหอมใหญ่สับ มันฝรั่ง ก็พอกินได้ ต้องกินให้หมด เขาถึงจะเก็บจานเช่นเคย
   จานที่สามเรียก Main Course มาเป็นแบบไก่อบ เสิร์ฟพร้อมกับข้าวผัดเนยสีเหลืองอ๋อยเลย ข้าวจืดๆ นะ ไม่มีรสชาติ ไก่ก็งั้นๆ เอ๊ะ หรือว่าเราอิ่มสลัด อิ่มซุปเสียแล้ววะนี่ ฮ่าๆ จานนี้กินไม่หมดครับ ให้เขาเก็บไป แล้วรอของหวาน
   จานสุดท้ายมาเป็นไอศครีม ให้มา 3 ลูกเล็กๆ มีมิ้นต์ เชอร์เบท และวนิลา ไอ้ลูกหลังนี้รสชาติเหมือนไอติมรถเข็นโนเนมที่ใส่ขนมปังในบ้านเรามากๆ เลย จานนี้ซัดหมดครับ เกลี้ยงเชียว

   บ่ายชมวังอีกแห่ง ชื่อพระราชวังยูซูปอฟ เป็นวังของเจ้าชายฟิลิกซ์ ยูซูปอฟ ราชนิกูลผู้วางแผนสังหารนักบุญคนบาปที่ชื่อ รัสบูติน
   ในวังงดงามมาก ประดับด้วยเฟอร์นิเจอร์หรูหรานานาชนิด มีโรงละครประจำพระราชวังตกแต่งด้วยกำมะหยี่สีแดงสด ยังคงรักษาสภาพเดิมเอาไว้ได้อย่างดีเยี่ยม แม้จะเป็นโรงละครเล็กๆ แต่ออกแบบได้ดีมาก ที่เวทีด้านหน้าเจาะช่องลึกลงไปด้านล่าง 1 ระดับ เอาไว้ให้นักดนตรีนั่ง ด้านหลังเวทีมีหลายฉากให้เลือกใช้ ที่นั่งคนดูแบ่งเป็นหลายชั้น
   มีห้องหนึ่งที่น่ากลัวมาก เป็นห้องที่รัสปูตินโดนสังหาร สถานที่จริงเลยล่ะครับ ไม่ได้ของจำลอง เดินตามเส้นทางที่เขาใช้ก่อนโดนฆ่า
   รัสปูติน ชื่อเต็มว่า เกร็กกอรี่ เยฟิโมวิช รัสปูติน เกิด 10 มค คศ 1869 ที่หมู่บ้านโปครอฟสกี้ อำเภอยูแมน จังหวัดโตบอลส์ก เมืองไซบีเรีย เขาเป็นเด็กในครอบครัวเกษตรกร วัยเด็กรัสปูตินมีความสามารถพิเศษในการทำนายอนาคตได้อย่างแม่นยำ ในปี 1904 องค์ชายอเล็กไซ โอรสองค์โตในพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซียทรงประสูติ แต่พระองค์มีอาหารประชวรเป็นโรค ฮีโมฟีเลีย หรือ โรคพระโลหิตไหลออกง่ายและหยุดยาก เนื่องจากพระองค์มีพระโลหิตผิดปกติ ในสมัยนั้นโรคนี้สามารถคร่าชีวิตคนได้เลย พระเจ้าซาร์หาหมอฝีมือดีมาหลายคนก็ไม่สามารถรักษาพระอาการได้
ปีถัดมา 1905 รัสปูติน เดินทางเข้ามาในพระราชวังและสามารถรักษาพรอาการป่วยขององค์ชายอเล็กไซได้ จักรพรรดินีอเล็กซานดรา เฟโอโดรอฟนา แห่งรัสเซีย (เจ้าหญิงอเล็กซิสแห่งเฮสส์ และไรน์) พระมารดาขององค์ชายอเลกไซ และพระมเหสีในพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ขอให้รัสปูตินเข้ามาอยู่ในวังเพื่อดูแลองค์ชายอเลกไซต่อ จึงทำให้ชีวิตของรัสปูตินเริ่มมีบทบาทและมีอำนาจขึ้นมา
