Author Topic: พฤษ 52 17 ดอนหวาย / 28-31 solo trip  (Read 14328 times)

Offline O'Pern

  • fear is a mind killer
  • Administrator
  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 7411
  • don't let your fear stand in the way of your dream
    • racing club
Re: พฤษ 52 17 ดอนหวาย
« Reply #15 on: June 01, 2009, 02:52:18 pm »
28 พฤษ 52
   ตื่น 0430 รีบอาบน้ำ ผมอยากออกบางนาให้พ้นก่อนสาย เพราะผมวิ่งไปทางทิศตะวันออก พระอาทิตย์จะอยู่ด้านหน้าตลอดทาง
   ออกจากบ้าน 0500 แต่พอกดบันไดครั้งแรกเท่านั้นแหละ ผมถึงกับผงะ รถผมบาลานซ์แย่มาก ผมถ่วงน้ำหนักของ Pannier แต่ละใบผิดพลาด น้ำหนักไม่สมดุลย์กันเลย ทนๆ ไป อยากออกไปพ้นไกลๆ หน่อย แล้วช่วงพักรถค่อยมาจัดกันใหม่อีกที
   ทนขี่แบบเป๋ๆ ไปจนถึงท่าเรือพระประแดง เขาคิดค่าข้าม 5 บาท (รวมจักรยานแล้ว) สอบถามเจ้าหน้าที่เขาบอกว่าท่าเรือเขาเปิด 24 ชม แบนี้ดีคราวหน้าจะได้มาใช้บริการอีก
   ช่วงแรกนี้สดมากครับ รถบาลานซ์แย่ แต่ก็โอเค แรงเรายังเหลือๆ นึกถึงตอนที่เราตัดสินใจเปลี่ยนชุดกระโหลกมา เออ เราคิดถูกนะนี่ (แต่โซ่ยังไม่ได้เปลี่ยนเลย วัดดูแล้วยืดนิดๆ แต่ยังพอใช้ได้ เป็นโซ่ติดรถตั้งแต่ปี 94)
   ขี่ไปได้หน่อยเดียว คอหลวมอีกแล้ว อ้าว ให้ช่างที่ร้านทองเอกปรับแล้วนี่นา เออ มันหลวมอีกแล้วว่ะ อาการเหมือนเดิมเป๊ะเลย ขี่ไปสักพักก็ต้องคอยหมุนถ้วยคอให้แน่นขึ้น
   ผมมารู้ตัวว่าเลือกเส้นทางผิดก็ตอนเข้าสำโรงครับ รถเยอะมากๆ โดยเฉพาะรถบัสรับส่งคนงาน พอออกถนนใหญ่สุขุมวิทก็ยิ่งแย่ รถติดหนัก ทนๆ ไปจนถึงแยกบางนาก็ยังไม่ดีขึ้น ต้องไปทางบางพลีโน่นแหละถึงจะเริ่มโล่ง ผมเสียเวลาช่วงนี้ไปราว 2 ชม โดยเปล่าประโยชน์ ได้ระยะทางมาแค่นิดเดียว พ้นบางนามาหน่อยเดียวเอง 
   พอรถโล่งก็จอดพักเข้าห้องน้ำ และทานอาหารเช้า เป็นผลไม้ที่ผมเตรียมมา มีองุ่น และส้ม ปอกและแช่เย็นมาเสร็จสรรพ อุตส่าห์แบกน้ำหนักเพื่อมากินเลยนะนี่ อยากลดน้ำหนักด้วยไง
   แดดแรงสุดยอด แต่มีเมฆมาก บางช่วงของเส้นทางมีการทำถนนด้วย แย่จริงๆ รถผมใช้ยางสลิคขนาด 1.5 ถ้าเจอลูกรังร่วนๆ หรือทรายหนาๆ จะออกอาการไปไม่เป็น เจอทางแบบนี้แย่ครับ กินเหลือเกิน แถมไม่ได้ระยะทางมากนัก
   จากแดดแรงๆ ก็มีฝนเทลงมา แต่เตรียมสู้ฝนไว้แล้ว จอดข้างทางเอาเสื้อกันฝนมาใส่ ปั่นต่อไปอย่างทุลักทุเล ใส่ยางสลิคไง กลัวลื่นล้ม กลายเป็นกินแรงเพราะต้านลมเข้าไปอีก
   ฝนตกไม่ถึง 30 นาที ผ้าคลุมกันฝนของกระเป๋าหน้า KHS ทำงานได้ห่วยเหลือเกิน กันฝนไม่ได้สักนิด กระเป๋าผมเปียกไปหมด ดีที่เอารูปภาพภรรยาและลูกที่ผมพกติดกระเป๋าประจำออกเสียก่อน
   เสื้อผมไม่เปียกเพราะมีเสื้อกันฝนคลุมไว้ กางเกงเปียกหมด แต่ไม่ใช่ปัญหา แป๊บเดียวก็แห้งแล้ว แต่หนักใจเรื่องรองเท้าครับ เพราะชุ่มไปหมดเลย รู้สึกรำคาญเท้าเป็นอย่างมาก จอดเทน้ำทิ้ง ก็ไม่มีน้ำออกมาจากรองเท้า แต่พอกดบันไดกลับได้ยินเสียงน้ำจ๊อกแจ๊กอยู่ข้างใน
