racing-club.net

Bike Forum => my bike diary / my life diary => Topic started by: O'Pern on January 02, 2010, 12:25:15 pm

Title: มค 53 31 บางปะกง กับ TCHA
Post by: O'Pern on January 02, 2010, 12:25:15 pm
1 มค 53
   สวัสดีปีใหม่ครับ สวัสดีใครก็ไม่รู้ สวัสดีคนอ่านมั้ง ดูจากตัวเลขจำนวนที่คลิกกันเข้ามาอ่าน เห็นว่ามีคนสนใจติดตามบ้างพอควร ไม่ว่าจะเป็นท่านที่เสริ์ชมาเจอ หรือรู้จักผมเป็นการส่วนตัว หรือติดตามมาจากเวปจักรยาน หรือจะเป็นใครก็สุดแท้แต่ หากคุณเข้ามาเวปของผม คุณคือเพื่อนผม – ผมคิดแบบนั้น
   “ขอให้คุณจงมีความสุขและสุขภาพแข็งแรงครับ”
   ผมอวยพรเป็นอยู่ประโยคเดียว และอวยพรแบบนี้กับทุกๆ คน
   เพราะความสุขและสุขภาพแข็งแรงมันคือความเป็นที่สุดที่ทุกคนโหยหาครับ ตอนเด็กๆ เราอยากมีของโน่นนี่ อยากมีรถ อยากมีมอเตอร์ไซค์ ฯลฯ พอโตขึ้นมาหน่อยก็อยากได้ของใหญ่ขึ้นๆ ไปเรื่อยๆ อยากมีรถสปอร์ทหรูๆ อยากไปเที่ยวต่างประเทศ อยากมีบ้าน อยากมีคอนโด อยากมีเรือ อยากมีบ้านตากอากาศ ฯลฯ แล้วพอเริ่มแก่ ทีนี้แหละครับ ไอ้ความอยากที่เกิดมาทั้งหมดมันเริ่มจะหดหายไป ช่วงนี้อยากอยู่อย่างเดียวคืออยากมีความสุขและอยากมีสุขภาพแข็งแรง
   ต่อให้มีเงินล้นฟ้า แต่มีโรคภัยรุมล้อม ใช้ชีวิตเวียนเข้าออกโรงพยาบาล ตอนวัยหนุ่มเก็บเงินเดือนละหมื่น แต่พอตอนนี้ จ่ายหมอวันละหมื่นก็มีให้เห็นออกบ่อย
ความอยากของคนเราไม่มีวันสิ้นสุดหรอกครับ วิธีที่ถูกคือเราควรจัดการกับความอยากเหล่านั้นต่างหาก
   ผมเองก็เคยอยากได้โน่นอยากได้นี่เยอะแยะ แต่ก็แค่พิพม์บอกเล่า เช่น อยากได้โทรศัพท์ (เพราะของเดิมมันพัง) อยากได้ GPS (เอามาเล่น) อยากได้คอมพิวเตอร์ของ Apple (เบื่อไวรัสใน PC) อยากได้รถสปอร์ทเปิดประทุน (ขี่โก้ๆ เฉยๆ )
   แต่ก็แค่พิพม์เล่าไปถึงเรื่องราวในใจที่ผ่านมาผ่านไปในแต่ละวัน หากให้ควักเงินจ่ายจริงนี่ไม่เอาหรอกนะ มันเป็นของไร้ค่าทั้งนั้นเลย ทางออกของผมคือศึกษามันไปเรื่อยๆ ครับ อยากได้อะไรก็หาข้อมูลมันเยอะๆ จุดนี้ทำให้บางคนยิ่งอยากได้เข้าไปใหญ่ แต่กับผม มันยิ่งมองเห็นข้อเสียต่างๆ นานา เช่นโทรศัพท์ใหม่ๆ มันฉลาดก็จริง แต่มันแพงเหลือเกิน เดี๋ยวอีกสักเดือนก็มีรุ่นใหม่ที่เจ๋งกว่าออกมาแล้ว หรืออย่าง GPS นี่แบตหมดไว หากจะเดินทางด้วยจักรยานของเป็นแผนที่กระดาษเจ๋งๆ จะดีกว่า เบากว่าอีกด้วย เปิดดูตอนไหนก็สะดวก ส่วนเครื่องคอมพิวเตอร์ของ Apple นี้ออกแนวแฟชั่น สวย หรู เท่ แพงสัตว์ แพงทั้งตัวเครื่อง แพงทั้งอุปกรณ์เสริม หาซอฟแวร์ฟรีก็ยาก หรือรถสปอร์ทเปิดประทุนก็งั้นๆ แหละวะ ปีหน้าก็มีรุ่นใหม่สวยกว่าออกมาแล้ว ประหยัดน้ำมันกว่าเดิมอีกด้วย ฯลฯ
   คือคิดแง่ลบมันซะ มองภาพของแง่ลบให้มันเด่นชัดกว่าแง่บวก ก็เท่านั้นเอง
   หากเป็นเรื่องจักรยานก็เช่น อยากได้รถ Surly จังเลย เราก็มองหาข้อเสียของมันซะ แต่จักรยานมันเป็นของใช้งาน ไม่ได้ฉาบฉวยเหมือนพวกของที่ผมยกตัวอย่าง งานนี้ก็เลยต้องเทียบกับรถคันเก่าที่เราใช้อยู่คือ KHS HT ปี 94
   เฮ้ย รถเราไม่ใช่เล่นๆ นะครับ ถึงจะเก่าแต่ก็เป็น Cromoly เกรดดีจาก USA รีดท่อแบบ Double Butt แถม Heat Treat อีกด้วย ชื่อเต็มของมันคือ OX Ultra II รุ่นต่ำกว่านี้จะเป็น OX Ultra I ต่ำลงไปอีกจะเป็น OX ของผมตัวท๊อปครับ (อวด) 
   เห็นไหม แค่วัสดุทำเฟรมก็เจ๋งกว่าของ Surly เยอะแล้ว ของเขาเป็น Cromoly ไต้หวัน ยี่ห้ออะไรก็ไม่รู้ โนเนมแน่ๆ เพราะ Cromoly เกรดดีๆ ในโลกนี้มีอยู่ 3 ยี่ห้อครับ คือ Easton / Columbus / Reynolds ซึ่งถ้า Surly ใช้ท่อ Cromoly ของ 3 ยี่ห้อนี้จริง ก็ต้องประกาศและโฆษณาจุดนี้แน่ๆ (แต่เขาไม่ได้ทำ)
   เรื่องสัดส่วนของรถของเขาดีจริงไม่เถียง แต่ของ KHS ที่ผมใช้อยู่มันก็ไม่ถึงกับแย่นี่หว่า เรามีรองเท้าใส่สบายๆ อยู่แล้ว มีคนให้มาอีกคู่ บอกว่าใส่ดีกว่าเดิมนะ ลองดูสิ เราลองแล้วก็งั้นๆ แหละครับ แต่ถ้าของเก่าเราห่วยก็ว่าไปอย่าง
   จุดเดียวที่ผมชอบในรถ Surly ก็คือ เฟรมขนาดเล็กเขาจะออกแบบให้ใส่กับล้อ 26 นิ้ว จุดนี้แหละครับที่ซื้อใจกันได้เลย เพราะอย่าง Trek 520 ที่ดังๆ ก็ยังใช้ล้อขนาด 700 กับเฟรมทุกตัว (คงไม่คิดว่าจะมีคนตัวเล็กขี่รถทัวริ่งกระมัง)
   
ผมเห็นภรรยาทำงานหนักมาก วันนี้เลยถามเธอว่าอยากรวยไหม เธอหันมามองหน้าแล้วส่ายหัว และพูดต่อว่า อยากให้ลูกมีอนาคตดีๆ อยากให้ลูกเรียนสูงๆ อยากให้ครอบครัวมีความเป็นอยู่ที่ดี
   ได้ยินแล้วปลื้มใจจัง ภรรยาผมขยันทำงานมากๆ ครับ เล่าให้เพื่อนฟังตอนนั่งคุยกันมีแต่คนอิจฉา เล่นเอาผมเองรู้สึกภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง
   เออ ทำไมเราต้องฉลองปีใหม่กันด้วยการ Count Down ด้วยล่ะครับ มันมีดี หรือพิเศษตรงไหน อย่างไรหรือ นั่งนึกแล้วยังมองไม่เห็นความสำคัญอะไรสักนิด มันเพิ่งมีการ Count Down มาแค่ไม่กี่ปีมานี้เองนะ สมัยผมเด็กๆ ก็มักจะจัดงานกินเลี้ยงกันเองที่บ้าน ถ้าไม่ใช่บ้านผม ก็จะเป็นบ้านเพื่อน สลับหมุนเวียนกันไป แล้วแต่ใครจะพร้อมหรือสะดวก
   นั่งกินกันไป มักจะเป็นอาหาร ขนม น้ำอัดลม พอถึงเวลา 0000 ก็จะชนแก้วกัน ก็น้ำอัดลมนั่นแหละ พอโตหน่อยก็อาจเป็นเหล้า เบียร์ ไวน์ ฯลฯ แต่ก็ยังไม่เห็นประโยชน์ของการฉลองแบบ Count Down
   ไอ้ Count Down นี้มันประเภณีของฝรั่งเขาครับ อยากจะเลียนแบบเขาก็ตามใจ ทำกันไป ผมเฉยๆ ผมชอบอยู่ใกล้ชิดกับเพื่อน กับครอบครัวมากกว่า เอ๊ะ หรือคนที่ไป Count Down นั่นเขาเป็นพวกโดดเดี่ยวก็เป็นไปได้นะ ถึงได้โหยหาแสงสีขนาดนั้น
   ก็แล้วแต่จะคิดกันไปครับ ความคิดของผมมันไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านเขาอยู่แล้ว ผมจะมองไปยังแง่มุมอื่น ถ้าจะให้ฉลองปีใหม่ในความคิดของผมน่ะหรือ ผมอยากให้จัดกันในครอบครัว กับเพื่อนเหมือนตอนผมเด็กๆ นั่นแหละครับ เอาสายรุ้งมาโยงจัดกันตั้งแต่บ่าย ช่วยกันปีน ช่วยกันติด มีการจับฉลากด้วย ต่างคนต่างเตรียมของมา ไม่ต้องแพง จับเอาสนุกๆ เอาอาหาร เอาขนมมาช่วยกันกิน จัดที่นั่งสบายๆ
ผมว่าสนุกกว่าการออกไปนอกบ้าน ยืนในกลุ่มคนไม่รู้จัก แล้วก็ร้องตะโกนเย้ๆ ๆๆ พอเลิกงานแล้วไงต่อ ไม่มีความรู้สึกดีๆ ต่อคนในงานนั้นเลยแม้แต่น้อย โอเค มันอาจจะสนุกจริง แต่มันฉาบฉวยครับ ลองคิดให้ลึกๆ ครับ ว่าในใจคุณต้องการแค่เพียงความเฮฮานั้นหรอกหรือ
   “เขาออกไปเหล่หญิงกันพี่” รุ่นน้องผมตอบกลับมา ตอนผมถามถึงเรื่องงาน Count Down
   “หญิงเขาก็ออกไปให้หนุ่มเหล่กันนั่นแหละ” เขาพูดเสริมขึ้นมาอีก
   อืมม โลกมันเปลี่ยนไปแล้วสินะ
Title: Re: มค 53
Post by: O'Pern on January 03, 2010, 02:44:30 pm
2 มค 53
   เช้าวันนี้พาลูกและภรรยาไปตลาดน้ำบางน้ำผึ้งอีกแล้ว วันหยุดอย่างนี้ผมว่าน่าจะคนน้อยนะ แต่กลายเป็นว่าคนเยอะมากแต่เช้า คนกรุงเทพฯที่ไม่ได้ไปเที่ยวไหนก็คงมาเที่ยวที่ตลาดน้ำกันนี่แหละ
   วันนี้เห็นมีชาวต่างชาติ (ฝรั่ง) มากันเยอะครับ มีคนหนึ่งเขาสอบถามคนขายเกียวกับขนมว่าทำจากอะไร ใส่อะไรบ้าง คนขายฟังไม่เข้าใจ ภรรยาเรียกให้ผมเข้าไปช่วย แต่บังเอิญมีผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ ช่วยไปก่อนแล้ว
   แล้วก็ปิ๊งไอเดีย ตลาดนี้น่าจะมี Turist Information Center นะ ไม่ใช่แค่เพียงบริการชาวต่างชาติหรอก คนไทยอย่างผมนี่แหละที่อยากเที่ยวย่านนี้ แต่ก็ไม่รู้ว่ามีอะไรน่าสนใจให้เที่ยวชมอีก วันหยุดอย่างนี้ว่างๆ อีกด้วย
   น่าจะมีซุ้มสัก 1-2 ซุ้มตรงทางเข้า และกลางตลาด เป็นจุดศูนย์รวมของข้อมูลการท่องเที่ยวในย่านนี้ มีของดีๆ เยอะนะ มีพิพิทธภัณฑ์ปลากัด (ปลาเป็นๆ นะ) มีชมการทำธูปหอมสมุนไพร มีดูหิ่งห้อย (กลางคืน) มีสวนศรีนครเขื่อนขันธ์ (อยู่ในป่าชัดๆ ) ยังมีท่าเรือข้ามไปยังฝั่งบางนา และคลองเตยอีกด้วย สามารถต่อยอดให้คนที่อยู่ฝั่งโน่นขี่จักรยานมาเที่ยวเล่นได้อย่างสบายๆ เห็นไหมๆ ทำดีๆ น่ะ เงินทังนั้นนะ จะบอกให้
   ข้อมูลก็ต้องมีทั้งภาษาไทยและอังกฤษ (ภาษากลาง) ทำเป็นแผนที่แผ่นพับแจกก็ได้ ด้านหลังแผนที่ก็ขายโฆษณามันซะ เห็นไหม ได้เงินอีกแล้ว ทำแจกก็ยังรวยได้ ร้านค้าต่างๆ อย่าไปหลอกไปโกงนักท่องเที่ยวเขาก็แล้วกัน
   
   ลูกผมบ่นอยากได้จักรยานใหม่ เขาว่าคันเก่าเล็กไป ขี่ไม่ถนัด ผมมองหารถ MTB ล้อ 24 ให้เขา มาเจอรถของ Kona Shred 2-4 ผมว่าเข้าท่าดี จานหน้ามี 2 ใบ หลังมี 7 เฟือง แปลกที่ให้เบรกแบบดิสค์เคเบิ้ลมา ใจผมชอบเบรกแบบ V มากกว่า
ราคาในเวปเขาบอก 11900
   อีกใจอยากลองหารถ Trial ล้อ 24 มาให้ลูกขี่ ไม่รู้จะขี่ทางตรงยาวๆ ได้ดีไหม แต่มองรถแบบนี้เพราะเผื่อลูกไม่ขี่ ผมจะได้เอามาขี่เล่นเอง ฮ่าๆ อันนี้ออกแนวเห็นแก่ตัวนิดๆ
   ตรวจเช็คลมยางรถ พบว่ารถคัน KHS HT ล้อหลังที่ใช้ยางสลิคลมยางมันอ่อนลงมากผิดปกติ จัดการถอดล้อหลังทั้งล้อออกมาแช่น้ำดู เห็นมีฟองอากาศขนาดจิ๋วลอดออกมาทางวาล์วลม (อาการเหมือนครั้งก่อนตอนหลังไปลุยโคลนลูกรังเป๊ะเลย)
ปกติตอนผมจะถอดล้อ มักจะจับจักรยานหงายท้องขึ้นครับ แต่วันนี้ไม่ต้องแล้ว ผมมีขาตั้งกลางแบบขาคู่ เวิร์คมากๆ โซ่ก็ไม่ห้อยเกะกะเลียดพื่น
   การที่เราเห็นมีลมออกมาจากช่องวาล์วลม นั้น ไม่ได้แปลว่าโคนของวาล์วลมจะรั่วหรือฉีกขาดนะ ยางในอาจรั่วจากจุดใกล้เคียงแต่มันไม่มีช่องให้อากาศออกไง มันเลยมาดันออกตรงโคนวาล์วลม
   อาการแบบนี้ผมเคยเจอเมื่อเดือนก่อน ครั้งที่ผมเล่าว่าไปลุยโคลนลูกรังมา อย่างเลอะเลย แม้จะล้างรถแล้ว แต่ยังมีโคลนจำนวนหนึ่งหลุดลอดเข้ามาอยู่ในยาง นานวันเข้ามันก็แห้งและจับตัวกันเป็นก้อนแข็ง ไอ้ก้อนนี้แหละครับที่มันทิ้มยางในจนรั่ว
   “ว้า อาการเก่าอีกแล้ว” ผมคิดในใจ แล้วก็จัดแจงถอดยางออกจากวงล้อ   จับยางในออกมาสูบลมสักนิดแล้วนำไปแช่น้ำเพื่อหารูรั่ว แต่แช่อยู่นานก็ไม่เจอครับ แปลกใจมากๆ อาการแบบนี้ไม่เคยเจอเลย ลองสูบลมเพิ่มเข้าไปอีกจนยางในพองโต แช่น้ำดูอย่างละเอียดอีกครั้งก็ไม่พบรูรั่ว แช่อยู่นานจนมือเปื่อยนั่นแหละ
   หาไม่เจอก็ช่างมันครับ ประกอบยางในเข้าที่ พร้อมกับตรวจเช็ค Rim Tape ที่ผมแสนจะสงสัยว่ามันมีอายุการใช้งานไหม รถผมราว 15 ปี ยังไม่เคยเปลียน Rim Tape เลย แต่มันก็ยังไม่ได้เสียอะไรหรอกนะ มันยังคงปิดหัวซี่ลวดได้อย่างเรียบร้อย
   ตรวจเช็คด้านในของยางนอกด้วยครับ ยางสลิคผมมีรอยกรีดเล็กๆ บางๆ อยู่หลายจุด ก็ตั้งแต่กลับมาจากวังน้ำเขียวนั่นแหละ ถนนโหดดีเหลือเกิน หินคมๆ เต็มไปหมด ด้วยความที่อยากลองของ ก็เลยใช้ยางสลิค ก็ค่อนข้างพอใจนะว่า หากตอนผมไปทางไกลคนเดียวก็อาจจะใช้ยางเซ็ทติ้งชุดนี้ออกลุย
   อาการเจ็บหลังยังไม่หายครับ คงจะอีกนาน จะนานแค่ไหนก็ไม่รู้ พ้นเทศกาลปีใหม่แล้ว ดีใจที่จะได้ไม่ต้องมีขนมเค๊กมายั่วใจอีก น้ำหนักของเดิมยังไม่ค่อยจะลง ดันมีขนมมาทำให้เพิ่มอีก แถมเจ็บหลังออกกำลังกายอะไรก็ไม่ได้มาก
   โธ่…ไอ้อ้วนเอ๊ย
Title: Re: มค 53
Post by: O'Pern on January 04, 2010, 03:21:08 pm
3 มค 53
   นัดกับภรรยาและลูกเอาไว้ว่า ตื่นเช้ามาจะขี่จักรยานเล่นกัน ผมเตรียมรถ KHS F20W เอาไว้ให้ภรรยา ส่วนลูกเขาชอบคันเล็ก เป็นรถ JZ88 ผมใช้รถคันใหญ่สุด คือ KHS HT
   เอาเข้าจริงมีผมตื่นมาขี่อยู่คนเดียว ขี่เล่นในซอยอยู่นาน รอสองคนที่เหลือ ไม่เห็นจะออมาสักที จนเริ่มสาย แดดชักจะแรง คงไม่มาแล้วแน่ๆ เลย
   นี่ถ้าบอกกันก่อน ผมจะไปปั่นตรงชายทะเลแถวบ้าน เพราะตอนที่ผมปั่นรอเขาอยู่ในซอย เห็นมีพวกจักรยานขี่ผ่านหน้าปากซอยผมไปกันทีละคันสองคัน เห็นแล้วอยากไปกับพวกเขาบ้าง
   อาการหลังเจ็บของผมก็ดีขึ้น เอี้ยวตัวได้มากขึ้น แต่ยังยกของอะไรไม่ได้ ก็ยังดีวะที่มันเป็นไปในทางบวก
   อาหารเช้าวันนี้เป็นโจ๊ก แม่ผมไปซื้อมาให้จากตลาด วันนี้ลูกเล่นแต่เกมในคอมพิวเตอร์ตลอดเลย (เป็นเพราะได้เกมแผ่นใหม่ ทุกทีเล่นแต่เกมมาตรฐานในเครื่อง) ผมเองก็เดินไปเดินมาในบ้าน ไม่มีอะไรทำ เลยหอบเอาถังและไม้ถูพื้นมาถูบ้านเล่น (บ้านส่วนตัวอีกหลังที่ปลูกในที่ดินเดียวกัน) ห้องนี้ไม่ค่อยได้ถูครับ เพราะไม่มีใครอาศัยอยู่ ผมใช้เป็นห้องเก็บจักรยานแทน ใจอยากเอามอเตอร์ไซค์เก่าอีกคันมาจอดด้วย แต่ไอ้คันนั้นน้ำมันเครื่องมันชอบหยด กลัวห้องจะมีกลิ่นและสกปรกจากเขม่า
   ถูห้องอยู่ราว 1 ชม เสร็จแล้วไล่ปัดกวาดฝุ่นผงที่อยู่ตามซอกหน้าต่าง และเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า เราควรปัดฝุ่นก่อนแล้วจึงค่อยถูพื้นทีหลัง โง่จริงๆ
   กลางวันไปทานที่ร้าน Sizzler เจริญนคร ภรรยาเขาอยากทาน ผมเลยตามใจ ลูกก็ไปด้วย กลับมาบ้านแน่นพุงกันหมด
เย็นได้ปั่นจักรยานเล่นด้วยกันสามคน พ่อ แม่ ลูก แต่ปั่นได้แค่สัก 20 นาทีเอง ลูกบอกอยากเล่นตีแบดฯ เสียแล้ว
อาหารมื้อเย็นเป็นร้านสุกี้ MK ผมกินน้อย เพราะอิ่มตั้งแต่กลางวัน แต่ลูกสิกินเยอะ กลัวว่าเขาจะอ้วนเหมือนกัน
เพราะนี่ใกล้จะอวบระยะสุดท้ายแล้ว

