Author Topic: พย 52 28-29 อช เขาใหญ่  (Read 13419 times)

Offline O'Pern

  • fear is a mind killer
  • Administrator
  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 7411
  • don't let your fear stand in the way of your dream
    • racing club
Re: พย 52
« Reply #15 on: November 27, 2009, 04:18:09 pm »
27 พย 52
   วันสุดท้ายก่อนการเดินทาง วันนี้ทั้งรถทั้งคนต้องพร้อมเต็มที่ แหม ทำยังกะจะไปไหนไกล แค่ปั่นขึ้นเขาใหญ่เอง ฮ่าๆ
   เอาน่ะ ทริปไหนๆ ก็สนุกเหมือนกัน เตรียมพร้อมไว้ให้ดีก็แล้วกัน วันนี้ไม่ได้ออกปั่นครับ เริ่มจัดเตรียมของแพ็คลง Panniers มันเป็นทริปแค่คืนเดียว แถมไม่ได้ทำกิจกรรมอะไรมากนัก แม้จะตอนเต้นท์ก็เป็นแคมป์แบบขำขำเสียมากกว่า ไม่ได้ลุยแบบสาหัส ข้าวของก็เลยไม่มีอะไรมาก จัดแล้วแพ็คลงใน Panniers ในเล็กก็เพียงพอแล้ว
   แต่แล้วก็เปลี่ยนใจเอา Panniers ใบใหญ่ไปแทน เผื่อมีข้าวของอื่นเพิ่มขึ้นมา ไม่รู้สิ ผมเผื่อเฉยๆ ทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรให้ซื้อกลับมานักหรอก
   ไอ้เรื่องเผื่อนี่มันมีไว้ก็ดีเหมือนกันครับ อย่างตอนไปขึ้นอินทนนท์ปีที่แล้ว ผมใช้แค่ Panniers ใบเล็กไปคู่เดียว ขากลับก็แพ็คของยัดลงตามปกติ จนใกล้จะออกรถ เพื่อนๆ กลุ่มลุ่มน้ำวัง จ ลำปาง ปั่นกันมาส่ง หอบหิ้วเอาแคบหมู น้ำพริกหนุ่ม ฯลฯ เอามากันห่อใหญ่เลยครับ เอาไงดีล่ะ มองของแล้วตกใจ ไม่รู้จะแพ็คลง Panniers ได้อย่างไร
   สุดท้ายเลยต้องแบ่งออกครับ เอาไปเท่าที่จะทำได้ นี่ถ้าได้ Panniers ใหญ่ล่ะก็ สบายมากๆ เลย
   ชุดที่ใช้ใส่ปั่นของผมยังคงเป็นชุดเดิมครับ เน้นกันแดด ซึ่งถ้าอากาศหนาว มันก็จะกันหนาวได้ด้วย แต่งานนี้ผมต้องปั่นไปตั้งแต่เช้ามืด แถมขากลับก็ยังต้องปั่นกลับตอนดึกอีกด้วย จากปกติเป็นชุดดำล้วน งานนี้เลยเปลี่ยนเป็นเสื้อขาวแทน แม้เสื้อดำของผมจะเป็นเนื้อผ้าแบบสะท้อนแสงก็เถอะ ยังไงมันก็สว่างสู้เสื้อขาวสะท้อนแสงแน่ๆ
   งานนี้เริ่มแพ็คของแบบซีเรียสเรื่องน้ำหนักกันหน่อยครับ จากเดิมรองเท้าแตะผมใช้ของ Teva เปลี่ยนเป็นรองเท้าแตะยางของจีน น้ำหนักเบากว่ากันครึ่งหนึ่งแน่ะ
   ของสิ้นส่วนหนักๆ ที่ต้องเปลี่ยนคือไฟหน้าครับ ปัจจุบันใช้ของจีน เขาเรียกไฟฉายซูม แม้ไฟจะสว่างดี แต่มันกินแบตฯเยอะครับ แถมหนักอีกด้วย รถสั่นสะเทือนตัวยึดไฟก็รูดลงตามน้ำหนักของตัวไฟฉาย ถ้าปั่นแค่เฉพาะทางเรียบๆ ก็พอไหว แต่ถ้าขรุขระเข้าหน่อย ไม่รอดครับ
   คิดเองก็คิดไม่ออก เลยโทรหาน้าเป็ด สอบถามถึงชั้นตอนต่างๆ ในการแพ็ครถขึ้นรถไฟ คือผมไม่อยากปลด Panniers ออกมาถือขณะโดยสารรถไฟ เพราะต้องมีกระเป๋าหน้าแฮนด์ใบเล็กถืออยู่แล้ว จะให้เอา Panniers มาแบกอีก 2 ใบหรือนี่ โอ ไม่นะ
   น้าเป็ดบอกว่าตู้สัมภาระเป็นของเราหมด จะไม่ปลด Panniers ออกก็ไม่เป็นไร แต่ให้เตรียมสายรัดมามัดกับรถไฟป้องกันจักรยานของเราแกว่งหรือล้ม อืม ถ้าเช่นนี้ก็เป็นไปตามแผนของผมครับ จะได้ล็อค Panniers เข้ากับจักรยานมันซะเลย
   เออ งานนี้เขามีบริการรถบรรทุกสัมภาระอีกด้วย แปลกใจมากๆ เพราะผมไม่เคยฝากของไว้กับรถบริการเลย ไม่รู้สิ ผมว่ามันไม่ค่อยแมนเท่าไหร่ (อันนี้ความคิดส่วนตัวของผมนะ) รักจะปั่นจักรยาน รักจะเดินทาง รักจะนอนเต้นท์แคมปิ้ง แต่ทำไมไม่แบกสัมภาระของตัวเองแท้ๆ
   ผมยังไม่เคยแบกของแล้วปั่นขึ้นเนินชันครับ งานนี้จะเป็นงานแรก ก็ขอลองดูสักตั้ง ผมว่าผมไหว แม้จะช้าหน่อยก็ตามที
   คืนนี้ขอเข้านอนแต่หัวค่ำหน่อย ต้องตื่นราว 0315 และออกจากบ้านตี 4 เพื่อไปให้ถึงหัวลำโพงตี 5 (รถไฟออก 0555)