   แวะปั๊ม PTT ซื้อน้ำแค่ขวดเดียว ไม่อยากแบกเยอะแล้ว เพราะหากน้ำหมดก็แวะปั๊มหน้าซื้ออีกก็ได้ ตาเหลือบไปเห็นมีบริการเติมลมยาง มีหัวฉีดลมความสะอาดด้วย เย้ๆ ผมรีบไปหยิบหัวฉีดมาฉีดรองเท้า เป่าอยู่สัก 3 นาที แม้จะไม่แห้งสนิท แต่ก็ไม่มีน้ำขลุกขลิกข้างในแล้ว ปั่นสบายเท้าขึ้นเยอะ
   ฝนหายตกแดดก็แรงจัดทันที อีกไม่นานรองเท้าก็แห้ง ส่วนกางเกงนั้นแห้งนานมากแล้ว ตอนนี้มาเปียกเหงื่อแทน ชุ่มไปทั้งตัวเลย แต่หากเจอลมแรงๆ พัดสวนมาแป๊บเดียวก็แห้ง รู้สึกเย็นสบายตัวทั้งๆ ที่อยู่กลางแดดเปรี้ยง
   มีคนกดแตรทักทายตลอดเส้นทาง รู้สึกเหมือนเป็นนักเดินทางกับเขาจริงๆ ทั้งๆ ที่เพิ่งจะออกคนเดียวและแบกของหนักขนาดนี้ (ราว 15 กก) ก็ครั้งนี้นี่แหละ ทุกทีไม่เคยบรรทุกเพียบขนาดนี้ ที่หนักมากก็เพราะมีอุปกรณ์เต้นท์นี่แหละครับ นี่ขนาดเลือกเต้นท์เล็กเบามาใช้แล้วนะนี่ (เต้นท์หนัก 1.9 กก)
   มันจะมาพะรุงพะรังก็ตรงแผ่นรองนอนนี่แหละครับ ผมเคยมีแผ่นรองอย่างเบาเป็นของทหาร USA แม่ผมยืมเอาไปใช้ตอนเต้นท์แอโรบิคแถวบ้าน ฝากเจ้าหน้าที่ไว้ ใช้ได้แค่ไม่กี่ครั้งก็หายไปแล้ว แต่ตอนใช้ของห่วยๆ หนักๆ หนาๆ ไม่เห็นมันจะหาย
   ปั่นเข้าเมืองชลบุรีแล้วเริ่มสองจิตสองใจ อยากไปเกาะสีชังเหมือนกัน ตรงต่อไปอีกสักพักไม่กี่ชั่วโมงก็ถึงแล้ว แต่หากจะไปเกาะเสม็ดก็อีกยาวไกล เพราะยังมาได้ไม่ถึงครึ่งทางเลย !!!
   กัดฟัน กัดลิ้น ปั่นมุ่งหน้าเกาะเสม็ดครับ ตั้งเป้าหมายไว้แล้วก็ต้องทำให้ได้ ยังไงก็ต้องเอาให้ถึง ผมถึงเมืองชลฯราวเที่ยง สายตาสอดส่ายหาของกินแล้วล่ะ แต่ไม่เจอของถูกใจ ผมชอบก๋วยเตี๋ยวหมูสับต้มยำครับ ไม่รู้ทำไมนะ ตอนปั่นจักรยานแล้วชอบกินแบบนี้ ทั้งๆ ที่ตอนปกติไม่ค่อยจะกิน
   ผมเริ่มรู้สึกเจ็บก้นตอนถึงเมืองชลฯนี่แหละ ทนครับ ทนปั่นไป แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ก้นผมชินกับเบาะนุ่มนิ่มของรถ KHS F20-W ไปแล้ว ส่วนเบาะของ KHS HT คันนี้เป็นแบบพวกรถแข่งครับ แข็ง บาง เพรียว แคบ เบา เป็นเบาะแบบไม่มีราง แปลกดี
   ผมเลี้ยวซ้ายที่ถนน 344 มุ่งหน้าอำเภอแกลง จ ระยอง นี่แหละนรกของจริง เพราะผมต้องปั่นยาวร้อยกว่าโลตามถนนเส้นนี้อย่างเดียวเลย
   ฝนตกอีกแล้ว หยิบเสื้อกันฝนมาใส่แล้วปั่นต่อตามเคย ตกหนักครับ แม้จะตกไม่นาน แต่ก็เล่นเอารองเท้าเปียกชุ่มอีกแล้ว ไอ้นี่แหละทีทำให้เกิดความน่ารำคาญขณะปั่นมากที่สุดเลย
   ได้แต่ทนครับ เราเลือกทางเดินเส้นนี้เองนี่นา ทะยอยหยิบถั่วออกมากินทีละนิด ตอนนี้หมดไป 2 ถุงแล้ว กินสลับกับน้ำไปเรื่อยๆ บางทีนึกสนุกเอาถั่วหลายๆ ถุงหลายรสมาเทรวมกันในขวด ตอนเทเข้าปากก็เคี้ยวทีละเม็ดแล้วคิดเอาว่ามันคือรสเค็มหรือหวาน ถั่วอัลมอนหรือถั่วลิสง นี่ผมไม่มีอะไรทำแล้วจริงๆ หรือนี่
   ถนน 344 เล่นเอาผมท้อใจเสียจริง ดูเหมือนเป็นถนนที่ไม่มีวันสิ้นสุด มันตั้งร้อยกว่าโลนี่นา รถก็เยอะอีกด้วย บางช่วงเป็นสะพานลอยข้ามแยก ผมอยากออมแรงไม่ปั่นขึ้น กลายเป็นเจอสะพานแบบโค้งเลี้ยวขวาเข้า ผมต้องตรงผ่านทางแยกไปแล้วอ้อมเลี้ยวกลับรถเพื่อเข้าถนนสายเดิม
