Author Topic: เมษ 52 13-15 เกาะช้าง / 24-28 Japan Alpine  (Read 15877 times)

Offline O'Pern

  • fear is a mind killer
  • Administrator
  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 7411
  • don't let your fear stand in the way of your dream
    • racing club
Re: เมษ 52 13-15 เกาะช้าง
« Reply #15 on: April 30, 2009, 07:03:56 pm »
24 เมษ 52
   เดินทางถึงประเทศญี่ปุ่นแล้วครับ ไม่เคยสัมผัสประเทศนี้มาก่อนเลย นั่งเครื่องอยู่ราว 6 ชั่วโมง เล่นเอาเมื่อยก้น แต่ก็ยังดีกว่าไปยุโรป หรือสหรัฐอเมริกา พวกนั่นว่ากันเป็นสิบชั่วโมงแบบรวดเดียว ไม่มีการจอดแวะพักข้างทางเหมือนตอนขับรถยนต์ จำได้ว่าตอนไปอิตาลีนี้ผมนั่งดูหนังเรื่ององค์บากอยู่ 3 รอบ หนังฉายวนต่อเนื่องกันไม่มีหยุด ดูจนจำบทพูดของตัวละครได้เลยล่ะ
   เครื่องที่ไปยุโรปมักจะเกรดดีกว่าเครื่องที่ใช้บินในเอเชียครับ เรื่องขนาดของเก้าอี้ผมว่าสูสี แต่จะมาเฉือนกันตรงที่อุปกรณ์อำนวยความสะดวก เช่นมีจอภาพยนต์ส่วนตัว เลือกช่องดูหนังได้เองอย่างอิสระ มีเกมส์ให้เล่นราว 5 เกมส์ แถมยังเล่นร่วมกับผู้โดยสารท่านอื่นในลำเดียวกันได้อีกด้วย ทำโดยการระบุหมายเลขที่นั่งลงไป แต่เกมส์ที่ผมชอบมากสุดคือเกมส์สอนภาษา ซึ่งมักจะเป็นภาษาของประเทศปลายทางที่เรากำลังจะไป เรียกว่าทั้งสนุก ทั้งได้ความรู้ติดตัว
   เท้าแตะสนามบินยังไม่รู้สึกร้อนหนาว เพราะยังอยู่ในอาคารผู้โดยสาร เราก็ทำตามลำดับของพิธีการ คือ ลงจากเครื่องปุ๊บก็ต้องไปที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง ยืนเข้าแถวในช่องที่เขียนว่าพาสปอร์ทคนต่างชาติ เสร็จด่านนี้ก็เข้าไปรับกระเป๋าได้เลย ต้องดูจากหน้าจอแสดงผลว่ากระเป๋าของเราจะอยู่ที่สายพานไหน เขาจะมีระบุไว้ว่าเครื่องบินไฟล์ทไหนจะเอากระเป๋าลงที่สายพานใด ได้กระเป๋าออกมาแล้วก็เข็นออกข้างนอกได้เลย ต้องผ่านด่านสุดท้ายคือด่านศุลกากร ถ้าไม่มีของอะไรต้องสำแดงก็เข็นรถออกช่องเขียว แต่บางคนน่าสงสัยเจ้าหน้าที่ก็จะขอเรียกตรวจกระเป๋า ผมเห็นคนผิวสีก่อนหน้าผมโดนค้นเสียละเอียดยิบ จนเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นต้องให้ผมไปต่อคิวแถวอื่นแทน
   สัมผัสอากาศธรรมชาติของญี่ปุ่นครั้งแรกก็ตอนออกจากสนามบินนี่แหละครับ สูดแล้วสดชื่นดีจริงๆ เพราะเป็นสนามบินที่อยู่นอกเมือง ชื่อสนามบินชูบะ อยู่เมืองนาโกย่า สนามบินนี้สร้างโดยการถมทะเลด้วยขยะ เป็นสนามบินที่เปิดตลอด 24 ชม ต่างจากสนามบินเก่าๆ อย่างนาริตะที่อยู่โตเกียว สนามบินนั้นจะเปิดถึงแค่ 4 ทุ่ม เพราะเขาเกรงใจประชาชนที่อยู่รอบข้างสนามบินที่จะได้รับผลกระทบจากมลภาวะด้านเสียงดัง (เห็นนโยบายของรัฐบาลเขาแล้วซึ้งจริงๆ) ส่วนสนามบินชูบะที่บอกเปิดได้ 24 ชม นี้ก็เพราะเขาถมพื้นที่ออกไปนอกชายฝั่งทะเลเลยครับ ไม่รบกวนประชาชนท้องถิ่นแม้แต่คนเดียว!!!
   ทันทีที่ออกนอกสนามบิน สายตาของผมสอดส่องแต่คนปั่นจักรยาน ทั้งๆ ที่มีรถยนต์มากมายให้ดูจนละลานตา เรียกว่าแค่ยืนมองดูรถยนต์ในลานจอดรถก็สนุกแล้ว
   แต่จากที่มองเห็นส่วนใหญ่จะเป็นรถจักรยานแบบแม่บ้านครับ แต่เขามักจะปั่นกันบนทางเท้า แต่ถ้าเป็นย่านนอกเมือง หรือถนนกว้างสักหน่อย เขาก็จะปั่นกันบนผิวถนนเลย คนปั่นกันเยอะมากครับ ยิ่งเช้าเย็นยิ่งเยอะ โดยเฉพาะพวกเด็กนักเรียนนี้มีเยอะมาก ยังไม่นับคนทำงาน ชาย หญิง ต่างปั่นจักรยานกันหมด แหม ดูแล้วน่าสนุกจริงๆ
   จากสนามบินผมเดินทางต่อไปยังเมือง Gifu ผมชอบความเป็นธรรมชาติ และของโบราณ เมืองนี้เป็นเมืองเก่าบ้านเรือนยังคงอยู่ในสภาพเดิมเมื่อ 400 กว่าปีก่อน ลักษณะเป็นชุมชนเล็กๆ บ้านเรือนหลังเล็กๆ เรียงกันคล้ายกับตึกแถว (ถ้าเรียกแบบคนไทยนะ ถ้าเป็นที่สิงคโปร์เขาจะเรียกว่า Shop House น่าแปลกที่คนไทยรุ่นใหม่เรียกบ้านที่ทำการค้าไปด้วยว่า Homp Office แหม เรียกแล้วดูโก้ฉิบเป๋ง) บ้านเรือนพวกนี้สร้างด้วยไม้ครับ มีถนนเล็กๆ แคบๆ เชื่อมโยงกันเป็นลักษณะตัดสี่เหลี่ยม ผังเมืองเหมือนกับย่านสยามสแควร์เลย เป็นบล็อคๆ
   ไปชมแค่บ้านเรือนก็สวยจับตาแล้วครับ ยั้งมีบางบ้านทำขนมโบราณขายสดๆ อีกด้วย มีร้านหนึ่งขายขนมแป้งข้าวเหนียวชิ้นกลมปิ้งกรอบๆ ภาษาญี่ปุ่นเขาเรียกขนม “เซมเบ้” แต่เซมเบ้นี้เขามีกันเป็นร้อยๆ ชนิดเลยนะ ทั้งหวานทั้งเค็ม ผมลองแล้วรู้สึกว่าอร่อยหมด ขอให้กรอบ และใหม่สด เป็นใช้ได้ แต่ราคาก็ไม่เบาครับ ชิ้นขนาดเท่าผ่ามือ เขาขายชิ้นละ 250 เยน (อัตราแลกเปลี่ยนเงิน 100 เยน = 37 บาท / วันที่ 24 เมษายน 2552) ก็ตก 92.50 บาทครับ จ่ายเป็นเงินเยนก็ไม่รู้สึกอะไรนัก แต่คิดคำนวนเป็นเงินไทยแล้วแทบหงายท้อง ขนมกรอบๆ ชิ้นโตหน่อยเดียว อันละเกือบร้อยบาท
   ยังมีบางร้านแพงกว่านี้อีกนะ อันละ 350 เยนก็มี ส่วนไอศครีมโคนที่มักขายกับไอศครีมแบบ Softcream ราคาอันละ 300 เยน เห็นนักท่องเที่ยวกินกันหลายคนเลย สนใจเข้าไปดู แต่ผมไม่ซื้อ อันใหญ่เหลือเกิน กินไม่หมด กินหมดก็คงจะอ้วนน่าดู
   เดินชมเมือง ดูโน่น ดูนี่ ซึ่งมักจะเป็นพวกศิลปะของการก่อสร้างและการวางผังเมือง ดูระบบระบายน้ำที่ทำโดยขุดร่องน้ำขนาดใหญ่และภายในเอาหินขัดเรียบๆ มาวาง น้ำไหลเร็วมากๆ
   เมืองนี้ติดกับภูเขาและลำคลองสายใหญ่ น้ำสะอาดมากจนถึงขนาดมีปลาคาร์ฟสีส้มๆ แดงๆ ว่ายอยู่ในลำคลองนี้หลายตัว ตัวโตเสียด้วย อยู่เมืองไทยไอ้พวกนี้ไม่น่ารอด ผมว่า