   อ้อ อุณหภูมิของวันที่ 26 ที่เขาใหญ่คือ 12 C ครับ หึหึ ผมมีแค่ถุงนอนของ Quechua กับเต้นท์หลังเล็กๆ น่าจะไหวนะ
i drive / i race / i test / I drift
I row / I run / I fun / I ride

Offline O'Pern

  • fear is a mind killer
  • Administrator
  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 7411
  • don't let your fear stand in the way of your dream
    • racing club
Re: พย 52
« Reply #16 on: December 01, 2009, 03:05:58 pm »
28 พย 52
เป็นทริปแรกที่ผมตื่นเช้าที่สุดตั้งแต่เกิดมา ตื่นมาตอน 0315 ออกจากบ้าน 0400 กะจะให้ถึงพอดีกับเวลานัดหมายคือ 0500 จัดเตรียมจักรยานขึ้นรถไฟแต่เนิ่นๆ เผื่อเกิดปัญญาจะได้ไม่ฉุกละหุก รถไฟจะออก 0555 ผมชอบแบบนี้ครับ คือออกก็ออกจริงๆ เลย ไม่ต้องมานั่งรอกัน โตจนป่านนี้แล้วยังรักษาเวลากันไม่เป็น ไม่รู้จักกฏของสังคม ก็ไม่เห็นจะต้องไปแคร์อะไร
เอาเข้าจริงผมถึงหัวลำโพงตั้งแต่ 0430 ครับ ปั่นเรื่อยๆ ไม่ได้เร่งสักนิด ทำไมมันเร็วจังนะ แต่พอใกล้หัวลำโพงก็แปลกใจที่เห็นจักรยาน 2 คันตาหลังผมมา และเมื่อเข้าไปด้านในก็เจอรถจอดอยู่แล้วอีก 3 คัน โห แจ๋วว่ะ รักษาเวลากันดีเยี่ยมขนาดนี้ คบกันได้อีกนาน
มีรถลุงคนหนึ่งยางแบนพอดี ก็เลยช่วยดู พบว่าปัญหามาจากยางรั่วใน (คือรั่วจากด้านในของล้อ เกิดได้จากหลายสาเหตุ แต่ของแข็งที่อยู่ด้านในก็คือหัวซี่ลวด) ตอนแรกลุงแกก็ปะตามปกติแล้วเตรียมประกอบยางนอกใส่ แต่ผมของเช็คจุดรั่ว เพราะหากซี่ลวดไปทิ่มกับยางในจนแตก หากใส่เข้าไปใหม่ มันก็ต้องแตกที่เดิมอีกนั่นแหละ
พลิกล้อดูด้านในพบว่า Rim Tape สภาพยังสวย ไม่มีหัวซี่ลวดโผล่ ไม่มีเศษของแข็งใดๆ แต่พอจับยางนอกดูก็เห็นแก้มยางนอกที่เป็นผ้าใบปริแตกจนขอบยางที่เป็นลวดโผล่ออกมา โหห อาการหนักโคตร ใส่ยางในเข้าไปก็แตกอีกชัวร์ เลยบอกลุงถึงปัญหา ควรเปลียนยางนอกโดยเร็ว แต่วันนี้จะออกเดินทาง หายางไม่ทัน หากจะใช้ต่อไปก็ต้องหาวัสดุมาป้องกัน
ผมคิดถึงวัสดุพลาสติคเหนียวๆ บางๆ นั่นคือขวดพลาสติคแบบขุ่น เอามาตัดเลือกเฉพาะส่วนโค้ง ลบเหลี่ยมมุมให้ดี เอามาพันรอบยางในบริเวณนั้น ผมว่าน่าจะพอไปได้
ลุงทำตามที่ผมบอก ประกอบยางเข้าล้อตามปกติ
“ลุงครับ พอกลางทางก่อนถึงจุดหมาย ลุงเช็คลมยางอีกทีนะครับ หากมันรั่วจะได้รีบแก้ไขขณะอยู่บนรถ”
ผมบอกลุงอีกครั้งก่อนเดินไปช่วยพี่แดง (Dust in the wind) ขึงแผ่นป้ายด้านข้างรถไฟ
สักพักพวกเราทะยอยกันมามาก ก็เริ่มนำจักรยานขึ้นรถไฟ ผมก็รีบเอาขึ้นบ้าง รถผมมี Panniers อยู่ 2 ใบ ผมไม่อยากถอดออก เพราะถอดออกแล้วก็ต้องมาคอยดูแลเป็นภาระ ก็เลยรีบนำจักรยานขึ้นตั้งแต่คนยังน้อยๆ
ผมไม่เคยเห็นสภาพตู้สัมภาระของรถไฟ นึกไม่ออก พอมาเห็นตู้ที่เราต้องนั่งไปก็สบายใจ เพราะเรานั่งกันอยู่ในตู้เดียวกับจักรยานของเรานั่นแหละครับ ตอนแรกจะถอด Panniers ออก จะได้ยกแล้วเบาแรงหน่อย แต่เปลี่ยนใจไม่ถอด เพราะเราต้องมัดรถจักรยานรวมกันป้องกันจักรยานแกว่งขณะรถไฟวิ่ง ไอ้ Panniers คือกันชนอย่างดีในการแพ็ครถเลยล่ะ
อาหารเช้าวันนี้เป็นน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ครับ ผมคุ้นเคยดีเฉพาะน้ำเต้าหู้ ส่วนปาท่องโก๋ไม่ได้กินมาหลายปีมากๆ เพราะอุดมไปด้วย Trans Fat
ผู้คนทะยอยกันมาเรื่อยๆ รถไฟออกตรงเวลา แต่กว่าจะออกจากเขตกรุงเทพฯได้ก็นานเหลือเกิน จอดแวะมันทุกสถานีเลย จากอากาศเช้าๆ หนาวๆ เย็นๆ กลายเป็นเริ่มร้อน แดดออกแรงนี่ยิ่งร้อนจัดเข้าไปใหญ่
ผมไม่ได้นั่งรถไฟมาหลายสิบปีครับ วันนี้เลยรู้สึกตื่นตาตื่นใจอย่างมาก มองข้างทางตาไม่กระพริบ โดยเฉพาะผ่านมักกะสัน และเส้นทาง Airport Link ของรถไฟฟ้าที่ผมต้องมาใช้บริการในอนาคต