จนปี คศ 1916 เจ้าชายเฟลิกซ์ ยูซูปอฟ เห็นว่าหากรัสปูตินยังคงอยู่ ในอนาคตอาจเป็นภัยต่อชาติ จึงร่วมมือกับแกรนด์ดยุคดิมิทรี พัฟโลวิช ลอบสังหารรัสปูติน ออกอุบายเชิญรัสปูตินไปงานเลี้ยงในวัง และจะวางยาพิษไซยาไนซ์ในเครื่องดื่มและเค้กที่จะให้รัสปูตินกิน
แต่รัสปูตินกินเค้กจนหมดก็ดูปกติดี ไม่ได้เหมือนถูกวางยาพิษแต่อย่างใด เจ้าชายฟิลิกซ์จึงยิงรัสปูตินไป 4 นัด รัสปูตินล้มลงแต่ยังไม่ตาย เจ้าชายเฟลิกซ์ก้มลงมาดูใกล้ๆ รัสปูตินบีบคอเจ้าชายเฟลิกซ์และพูดว่า “ไอ้สารเลว” กอดปล้ำต่อสู้กันจนออกมานอกวัง กลุ่มข้าราชบริพารที่เตรียมไว้ก็ระดมยิงใส่รัสปูติน แต่ก็ยังไม่เสียชีวิต สุดท้ายจึงพากันจับมัดถ่วงน้ำจนรัสปูตินเสียชีวิตในวันที่ 16 ธันวาคม คศ 1916 รวมอายุของรัสปูตินคือ 47 ปี
แต่เหตุการณ์หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่แพทย์ชันสูตรพลิกศพรัสปูตินพบเพียงว่า รัสปูตินเสียชีวิตเนื่องจากขาดอากาศหายใจเท่านั้น มิได้ถูกวางยาพิษ มิได้ตายเพราะกระสุนปืน
ห้องสังหารนี้เป็นห้องลับ ต้องผ่านทางลัดแคบๆ เล็กๆ มีประตูกล ดูแล้วสุดยอดมากๆ ครับที่คนสมัยโบราณออกแบบได้ดีขนาดนี้ น่ากลัวปนกับน่าสนใจ
ในวังนี้มีห้องหนึ่งน่าสนใจมาก มีโต๊ะบิลเลียดตั้งอยู่ (แสดงว่าเป็นกีฬาเก่าแก่มานานมาก) ที่ผนังกำแพงด้านหัวโต๊ะทำเป็นที่นั่ง แต่พนังทำโค้งเว้าลักษณะเหมือนโดม มีประโยชน์พิเศษคือมันสามารถสะท้อนเสียงได้ดี นั่นคือพระองค์จะได้ยินเวลาที่ใครแอบกระซิบกันในห้องนี้นั่นเอง
อีกห้องที่ผมชอบ และตรงใจมากคือห้องหนังสือที่มีชั้นลอย แต่มองหาบันไดขึ้นไม่เจอ จนเจ้าหน้าที่ต้องเฉลยที่ซ่อนของบันไดถึงได้ร้องอ๋อ สุดยอดในดีไซน์อีกแล้วครับ เป็นบันไดไม้ธรรมดาๆ นี่แหละ แต่สามารถดึงเข้าออกได้ และเก็บได้แนบกับกำแพง แถมมีประตูปิดทับ เห็นทีแรกผมคิดว่าเป็นประตูตู้เก็บของ
ตกเย็นแต่ยังไม่มืด ผ่านโบสถ์ขนาดใหญ่เลยแวะเข้าไปดู ตอนแรกไม่กล้าเข้า เพราะเงียบมากๆ เป็นประตูไม้ 2 ชั้น ด้านในมีบาทหลวงกำลังทำพิธี ผมยืนดูสักพักก็เลยซื้อเทียนจุดทำบุญไป 10 Ruble ของเขาใช้พิธีถวายเทียนแทนครับ ก็ทำไปตามน้ำ แต่ยกมือไหว้อธิษฐานแบบไทย ขอให้เหตุการณ์ในเมืองไทยคลี่คลายโดยเร็ว