   หากให้เปรียบเทียบคงจะเหมือนเราไปเที่ยวตลาดอัมพวา ตลาดสามชุก อะไรทำนองนี้ เพียงแต่ของไทยเราเน้นของกินเป็นหลัก ยังดีที่ได้บ้านเรือนสมัยโบราณเก็บไว้เป็นแบ็คกราวน์สวยๆ
   ติดกับชุมชนแห่งนี้ยังมีจวนผู้ว่าที่ยังหลงเหลือและเก็บอนุรักษ์ไว้อยู่ด้วยครับ ของโบราณเดิมๆ สร้างด้วยไม้หลังใหญ่โตมาก ไม่มีตะปู ปูพื้นด้วยเสื่อทาทามิ (ทราบภายหลังว่าแถวโคราชนี้คือแหล่งผลิตเสื้อทาทามิส่งออกไปญี่ปุ่นเลยล่ะ) ประตูเลื่อนไม้ บุด้วยกระดาษสา แบบที่เราเห็นเหมือนในหนังนั่นแหละครับ
   คืนนี้ผมขอพักที่ๆ มีบ่อน้ำแร่ธรรมชาติสักหน่อยครับ เกิดมาก็เคยแค่นอนแช่น้ำอุ่นในห้องน้ำ ไม่รู้เหมือนกันไหม
   โรงแรมที่พักชื่อ Hodakaso Yamano Hotel มีบ่อน้ำแร่ให้แช่ทั้งแบบ In Door และ Out Door ด้านในอาคารด้านหลังมีบ่อน้ำแร่สำหรับแช่เท้า แต่ดูแล้วน่าสยอง เหมือนรู้สึกตกนรก เพราะมีไอร้อนๆ เป็นควันลอยขึ้นมาจากบ่อน้ำนี้ตลอดเวลา    ผมมาญี่ปุ่นครั้งนี้ต้องการเก็บเกี่ยวประสพการณ์เอาไว้ให้มากที่สุดครับ แม้ใจจริงอยากได้บ่อแบบธรรมชาติที่เคยดูใน TV Champion แต่มันอยู่ไกลเหลือเกิน เลยขอลองบ่อของโรงแรมนี้ก่อน แต่บ่อของโรงแรมนี้ก็ไม่ใช่ขี่เหร่นะครับ ด้านนอกอยู่ติดกับแม่น้ำ แถมทิวทัศน์ก็ใช่ย่อย อยู่ในโอ้มกอดของขุนเขา
   เออ ลืมเล่าเรื่องอากาศ ตั้งแต่ก้าวขาออกจากอาคารสนามบินก็สัมผัสได้ถึงอากาศอันเย็นฉ่ำ จะว่าไปก็คล้ายกันทางเชียงใหม่ช่วงหน้าหนาวนั่นแหละ ก็ราว 12-15 องศา แต่ถ้ามีลมกระโชกพัดแรงๆ ผ่านมาล่ะก็ หากเสื้อมี Hood คลุม ก็หยิบคว้ามาปิดแทบไม่ทันกันเลย หนาวสุดยอด มีฝนปรอยๆ ด้วย นี่คือตัวแปรของความหนาวเย็นเลยล่ะ
   พอเข้าโรงแรมได้ก็รีบตรงดิ่งไปบ่อน้ำแร่ Out Door ทันทีเลยครับ โรงแรมตั้งอยู่ริมหน้าผาชัน จะไปบ่อน้ำแร่ต้องลงบันไดไปราว 100 เมตร ผมใส่ชุดยูกาตะลงไป พอถึงบ่อก็ถอดชุดใส่ในตระกร้า แต่พอจะลงบ่อแล้วมันช่างยากเย็น เพราะน้ำในบ่อมันร้อนเหลือเกิน ผมค่อยๆ หย่อนเท้าลงไป แต่กว่าจะเหยียบได้ก็ต้องกลั้นใจ หย่อนถึงหลายนาทีเพิ่งจะหย่อนลงไปได้แค่เอว ร้อนมากๆ ครับ ผมไม่เคยอาบน้ำอะไรที่ร้อนขนาดนี้มาก่อนเลย ขนาดหน้าหนาวในเมืองไทย ผมยังอาบน้ำเย็นเลยด้วยซ้ำไป
   ก็ได้แต่ทนๆ ไปครับ สุดท้ายก็ลงไปมิดคอ อยากลงทั้งหัว แต่กลัวใบหน้าพัง ขนาดลงไปมิดคอนานแล้ว ผมแช่อยู่นาน ยังไม่พบกับความสุขหรือความสบายตัวเลยสักนิด ไม่เห็นมันจะสนุกหรือสบายตัวตรงไหนเลย ในทีวีคนแช่เขาทำหน้าตามีความสุขกันเสียจริง ผมเลยอยากลองบ้าง
   ทนได้สัก 15 นาทีผมก็ขึ้นครับ พอเดินขึ้นแล้วกลับมีความสุขเสียยิ่งกว่า แต่แปลกตรงที่ช่วงเพิ่งขึ้นจากน้ำสัก 3 นาที ผมรู้สึกเวียนหัวครับ เหมือนกับเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ ช่วงที่แช่น้ำร้อนจะทำให้เลือดลงไปเลี้ยงทั่วร่างกาย พอก้าวขาขึ้นจากบ่อเลือดที่ไปเลี้ยงอยู่ในร่างกายจึงวิ่งขึ้นมาบนศีรษะไม่ทัน สอบถามคนอื่นดู เขาก็บอกว่าเป็นเหมือนกัน
   โรงแรมนี้อยู่นอกเมืองครับ เลยใช้บริการอาหารเย็นของโรงแรม จัดชุดสุกี้ยากี้มาให้ผมครับ มีหม้อไฟเล็กๆ มีเนื้อหมู มีผักพื้นบ้าน เส้นอุด้ง เอาทุกอย่างใส่หม้อไฟ รอให้สุก ก็ตักกินพร้อมกับข้าวสวย ไม่น่าเชื่อว่าอร่อยเหลือเกิน
   สอบถามเจ้าหน้าที่เขาบอกว่า อร่อยเพราะข้าวเขาหุงด้วยน้ำแร่จากบ่อธรรมชาติครับ ส่วนเนื้อสัตว์ก็เป็นของดีในท้องถิ่นเขา ผักพื้นบ้านก็ปลอดสารพิษ
   ทานอาหารเย็นเสร็จผมรู้สึกเหมือนเป็นหวัดครับ มีจาม มีน้ำมูกใส ทั้งๆ ที่ผมไปไหนมาไหนก็ไม่เคยเป็นอะไรเลยสักนิด ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไรเหมือนกัน จึงลองไปที่บ่อด้านในโรงแรม ไปบ่อเล็กที่นั่งแช่เท้า แช่สักพัก อาการหวัดก็หายไปเอง เออ แปลกดีเหมือนกัน เป็นเอง หายเอง แป๊บเดียวเองอีกด้วย
   อ้อ นึกออกแล้ว ช่วงเย็นมีฝนตกนี่เอง ผมตากฝนในขณะที่อากาศหนาวเย็นอย่างมาก (เพราะอยู่บนเขา) มีลมแรงเป็นจังหวะ
   กลางคืนผมนอนด้วยการเปิดหน้าต่างแง้มๆ ไว้สักคืบหนึ่ง หลับสบายใต้ผ้าห่มหนา อากาศดี แถมเงียบสงัด

25 เมษ 52
   ตื่นเองตามปกติสักตี 5 ก็พบกว่าฟ้าสว่างโร่เหมือนกับสัก 7 โมงที่เมืองไทย แดดแรงมากๆ นี่เป็นฤดูใบไม้ผลิที่ญี่ปุ่นนะครับ ตามปกติมันต้องไม่มีหิมะ ไม่มีฝนอะไรกันแล้ว แปลกใจอยู่เหมือนกันนะนี่ ฝนยังปรอยๆ อยู่ตลอดเลย
   ไฮไลท์ของวันนี้อยู่ที่การขึ้นเขาที่จุดชมวิวชื่อ Kamikochi สถานนีกระเช้าชื่อ Shin Hodaka Ropeway ต้องเดินทางไกลถึง 3200 เมตรบนสันเขาสูงชัน ต่อกระเช้าสองช่วง ช่วงที่สองเป็นกระเช้าแบบสองชั้นอันแรกของโลกอีกด้วย
   ขึ้นไปที่ความสูง 2156 เมตร จุดสูงสุดนี้สามารถมองเห็นเทือกเขา Japan Alps ที่ผมใฝ่ฝันอยากไปสัมผัสวันพรุ่งนี้
   ผมทานอาหารเซ็ทของโรงแรมเป็นมื้อเช้าครับ ไม่คุ้นปากอย่างมาก แต่ทำใจเป็นกลางแล้วรู้สึกว่ารสชาติดีเหมือนกัน เป็นข้าวทานกับผักดอง มีปลาแซลมอนย่าง ซุปมิโซะ อะไรทำนองนี้
   ฝนยังไม่หายเลยครับ มันเกิดอะไรขึ้นของมันนี่ ฝนตกแล้วอากาศเยือกเย็นมากครับ ทำให้เส้นทางที่ผมใช้วันนี้เปียกแฉะตลอด และเนื่องจากการที่ต้องไปขึ้นเขาสูงถึง 2000 กว่าเมตร จึงทำให้ผมสัมผัสบรรยากาศแปลกๆ ผมจะเล่าให้อ่าน
   หากเราอยู่พื้นราบและสัมผัสเม็ดฝน มันก็จะเหมือนหยดน้ำเปียกๆ แต่พอผมค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ จากเม็ดฝนเฉอะแฉะด้านล่างมันก็เริ่มเปลี่ยนเป็นปุยนุ่มๆ ของหิมะครับ รู้สึกตื่นตาตื่นใจอย่างมาก เพราะไม่เคยเห็นฝนกลายเป็นหิมะแบบคาตาอย่างนี้มาก่อนเลย