   เจอป้ายร้านขายก๋วยเตี๋ยวต้มยำ ตอนแรกขี่เลยไป เพราะกินไม่ลงแน่ แต่อีกใจก็อยากนั่งพัก เลยเลี้ยวกลับมากินไป 1 ชาม 30 บาท บะหมี่ต้มยำครับ รสชาติไม่ค่อยอร่อย น้ำซุปเหมือนกับใช้ซุปก้อนมากกว่าน้ำซุปกระดูกหมู เส้นบะหมี่ก็ยังไม่ดี เป็นเส้นบะหมี่สีเหลืองเข้ม ไม่ใช่บะหมี่ไข่ที่พบเห็นทั่วไป
   ลมแรง แดดแรง ฝนตกๆ หายๆ เป็นเช่นนี้ตลอดทางครับ ถึงตรงนี้ผมเปียกและแห้งไป 2 รอบแล้วครับ จนบางช่วงคาดการณ์แล้วฝนไม่ตกแรงก็ช่างมัน ไม่ใส่เสื้อกันฝนแล้ว ขี้เกียจเปิดกระเป๋าเข้าๆ ออกๆ ปั่นตากฝนไปงั้นแหละ เดี๋ยวก็แห้งเอง
   มื้อเช้าอัดวิตามมินซี 1000 มก ไป 2 เม็ด กันเหนียว ส่วนกลางวันลืมกิน สงสัยเจอบะหมี่ไม่อร่อยถูกใจ
   ผมเคยขับรถยนต์ผ่านถนนสาย 344 นี้หลายครั้งครับ แต่เพิ่งรู้วันนี้เองว่ามันเป็นเนินขึ้นๆ ลงๆ ตลอดทางเลย เนินลงน่ะชอบ แต่เนินขึ้นนี่สิ แถมวันนี้แบกน้ำหนักมาอีกราว 15 กก (ไม่รวมน้ำในกระติก 2 ใบ) และห้อย Pannier มาอีก 4 ใบ ต้านลมดีชมัดเล้ยยย อ้อ มีกระเป๋าหน้าแฮนด์ห่วยๆ อีกใบด้วย
   บ่าย 2 โมงแล้ว ยังมาได้ไม่ถึงไหนเลย ข้างหน้าฟ้าครึ้มอีกแล้ว    
ขึ้นเนิน ลงเนิน ทวนลมแดด ทวนลมฝน แดดจ้า ฟ้าครึ้ม เป็นเช่นนี้ตลอด 100 กว่าโลจนถึงอำเภอแกลง
ถนน 344 นี้แม้จะกว้าง เป็นแบบ 2 way และมีไหลทาง ดูแล้วปั่นสบายก็จริงอยู่ แต่ตอนนี้ผมไม่สนุกแล้ว ผมเจ็บก้นอย่างมาก ต้องใช้ยืนปั่นช่วย แต่มันไม่ดีขึ้นเท่าไหร่หรอก

   ผมมาถึงท่าเรือข้ามเกาะเสม็ดเอาตอน 3 ทุ่ม เรือเขาหยุดวิ่งกันแล้ว แถมฝนตกหนักอีกด้วย ไม่มีใครสักคนที่ท่าเรือ เลยปั่นไปบ้านผมซึ่งเลยบ้านเพไปอีกหน่อย อยู่กลางหาดแม่รำพึง
   ระยะทางไม่ไกล แต่ลมแรงจัด รถผมโต้ลมดีเหลือเกิน ข้าวของพะรุงพะรัง ขี่แบบยืนปั่น เพราะก้นแตะอานไม่ได้เลย ทนมารดีจริงๆ
   มาถึงบ้านเอาตอน 4 ทุ่มครับ วันนี้ผมปั่นขำๆ ไปประมาณ 260 กม ออกเดินทางตี 5 ถึงจุดหมายตอน 4 ทุ่ม ใช้เวลาไป 17 ชั่วโมง ตัวเปียกและแห้งไป 4 รอบ ไม่นับเปียกชุ่มล่าสุดตอนถึงจุดหมาย
   ผมมาช้ามากๆ ช่วงหลังนี้เองครับ ช่วงจากแกลงถึงแม่รำพึงผมเลือกเส้นทางผิด ดันไปปั่นเส้นเลาะชายหาดซะ มันเลยไกล แถมโดนลมแรงตีโต้ด้านข้างตลอด ระยะทางแค่ไม่กี่สิบโล แต่ผมใช้เวลาไปถึง 5 ชั่วโมง ถ้าผมเลือกปั่นบนถนนสุขุมวิทคงจะย่นเวลาไปได้อีกสัก 2 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย เพราะถนนเลียบชายหาดนั้นมีเนินขึ้นลงตลอดทางอีกด้วย เรียกว่าทั้งทางไกลกว่า มีเนินเยอะ และลมแรง สุดยอดเลยไหมนั่น มาทดสอบใจเราเอาตอนที่มันหมดแรงเสียแล้ว
   ตัวเปียกซ่กมาถึงบ้านตัวเอง แม่บ้านจำผมไม่ได้ ไม่รู้ว่าเป็นใคร ผมต้องบอกชื่อเขาถึงร้องอ๋อ บอกว่าทำไมไม่ขับรถยนต์มาล่ะ แขกที่มาพักด้วยกำลังทานอาหารกันอยู่ รู้ว่าผมปั่นมาจากกรุงเทพฯ ต่างมองกันตะลึง ชี้ป้ายที่ผมเขียนติดข้างรถกันใหญ่ ผมได้แต่ยิ้มๆ ในใจอยากอาบน้ำนอนเหลือเกิน
   แปลก อาบน้ำเสร็จกลับไม่อยากนอน หยิบเอาขนมออกมากินไปเยอะเลย  ธรรมดาผมจะไม่กินก่อนนอนนะครับนี่ คงจะหิวโหยจริงๆ เลยปล่อยไปตามใจอยากครับ เป็นขนมประเภทถั่วน่ะครับ ไม่ได้ของหวานหรือช็อคโกแลตอะไร
   