4 มค 52
   ตกลงนี้มันหมดหนาวแล้วใช่ไหม ผมเคยทำนาย (เดา) ว่าปีนี้จะหนาวนาน ไหงเป็นแบบนี้ไปได้เล่า ปัดโธ่
   เอารถ KHS HT ออกปั่นแถวบ้าน ขี่แค่ 30 นาที รีบกลับมาบ้าน ต้องรีบไปส่งลูกเข้าเรียน วันนี้รถติดชัวร์ๆ ผมมีธุระกลางเมืองเสียด้วย คงจะขี่จักรยานเข้าไปดีกว่า
   ออกจากบ้านตอนสายๆ แต่ออกไปแล้วแปลกใจ เอ๊ะ ทำไมรถไม่เห็นติดเท่าไหร่เลย ที่ติดน่ะคือบนทางด่วน ติดหนัก ติดนานเลยล่ะ บ้านผมอยู่หน้าทางขึ้นลงทางด่วนพอดี เห็นความเป็นมาเป็นไปของมันตลอดเวลา
   กลับเข้ามาบ้านตอนบ่าย อากาศร้อนกำลังดี แดดไม่แรงจัด รถไม่ติด เลยไม่ต้องดมฝุ่นควันมากนัก ไม่ได้ออกปั่นกลางวันมานานหลายเดือน ชักสนุกดีแฮะ ติดที่มันร้อนอย่างเดียว
   ผมดูทีวีตอนกลางวัน เป็นรายการเกี่ยวกับช่วยเหลือประชาชน เขาไปถ่ายที่อยุธยา หน้าชุมชนแห่งหนึ่ง มีคนข้ามถนนมาก รถยนต์ก็ผ่านมาก เกิดอุบัติเหตุชนคนตายมาแล้วหลายครั้ง
   กล้องก็ถ่ายแต่ชาวบ้านที่ต่างแสดงความเห็นไปในแนวทางเดียวกันว่าต้องการสะพานลอย ๆ ๆ ๆๆ ๆ ๆ
   แล้วเคยเห็นกันไหมครับ กับคนที่ข้ามถนนใต้สะพานลอย มีเยอะนะครับ แถวบ้านผมฝั่งธน ถนนเจริญนครนี้ มีสะพานลอยหลายอัน แต่ไม่ค่อยจะมีคนข้ามสักเท่าไหร่ ลองมาดูเช้าๆ เย็นๆ ครับ เขาใช้วิ่งลอดใต้สะพานกันแทน
   จุดไฮไลท์ที่ใครข้ามสะพานลอยก็โครตช้า ก็คือหน้าวัดเศวตฯ ไม่ได้วิ่งกันทีละคน เขาใช้เดินกันเป็นกลุ่ม
   มาดูทางแก้ของผม
   ผมแก้ที่รถยนต์ครับ ไม่ต้องทำสะพานลอยให้มันเปลืองเงิน แถมสร้างโดนหน้าบ้านใครก็โครตจะซวย ฮวงจุ้ยพังล้มไม่เป็นท่า ถึงขั้นต้องขยับขยายบ้านใหม่กันเลย
   รถยนต์ต้องหยุดให้คนข้ามทางม้าลายครับ ที่พวกมันไม่ยอมหยุดกันก็เพราะมันมากันเร็ว แล้วมาอ้างว่าลูกติดพัน
   กฏหมายกำหนดความเร็วในเขตชุมชนเราก็มีอยู่แล้ว แต่ตำรวจมันไม่จับ เพราะจับยาก สู้ไปไถมอเตอร์ไซค์ดีกว่า ง่ายกว่าเยอะ มันวิ่งมาหาเราเอง แค่บอกว่ามันวิ่งไม่ชิดซ้าย แค่นี้มันก็เถียงไม่ออก
   ต้องให้รถยนต์เขาขับกันช้าๆ ครับ พอขับช้าก็จะเบรกกันได้ง่าย ผลต่อเนื่องคือฝุ่นควันน้อย ไม่มีรถเมล์มาเหยียบขยี้หัวผู้โดยสาร ไม่มีมอเตอร์ไซค์เสียงดัง ลดมลภาวะทางเสียงไปได้เยอะ และอีกมาก ลองนึกกันดูว่ารถในเมืองขับกันแค่ 40 แล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
   ผมมองและคิดไม่เหมือนคนอื่นเขา เป็นแบบนี้มาแต่ไหน แต่ไร คนอื่นมองผมว่าเป็นคนขวางโลก พวกผิดปกติ แต่ก็ช่าง ผมไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน มันแค่คิดไปคนละมุม คนละด้าน แต่สุดท้ายก็ไปที่จุดหมายเดียวกัน
Title: Re: มค 53
Post by: ToppyRacingClub on January 07, 2010, 08:59:44 am
ขอให้พี่โอเปิ้ลมีความสุขและสุขภาพแข็งแรงเช่นกันนะครับ

ผมติดตามผลงานของพี่มาเกือบปีแล้ว (ไม่ค่อยได้ตอบหรอกครับ อ่านอย่างเดียว) ได้ข้อคิดอะไรหลายๆอย่างเยอะเลยครับ
ขอบคุณครับ จาก พี่โอเปิ้ลแฟนคลับ (ยิ้มแฉ่ง)
:yociexp72:
Title: Re: มค 53
Post by: O'Pern on January 07, 2010, 01:22:38 pm
5 มค 53
   ออกขี่จักรยานแต่เช้า ปั่นไปราว 1 ชม ยังไม่หนำใจ ตอนสายๆ ออกปั่นอีกรอบ แต่ที้นี้เจอฝนครับ แม้จะไม่หนัก แต่ไม่ค่อยคุ้น รถผมไม่มีบังโคลน เลยเลอะเทอะเต็มไปหมด ดีที่สวมผ้าคลุมหน้าแบบไอ้โม่งไว้ ไม่งั้นต้องกินน้ำจากพื้นถนนแน่ๆ
   วันนี้เอาจักรยานออกปั่นไปธุระข้างนอก ทั้งๆ ที่ไม่อยาเอาจักรยานออก แต่เพราะรถผมแอร์เสีย เลยเอาไปซ่อม ไม่ไกลหรอก ช่างอยู่หน้าปากซอยบ้านผมเอง 
   กลางวันมีเพื่อนสมัยนักเรียนมาหาที่บ้าน เขาผ่านมาแถวนี้ลองโทรมาหาผม ผมอยู่บ้าน ก็เลยได้พบกัน ดูเขาตกใจที่เห็นผมขี่จักรยาน ก็ไม่แปลกอะไรหรอก คนส่วนใหญ่เขาไม่ขี่กันทรหดเหมือนพวกคนเล่นจักรยานนี่นา
   เพื่อนเก่าๆ มักจะคุยกันเรื่องอดีตครับ สงสัยจะเริ่มแก่ ไม่มันก็ผม หรืออาจถูกทั้งข้อ ก และ ข ก็เป็นได้ ด
   มีช่วงหนึ่งคุยกันเรื่องการเงิน เรื่องอนาคต เพื่อนผมเป็นคนประหยัด แต่ก็มีเที่ยวบ้างตามเทศกาล ส่วนผมประหยัด เทียวน้อย (ตอนไปต่างประเทศมักไปเรื่องงาน) เขาดูผมว่าจะมีเงินเก็บมาก เลยแนะนำเขาไปเล็กๆ น้อยๆ ทำนองว่า เก็บเงินน่ะดี แต่ถ้าใช้เงินให้ถูกต้องจะเป็นการดีกว่า การใช้เงินก็มีศิลปะของมันนะครับ บางครั้งเราก็ต้องมีให้รางวัลชีวิตบ้าง ทำงานมาหนักๆ ก็หาซื้อของให้ตัวเองภาคภูมิใจบ้าง สมัยก่อนผมเล่นรถยนต์ ก็ซื้อรถยนต์มันนี่ล่ะ ช่วงหลังเล่นจักรยานแทน แต่ไม่ได้ซื้อจักรยานเป็นรางวัลชีวิต ผมซื้อคอนโดแทน
   ผมแนะนำเรื่องการใช้เงินแก่เพื่อน และให้เขานึกภาพตอนหนุ่มๆ เก็บเงินเดือนละ 1 หมื่นบาท ปีหนึ่งได้ 120,000 บาท ให้เก็บอีก 10 ปี เพิ่งจะได้ 1.2 ล้านบาทเอง ให้เก็บจนถึงเกษียณอายุคือ 60 ปี สมมุติว่าเจ๋ง ทำงานตั้งแต่อายุ 20 ปี คือเก็บเงินถึง 40 ปี ก็เพิ่งจะได้แค่ 4.8 ล้านบาทเท่านั้นเอง อันนี้อยู่บนพื้นฐานว่า ไม่เจ็บป่วย ไม่ล้ม ยังทำงานได้ดี ไม่ถูกจ้างให้ออกยังคงต้องประหยัด ต้องกินข้าวถูกๆ ต้องอดเที่ยว ต้องส่งค่าเทอมลูก ยังไม่นับค่าผ่อนรถ ผ่อนบ้าน (ถ้ามี)
   เฮ้ยย ชีวิตมันต้องรันทดอย่างนี้เชียวหรือ
   ผมเชื่อในทฤษฎีที่ผมเขียนขึ้นเองนั่นคือ ตัวเราเองเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตครับ ไม่อยากเป็นมนุษย์เงินเดือน ก็ต้องวิ่งออกจากวังวนเดิมๆ ไม่อยากเป็นเจ้าของกิจการก็ต้องวิ่งหนีมันออกมา ไม่อยากทำอะไร ไม่ชอบอะไรก็รีบถอยออกมาครับ อย่าไปทน และอย่าไปบ่นอีกด้วย เพราะคุณเป็นคนเลือกทางเดินชีวิตตัวเอง
   เคยเห็นคนตั้งชื่อตัวเองใน msn ทำนองนี้ไหมครับ เช่น
เบื่อว่ะ งานแม่งเยอะฉิบเป๋ง
อะไรๆ ก็กู
ทำงานเยอะ เสือกได้เงินน้อย
นี่ถ้าเป็นเพื่อนสนิทกันมาแนวนี้จะโดนผมด่าสวนกลับไปว่า
แล้วมึงไปทนทำไมเล่า เบื่อนักก็ลาออกสิ ไปหางานอื่นทำดู ฯลฯ
รู้สาเหตุไหมครับว่าทำไมไม่ลาออก ก็เพราะกลัวไปทำงานที่อื่นไม่ได้ คือตัวเองรู้ว่าตัวเองก็ไม่ได้ดีเด่นอะไรนักเลยสักนิด ลาออกไปก็เหมือนลอยคอในทะเล สู้เกาะซุงเก่าๆ ผุๆ แบบนี้ดูจะมีทางรอดมากกว่า
จะบอกอะไรให้ว่า คนที่เขาเจ๋งๆ ไม่มี่ใครเขาบ่นว่างานเยอะกันหรอกครับ การที่ได้รับมอบหมายให้ทำงานเยอะกว่าเพื่อน นั่นคือคุณเป็นคนมีฝีมือ ฉะนั้น โปรดจงใช้โอกาสนี้แสดงฝีมือซะ
ผมจะเน้นไปกับเรื่องวิธีการใช้เงินมากกว่าวิธีเก็บเงินครับ ไอ้เก็บน่ะง่าย แค่แบ่งบางส่วนมาออมไว้ก็จบ แต่ไอ้การใช้เงินนี่สิ ผมว่ามันคือศิลปะ (ใช้ให้เกิดประโยชน์นะ ไม่ได้ใช้แบบมั่วๆ ไอ้แบบนั้นใครๆ ก็ทำเป็นวะ)
หากทำงานออฟฟิซ กินข้าวแกงจานละ 20 บาทในตึกทุกวัน คุณก็จะพบแต่พวกพนักงานระดับเดียวกัน วันหยุดกินข้าวตามฟู๊ดเซนเตอร์ในโลตัส บิ๊กซี คุณก็จะเจอกับคนไลฟ์สไตล์เดียวกัน หรือซื้อของตามตลาดนัดแถวบ้าน ก็เป็นธรรมดาที่คุณจะเจอเฉพาะคนในย่านนั้นๆ
นักธุรกิจที่เขานั่งเครื่องบินชั้น First Class ไม่ใช่แค่เขาอยากนั่งสบายนะครับ ไม่ใช่แค่เขารวย การนั่ง First Class ของเขาคือการลงทุน เพราะเขามีโอกาสได้เจอคนระดับไม่ธรรมดา หลายครั้งมันเป็นการต่อยอดในด้านธุรกิจ
แต่ชาวบ้านอย่างเราคงไม่อาจหาญบิน First Class แล้วจะไปเจรจาธุรกิจกับใคร เอาแค่แนวคิดไปใช้ครับ เอาไปประยุกต์ เช่น
เดินตามร้านหนังสือหรูๆ ดูบ้าง เดินในแผนกที่คุณคิดว่าจะมีคนดีๆ เขาเดินกัน เช่น มุมหนังสือท่องเที่ยวก็จะมีคนสนใจด้านการท่องเที่ยว การเดินทาง ในทางกลับกัน มุมการ์ตูนก็มักจะมีแต่เด็กๆ นั่งเรี่ยงแถวเต็มไปหมด
อย่าลืมเก็บเกี่ยวมิตรภาพที่เกิดขึ้นระหว่างทางด้วยนะครับ สำคัญมากๆ ในขณะเดียวกันก็ต้องระวังตัวไว้ด้วย เพราะเราเพิ่งจะรู้จักกัน แต่จงเชื่อในสัณชาติญาณของตัวเอง แล้วก็อย่ามองคนแต่เพียงผิวเผิน
ชีวิตจริงของผมเองก็เจอคนระหว่างทางมาเยอะมาก สานต่อมิตรภาพจนถึงทุกวันนี้ก็เยอะ หน้าที่การงานของผมก็มีส่วนหนึ่งมาจากเพื่อนที่พบกันตอนเรียน และเพื่อนไปแนะนำให้รู้จักกับคนอื่นอีกที
แม้เงินเดือนจะไม่มาก แต่แทนที่จะได้เงินเก็บเดือนละหมื่น กลายเป็นได้โอกาสทำเงินมหาศาล ได้เป็นที่ปรึกษาโครงการ ฯลฯ
แม้ว่าที่ผ่านมาผมใช้เงินหมดไปกับรถแข่งมากมาย แต่ผมก็ได้รู้จักคนในวงการนี้อีกเยอะ คิดไปแล้วผมว่าคุ้ม
ช่วงนี้ผมกำลังใช้ชีวิตกับวงการจักรยาน แต่อย่าดูถูกคนขี่จักรยานไปนะ ผมเริ่มจะรู้จักและกำลังหาโอกาสต่อยอดทางธุรกิจ และมันจะดีมากเลย หากทำเงินให้ผมได้บ้าง
อีกตัวอย่างหนึ่งของศิลปะการใช้เงินก็คือ เพื่อนแม่ผมเป็นคนเชียงใหม่ มีลูกสาวสองคน ส่งมาเรียนที่ ABAC ยุคนั้นนักเรียนต่างจังหวัดยังน้อย หากจะมาอยู่ในเมืองก็มักจะเช่าหอพักอยู่ ก็ดูเป็นเรื่องปกติดี
   แต่ครอบครัวนี้เขาซื้อคอนโดให้ลูกอยู่ครับ แน่นอน เขามีเงิน ขั้นเทพฯ ในจังหวั้ดเชียงใหม่เลยล่ะ เจ้าของธุรกิจโรงแรมขนาดใหญ่
   เขากล้าใช้เงินครับ และมองการณ์ไกล ผลที่ตามมาก็คือ เมื่อลูกทั้ง 2 คนเรียนจบ ก็ขายคอนโดฯ ได้เงินกำไรกลับมาเป็นค่าเรียนตลอด 4 ปี ของลูกทั้ง 2 คน (รวมกันก็ 8 ปี)
   กลายเป็นว่าลูกได้เรียน ABAC ฟรีๆ แจ๋วดีไหมครับพี่น้อง

