26 เมษ 52
ผมตื่นเองแต่เช้าทุกวัน แต่วันนี้แดดไม่แรงเหมือนวันอื่น มีลมแรง เหมือนเมื่อวานเป๊ะเลย มีฝนตกๆ หายๆ อากาศหนาวเย็นมาก
ไปหารถจักรยานที่ร้านเช่า พอบอกจะปั่นขึ้นเขา Tateyama เขาทำหน้าตกใจ แต่ฟังที่เขาอธิบายแล้วผมยิ่งตกใจกว่า เพราะว่าเขาห้ามปั่นจักรยานขึ้น จะเดินทางได้ก็เฉพาะนั่งรถของเจ้าหน้าที่เป็นรถบัส ระหว่างทางต้องนั่งรถราง ต่อกระเช้าเคเบิ้ล ตามด้วยนั่งรถบัส และเขาจะให้เราเดินผ่านกำแพงหิมะอันโด่งดัง ระยะทางราว 500 เมตร ด้านบนมีร้านอาหาร แต่ไม่มีอาหารให้เลือก เขาจัดขายเป็นอาหารชุด จากนั้นก็จะต้องลงอีกด้านหนึ่งของภูเขา ลงด้วยเคเบิ้ล ต่อด้วยรถราง ยังต้องนั่งเคเบิ้ลคาร์ลอดอุโมงทะลุเทือกเขาระยะทางยาว 800 เมตร พอถึงเขื่อนชื่อ Kurobe ก็ต้องเดินผ่านสันเขื่อน เขื่อนนี้ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น เดินผ่านเขื่อนอีก 800 เมตร จุดนี้เป็นทางลงของอีกฝั่ง จะต้องนั่งรถโดยสารต่อเป็นอันสิ้นสุดระยะทาง
โห แล้วเราจะเอาจักรยานขึ้นไปได้ไงล่ะนี่ มีการต่อกระเช้าด้วย รถรางด้วย รถบัสอีกต่างหาก
แล้วมีภูเขาไหนที่พอจะปั่นจักรยานขึ้นได้บ้างล่ะ
เขาส่วนใหญ่ก็มักจะขึ้นได้ แต่ถ้าเป็นด้านยอดบนสูงสุดน่ะมักจะต้องเดินขึ้น บ้างก็ต้องไต่หน้าผาขึ้น
งานเข้าภาค 2 เซ็งจัด
ไหนๆ ก็มาแล้ว ยังไงต้องขอไปเหยียบกำแพงหิมะที่ Tateyama วะ รีบออกเดินทางแต่เช้าไปถึงทางขึ้นเขาก็ตกใจ เพราะเห็นนักท่องเที่ยวมายืนคอยกันมากมาย เป็นร้อยๆ คนเลยล่ะ
ผมรีบเข้าไปดูลาดเลา ไม่รู้ว่าต้องต่อคิวช่องไหน อย่างไร ด้านนอกฝนก็ยังตกปรอยๆ ผมเตรียมร่มมาด้วย ไม่กลัวฝนแล้วล่ะวันนี้
วันนี้อุทยานเราปิดให้บริการนักท่องเที่ยวครับ เจ้าหน้าที่บอกผม ฟังแล้วรู้สึกตัวชาขึ้นมาทั่งตัว ถามซ้ำอีกครั้ง ผมกลัวฟังผิด แต่เขาก็ตอบแบบเดิม
ด้านบนยอดเขาหิมะตกหนักมาก พายุเข้าอย่างรุนแรงสองวันสองคืน ถนนเต็มไปด้วยหิมะและน้ำแข็ง ถนนลื่นมาก เมื่อวานนี้รถบัสของอุทยานที่พานักท่องเที่ยวขึ้นเขาเกิดพลิกคว่ำ มีนักท่องเที่ยวเสียชีวิต 8 ศพ เราเลยจำเป็นต้องปิดเส้นทางในวันนี้ครับ
เราคำนึงถึงความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวเป็นหลัก หากอากาศไม่ดี หรือมีสิ่งใดที่คิดว่าไม่ปลอดภัย เราจะปิดเส้นทางทันที
ฉิบหาย งานเข้าภาค 3
เดินคอตกออกมา ผมรู้สึกโครตจะเสียใจเลย ใจหนึงอยากร้องไห้ แต่หากให้คิดแง่ดีก็คือ ผมยังโชคดีไม่ได้เป็นหนึ่งในผู้ประสพเหตุร้าย หรือผมยังโชคดีที่ไม่ได้ขึ้นเขาเที่ยวเมื่อวานนี้ เพราะหลังจากเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงแล้ว เจ้าหน้าที่เขาปิดเส้นทางทันที ทั้งรถราง รถเคเบิ้ล ต่างต้องถอยหลังกลับกันหมด วุ่นวายกันอยู่หลายชั่วโมง
เสียใจไปก็เท่านั้น เขาไม่เปิดบริการเสียอย่าง เลยมองหาเป้าหมายถัดไป ใจอยากขึ้นภูเขาฟูจิให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย แต่มันต้องมีการวางแผนล่วงหน้า ต้องจองห้องพักที่ Base Camp ต้องใช้ตัวล่อ (ลูกผสมระหว่างม้ากับลา) เป็นตัวแบกสัมภาระ เขาฟูจิมี 10 ด่าน รถยนต์ขึ้นได้แค่ด่าน 5 ที่เหลือต้องเดินเท้า และด่านหลังๆ นี้ต้องใช้ไกด์ท้องถิ่นนำทาง
ค่าใช้จ่ายอ่วมครับ เผลอๆ จะแพงกว่าตั๋วเครื่องบินไปญี่ปุ่นเสียอีก เลยนั่งคิด เอาเขาไหนดีวะที่ใกล้หน่อย สะดวกหน่อย หากจักรยานขึ้นได้ด้วยจะสุดยอดมาก
ฝนเริ่มลงหนาเม็ด นักท่องเที่ยวชุดใหม่ทะยอยกันเข้ามา แต่พอทราบข่าวว่าเขาปิดการให้บริการก็ต้องพากันเซ็งกลับไปกันหมด ผมยังคงตระเวณอยู่รอบนอกของเทือกเขา Japan Alps กะจะคอยว่าหากฝนหาย หรืออากาศดี ผมอาจมีลุ้น
ขับรถลงใต้สักพัก พบว่าอากาศดีขึ้น ฝนหายสนิท เกิดสายรุ้งทอดยาว ผมไม่เคยเห็นสายรุ้งแบบเต็มวงมาก่อนเลย ครั้งนี้เห็นโค้งเป็นรูปครึ่งวงกลมเป๊ะ สวยงามเหลือเกิน แถมสายรุ้งยังคงอยู่คู่กับผมไปตลอดเส้นทางกว่า 30 นาที ได้ดูสายรุ้งกันแบบเต็มๆ ตา ใจอยากวกกลับไปที่เขา Tateyama อีกรอบ เผือมีลุ้นว่าจะได้ขึ้นไหม แต่พอจะหาที่กลับรถก็เจอฝนเทลงมาอีกล็อต จากฟ้าสว่างสดใสกลายเป็นมืดครึ้มอีกแล้ว ท้องฟ้าสีเทาหม่นๆ มันช่างเหมือนความรู้สึกในใจผมเสียจริง
นั่งรถไปก็มองเห็นเทือกเขา Japan Alps ไปตลอดทาง น้ำตาผมไหลออกมา คงจะเต็มที่ของมันแล้วกระมัง