บรรยากาศบนรถเฮฮากันมาก กลุ่ม TCC เป็นผู้ใหญ่ใจดี แซวกัดกันเป็นว่าเล่น พี่หลายคนผมคุ้นหน้าแต่ไม่รู้จักชื่อ ได้แต่ยกมือไหว้ ส่งยิ้ม
ปลายทางของเราคือจังหวัดปราจีนบุรีครับ พอถึงจุดหมายก็พบกับกลุ่มชมรมจักรยานปราจีนบุรีมาต้อนรับ พาพวกเราไปเลี้ยงอาหารเช้าอีกรอบ เป็นพะแนงหมู รสชาติดีมากๆ ครับ จนผมเห็นข้าวเหลืออีกเยอะ เขาบอกให้หยิบเอาไปได้ ผมเลยเอาเฉพาะพะแนงไป 1 ถุง
ออกปั่นไปยังจุดเริ่มต้น ไปลงทะเบียนกัน พร้อมรับบัตรส่วนลดจากร้านอาหารในแหล่งท่องเที่ยว มีแผนที่และรายละเอียดจุดท่องเที่ยวของปราจีนบุรี ถึงตรงนี้มีเลี้ยงอาหารเช้าอีกแล้ว ผมไม่กินแล้วล่ะ เขามีโจ๊ก กาแฟ น้ำดื่ม ยังมีคนไปรอรับอีกเยอะเลยนะ เขาบอกว่าโจ๊กอร่อยดี
หลังจากนี้เราก็เริ่มออกเดินทางขึ้นเขาใหญ่กันแล้วครับ เขาว่าระยะทางประมาณ 40 กม ผมไม่เคยขึ้นเขาใหญ่มาก่อนเลย แต่นึกภาพทางขึ้นเขาชันๆ ได้ จำได้คุ้นตาเลยล่ะว่ามันสาหัสขนาดไหน และนี่เป็นเขาแรกที่ผมขึ้นด้วยการแบกสัมภาระไปด้วยราว 10 กก (รวมน้ำดื่ม)
คราวก่อนขึ้นอินทนนท์ ครั้งนั้นขึ้นตัวเปล่า แต่เป็นรถล้อ 20 นิ้ว วันนี้ขึ้นพร้อมสัมภาระเต็มยศ กับรถล้อ 26 MTB แก่ โทรม แก่
คนส่วนใหญ่เขาจะฝากสัมภาระไปกับรถเซอร์วิสครับ แต่ผมไม่ฝาก ผมอยากแบกของๆ ผมไปเอง ไม่มีเหตุผล แค่ผมอยากรับผิดชอบตัวเอง อยากรู้ว่ามันจะไหวไหม 
คนตัวเปล่าเขาออกตัวกันปรู๊ดเลยครับ ผมได้แต่ค่อยๆ ไป จนถึงบางจุดต้องมีการเร่งให้ขบวนจักรยานผ่านทางแยกก็ต้องเร่งอัดบ้าง (เจ้าหน้าที่ปิดถนนให้จักรยานปั่นกันเลย)
พอตั้งขบวนขึ้นเขาได้ แต่ละกลุ่ม แต่ละพวกก็เริ่มแข่งกันเลยครับ ผมพลอยปั่นเร็วไปกับเขาด้วยโดยไม่รู้ตัว ทั้งๆ ที่รู้ว่าเราต้องออมแรงไว้ก่อน หรือว่ารอบขามันพาไปก็ไม่รู้นะ มันเป็นการเร่งไปแบบเพลินๆ คือเราไม่รู้สึกว่าตัวเองโหมมากนัก ไม่ค่อยรู้สึกเหนื่อย แต่รู้ว่าตัวเองปั่นเร็วไปนิดแค่นั้นเอง
ทางขึ้นเขาใหญ่เป็นเนินลาดขึ้นสลับกับลง เรียกว่าขึ้นสักพักก็มีลงให้เราได้ผ่อนเท้าบ้าง
บรรยากาศสองข้างทางก็มีแต่ป่าครับ แต่ไม่ถึงกับเป็นป่าทึบ บางช่วงมีลิงป่ามานั่งเล่นริมถนน เข้าใจว่าคงมีคนมาจอดให้อาหารมันแน่ๆ มันถึงรู้ และมานั่งคอย
ขึ้นได้ถึงกลางทางก็เริ่มเหนื่อยครับ ขาก็เมื่อย ก้นก็ร้อน รถ KHS HT คันนี้ผมใช้มาตรวัดความเร็วของ Cateye รุ่น Wireless แต่มันรุ่นเก่าโบราณมากตั้งแต่ปี 94 มันแปลกตรงนี้ครับ คือหากรถวิ่งต่ำกว่าความเร็ว 5 กม/ชม หน้าจอจะไม่แสดงผลในขณะนั้น ความเร็วไม่ขึ้น ระยะทางไม่ขึ้น ค่า AV ไม่ลด เวลาก็ไม่เดิน แต่นาฬิกายังทำงานตามปกติ
    เอาล่ะสิ ปั่นใกล้ถึงยอดเนิน ความเร็วก็เป็น 0 บางช่วงหมดแรงจะเร่ง หน้าปัดก็ขึ้น 0 ตลอด เลยไม่รู้ว่าเราปั่นมาไกลขนาดไหนแล้ว เริ่มหงุดหงิด
   พอทำใจได้ก็ปั่นมันแบบไม่สนใจตัวเลขครับ ขึ้นเขาแบบแสนหาหัส (สำหรับผม) ถึงจุดพักรถจุดแรก ดูแผนที่ในอุทยานฯ เขาบอกระยะทางมาแค่ 18 กม นั่นคือเพิ่งมาได้ครึ่งทางเท่านั้นเอง
   มาถึงจุดนี้แต่ไม่พบอาหารใดๆ สักพักมีรถเซอร์วิสมาพร้อมกับข้าวกล่องที่เหลือจากเมื่อเช้า นั่นคือข้าวกับพะแนงหมู ผมไม่รีรอ เดินไปรับข้าวทันที พร้อมกับหยิบพะแนงที่หยิบเอามาเมื่อเช้า เอามาเทรวมกัน ได้แกงเป็น 2 เท่า
   ถึงจุดนี้ผมพบกับพี่พอล (WC) ผมคุ้นชื่อพี่เขามาหลายปี ไม่เคยเจอตัวจริงสักครั้ง เขาอยู่ที่ Illinoil, Chicago ชื่อ WC มาจากคำว่า Windy City ทานข้าวและคุยกันไปเรื่อย ถามถึงเรื่องการปั่นที่ต่างประเทศ พี่เขาประสพการณ์เยอะกว่าผมมาก จนสุดท้ายเราปั่นไปด้วยกัน แต่ผมบอกให้พี่เขาแซงผมไปเถอะ ผมไปเร็วไม่ได้เยอะนักหรอก พี่เขาก็ปั่นๆ รอๆ ผมไปเรื่อย มาทิ้งหายไปตอนผมพักจอดตรงยอดเนินชัน