6 มค 53
   เช้านี้ขี้เกียจเฉยเลย อากาศครึ้มๆ ด้วยกระมัง แต่ตอนสายผมเข้าคลองถม เอาสายชาร์จโทรศัพท์ไปเปลี่ยน ถ้านับเส้นที่เปลี่ยนวันนี้ด้วยก็จะเป็นเส้นที่ 4 แล้วในรอบ 2 เดือน สินค้ารับประกัน 3 เดือนครับ ยังไม่มีเส้นไหนใช้ได้ถึง 1 เดือนเลย ฮ่าๆ
   ไปคลองถมผมมักจะไปกับรถพับ JZ88 แม้ล้อจะจิ๋วแค่ 14 แต่นี่แหละคือจุดเด่นของความคล่องตัว พับแล้วเข็นง่ายมากๆ เอาเป้วางบนรถแล้วเข็นก็ยังได้
   พอถึงร้าน พนักงานจำผมได้ ส่งยิ้มหวานให้ ผมเองก็ยิ้มจนแก้มปริ
   “ขอเปลียนสายชาร์จหน่อยครับ”
   พูดพร้อมกับส่งของเก่าให้ เขาเอาไปลองดูอาการ แล้วหยิบอันใหม่มาให้แทน ลองเสี่ยบแล้วใช้ได้ ก็กล่าวขอบคุณแล้วก็ลาจากไป
   แต่ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนเราจะต้องมาพบกันอีก
   กลางวันผมเข้าไปที่คอนโด ไปดูสระว่ายน้ำ และฟิตเนท สระโอเคดี ส่วนฟิตเนสนั้นสวยมากๆ สวยแบบเว่อร์เลยก็ว่าได้ เห็นแล้วตกตะลึง เครื่องเล่นคุณภาพสูง มีเยอะ ผมชอบลู่วิ่งที่ปรับมุมลาดชั้นได้ถึง 12% ลองวิ่งดูแล้ว สุดยอดเหลือหลาย
   จักรยานก็มี แต่ไม่ได้ลองลูกเล่นมากนัก แค่ปั่นเฉยๆ แต่แค่แป๊บเดียวก็ได้ระยะทางถึง 1 กม แล้ว ยังงงว่าทำไมมันไวขนาดนั้น หรือพลังเราเหลือเฟือ นั่งปั่นเพลินๆ จนไม่รู้เวลาที่ผ่านไป ส่วนที่ชอบอีกอันผมเรียกไม่ถูก คล้ายเรากำลังเดิน แต่มีก้านให้เราจับโยกด้วย สนุกดีเหมือนกัน กึ่งเดินกึ่งวิ่งในอากาศ 
   ที่เหลือก็เป็น Free Weight อันนี้แหละ พวกกล้ามใหญ่เขาชอบกัน ผมเฉยๆ จะใช้ตอน Strecth เสียมากกว่า
   เย็นไปรับลูก แต่เจอฝนตกหนัก นึกแปลกใจ แต่ก็เข้าใจ เพราะทั่วโลกทางยุโรปและอเมริกาเขายังโดนพายุหิมะถล่มกันอย่างหนัก ของเราแค่นี้ถือว่าจิ๊บๆ มาก ฝนตกก็แค่เปียก ตกนานหน่อยก็แค่น้ำท่วม นี้คือวิถีคนเมือง หากจะอยู่ในเมืองก็ไม่ต้องมาบ่น
ผมเข้าไปโพสในเวปจักรยานว่ากำลังมองหา GPS เลยได้รับ pm จาก Printer (คน) เขาให้ข้อมูล GPS ราคาถูกและใช้งานได้ดีมาให้ เขาลองแล้ว เขาชอบ ก็เลยบอกต่อ ก็ตอบขอบคุณเขาไป ผมเอามาใช้งานกับจักรยานเป็นหลักครับ ไอ้พวกรุ่นหน้าจอใหญ่ๆ มันกินไฟเยอะมาก แบตหมดเร็วจัด มีบางคนแนะนำให้ผมใช้รุ่น Etrax Legend HXC ผมเองก็เล็งๆ ไว้เหมือนกัน แต่ก็แค่เล็งแหละนะ ไอ้พวกนี้มันของเล่นน่ะครับ ยังไม่ถึงขั้นที่จำเป็นจริงๆ หรืออยากได้อย่างสุดเหวี่ยงหรอก
เอ๊ะ หรือจะลองใช้โทรศัพท์ของ Garmin ดูดี เขามีรุ่น M20 เป็น GPS ที่โทรศัพท์ได้ ต่างจากยี่ห้ออื่นที่เป็นโทรศัพท์แต่ใช้ GPS ได้
Title: Re: มค 53
Post by: O'Pern on January 07, 2010, 04:20:12 pm
7 มค 53
   ไทยเรามีฝนเทลงมาอย่างหนัก ไม่ได้แค่เฉพาะกรุงเทพฯนะ วันนี้กลุ่มฝนจะทะยอยขึ้นเหนือไปเรื่อยๆ และพรุ่งนี้คงจะเข้าจีน ถ้าไม่อ่อนกำลังไปเสียก่อน
   จีน อเมริกา ยุโรป และอีกหลายพื้นที่ต่างโดนพายุหิมะเล่นงานอย่างหนัก ที่หนาวเย็นสุดคงจะเป็นประเทศนอร์เวย์ ขนาดผมไปตอนที่เขาหน้าร้อน ยังยืนต้านลมแรงๆ แทบไม่ไหว มันพัดผ่านร่างกายผมไปแบบทะลุกระดูกเลย กางเกงยีนของผมสะบัดปลิวราวกับผืนธง แต่ถ้าไม่มีลมก็ไม่ได้หนาวเย็นอะไรมากมากนักนะ เย็นแบบพอทนได้
   กลางวันเจอนักท่องเที่ยวฝรั่งผิวขาวเดินถือแผนที่อยู่แถวสะพานพุทธ ผมเห็นเลยเดินเข้าไปสอบถามว่ามีอะไรให้ช่วยไหมครับ ดูเขาดีใจมากที่มีคนมาช่วย ผมเปิดฉากถามว่าเขาต้องการจะไปไหน เขาว่าอยากไปเดินเล่นแถวท่าเตียน ท่าช้าง ผมบอกเขาว่าคุณต้องเดินราว 45 นาทีนะ เขาบอกเขาไหว แล้วผมก็ชี้ทางไปให้
   บังเอิญมาเจอผมตอนกำลังเดินเท้าพอดี (ทุกทีผมจะขี่จักรยานอยู่) ผมเลยเดินไปส่งตรงเชิงสะพานพุทธ แล้วก็นึกขึ้นได้ เลยชวนเขาไปดูเต่าในวัดประยูรฯ เป็นวัดเก่าครับ มีเต่ามากมาย ไม่ค่อยเห็นจะมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมกันเลย ผมชอบไปนั่งเล่น ไปป้อนอาหารเต่า ให้ข้อมูลแก่ฝรั่งไป เขาชอบ อยากไปชม ผมบอกว่าฟรี เขายิ้มใหญ่เลย
   ก็เลยเดินพาเขามาจนถึงวัด คุยกันสักพักก็ขอแยกตัวไปก่อน แม้ว่าผมจะว่าง แต่เกรงว่าเขาอาจไม่ไว้ใจ และเขาอาจอยากอิสระอยู่คนเดียว
   เขาเป็นหญิงชาวนิวซีแลนด์ครับ อายุมากแล้วล่ะ แต่ดูแข็งแรงดีอยู่เลย
   ผมเดินกลับมาขึ้นรถขับกลับบ้านด้วยความอิ่มเอิบใจ แม้จะต้องเดินไกลราว 1 กม กลางแดด ก็ไม่เห็นมันจะร้อนตรงไหน ก็ใจเรามันเป็นสุขที่ได้ช่วยเหลือคนเขานี่นา
   มีพี่คนหนึ่งโทรมาจากเวป Trekking Thai โทรมาขอซื้อ Panniers ของ Deuter ผมเหลือ 2 ชุด เลยแบ่งให้เขาสัก 1 ตกลงยังเหลืออีก 1 ชุด ใครอยากได้รีบติดต่อมาครับ ชุดสุดท้ายแล้ว ไม่สั่งเข้ามาแล้ว สั่งถึง 6 เดือนกว่าจะมาแทบลืม ไม่เอาแล้ว (รุ่นน้องสั่งให้)
   วันนี้เปิดคอมพิวเตอร์ (ไม่ได้เปิดมา 2 วัน) เจอคนแอท msn มา แต่ละชื่อแสนจะโหดร้าย ทำให้ต้องรีบบล็อค เช่น Ladyboy / Get more spam / ultranude นี่แหละ ไอ้ทำนองนี้มีมามากเลย ไม่รู้คนอื่นโดนอย่างผมบ้างไหม
   ไปคอนโดเก็บภาพในฟิตเนสมาให้ภรรยาดู เขาชอบมาก ตัวเขาไม่ค่อยได้ออกำลังกายเยอะนัก หากมีสถานที่สวยๆ มันก็น่าจะจูงใจให้มาใช้บริการบ่อยๆ แถมยังฟรีอีกด้วย (จ่ายรายเดือนไปแล้วนี่นา) ส่วนลูกชอบอย่างเดียวคือสระว่ายน้ำ
   ใจเร่งวันเร่งคืนให้เขาเปิดเร็วๆ เห็นเครื่องเล่นแล้วชอบจริงๆ ครับ ขนาดของห้องก็กว้างใหญ่แบบเว่อร์ๆ แต่เขายังตกแต่งไม่เสร็จดีนะ ราวสัปดาห์หน้าคงจะเปิดให้ทดลองใช้กันได้ อ้อ มีห้องสควชอีกด้วย แต่ใครมาตีกับผม โปรดจงสวมหมวกกันน็อคแบบ Full Face มาด้วย
   มีคน pm มาถามทรรศนะของผมระหว่าง KHS F20W กับ Bike Friday New World Tourist ผมตอบเขาไปแบบกลางๆ แต่มาเล่าในเวปนี้ จะเล่าได้เยอะหน่อย เพราะมันเป็นโลกส่วนตัวของผม
   ผมตอบเขาไปดังนี้ครับ

   ออกตัวว่าไม่เคยขี่ตัว Bike Friday New World Tourist นะครับ แต่เคยขี่ตัว Pocket 8 เมื่อนานมากแล้ว (ใช้เฟรมตัวเดียวกัน)

ความเหมือนคือเป็นรถพับทัวริ่ง นั่งขี่ได้สบายพอๆ กัน ทั้งสองคันช่วงสั้นกว่า Dahon ทำให้คนตัวไม่สูงมากนักก็สามารถขี่ได้สบาย องศารถออกแบบมาให้นั่งสบาย นั่งได้นาน

F20W
เด่น
- ขนย้ายขณะพับได้ง่ายกว่าเยอะมากๆ
- พับแล้วเข็นได้
- ใช้อะไหล่ทั่วไปร่วมกับ MTB ได้สบายมาก 
- อุปกรณ์ติดรถเป็นของ Power Tools คุณภาพสูงดีกว่า Shimano เกรดกลางๆ เสียอีก
- ยาง 20X1.5 หาง่าย ราคาถูกทั้งยางในและยางนอก
- เฟรมใช้โครโมลี่ของ Reynolds   
- เฟรมแกร่งกว่า แข็งกว่า อัตราเร่งดีกว่า
- ใส่กระติกน้ำได้ 2 ใบ
- ขาตั้งกลางแบบคู่ ทำให้รถมั่นคงมากๆ ง่ายต่อการเซอร์วิส ปะยาง ถอดโซ่ ฯลฯ

ด้อย
- ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อการเดินทางโดยเครื่องบิน พับแล้วลงกระเป๋าเดินทางขนาดมาตรฐานไม่ได้ (แต่ถ้าจะเดินทางก็เช็คอินแบบเข็นไปทั้งคันเลย บางสายการบินเขารับรถแบบไม่ต้องแพ็ค)
- พับแล้วใหญ่กว่า New World Tourist


New World Tourist
เด่น
- พับลงในกระเป๋าเดินทางเพื่อขนย้ายเดินทางด้วยเครื่องบินได้ดีมาก
- ปรับเซ็ทติ้งแบบ Fine Tune ให้เข้ากับผู้ขี่ได้ดี ท่อคอปรับสูงต่ำได้ เปลี่ยน Stem ได้
- เฟรมโครโมลี่ ให้ความนุ่มนวลดีมาก (ที่ความเร็วต่ำ ที่ถนนขรุขระ)

ด้อย
- จานหน้ามีใบเดียว เจอเนินชัน หรือบรรทุกของหนัก ก็เหนื่อยหน่อย
- พับด้วยการถอดชิ้นส่วน พับใช้เวลานาน
- ตัวรถออกแบบมาสำหรับขี่ทางเรียบ
- น้ำหนักมาก (เมื่อเทียบกับราคา)
- งานผลิต และอุปกรณ์จุกจิกดูไม่เนี๊ยบ (มื่อเทียบกับราคา) เช่น ชุดคอ นอท ตัวปลดต่างๆ Stem และแฮนด์
- ออกแบบมาให้ใช้คนเดียวเท่านั้น (บางรุ่น ปรับเบาะ ปรับคอ ต้องใช้เครื่องมือขัน)
- หายางยากมาก หาซื้อข้างทางไม่ได้เลย (เขาใช้ยางหน้าแคบ)
- ใส่ตระแกรงหน้าหลังแล้วพับไม่ได้ หรือจะพับก็ต้องถอด
- ใส่บังโคลนหน้าหลังแล้วพับจะเกะกะมาก จนถึงทำให้ของเสียหายได้ (แต่ถ้าจะไม่ใส่ก็ไม่ใช่ปัญหา)
- หากจะขนย้ายด้วยสายการบินก็ต้องซื้อกระเป๋าใส่ที่ออกแบบมาเฉพาะ (กระเป๋าใบใหญ่พิเศษ)
- ไม่ทราบเกรดของวัสดุที่ใช้ทำเฟรม (หาข้อมูลไม่ได้)
- เฟรมให้ความนุ่มนวลมากจนสูญเสียพลังไปกับการขับเคลื่อน (กรณีทำความเร็วสูง)