รัสเซียยุคเปิดประเทศแล้วเริ่มพัฒนาเยอะครับ มีร้านอาหารต่างชาติมากมาย แต่ผมมองไม่เห็นร้านไทยนะ ถ้าเจอก็อยากจะลองสักหน่อย คืนนี้ขอเป็นอาหารจีนแทน แต่มันไม่ได้จีนแบบฮ่องกงหรอก แค่พอมีเชื้อจีนบ้าง เน้นพวกของง่ายๆ อย่างผัดเปรี้ยวหวาน ไข่เจียว ปลานึ่ง ผัดผัก ฯลฯ จะว่าไปก็อาหารพื้นๆ เรานี่แหละ
แต่ดีกว่าอาหารคอร์สของรัสเซียเยอะเลย
Title: Re: มีค 53 / 26 - 1 Moscow & Saint Petersburg - Russia
Post by: O'Pern on April 04, 2010, 09:19:14 pm
30 มีค 53 Saint Petersburg
ลงมาทานอาหารเช้าของโรงแรม ไม่ต้องแสดงบัตรอะไร แค่บอกเบอร์ห้อง คงไม่ค่อยมีใครมามั่วดริ๊งค์มั้ง หนาวออกขนาดนี้
   เห็นมีหนังสือพิมพ์วางไว้ เลยหยิบมาดู โอโห ตกใจมาก มีข่าววางระเบิดในสถานีรถไฟใต้ดินกลางมอสโคว์ในชั่วโมงเร่งด่วนตอนเช้า 2 ลูกติดๆ กัน ตายไปทันที 38 เจ็บหนัก 102 ที่น่าตกใจกว่าก็คือมันเฉียดสถานี่ที่ผมไปมาเมื่อวานไปแค่ 2 ป้าย เล่าแล้วยังเสียวสันหลังครับ ผมเพิ่งจะเดินผ่านมันไปเอง
   เป็นระเบิดพลีชีพโดยหญิง 2 คน ผูกระเบิดไว้กับตัวเอง เป็นผู้ก่อการร้ายค่ายใดก็ไม่รู้ หลังๆ มีคนออกมายอมรับว่าตัวเองทำ แต่ไม่รู้เชื่อได้ไหม
   ตลอดวันมีแต่ข่าวการวางระเบิดที่มอสโคว์ครับ ไม่ว่าจะทางทีวีช่องใดๆ ก็ตาม หนังสือพิมพ์ข้างถนนก็ลงแต่ข่าวนี้ เห็นแล้วน่ากลัวครับ เฉียดตัวเองไปแค่วันเดียวเอง
   
   วันนี้ขอไปชมความยิ่งใหญ่สุดยอดของพระราชวังฤดูหนาว ชื่อสากลคือ The Hermitage ที่ภายในมีห้องมากกว่า 1000 ห้อง สถานที่แห่งนี้เคยใช้เป็นที่รับรองการเสด็จเยือนของ ร5 ในการเจริญสัมพันธไมตรีไทยรัสเซียเมื่อครั้งโบราณ และเมื่อราวปี 90 กว่าๆ ครั้งที่สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถเสร็จเยือนรัสเซียอีกครั้ง ทางรัสเซียจัดห้องให้เหมือนเดิมสมัย ร5 ท่านเสด็จเยือนมาเป๊ะ ชนิดที่ว่าถ่ายรูปออกมาดูแล้วแทบไม่แตกต่าง และที่เด็ดสุดยอดก็คือเมนูอาหารค่ำคืนนั้น เป็นเมนูเดียวกันกับคืนที่เสด็จพ่อ ร5 ท่านทรงเสวยอีกด้วย !!! สุดยอดไหมเล่า