   ผมปั่นคนเดียวแบบเงียบๆ กลับรู้สึกดีไปอีกแบบ นี่แหละคือตัวผมเลย ปั่นจนมองไปข้างหน้าก็ไม่มีใคร มองไปด้านหลังก็ไม่เจอสักคน ใช่เลย เหมือนเรากำลังเดินทางอยู่คนเดียวจริงๆ ความเงียบสงบทำให้ผมได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้น พร้อมๆ กับได้ยินลมหายใจฟืดฟาดๆ
   ช่วงหลังนี้สาหัสหน่อยครับ เหนือยผมทนได้ ชันผมปั่นไหว แต่นี่เจอน้ำดื่มหมดครับ สองข้างทางก็ไม่มีร้านค้า ไม่มีใครบอกผมว่าให้เตรียมน้ำให้เต็ม ผมเตรียมมาแค่กระติกเดียว คิดว่ากลางทางมีร้านค้าหรือจุดพักรถ ไม่ก็เจอรถเซอร์วิส ไม่อยากเอามาเยอะ กลัวจะแบกหนัก
   ปั่นแบบคอแห้งแล้วเท้าหมดแรงเร็วมากครับ กลัวตะคริวจะขึ้น เพราะตลอดทางผมแซงมา เห็นบางคนกำลังกดบีบนวดเท้า
   ใจไหว ขาก็ยังไหว แต่ก็ตัดสินใจจอดพักครับ พักแล้วนั่งบ้าง เดินไปเดินมาบ้าง โดยมากผมจะพักบนยอดเนิน คอยดูเพื่อนๆ ที่กำลังปั่นขึ้นมา พร้อมกับส่งยิ้ม และพูดสวัสดีครับๆ
   ปั่นบ้าง พักบ้าง ทนความคอแห้งมาหลายกิโลเมตร ผมมีภาพภรรยาและลูกติดอยู่บนกระเป๋าหน้าแฮนด์ ในภาพสองคนกำลังกินไอศครีมกัน เห็นแล้วอยากกินบ้าง  จนในที่สุดก็มาถึงสามแยกใหญ่ มีร้านค้าอยู่หัวมุม มีนักจักรยานจอดพักและดื่มน้ำกันเยอะมาก แน่นอน ผมแวะเข้าไปแบบไม่รีรอ ถามระยะทางจากเพื่อนๆ ที่นั่งอยู่ เขาว่าอีก 3 กม ผมเลยซื้อน้ำแค่ขวดเดียว และไอศครีมอีก 1 แท่ง เดินกระหยิ่มในใจไปที่รถตัวเอง มองภาพสองคนบนกระเป๋าอีกครั้ง แล้วแกะซองไอศครีมกิน
   ถึงจุดนี้ราวเกือบจะสี่โมงเย็นครับ ฟ้าเริ่มมืด และไอเย็นวูบเข้ามาแทนที่อย่างทันที แต่ตอนแดดออกนี่อย่างร้อนจัดเลยนะ
   ปั่นตามทางจนเข้าจุดกางเต้นท์ลำตะคอง แค่เลี้ยวเข้าไปแว๊บเดียวก็ตกใจแบบตาลุกโพลง เฮ้ยย ทำไมคนมันเยอะขนาดนี้
   ผมไม่เคยขึ้นเขาใหญ่มาก่อน ไม่เคยกระทั่งขับรถยนต์ขึ้น เจอรถยนต์ของนักท่องเที่ยวจอดกันแบบแน่นเป็นพรืด แถมกางเต้นท์กันแบบแทบจะเกยกัน ผมสอบถามสตาฟถึงจุดกลางเต้นท์ของพวกเรา เขาก็ชี้ทางมา แต่ผมไปหาไม่เจอ คนมันเยอะและแน่นจริงๆ
   สุดท้ายก็มีพี่คนหนึงมาเรียกให้พวกเรามากางเต้นท์จุดเดียวกัน ผมรีบตามไปทันทีครับ ปกติจุดกางเต้นท์มักจะเป็นพื้นหญ้า แปลกที่จุดของวันนี้เป็นพื้นทราย
   เดินสำรวจกวาดสายตาดูทำเล มองหารังมด ก้อนหินใหญ่ พื้นขรุขระ ผมเลือกเอาแบบเรียบๆ หน่อย แป๊บเดียวก็กางเต้นท์เสร็จครับ พร้อมขึงฟลายชีทปิดไว้ ผมชักไม่สบายใจ เพราะพวกเรากระจัดกระจายกันนอนมากเลย คนก็แน่นแบบเว่อร์มาก ผมเลยรีบอาบน้ำก่อน เพราะกลัวคนจะแน่น
   น้ำเย็นจัดมากเลยครับ แต่ก็มันดี เหนื่อยๆ เมื่อยล้าเหมาะกับน้ำเย็นมากๆ เปิดฝักบัวให้น้ำราดหัวแล้วแสนจะสบาย สักพักก็ออกมาพร้อมกับความสดใส ใส่เสื้อแขนยาว กางเกงสามส่วน ผมว่าแค่นี้ผมพอกันหนาวได้ เพราะในเต้นท์ยังมีถุงนอนอีกหนึ่งใบ
   หลายคนถามถึงเรื่องอาหารเย็นกัน ในกำหนดการน้าเป็ดจะเอาข้าวมาแจก แต่วันนี้มีเหตุมาแจกไม่ได้ เพราะไม่รู้จำนวน แถมกระจัดกระจายเหลือเกิน เลยให้ต่างคนต่างกินกันเอง อืม ไม่ใช่ปัญหาครับ
   ผมไปคนเดียว ไม่สนิทกับใครสักคน มองหาคนคุ้นหน้าก็พอมี แต่เขามักจะอยู่ในกลุ่มใหญ่กัน เลยตัดสินใจไปกินคนเดียว
   “เอาข้าวราดคะน้าหมูกรอบครับ”
   “ข้าวหมดค่ะ”
   !!! อ้าว เฮ้ย มีข้าวหมดด้วย ทำไงดี
   “รอสักพักก็มีค่ะ”
   อ้อ แปลว่าข้าวหุงใหม่ ยังไม่สุก ไม่ใช่ปัญหา ผมรอได้ สบายๆ
   ผู้คนยั้งทะยอยมาสั่ง แม่ค้าก็ตอบแบบเดิม คือ “ข้าวหมดค่ะ” บางคนทำหน้างง บางคนฉลาด เขาสั่งเฉพาะกับข้าวมาเป็นจาน และนั่งรอข้าวเปล่าบนโต๊ะ ผมไม่ได้ทำอย่างเขา
   ยืนมองหน้าตู้ ยืนรอข้าว พร้อมกับเห็นสิ่งไม่น่าเชื่อเกิดขึ้น คะน้าหมูกรอบที่ผมเล็งไว้ แม่ค้าตักใส่จานไปเรื่อยๆ ให้คนอื่นจนหมดแล้ว