   กลายเป็นว่าฝนทำให้ผมได้ประสพการณ์แปลกใหม่อันแสนจะเยี่ยมยอด จากพื้นล่างที่เฉอะแฉะ ด้านบนตอนนี้ไม่แฉะแล้ว เป็นปุยหิมะตกมาแทน โดนตัวก็ไม่เปียกครับ แต่ถ้าทิ้งไว้นานหน่อยก็จะมีหิมะมาเกาะกันเต็มหัวจนกลายเป็นน้ำแข็งเคลือบตัวเราเอาไว้เลย สนุกสิครับ คิดว่าจะมาแค่ชมวิว แต่กลับได้สัมผัสหิมะ เสียตรงที่ไม่ได้เตรียมชุดแบบรัดกุมมาเท่านั้นเอง
   ตอนแรกตั้งใจจะมามอง Japan Alps ที่จะไปขึ้นวันพรุ่งนี้ กลายเป็นว่าตอนนี้สนใจแต่หิมะและน้ำแข็งที่อยู่บนจุดชมวิวอันนี้ ผมถามเจ้าหน้าที่เขาว่าฝนตกมาเมื่อสองคืนก่อนอย่างต่อเนื่อง ทำให้หิมะก่อตั้วขึ้นอย่างรวดเร็ว ตามปกติบริเวณนี้จะเป็นผืนหญ้าสีเขียว
   ผมเดินตามเส้นทางในหิมะอย่างสนุกสนาน โชคดีที่รองเท้าของผมมันกันน้ำได้ด้วย เลยเดินย่ำหิมะได้อย่างสนุกสนาน แต่อีกแป๊บเดียว ผมก็จะได้สัมผัสอีกประสพการณ์
   ขณะเดินเหยียบย่ำอย่างสนุกสนาน เท้าข้างหนึ่งของผมเหยียบลงไปบนผิวหิมะที่อ่อนนุ่ม ผลคือเท้าผมจมลงไปราว 1 เมตรกว่าๆ ขาอีกข้างยังค้างอยู่ด้านบนแต่อีกข้างจมมิด ลำตัวท่อนบนนอนราบไปกับพื้น นี่ถ้าขาอีกข้างจมลงไปด้วย รับรองว่าผมอ่วมแน่ๆ
   ไม่มีใครอยู่รอบข้าง ไม่มีใครเห็นผม จึงต้องไต่ออกมาจากหลุมเองครับ เท้าข้างที่จมมันลงไปลึกมาก ดึงขึ้นยากเพราะไม่มีผิวดินให้ยันแขน ยันพื้นไปก็เจอแต่หิมะนุ่มๆ แช่อยู่นานก็ยิ่งค่อยๆ จม เอาล่ะมึง งานเข้า ๆ ๆ
   แม้จะจมลงไปไม่มิดตัว แต่มันขึ้นยาก ค่อยๆ ขยับตัวดันหิมะให้มีช่องอากาศเข้ามาระหว่างหลุมที่จม พอมีช่องอากาศมากเข้าก็เริ่มดึงลำตัวขึ้นได้ และสุดท้ายก็ดึงเท้าออกมาได้ แต่ดึงยากรองเท้ามันติด ต้องทำปลายเท้าให้ชี้ลงด้านล่างถึงจะง่ายขึ้นมาหน่อย
   แปลกตรงที่ขาที่จมอยู่ด้านในไม่รู้สึกหนาวเย็นเลย ขึ้นมาได้ทีนี้ก็ระวังตัวแจเลยครับ เดินเฉพาะบริเวณที่มีคนผ่านไปมาจะดีกว่า
   เดินได้สักพักก็เข้าไปหลบหิมะที่ตัวอาคารด้านในครับ ผิงเตาฮีทเตอร์สักพัก พอมือหายเย็น (ผมไม่ได้นำถุงมือติดไปด้วย) ก็ออกไปเดินลุยหิมะเล่นต่อ เล่นยังกะเป็นเด็กเลยล่ะ สนุกจริงๆ อ้อ อุณหภูมิตอนนี้ -3 องศาเซลเซียสครับ วิ่งเข้าวิ่งออกเป็นว่าเล่น อากาศขมุกขมัว ถ่ายรูปออกมาก็ไม่สวย มันไม่มีแสงแดดส่อง มีแต่ลมพัดแรง มีปุยหิมะหนาๆ เป็นบางช่วง เสื้อผ้าของผมเต็มไปด้วยปุยหิมะ หากจะเข้าในตัวอาคารต้องสะบัดมันออกเสียก่อน หากเข้าในอาคารแล้วหิมะจะละลายกลายเป็นน้ำทันที จะทำให้เสื้อผ้าเปียกอีกด้วย
   เล่นสนุกจนหนำใจก็ค่อยลงเขาครับ ใช้กระเช้าเหมือนเดิม แต่ถ้าใครมีอุปกรณ์ไต่เขาหิมะมาก็สามารถเดินขึ้นหรือลงจากเขานี้ได้ แหม..ท้าทายเราอีกแล้ว
   ได้แต่คิดครับ เพราะขนาดตะกี้แค่เท้าตกหลุมยังเกือบแย่ นี่ต้องเดินเท้าถึง 3200 เมตร ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าตายชัวร์ครับ เครื่องมือก็ไม่ได้ติดมาสักชิ้น แต่ถ้าได้เชือกไต่เขาสักชุด พร้อมกับห่วงรัดตัวก็อยากลองเหมือนกันนะนี่ ก็ทางเดินลงนี้มันวกวนตามสันเขาครับ มันไม่ได้ตั้งตรงเด่เหมือนพวกไต่หน้าผา ผมถึงได้ออกอาการอยากลองของไง
   ประเมินแล้วไม่คุ้มค่าครับ เก็บแรงไว้ลุยเขา Tateyama วันพรุ่งนี้ดีกว่า ขาลงนี้จากเดิมเห็นหิมะปลิวๆ จู่ๆ ก็กลายเป็นเม็ดฝน นั่นคือเราเริ่มลงต่ำแล้ว ใจผมชอบแบบหิมะมากกว่านะ เพราะมันไม่เปียกเสื้อผ้า เดินลุยฝ่าได้สบาย แต่ถ้าฝนตกต้องใช้บริการร่ม ไม่งั้นเปียกแฉะ และจะหนาวมากๆ
   ลงมาถึงด้านล่างแล้วเห็นสกีรีสอร์ทที่อยู่บริเวณเดียวกันแต่มันไม่มีหิมะแล้ว เห็นแต่ทุ่งหญ้าเป็นทางลาดชัน และกระเช้าเคเบิ้ลที่เอาไว้พานักสกีขึ้นไปบนยอดเขา
   กลางวันแวะร้านอาหารชื่อ Maumi ทานอาหารชุดอีกแล้ว เล่นง่าย สั่งง่าย แต่มื้อนี้เป็นเนื้อไก่ครับ มาเป็นหม้อเหมือนสุกี้เลย แต่เนื้อไก่มี่แค่นิดเดียวเอง แต่เครื่องเคียงนี้มีเพียบ หลายอย่างเลย ลองแล้วอร่อยดีเหมือนกัน
   บ่ายเดินทางไปหมู่บ้านชื่อ Shirakawa สถานที่นี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจาก Unesco เมื่อปี 1995 จุดเด่นคือเป็นหมู่บ้านแบบชนบทโบราณ หลังคาตั้งชั้นราว 60 องศา คลุมด้วยฟางหนาๆ ญี่ปุ่นเขาเรียกบ้านสไตล์นี้ว่ากัสโซ สึคุริ บ้านสไตล์นี้ไม่มีตะปู (เพราะสมัยก่อนยังไม่มีตะปูให้ใช้กันนี่หว่า) หมู่บ้านนี้สวยมากๆ บรรยากาศดีเยี่ยม แต่ว่าฝนตกครับ มาเซ็งตรงนี้แหละ จะเดินเล่น หรือถ่ายรูปก็ทำได้ไม่สะดวก จากความประทับใจจึงทำให้ผมซื้อผ้าบังตาหน้าประตูแบบญี่ปุ่นผืนใหญ่ เป็นรูปวาดของบ้านทรงนี้มาหนึ่งชิ้น ราคาไม่ถูกครับ จ่ายไป 2100 เยน
   ทำเลที่ตั้งของหมู่บ้านนี้อยู่บนพื้นราบ ท่ามกลางขุนเขา (อีกแล้ว) ประเทศญี่ปุ่นเขามีภูเขาเยอะมากครับ พื้นที่ราบมีนิดหน่อยเอง ถึงทำให้ราคาที่ดินแพงไง แต่จากการวิเคราะห์ของผมเองคนเดียว ผมคิดว่าเมือง Shirakawa นี้เป็นเมืองจัดฉากครับ เป็นเมืองจัดฉากเช่นเดียวกับเมือง Vanice ของอิตาลี คือเป็นเมืองเก่าจริง สวยจริง แต่มันไม่มีวิญญาณ มันไม่มีคนท้องที่ดั้งเดิมอยู่ มีแปลงปลูกผัก ทำนาก็จริง แต่ก็แค่เป็นการทำโชว์ให้นักท่องเที่ยวดู พอตกเย็นผู้คนก็พากันเดินทางออกจากเมืองกันหมด กลายเป็นเมืองร้าง ทุกคนพักอาศัยอยู่รอบนอก พอเช้าวันใหม่เขาก็ค่อยมาทำงานกันในเมืองนี้อีกครั้ง ที่ Vanice นี่ยิ่งชัดเจนครับ ทุกคนบนเกาะพูดภาษาอังกฤษเปรี๊ยะ แต่คนอิตาลีเขาไม่ค่อยพูดอังกฤษกันเท่าไหร่หรอกครับ เขาใช้แต่ภาษาของเขาเอง