29 พฤษ 52
   ตื่นเองแต่เช้าราวตี 5 ฟ้าที่ท้องทะเลนี้สว่างเร็วมากครับ ตี 5 นิดๆ ก็เห็นแสงที่ขอบฟ้าบ้างแล้ว แค่ 0515 ก็เริ่มสว่างแบบมองเห็นทางเดิน ส่วน 0530 นั้นก็จะออกปั่นจักรยานได้โดยไม่ต้องใช้ไฟหน้าเลย
   แต่ผมปั่นไม่ไหวครับ ไม่ใช่ว่าหมดแรงนะ แรงน่ะมีเหลือเฟือเลย แต่เจ็บก้นกับเจ็บหลังอย่างมากครับ เจ็บก้นเพราะนั่งบนอาน อันนี้หากใครปั่นนานๆ เว่อร์ๆ ก็มักจะมีเจ็บกันบ้าง แต่ส่วนใหญ่แป๊บเดียวก็หายแล้ว ส่วนเจ็บหลังนั้น เป็นช่วงใต้ต้นคอลงไปสักหนึ่งผ่ามือและเยื้องไปทางขวาจากกระดูกสันหลังสัก 2 นิ้ว ข้อนี้ผมคิดว่ารถผมช่วง Stem ยาวเกินไปครับ แม้จะใช้รถมาเป็นสิบปี แต่ก็ไม่เคยลากขี่ยาวไกลและต่อเนื่องนานขนาดนี้มาก่อน ระยะเอื้อมของแขนยาวมากเกินไป แถมตอนยกรถขึ้นลงจากศาลาริมทาง (ตอนจอดพักหลบแดด) ผมใช้มือขวาออกแรงมากเป็นพิเศษ บวกกับรถที่มีน้ำหนักมาก ทำให้เป็นการใช้แขนออกแรงแบบผิดท่า ผสมกับความเมื่อยล้าในการเดินทาง ส่งผลให้เจ็บแปล็บๆ ในบางจังหวะของการปั่น ไม่รู้ว่านี่เป็นอาการกล้ามเนื้ออักเสบหรือไม่ เลยหยิบเอาเคาเตอร์เพนคูลมาทา แต่ไม่เห็นจะดีขึ้นตรงไหนเลย
   สักพักอดใจไม่ไหว เอารถออกปั่นรถเล่นริมทะเลแล้วสดชื่นมากครับ ลมยังแรงดีอยู่ตลอดเวลาเลย นี่ถ้าเล่นเรือใบจะสุดยอดกว่าจักรยานเสียอีก นึกถึงตอนหนุ่มๆ จริงๆ
   ลมแรงแดดดี ทะเลมักเป็นแบบนี้ แค่ 0730 ก็แดดแรงจนแสบผิวแล้ว ปั่นกลับมากินข้าวที่ร้านอาหารหน้าบ้าน สั่งข้าวผัดกุ้ง ไข่ดาว และคะน้าหมูกรอบ แม่ครัวรู้ว่าผมปั่นมากจากกรุงเทพฯหรือไงนี่ ให้ผมมาเสียจานใหญ่โต ทานจนเหลือแต่หมูกรอบเยอะมาก จะทิ้งก็เสียดาย บอกเขาใส่ถุงเก็บไว้ กลางวันจะมากินใหม่
   กลับมาพักผ่อนที่บ้านอย่างสบายใจ นั่งดูทีวีอยู่ได้เป็นชั่วโมงโดยไม่รู้สึกเบื่อ ทั้งๆ ที่ตอนอยู่กรุงเทพฯไม่เห็นจะดูทีวีสักนิด
   ว่างๆ ก็ล้างรถ เช็ดรถ Pannier ของ Ortlieb เป็นลักษณะคล้ายผ้าใบ ทำความสะอาดง่ายมากๆ พอฝนแห้งก็จะมีแค่ฝุ่นทรายเกาะ ใช้ไม้ขนไก่ลูบออกแค่นี้เองก็พอจะสะอาดแล้ว แต่ถ้าให้เงางามปิ๊งก็ต้องเป็นผ้าชุบน้ำลูบตามอีกที ตอนนี้เริ่มชอบแล้ว แต่ตอนแรกไม่ค่อยชอบตรงที่ไม่มีกระเป๋าเล็กด้านนอก จะหยิบของอะไรสักหน่อยก็ต้องม้วนเข้าม้วนออก
   พอปลดกระเป๋าทุกใบออกหมด รถผมเบาเหมือนเดิมแล้ว ออกแรงยกด้วยแขนขวาท่าเดิม ตำแหน่งเดิม พบว่าไม่เจ็บหลังเลย สันนิษฐานเอาเองว่าเจ็บเพราะยกรถด้วยการจับอานเบาะแน่ๆ
   การจับอานยกในตำแหน่งนี้ ในสภาพที่รถมีสัมภาระมากมาย ทำให้เบาะผมเริ่มโยกครับ แต่ตอนนั้นก็ยั้งไม่เอะใจอะไรนะ ปั่นมันไปเรื่อย
   บ่าย 2 ออกไปทานกลางวันร้านเดิม ให้แม่ครัวเติมผักเข้าไปกับหมูกรอบแล้วอุ่นใหม่ให้ผมทาน สั่งปลาหมึกชุบแป้งทอดมาเพิ่มอีกจานด้วย สงสัยหิวจัด เมื่อวานใช้พลังงานไปเยอะ
   มาแบบจานใหญ่อีกแล้ว ปลาหมึกเยอะมากๆ มีมาคู่กับผักชุบแป้งทอดด้วย ไม่เอาแล้ว อ้วนก็อ้วนแถมเยอะอีก ยอมกินเหลือครับ เก็บก็ไม่ได้ กินแต่ผัดผักจนหมด เหลือปลาหมึกไว้เยอะเลย