   อ้าว เฮ้ย แล้วเกิดข้าวมา กับข้าวก็หมดแล้วสิ ฉิบหายแล้วครับท่านผู้ชม เอาไงดีวะ
   เขามีอาหารขายด่วนคือลูกชิ้น และปีกไก่ทอดครับ ผมตัดสินใจซื้อลูกชิ้น 2 ไม้ และปีกไก่ 2 ปีก กินมันเปล่าๆ แบบไม่มีข้าวนี่แหละ คนอื่นอาจไม่ชิ้น แต่ผมคุ้นเคยอย่างมาก เสียอย่างเดียว มันไม่มีผักให้เคี้ยวเลยสักต้น
   บรรยากาศเหมือนโรงอาหารครับ ซื้อข้าวแล้วเดินมานั่งกินที่โต๊ะ กินเสร็จก็เดินเอาจานไปเก็บเข้าที่ ไม่ต้องล้าง
   แต่คนมันเยอะมากไงครับ ตอนกลับนี่จำทางเข้าเต้นท์ตัวเองไม่ได้ เดินวนเวียนหาอยู่นาน ตอนเดินออกมาก็ดูว่าเราอยู่ใกล้ต้นไม้ใหญ่ ขากลับมันมืดสนิท มองหาต้นไม้ใหญ่ไม่เห็นแล้ว
   เดินจนเจอเพื่อนแล้วถึงพากันเดินกลับถูก ใกล้ๆ มีกลุ่มวัยรุ่นตั้งเต้นท์กัน 3 หลัง เล่นกีตาร์กันมันส์มาก คิดถึงสมัยตัวเองเด็กๆ เหมือนกัน ก็แบบนี้แหละ แต่เป็นริมทะเล ไปกันเองในกลุ่ม ไม่ได้เล่นในอุทยานแห่งชาติ
   ผมเพลีย เข้าเต้นท์นอนตั้งแต่ราว 0800 พอได้เอนหลังนอนรู้สึกสบายตัวเหลือเกิน อากาศค่อยๆ หนาวเย็นลงเรื่อยๆ อยู่ในป่าแบบนี้ น้ำค้างลงจัดมาก เผลอแป๊บเดียว ลูบดูที่ตัวเต้นท์พบว่ามันเปียกๆ
   นอนพลิกตัวไปมา มันไม่ค่อยคุ้นครับ มาหลับเอาตอนสัก 1000 ถึงราว 0200 ก็ตื่น เพราะไอ้เสียงกีตาร์กับนักร้องเต้นท์ใกล้ๆ กันยังไม่เลิกแหกปากร้องเลย ถึงจุดนี้เริ่มรำคาญแล้วล่ะครับ ใจอยากลุกขึ้นไปทำอะไรสักอย่าง อาจแค่ขอร้อง แค่บอก ฯลฯ แล้วสักพักก็มีคนคิดเหมือนผม แต่เขาทำก่อน
   “เฮ้ย หนวกหูโว๊ยย” ผมไม่รู้ใครตะโกน ดังมาก ชัดเจน
   วงดนตรีหยุดลงทันที โออ ขอบคุณเสียงนั้นจริงๆ

29 พย 52
   ตื่นมาแล้วก็นอนไม่หลับครับ อากาศหนาวเหน็บเหลือเกิน น้ำค้างลงจัดจนมันควบแน่นและหยดเข้ามาในเต้นท์ ผมเห็นแล้วตกใจ เฮ้ย มาได้ไง เลยออกไปขึงฟลายชีทใหม่อีกรอบเอาให้มันตึงๆ หน่อย พอฟลายชีทตึง มันก็ไม่มาโดนกับหลังคาเต้นท์ น้ำก็เลยไม่หยดอีก เต้นท์ผมน้ำหยดไม่กี่ครั้ง แต่เต้นท์ของคนอื่น เขาว่าหยดกันลงมาเป็นขันเลย ต้องหาภาชนะมารองน้ำกันเลย ทำเอาไม่ได้นอนเหมือนกัน
   ผมนอนกับรุ่นพี่ TCC เขานั่งคุยกันทั้งคืน ไม่รู้ว่าเขาได้นอนกันบ้างไหม ผมก็นอนไปฟังเขาคุยกันไป เต้นท์ข้างๆ นอนกรนเสียงดังก็มี ผมเองก็อาจเป็นหนึ่งในนั้น ไม่รู้เหมือนกัน ผมไม่เคยได้ยินเสียงกรนของตัวเองสักที
   เช้ามืดอาสิทธิชัย TCC เปิดเตาต้มกาแฟแจกเด็กๆ อาท่านนี้ใจดีมากๆ เป็นผู้ใหญ่ที่น่าเคารพนับถือ คือวางตัวดี พูดคุยได้ทุกวัย ไม่ค่อยมีทะลึ่ง หรือพูดจากูมึง ผมออกมาเดินเล่นแต่เช้ามืด อากาศหนาวเย็นแบบชื้นมากๆ ผมรู้ทัน อัดวิตามิน C 1000 mg ไปวันละ 3 เม็ด พร้อมกับฟ้าทะลายโจรอีกมื้อละ 2 เม็ด ตื่นมาสูดอากาศได้เต็มปอด บางคนไม่คุ้นถึงกับจามฮาดเช้ยๆ กันหลายคน
   พอฟ้าสว่างก็รีบเข้าห้องน้ำไปแปรงฟัน ต้องรีบ เพราะกลัวคนจะเยอะ เดี๋ยวมาแย่งกัน ไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เลยจริงๆ ความเงียบสงบที่ผมใฝ่หามั้นไปอยู่ที่ไหนกันหนอ
   กลับมาที่เต้นท์ เอาผ้าเช็ดคราบน้ำค้างแล้วบิดทิ้ง แต่เช็ดอย่างไรก็ไม่แห้งหรอกครับ อากาศมันชื้น พูดคุยกันที่ก็ควันออกปาก อุณหภูมิประมาณ 17 C แต่พอแดดเริ่มออกก็จะกลายเป็นร้อนอย่างรวดเร็ว ยังดีที่อยู่บนภูเขา มีลมแรงคอยช่วยพัดให้เย็นสบายอยู่บ้าง
   ทุกคนถามถึงเรื่องหาหารเช้า แต่ก็ไม่มีคำตอบใดๆ บางคนบอกให้หากินเอง รีรอสักพักก็มีเจ้าหน้าที่นำน้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋มาแจก เฮ้ย เหมือนเมื่อวานอีกแล้ว ปาท่องโก๋มันอุดมไปด้วย Trans Fat นะครับ ไม่ควรกินอย่างยิ่ง