   คุณค่าของจักรยาน อยู่ที่การใช้งานมันนะครับ ไม่ได้อยู่ที่ว่ามันแพง มันหรู มันเบา มันทำด้วยมือ ฯลฯ รถอะไรก็แล้วแต่ ให้คันละหลายแสน แต่ถ้าจอดไว้เฉยๆ มันก็สู้จักรยานไม่กี่พันของผมไม่ได้
   ผมไม่เคยดูถูกจักรยานของใคร เพราะแต่ละคนมีวัตถุประสงค์ในการใช้งานที่แตกต่างกัน ยิ่งช่วงนี้ผมมีคอนโด ต้องหิ้วจักรยานบ้างแล้ว ชักอยากได้รถเบาๆ
   แต่เบาของผม มันไม่จำเป็นต้องแพงครับ คือเราเบาที่สเปค นั่นคือเฟรมเล็ก ล้อเล็ก ไม่ใช้เกียร์ดุม มีชิ้นส่วนน้อยๆ ฯลฯ
   ผมเริ่มมองรถแบบ Fixed เสียแล้วสิ
Title: Re: มค 53
Post by: O'Pern on January 08, 2010, 02:40:19 pm
8 มค 52
   เช้าออกปั่นจักรยานแถวบ้านครับ ไม่ได้ไปไกล ท้องฟ้ามืดครึ้ม ขนาดใกล้ 0700 ยังไม่ค่อยจะสว่างเท่าไหร่เลย ขี่แถวบ้านเล่นๆ ไปได้ราว 30 นาที เหงื่อยังไม่ออกสักหยด
   เข้าเวปจักรยานพบข่าวตกใจว่า Log In ปลาวาฬทราย เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุรถยนต์ ผมไม่รู้จักเขาเป็นการส่วนตัว แต่คุยกันใน msn เขาใช้ชื่อว่า ปลาวาฬทราย เหมือนกัน ไม่รู้ว่าเป็นท่านเดียวกันไหม ไม่ได้เห็นเขาออนไลน์มานานแล้วเสี่ยด้วย
   อย่างไรก็ตาม ผมขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้ล่วงลับ และขอให้ปลาวาฬทรายสู่สุขติครับ
   ว่าแล้วก็นึกถึงตัวเองบ้าง คุณๆ เคยเตรียมตัวตายกันบ้างหรือเปล่าครับ ผมว่าจะไปบริจาคร่างกายแก่ศิริราช ยังไม่ได้มีโอกาสไปสักวัน คงต้องรอให้ในหลวงท่านเสด็จกลับวังก่อนนั่นแหละครับ ศิริราชถึงจะค่อยเบาบางลงหน่อย
   ผมจะบริจาคทั้งร่างกายเลยนะครับ หารือครอบครัวแล้ว เขาโอเค ผมก็เลยลุย คือผมเกิดมาแล้วต้องการทำประโยชน์ให้สูงสุด เราอยู่ในวงการไหนก็ช่วยเหลือวงการนั้น ไม่ว่าจะเป็นวงการรถยนต์ วงการออกแบบ วงการจักรยาน หรือวงการธุรกิจต่างๆ ฯลฯ
   เพื่อนผมคนที่มาบ้านเมื่อวันก่อนนั่นแหละที่เป็นคนแนะนำผมเรื่องนี้ เขาบริจาคทั้งร่างกายเลย คือเป็นอาจารย์ใหญ่กันเลย ผมฟังแล้วเข้าท่า เลยจะเอาบ้าง เพราะว่าเป็นคุณความดีครั้งสุดท้ายที่เราทำได้แม้จะสิ้นลมหายใจไปแล้ว
   คนเราตายไปแล้วก็จะเหลือเพียงคุณความดีให้คนรุ่นหลังระลึกถึงครับ การบริจาคร่างกายเป็นอาจารย์ใหญ่มีอยู่ 2 แบบครับ คือแบบแรก พอนักเรียนเขาจัดพิธีศพหมู่ให้เหล่าอาจารย์เสร็จ ก็จะเรียกให้ญาติมารับมอบกระดูก ส่วนอีกแบบหนึ่งเขาจะนำกระดูกของเราไปจัดเก็บให้เรียบร้อย เหล่าญาติไม่ต้องมารับอะไรเลย
   ผมสนใจแบบหลัง แต่ภรรยาบอกขอเป็นแบบแรกก็แล้วกัน อย่างไรแล้วก็น่าจะมีกระดูกให้ลูกหลานกราบไหว้ อืมม ผมเองก็ยังลังเลอยู่เหมือนกัน
   
   อังกฤษยังโดนพายุหิมะเล่นงานไม่จบสิ้น ทำให้รถไฟ Euro Star ต้องหยุดให้บริการไปหลายเที่ยว รถยนต์วิ่งได้ก็แค่เฉพาะเส้นทางที่รถกวาดหิมะเขากวาดให้ครับ สภาพหิมะแบบนี้แหละครับที่เหมาะกับจักรยาน Surly รุ่น Pugsley มาก รถคันนี้เป็นรถล้ออ้วนใหญ่พิเศษครับ ผมชอบรถประหลาดๆ แต่ไม่กล้าซื้อมาขี่ในไทย ถ้าอยู่ยุโรปหรือที่มีหิมะลงจัดๆ ผมเอาแน่ การขี่จักรยานฝ่าหิมะ น่าจะเป็นประสพการณ์ที่น่าจดจำ อ้อ ที่ผมเคยคิดอยากได้น่ะ คือจะเอามาลุยทางทรายแบบ Off Road น่ะครับ ดูแล้วผิวถนนมันคงร่วนไม่แพ้หิมะแน่ๆ
   หนาวน่ะทรมานครับ เราเองก็ต้องไปในเส้นทางที่มันไม่โหดร้ายจนเกินไปนัก อย่างน้อยต้องมีชุดที่ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายได้ดี น่าสนุกนะครับ แต่ชุดและอุปกรณ์มันคงจะเกะกะเทอะทะอย่างมากเป็นแน่
   อเมริกาเองก็โดนหิมะเล่นงานนะครับ คลื่นความเย็นมันไล่ลงต่ำมาถึงทางฟลอริดา ธรรมดาเมืองนี้อากาศดีมากๆ มาปีนี้เจอหนาวสุดขั้ว นึกไม่ออกจริงๆ ว่าเมืองที่มีแต่แสงแดดแรงๆ พอเจอหิมะเข้าแล้วจะเป็นอย่างไร
   ผมคุยกับเพื่อน แล้วบอกว่าหากไอเย็นมันเคลื่อนต่ำลงมาถึงระดับเส้นศูนย์สูตรราวประเทศไทยบ้างคงจะสนุกดีนะ ผมว่าหากหิมะมันลงมาอย่างหนักจริงๆ ตามบนยอดดอยต่างๆ ที่นักท่องเที่ยวชอบไปชมกันคงจะไม่มีคนแน่ๆ ครับ ไม่ใช่เพราะกลัวหนาว แต่เป็นเพราะขึ้นไปไม่ได้ ถนนมันจะลื่นมาก เส้นทางแบบ On Road นี่เลิกคิดได้เลย ไทยเราไม่มีรถกวาดหิมะ หากใครนึกภาพไม่ออกก็ลองนึกว่าเรากำลังขับรถอยู่บนพื้นน้ำแข็งก็แล้วกันครับ ลื่นปรี๊ดเลยล่ะ
   ถึงตอนนั้น อุปกรณ์ลุยหิมะพวกโซ่พันล้อ คงจะขายกันดี
   เฮ้ยๆ ตื่นๆ
   วันนี้น้ำหนักลงไปได้จี๊ดหนึ่ง ไม่ได้ดีใจนักหรอก คิดไปว่าเครื่องชั่งคงจะเพี้ยนมากกว่า เพราะไม่ได้ออกแรงเยอะอะไรสักนิด
   คุยเรื่องภาษาอังกฤษบ้าง ผมมักมีความเห็นในการออกเสียงเรียกชื่อต่างๆ ไม่ค่อยจะเหมือนพวกสื่อทีวีเท่าไหร่เลยครับ วันนี้ดูข่าวกลางวันช่อง 3 อ่านข่าวเกี่ยวกับ Tiger Woods พิธีกรออกเสี่ยงว่า ไทเกอร์ หวูด คนทั่วไปก็อ่านแบบนั้น แต่ผมมักจะออกเสียงว่า ไทเกอร์ วู๊ดส์ (เสียงตรี)
   อีกตัวอย่างคือรถยนต์ Honda Freed สื่อมวลชนสายรถยนต์ต่างออกเสียงกันว่า ฮอนด้า ฝีด บ้างก็ ฮอนด้า ฝรีด ส่วนผมเรียก ฮอนด้า ฟรี๊ด (เสียงตรี)
   ไม่รู้สิ ผมเองก็ไม่ได้เรียนสูงอะไรนัก แค่ออกเสียงไปตามธรรมชาติ ตามความรู้สึก ไม่ได้อ้างอิงหลักไวยกรณ์อะไร ไม่ได้เปิดตำราเล่มไหนมาคุยทับคุยข่มกัน ผมกำลังบอกแค่ความต่างทางความคิดด้านการออกเสียง เป็นความต่างที่มันเกิดขึ้นบ่อย จนบางครั้งผมแปลกใจว่า ใครเป็นฝ่ายผิด่ ซึ่งหากผมผิด ผมก็จะได้แก้ไขตัวเองเสีย
   ผมไม่ได้ถูกต้องเสมอไปหรอกครับ
Title: Re: มค 53
Post by: O'Pern on January 09, 2010, 05:07:20 pm
9 มค 53   
   ตื่นเช้ามาใส่บาตรครับ เอ๊ะ เขาเรียกใส่บาตรหรือตักบาตรกันแน่ ไม่รู้เหมือนกัน เห็นไหม ทำเป็นรู้ดีเรื่องภาษาต่างประเทศ แต่ภาษาไทยกลับไม่รู้ น่าไม่อาย
   ใส่บาตรวันเกิดครับ ผมไม่ได้เกิดวันนี้หรอก แต่วันนี้สะดวกที่สุด ปกติผมจะใส่บาตรวันอาทิตย์ แต่พรุ่งนี้ผมต้องต่างจังหวัดกับที่บ้าน วันนี้เลยเป็นวันสะดวก
   วันนี้ยังเป็นวันเด็กอีกด้วยครับ ตอนเด็กผมไม่ค่อยได้ไปไหน พ่อแม่ต้องทำงานตลอด พอมีลูกเองก็เลยให้เวลากับเขาอย่างเต็มที่ ปกติจะพาลูกไปดูเครื่องบินที่ดอนเมืองครับ แต่ปีนี้ลูกบอกเบื่อ เลยไม่ได้ไปไหน ก็ไม่เป็นไร ให้เป็นสิทธิ์ของเขาที่จะกำหนดสิ่งต่างๆ ในชีวิตเอง
   อ่านเวปจักรยานพบข่าวว่าตัวแทนจำหน่ายของรถค่าย KHS อาจเปลี่ยนไป คือจากเดิม Siam Strida เป็นคนขาย แต่ตอนนี้ทาง World Bike เอารถเข้ามาขายบ้าง
   งงสิ ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าทาง Siam Strida เขาขายอยู่ก่อนแล้ว (ก่อนหน้านี้มีร้านงี่ฮง วรจักรขายอยู่ แต่ไม่รู้ว่าเป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างถูกต้องไหม) มาตอนนี้กลายเป็น World Bike มาเสียบ เล่นง่ายดีวุ้ย
   ผมไม่ค่อยคุ้นเคยกับร้าน World Bike สักเท่าไหร่ ร้านอยู่ไกลจากบ้านผมมาก เมื่อเดือนก่อนผมตั้งใจจะไป ก็เจอร้านปิดเสียอีกนี่ เข้าเวปไซต์ของเขามันก็ล่มมาหลายเดือน มันยังไงของมันกันนะนี่
   ตอนบ่ายพี่หน่อง Simpleway โทรมาคุย ถามว่าผมไปทริปบางปะกงดูปลาโลมากับ TCC ด้วยไหม เขาไปด้วยนะ ก็รู้สึกดีใจที่ได้ปั่นทางไกลร่วมกับพี่หน่องอีกครั้ง พี่คนนี้ใช้รถ Bike Friday Pocket Tourist ขี่ด้วยกันครั้งแรกเป็นปีแล้ว ตอนทริปไปอยุธยาโน่นแหละ พี่หน่องแข็งแรงมากๆ แกร่งกว่าผมเยอะ
   เขาถามว่าหากจะเปลี่ยนยางจากเดิม 20X1.75 เป็น 20X1.50 จะดีไหม ผมก็ตอบข้อดีข้อเสียไป และตบท้ายว่า ถ้าอยากลองก็ลองได้ มันไม่มีอะไรเสียหาย เราต่างหากที่จะได้ข้อมูล แต่อย่าไปเอายางที่มันหน้าแคบกว่านี้ มันจะเริ่มขี่ยากแล้ว แถมหายางในยากมากอีกด้วย
   ผมเดาว่าเขาคงอยากลองยาง 20X1.50 นะ ไว้วันที่ 31 มค ได้พบกันคงจะรู้
   ตรวจเช็คลมยางรถ ยางสลิคผมมีปัญหาลมซึมออก แต่จับแช่น้ำแล้วไม่เจอฟองอากาศ วันนี้ลมยางมันอ่อนลงไปเยอะ นี่มันซึมตรงไหนวะนี่ ขี้เกียจถอดมาแช่น้ำอีกรอบ ช่างมันละ เติมลมอัดเข้าไปก็แล้วกัน ตอนขี่ก็พกยางในสำรองไว้อยู่แล้ว กันเหนียวไว้ก่อน
   กลุ่ม TCC เขาชวนปั่นไปหัวหินกัน จัดโดยกลุ่มสวนธนฯ กลุ่มนี้อยู่แถวบ้านผมเองครับ ปั่นเร็วฉิบเป๋ง ไม่ต้องคิดอะไรมาก ผมตามเขาไม่มีวันทัน ปีก่อนที่เขาจัดผมไม่ได้ไปครับ กลัวครับ บอกตรงๆ กลั้วจะตามใครเขาไม่ทัน แล้วอีกปัญหาคือตอนกลับผมจะกลับอย่างไร เพราะกลุ่มเขามีรถเซอร์วิสกลับกันส่วนตัว ผมเองไปไหนมาไหนคนเดียวโดดๆ
   ปีนี้กลุ่ม TCC จัดร่วมด้วย และมีรถรับกลับ ชักน่าสนใจ แต่กลับไม่ได้สนใจที่มีรถรับกลับนะ สนใจเพราะมีกลุ่ม TCC ไปด้วย มีพี่ๆ ที่ผมคุ้นเคย ส่วนขากลับผมไม่ได้สนใจ เพราะปั่นไปไกลขนาดนั้น ผมไม่กลับแน่ ยังไงก็ขอค้างสักคืนล่ะวะ แค่คิดนะ ยังไม่ได้บอกชวนใคร
   ยังไม่สรุปอะไรหรอกครับ เพราะอีกอาทิตย์ถัดไปก็มีทริปไปบางปะกงอีกแล้ว
   เออ พุงผม ยังไม่ได้ลดลงสักเท่าไหร่เลยนี่สิ
Title: Re: มค 53
Post by: O'Pern on January 12, 2010, 02:54:21 pm
10 มค 53
   วันนี้ขอไปเป็นคนขับรถให้พ่อกับแม่ครับ ขับพาเขาไปสระบุรี ไปดูบ้านของตัวเองนั่นแหละ ปกติพ่อผมขับเอง แต่บางทีขากลับเขาเหนื่อย เพราะตอนอยู่ในไร่ก็เดินไปเดินมา ไล่ตัดแต่งต้นไม้ เลยอยากพักตอนขากลับ ผมเลยอาสาขับรถให้
   ออกจากบ้าน 0600 ครับ แวะทานอาหารเช้ากลางทาง ร้านข้าวแกงง่ายๆ นี่แหละครับ บ้านผมไม่ใช่คนหรูหราอะไรนัก ขอแค่ของถูกปากก็พอ ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารพื้นๆ
   จากนั้นก็เดินทางต่อ มุ่งหน้าเข้าไปยังแถวมวกเหล็ก ผมมีที่ดินเล็กๆ แปลงหนึ่งอยู่ในละแวกนั้น เล่าให้นึกภาพง่ายๆ ก็คือว่า ห่างจากน้ำตกเจ็ดสาวน้อยราวๆ 10 นาที (ขับรถยนต์)
   ผมไม่ได้มาที่นี่ปีกว่าแล้วครับ เพราะวันหยุดมักจะอยู่บ้านกับลูก มาวันนี้ได้มาเยี่ยมชมแล้วรู้สึกดีจริงๆ ต้นไม้เยอะดีมาก ชักเริ่มอยากทำธุรกิจในที่ดินผืนนี้ ไอเดียแว๊บแรกอยากทำสถานที่แคมปิ้ง แต่ผมไม่ชอบพวกกินเหล้า พวกเมาแล้วเสียงดัง ร้องเพลงแหกปาก เคาะขวด ฯลฯ จะคิดหาทางกันพวกนี้ไม่ให้เขา ไม่รู้กันอย่างไรดี หรือทำเป็น Member Club ฮ่าๆ แหม ทำยังกะที่ตัวเองสวยตายล่ะ
   ระยะทางจากบ้านผมไปถึงบ้านสระบุรีราว 200 กม ครับ ที่ดินตั้งอยู่เหนือระดับน้ำทะเลราว 500 เมตร อยู่บนยอดเนินเขาเล็กๆ ลมพัดเย็นสบายดีมาก
   พ่อแม่เดินไล่ตัดแต่งกิ่งต้นไม้ ผมเองก็ขับรถวนรอบที่ดินเล่น สนุกดีครับ เป็นเส้นทางแบบ Off Road ผมเลยมีโอกาสใช้เกียร์ทั้ง 4H และ 4L ดีที่ไม่เละมากนัก กลัวติดหล่มเหมือนกัน วันหยุดแบบนี้ ไม่มีใครมาช่วยลากด้วยสิ
   มื้อกลางวันไปกินกันในร้าน Dairy Home ขายอาหารแนวฝรั่ง พวก สเต๊ค ผมไม่ค่อยชอบ แต่ไม่ได้พูดออกไป เห็นพ่อชวนกิน ก็เออออตาม ร้านนี้คนแน่นครับ อยู่ปากทางขึ้นเขาใหญ่ ถ้ามาหลังเที่ยงนี่ต้องรับบัตรคิวกันเลย ผมรู้แกว เลยไปราว 1130 มีโต๊ะว่างพอดี
   กะว่ากินเสร็จจะพาพ่อแม่ขึ้นเขาใหญ่ แต่เขาบอกมีงานเลี้ยงตอนเย็น ก็เลยพากันกลับบ้านกรุงเทพฯ ขากลับมีลุ้นหน่อย เพราะรถมีเสียงดัง จี๊ดๆ ฟังตอนแรกเหมือนเสียงสายพาน เลยจอดรถดู ตรวจสภาพสายพานแล้วโอเคดี ไม่มีแตก
   ที่ต้องรีบจอดตรวจก็เพราะเราไม่รู้ว่าสายพานเส้นไหนมันเสียไงครับ เกิดเป็นสายพานคอมแอร์ ก็จะทำให้แอร์ไม่เย็น แต่ที่ร้ายกว่านั้น ผมกลัวจะเป็นสายพานปั๊มน้ำ ซึ่งมันจะทำให้ขับรถแทบไม่ได้เลยทีเดียว
   โชคดี สายพานทุกเส้นสภาพสวย เอามือโยกพูเล่ย์ (ช่างไทยเรียกมู่เล่ ฝรั่งเขียนว่า Pulley) ดูว่ามีโยกคลอนไหม ผลก็คือปกติดี เลยปิดฝาเครื่องแล้วขับต่อด้วยความเร็วไม่เกิน 100 กม/ชม
   สักพักเสียงจี๊ดๆ ก็ดังอีกครับ ดังแบบสั้นๆ ทุกๆ 5 วินาทีเลย เอาไงดีวะ ชักตื่นเต้น นี่ดีนะที่ผมมาด้วย ปกติพ่อจะมากับแม่สองคน เกิดรถเสียแล้วเขาจะทำยังไงกันก็ไม่รู้
   ลองปิดแอร์ขับดูครับ ผลคือเงียบ ไม่มีจี๊ดๆ อีกแล้ว แบบนี้แสดงว่าเป็นเสียงมาจากระบบแอร์ จะเป็นชิ้นส่วนไหนก็ค่อยมาวิเคราะห์กันต่อถึงชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหว
   ตอนแรกคิดว่าเป็นสายพาน คงจะไม่ใช่แล้ว ตอนนี้ผมมองไปที่ตัวหน้าคลัตช์แอร์แทน ก็ได้แต่เดาไปล่ะครับ เดาตามสภาพอาการ ตามสภาพของเสียง ถ้าสายพานดัง มันจะดังลั่นเอามากกว่านี้อีก
   กลางวันแดดแรงจัดเลย ขับรถแล้วแสบตามากๆ แต่แปลกที่ตอนขี่จักรยานไม่เห็นรู้สึกแสบตาเหมือนตอนขับรถยนต์เลย สงสัยมันคงจะร้อนและเหนื่อยจนลืมทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นได้นะ
   เส้นทางที่ไปสระบุรีนั้น ผมขับผ่านจุดที่เคยขี่จักรยานไปอุทยานแห่งชาติน้ำตกสามหลั่นด้วย ไปกับกลุ่มน้าเป็ดนั่นแหละ ขับรถผ่านแล้วมันก็นึกถึงความรู้สึกเก่าๆ ขึ้นมาได้เอง ช่วงหนึ่งของเส้นทาง ผมตามกลุ่มหน้าไม่ทัน โดนเขาทิ้งจนห่างและหายลับตาไป มองไปด้านหลังก็ไม่เจอใคร กลุ่มสองยังตามมาไม่ถึง เอาล่ะสิมึง ทำไงดี ข้างหน้ามีแยกอีกด้วย
   เลยตัดสินใจจอดรอหน้าปั๊มน้ำมันครับ รออยู่นานก็ยังไม่มีใครมา อากาศก็ร้อน จึงเดินไปซื้อไอติมในปั๊มมานั่งกินรอ นึกแล้วขำดีนะ ปกติเราขับรถยนต์ไง เราไม่มีวันได้ยืนคอยใครหน้าปั๊ม หรือซื้อไอติมมายืนกินหน้าปั๊มหรอก เป็นอารมณ์แบบขำขำที่พบได้บ่อยมากหากคุณขี่จักรยานทางไกล
   กลับมาถึงกรุงเทพฯตั้งแต่บ่ายครับ เย็นพ่อแม่ผมมีงานเลี้ยง ส่วนผมไม่ชอบไปงานใดๆ เลย แต่ถ้าเป็นงานเกี่ยวกับรถยนต์มักจะไม่เกี่ยง มีระยะหลังมานี่แหละ ที่ไม่ได้ไปงานพวก Motor Show / Motor Expo ก็เพราะติดภาระกิจดูแลลูก ลูกผมเอง ผมอยากเลี้ยงเอง ไม่นิยมจ้างใครเลี้ยง หากเขาดีก็เพราะการเลี้ยงดูของผมเอง และหากไม่ดีก็จะได้ไม่ต้องไปโทษใครเขา ผมรับผิดเอง
   