   เดินทางออกจากเมืองช่วงเย็นถึงเมือง Kanazawa แวะทานร้านอาการแบบบุฟเฟ่แบบ All you can eat ผมเลือกแบบชุดเล็ก คือทานเฉพาะอาหารและเครื่องดื่มแบบ Softdrink แต่มีชุดกลางคือดื่มเบียร์ได้ด้วย และชุดใหญ่ อันนี้เป็นเหล้าเลย
   อาหารอร่อยดีครับ บรรยากาศคล้ายกับร้านหมูกระทะที่หัวละ 89 บาทในไทย แต่ดูดีกว่าเยอะ อาหารดี หลากหลายเยอะมาก สะอาด แต่ให้เวลาทานแค่ 90 นาทีนะ จากนั้นจะมีลูกค้าชุดใหม่เข้ามา
   ค่ำนี้พักที่โรงแรมชื่อ Kanazawa Tokyu Hotel ฝนยังคงตกๆ หายๆ แต่โดยรวมคือพื้นดินยังไม่เคยแห้งเลย ผมทานอาหารและกลับมาโรงแรมจนดึก พบว่าร้านจักรยานเช่าปิดเสียแล้ว พรุ่งนี้ว่ากันอีกที
i drive / i race / i test / I drift
I row / I run / I fun / I ride

Offline O'Pern

  • fear is a mind killer
  • Administrator
  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 7411
  • don't let your fear stand in the way of your dream
    • racing club
Re: เมษ 52 13-15 เกาะช้าง / 24-28 Japan Alpine
« Reply #16 on: May 02, 2009, 03:41:46 pm »
26 เมษ 52
   ผมตื่นเองแต่เช้าทุกวัน แต่วันนี้แดดไม่แรงเหมือนวันอื่น มีลมแรง เหมือนเมื่อวานเป๊ะเลย มีฝนตกๆ หายๆ อากาศหนาวเย็นมาก 
   ไปหารถจักรยานที่ร้านเช่า พอบอกจะปั่นขึ้นเขา Tateyama เขาทำหน้าตกใจ แต่ฟังที่เขาอธิบายแล้วผมยิ่งตกใจกว่า เพราะว่าเขาห้ามปั่นจักรยานขึ้น จะเดินทางได้ก็เฉพาะนั่งรถของเจ้าหน้าที่เป็นรถบัส ระหว่างทางต้องนั่งรถราง ต่อกระเช้าเคเบิ้ล ตามด้วยนั่งรถบัส และเขาจะให้เราเดินผ่านกำแพงหิมะอันโด่งดัง ระยะทางราว 500 เมตร ด้านบนมีร้านอาหาร แต่ไม่มีอาหารให้เลือก เขาจัดขายเป็นอาหารชุด จากนั้นก็จะต้องลงอีกด้านหนึ่งของภูเขา ลงด้วยเคเบิ้ล ต่อด้วยรถราง ยังต้องนั่งเคเบิ้ลคาร์ลอดอุโมงทะลุเทือกเขาระยะทางยาว 800 เมตร พอถึงเขื่อนชื่อ Kurobe ก็ต้องเดินผ่านสันเขื่อน เขื่อนนี้ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น เดินผ่านเขื่อนอีก 800 เมตร จุดนี้เป็นทางลงของอีกฝั่ง จะต้องนั่งรถโดยสารต่อเป็นอันสิ้นสุดระยะทาง
   โห แล้วเราจะเอาจักรยานขึ้นไปได้ไงล่ะนี่ มีการต่อกระเช้าด้วย รถรางด้วย รถบัสอีกต่างหาก
   “แล้วมีภูเขาไหนที่พอจะปั่นจักรยานขึ้นได้บ้างล่ะ”
   “เขาส่วนใหญ่ก็มักจะขึ้นได้ แต่ถ้าเป็นด้านยอดบนสูงสุดน่ะมักจะต้องเดินขึ้น บ้างก็ต้องไต่หน้าผาขึ้น”
   งานเข้าภาค 2 เซ็งจัด
   ไหนๆ ก็มาแล้ว ยังไงต้องขอไปเหยียบกำแพงหิมะที่ Tateyama วะ รีบออกเดินทางแต่เช้าไปถึงทางขึ้นเขาก็ตกใจ เพราะเห็นนักท่องเที่ยวมายืนคอยกันมากมาย เป็นร้อยๆ คนเลยล่ะ
   ผมรีบเข้าไปดูลาดเลา ไม่รู้ว่าต้องต่อคิวช่องไหน อย่างไร ด้านนอกฝนก็ยังตกปรอยๆ ผมเตรียมร่มมาด้วย ไม่กลัวฝนแล้วล่ะวันนี้
   “วันนี้อุทยานเราปิดให้บริการนักท่องเที่ยวครับ” เจ้าหน้าที่บอกผม ฟังแล้วรู้สึกตัวชาขึ้นมาทั่งตัว ถามซ้ำอีกครั้ง ผมกลัวฟังผิด แต่เขาก็ตอบแบบเดิม
   “ด้านบนยอดเขาหิมะตกหนักมาก พายุเข้าอย่างรุนแรงสองวันสองคืน ถนนเต็มไปด้วยหิมะและน้ำแข็ง ถนนลื่นมาก เมื่อวานนี้รถบัสของอุทยานที่พานักท่องเที่ยวขึ้นเขาเกิดพลิกคว่ำ มีนักท่องเที่ยวเสียชีวิต 8 ศพ เราเลยจำเป็นต้องปิดเส้นทางในวันนี้ครับ”
   “เราคำนึงถึงความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวเป็นหลัก หากอากาศไม่ดี หรือมีสิ่งใดที่คิดว่าไม่ปลอดภัย เราจะปิดเส้นทางทันที”
   ฉิบหาย งานเข้าภาค 3
   เดินคอตกออกมา ผมรู้สึกโครตจะเสียใจเลย ใจหนึงอยากร้องไห้ แต่หากให้คิดแง่ดีก็คือ ผมยังโชคดีไม่ได้เป็นหนึ่งในผู้ประสพเหตุร้าย หรือผมยังโชคดีที่ไม่ได้ขึ้นเขาเที่ยวเมื่อวานนี้ เพราะหลังจากเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงแล้ว เจ้าหน้าที่เขาปิดเส้นทางทันที ทั้งรถราง รถเคเบิ้ล ต่างต้องถอยหลังกลับกันหมด วุ่นวายกันอยู่หลายชั่วโมง
   เสียใจไปก็เท่านั้น เขาไม่เปิดบริการเสียอย่าง เลยมองหาเป้าหมายถัดไป ใจอยากขึ้นภูเขาฟูจิให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย แต่มันต้องมีการวางแผนล่วงหน้า ต้องจองห้องพักที่ Base Camp ต้องใช้ตัวล่อ (ลูกผสมระหว่างม้ากับลา) เป็นตัวแบกสัมภาระ เขาฟูจิมี 10 ด่าน รถยนต์ขึ้นได้แค่ด่าน 5 ที่เหลือต้องเดินเท้า และด่านหลังๆ นี้ต้องใช้ไกด์ท้องถิ่นนำทาง
   ค่าใช้จ่ายอ่วมครับ เผลอๆ จะแพงกว่าตั๋วเครื่องบินไปญี่ปุ่นเสียอีก เลยนั่งคิด เอาเขาไหนดีวะที่ใกล้หน่อย สะดวกหน่อย หากจักรยานขึ้นได้ด้วยจะสุดยอดมาก
   ฝนเริ่มลงหนาเม็ด นักท่องเที่ยวชุดใหม่ทะยอยกันเข้ามา แต่พอทราบข่าวว่าเขาปิดการให้บริการก็ต้องพากันเซ็งกลับไปกันหมด ผมยังคงตระเวณอยู่รอบนอกของเทือกเขา Japan Alps กะจะคอยว่าหากฝนหาย หรืออากาศดี ผมอาจมีลุ้น
   ขับรถลงใต้สักพัก พบว่าอากาศดีขึ้น ฝนหายสนิท เกิดสายรุ้งทอดยาว ผมไม่เคยเห็นสายรุ้งแบบเต็มวงมาก่อนเลย ครั้งนี้เห็นโค้งเป็นรูปครึ่งวงกลมเป๊ะ สวยงามเหลือเกิน แถมสายรุ้งยังคงอยู่คู่กับผมไปตลอดเส้นทางกว่า 30 นาที ได้ดูสายรุ้งกันแบบเต็มๆ ตา ใจอยากวกกลับไปที่เขา Tateyama อีกรอบ เผือมีลุ้นว่าจะได้ขึ้นไหม แต่พอจะหาที่กลับรถก็เจอฝนเทลงมาอีกล็อต จากฟ้าสว่างสดใสกลายเป็นมืดครึ้มอีกแล้ว ท้องฟ้าสีเทาหม่นๆ มันช่างเหมือนความรู้สึกในใจผมเสียจริง
   นั่งรถไปก็มองเห็นเทือกเขา Japan Alps ไปตลอดทาง น้ำตาผมไหลออกมา คงจะเต็มที่ของมันแล้วกระมัง