แวะทานอาหารกลางวันตอนบ่ายๆ เย็นๆ แบบสิ้นคิดที่ปั๊มน้ำมัน กินราเมงถูกๆ จัดชุดมาให้กับข้าวหน้าหมูทอด ราคา 640 เยน ได้อาหารมา 2 จาน ข้าวรสชาติปานกลาง บะหมี่น้ำราเมงอร่อย แต่ได้หมูชิ้นบางๆ ชิ้นเดียว แถมด้วยลูกชิ้นปลาแผ่นเล็กๆ อีก 1 ชิ้น ส่วนเส้นบะหมีให้เยอะมาก ราว 2 ก้อนเห็นจะได้ ผมกินไม่หมดหรอกครับ เหลือเพียบ
ขับรถลุยฝนไปจนถึงที่พักชื่อ Matsumoto Toyko Inn อันนี้เริ่มจะเข้าตัวเมืองใหญ่เรื่อยๆ แล้วครับ อาหารเย็นทานในร้านเล็กๆ ในซอยข้างโรงแรมนี่แหละ ง่ายดี
พอทานเสร็จผมรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวนัก ตอนอยู่ในร้านอาหารรู้สึกร้อนๆ ผิวหน้าผิวตัวผมแห้งจนลูบแล้วสากอย่างมาก ไม่ได้ติดโลชั่นทาผิวมาด้วย ผมทาแค่ครีมกันแดด พอเจอฝน เจอลม เจอหิมะ แบบชนิดมรสุมเต็มพิกัด ผิวที่ไม่คุ้นเคยกับสภาพสาหัสก็เลยเริ่มออกอาการ
ผมหน้าแดงเหมือนกินเหล้ามา คอมีผื่นขึ้น มึนหัวนิดๆ จับหัวดูรู้สึกตัวลุมๆ ไม่รู้มีไข้หรือไม่ แค่อ่อนเพลีย ไม่รู้เกิดจากอะไร
เดินกลับโรงแรม ไม่มีอะไรทำ ยังไม่หายเศร้า เลยเดินเข้าร้าน 100 เยน ดูของติดมือเล่นๆ ร้านนี้ทุกอย่างในร้านราคา 100 เยนครับ เหมือนร้านไดโซบ้านเราที่ขายทุกชิ้น 60 บาทนั่นแหละ ของเหมือนกันเป๊ะเลย อ้อ..100 เยนนี้เขายังไม่รวมภาษีนะ ตอนจ่ายจริงเราต้องจ่ายชิ้นละ 105 เยน
ได้เดินดูโน่นดูนี่ค่อยสบายตัวขึ้นมาหน่อย แต่ก็ยังคงนอนเร็วตามปกติ เปิดดูทีวีเห็นมีข่าวเกียวกับไข้หวัดอะไรสักอย่างก็ไม่รู้ ระบาดกันอย่างกว้างขวางไปทั่ว คนญี่ปุ่นเขาจะใช้ผ้าปิดปากปิดจมูกกันเป็นประจำอยู่แล้ว ช่วงนี้ก็เลยยิ่งพบเห็นมากเข้าไปใหญ่ โดยเฉพาะผู้คนในตัวเมือง
ข่มตานอนก็ไม่ค่อยจะหลับ ยังคงเศร้าใจกับการที่เสียโอกาสไม่ได้ขึ้นเขา Tateyama ที่ใฝ่ฝัน
27 เมษ 52
วันนี้ออกเดินทางไกลหน่อยครับ ขึ้นภูเขาหิมะไม่ได้ วันนี้เล่นภูเขาไฟมันซะเลย ไม่ใช่ภูเขาไฟธรรมดานะ ลูกนี้ยังคุกรุ่นอยู่เลย เพิ่งระเบิดเดือนล่าสุดก็มกราคมปี 52 เมื่อสามเดือนที่แล้วนี่เอง ฮ่าๆ สะใจจริงโว๊ยยย