11 มค 53
   เช้าปั่นจักยานไป 45 นาที ใช้รถพับ KHS F20W รถคันนี้มีอายุใกล้จะ 1 ปีแล้ว อุปกรณ์ทุกชิ้นส่วนยังใช้งานได้ดีเยี่ยม มียางหน้าโดยเศษแก้วตำไป 1 แผล ตอนสูบลมถึง 100 psi จะเห็นยางนอกรอยปริแยกออกมาได้เลยล่ะ
   กลางวันไปเป็นพนักงานขับรถส่งของครับ ขับรถกระบะมีหลังคาสูงๆ นี่แหละ วันนี้ดีหน่อย มีคนงานติดรถไปช่วยยกของ 2 คน หลังผมเจ็บยังไม่หายดี ยกอะไรไม่ได้เยอะมาก
   ตกเย็นไปรับลูก เขาขอกินฮอทดอก ร้าน Dairy Queen (ทางผ่าน) แต่พอไปถึงร้านนี้เขาไม่ขายฮอทดอกแล้ว มีแต่ไอศครีมอย่างเดียว เลยเปลี่ยนใจไปกินร้าน MK แทน
   ผมไม่ได้กินอะไรตั้งแต่กลางวัน เลยช่วยกันกินเสียยกใหญ่

12 มค 53
   เมื่อคืนดูทีวีจนถึงเที่ยงคืน ปกติผมนอนราว 3-4 ทุ่ม เช้านี้ตื่นแล้วแต่ขี้เกียจลุก ครั้นพอลุกขึ้นมาได้ก็หายขี้เกียจ เอาจักรยานคัน KHS HT ออกปั่นราว 30 นาที ไอ้อาการยางหลังเก็บลมไม่ค่อยอยู่ยังแสดงออกอย่างชัดเจน จอดแค่ 3 วัน ลมยางจาก 80 psi ลดลงเหลือแค่ 40 psi มันลดฮวบขนาดนี้ แต่ตอนผมถอดเอายางในมาแช่น้ำหารูรั่วกลับไม่พบ แปลกใจฉิบเป๋ง
   จะมีอีกกรณีเดียวที่เกิดขึ้นได้นั่นคือ ตัวเนื้อยางมันเสื้อมเอง คือในสภาวะปกติลมมันก็จะซึมออกได้จากทางผิวยางอยู่แล้ว แต่มันซึมได้น้อย ซึมแบบช้าๆ ดังจะเห็นได้ว่าหากสูบลมเต็มทิ้งไว้สัก 2 สัปดาห์ ลมยางก็จะอ่อนลง แต่ของผมนี่มันซึมออกเร็วมากๆ ไว้ใกล้ออกทริปปลายเดือนค่อยเปลี่ยน
   ประเทศอินเดียเขาเจ๋งจริงครับ เมื่อก่อนนี้ก็ดังด้าน IT อย่างมาก มาวันนี้แจ้งเกิดแบบจุดพลุด้านเกษตรกรรม เขาคิดค้นข้าวที่หุงได้โดยไม่ต้องใช้พลังงานครับ น่าทึ่งดีไหม แค่เอาเม็ดข้าวแช่น้ำสักพักก็กินได้แล้ว โหห อันนี้แม่งอะเมซิ่งสุดยอดเลย
   น่าเสียดายกับประเทศไทยเราครับ ที่การเมืองยังวุ่นวาย ทำให้บุคคากรและองค์กรต่างๆ พัฒนากันแบบไปคนละทาง อันที่จริงไทยเรามีคนเจ๋งๆ เยอะครับ แต่อย่างที่เคยบอก ไทยเรามีจุดอ่อนอย่างหนึ่งคือ คนไทยไม่ชอบของไทย ไม่ชอบคนไทยด้วยกันเอง ถ้าคนไทยเจ๋งข่าวไม่ดังเท่าไหร่ แต่ถ้าฝรั่งเจ๋ง ทีนี้ลงข่าวประโคมกันใหญ่เลย
   สองสัปดาห์ก่อนแพทย์ศิริราชผ่าตัดด้วยเทคนิคพิเศษได้ หนังสือพิมพ์ลงข่าวกรอบเล็กๆ นิดเดียว ลงแค่วันเดียว แต่ไอ้เรื่องนี้แหละที่วงการแพทย์ทั่วโลกเขาทึ่งคนไทยกัน (แต่เราไม่รู้เรื่อง สื่อนำเสนอแต่ข่าวคนเสื้อแดง)
   อยากให้คนเสื้อแดงสงบลง หรือลดความฮึกเหิมลงสักนิดไหมครับ ทำง่ายๆ แค่งดการเสนอข่าวในทุกแง่มุม และให้เจ้าหน้าที่เข้มงวดกับการทำผิดกฏหมาย นี้คือเรื่องง่ายๆ ที่พวกสื้อไม่มาจับมือรวมกัน เขาจะไปรวมตัวกันที่ไหนก็ปล่อยไป ไม่ต้องมีทีวี ไม่ต้องมีหนังสือพิมพ์เข้าไป ให้มี่แต่เจ้าหน้าที่ มีแค่เฉพาะทหารคอยจัดการ
   สื่อเขาก็อยากขายข่าวน่ะครับ ถ้าลองได้พาดหัวโตๆ แบบตื่นเต้นๆ คนก็จะฮือฮากันยกใหญ่
   สำนวนไทยเรียก “ปากว่า ตาขยิบ” ครับ
   หรืออย่างเรื่องการพนันฟุตบอล ทุกฝ่ายต่อต้านครับ แต่หนังสือพิมพ์เสือกลงแต้มต่อให้คนได้รู้แนวการแทง ยังไม่พอ ยังมีหนังสือพิมพ์เพื่อการพนันบอลล้วนๆ ออกมาวางขายอีกด้วย ขายมานานมากแล้วด้วย
   นี่คืออิทธิพลของสื่อครับ ผมเองเรียนด้านนี้มาโดยตรง ผมเองก็ชอบสื่อ เพราะมันกำหนดแนวทางให้สังคมได้ ผมชอบรถยนต์ ผมถึงได้ทำนิตยสารรถยนต์ไง แค่ไม่อยากให้เด็กรุ่นใหม่ลุ่มหลงไปกับของแต่งซิ่ง สนใจแรงม้ามากกว่าผลการเรียน มีเงินเท่าไหร่ก็ทุ่มไปกับรถทั้งๆ ที่ตัวเองยังอยู่ในวัยที่แบมือขอเงินพ่อแม่อยู่เลย
   น่าเสียดาย นิตยสารไปไม่ได้ไกล
   กลางวันแวะไปดูคอนโดฯ โอ้โห ชอบใจฟิตเนสมากๆ ใกล้จะเปิดให้บริการได้แล้ว มีสระว่ายน้ำอีกด้วย แจ๋วว่ะ จัดทำบรรยากาศด้านนอกได้ดี ผมเลยนั่งเล่นรับลมอยู่นานเลย
Title: Re: มค 53
Post by: O'Pern on January 13, 2010, 03:24:51 pm
13 มค 53
   เช้านี้ออกขี่ไป 1 ชม ขี่แถวบ้านเหมือนเดิม
   อ่านหนังสือพิพม์เจอคอลัมน์เกี่ยวกับการจราจร เป็นผู้อ่านเขียนมาบ่นกับทางหนังสือพิมพ์ เจ้าของคอลัมน์มิได้เขียนเอง เนื้อหาทำนองว่า
   ขับรถผ่านซอยทางลัด เจอคอนโดขนาดใหญ่ แต่กลับสร้างโดยไม่มีที่จอดรถเพียงพอแก่ผู้อยู่อาศัย ทำให้มีคนมาจอดรถเกะกะภายนอกอาคาร เกะกะซอยทางลัด
   เนื้อหามีแค่นี้แหละ ให้คนส่วนใหญ่อ่านก็มักจะเห็นด้วยว่าจริง สร้างคอนโดทั้งทีทำไม่ไม่สร้างที่จอดรถด้วยเล่า
   แต่สำหรับผม ผมมองคนละมุมครับ
   ที่เขาไม่สร้างที่จอดรถให้ ก็เพราะกลุ่มลูกค้าเขามิได้มีรถยนต์ หรือไม่ได้มองกลุ่มคนใช้รถยนต์เป็นหลักน่ะสิ คอนโดนี้อยู่แถว BTS อ่อนนุช ทำเลมันก็บอกอยู่แล้วว่าเน้นรถไฟฟ้า เน้นวิถีชีวิตคนเมือง
   คนเราใช้รถยนต์จนเสพติดความสบายมากเกินไปหรือเปล่าครับ ลองนึกภาพตัวเองดูประกอบไปด้วย เช่น หากไปห้างก็มักจะอยากจอดใกล้ๆ ประตู (ถ้าจะซื้อของเยอะก็อีกเรื่องนะ) ไปสวนสาธารณะ ไปออกกำลังกายแท้ๆ ไปเดิน ไปวิ่งเป็นกิโลๆ แต่ไม่อยากเดินไกล อยากจอดใกล้ๆ ประตูทางเข้า
   ผมใช้รถยนต์เหมือนกันครับ แน่นอน จอดใกล้มันสะดวก มันเร็ว แต่ผมจะชอบแบบจอดปลอดภัยมากกว่า คือด้านหนึ่งชอบแนบเสาหรือแนบกำแพงไว้ หากเจ็บก็ขอเจ็บด้านเดียว ฮ่าๆ
   โชคดีชีวิตผมไม่ต้องขับรถผ่านเข้าเมืองบ่อยนัก ระยะหลังเลยใช้จักรยานร่วมด้วย แล้วก็พบว่าชีวิตนั้นแสนจะสะดวกสบาย (แลกกับการที่มี่คนมองเยอะหน่อย) แต่จักรยานจะแพ้รถยนต์ก็ตรงการขนของ และเรื่องฝนครับ
   ไอ้เรื่องที่จอดรถนี่มีมุมมองน่าสนใจมาก ยกตัวอย่างประเทศสิงคโปร์ เขาสร้างห้างใหญ่โต แต่มีกฏของทางการเขาว่า ห้างใหญ่ขนาดนี้ อนุญาติให้สร้างที่จอดรถได้แค่ 30 คัน หากจะสร้างมากกว่านี้ต้องจ่ายเงินเพิ่ม (มากๆ ) นั่นคือเขาออกแบบห้างที่ไม่มีที่จอดรถสำหรับลูกค้า บนถนน Orchard ก็มีห้างประเภทนี้เยอะแยะเต็มไปหมด แต่เคยเห็นถนน Orchard รถติดแน่นหนึบกันไหมเล่า
ลองดูในไทยเอาแค่มีห้าง Siam Paragon อันเดียวก็ติดไปจนถึง Central World นี่ขนาดแค่มี 2 ห้างเอง ส่วนบนถนน Orchard เขามีกันหลายสิบห้าง แม้จะไม่ใหญ่โตเท่าของไทย แต่มันมีสีสันมากกว่ากันเยอะ น่าเดินมากกว่า เพราะบรรยากาศภายนอกถนนรถไม่ติด ไม่มีฝุ่นควัน
อย่าว่าผมบ้าเมืองนอกเลยครับ แค่ยกตัวอย่างประกอบเรื่องที่จอดรถ สิงคโปร์เขาทำได้ ก็เพราะเขามีระบบขนส่งมวลชนที่สมบูรณ์พร้อมสรรพ คนของเขาไม่มีความจำเป็นต้องใช้รถยนต์ แต่ของไทยเราไม่ใช่ เรามีรถเมล์ห่วยๆ รถตู้แย่ๆ มอเตอร์ไซค์ขี้เมา ทุกก้าวที่ออกจากบ้านคือการเสี่ยงตาย แต่เราคุ้นเคย เพราะเราชินไงครับ จะบอกให้ว่ากรุงเทพฯ ไทยเรานี่แหละ อันตรายกว่าที่ใดๆ ในโลกอีกเยอะเลย
คุยแล้วคันนะ อยากเป็นผู้มีอำนาจบริหารระบบขนส่งจริงๆ หากผมเป็นคอมมิวนิสต์ คือคิดเองคนเดียวแล้วทำได้เลยล่ะก็ อยากจะจับเอา BTS ไปไว้ใต้ดินให้สิ้น ข้างบนจะได้วิวสวย มองแล้วโล่งตาเหมือนเมื่อก่อน รถไฟฟ้าน่ะดีครับ แต่ถ้าอยู่ในเมืองมันต้องมุดลงดินเท่านั้น ไม่ใช่มาลอยเกะกะแบบนี้ ผ่านบ้านใคร ตึกใครฮวงจุ้ยก็เสีย ไม่ใช่เท่านั้น มันเสียถึงฮวงจุ้ยของเมืองด้วยน่ะสิ
อีกเรื่องคือดอนเมืองโทลเวย์ ไอ้นี้แสนจะไร้สาระ จำภาพถนนสมัยเก่าได้ไหมครับ สมัยก่อนมีสะพานลอยข้ามแยกสุทธิสาร ข้ามแยกลาดพร้าว ข้ามแยกหลักสี่ คือสภาพปกติน่ะ มันก็เป็นเสมือนทางด่วนอยู่แล้ว คือวิ่งตรงไปออกรังสิตได้เลย โดยไม่ต้องผ่านสัญญาณไฟแดง (หากวิ่งช่องทางด่วน)
แล้วจู่ๆ ก็มีสัปทานอะไรก็ไม่รู้ มาสร้างถนนอีกชั้นคร่อมไอ้สะพานข้ามแยกที่ว่านี้จนตลอดสาย มันทำก็ทำไป จนเหมือนถนน 3 ชั้น คือชั้นล่างเป็นพื้นราบ ชั้น 2 ก็เป็นสะพานลอยข้ามแยก ชั้น 3 คือโทลเวย์ เห็นแรกๆ ก็พอให้อภัย คิดไปว่าเขาคงหวังดีอยากเร่งระบายรถ ใครยอมจ่ายเงินก็จะได้ขึ้นชั้นบนสุด วิ่งฉิวไปลงรังสิตได้เร็วมากๆ เพราะข้างบนสุดรถวิ่งน้อยเหลือเกิน
พอรถน้อย มันทำยังไงก็ไม่รู้ล่ะ มันมีพลังที่ให้ทางการสั่งทุบสะพานข้ามแยกที่มีอยู่เดิมให้ทิ้งไปได้ก็แล้วกัน เอากับมันสิ ทุบของเดิมทิ้ง ทุบของประชาชนส่วนรวมทิ้ง พอทุบรถก็ติด ก็ต้องไปขึ้นทางยกระดับของมัน และจนมาถึงวันนี้ มันก็ขอใช้สิทธิ์ในการขึ้นราคา
เซ็งไหมครับพี่น้อง หัวคอมมิวนิสต์อย่างผม จะขอทุบโทลเวย์ของมันบ้างได้ไหมครับ แล้วผมจะมาสร้างสะพานลอยข้ามแยกคืนดังเดิม ผมว่าของเดิมสวยกว่าเยอะมากๆ ถนนวิภาวดี-รังสิต เป็นถนนที่สวยมากนะครับ ใครอยู่ในยุค The Palace จะจำได้ดี เกาะกลางถนนปลูกต้นไม่เป็นแนวยาวตลอดทางดูเขียวขจี สมัยนี้มีที่ไหน พวกห่ามันทำลายต้นไม้เสียสิ้น
มาดูแนวทางของว่าที่รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมอย่างผมบ้างครับ หัวของผมอาจรุนแรง แต่ผมทำเพื่ออนาคตจริงๆ ผมทำงานเร็วนะ งานพวกนี้ยิ่งสร้างช้าจะยิ่งมีแต่ความเสียหาย สมมุติเราอยากสร้างรถไฟฟ้าสัก 1 สาย หากเราไม่มีเงิน ก็ต้องกู้ หากจะกู้ก็ต้องเข้า ครม อนุมัติ แน่นอน มันไม่อนุมัติให้หรอก ถ้าพวกมันไม่ได้เงินเข้ากระเป๋าตัวเอง หรือมันยังไม่ได้ซื้อที่ดินดักทางไว้ก่อน
ผมถึงบอกไงว่าต้องสร้างให้เร็ว รีบสรุป รีบทำ แต่ต้องคิดและทำโดยคนดีนะ ไม่ใช่ให้คนโกงมาทำ ไม่งั้นฉิบหายหมด
ผมไม่กู้ ไม่มีเงิน ผมก็ให้สัมปทานแก่บริษัทต่างชาติที่เขามีเงินมาลง ให้เขาลง 100% เลยครับ แล้วให้เขาเก็บเงินไปสัก 20 – 30 ปีก็ว่ากันไป พอหลังจากนั้น รถไฟฟ้าขบวนนั้นก็เป็นของประชาชน จะเก็บแค่ 50% ของราคาปกติที่เคยจ่ายก็ยังอยู่ได้ (แต่เชื่อเถอะ เขาไม่ให้เราขึ้นฟรีหรอก เขาก็มาสวมรอยเก็บต่อไป)
นี่ยกตัวอย่างให้นึกเห็นภาพกันง่ายๆ ครับ มันทำได้จริงๆ นะ ทำไม่ยากด้วย อยู่ที่ว่าจะทำกันหรือเปล่า
แนวคิดเรื่องการจราจรของผมก็มักจะสวนทางกับของทางการเขาเสียด้วย ผมคิดแต่จะไปขยายในเขตชานเมือง ไอ้ในเมืองผมไม่อยากเข้าไปแตะแล้ว ยุ่งแล้วมันเละ ทำแล้วเมืองมันไม่สวยงาม
สุขุมวิทรถติดคนบ่น ก็ช่างมันสิ ก็ดันมาอยู่ในย่านนี้เองทำไม
พระราม 9 รถติดหนักมาก ก็แล้วมาบ่นทำไมล่ะครับ คุณเลือกมาอยู่กันเองนี่นา
สีลม สาทร ติดทั้งวัน อ๋อ ก็แหงสิ มีตึกออฟฟิซเยอะเสียขนาดนั้น ขับรถกันเกือบทุกคน ไม่ติดก็บ้าแล้ว
ตรงไหนรถติดก็ปล่อยมันไปครับ ให้มันติดไป ไม่ต้องแก้ คนมันจะเบื่อไปเอง แล้วเขาก็จะหาทางออกกันได้เอง เช่น กูไม่ไหวละ ขี่จักรยานดีกว่า แม่ส่งลงตรงนี้นะลูก ลูกต่อรถเมล์เข้าไปโรงเรียนเองนะ ฯลฯ
แต่ถ้าเรายังเอาใจคนขับรถ รถติดก็ช่วยเร่งระบายให้ ขยายถนนให้ ทำที่จอดรถให้ โรงเรียนริมถนนสาทรอย่างกรุงเทพฯคริสเตียน อยากจะจอดรถ ตำรวจแม่งให้จอดริมถนนสาทรตลอดแนวได้ซ้อนถึง 2 เลนเลยล่ะครับ นี้คือเรื่องจริง แล้วมันจะไม่ติดได้ไวไหววะ เอ็งเล่นเอาใจคนใช้รถขนาดนี้
วิธีแก้รถติด คุณต้องเอาใจคนใช้ถนนครับ ไม่ใช่เอาใจคนใช้รถ คนใช้ถนนคือใครบ้าง ก็คือคนที่อยู่ละแวกนั้นแหละ ดูว่าเขาต้องการอะไร ต้องการไปเร็วกลับเร็วใช่ไหม ได้เลย เดี๋ยวพี่จัดให้ ถ้าพี่จะทำรถรางไฟฟ้าแบบ Monorail กลางถนนสาทรให้ล่ะ น้องจะว่าไง วิ่งมันพาดมาถึงฝั่งธน หรือจะยาวไปจรดมักกะสัน จะเชื่อม Airport Link น้องว่าเวิร์คไหม ทำได้จริงนะครับ อยู่ที่ว่าจะคิดทำกันหรือเปล่า
หรือคนที่เดินทางระยะสั้น ก็ทำทางจักรยานให้ขี่อย่างสะดวก ทำแบบให้มอเตอร์ไซค์เข้ามาไม่ได้ ก็ลองนึกภาพกันดูว่าจะเป็นอย่างไร ขี่จักรยานเลียบคู่ไปกับรถรางไฟฟ้า เป็นทางจักรยานลอยฟ้า ผมว่าสวยสุดยอดไปเลย ดีกว่าไปตีเส้นริมถนน แล้วมาบอกว่านี่แหละคือทางจักรยาน ไอ้บ้า
สาทรรถเยอะนักหรอ ผมเก็บค่าเข้าคันละ 5 บาท จะเป็นยังไง คงได้เงินวันละเป็นแสน หรือเก็บเงินแล้วรถยังติด ก็จะเพิ่มเป็นคันละ 10 บาท เก็บจนกว่าจะไม่มีรถเข้า เท่านี้คนก็ไม่อยากผ่าน และไปหาทางออกเอาเอง (ให้ไอ้พวกขับรถยนต์เขาคิดกันเองว่าถึงเวลาหรือยังที่จะจอดรถแล้วเดินเข้ามา)
คนคงจะบ่นด่าไอ้รัฐมนตรีหัวคอมมิวนิสต์อย่างผม แต่ก็ช่าง หากทำแล้วภาพของเมืองมันออกมาดี คนบนสาทรอยู่สบายขึ้น รถติดน้อยลง สุขภาพคนก็ดีขึ้น อะไรๆ มันก็ดีขึ้น
คุยเรื่องจราจรกับผม คุยกันได้อีกยาวครับ หากอยากได้แบบเวอร์ชั่นเต็ม เขียนกันได้เป็นเล่ม แต่ขอแนะแนวทางให้คร่าวๆ ดังนี้
การจะขยายถนนหรือก่อสร้างสิ่งใด ควรศึกษาเส้นทางภาพแผนที่ในอดีตสมัยโบราณประกอบด้วย โดยเฉพาะคูคลอง ร่องน้ำของเดิม ควรรักษาไว้ มันคือทางระบายน้ำ ป้องกันปัญหาน้ำท่วม (ปัจจุบันโดนถมโดนทับไปเยอะมากแล้ว เหลือแค่คลองใหญ่ๆ กับแม่น้ำเจ้าพระยา ที่มันยังไม่ถม ไม่ท่วมก็บ้าแล้วเน๊อะ)   
อนุรักษ์สิ่งก่อสร้างในท้องถิ่นเดิมให้มากที่สุด มันคือศิลปะโบราณ มันคือวิถีของชุมชน สไตล์ของตึก กระเบื้องหลังคา กระเบื้องปูพื้นถนน หัวสะพาน เสาไฟ ประตู หน้าต่าง หากจะสร้างใหม่ ก็ขอให้มีสีและดีไซน์เหมือนเดิม
การพัฒนาชุมชน ต้องเอาใจคนใช้ถนน และคนในชุมชนเป็นหลัก ไม่ใช่ทำแค่เพื่อให้คนใช้รถขับผ่าน