   ร้านอาหารอยู่ริมทะเล นั่งมองออกไปอย่างสบายตา ทะละจะดีต้องไม่มีเก้าอี้ผ้าใบ ไม่มีร่มชายหาดครับ คนเที่ยวต้องการบรรยากาศแบบนี้ แต่คนท้องถิ่นคงไม่รู้ คิดแต่จะขายของกันท่าเดียว นั่งกินอยู่ในร้าน ยังมีคนมาขายลอตเตอรี่ ขายปลาเผา ขายปลาหมึกย่าง และไอติมวอลล์ ส่วนใครนั่งชายหาดก็ไม่มีความสงบสุขกันล่ะ เพราะเขาเป็นการขายแบบประชิดตัวกันเลย ไม่ซื้อก็มีตื้ออีกด้วย
   กินเสร็จก็ปั่นกลับเข้าบ้าน ดูทีวีต่อจนเย็น รื้อข้าวของออกมาจาก Pannier หาสาเหตุว่าทำไมรถผมบาลานซ์แย่นัก พบว่า Pannier ด้านหน้าซ้าย และหลังขวาหนักเป็นพิเศษ ส่วนหลังซ้ายและหน้าซ้ายก็จะเบากว่าเพื่อน นี่เป็นผลจาการรีบเร่งจัดของ และไม่ได้ทดลองปั่นจริงก่อนออกเดินทาง ความผิดพลาดนี้ผมจะไม่ให้เกิดขึ้นอีก
   รถบาลานซ์ห่วยปั่นได้แย่มากๆ ผมโยนความผิดเรื่องการเจ็บหลังให้กับจุดนี้เพิ่มเข้าไปอีก
   หากน้ำหนักมาก เราควรถ่วงไว้ด้านหลังครับ ไม่ใช่เอามาไว้ด้านหน้า ทำให้บังคับรถยาก ออกแรงเยอะ กินแรง ทรงตัวไม่ดี เมื่อยแขน ส่งผลให้เจ็บหลังเจ็บไหล่อีกด้วย (แบบผม)
   เห็นจักรยานบรรทุกของสมัยโบราณกันไหมครับ ใส่กัน 30 กก ก็ยังปั่นหน้าตาเฉย เพราะเขาใส่บนตระแกรงหลัง น้ำหนักอยู่กลางรถเป๊ะ สมดุลย์ดีมาก พอมายุคหลังเริ่มมีกระเป๋าข้าง ฝรั่งใช้คำว่า Pannier ผมเองก็ติดใช้คำนี้ไปแล้ว การใช้ Pannier จะดีตรงจุดศูนย์ถ่วงของรถจะอยู่ต่ำลง รถจะทรงตัวดีขึ้น (หากถ่วงน้ำหนักให้ Pannier สองข้างเท่ากันจะยิ่งดีเลิศ)
   เย็นออกปั่นไปสุดชายหาดแม่รำพึง หาดนี้ยาว 12 กม เป็นหาดที่ยาวสุดในจังหวัดระยอง มีถนนเลียบชายหาดตลอดทาง วิวสวยดีมาก เหมาะแก่การปั่นจักรยานและวิ่งออกกำลังกายเป็นที่สุด
   ทนปั่นแบบเจ็บก้นเจ็บหลังไปเรื่อยๆ เพราะวิวดีลมแรงเหลือเกิน พอฟ้ามืดครึ้มช่วงเย็นก็รีบกลับก่อนล่ะ มื้อเย็นวันนี้ขอปล่อยวางครับ ตลอดวันทานมาเยอะเหลือเกิน แวะซื้อน้ำดื่มขวดใหญ่กลับเข้าบ้าน ดีที่ติด Pannier เปล่าๆ ไปด้วย 2 ใบ เลยได้ใส่ของซะ
   กลับบ้านอาบน้ำอย่งสบายใจ ดูทีวีสักพักก็ง่วง กบนอกกะลาไม่ทั้นจบดีผมก็ขึ้นไปนอนหลับปุ๋ยเรียบร้อยแล้ว
   
30 พฤษ 52
   ออกปั่นแต่เช้า แต่วันนี้ไปทางตลาดบ้านเพ ไปทีท่าเรือข้ามเกาะเสม็ด ตรงนั้นมีท่ารถกลับกรุงเทพฯของบริษัทเชิดชัยทัวร์อยู่ ขามาผมเล็งไว้แล้ว เช้านี้จะไปดูว่าใช้เวลาจากบ้านเราไปถึงท่ารถสักเท่าไหร่ เผื่อวันกลับจะได้กะระยะเวลาถูก (เห็นไหม รอบคอบนะนี่)
   พบว่าระยะทางแค่ 10 กม ครับ มีเนินนิดหน่อย ตอนนี้ผมปั่นรถเปล่า สภาพเจ็บก้นเจ็บหลัง ใช้เวลาไปประมาณ 30 นาที แต่วันพรุ่งนี้ผมต้องแบกของอีกประมาณ 15 กก ด้วย อันนี้ต้องคะเนระยะเวลาเพิ่มเข้าไปอีก
   ขากลับสำรวจเส้นทางใหม่ พบจุดตั้งเต้นท์บรรยากาศดีมากๆ ใจหนึ่งคิดจะกลับไปเอาเต้นท์ที่บ้านมากางนอนสักคืน แต่เปลี่ยนใจเนื่องจากสภาพร่างกายไม่สดเหมือนตอนก่อนมา แถมมีฝนตกตลอดทุกเย็น เลยไม่รู้ว่าบรรยากาศแบบ Camping จะทำให้ผมสุขหรือทุกข์ ได้แต่เล็งๆ ไว้ คราวหน้ามาอีก ผมจะตรงดิ่งมาที่จุดนี้เลย