   แวะทานอาหารกลางวันตอนบ่ายๆ เย็นๆ แบบสิ้นคิดที่ปั๊มน้ำมัน กินราเมงถูกๆ จัดชุดมาให้กับข้าวหน้าหมูทอด ราคา 640 เยน ได้อาหารมา 2 จาน ข้าวรสชาติปานกลาง บะหมี่น้ำราเมงอร่อย แต่ได้หมูชิ้นบางๆ ชิ้นเดียว แถมด้วยลูกชิ้นปลาแผ่นเล็กๆ อีก 1 ชิ้น ส่วนเส้นบะหมีให้เยอะมาก ราว 2 ก้อนเห็นจะได้ ผมกินไม่หมดหรอกครับ เหลือเพียบ
   ขับรถลุยฝนไปจนถึงที่พักชื่อ Matsumoto Toyko Inn อันนี้เริ่มจะเข้าตัวเมืองใหญ่เรื่อยๆ แล้วครับ อาหารเย็นทานในร้านเล็กๆ ในซอยข้างโรงแรมนี่แหละ ง่ายดี
   พอทานเสร็จผมรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวนัก ตอนอยู่ในร้านอาหารรู้สึกร้อนๆ ผิวหน้าผิวตัวผมแห้งจนลูบแล้วสากอย่างมาก ไม่ได้ติดโลชั่นทาผิวมาด้วย ผมทาแค่ครีมกันแดด พอเจอฝน เจอลม เจอหิมะ แบบชนิดมรสุมเต็มพิกัด ผิวที่ไม่คุ้นเคยกับสภาพสาหัสก็เลยเริ่มออกอาการ
   ผมหน้าแดงเหมือนกินเหล้ามา คอมีผื่นขึ้น มึนหัวนิดๆ จับหัวดูรู้สึกตัวลุมๆ ไม่รู้มีไข้หรือไม่ แค่อ่อนเพลีย ไม่รู้เกิดจากอะไร
   เดินกลับโรงแรม ไม่มีอะไรทำ ยังไม่หายเศร้า เลยเดินเข้าร้าน 100 เยน ดูของติดมือเล่นๆ ร้านนี้ทุกอย่างในร้านราคา 100 เยนครับ เหมือนร้านไดโซบ้านเราที่ขายทุกชิ้น 60 บาทนั่นแหละ ของเหมือนกันเป๊ะเลย อ้อ..100 เยนนี้เขายังไม่รวมภาษีนะ ตอนจ่ายจริงเราต้องจ่ายชิ้นละ 105 เยน
   ได้เดินดูโน่นดูนี่ค่อยสบายตัวขึ้นมาหน่อย แต่ก็ยังคงนอนเร็วตามปกติ เปิดดูทีวีเห็นมีข่าวเกียวกับไข้หวัดอะไรสักอย่างก็ไม่รู้ ระบาดกันอย่างกว้างขวางไปทั่ว คนญี่ปุ่นเขาจะใช้ผ้าปิดปากปิดจมูกกันเป็นประจำอยู่แล้ว ช่วงนี้ก็เลยยิ่งพบเห็นมากเข้าไปใหญ่ โดยเฉพาะผู้คนในตัวเมือง
   ข่มตานอนก็ไม่ค่อยจะหลับ ยังคงเศร้าใจกับการที่เสียโอกาสไม่ได้ขึ้นเขา Tateyama ที่ใฝ่ฝัน

27 เมษ 52
   วันนี้ออกเดินทางไกลหน่อยครับ ขึ้นภูเขาหิมะไม่ได้ วันนี้เล่นภูเขาไฟมันซะเลย ไม่ใช่ภูเขาไฟธรรมดานะ ลูกนี้ยังคุกรุ่นอยู่เลย เพิ่งระเบิดเดือนล่าสุดก็มกราคมปี 52 เมื่อสามเดือนที่แล้วนี่เอง ฮ่าๆ สะใจจริงโว๊ยยย
   เดินทางไปภูเขาไฟชื่ออาซามะ สูงไม่เบาเหมือนกันครับ คือ 2560 เมตร ระยะทางขึ้นเขาก็ไม่ไกลมากนักราวสิบกว่า กม ชันได้ใจดีเหมือนกัน เส้นทางคดเคี้ยวคล้ายทางภาคเหนือของไทย เป็นทางเรียบตลอด ปั่นจักรยานขึ้นได้สบายๆ แค่พอเจอโค้งต้องระวังหน่อย เพราะหากสวนกับรถบัสใหญ่เขาจะเลี้ยวกินเลนเรา หากเจอตอนขึ้นเขาก็ไม่ใช่ปัญหา แต่ถ้าเรากำลังดิ่งลงแล้วเจอนี่สิ
   วันนี้แดดอย่างแรงครับ ดูทีวีเขาว่าพายุได้อ่อนกำลังลงแล้ว ใจหนึ่งอยากจะกลับย้อนไปที่เขา Tateyama เพราะยังคาใจกันอยู่ แต่หากจะไปก็ต้องขับรถอีกนานสัก 4-5 ชม เทือกเขา Japan Alps นี้ยิ่งใหญ่มากครับ กินพื้นที่หลายจังหวัดเลย
   แถมเราเองก็มาถึงภูเขาไฟลูกนี้แล้วด้วย จึงขอเคลียร์ลูกนี้ก่อน ด้านบนลมแรงอย่างมากครับ ใครใส่หมวกปีกนี้ลมพัดปลิวกระเด็นเลย ผมใส่หมวกแบบผ้าคลุมเลยเดินได้สบาย ไม่ต้องคอยเอามือจับ
   ลมพัดแรงจนผิวที่แห้งผากของผมยิ่งแห้งแตกเข้าไปใหญ่ จนรู้สึกคัน บางทีรู้สึกเจ็บ ลมแรงมากๆ จนผมต้องเอาผ้าพันคอมาพันหน้าเสียมิดชิด เหลือโผล่เพียงแค่ลูกตา
   ด้านบนของภูเขามีศาลเจ้าแม่กวนอิมด้วย แปลกดี ดูเหมือนเมืองไทยเลย ที่ไปไหนก็มักจะมีพระให้เราไหว้อยู่เสมอๆ
   แดดแรงจัดจนแสบตา หากโดนผิวก็แสบผิว ต้นคอผมเริ่มแสบ ไม่รู้ว่าเกิดจากเสียดสีกับผ้าพันคอ หรือเพราะโดนแดด หรือถูกทั้งข้อ ก และ ข
   เขาลูกนี้ผมไม่มีข้อมูลมาก่อนเลยครับ มากันสดๆ เลย ไม่รู้ว่าเราสามารถเดินเท้าได้ถึงปากปล่องเลยไหม แต่ตอนนี้ผมแสบผิวหน้า ผิวแขนอย่างมาก เดินไปได้อีกสักพักก็ต้องยอมแพ้เทพแห่งลม วายุ ผมต้องคอยหยุดพักเป็นระยะๆ โชคดีที่เขาทำซุ้มให้นักท่องเที่ยวหลบพายุลมแรงไว้เป็นช่วงๆ
   เส้นทางรายรอบทางเดินมีซากกองลาวาที่แห้งแล้ววางอยู่เต็มไปหมด ดูแล้วน่าเกรงขามดีจริงๆ
   สักพักหันไปดูยอดเขาที่ปากปล่องก็เห็นมีควันพวยพุ่งออกมา แรกๆ ก็จางๆ หลังๆ นี้ชักเข้มขึ้นเรื่อยๆ ๆ จากควันสีขาวบางๆ กลายเป็นควันสีหน้าทึบ
   เอ๊ะ จะงานเข้าอีกหรือเปล่าวะนี่ ทำให้แผนที่จะเดินขึ้นไปสำรวจเส้นทางจนถึงปากปล่องเป็นอันต้องชะงักไป
   เดินต่อไปไม่ได้ ก็ขอลงดีกว่า เห็นมีกลุ่มควันยิ่งหนามากขึ้น แต่ยังดีที่พื้นดินไม่สั่นไหว ใกล้ๆ กันมี Outlet ขนาดใหญ่มากๆ ๆ ๆ ผมอยากดูว่าใหญ่แค่ไหน และหากมีร้านค้าพวกของใช้ที่ผมชอบเช่นอุปกรณ์กีฬา หรือจักรยานจะสุดยอดมาก
   กลางวันเลยทานอาหารบุฟเฟ่ใน Outlet นั่นแหละ อร่อยดี บรรยากาศดี มีของถูกใจที่ไม่ค่อยได้กินคือ Potato Skin แต่เขาทำไม่เหมือนของฝรั่งนะ คืออบอย่างเดียว ไม่ได้ใส่ชีสใส่เบคอนหรือแต่งเติมอะไรเข้าไปด้วย
   มื้อนี้ผมเลยได้ทานสลัดอย่างเป็นทางการมื้อแรกในญี่ปุ่น อาหารญี่ปุ่นปกติจะไม่มีผักท่วมจาน แต่มักจะมีข้าว 1 ถ้วย และอาหารที่ผ่านการปรุงน้อยๆ มาเคียงข้าง การทานอาหารบุฟเฟ่ในประเทศที่เราไม่คุ้นเคยนี้สนุกมากครับ เพราะไม่รู้เลยว่าอะไรเขากินกับอะไรกัน น้ำจิ้มไหนจิ้มอะไร ซอสไหนเป็นอะไรผมยังดูไม่รู้เลย
   Outlet นี้ใหญ่จริงครับ ใหญ่จนบอกไม่ถูก หากกะด้วยสายตา ผมคะเนกว่ามันเล็กกว่าสนามหลวงนิดหน่อย สักราว ¾ ของสนามหลวงเห็นจะได้
   ดูจากแผนที่แล้วผมตรงดิ่งเข้าร้านของ Adidas ก่อนเพื่อนเลย เห็นรองเท้าถูกใจ เป็นรองเท้าลุยสไตล์ Outdoor ที่ผมชอบ ราคารับได้นะ ราวสองพันกว่าบาท สีก็สวย ขนาดก็มี แต่ผมยังไม่ซื้อ หาเหตุผลให้ตัวเองด้วยว่าเรามีรองเท้าอยู่เยอะมากแล้ว เพียงพอต่อการใช้งานแล้ว