Title: Re: มค 53
Post by: O'Pern on January 15, 2010, 01:05:39 pm
14 มค 53
   ออกปั่นยามเช้าไป 1 ชม น้ำหนักยังไม่ค่อยจะลงเท่าไหร่เลยว่ะ
   ฟังวิทยุเกี่ยวกับรายการรถยนต์ พิธีกรเขาอ่านข่าวว่า “บริษัทบางจากอยากให้รถยนต์เก่าๆ ที่ใช้คาร์บูเรเตอร์ และมอเตอร์ไซค์หันมาใช้แกสโซฮอล์ 91” ต่อท้ายอีกว่า พวกคนใช้รถเหล่านี้ส่วนใหญ่ยังไม่มั่นใจว่ารถตัวเองใช้ได้ กลัวใช้แล้วพัง เลยไม่กล้าเติม
   หึหึ ฟังแล้วจี๊ด เพราะเติมแล้วมันวิ่งไม่ได้ครับ รถคนงานที่บ้านมีเวสป้าเก่าๆ หลายคัน ผมเป็นคนหิ้วแกสโซฮอล์มาให้เขาเติมโดยไม่ได้บอกเขา เติมถังแรกเขาไม่ได้บ่นอะไร พอถังสองมาบอกว่ารถสะดุดบ่อย วิ่งไม่ดี เอารถไปหาช่างให้ล้างคาร์บ ก็กลับมาเหมือนเดิม เสียเงินฟรี ขับไปทนไป จนกระทั่งเปลีย่นน้ำมันใหม่เป็นเติม 91 ธรรมดานี่แหละ รถวิ่งดีเหมือนเดิม
   เลยอยากรู้ว่าไอ้พวกคนที่ให้ข่าวพวกนี้ เขามีรถยนต์เก่าๆ ใช้กันอยู่ไหม หรือถือว่าตัวเองใช้รถหัวฉีดกันหมดแล้ว กล่อง ECU ของรถรุ่นใหม่มันเริ่มฉลาดแล้ว ไม่คิดถึงคนที่เล่นรถโบราณบ้างเลยหรือ
   คนที่เขาไม่เติมแกสโซฮอล์ ส่วนใหญ่คือรถเขาเติมไม่ได้ครับ คือไม่อยากเติม ไม่ใช่ไม่มั่นใจนะ เขามั่นใจชัวร์เลยแหละว่า “เติมไม่ได้” โว๊ยยย
   ตอนบ่ายไปคอนโด เอาอุปกรณ์ทำความสะอาดพื้นไปเช็ดถูพื้น เอาถุงนอนไปวางไว้ด้วย สักพักมีโทรศัพท์เข้ามา
   “เฮ้ย เปิ้ล ตอนนี้อยู่บ้านหรือเปล่า จะเข้าไปหา”
   “ผมอยู่ไอวี่ (ชื่อคอนโด) ครับ บี”
   พอพูดจบก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังลั่นเป็นแบคกราวน์ คือเสียงของกบ (เพื่อนนักเรียนสมัยเด็ก)
   “กบเขาเพิ่งจะขับรถออกมาจากไอวี่ได้สักพักเอง” บีพูด บีเป็นเพื่อนสนิทของผมตั้งแต่สมัยวัยใส
   “อ้าวหรอ ฮ่าๆ ไม่เป็นไรๆ ไว้วันไหนผ่านค่อยโทรนัดกันอีกก็ได้” ผมตอบ
   “แล้วเปิ้ลเข้าไปทำอะไรในไอวี่”
   “ผมมาถูห้องเล่น” ผมก็ตอบไปตามจริง
   บีหัวเราะลั่น เหมือนกับผมเป็นบ้าอะไร ทำไมต้องมาถูพื้น ก็เลยอธิบายไปว่า ผมกำลังเขียนแบบตกแต่งภายในห้อง กำลังออกแบบ ก็เลยอยากนั่งๆ นอนๆ ทุกมุมของห้องดูว่ามุมไหนเป็นอย่างไรบ้าง พอเขาเข้าใจก็ร้องอ๋อ..
   บีเป็นเพื่อนหญิงคนแรกของผม เป็นเพื่อนตั้งแต่ผมเรียนมัธยม 2 บ้านบีอยู่ในสยามสแควร์เลย แหล่งไฮไลท์ของวัยทีน (ภาษายุคใหม่) ผมโชคดีอยู่ในยุคคาบเกี่ยว ยังอยู่ในช่วงปลายที่วัยรุ่นเขาเดินที่ไทยไดมารู ราชดำริ อาเขต กัน วันรุ่นสมัยนี้นึกภาพไม่ออกแน่ ปัจจุบันมันเป็นโรงแรม Amari และ Big C ราชดำริ ส่วน Central World นั้นไม่ต้องพูดถึง เพราะยังเป็นทุ่งหญ้าอยู่เลย
   ไปสยามกี่ครั้ง ก็ต้องไปบ้านบี ไปจนสนิทกับน้อง และแม่ของเขาด้วย และไปบ่อยขึ้นก็รู้จักเพื่อนของบีชื่อแอ๊ปเปิ้ลอีกคน แอ๊ปเปิ้ลก็มีบ้านอยู่ในสยามเหมือนกัน เอ้า เอาเข้าไป กลายเป็นมีเพื่อนอยู่ในนี้อีกคนแล้ว
   หลังๆ ก็สนิทกับแอ๊ปเปิ้ล และน้องเขา (ชื่อเชอรี่ ปัจจุบันอยู่ประเทศฝรั่งเศษ) เอาเป็นว่ามาสยามคนเดียวผมไม่มีเหงา อยู่บ้านเพื่อนคนโน้นคนนี้ได้สบาย
   อ้อ จะบอกให้ สยามสแควร์ยุคผม ค่าจอดรถวันละ 5 บาทครับ คิดเป็นวัน นั่นคือมาจอดแล้วขับออกไปข้างนอก เกิดกลับเข้ามาใหม่ ก็แค่แสดงใบเสร็จ ก็ไม่ต้องเสียค่าจอด แจ๋วไหมล่ะพี่น้อง ต่างจากปัจจุบันที่คิด ชม ละ 10 บาท
   ผมสนิทกับบีมาหลายปีมาก จนไปเรียนที่ USA ก็ไปกับเขา ไปพักที่บ้านเขาอยู่ระยะหนึ่งในช่วงแรก และช่วยที่บ้านเขาทำงานบ้างในตอนเย็นหลังเลิกเรียน
   บีเป็นเพื่อนสนิทที่ผมรักมากคนหนึ่งเลยล่ะ
   ไม่น่าเชื่อว่า หลังกลับจาก USA เราก็ไม่ได้พบกันอีกเลย แต่ใกล้จะได้เจอกันแล้วล่ะ เพราะมาอยู่ในคอนโดเดียวกันโดยมิได้นัดหมาย แถมดันมาแต่งงานกับกบ เพื่อนนักเรียนสมัยเด็กของผมอีกด้วย