   ผมนั่งเล่นเดินเล่นบริเวณนี้จนถึงใกล้เที่ยงครับ นั่งๆ เดิน ๆ จนหิวอีกน่ะ หากปั่นไปทางตลาดบ้านเพก็อีกสัก 4 กม พร้อมขึ้นเนิน แต่ถ้ากลับบ้านผมก็อีกสัก 3 กม แต่เป็นลงเนิน ฮ่าๆ ผมเลือกอันหลังครับ แดดแรงจัดตอนเที่ยง ไม่อยากปั่นไกลแล้ว
   หน้าบ้านของผมในวันหยุด ที่ริมทะเลจะมีแม่ค้าส้มตำมาขาย รสชาติค่อนข้างดีครับ ไม่ถึงกับดีเยี่ยม แต่กินแล้วอร่อยเหมือนกัน ผมสั่งส้มตำไทย และไก่ย่าง ไม่กินข้าวเหนียว นั่งกินริมทะเล ลมยังคงแรงเหมือนเดิม แรงเหมือนวันแรกที่มาไม่มีผิด
   กลับมาบ้านรื้อข้าวของออกมาทุกชิ้น พบว่าผมขนของไร้สาระมามากมายเหลือเกิน ของที่หนักๆ ก็เช่นหีบเพลง มีดเดินป่า เครื่องมือซ่อมรถ และหนังสืออ่านเล่น ส่วนของที่แบกมาแล้วไม่ได้ใช้ก็คือพวกอุปกรณ์ Camping ทั้งหลาย เต้นท์ แผ่นรองนอน แผ่นผ้าใบรองเต้นท์ ไอ้พวกนี้ทั้งใหญ่ ทั้งเกะกะ จะใส่ใน Pannier ก็ยัดไม่ลง ต้องวางบนตะแกรงหลังแทน นี้เป็นอีกข้อผิดพลาดของการวางแผนที่ไม่รอบคอบ ดันไปหอบเอาของที่ไม่ได้ใช้มาด้วย เลยแบกซะมันส์ไปเลย จำความผิดพลาดนี้ไว้ และแก้ตัวใหม่ในทริปถัดไป
   ตอนเย็นซ้อมจัดของลงกระเป๋า ขากลับผมขึ้นรถทัวร์กลับแล้วครับ ปั่นไม่ไหว ยอมแพ้จริงๆ ต้องถนอมร่างกายเอาไว้ เพราะเสาร์อาทิตย์หน้าผมมีทริปอยุธยากับ TCC อีกหนึ่งคืน และเสาร์อาทิตย์ถัดไปก็มีทริปสระบุรีกับกลุ่มของน้าเป็ด TCC อีกหนึ่งคืน หวังว่าคงไม่มีทริปไหนโหดดุเท่าที่ผมปั่นมาระยองนี่อีกแล้วนะ เข็ดแล้วพวกลากยาวๆ ไกลๆ ทรมานเหลือเกิน แถมปั่นก็ไม่สนุกอีกด้วย
   ภาระของผมอีกอย่างคือการจัดกระเป๋าครับ เพราะไม่ได้ปั่นกลับทำให้ผมมีของเหลือเพิ่มคือ หมวกนิรภัย และรองเท้า เฉพาะแค่หมวกใส่เข้าไปใน Pannier อันหน้าชิ้นเดียวก็เต็มแล้ว ส่วนรองเท้าสองข้างใช้พื้นที่ไปครึ่งหนึ่งของ Pannier อันเล็ก
   งานนี้เลยต้องใช้พื้นที่โล่งๆ ในหมวกและรองเท้าให้เต็มที่ ช่องไหนว่างก็ต้องเอาเสื้อผ้าชิ้นเล็กๆ ยัดเข้าไปให้ได้ ในโพรงหมวกนี้ใหญ่มาก เหมาะกับของใหญ่ๆ เลยใส่ยางใน ชุดปะ เครื่องมือ สายล็อครถ ฯลฯ ส่วนในรองเท้าก็ใส่กางเกงชั้นใน ถุงเท้า เชือก ชุดพยาบาล และเนื่องจากรองเท้ามันแข็งผมจึงใส่แว่นตาใสเข้าไปข้างในอีกด้วย
   อยู่บ้านพักก้นมา 2 วัน ยังไม่หายเจ็บ เลยส่องกระจกดู โอโห ก้นผมเป็นสีม่วงช้ำระบมเหมือนตอนเด็กๆ ที่โดนครูตีเลย เจ็บช้ำระบบขนาดนี้เชียวหรือนี่ ส่วนหลังก็ยังไม่หายเจ็บดี แต่มันจะเจ็บก็ต่อเมื่อออกแรงบริเวณนั้น มองภายนอกไม่เห็นว่ามีช้ำหรือบวมแต่อย่างใด
   ใจรีบคิดจะไปหากางเกงเป้าหนังชามัวร์มาใช้อย่างไว ไม่รู้ก้นผมจะหายทันก่อนไปอยุธยาหรือไม่ แต่อย่างไรก็ต้องกันไว้ก่อน ไม่อยากให้มันกระทบกระเทือนซ้ำ    จัดของเสร็จก็ซ้อมโหลดของขึ้นลงรถครับ ซ้อมมัดเต้นท์ ซ้อมผูกเชือก ฯลฯ เผื่อตอนเช้าออกเดินทางจะได้ไม่มีปัญหา
   คืนนี้ผมนอนตั้งแต่ยั้งไม่ 3 ทุ่มเลยครับ เพราะต้องตื่นแต่เช้าตอน 0445 กะจะออกเดินทางตอน 0515 ถึงท่ารถสัก 0550 ซึ่งจะทันรถเที่ยว 0600 พอดี

31 พฤษ 52