   แต่กระนั้นก็เถอะ ผมก็ยังหยิบกินไปหลายตัวเลย อ้าว ก็กลัวไม่มี่อะไรกินนี่ครับ ไม่รู้กำหนดการอะไรกับเขาเลย กำลังเคี้ยวไม่ทันได้กลืนดี ก็มีข้าวห่อมาแจก เย้ๆ ผมยื่นมือรับไม่ผิดกับผู้รับบริจาคที่เห็นตามทีวีเลย เปิดออกมาพบข้าวเหนียวหมูฝอย รีบกินทันที รสชาติดีครับ แต่กินไม่ถนัด เดินไปหยิบส้อมที่รถแล้วจิ้มกินอย่าง เอร็ดอร่อย
   รีบกิน รีบเก็บเต้นท์ พับเก็บมันทั้งเปียกๆ นี่แหละ ทำไงได้ รอไปก็ไม่มีทางแห้ง จะให้แห้งจริงต้องมาเก็บสักตอน 1000 โน่น คือให้มันได้โดนแดดโดนลมสักพัก
   เราปั่นไปยื่นจดหมายเพื่อขอทางจักยานขึ้นเขาใหญ่ แต่ตัวผมเองไม่ได้รู้สึกอยากได้ทางจักรยานเช่นนี้เลย นึกไม่ออกว่าทางจักรยานจะต้องบุกรุกป่าเข้าไปอีกสักเท่าไร ทำแล้วจะมีจักรยานสักแค่ไหนมาใช้กัน เทียบกับงบเท่ากัน ผมอยากให้มาสร้างทางจักรยานแบบมีรั้วกั้นอย่างถาวรกันในเขตอำเภอเมืองปราจีนบุรี โคราช หรือจุดชมุชนใหญ่ๆ เสียมากกว่า คิดเฉยๆ ไม่ได้พูดบอกใครไป มันไม่ควรพูด ที่จริงไม่ควรพิมพ์ลงใน Diary นี้ด้วยซ้ำไป แต่ก็ตัดสินใจทำ เพราะคนเราคิดแตกต่างกันได้มิใช่หรือ
   เขาออกเดินทางด้วยการปั่นลงเขาทางด้านโคราชครับ ช่วงแรกๆ มีเนินบ้าง เจอเข้าไปสองลูกขาก็ตึงอีกแล้ว แต่ยังปั่นไหว สบายๆ แค่ช้าลงหน่อย เส้นทางขึ้นๆ ลงๆ ครับ หากปั่นรถเปล่าล่ะก็ผมว่าสนุกมาก
   จนมาถึงเนินสุดท้ายก่อนถึงจุดชมวิว ช่วงขึ้นเนินผมชิฟเฟืองท้ายไปเบอร์ใหญ่ แต่มันไม่เข้า กดซ้ำใหม่ ก็ยังไม่เข้า โซ่ยังคงคล้องอยู่ที่เฟืองตัวเล็กสุด พอถึงทางลาดขึ้นก็เกือบจะล้ม อาการเหมือนคนเปลี่ยนเกียร์ไม่ทันยังไงยังงั้น ดีที่ยั้งคงตัวได้ ชิฟจานหน้าลงใบกลางแทน ยืนโยกรถจนขึ้นเนินมาได้ และยังคงปั่นอยู่อย่างนั้นจนมาถึงจุดชมวิว ฝืนทนมาเกือบ 1 กม
   สายเกียร์ผมขาดครับ ตีนผีเลยดีดไปที่เฟืองใบเล็กสุด
   พี่เล็ก ผู้นำทางช่วงนี้บอกว่าสบายใจได้ ต่อไปมีแต่ปั่นลงอย่างเดียว ขาเข้าเมืองปากช่องก็ทางเรียบตลอด
   แต่ในใจผมยังคงหวั่นๆ ว่าจะไหวหรือนี่ ถ้ารถเปล่าน่ะผมพอกล้าลุย แต่นี่ผมแบกของมาเต็มพิกัดเฉพาะแค่ Panniers ผมก็ 2 กก เต้นท์อีก 1.9 กก ที่เหลือคือของใช้ ถุงนอน เสื้อผ้า ยางใน ยางนอกสำรอง อุปกรณ์ยังชีพต่างๆ
   ชมวิวสวยๆ สักพักก็กัดฟันลง แล้วก็เป็นไปตามที่พี่เล็กบอกจริงๆ ครับ มันทิ้งดิ่งชันเลย แต่ปล่อยรถให้เร็วเต็มที่ไม่ได้ เพราะเป็นทางโค้งพับไปพับมา กลายเป็นลงแล้วต้องคอยเลี้ยงเบรก ต่างจากเส้นทางฝั่งปราจีนที่ลงแบบทิ้งดิ่งกันได้สุดชีวิต ผมทำความเร็วมาได้ราว 70 กม/ชม ด้วยท่าปั่นแบบก้มหมอบ
   ทางลงเขาเราใช้จักรยานดีๆ เราลงได้เร็วกว่าพวกรถยนต์เขาเยอะมากครับ แต่เบรกเราไม่ดีเท่าเขา ฉะนั้น หากผมเห็นรถยนต์อยู่ข้างหน้า ผมจะจอดริมข้างทาง รอให้เขาไปกันไกลๆ ก่อน แล้วค่อยไหลลง แบบนี้สนุกกว่าเยอะ เราลงมาคนเดียวจะมีสมาธิดีกว่า พอใกล้โค้งก็สามารถเบนรถไปดูไลน์ข้างหน้าได้เต็มที่ ทำให้ผมไหลลงมาเร็วกว่าปกติอีกนิดหน่อย ถือเป็นการทดสอบการลงเขาพร้อมสัมภาระครั้งแรกเลยทีเดียว
   พอถึงพื้นราบก็เจอเพื่อนๆ จอดรอกันกลุ่มใหญ่เลยครับ มีท่านหนึ่งมาถามผมเรื่องสายเกียร์ขาด อีกท่านหนึ่งชื่อพี่หมูก็มาช่วยแนะนำ ช่วยทำรถให้ บอกผมว่าจะเอาเฟืองอะไร จะได้ช่วยกันล็อคสลิงไว้ ผมเลือกเอาเฟืองกลางๆ เพราะจะได้ใช้จานหน้า 3 ใบได้อย่างเต็มที่ มีพี่อเนก พนักงานดับเพลิงสถานีบางชันมาช่วยล็อคสลิง เขาพันล็อคได้สวยและแน่นมากๆ ตลอดทริปจนถึงบ้าน สลิงไม่เคลื่อนตัวเลย
   กลายเป็นว่าผมคิดถูกที่เลือกเฟืองหลังใบกลาง เพราะเจอเนินผมก็ใช้จานหน้าใบเล็กสุดได้ หรือตอนลงเขาผมก็ยังใช้จานหน้าใบใหญ่สุดได้อีกเช่นกัน จากเดิมผมมี 24 Sp ตอนนี้เหลือ 3 Sp แต่ผมไม่ซีเรียส ขอให้มีแรงเข้าไว้ ผมได้ทุกรูปแบบ