   พระราชวังแห่งนี้เป็นที่เก็บของสำคัญ งานศิลปล้ำค่าจากทุกมุมโลก เช่น งานของ ลีโอนาโด ดาวินชี ปีกัสโซ แรมบรันด์ แวนโก ฯลฯ ยังไม่นับของบรรณาการสมัยโบราณอีกมาก

   ตอนบ่ายแวะดูห้างท้องถิ่นในเมืองเล่น ทางเข้าทางออกวนวนครับ ตึกหน้าตาโบราณ แต่ภายในเป็นของใหม่เอี่ยมกันหมด เดินเล่นดูสนุกดี ติดใจชอบหีบเพลงปากอันหนึ่ง แต่ราคาราว 5000 Ruble แน่ะ กลัวโดนฟัน เลยพักไว้ก่อน
   ลงมาด้านล่าง เห็นมีทางเข้ารถไฟใต้ดินด้วย เลยตามผู้คนเขาไป ไม่ได้จะไปไหนหรอก ผมแค่อยากลงไปชมความสวยงามด้านล่าง เข้าไปได้แป๊บเดียวเท่านั้นแหละ มีเจ้าหน้าที่หญิงตัวโตตะโกนโหวกเหวก ผู้คนที่เดินหน้าอยู่ก็พากันหันหลังกลับ มีบางคนเดินต่อบ้าง เอาล่ะสิวะ ผมทำไงดี เกิดอะไรขึ้นกันหว่า ทำตัวไม่ถูกครับ งง เลยตัดสินใจวิ่งกลับออกมาทางเดิม วิ่งคนสุดท้ายเลยล่ะครับ เจ้าหน้าที่มองหน้าผมให้เร่งฝีเท้า พอพ้นประตู เขาก็ปิดล็อคทันที
   คนภายนอกต่างงงเช่นกัน แต่ผมงงกว่าเพื่อน เพราะฟังไม่ออก เลยสอบถามคนที่อยู่รอบข้าง ถามคนแรกเขาตอบไม่ได้ ทำนองว่าพูดอังกฤษไม่เป็น จนมีชายร่างใหญ่อีกคนเข้ามาช่วย

   What happen sir
   It’s close
   Why
   There are a bomb inside
   Bomb?
   Yes, bomb
   Really
   Real bomb
   How can I go back
   Taxi

   บทสนทนาภาษาอังกฤษสั้นๆ ครับ ตอนแรกผมแปลเป็นไทยให้ แต่มันดูไม่ค่อยขำเท่าไหร่ ภาษาอังกฤษขำกว่า แต่ตอนนั้นผมขำไม่ออกสักนิด เพราะทางเดินลอดใต้ดินก็ปิดไปหมด มีข่าวผู้ก่อการร้ายขู่วางระเบิดที่ Saint Petersburg นี้ มันลามมาจากมอสโคว์
   ทำเอาเดินเล่นไม่เป็นสุขเลยล่ะครับ ผู้คนแตกตื่นกันมากมาย รถตำรวจ รถพยาบาล แห่กันมาเต็มถนน ผมเดินสวนกับทหารที่จูงอัลเซเชี่ยนตัวใหญ่อีกด้วย

อาหารเย็นคืนนี้ขอหรูหน่อยครับ กินกันในพระราชวังนิโคลัส พาเลซ เป็นงานเลี้ยงแบบกาลาดินเนอร์ เจ้าหน้าที่แต่งชุดพิธีการตามโบราณ เชิญผมขึ้นบันไดไปยังท้องพระโรง มีคนเล่นเปียโนรออยู่ด้านใน กินกันบนโต๊ะกลมที่มีช้อน ส้อม มีด และแก้ว อย่างละ 3 ใบ เหมือนในหนังเลยล่ะ เสิร์ฟอาหารตามคอร์สอีกแล้ว เริ่มจากผักสลัดเช่นเคย พอผักหมดก็เป็นแพนเค้กและคาเวีย ผมเคยกินแล้วครับ ไม่ชอบเลย ไม่ชอบอย่างมาก คาวฉิบเป๋ง กินครั้งแรกตอนขึ้น North Cape ที่ประเทศนอร์เวย์ตอนไปชมพระอาทิตย์เที่ยงคืน คิดแล้วยังแหวะไม่หาย