Title: Re: มค 53
Post by: O'Pern on January 15, 2010, 03:49:36 pm
15 มค 53
   เช้าออกปั่นไปอีก 1 ชม แวะร้านโจ๊กซื้อมาฝากลูกและภรรยา ส่วนตัวผมกลับไปกินข้าวที่บ้าน เป็นข้าวกล้องกับไก่ผัดขิง และไข่ดาวทอดในน้ำมันมะกอก
   ผมว่าเช้านี้อากาศมันเริ่มเย็นลงอีกแล้วครับ ตอนปั่นผ่านสวนที่ต้นไม้เยอะๆ นี้รู้สึกเย็นวูบเลย อารมณ์เหมือนกับเราเปิดตู้เย็นแล้วมีไอเย็นพุ่งออกมาปะทะโดนตัวนั่นแหละ เหมือนกันเปี๊ยบ ก็มันดีนะ หนาวๆ ดี ผมไม่ได้ใส่เสื้อกันลมปั่นหรอก เคยใส่แล้วรำคาญมาก ไอ้ตอนหนาวน่ะก็สบายดี แต่พอสักพักเดียวมันก็้ร้อนแล้ว ซึ่งร้อนแล้วมันจะน่ารำคาญมากๆ ทนไม่ไหวถึงขั้นต้องจอดถอดกันเลยล่ะ
   กลางวันฟังข่าว เขาบอกว่าหลังจากวันอาทิตย์นี้ ไทยเราจะอุ่นขึ้นแล้ว อ้าว ไอ้ฉิบหาย เพิ่งจะเย็นได้วันเดียว เอ็งจะร้อนอีกแล้วรึ ?
   ผมเข้าเวปจักรยาน เห็่นคนลงโฆษณาประมูลไฟท้ายจักรยานที่สว่างแบบแฟลชกล้องถ่ายรูป !!!
   ไฟท้ายแฟลชผมเคยเห็นครับ นานหลายปีมากแล้ว ไม่ได้ซื้อมาใช้ ตอนนั้นยังไม่ได้สนใจ มาวันนี้รีบคลิก แต่กดไปแล้วกลายเป็นเจอไฟท้ายของ Super Flash ซึ่งมันไม่ใช่แฟลชแบบกล้องถ่ายรูปเลยสักนิด ไอ้นี่มันแค่ LED ธรรมดาๆ เอง ที่มันสว่างได้มากกว่าคนอื่นก็เพราะมีเลนส์ช่วยขยายแสง แถมมีจุดที่ขยายแค่ดวงบนสุดดวงเดียว ที่เหลือด้านล่างก็ไฟ LED ธรรมดาเรียงแถวกันกระพริบแบบงั้นๆ
   ผมมองแง่ดีคือเขาคงไม่ได้ตั้งใจจะหลอกขายของหรอกนะ คงไม่รู้จริงๆ คงจะเห็นว่าสว่างมาก แถมชื่อสินค้าก็มีคำว่า Flash อีกด้วย เลยไปกันใหญ่
   สำคัญคือเขาเปิดประมูลไง เริ่มต้น 300 กว่าบาท ตอนนี้ไปถึง 450 บาทแล้ว ซึ่งมันเท่ากับราคาที่ร้านแสงเพชรเขาตั้งขายไว้เลย แถมประมูลแล้วยังต้องเสียค่าส่งเองอีกด้วย ยังไม่รู้ว่าราคาจะไปจบที่เท่าไหร่เหมือนกัน
   ไฟท้ายแบบแสงแฟลชของจริงผมเคยเห็นที่ร้าน World Bike รามอินทราครับ ตัวสี่เหลี่ยมเล็กๆ สีขาว ราคา 750 บาท เลนส์มีสามสี แดง ขาว น้ำเงิน เรียงแถวในไฟดวงเดียวกัน
   ช่วงนี้ลูกผมแข่งกีฬาสีครับ ลงแข่งหลายอย่าง มีฟุตบอล วิ่งผลัด เลยย้ำเสมอให้ลูกแข่งขันให้ดีที่สุด หากมีการกระทบกระทั่งกันก็ขอโทษเพื่อนด้วย และก็ต้องคอยระวังตัวเองอย่าให้เจ็บหนัก สอนแค่นี้แหละครับ ไม่ได้สอนให้เขาเอาชนะ ไม่ต้องเอาเหรียญมาให้ได้ ขอแค่เป็นคนดี มีน้ำใจ แม้จะไม่ชนะ ก็ไม่เป็นไร
   ลูกเป็นที่หนึ่งในใจพ่อเสมอ
Title: Re: มค 53
Post by: O'Pern on January 16, 2010, 06:06:34 pm
16 มค53
   วันนี้วันหยุด กะจะตื่นมาอัดจักรยานแต่เช้าตรู่เหมือนเมื่อก่อน แต่เอาเข้าจริงกลับไม่ยอมลุก ที่จริงน่ะรู้สึกตัวตื่นแล้ว แต่มาลุกจากที่นอนเอาตอน 0530 เลยได้แต่ปั่นเล่นแถวบ้านอีกแล้ว
   วันนี้ลมไม่ค่อยแรงเหมือนวันก่อนแล้วครับ แววร้อนมันมาแล้ว ไอเย็นไม่ค่อยปะทะหน้าเท่าไหร่เลย แถมกลางวันก็แดดแรงจัด เดินผ่านนิดเดียวโดดแสงแดดแทบละลาย แสบผิวเหลือเกิน
   ทานอาหารกลางวันแล้วรู้สึกอิ่มมาก กลัวอ้วน ก็เลยเอาไม้ถูพื้นมาถูบ้านซะ บ้านผมมี 2 ชั้น (หลังที่อยู่คนเดียว) ถูมันหมดเสียสองชั้นเลย แต่ก็ไม่เห็นจะรู้สึกผอมนะ มันแค่รู้สึกดีหน่อยที่ได้ขยับเขยื้อนร่างกายบ้าง
   ถูพื้นยังไม่สะใจ เลยเอาน้ำฉีดล้างกระจกบานใหญ่ที่เป็นกำแพงห้องรอบด้าน ผนังห้องผมเป็นกระจกครับ ไม่ได้ล้างมาหลายปี มาวันนี้ฉีดน้ำล้างเสียใสแจ๋วไปเลย ติดที่ว่ามันบานใหญ่ สูงมาก เช็ดถูไม่ค่อยถนัด
   ช่วงนี้ผมทะยอยเอาข้าวของจำเป็นส่วนตัวไปไว้ที่คอนโดบ้าง เลือกเฉพาะแบบจำเป็นจริงๆ เพราะไม่อยากขนกลับ ไอ้ตอนขนไปน่ะพอได้ แต่ตอนขนกลับมันมักจะขี้เกียจมากกว่า
   ก่อนผมจะลงมือออกแบบอะไรก็มักจะต้องใช้เวลาขลุกอยู่กับสิ่งนั้นนานหน่อย จำได้ว่าตอนได้รถยนต์คันใหม่มานี่โคตรจะเห่อเลย ขนาดขับถึงบ้านแล้ว จอดรถดับเครื่องแล้วก็ยังไม่ลงจากรถ นั่งมันอยู่ตรงนั้นแหละ ไม่รู้ทำอะไรของมัน แต่ว่าตอนนั้นผมมีความสุขเหลือเกิน เดินผ่านก็มองทีหนึ่ง จับโน่นนิด นี่หน่อย ยิ่งถ้าเพิ่งล้างนะ ฝุ่นอย่าหวังว่าจะได้เกาะเลย
   มาวันนี้โตขึ้นมาหน่อย ค่อยๆ อัปเกรดจากรถยนต์มาเป็นคอนโด (อีกหน่อยคงเป็นบ้าน แต่อีกนานแน่เลย) แม้จะเป็นห้องโล่งๆ แต่ก็เอาถุงนอนมาปูนอนเล่น มุมโน้นบ้าง มุมนี้บ้าง ดูว่าตรงไหนจะดีกว่ากัน อันไหนจะสบายกว่ากัน ว่าจะลองค้างสักคืนดู ผมอยากรู้ทิศทางของแสงในช่วงเช้า
   แต่ก็แค่ดูนั่นแหละ เพราะอย่างไรแล้วผมคิดไว้แต่แรกว่าจะไม่เอาผ้าม่าน ผมชอบแบบโล่งๆ ดึกๆ เปิดไฟคนเห็นก็ช่างประไร ไว้ทนไม่ไหวค่อยติดภายหลัง อย่าลืม ไอ้ตอนติดน่ะง่าย แต่ตอนถอดออกนี่สิ มันยากยิ่งกว่า
   แถมจะเสียเงินฟรีเอานี่สิ
Title: Re: มค 53
Post by: O'Pern on January 17, 2010, 05:40:23 pm
17 มค 53
   เช้าวันอาทิตย์นี้ไม่ได้ไปไหนครับ ผมไปส่งพ่อกับแม่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ออกจากบ้านตั้งแต่ยังไม่หกโมงดี เช้าๆ แบบนี้รถยนต์น้อยมาก ขับสบายดีเหลือเกิน ผมชอบขับรถตอนเช้ามากกว่าตอนกลางคืนครับ ยิ่งถ้าเป็นรถเปิดประทุนคันเก่าด้วยล่ะก็ เอาออกขับทุกเช้าวันอาทิตย์เลยล่ะ
   นี่พ่อกับแม่ไปสนามบินผมเลยขับรถไปส่ง ปกติหากผมไปเองล่ะก็จะนั่งรถเมล์ครับ เรื่องจริง แรกๆ ก็นั่งแท๊กซี่เหมือนคนส่วนใหญ่นั่นแหละ แต่หลังๆ เริ่มฉลาดขึ้นมานิด มีรถเมล์แอร์สาย 558 ผ่านหน้าปากซอยบ้าน ขาไปก็ลำบากหน่อย เพราะต้องข้ามฝั่งถนนไปขึ้นรถ แต่ขากลับสะดวกมาก รถจอดหน้าปากซอยบ้านพอดีเป๊ะเลย
   นั่งรถเมล์ไปขึ้นเครื่องบินนี่เท่มากนะครับ เพราะมันจอดหน้าอาคารผู้โดยสารขาออกเลย ลงรถปุ๊บ เราก็ลากกระเป๋าเช็คอิน บ๊ะ แจ๋วโครตๆ ยิ่งลงพร้อมกับพวกที่ขับรถหรูๆ มาส่งนี้จะยิ่งได้อารมณ์มาก มองหน้าสบตาแล้วเชิดใส่ได้เลย ฮ่าๆ (ผมยังไม่เคยทำนะ)
   แท๊กซี่จากบ้านผมไปสนามบินนี่เกือบ 400 บาทครับ แต่ถ้านั่งรถเมล์ วิ่งเส้นทางเดียวกันเป๊ะ ราคา 36 บาท นั่งสบายกว่าแท๊กซี่อีก ไม่ต้องห่วงเรื่องรถปั่นไมล์อีกด้วย
   ขากลับจากสนามบิน ก็ออกมาหน้าอาคาผู้โดยสาร รอรถรับส่งของสนามบิน เขาเรียกรถ Shuttle Bus จะเป็นรถสีขาว กระจกใส รถจะไปส่งเราที่ท่ารถเมล์พอดี (นั่งฟรี) ขากลับนี้ได้ขึ้นรถเมล์ต้นสายเลย วางกระเป๋าใบใหญ่แค่ไหนก็สบายมาก แต่ต้องเลือกฝั่งนั่งให้ดี นั่งผิดฝั่ง จะร้อนมาก (ต้องจำทิศทางของแสงแดดให้ดี)
    ผมส่งพ่อกับแม่เสร็จก็ขับรถกลับบ้าน ฟ้ายังไม่ทันจะสว่างดี ก็เลยถเลไถลเล่นที่จุดพักรถบนทางด่วนช่วงแถวพระโขนง วกขับเข้าไปเล่นๆ ไปเข้าห้องน้ำ แต่เห็นสถานที่สวยงามดีมาก แถมอากาศตอนเช้าเย็นดี ผมเปิดกระจกขับมาตลอดทาง วันนี้เอารถพ่อออกมาซิ่งอีกด้วย กดไปเร็วเลยล่ะ ก็เลยเติ้มลมยางสักหน่อย แล้วก็เดินเล่นต่อ ถึงร้าน McDonald เป็นมี French Fried ลดราคา 50% เลยจัดการมาเสีย 1 ถุง เอามาฝากภรรยาที่บ้าน
   ถึงบ้านเอาตอน 0730 ชวนภรรยาไปเดินเล่นสวนจตุจักรกัน ไปถึงก็กินก๋วยเตี๋ยวบะหมี่หมูแดงเจ้าประจำ ร้านนี้กินมาตั้งแต่ชามละ 10 บาท จนค่อยๆ ทะยอยปรับราคา มาวันนี้ชามละ 30 บาทแล้ว ทุกทีกินอร่อยนะ ผมมักสั่ง 2 ชามเสมอ แต่วันนี้รู้สึกไม่อร่อยเท่าไหร่เลย ใจผมเทไปทางก๋วยเตี๋ยวต้มยำที่ตลาดน้ำบางน้ำผึ้งแล้ว ที่โน่นชามละแค่ 12 บาท ยังให้เยอะกว่าที่นี่ชามละ 30 บาทเลย
   กินเสร็จก็แยกย้ายกับภรรยากันเดินครับ ครอบครัวผมเป็นแบบนี้แหละ เพราะต่างคนต่างสไตล์ ใครจะไปไหนก็ตามสะดวก ไม่ต้องมารอคอยกัน แล้วก็กำหนดเวลานัดหมาย 1200 ที่จุดนัดพบบริเวณรถไฟฟ้า MRT
   ภรรยาเขาก็เดินดูของกระจุกกระจิกตามสไตล์เขา ส่วนผมชอบลุยๆ ไปดูพวกอุปกรณ์แคมปิ้ง อุปกรณ์ทหาร และพวกของเก่า ของโบราณ ของแต่งบ้าน สุดท้ายก็หนังสือ
   เดินผ่านร้านเสื้อผ้ามือ 2 เห็นมีรองเท้าจักรยานของ Shimano ด้วย ของ Sidi ก็ยังมี ถามราคา เขาว่าคู่ละ 900 บาท แหม สภาพย่ำแย่นะ แม้จะล้างมาเสียอย่างดี แต่ดูจากร่องรอยการใช้งานแล้ว ผมว่าน่าจะเหลือสัก 400 บาท คือพื้นมันสึกไปเยอะมาก บริเวณหัวรองเท้าก็มีร่องรอยหักงอจากการเดินบนพื้น จับพื้นรองเท้างอดูรู้สึกเหมือนมันจะหักๆ (ปกติรองเท้าสภาพดีจะแทบงอไม่ได้)
   เสื้อจักรยานก็มีครับ สีสัดลวดลายแบบงั้นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกมีตรายี่ห้อติดเยอะๆ นี้ผมไม่ชอบเอาเสียเลย
   ผ่านร้านแคมปิ้งร้านใหญ่ เจ้าของอัธยาศัยดีครับ ผมถามอะไรก็อธิบายเสียละเอียดยิบ หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส เป็นหญิงอายุมากแล้วด้วยนะ คนขายเก่งแบบนี้ ทำให้ผมต้องยอมจ่ายเงินซื้อเปลยี่ห้อ Innovate มา 1 หลัง (เปลเขาเรียกกันเป็นหลังหรือเปล่าครับ) เผื่อเอาไว้ผูกนอนตอนออกทริปจักรยาน
   เข้าไปร้านหนังสือ เมื่อก่อนจะดูแต่หนังสือรถยนต์ มาวันนี้หาดูแต่หนังสือจักรยาน ฮ่าๆ ก็มีครับเป็นหนังสือการบูรณะจักรยาน แต่เป็นข้อมูลของรถยุคปี 1970 ตัวรถและอุปกรณ์ที่เกี่ยวเนื่องล้วนเก่าแก่ เห็นแว๊บแรกคิดถึงเจ้า Printer ขึ้นมาทันใด รายนั้นเขาชอบบูรณะรถจักรยาน เล่มนี้เหมาะกับเขาอย่างมาก เพราะสอนรื้อถอดอะไหล่เก่าๆ อย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นชุดกระโหลก ตีนผีรุ่นต่าง เฟืองหลังสารพัดชนิด กระทั่งการขึ้นซี่ลวดก็ยังมีบอก
   ระหว่างที่อยู่ในตลาดนัด ผมได้ฝึกพูดภาษาอังกฤษมากมาย แต่เป็นการพูดที่แปลกที่สุด เพราะเป็นคนไทยมาพูดกับผม พ่อค้าแม่ค้านั่นแหละครับ เขาคงเห็นผมเป็นคนต่างชาติ (ต่างด้าว) หน้าตาน่ะ ไม่ได้ไปทางฝรั่งแน่ๆ ตระเวณอยู่ในละแวกนี้แหละ แรกๆ ตกใจ แต่ก็กลัวเขาเสียหน้า ก็เลยคุยโต้ตอบแบบยิ้มแย้มกลับไป แต่รู้สึกได้ทันทีครับว่า พูดภาษาอังกฤษแล้วเขาจะเกรงใจเรามากกว่า อย่างตอนเลือกของ ถ้าคนไทยเลือกอยู่นานแล้วไม่ซื้อ แม่ค้ามองตาขวางเลย แต่นี่ผมคนไทยแต่พูดอังกฤษ จะออกจากร้านก็แค่พูด แทงคิ้ว อย่างเดียว ยังส่งยิ้มกลับมาให้อีกด้วย
   นัดหมายกับภรรยาเวลา 1200 ตอนแรกว่าจะหาส้มตำกินกัน แต่อากาศย่านนี้ดร้อน แดดแรงเหลือเกิน เลยพากันไปกินร้านส้มตำแถวบ้าน ชื่อร้านเจ๊เล้ง รสชาติดี ราคาปานกลาง แต่ที่เหนือกว่ามากคือบรรยากาศร้านที่ร่มรื่นนั่งสบาย ลมเย็นพัดผ่านตลอดเวลา
   ผมว่าลมคือสิ่งสำคัญในการสร้างบรรยากาศครับ บ้านเมืองจะมีความสุขสงบดีก็ต้องเป็นเมืองทีมีอากาศดี ลมพัดผ่านหมายถึงการระบายอากาศที่ดีด้วยนะ คือได้อากาศเย็นสดชื่น อยู่ในเมืองที่หนาแน่น กับออกไปเที่ยวต่างจังหวัด แม้จะไม่ได้นอนห้องแอร์เย็นฉ่ำ แต่ทำไมกลับรู้สึกสบายตัว สบายใจมากกว่ากันล่ะ เคยหาเหตุผลกันไหม
   กลับมาบ้าน บ้าเห่อรีบค้นเปลออกมาดู แต่สินค้าของเขาแพ็คไว้ในถุงสวยเหลือเกิน ม้วนเก็บอย่างดี เรียบร้อยเอามากๆ นี่ถ้าผมเอามากางแล้วคงจะเก็บเหมือนที่เขาทำได้ยากมากแน่ๆ เลยได้แต่ดู ลูบๆ คลำๆ ยังไม่ได้กางจริงๆ (ปัดโธ่)
Title: Re: มค 53
Post by: O'Pern on January 20, 2010, 04:16:07 pm
18 มค 53 - 19 มค 53
   สองวันนี้ผมมีประชุมเช้าจรดเย็นเต็มเหยียด ก็บรรยากาศแบบเดิมๆ แหละครับ นั่งฟังสังเกตุการณ์อยู่หลังห้อง หากวิทยากรคนไหนพอจะคุ้นเคยกันบ้าง ก็จะย้ายมานั่งด้านหน้าบนโซฟา แหม ดูเท่ฉิบเป๋ง
   วิทยากรมีหลากหลายนะครับ อ่อนกว่าผมก็มีเยอะ ผมมักจะดูไลฟ์สไตล์ของเขา ถ้าชอบออกกำลังกายก็จะคุยกันได้สนุกหน่อย โดยเฉพาะพวกเป็นหมอ ผมมักจะมีคำถามมาสอบถามเขาเยอะ
   หมอแต่ละคนก็มีแนวคิดต่างกันไปนะครับ ไม่ใช่ว่าหมอแล้วจะต้องถูกต้องเสีย 100% ไปหมดทุกคน หมอเก่งก็มี หมอมั่วแต่ตอบแบบกลัวเสียฟอร์มก็เยอะ จะถามหมอคนไหน ก็ต้องพิจารณาหมอเป็นรายๆ ไป (ทำยังกะคนไข้ ฮ่าๆ )
   ประชุมเช้า เบรกตอน 1030 ไอ้ตอนเบรกนี้จะเหมือนผึ้งแตกรัง สิงห์นักสูบก็จะปรี่ไปสูบบุหรี่หลบมุม ผู้สูงอายุก็จะตรงดิ่งเข้าห้องน้ำ หนุ่มสาวก็ตรงไปหยิบกาแฟและขนมปังมากิน ส่วนวิทยากรก็โล่งอกหน่อย ได้พักปาก พักเสียงบ้าง
   ถึง 1200 ก็เบรกกลางวัน เข้าอีกที 0100 ตรงเวลาเหมือนเป็นนักเรียนเป๊ะเลย ตอนพักก็ต้องแย่งกันกินอีกแล้ว บางงานผู้จัดเข้าใจดี ก็จะจัดสำรับแยกต่างหากให้วิทยากรรับเชิญ ก็ดูดีนะ ไม่ต้องไปเบียดแย่งกับพวกเด็กๆ
   แต่ผมชอบกลมกลืนครับ เข้าไปต่อคิวกับพวกพนักงานเขานี่แหละ มักจะได้ยินเรื่องซุบซิบต่างๆ ประจำ บ้างก็นินนาวิทยากร บ้างก็บ่นน่าเบื่อ ง่วงนอน แล้วแต่ว่าวิทยากรจะเป็นใคร นี่คือข้อมูลดิบ ข้อมูลจริง ตรงจากปากของผู้เข้าสัมนา โดยไม่ต้องทำแบบสอบถามเลยล่ะครับ
   พักอีกรอบตอน 0230 เอาอีกแล้ว เหมือนเบรกตอนเช้าเป๊ะเลย ทำไมชีวิตมันมมีอะไรให้ทำกันแค่นี้เองหรือนี่ ว่าแต่เขาน่ะ ผมเองก็เป็นครับ ตอนเบรกมักจะโทรกลับเบอร์ที่ผมไม่ได้รับสาย เชื่อไหมว่าบ้างก็บอกว่าเขาโทรผิดมา หึหึ ไอ้เวร
   เลิกเอาตอนเย็น แต่ผมก็จะอยู่นั่งคุยนั่งเล่นต่อ ข้างนอกรถติดสาหัส กลับไปตอนนี้ก็เหมือนฆ่าตัวตายชัดๆ บางทีนั่งกันจนมืด ชวนกันไปกินอาหารเย็นต่ออีกรอบ
   ประชุมยาวๆ แบบนี้ บางงานมีห้องพักจัดให้ค้างคืนเลยนะ แบบนั้นผมชอบมาก เพราะได้อิสระดี ไม่ต้องรีบขับรถฝ่ากลางเมืองเข้าไปแต่เช้า
   