   จากจุดนี้เราต้องปั่นกันอีกราว 20 กม เข้าเมืองปากช่อง กลุ่มที่ผมเกาะไว้อยู่ได้มีราว 6 คน ค่อยๆ ทะยอยหลุดไปทีละคนๆ แต่ไม่ต้องกลัวหลงครับ ไม่ต้องเสียใจอะไร หากเราปั่นไม่ทัน สักพักจะมีกลุ่มหลังปั่นตามมาสมทบกับเราเอง ยกเว้นเสียแต่ว่าเราหลงทาง แบบนี้ซวยโครต หากจะคิดตามใครก็มองผู้นำไว้ให้ดีครับ อย่างกลุ่มนี้ผมมากับอาสิทธิชัย
   อาปั่นแบบกลางๆ เจอทางลาดลงก็ไม่เร่งส่ง เจอเนินก็ไม่ยืนโยก ต่างกับผมที่เจอทางลาดเป็นต้องเร่งส่งเพื่อให้ขึ้นเนินข้างหน้าได้โดยเร็ว เออ มาเจอเรื่องแปลกอย่างหนี่งครับ คือพอเราอยู่บนยอดเนินพร้อมๆ กัน ปล่อยไหลลงพร้อมกันโดยไม่ปั่น รถผมมันไหลลงได้เร็วและนานกว่าใครเขา ไม่ได้จะโอ้อวดว่ากูเจ๋ง หรือรถดีนะ ผมกำลังวิเคราะห์ต่างหากว่ามันไหลลงได้เร็วกว่าคนอื่นเพราะอะไร หรือเพราะว่ารถผมหนักกว่า อ้าว หนักกว่าก็ยิ่งต้านลมกว่าด้วยนะ หรือเพราะว่าผมก้มหมอบ หรือว่ารถผมใส่ยางสลิค ฯลฯ
   พอเข้าเขตตัวเมืองก็เริ่มอุ่นใจว่าใกล้ถึงสถานีรถไฟปากช่องอันเป็นปลายทางของเราแล้ว แต่ยังไม่วายหลงไปนิดหน่อย ดีที่กลุ่มหลังมาเรียกเราไว้ทัน เขากดแตรลมเรียกเลยครับ เวิร์คสุดๆ เลยล่ะ
   พอเข้าสถานีได้ก็เหมือนเห็นบ้านเลย ดีใจ สบายใจว่าเรามาถึงแล้ว รีบนำจักรยานขึ้นรถไฟ อ้อ เจ้าหน้าที่เขาเอาตู้ 2 โบกี้นี้มาทิ้งไว้รอพวกเราโดยเฉพาะเชียวนะนี่
   ผมอยู่ในกลุ่มแรกที่มาถึงอีกแล้ว ได้ยินคนคุยกันบอกจะมีข้าวแจก ผมเลยนั่งเฉยๆ พักผ่อนอยู่นาน จนเห็นว่ารถไฟใกล้จะออกแล้วเลยเดินไปยังร้านอาหารหน้าสถานี เป็นร้านอาหารท้องถิ่นที่ค่อนข้างขายดี ดูจากมีเมนูเขียนเต็มกำแพงไม่ต่ำกว่า 30 รายการ แม้จะเป็นอาหารพื้นๆ แต่อ่านดูตอนหิวๆ นี้มันน่ากินไปหมดเชียวนะ อาหารประยุกต์แบบ Fusion ก็มีเช่น เย็นตาโฟเกี๊ยว ข้าวกับลาบทอด ฯลฯ
   ผมไม่ได้กินผักมาหนึ่งวันครึ่งแล้วครับ เลยสั่งคะหน้าหมูกรอบ+ไข่ดาวสุก ทานจานเดียวก็อิ่ม รสชาติใช้ได้ดีเลยครับ ก่อนออกจากร้านก็ขอบคุณพ่อครัวที่ทำอาหารอร่อยๆ ให้ผมได้ทาน ถ้ามีโอกาสมาอีก ผมจะมากินร้านนี้อีกครับ
   ขากลั้บคนน้อยมากครับ แค่ราว 40 คนเองกระทัง นั่งกันแบบหลวมๆ ในตู้ บางคนนอนยืดขาสบายใจก็มี
   ผมชอบอย่างหนึ่งคือสีสันบนรถไฟครับ พอจอดได้สถานีหนึ่งก็จะมีอาหารขึ้นมาขายอย่างหนึ่ง เริ่มแรกก็เป็นน้ำปล่า น้ำอัดลม ตามมาด้วยเหล้า เบียร์ บางสถานีก็มีแหนม ข้าวเหนียวเนื้อเค็ม ถ้าสถานีมวกเหล็กนี้จะมีกระหรี่ปั๊บ บางสถานีเล็กๆ มีไอศครีมกระทิถ้วยเล็กๆ น่ารักๆ ขาย 5 บาท มีไข่ต้มด้วย ข้าวเหนียว+ไก่ย่างขมิ้นก็มี เหมือนที่บางแสนเป๊ะเลย
   เฮ้ยย ทำเป็นเล่นไป วิถีชาวบ้านแบบนี้เจ๋งดีนะ ไม่มีประเทศไหนเขามีกันหรอก ให้เป็นรถไฟญี่ปุ่นก็จะเป็นชุดอาหารกล่องประจำสถานนีต่างๆ อันนั้นก็คลาสสิคดี จัดเป็นระเบียบต้องลงไปซื้อเองที่สถานีปลายทาง แต่ของไทยเรานี้ผมว่ามันเป็นสีสันครับ คือมันได้ลุ้นว่าสถานีหน้ามันจะมีอะไรมาให้กูได้กินบ้างว้า ตลอด 5 ชม ตั้งแต่ปากช่องถึงกรุงเทพฯ มีได้ลุ้นตลอด ทำให้นั่งนานไม่ค่อยเบื่อ นั่งกันตั้งแต่ 0200 มาถึงหัวลำโพงเอาตอน 0700 ระยะเวลานี้ เทียบได้เท่ากับนั่งเครื่องบินไปประเทศเกาหลีกันเลย ทั้งๆ ที่รถไฟไปแค่ราว 200 กม เท่านั้นเอง
   พี่ๆ ใจดีก็ซื้อของแม่ค้ากันเยอะครับ และมักจะซื้อเยอะๆ แล้วเอามาแจกพวกเรากันเอง ผมสิได้รับแจกมาเยอะ กินไปหลายอย่างเลย อย่างละชิ้น แต่ก็เกรงใจคนแจกจริงๆ ครับ เพราะตัวเองไม่ได้ซื้อแจกคนอื่นบ้างเลย คือกลัวไม่ถูกใจเขาไง เช่นปลาหมึกย่าง แม้จะหอมดี แต่ก็ไม่รู้พวกรุ่นใหญ่เขาจะเคี้ยวกันไหวไหม หรือซื้อข้าวโพดมาแจก เขาจะแทะกันไหม ฯลฯ