มาวันนี้เจออีกแล้ว เป็นคาเวียเกรดต่ำกว่าอีกด้วย เพราะเป็นไข่สีส้ม ของดีๆ แพงๆ จะเป็นสีดำ เป็นไข่ปลาสเตอเจียน คนที่เรียกไข่ปลาคาเวียน่ะ เรียกผิดนะ เพราะคำว่าคาเวียน่ะ มันแปลว่าไข่ปลา ฉะนั้น คำว่า ไข่ปลาคาเวีย ก็คือ ไข่ปลาไข่ปลา ภาษาอะไรของมันวะ
เหมือนเรียกแก๊ส NGV น่ะ มันผิด เพราะ NGV ก็คือ Natural Gas Vehical มันไม่ใช่ชื่อของแก๊ส แต่มันเป็นชื่อเรียกรถยนต์ใช้แก๊สธรรมชาติอัดต่างหาก
คาเวียวันนี้เขาเสิร์ฟพร้อมกับแป้งเครปบางๆ ครับ วิธีกินก็คือคลี่แป้งเครปออก ทาเนยบางๆ แล้วเอาคาเวียใส่เข้าไป จากนั้นก็กินได้เลย ผมใช้วิธีม้วนกลมๆ แล้วกัด คำแรกคำเดียว เลิกเลยครับ คาวฉิบเป๋ง จิบแชมเปญล้างคาวไปนิดหนึ่ง
สักพักเสิร์ฟเมนคอร์สครับ เป็นสเตคหมูกับสลัดมันฝรั่ง รสชาติไม่ค่อยถูกปากครับ กินไม่หมด
หลังจากนี้ก็เดินไปชมการแสดงพื้นบ้านของรัสเซียที่จัดอยู่ในห้องถัดไป เป็นห้องแสดงละครโดยเฉพาะ ก็ดูสนุกดีครับ เป็นละครร้อง ประกอบดนตรีพื้นบ้าน แต่ดูนานๆ จะง่วงหน่อย
วันนี้กลับเข้าโรงแรมดึกที่สุดเลย ราวห้าทุ่มกว่าเห็นจะได้ เริ่มทะยอยเก็บข้าวของลงกระเป๋าครับ พรุ่งนี้กลับไทยแล้ว ผมไม่ใช่พวกขาช็อป แพ็คของสบายมาก ขามาแค่ไหน ขากลับก็เยอะขึ้นอีกแค่หน่อยเดียว
Title: Re: มีค 53 / 26 - 1 Moscow & Saint Petersburg - Russia
Post by: O'Pern on April 04, 2010, 09:23:24 pm
31 มีค 53 Saint Petersburg
   อาหารเช้าที่โรงแรมเหมือนเดิม แต่นี่วันสุดท้ายแล้วสินะ ตามองไปรอบๆ ตัว ซึมซับบรรยากาศไปเรื่อย ผมชอบเก้าอี้ตัวที่อยู่หน้าเตาผิง ดูบรรยากาศอบอุ่นดี
   เดินเล่นในเมืองเป็นครั้งสุดท้าย ไปที่มหาวิหารคาซานที่ขับรถผ่านไปมาหลายครั้ง เพราะตั้งอยู่บนถนนสายหลักของเมือง Saint Petersburg บนถนน เนฟสกี้
   มหาวิหารคาซานทำการสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าปีเตอร์มหาราช ตรงกับช่วงปี คส 1708 ซึ่งแต่เดิมจัดได้ว่าเป็นเพียงแค่โบสถ์เล็กๆ เท่านั้น โดยภายในมีแค่รูปไอคอนและพระแม่มาเรีย (Our Lady of Kazan) ที่วาดขึ้นในศตวรรษที่ 16 ตรงกับสมัยของพระเจ้าอีวานที่ 4 ในช่วงที่กรุงมอสโคว์ก่อตั้งเป็นเมืองหลวง