เดินทางไปภูเขาไฟชื่ออาซามะ สูงไม่เบาเหมือนกันครับ คือ 2560 เมตร ระยะทางขึ้นเขาก็ไม่ไกลมากนักราวสิบกว่า กม ชันได้ใจดีเหมือนกัน เส้นทางคดเคี้ยวคล้ายทางภาคเหนือของไทย เป็นทางเรียบตลอด ปั่นจักรยานขึ้นได้สบายๆ แค่พอเจอโค้งต้องระวังหน่อย เพราะหากสวนกับรถบัสใหญ่เขาจะเลี้ยวกินเลนเรา หากเจอตอนขึ้นเขาก็ไม่ใช่ปัญหา แต่ถ้าเรากำลังดิ่งลงแล้วเจอนี่สิ
วันนี้แดดอย่างแรงครับ ดูทีวีเขาว่าพายุได้อ่อนกำลังลงแล้ว ใจหนึ่งอยากจะกลับย้อนไปที่เขา Tateyama เพราะยังคาใจกันอยู่ แต่หากจะไปก็ต้องขับรถอีกนานสัก 4-5 ชม เทือกเขา Japan Alps นี้ยิ่งใหญ่มากครับ กินพื้นที่หลายจังหวัดเลย
แถมเราเองก็มาถึงภูเขาไฟลูกนี้แล้วด้วย จึงขอเคลียร์ลูกนี้ก่อน ด้านบนลมแรงอย่างมากครับ ใครใส่หมวกปีกนี้ลมพัดปลิวกระเด็นเลย ผมใส่หมวกแบบผ้าคลุมเลยเดินได้สบาย ไม่ต้องคอยเอามือจับ
ลมพัดแรงจนผิวที่แห้งผากของผมยิ่งแห้งแตกเข้าไปใหญ่ จนรู้สึกคัน บางทีรู้สึกเจ็บ ลมแรงมากๆ จนผมต้องเอาผ้าพันคอมาพันหน้าเสียมิดชิด เหลือโผล่เพียงแค่ลูกตา
ด้านบนของภูเขามีศาลเจ้าแม่กวนอิมด้วย แปลกดี ดูเหมือนเมืองไทยเลย ที่ไปไหนก็มักจะมีพระให้เราไหว้อยู่เสมอๆ
แดดแรงจัดจนแสบตา หากโดนผิวก็แสบผิว ต้นคอผมเริ่มแสบ ไม่รู้ว่าเกิดจากเสียดสีกับผ้าพันคอ หรือเพราะโดนแดด หรือถูกทั้งข้อ ก และ ข
เขาลูกนี้ผมไม่มีข้อมูลมาก่อนเลยครับ มากันสดๆ เลย ไม่รู้ว่าเราสามารถเดินเท้าได้ถึงปากปล่องเลยไหม แต่ตอนนี้ผมแสบผิวหน้า ผิวแขนอย่างมาก เดินไปได้อีกสักพักก็ต้องยอมแพ้เทพแห่งลม วายุ ผมต้องคอยหยุดพักเป็นระยะๆ โชคดีที่เขาทำซุ้มให้นักท่องเที่ยวหลบพายุลมแรงไว้เป็นช่วงๆ
เส้นทางรายรอบทางเดินมีซากกองลาวาที่แห้งแล้ววางอยู่เต็มไปหมด ดูแล้วน่าเกรงขามดีจริงๆ
สักพักหันไปดูยอดเขาที่ปากปล่องก็เห็นมีควันพวยพุ่งออกมา แรกๆ ก็จางๆ หลังๆ นี้ชักเข้มขึ้นเรื่อยๆ ๆ จากควันสีขาวบางๆ กลายเป็นควันสีหน้าทึบ
เอ๊ะ จะงานเข้าอีกหรือเปล่าวะนี่ ทำให้แผนที่จะเดินขึ้นไปสำรวจเส้นทางจนถึงปากปล่องเป็นอันต้องชะงักไป