   ใจอยากได้เสื้อผ้าหรือของใช้เกี่ยวกับจักรยาน แต่หาไม่เจอสักอย่าง จะมีก็พวกของตกแต่งแบบชาวบ้าน แต่งรถแม่บ้าน แต่ก็ดูน่ารักดีนะ มีอันหนึ่งผมชอบมาก คือตัวหนีบร่มกันแดด เอาร่มมาเสียบไว้ได้เลย ไม่ต้องคอยจับแฮนด์ ราคาพันกว่าบาทแน่ะ (ชิ้นนี้เห็นที่ร้านค้านอกเมือง)
   เดินจนถึงเย็นก็นั่งรถไฟชินคันเซนเข้าโตเกียว ระยะทางไกลมากนะ หากขับรถยนต์ก็ต้องมีสัก 4 ชม (รวมรถติดด้วย) ถ้านั่งชินคันเซนจะใช้เวลาแค่ราว 1 ชม เท่านั้น
   รถไฟชินคันเซนนี้วิ่งเร็ว 240 กม/ชม ครับ เป็นรองก็แค่ TGV ของฝรั่งเศษเท่านั้นเอง รถไฟคันนี้ดีครับ ที่นั่งเหมือนเครื่องบินเลย แต่กว้างขวางกว่าเยอะ แถมพอขึ้นนั่งเสร็จยังมีพนักงานเข็นของมาขาย แต่งตัวและรถเข็นคล้ายกับอยู่บนเครื่องบิน ผมเห็นแล้วหัวเราะก๊ากเลย
   นั่งอยู่นานราวหนึ่งชั่วโมง ระหว่างนั้นเดินสำรวจรถไฟเล่น พบว่ามีช่องเก็บกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่อยู่ระหว่างตู้รถไฟ ช่องนี้ใหญ่เพียงพอที่จะใส่จักรยานพับได้สบายๆ
   ไม่ต้องบอกก็รู้ ว่าผมคิดอะไรในใจ
    ผมนั่งจนถึงโตเกียว จากนั้นก็เปลี่ยนรถไฟเป็นสายเข้าเมือง ลงที่สถานีชินจุกุ พอเท้าเหยียบโตเกียวปุ๊บ ผมแทบอยากกลับไปยังจุดเริ่มต้นแรกของผมที่เหยียบครั้งแรก นั้นคือเมือง Takayama หรือไม่ก็เมือง Gifu ที่เป็นป่า เป็นธรรมชาติ มีพวกบ่อน้ำแร่ ผมชอบบรรยากาศแบบนั้นมากกว่าแบบในเมืองอย่างโตเกียว
   ไหนๆ ก็เข้าเมืองแล้ว ก็ขอเดินเล่นชมวิถีคนเมืองของเขาเสียหน่อย
   เดินไปพักเดียวก็รู้สึกแปลกๆ ครับ ผมไม่ชอบวิถีชีวิตแบบนี้ ผมชอบความเงียบสงบ ชอบความเรียบง่าย ชอบธรรมชาติ ชีวิตในโตเกียวตรงข้ามกับชีวิตของผมโดยสิ้นเชิง
   ขากลับเข้าโรงแรม ผมเห็นในแผนที่เขาเขียนว่า Pleasure Zone อยากรู้ว่าสนุกสนานแค่ไหนเลยลองเดินผ่านแวะเข้าไปดู ปรากฏว่าเป็นแหล่งอบายมุขเหมือนพวกย่านพัฒนพงษ์ของเราน่ะครับ หน้าร้านก็จะมี่คนเชียร์แขกคอยต้อนนักเที่ยว ผมไม่สนใจการเที่ยวลักษณะนี้ เลยก้มหน้าเดินผ่านอย่างเร็ว คนต้อนแขกส่วนใหญ่ก็จะไม่สนใจจะเรียกผม
   แต่มีคนหนึง เป็นคนอัฟริกันผิวดำ เดินเข้ามาคุยภาษาญี่ปุ่นกับผม ผมไม่โต้ตอบ เขาก็เดินตามและพูดคุยไม่ยอมหยุด ผมเดินเร็วขึ้นเขาก็เดินเร็วตาม บางช่วงเดินมาเบียดชนผม ผมไม่ชอบถูกกดดันครับ แต่ผมจะเป็นคนกดดันสิ่งรอบข้างแทน
   Hey, Black.. leave me alone OK? ผมพูดน้ำเสี่ยงขึงขัง ห้วนๆ ไม่สบตา ไม่มองหน้า ผมยังก้มหน้ามองพื้นอยู่เหมือนเดิม
   ได้ผล เขาไม่ตามผมมาอีกแล้ว
   ตอนพูดประโยคนั้น ผมกำมือแน่นแต่ซุกไว้ในกระเป๋าเสื้อสเวตเตอร์
   ผมเคยผ่านเหตุการณ์คล้ายกันนี้ที่โซล เกาหลีใต้ครับ ตอนนั้นเดินผ่านซอกตึกเล็กๆ จะกลับห้องพัก เจอพวกจิ๊กโก๋กินเบียร์นั่งกันเต็มไปหมด แม้ไม่อยากเดินผ่าน แต่ก็ไม่ได้ถอยหลังกลับ วัดใจเดินผ่านไป หากไม่มีใครโดนตัวผม ก็คงไม่มีเรื่องอะไร
ตอนนั้นในมือกำลูกกุญแจให้โผล่ออกมาเตรียมไว้แล้ว ดีที่ไม่ต้องใช้มัน เพราะไม่รู้เหมือนกันว่าผลจะออกมาเป็นเช่นไร
i drive / i race / i test / I drift
I row / I run / I fun / I ride

Offline O'Pern

  • fear is a mind killer
  • Administrator
  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 7411
  • don't let your fear stand in the way of your dream
    • racing club
Re: เมษ 52 13-15 เกาะช้าง / 24-28 Japan Alpine
« Reply #17 on: May 03, 2009, 09:23:14 am »
28 เมษ 52
   ผมรู้สึกเซ็งๆ ไม่ค่อยสนุกตั้งแต่วันที่อดขึ้นเขา Tateyama มาตลอด หาที่สวยๆ สนุกๆ เที่ยวบ้าง แต่ก็รู้สึกงั้นๆ ไม่ค่อยช่วยอะไรเท่าไหร่เลย ผมมาญี่ปุ่นครั้งนี้ก็เพราะต้องการขึ้นเขา Japan Alps ต้องการไปชมกำแพงหิมะ แม้เขาจะไม่ให้เอาจักรยานขึ้นก็ไม่เป็นไร ขอเดินขึ้นด้วยเท้าเราสักช่วงหนึ่งก็ยังดี มันน่าจะเป็นภาพประทับใจที่ไม่มีวันลืม แต่ก็ทำไม่ได้ เซ็ง
   เส้นทางทริปนี้ผมเริ่มจากนอกเมืองแล้วค่อยๆ ร่นขยับเข้ามาใกล้เมืองขึ้นเรื่อยๆ จนวันนี้ผมอยู่ในโตเกียวแล้ว เมืองหลวงที่รวมสารพัดของไฮเทค แต่ใจผมไม่เห็นจะสนุกสักนิด ผมชอบบรรยากาศนอกเมืองมากกว่า ผมวางเส้นทางผิดจริงๆ
   รู้สึกได้เลยว่ามาทริปนี้ไม่สนุกครับ วางแผนผิด เดินทางไม่รัดกุม สภาพอากาศแย่ ประสานงานบางช่วงผิดพลาด แถมต้องเจออากาศหนาวเย็นบนยอดเขาแบบไม่ทันตั้งตัว ผิวหน้าผิวตัวของผมแห้งผาก จับแล้วรู้สึกเจ็บ โดยเฉพาะบริเวณคอ เป็นผื่นแดง ร่างกายมีไข้แบบไม่รุนแรงนัก
   ดูทีวีเห็นข่าวว่ามีไข้หวัดระบาด ผมฟังไม่ออกว่าหวัดแบบไหน อย่างไร แต่คนที่นี่เขาใช้ผ้าปิดปากปิดจมูกกันหลายคน ผมเองก็ปิดกับเขาด้วย แต่ปิดเพราะป้องกันลมหนาวเย็นมาปะทะใบหน้า ผมปิดด้วยผ้าคลุมคอครับ ไม่ได้ปิดด้วยหน้ากากอนามัยแบบคนอื่นเขา
   แว๊บหนึ่งในใจอยากกลับไปเริ่มต้นเส้นทางใหม่ที่เขา Tateyama แต่คิดอีกทีก็กลัวเจอมรสุมพายุหิมะมาอีก เพราะบนเขานั้นอากาศแปรปรวนเหลือเกิน จากแดดแรงๆ จู่ๆ ก็มืดครึ้มกลายเป็นลมหนาวจัดพัดมาอย่างแรง ลังเลอยู่นาน สิ้นเปลืองเงินอีกเยอะมากด้วย
   คิดถึงสถานการณ์ไข้หวัดนกขึ้นมา เขามีการกักตัวคนมีไข้ที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองด้วย เฮ้ย แล้วผมจะโดนไหมวะนี่ หน้าและคอเป็นผื่นแดงโดนหิมะกัดมายังไม่หายเลย
   วันนี้เตรียมตัวกลับไทยดีกว่า  แพ็คของอย่างง่ายๆ ไม่เร่งรีบ เพราะไม่มีของชิ้นใหญ่ให้ขนกลับ กระเป๋าใบโตของผมยังหลวมๆ อยู่เลย