   โดยพระเจ้าปีเตอร์มหาราชมีพระราชดำรัสให้นำรูปไอคอนและพระแม่มาเรียมาไว้ที่นี่ ต่อมาในสมัยการปกครองของพระเจ้าปอลด์ที่ 1 ในปี คศ 1800 โปรดให้มีการสร้างวิหารใหม่ที่ใหญ่ขึ้น และสวยงามกว่าเดิม อันเนื่องมาจากที่ว่าหลังจากที่พระองค์เสด็จประพาส ณ กรุงโรม อิตาลีแล้วพระองค์เกิดความประทับใจในรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบอิตาลี จึงนำรูปแบบดังกล่าวมาผสมผสานในการก่อสร้างมหาวิหารหลังใหม่แห่งนี้ สร้างเสร็จสมบูรณ์เมื่อปี คศ 1811 ออกแบบโดยสถาปนิก Charles Camelon, Thomas de Thomon, Pietro Gonzago ออกแบบมาในรูปทรงของ Neo Classic เป็นลักษณะรูปทรงครึ่งวงกลม มีเสาหินวางเรียงแถวยาวอย่างเป็นระเบียบ
   หลังจาก 10 ปีแห่งการก่อสร้าง มหาวิหารคาซานกลายเป็นสถานที่ๆ ผู้คนมักจะมาสักการะบูชา เนื่องจากทำเลที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ทำให้ประชาชน และนักท่องเที่ยวเดินทางไปมาได้ง่าย และด้วยความสวยงามที่มักเป็นที่สะดุดตาของผู้พบเห็น
   แต่ในปี คศ 1812 เกิดสงครามระหว่างรัสเซียและฝรั่งเศษขึ้น จึงนำรูปปั่นของผู้บังคับบัญชาการสูงสุดของกองทัพเรือคือ Mikhail Kutuzov และ Barclay de Tolly มาจัดแสดงไว้เป็นอนุสรณ์ไว้ ณ ที่มหาวิหารคาซานแห่งนี้อีกด้วย
   ปัจจุบันมหาวิหารแห่งนี้จัดได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากของเมือง Saint Petersburg อย่างมาก โดยด้านหน้าของมหาวิหารจะมีสวนสาธารณะไว้สำหรับเป็นที่พักผ่อนของชาวรัสเซีย ซึ่งที่นี่ยังเป็นที่นัดพบของวัยรุ่นชาวรัสเซียอีกด้วย และหากเป็นฤดูร้อนที่มีแสงแดดแรงจัด ก็จะมี่คนรัสเซียพากันออกมาอาบแดด นั่งอ่านหนังสือ และยืนพูดคุย พบปะกันเป็นจำนวนมากเลยทีเดียว

   ผมออกเดินทางกลับเข้าสู่มอสโคว์ช่วงสายๆ และรอต่อเครื่องอีกทอดเพื่อกลับกรุงเทพฯ เป็นการบินรวดเดียวไม่มีหยุดพัก
   นึกแล้วใจหายเหมือนกันนะครับนี่ ที่โลกแห่งความฝันของผมกำลังจะมืดดับลงไปในอีกไม่ช้า
   1230 ผมเดินทางออกจากเมือง Saint Petersburg ไปมอสโคว์ 
   0630 pm ผมเดินทางออกจากประเทศรัสเซีย สุดยอดประเทศที่เคยเจริญสุงสุดในโลกของอดีตที่ผ่านมา
   โชคดี คงได้พบกันอีกครั้ง