เดินต่อไปไม่ได้ ก็ขอลงดีกว่า เห็นมีกลุ่มควันยิ่งหนามากขึ้น แต่ยังดีที่พื้นดินไม่สั่นไหว ใกล้ๆ กันมี Outlet ขนาดใหญ่มากๆ ๆ ๆ ผมอยากดูว่าใหญ่แค่ไหน และหากมีร้านค้าพวกของใช้ที่ผมชอบเช่นอุปกรณ์กีฬา หรือจักรยานจะสุดยอดมาก
กลางวันเลยทานอาหารบุฟเฟ่ใน Outlet นั่นแหละ อร่อยดี บรรยากาศดี มีของถูกใจที่ไม่ค่อยได้กินคือ Potato Skin แต่เขาทำไม่เหมือนของฝรั่งนะ คืออบอย่างเดียว ไม่ได้ใส่ชีสใส่เบคอนหรือแต่งเติมอะไรเข้าไปด้วย
มื้อนี้ผมเลยได้ทานสลัดอย่างเป็นทางการมื้อแรกในญี่ปุ่น อาหารญี่ปุ่นปกติจะไม่มีผักท่วมจาน แต่มักจะมีข้าว 1 ถ้วย และอาหารที่ผ่านการปรุงน้อยๆ มาเคียงข้าง การทานอาหารบุฟเฟ่ในประเทศที่เราไม่คุ้นเคยนี้สนุกมากครับ เพราะไม่รู้เลยว่าอะไรเขากินกับอะไรกัน น้ำจิ้มไหนจิ้มอะไร ซอสไหนเป็นอะไรผมยังดูไม่รู้เลย
Outlet นี้ใหญ่จริงครับ ใหญ่จนบอกไม่ถูก หากกะด้วยสายตา ผมคะเนกว่ามันเล็กกว่าสนามหลวงนิดหน่อย สักราว ¾ ของสนามหลวงเห็นจะได้
ดูจากแผนที่แล้วผมตรงดิ่งเข้าร้านของ Adidas ก่อนเพื่อนเลย เห็นรองเท้าถูกใจ เป็นรองเท้าลุยสไตล์ Outdoor ที่ผมชอบ ราคารับได้นะ ราวสองพันกว่าบาท สีก็สวย ขนาดก็มี แต่ผมยังไม่ซื้อ หาเหตุผลให้ตัวเองด้วยว่าเรามีรองเท้าอยู่เยอะมากแล้ว เพียงพอต่อการใช้งานแล้ว
ใจอยากได้เสื้อผ้าหรือของใช้เกี่ยวกับจักรยาน แต่หาไม่เจอสักอย่าง จะมีก็พวกของตกแต่งแบบชาวบ้าน แต่งรถแม่บ้าน แต่ก็ดูน่ารักดีนะ มีอันหนึ่งผมชอบมาก คือตัวหนีบร่มกันแดด เอาร่มมาเสียบไว้ได้เลย ไม่ต้องคอยจับแฮนด์ ราคาพันกว่าบาทแน่ะ (ชิ้นนี้เห็นที่ร้านค้านอกเมือง)
เดินจนถึงเย็นก็นั่งรถไฟชินคันเซนเข้าโตเกียว ระยะทางไกลมากนะ หากขับรถยนต์ก็ต้องมีสัก 4 ชม (รวมรถติดด้วย) ถ้านั่งชินคันเซนจะใช้เวลาแค่ราว 1 ชม เท่านั้น
รถไฟชินคันเซนนี้วิ่งเร็ว 240 กม/ชม ครับ เป็นรองก็แค่ TGV ของฝรั่งเศษเท่านั้นเอง รถไฟคันนี้ดีครับ ที่นั่งเหมือนเครื่องบินเลย แต่กว้างขวางกว่าเยอะ แถมพอขึ้นนั่งเสร็จยังมีพนักงานเข็นของมาขาย แต่งตัวและรถเข็นคล้ายกับอยู่บนเครื่องบิน ผมเห็นแล้วหัวเราะก๊ากเลย