   ถึงหัวลำโพงพวกเราก็แยกย้ายกัน ผมปั่นกลับกับพี่กลุ่มหนึ่งที่บ้านอยู่ย่านฝั่งธน และมาถึงบ้านเอาตอนใกล้ 0800 ถึงบ้านก็แอบเข้าไปหาลูกและภรรยา เขาทั้งคู่ทำหน้าตกใจกัน
   “พ่อกลับมาแล้วหรอ” ภรรยาพูดทักทาย
   ผมพยักหน้าส่งยิ้มแบบเหนื่อยๆ ให้
   “ทานอะไรมาหรือยัง เอาผลไม้ไหม มีฝรั่งนะ” ภรรยาเตรียมผลไม้ไว้ให้
   “ยังไม่ได้ทานอะไรเลย แต่เดี๋ยวจะชิงหลับก่อน” ภรรยาฟังแล้วหัวเราะ
   “สวัสดีครับพ่อ” ลูกเรียกผมบ้าง
   “สวัสดีจ๊ะลูก”
   “ลูกเป็นเด็กดีหรือเปล่าครับ” ผมถามต่อ
   “เป็นเด็กดีครับ” ลูกผมตอบ
   “เด็กดีอะไรล่ะ รื้อเสียบ้านกระจุยกระจายไปทั้งหลัง เพิ่งจะช่วยกันเก็บเสร็จนี่แหละ” ภรรยาพูดขึ้นมา
   สองพ่อลูกหัวเราะพร้อมกัน ฮ่าๆ ๆ
i drive / i race / i test / I drift
I row / I run / I fun / I ride

Offline O'Pern

  • fear is a mind killer
  • Administrator
  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 7411
  • don't let your fear stand in the way of your dream
    • racing club
Re: พย 52
« Reply #17 on: December 01, 2009, 03:07:46 pm »
30 พย 52
   นอนรวดเดียวจนถึงเช้านี่สบายเสียจริงๆ เข้านอนตั้งแต่ยังไม่สี่ทุ่ม มาตื่นเอาตอน 0530 แสนจะเมื่อยตัว แต่ยังมีใจออกไปปั่นจักรยานต่ออีก เอารถ KHS F20-W ออกแทน แต่ปั่นไปได้ไม่นานก็หยุดวกกลับบ้าน มันรู้สึกไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ สงสัยยังไม่หายเมื่อย
   กลางวันคิดจะเอารถ KHS HT ไปเปลี่ยนสายเกียร์ที่ร้านทองเอก แต่ก็เปลี่ยนใจ แดดมันแรงจัดเหลือเกิน เอาไปเปลี่ยนแล้วรอรถกลับมาเลยก็อาจนานเป็นชั่วโมงๆ ไม่รู้เขาติดทำรถคนอื่นอยู่หรือเปล่า หรือจะเอารถไปทิ้งไว้ให้เขาทำ แล้วผมจะกลับอย่างไร ร้านเขาอยู่ในซอยลึกมาก
   เลยตัดสินใจว่าพรุ่งนี้จะเอาจักรยานใส่รถยนต์ไปให้เขาทำ หากเสร็จเร็วก็ใส่รถยนต์กลับบ้าน หากคิวยาว ก็ทิ้งจักรยานไว้ แล้วขับรถยนต์กลับแทน
   ตรวจเช็คสภาพแก้มยางของยางสลิคที่มีรอยปริแตก พบว่ารอยปรินั้นยังคงเท่าเดิม
   เข้าเวป TCC เช็คข้อมูลการเดินทางของทริปวังน้ำเขียว เจ้าหน้าที่มาโพสบอกว่าควรใช้ยางแบบ Off Road จะดีกว่า เอาล่ะสิ ผมเล่นแต่ทางเรียบกริบเลย เล่นสลิคเลย นี่ผมจะต้องไปหายาง Off Road มาใช้แทนหรือนี่ 
   นั่งคิด แต่ยังไม่สรุป ถ้าจะต้องใช้จริงๆ ก็อยากได้ยางขนาดสัก 1.50 นี่แหละ จะได้ใช้ยางในอันเดิมทดแทนกันได้ ไม่รู้เหมือนกันว่ายาง Off Road ขนาด 1.50 จะมีหรือไม่ แต่ถ้าเป็นยางแบบ Intermediate น่ะมีแน่
   คิดถึงร้านจักรยานนี่ผมชักเบื่อร้านแสงเพชรเข้าแล้ว ปัจจุบันขายของแพงกว่าเดิมเยอะมาก ล่าสุดยางสลิคผมซื้อมาแพงกว่าเก่าเส้นละถึง 100 บาท อันนี้ผมจำได้แม่น เพราะกล่องยังติดราคาไว้อยู่เลย ใจเลยอยากอุดหนุนร้านทองเอกแทน แต่ก็ไม่รู้ว่าเขามียางให้เราเลือกมากน้อยเพียงใด ไว้คงต้องไปดูอีกที
   ตอนเย็นมีรุ่นน้องมารับเอารถยนต์ของผมไปฝากขาย รถแข่งที่ผมทำเองกับมือ ออกแบบอย่างเต็มที่ ตกแต่งมาเพื่อการแข่งดริฟท์โดยเฉพาะ หากถามผมเมื่อหลายปีก่อน ไม่เคยมีความคิดที่จะขายเลยแม้แต่น้อย กลับคิดจะเก็บไว้ให้ลูกเสียด้วยซ้ำไป เพราะรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหลังทุกวั้นนี้แทบไม่เหลือแล้ว มันใกล้สูญพันธ์แล้ว
   แต่วันนี้ผมยื่นกุญแจรถให้เขาโดยดี เวลาเปลี่ยน ใจคนเปลี่ยนจริงๆ ครับ
   หันมามองจักรยาน 4 คันที่จอดเรียงรายในบ้าน คิดในใจ “เจ้านี่สินะคือเพื่อนแท้ที่คงจะอยู่กับเราไปจนวันตาย”
i drive / i race / i test / I drift
I row / I run / I fun / I ride