   ตื่นเองตั้งแต่ตี 3 กว่า กระสับกระส่าย สงสัยอยากกลับบ้านเร็วๆ ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตอน 0445 แต่ตื่นก่อนตั้งนานเป็นชั่วโมง จะนอนต่อก็นอนไม่หลับ ได้แต่หลับตา แต่ใจกับกายมันไม่หลับไปด้วย นอนพลิกไปพลิกมาจนนาฬิกาปลุกนั่นแหละ ถึงได้ลุกขึ้นอาบน้ำ
   จัดของเข้ากระเป๋าครั้งสุดท้าย ตรวจเช็คว่าไม่ลืมสิ่งใด หิ้ว Pannier ใหญ่แขวนด้านหลัง เอาแผ่นรองนอนม้วนรัดเต้นท์และมัดไว้บนแร็ค ออกปั่นตั้งแต่ 0500 ระยะทางจากบ้านถึงสถานีขนส่งแค่ 10 กม แต่ใช้เวลาถึง 30 นาที เพราะต้องปั่นทวนลมแรงจัดจากชายหาด และต้องขึ้นเนินช่วงเข้าบ้านเพ
   ผมอยากขึ้นรถเที่ยว 0600 ครับ ไปถึงตามเวลา แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าไม่มีรถเที่ยวนี้ ผมโต้แย้งพร้อมเอาเอกสารจากบริษั่ทของเขาเองให้ดู (เชิดชัยทัวร์) เขาบอกว่ามีตัวเลขเขียน 0600 ก็จริง แต่เราไม่มีรถออกเวลานั้น เออ เอากับเขาสิวะ
   กลายเป็นว่าต้องรอรถเที่ยว 0700 แทน เอาๆ ไม่เป็นไร เลยใช้เวลาที่เหลือออกปั่นหาอาหารเช้าทาน วิธีหาร้านอร่อยมีดังนี้ครับ เราต้องดูว่าร้านไหนที่คนท้องถิ่นเขากินกันเยอะ นั่นแหละ ใช่เลย ไม่ใช่ร้านที่นักท่องเที่ยวเข้าเยอะนะ อย่าดูผิด ผมเห็นร้านข้าวแกงร้านหนึ่งสะอาดสะอ้านดี ตู้กระจกใสแจ๋ว ม้านั่งแบบม้าหินสีขาวสะอาดมาก มีคนขี่มอเตอร์ไซค์มาซื้อของอยู่ 2 คน นี่แหละใช่เลย สิ่งที่ผมตามหา
   สั่งข้าวราดแกงและไข่ต้ม 30 บาท รสชาติใช้ได้เลย มาอีกก็จะกินอีก หรือพาใครมาก็จะพาเขามากินที่นี่ อยู่ไม่ห่างจากท่ารถมากนัก เปิดแต่เช้า ขายทุกวันอีกด้วย
   ปั่นรถย้อนกลับไปที่ท่ารถ อยากไปคนแรกๆ เพราะไม่รู้เจอทริปของฝรั่งที่เขาจะกลับจากเกาะเสม็ดหรือเปล่า พวกนี้จะมีเป้ขนาดใหญ่มาด้วย ผมอยากเอาจักรยานของผมโหลดเข้าก่อน กลัวจะใส่ไม่ได้ เดี๋ยวจะงานเข้า
   ค่าโดยสารคน 157 บาท จ่ายให้กับบริษัท ค่าโหลดจักรยาน 100 บาท อันนี้เด็กรถเก็บไว้เอง รู้สึกว่าจะเป็นเรื่องปกติของบริษัทเขานะ เพราะผมจะจ่ายกับบริษัทฯ เจ้าหน้าที่กลับบอกให้จ่ายกับเด็กรถเอง คนขับรถก็ไม่ยอมเก็บเงินเลย
   ก่อนรถออกทุกคนขึ้นไปนั่งประจำที่ของตัวเอง ทำยังกะเครื่องบิน มีการระบุที่นั่งด้วย ผมเลือกนั่งหน้าสุด ชอบมองวิวด้านหน้าครับ แต่กลายเป็นว่านั่งใกล้ลำโพงสุดเลย ตอนรถยังไม่ออกเขาเปิดเพลงดังมาก ผมรีบลงไปด้านล่างเปิด Pannier หยิบเอา Ear Plug ติดมือขึ้นมาอย่างรวดเร็ว โชคดีที่ตอนรถออกเขาหรี่เสียงลงเยอะ เลยไม่ต้องใช้
   ขากลับกรุงเทพฯแนะนำให้เลือกที่นั่งด้านซ้ายของตัวรถนะครับ จะร่มตลอดทาง ส่วนด้านขวานั้นกลับกัน สำหรับคนชอบอาบแดดครับ
   ออกจากท่ารถบริเวณท่าเรือบ้านเพ 0700 ตามเวลา นั่งออกไปแค่ 6-7 คนเอง ผมสงสัยว่าเอ๊ะ แล้วมันจะขาดทุนไหมล่ะครับนี่ รถออกจะโล่ง นั่งนอนยืดแขนยืดขายังไม่โดนกันเลย
   แต่เขาจอดแวะรับผู้โดยสารตามจุดต่างๆ ของบริษัทฯเขาด้วยน่ะครับ ขับรถอ้อมเล็กน้อย จอดตามชุมชนใหญ่ๆ ของแต่ละตำบล จนถึงช่วงเข้าตัวเมืองชลฯนั่นแหละ คนเกือบจะเต็มรถแน่ะ และหลังจากนี้ก็ไม่มีคนขึ้นมาเพิ่มแล้ว มีแต่คนจะขอลงแทน