นั่งอยู่นานราวหนึ่งชั่วโมง ระหว่างนั้นเดินสำรวจรถไฟเล่น พบว่ามีช่องเก็บกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่อยู่ระหว่างตู้รถไฟ ช่องนี้ใหญ่เพียงพอที่จะใส่จักรยานพับได้สบายๆ
ไม่ต้องบอกก็รู้ ว่าผมคิดอะไรในใจ
ผมนั่งจนถึงโตเกียว จากนั้นก็เปลี่ยนรถไฟเป็นสายเข้าเมือง ลงที่สถานีชินจุกุ พอเท้าเหยียบโตเกียวปุ๊บ ผมแทบอยากกลับไปยังจุดเริ่มต้นแรกของผมที่เหยียบครั้งแรก นั้นคือเมือง Takayama หรือไม่ก็เมือง Gifu ที่เป็นป่า เป็นธรรมชาติ มีพวกบ่อน้ำแร่ ผมชอบบรรยากาศแบบนั้นมากกว่าแบบในเมืองอย่างโตเกียว
ไหนๆ ก็เข้าเมืองแล้ว ก็ขอเดินเล่นชมวิถีคนเมืองของเขาเสียหน่อย
เดินไปพักเดียวก็รู้สึกแปลกๆ ครับ ผมไม่ชอบวิถีชีวิตแบบนี้ ผมชอบความเงียบสงบ ชอบความเรียบง่าย ชอบธรรมชาติ ชีวิตในโตเกียวตรงข้ามกับชีวิตของผมโดยสิ้นเชิง
ขากลับเข้าโรงแรม ผมเห็นในแผนที่เขาเขียนว่า Pleasure Zone อยากรู้ว่าสนุกสนานแค่ไหนเลยลองเดินผ่านแวะเข้าไปดู ปรากฏว่าเป็นแหล่งอบายมุขเหมือนพวกย่านพัฒนพงษ์ของเราน่ะครับ หน้าร้านก็จะมี่คนเชียร์แขกคอยต้อนนักเที่ยว ผมไม่สนใจการเที่ยวลักษณะนี้ เลยก้มหน้าเดินผ่านอย่างเร็ว คนต้อนแขกส่วนใหญ่ก็จะไม่สนใจจะเรียกผม
แต่มีคนหนึง เป็นคนอัฟริกันผิวดำ เดินเข้ามาคุยภาษาญี่ปุ่นกับผม ผมไม่โต้ตอบ เขาก็เดินตามและพูดคุยไม่ยอมหยุด ผมเดินเร็วขึ้นเขาก็เดินเร็วตาม บางช่วงเดินมาเบียดชนผม ผมไม่ชอบถูกกดดันครับ แต่ผมจะเป็นคนกดดันสิ่งรอบข้างแทน
Hey, Black.. leave me alone OK? ผมพูดน้ำเสี่ยงขึงขัง ห้วนๆ ไม่สบตา ไม่มองหน้า ผมยังก้มหน้ามองพื้นอยู่เหมือนเดิม
ได้ผล เขาไม่ตามผมมาอีกแล้ว
ตอนพูดประโยคนั้น ผมกำมือแน่นแต่ซุกไว้ในกระเป๋าเสื้อสเวตเตอร์
ผมเคยผ่านเหตุการณ์คล้ายกันนี้ที่โซล เกาหลีใต้ครับ ตอนนั้นเดินผ่านซอกตึกเล็กๆ จะกลับห้องพัก เจอพวกจิ๊กโก๋กินเบียร์นั่งกันเต็มไปหมด แม้ไม่อยากเดินผ่าน แต่ก็ไม่ได้ถอยหลังกลับ วัดใจเดินผ่านไป หากไม่มีใครโดนตัวผม ก็คงไม่มีเรื่องอะไร
ตอนนั้นในมือกำลูกกุญแจให้โผล่ออกมาเตรียมไว้แล้ว ดีที่ไม่ต้องใช้มัน เพราะไม่รู้เหมือนกันว่าผลจะออกมาเป็นเช่นไร