   ทานอาหารเช้าเสร็จก็ออกเดินเล่นย่านชินจูกุ แต่ร้านค้าเปิดกันสายราว 1030 บ้างก็ 1100 ออกเดินเล่นในตัวเมือง ดูของถูกๆ เผื่อเก็บไว้ใช้ตอนจำเป็น จึงได้กระเป๋าหนังมา 3 ใบ เป็นของเซลลดราคา 50% ถ้าเป็นราคาเต็มผมไม่กล้าซื้อหรอก
   เดินมองหาของที่ตัวเองอยากได้และจำเป็นต้องใช้ นั่นคือชุดว่ายน้ำ ที่เรียกว่าชุดก็เพราะมีกางเกงกับเสื้อแขนยาวด้วย ผมชอบใส่แบบนี้ เพราะแผ่นหลังและไหล่ของผมเต็มไปด้วยกระฝ้าเต็มไปหมด ผลมาจากการเล่นเรือใบตั้งแต่สมัยเด็กๆ ที่ออกทะเลตั้งแต่เที่ยง กลับมาอีกทีก็เกือบเย็น แถมไม่ใส่เสื้อ ไม่ทาครีมกันแดดเลย
   มองหาตามห้างใหญ่อย่าง Isetan, Mauri ก็ไม่มีของถูกใจ แต่เล็งของ Speedo ไว้แล้วตอนอยู่ไทย คงได้กลับไปซื้อที่เดอะมอลล์ท่าพระ อ้อ ผมเจอเสื้อผ้าของ North Face สวยถูกใจมาก แต่เห็นราคาแล้วเครียด เลยได้แต่จำรุ่นเอาไว้ อย่าเผลอลดราคาเชียว มีหวังได้เจอกันแน่
   ช่วงอยู่ในย่านชินจูกุนี้ได้ยินเสียงคุยภาษาไทยจากนักท่องเที่ยวเยอะมากเลยครับ ถ้าเป็นพวกสาวๆ เขาก็มักจะเดินกันตามร้านขายเครื่องสำอางค์ หนุ่มๆ ก็เดินกันหลากหลาย มีห้าง Isetan Men ภายในมีแต่ข้าวของเครื่องใช้ของชายหนุ่ม ส่วน Isetan ธรรมดาก็เป็นของสาวล้วน ผมเผลอเดินเข้าไปแป๊บเดียว รีบวิ่งออกเลย
   อีกร้านของชายหนุ่มที่อยากแนะนำคือ Marui OIOI Men มี 8 ชั้น เดินกันเมื่อยขาเลย ร้านขายเกมส์ กล้อง MP3 MP4 มีเพียบ เต็มไปหมด ละลานตา แต่ผมไม่ซื้ออะไรมาสักอย่าง
   ผมได้ครีมกันแดดราคาถูกๆ ติดมือกลับมา ซื้อเพราะได้ใช้ประจำ แถมราคาไม่แพง ได้ของสเปคสูงอีกด้วย คือ SPF 50+ / PA+++ แปลว่าป้องกันรังษี UVB 50 เท่าขึ้นไป และป้องกันรังษี UVA ได้ในระดับสูงสุด (ผมอาจจำข้อมูล UVA และ UVB สลับกัน หากผิดพลาดขออภัยด้วย)
   เลือกยี่ห้ออะไรก็สุดแท้แต่ หากจะให้มันปกป้องเราสูงสุดต้องดูค่า PA ด้วยครับ ส่วนใหญ่จะเป็น PA+ บ้างก็ PA++ แต่ถ้าได้ PA+++ คือครีมระดับเทพ จำไว้
   ส่วนค่า SPF ก็คงรู้ๆ กันอยู่ ตัวเลขมาก ก็ยิ่งปกป้องได้นานกว่า สุดท้ายก็มาดูที่เนื้อครีมและส่วนผสม บ้างใช้ Zinc บ้างใช้ Tatanium Dioxide ผมลองแล้วไม่เห็นความต่าง เลยเลือกแบบแห้งเร็ว ไม่เหนียว แค่นี้เป็นใช้ได้ (แต่จากประสพการณ์แล้ว หากยอมเหนียวหน่อยจะใช้ได้นานกว่า คือบีบออกมาหน่อยเดียว ละเลงได้พื้นที่เยอะกว่า และมักจะติดผิวกายนานกว่า หากออกทะเล ผมจะเลือกแบบเหนียวๆ หน่อย)
   ออกจากห้องพักตอนบ่ายๆ ตรงไปสนามบินนาริตะ รอเครื่องออก เดินเล่นที่สนามบินนาริตะ หยิบเอาเศษเหรียญออกมาดู กะว่าจะซื้อของจุกจิกให้เหรียญหมดไป ไม่อยากพกกลับบ้านให้เกะกะ เก็บไว้แค่ธนบัตรพอ
   ผ่านด่านตรวจคนขาออก หากเป็นที่ด่านไทยก็จะแค่ตรวจเอกสารอย่างเดียว แต่ของที่นี่เขาตรวจกระเป๋าด้วย นั่นคือห้ามนำของเหลวเกิน 100 cc ขึ้นเครื่อง ใช่เลย ผมมีน้ำดื่มติดตัวประจำ เลยรีบซดเสียเกลี้ยง คนก่อนหน้าผมเพิ่งซื้อน้ำอัดลมมา กินได้คำเดียวก็โยนทิ้งทั้งขวด
   พอพ้นด่านมา ผมก็นำขวดเปล่าไปกดน้ำดื่มมาใส่คืน น้ำดื่มนี้มีตู้กดดื่มฟรีครับ แต่ผมดื่มน้ำบ่อย เลยเก็บสำรองไว้ในขวด หยิบดื่มสะดวกมากกว่า
   เจอคนไทยเยอะมาก ส่วนใหญ่จะซื้อขนมกันคนละหลายๆ กล่องเลย ขนมของที่นี่สวยและน่ากินมากครับ แต่ว่ารสชาติคล้ายๆ กันหมด ซื้อไปฝากคนอื่นก็โอเค แต่ถ้าซื้อกินเองแล้วผมไม่เอา อ้วนมากๆ ขนมมักจะเป็นแป้งและน้ำตาลล้วนๆ จะว่าไปแล้วผมชอบขนมแบบพื้นบ้านอย่างที่ชาวบ้านเขาทำขายกันสดๆ มากกว่า เช่น เซมเบ้ (ขนมแป้งข้าวเหนียวปิ้งกรอบๆ ทาด้วยซอสปรุงรส) และดังโงะ (แป้งข้าวเหนียวย่างใส่ไส้หลากชนิด)
   เดินถ่วงเวลาจนได้ที่ก็ไปเข้า Gate ที่ระบุไว้ในตั๋ว พอเครื่องไต่ความสูงขึ้นถึงระดับ 10 กม ไฟรัดเข็มขัดก็จะดับลง เราก็ดูนาฬิกาไว้ อีกสัก 15 นาที ด้านขวามือของเครื่อง หากมองลงไปจะพบภูเขาไฟฟูจิ กับตันเขาจะประกาศให้ผู้โดยสาร First Class และ Bisiness Class ทราบ ส่วนพวก Y Class หรือ Economy Class นี้ไม่ประกาศให้ทราบ คงจะกลัวผู้โดยสารแห่งกันไปด้านหนึ่งจนอาจทำให้เครื่องบินเอียงเสียสมดุลย์ก็เป็นได้
   ขากลับนี้นั่งนานกว่าขามาอีกครับ เพราะบินทวนลม ทำให้ต้องใช้เวลานานกว่าเดิมถึง 1 ชม แถมขากลับนี้บินกลางคืนอีกด้วย ผมเป็นคนหลับยาก เลยไม่ค่อยได้นอน ภาพยนต์ที่เปิดในเครื่องก็แสนจะน่าเบื่อ คัดมากล่อมคนให้หลับโดยเฉพาะแน่ๆ
   ผมเลือกที่นั่งริมทางเดิน และค่อนไปทานด้านหลัง เราต้องบอกเจ้าหน้าที่ออกตั๋วตอนเช็คอินครับ หากเราไปก่อนล่วงหน้านานๆ ก็จะเลือกที่นั่งได้ ใครชอบนั่งริมหน้าต่างชมวิวก็สามารถเลือกได้ ส่วนผมชอบริมทางเดิน เพราะชอบลุกเข้าออกบ่อย หากเป็นไฟล์ทไกลๆ ก็มักจะไปยืนด้านท้ายเครื่องนานๆ ครั้งนี้ผมยืนนานราว 1 ชม ยืนให้มันเมื่อยไปเลย จากนั้นก็ไปนั่ง จะรู้สึกว่านั่งแล้วสบายมากๆ
   ทำเช่นนี้สลับกันไปเรื่อยๆ นั่งๆ ยืนๆ หากมีฝรั่งเข้ามาใกล้ก็ชวนกันคุยจะได้ไม่เบื่อ ทำได้ดีสุดก็เท่านี่แหละครับ ที่เหลือก็แค่รอเวลาเครื่องลง
ถึงด่านตรวจคนเข้าเมือง เราก็กรอกเอกสารขาเข้าไปตามระเบียบ เอกสารนี้ผมเตรียมไว้นานแล้ว แต่ถ้าใครไม่ได้เตรียมมา ก็หยิบเอาแถวนั้นแหละ มีวางไว้ให้หยิบกรอกกันสะดวก
ผมรีบเดินอย่างเร็วเข้าด่านตรวจคนเข้าเมือง เพราะในเครื่องมีคนไทยเยอะมากๆ ผมอยากอยู่หัวแถว ไม่ชอบต่อคิวนานๆ ผ่านด่านนี้แล้วก็ต้องรีบไปรอกระเป๋า ลุ้นให้กระเป๋าเราออกมาเร็วๆ ก็จะกลับบ้านได้เร็ว
   พ้นด่านนี้ไปก็ถึงคิวรับกระเป๋าเดินทาง เราต้องดูจากหน้าจอมอนิเตอร์ว่าเครื่องบินที่เราบินมาจะเอากระเป๋าลงที่สายพานเบอร์อะไร เราก็ไปยืนรอที่เบอร์นั้น