   0900 เพิ่งจะถึงตัวเมืองชลฯเองน่ะ หากขับเองป่านนี้ต้องถึงสักบางนาแล้วแน่ๆ ได้แต่ทำใจสบายๆ ครับ ชมวิวไปเรื่อย มาถึงสถานีขนส่งเอกมัยตอน 1030 รีบเอาของออกจากใต้ท้องรถ ติดตั้ง Pannier เข้ากับตัวรถ และปั่นไปขึ้นรถไฟฟ้า BTS ที่อยู่หน้าสถานีขนส่งนั่นแหละ สะดวกดีมากๆ ผมว่าเป็นสถานนีขนส่งอันเดียวนะที่มีรถไฟฟ้าผ่าน อย่างหมอชิตก็ไม่มี สายใต้นี่อีกยาวไกลมาก มีเอกมัยนี่แหละ สุดยอดของคนเดินทางภาคตะวันออกเลย
   มองหาลิฟท์ไม่มีสักตัว เลยเข็นขึ้นบันไดเลื่อน จับรถไม่ถูกเลยครับ กลัวล้มแล้วรถไหลกลิ้งลงมา ต้องกดเบรกและกดแฮนด์ไว้อย่างแรง ขึ้นจากเอกมัยไปลงวงเวียนใหญ่ (เพิ่งเปิดใช้บริการ) 40 บาทครับ ผมต้องไปเปลี่ยนสายรถไฟที่สยาม ตรงนี้ต้องเข็นลงบันไดเลื่อนแทน รู้สึกว่าตัวเองเกะกะฉิบเป๋ง แต่คนอื่นก็หลีกทางให้อย่างดีเลยนะ
   ผมลงสุดสายครับ สถานีวงเวียนใหญ่ เห็นมีลิฟท์ เลยสอบถามเจ้าหน้าที่ เขาว่ายังไม่เปิดใช้ เพราะลิฟท์ยังไม่สมบูรณ์ หากมีใครใช้แล้วลิฟท์ค้าง เจ้าหน้าที่จะไม่รู้เลย เขาว่าหากจะใช้บริการต้องมาบอกเป็นรายๆ ไป จะส่ง รปภ ไปอำนวยความสะดวกให้
   โห รู้แล้วเห็นใจคนใช้ Wheel Chair จริงๆ เลย เพราะต้องไปที่ห้องขายตั่วเพื่อแจ้งความจำนงค์ขอใช้ลิฟท์ จากนั้นถึงจะมี่ รปภ มาช่วยเปิดลิฟท์ให้
   หวังว่าระบบจะสมบูรณ์ในเร็ววัน แต่เจ้าหน้าที่ทุกท่านก็บริการผมอย่างดีมากครับ ไม่มีหน้าตาหงุดหงิดแต่อย่างใด ทั้งๆ ที่รถผมพะรุงพะรังอย่างมาก แถมเป็นรถ Full Size ที่มี Pannier อีก 2 ใบด้วย
   ลงสู่พื้นล่างก็โทรหาภรรยาทันที เพราะเป็นช่วงเวลาที่ลูกผมไปเรียนเสริมทักษะด้านคณิตศาสตร์ที่เดอะมอลล์ท่าพระ ไม่ได้อยากให้เป็นเหมือนเด็กรุ่นใหม่ที่วันๆ เอาแต่เรียนพิเศษหรอกนะ อันนี้พาเขาไปดูไปลองทดสอบทำแบบฝึกหัดแล้วเขาชอบ เขาเลือกเรียนเอง 
หากโชคดีทำเวลาได้พอเหมาะ ผมจะได้ไม่ต้องปั่นกลับบ้าน
   เย้ๆ เขาอยู่กันที่เดอะมอล์ท่าพระ ผมรีบปั่นไปหา ใช้เวลาแค่ 15 นาที ผมว่าถ้ารถเปล่าคงจะไม่ถึง 10 นาทีแน่ๆ
   อ้าว เอารถเก๋งมากันหรอ เอาๆ ลองดู เริ่มจากถอดล้อหน้า
   เฮ้ย ยังไม่เข้า ทำไงดี อืมม ถอดล้อหลังละกัน ทีนี้ได้แน่
   งานเข้า ถอดล้อหน้าหลังแล้วยังใส่กระโปรงท้ายไม่ได้ ทำไงดี เพราะมันติดแร็คหลังน่ะครับ สุดท้ายเลยต้องปั่นกลับบ้าน ฝาก Pannier ไว้ในรถภรรยาแทน
   อีกแค่ 15 นาทีผมก็ถึงบ้านแล้ว ปั่นรถเปล่ารู้สึกสบายมากๆ เลย เจอเนินก็ไม่หวั่น ไม่ต้องลดเกียร์ด้วย ยืนโยกสัก 2-3 สโตรกก็ผ่านเนินแล้ว หมูๆ เด็กๆ
   ถึงบ้านแบบเหงื่อยังไม่ออกดีนัก รีบอาบน้ำอย่างเร็ว เปิดฝักบัวแรงๆ สะใจดีเหลือเกิน
   สักพักภรรยาและลูกกลับมา แค่ได้เห็นหน้าก็ชื่นใจ พ่อแม่ลูกสามคนกอดกันกลม ตกเย็นไปทานอาหารกัน ลำพังผมเองไม่ค่อยทานมื้อเย็นเท่าไหร่ เป็นไปได้ก็ขอแบบผักเยอะๆ จึงใช้บริการของร้าน Sizzler เซ็นทรัลพระราม 2 คนแน่น คิวยาว ตามแบบฉบับของวันแห่งครอบครัว กินกันจนอิ่ม
กลับมาบ้านกลายเป็นน้ำหนักเพิ่มขึ้นมามากกว่าตอนออกเดินทางวันแรกเสียอีก อ้าว เป็นงั้นไป
i drive / i race / i test / I drift
I row / I run / I fun / I ride