ผมมีกระเป๋าใหญ่ใบเดียว แต่โดนเจ้าหน้าที่สุ่มตรวจ เอากระเป๋าผมเข้าเครื่องสแกน ไม่มีปัญหา ผมไม่มีของอะไรผิดกฏหมาย ผ่านด่านนี้ได้ก็ออกไปพบผู้คนภายนอกได้แล้วครับ
   ภรรยาและลูกผมมารออยู่นานแล้ว เห็นหน้าสองคนแล้วรู้สึกดีใจจริงๆ ที่ผ่านมาตลอดหลายวันก็ได้แค่หยิบรูปถ่ายออกมาดูตอนคิดถึงกัน
   ไปต่างประเทศมาหลายครั้ง แต่ก็ยังคงคิดถึงคนใกล้ชิดทุกครั้งไม่เคยเปลี่ยน
   นี่กระมังที่เขาเรียกว่าความผูกพัน

29 เมษ 52
   เมื่อคืนทายาบำรุงผิวที่ภรรยาจัดไว้ให้ พบว่ารอยแห้งเหี่ยวบนใบหน้าและตามผิวกายดูหยาบน้อยลงไปนิดหน่อย แต่ยังมีร่องรอยบาดแผลจากการโดนหิมะกัดอยู่หลายจุด จำได้ว่าตอนหนุ่มๆ ก็เคยลุยหิมะเล่นแบบนี้ แต่ผิวกลับไม่เห็นเป็นอะไร ทว่าวันนี้มันไม่เหมือนอดีตอีกต่อไปแล้ว ร่างกายเราเริ่มเสื่อมสภาพไปเยอะมากแล้ว
   ตื่นเช้าตามปกติครับ แต่ไม่ใช่ตี 4 เหมือนตอนก่อนไปญี่ปุ่นนะ เป็นสักตี 5 ลืมตาตื่นแล้วก็จริง แต่ไม่มีแรงลุก แปลกใจเหมือนกัน เหมือนร่างกายเพลียๆ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ไปทำอะไรที่ต้องใช้แรงเยอะเลยสักนิด
   มื้อเช้าแรกของวันที่ได้กลับไทย ผมเลยได้ทานข้าวผัดกุ้ง ไข่ดาว ข้าวผัดทำจากข้าวกล้อง ไข่ดาว 2 ฟอง แยกไข่แดงออก 1 ฟอง ทอดในน้ำมันมะกอก สายๆ และตลอดวันจิบชาเขียวไปราว 1 ลิตร อ้อ ตอนตื่นเช้ามาก็ซดน้ำกระชาย ผสมน้ำผึ้ง มะนาวไปหนึ่งแก้วใหญ่เรียบร้อยแล้ว
   วันนี้เลยไม่ได้ทำอะไรมากนัก อ่านข่าวหนังสือพิพม์มีข่าวไว้หวัดหมู เออ แปลกดี สามปีก่อนมีไข้หวัดนก ตอนนี้มีหวัดหมู ต่อไปคจะมีหวัดอีกหลายสายพันธุ์เป็นแน่
   ผมแสบผิวหน้าและผิวกายเหลือเกิน บริเวณคอเป็นผื่นแดงเต็มไปหมด ยังดีที่ไม่เจ็บไม่ลอก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะโดนลม โดนแดด หรือว่าเสียดสีกับผ้าพันคอของตัวเอง
   หัวค่ำผมอาบน้ำลูบผิวหน้าผิวกายที่แห้งผากด้วยสบู่อ่อน บริเวณคอจะรู้สึกเจ็บหากขัดถูแรงๆ หลังอาบน้ำจึงชโลมด้วยเบบี้ออย เล่นซะตัวมันแผลบเลย ใส่ชุดนอนก็ไม่ได้ กลัวเลอะ เลยอยู่ในห้องน้ำสักพักใหญ่ รอให้ออยมันซึมไปในผิวก่อน
   ความอ่อนเพลียยังไม่หายไปเลย รู้สึกไม่อยากทำอะไร อยากพักผ่อน แต่ก็ไม่ได้อยากนอน เรียกว่าอยากอยู่เฉยๆ กระมัง
   ตอนบ่ายไปรับมิวที่โรงเรียน กลับมาก็อยู่บ้านกันสองคน มิวเขาเล่นได้ทั้งวัน รื้อข้าวของจนเกลื่อนกลาดไปหมด บางทีก็เก็บเองเสียเรียบร้อย บางวันก็ไม่ แต่ผมไม่ได้ว่าอะไรเขามากนักหรอก แค่เตือนให้เก็บเฉพาะตอนเขาลืม
   เข้านอนแต่หัวค่ำเหมือนเดิม ตกกลางคืนได้ยินเสียงฝนตกดังอยู่นานพักใหญ่ ว้า.. สงสัยจะอดปั่นจักรยานตอนเช้าอีกแล้วสินะ

30 เมษ 52
   ตื่นเองราวตี 5 มาเดินเล่นหน้าบ้าน ยืดเส้นยืดสาย เอาจักรยานออกปั่นเล่นเบาๆ ไม่เร่ง ปั่นไปแค่ 5 กม ไม่ได้จับจักรยานมาหลายวัน ได้ขี่แล้วรู้สึกดีจริงๆ เลย เป็นความรู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกสนุก
   พื้นถนนมีน้ำขังเป็นบางช่วง ไม่เหมาะแก่การปั่นเร็วๆ แต่ถ้าปั่นเรื่อยๆ ก็พอได้ ผมนำรถคันเดียวที่มีบังโคลนออกไปใช้งาน
   มื้อเช้าทานผัดผักบรอคโคลี่ใส่เห็ดหูหนูดำกับเนื้ออกไก่ ทานกับไข่เจียว 2 ฟองที่คัดแยกไข่แดงออก 1 ฟอง ทอดในน้ำมันมะกอกเช่นเคย
   ผิวหนังของผมเริ่มหยาบน้อยลงแล้ว เบบี้ออยนี้เวิร์คจริงๆ เลย คืนแรกผมใช้ครีมบำรุงที่ภรรยาจัดมาให้ ยี่ห้ออะไรอ่านไม่ค่อยออก อ่านยาก แต่กดออกมาแล้วเหมือนเบบี้ออยเลย ทาแล้วโอเคดี แต่มันแพงมาก กลัวเปลือง ผมเลยใช้เบบี้ออยแทน ตื่นเช้า มาวันนี้ผมบอกภรรยาว่ามันใช้แทนกันได้ดีเหมือนกันนะ ขวดละแค่ 30 กว่าบาทเอง
   ผมคงต้องทาเจ้าเบบี้ออยนี้ไปอีกสักพัก และคงจะต้องทาครีมบำรุงผิวช่วยด้วย จะให้ดีที่สุดก็ต้องทานอาหารที่มีวิตามิน E จะได้ช่วยกันฟื้นฟูผิวหนังให้คืนสภาพกลับมา
   ช่วงสายทานแตงโมไปหนึ่งชิ้น และซดชาเขียวไป 1 ลิตร กลางวันทานสัปปะรดหนึ่งกล่อง มีสารพัดถั่วกรอบๆ กินเสริม
   ไปญี่ปุ่นครั้งนี้รู้สึกไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่เลย คงเป็นเพราะพลาดจากการที่ผมไม่ได้ขึ้นเขา Tateyama อุตส่าห์วาดฝันอยู่นานเป็นเดือน ฟิตซ้อมร่างกายให้แกร่ง ไม่เป็นไร ปีหน้าผมจะไปใหม่ หรือไม่ก็ไปที่ๆ มันโหดเสียยิ่งกว่า นั่นคือภูเขาไฟฟูจิ ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีใครไปแจมกับผมไหม เพราะค่าใช้จ่ายแพงไม่ใช่เล่น
   สภาพอากาศแปรปรวนไปทั่วโลก ไทยเรายังหนาวเย็นตลอดเดือนมกราคมที่ผ่านมา ส่วนทางออสเตรเลียเขาร้อนจัดถึง 40 องศาเซลเซียส ส่วนทางญี่ปุ่นนี้เขาว่าไม่มีฤดูฝนนะ แต่จะมีฝนตกกันตลอดปีหากมีพายุเข้า ประเทศเขาเป็นเกาะไง จึงมีโอกาสรับมรสุมรอบด้านเลย
   กระทั่งภูเขาไฟฟูจิเองก็อากาศแปรปรวนบ่อยครับ หลายคนไปแล้วขึ้นไม่ได้ถึงจุดสูงสุดก็มีเยอะแยะ เขาเปิดเป็นด่านๆ ไล่จากด้านบนลงมา หากมีหิมะมากเข้าจนอันตรายก็จะทะยอยปิดด่านบนๆ ก่อน แต่ถ้าด่านล่างๆ น่ะ ไปได้สบายมาก
   ชั่งน้ำหนักดูพบว่าน้ำหนักขึ้นมาเกือบจะ 2 กก ผลมาจากการทานข้าวขาวทุกมื้อ และไม่ได้ออกกำลังกายอะไรเลยแม้แต่น้อย กลายเป็นว่าไม่ได้ปั่นจักรยานสักวัน เหงื่อไม่ออกเลยสักหยด
   ของเดิมยังลดลงไม่ถึงเป้าเลย ตอนนี้ต้องมาแบกเพิ่มอีกถึง 2 กก
   พรุ่งนี้ออกปั่นจักรยานได้หรือเปล่าก็ไม่รู้
i drive / i race / i test / I drift
I row / I run / I fun / I ride