20 มค 53
   ผลจากการเจ็บเข่า ทำให้เดินไม่สะดวก ลองเอาจักรยานออกปั่นดู ใช้เกียร์เบาๆ ปั่นช้าๆ ไม่เร่งรีบ ก็ไม่เจ็บอะไร ยังกลับรู้สึกสนุกสบายดีเสียอีก
   กลางวันเข้าคลองถมอีกแล้ว เอาสายชาร์จแบตไปเปลี่ยน (ยังอยู่ในประกัน) ถ้านับของใหม่ที่จะไปเอาในวันนี้ก็จะเป็นสายชาร์จเส้นที่ 5 แล้ว โถ ทำไมของมันช่างห่วยขนาดนี้นะ นี่ถ้าเป็นคนอื่นคงจะโยนทิ้งแล้วสาปส่ง เพราะค่าจอดรถในคลองถม เขาคิดชั่วโมงละ 30 บาท ไหนจะค่าเสียเวลาที่รถติดมากๆ คนส่วนใหญ่คงจะไม่ขยันเข้ามาเปลี่ยนแบบผมเป็นแน่
   ผมเข้าคลองถมกับรถพับคู่ใจ JZ88 ยิ่งใช้ยิ่งชอบครับ คล่อง เล็ก กระทัดรัด เด่นตรงเข็นง่ายและเบามือมากๆ คล่องแคล่ว ซิกแซกได้ดี จับถนัดมือ เอาเป็นว่าหากต้องการรถเล็กๆ มาใช้ในภาระกิจเข้าคลองผม ผมยกให้ JZ88 เป็นอันดับ 1 เหนือกว่า Brompton เยอะมาก รายนั้นได้ตรงพับเก็บแล้วเล็ก แต่ขนย้ายขณะพับ และเข็นในที่แคบๆ คนพลุกพล่านยังไม่ดีนัก
   พอพนักงานในร้านเห็นหน้าผมเขาก็ส่งยิ้มให้ บอกจำได้เลยว่าจะมาทำอะไร ฮ่าๆ แหม คงจะรู้ดีสิน่ะว่าขายสินค้าคุณภาพเหลือเกิน
   จะว่าไปผมว่าร้านเขาก็บริการดีนะ ไม่เคยบ่นอะไรสักนิด ผมมาวันนี้ก็รอบที่ 5 แล้ว
   “พี่ เอาของแท้ไปเลยไหม” พนักงานถาม
   “ของแท้เท่าไหร่หรือ”
   “180”
   “แล้วเส้นนี้เท่าไหร่หรือ” ผมถามพลางชี้สายชาร์จฯ ที่เขาถือในมือ มันก็คือของผมเองนั่นแหละ
   “80”
   “เฮ้ย ไม่ใช่ ผมซื้อมา 150 ซื้อที่นี่แหละ ซื้อพร้อมแบตฯ อีกก้อน แบต 100 บาท รวมเป็น 250” พูดจบผมก็หยิบแบตฯ สำรองให้เขาดู
   พนักงานไม่พูดอะไรตอบ ก้มลงไปหยิบสายชาร์จอันใหม่มาทดลองเสียบ เขาบอกว่าอันนี้อย่างดี ก็ไม่แน่ใจว่ามันจะดีแค่ไหน ผมขอแค่ให้มันชาร์จไฟเข้าได้ ไม่รวน ก็โอเคแล้ว นี่ดีนะที่ผมไม่ได้ไปต่างประเทศ ไม่งั้นมันไปเจ๊งต่างถิ่นผมงานเข้าแน่ๆ โทรศัพท์ก็รุ่นดึกดำบรรพ์ ไม่รู้จะไปถามหาสายชาร์จได้จากที่ไหน
   ขากลับออกมาเจอฝนครับ ตกเป็นละออง ปรอยๆ ก็ปั่นมันฝ่าไปนั่นแหละ แต่พอติดไฟแดงก็จูงรถเข้ามาจอดบนฟุทบาท หลบฝน มอเตอร์ไซค์เขามองกันใหญ่ เป็นไง อยากได้จักรยานบ้างล่ะสิ
   ฝนเริ่มลงหนัก ติดไฟแดงนาน ไม่รอแล้วครับ จูงรถข้ามถนนดีกว่า ข้ามทางม้าลายนี่แหละ พอพ้นถนนก็ปั่นต่อ แหม เห็นประโยชน์ของจักรยานหรือยัง ไม่ต้องติดไฟแดงนานๆ อีกด้วย
   เข้ามาบ้านตอนบ่าย เปิดเครื่องคอมฯ เจอ pm มาจากเวปจักรยาน ถามเกี่ยวกับรถ Strida คิดว่าน่าจะเป็นมือใหม่เอี่ยม เพราะถามว่าขี่ยกล้อได้ไหม โดดเนินได้ไหม หึหึ ไม่อยากจะนึกภาพเล้ยยย
   ก็ตอบเขาไปตามความเป็นจริงแหละครับ บอกเขาถึงจุดเด่นจุดด้อยของรถ Strida

เด่น
-   พับเร็ว พับง่าย พับไว พับเล็ก ขนย้ายขณะพับสะดวกมาก ใช้สายพาน ทำให้ไม่เลอะเทอะมือและเสื้อผ้า

ด้อย
-   โครงสร้างไม่แข็งแรง จะว่าเปราะก็ไม่ผิด ง้ามเฟรมมากหน่อยลูกหมากยึดข้อต่อก็หลุดได้ (แต่ใส่ง่าย)
-   ขี่ลุยไม่ดี ไม่เหมาะเลย เจอทางขรุขระก็แนะนำให้เลี่ยงจะดีกว่า
-   ขึ้นเนิน ยืนโยกปั่นไม่ได้เลย ทารุนสายพานมาก แถมรถก็ยังแทบไม่วิ่ง แนะนำให้ลงเข็น
-   ขี่เร็วๆ ไหลลงสะพานเร็วมากๆ หน้าแกว่ง ทรงตัวไม่ดี แนะนำให้ลงจูง
-   ไม่มีเกียร์
-   บรรทุกของเยอะ ของหนักมากๆ ไม่ได้ (สำหรับทัวริ่ง) 

Strida เด่นตอนพับ ตอนขนย้ายขณะพับ นี่คือคุณลักษณะของเขา
Title: Re: มค 53
Post by: O'Pern on January 22, 2010, 03:43:40 pm
21 มค 53
   เช้านี้ออกปั่นเบาๆ ราว 30 นาที วันนี้รู้สึกร้อนอย่างเห็นได้ชัด ไอคลื่นความเย็นเริ่มมลายหายไป ลมที่เคยพัดเย็นสบายก็ลดน้อยลงมาก กลายเป็นไอความร้อนแทน
ผมเจ็บหั้วเข่าครับ เกิดจากการยกของ อาทิตย์ก่อนหลังเจ็บ การยกของก็เลยต้องใช้ย่อตัวลุกขึ้นยืนตรงๆ ก็รู้ดีนะ ก็ทำอยู่ แต่คงจะย่อบ่อยไปหน่อย กลายเป็นมาเจ็บเข่าเพิ่ม ส่วนหลังนั้นค่อยยังชั่วขึ้นเยอะแล้ว
ไม่รู้เกี่ยวกับดวงชะตาไหมนะ ปีนี้เขาว่าปีวอกเป็นปีชง ผมเกิดปีวอกเสียด้วย ธรรมดาไม่ค่อยเชื่อเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ แต่เข้าปีนี้แค่ไม่ถึงเดือน ผมทั้งเจ็บหลัง เจ็บเข่า ยังไม่รู้ว่าจะมีเรื่องร้ายๆ อะไรตามมาอีกหรือไม่ เพราะวันก่อนขณะขี่รถ JZ88 ล้อก็แฉลบแผ่นกระเบื้องบนฟุตบาทเกือบล้ม ล้อหน้าไถลเสียการทรงตัว ทั้งๆ ที่เรื่องพวกนี้ไม่เคยเกิดกับผมมาก่อนเลย
จะอย่างไรก็แล้วแต่ครับ จะชงหรือไม่ชง เราก็ต้องระมัดระวังตัวทุกขณะอยู่แล้ว ทั้งสุขภาพร่างกาย และสภาพจิตใจ จะมารอโชคชะตาบันดาลอย่างเดียวเห็นจะยาก ต้องเพิ่มความอุตสาหะของเราเข้าไปด้วย
คอนโดที่ผมอยู่เขามีเวปบอร์ดเอาไว้คุยกันด้วยนะ ผมก็ไปแจมกับเขาบ้าง แต่ไม่ได้โพสอะไรเยอะนัก ไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้สักเท่าไหร่ จนกระทั่งมาเจอกระทู้เกี่ยวกับจักรยานนี่แหละ มีคนเขาบอกว่าอยากได้ที่จอดจักรยาน ผมเลยเข้าไปช่วยเสริม อันที่จริงแล้วผมรู้สึกเฉยๆ กับที่จอด เพราะหากเป็นคนเล่นรถจริงๆ เขาจะใช้จอดในห้องแทน นอกจากจะเป็นรถเกรดใช้งานนั่นแหละ ถึงจะกล้าจอดในที่จอด แถมยังต้องล็อคอย่างดิบดี รถถูกๆ ใช่ว่าจะไม่หาย ไม่ว่าประเทศใดในโลก จะให้เจริญสุดยอดอย่างญี่ปุ่น เกาหลี หรือฝรั่งอย่าง นอร์เวย์ สวีเดน เนเธอร์แลนด์ หากจอดรถโดยไม่ล็อค หายเกลี้ยงครับ ผมยืนยัน
หากผมใช้ชีวิตอยู่ในคอนโดหลังนี้ ผมมองไปที่รถแบบ Mini เพราะผมไม่ค่อยได้พับมันเท่าไหร่ ห้องพักผมกว้างพอที่จะวางรถแบบ Mini ได้ และในกรณีที่ผม
ต้องการใช้รถพับเพื่อไปข้างนอก ผมก็ยังมีเจ้า KHS F20-W อีกคัน ในกรณีสุดๆ ผมยังเหลือเจ้า JZ88 อีกคัน
แต่ Mini ที่ผมมองคือรถแบบ Fixed Gear ซึ่งผมยังไม่เคยเห็น รถ Mini ในท้องตลาดที่ผมว่าดูดีสุดในขณะนี้คือรถของ Chevy ผมชอบเฟรมของเขามาก ออกแบบได้เก่าสะใจดี เฟรมท่อนบนขนานกับพื้น คุ้นๆ ว่าราคาไม่ถึงหมื่น แต่รถเขาเป็นแบบ 8 หรือ 9 Speed นี่แหละ ครั้นจะให้ถอดชุดเกียร์ออกก็ใช่ที่ แหม ก็ของมันยังดีอยู่เลย ยังใหม่อยู่มาก จะให้หารถมือ 2 ก็ทำใจไม่ได้กับราคา และยังต้องมาบูรณะกันอีกยกชุด รวมถึงการอัปเกรดมันให้เป็นรถแบบ Fixed Gear ผมว่าต้องลงอีกหลายพันแน่ๆ
เอาเข้าจริงคงได้ Mini ธรรมดานี่แหละครับ ฮ่าๆ จะเป็น Chevy หรือ Java ก็่ค่อยว่ากัน รถของ Java ก็เข้าท่าดูดีเลยล่ะ ให้เบรกแบบดิสค์มาเสียด้วย ติดที่เฟรมมันดูไม่เก่าเก๋าเหมือนของ Chevy (แต่คนอีกมากบอกว่าเฟรมของ java สวยกว่า)
มี pm มาจากเวปจักรยานอีกแล้ว คนนี้มาแรง ใช้ Dahon P8 แต่อยากตัดท่อคอให้เตี้ยลง 1 นิ้ว ผมเลยต้องรีบตอบไปว่า ช้าก่อนๆๆ อย่าไปตัดมัน เพราะตัดแล้วก็ต้องต่อ ไม่ใช่เหมือนแฮนด์ที่ตัดแล้วตัดเลย แถมตัดไปแล้วตอนพับมือเบรกมันจะไปชนกับ Chain Stay จะกลายเป็นพับไม่ได้เอาน่ะสิ กลัวจะยิ่งทำยิ่งเละ สุดท้ายต้องหาซื้อท่อคอของเดิมมาใส่กลับ
คุยแล้วนึกถึงพวกทำรถยนต์ที่มีไอเดียหลากหลาย แต่ทำโดยช่างลูกทุ่งที่มี
สโลแกนว่า “ยาวตัด สั้นต่อ ไม่พอซื้อใหม่” เขาทำกันอย่างนี้จริงๆ ครับ เล่นกันจนเจ้าของรถจนไปเลยก็มี แถมรถยังวิ่งไม่ดีอีกด้วย
สรุปง่ายๆ คือเสียเงินเปล่า
ตกเย็นพาลูกไปทำฟันที่ตึกชาญอิสสระ สุรวงศ์ ต้องรีบขับรถไปอย่างเร็ว กลัวรถจะติด เพราะเขาปิดซ่อมสะพานลอยข้ามแยกละแวกนั้น อัดอย่างเร็วจี๋ ใช้เวลาจากบ้านไปถึงร้านหมอฟันแค่ 30 นาที
ผมเองก็นัดหมอฟันทำวันนี้เช่นกันครับ แล้ววันนี้ก็โชคดี ฟันไม่มีปัญหาอะไร หมอแค่ตรวจแล้วขูดหินปูน แล้วก็นัดอีก 6 เดือนข้างหน้า ส่วนลูกเขามีฟันแท้ขึ้นมา 6 ซี่ หมอเลยเคลือบพลาสติคให้ และนัดอีก 6 เดือนเช่นกัน
ร้านหมอฟันที่ผมทำนี้เก่าแก่มากครับ ชื่อร้าน สมภพ-อัมพุช คลีนิค ผมทำกับหมอตั้งแต่ผมอายุสิบกว่าขวบ ทำตั้งแต่หมอยังสาวสวย จนตอนนี้หมอมีลูกเรียนจบทำงานกันหมดแล้ว ผมเองก็มีลูก และให้ลูกมาทำฟันที่เดียวกับผมนี่แหละ ชอบเพราะเขาทำฟันได้ดีมากๆ ดูแลฟันเราอย่างสมบูรณ์แบบ
ร้านนี้ทำฟันให้เชื้อพระวงค์ด้วยครับ หากเจ้าฟ้าชายท่านมา หรือพระองค์ที หรือพระองค์อื่น ก็จะปิดร้านบริการท่านพระองค์เดียว
แต่ถ้าเป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หมอจะถวายการรักษาถึงในวังครับ

22 มค 53
   เช้านี้เริ่มร้อนอย่างเห็นได้ชัด ฤดูหนาวคงจะหมดสิ้นไปแล้ว อยากให้ผมคิดผิดจัง ผมว่าใครๆ ก็ชอบฤดูหนาวนะ ยกเว้นคนยากจนบนดอย
   ออกปั่นจักรยานไป 1 ชม หัวเข่าที่เจ็บเริ่มดีขึ้น หลังก็ดีขึ้น ทำไมมันต้องมาเจ็บอะไรพร้อมๆ กันด้วยก็ไม่รู้ หรือว่าเป็นปีชง
   ผมอ่านดวงชะตา เขาว่าคนเกิดปีวอก ต้องไปไหว้พระธาตุพนม จังหวัดนครพนม หลายปีก่อนคนเกิดปีขาลเป็นปีชง พ่อและแม่ผมเกิดปีขาล เขาว่าต้องไปไหว้พระธาตุช่อแฮ จังหวัดแพร่ งานนั้นผมเป็นคนขับรถให้ ซัดคนเดียวจนถึงแพร่ ขับรถพ่อไปครับ รถมันขับสบาย นั่งสบาย ขับสนุก เครื่องแรง เลยสะใจ
   เอ๊ะ ปีนี้ปีของผมเป็นปีชง น่าจะอ้างหาเรื่องขี่จักรยานเที่ยวเล่นนะครับนี่ ปั่นจักรยานไปไห้วพระธาตุพนมน่าจะเท่สุดยอดไปเลย
   ไอเดียมันแว่บเข้ามาเล่นๆ แต่คิดแล้วน่าทำจริงครับ อายุเริ่มมากขึ้นก็เริ่มจะอ้างอิงดวงชะตาบ้าง ฮวงจุ้ยบ้าง ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนนี้ไม่เห็นจะสนใจอะไรสักนิด
   ยิ่งตอนมีห้องคอนโด หรือทำงานพวกออกแบบบ้านนี่ยิ่งต้องสนใจครับ เพราะแม้เราจะไม่ถือ แต่ลูกค้าเขาถือ เขาไม่ชอบเสียอย่าง มันก็ปิดงานไม่ได้ เพราะงานที่สมบูรณ์คืองานที่ลูกค้าพอใจ
   แต่ผมไม่ได้เคร่งอะไรนักนะครับ เอาแค่เฉพาะที่มันอิงกับหลักวิทยาศาสตร์ได้ เช่นหัวเตียงไม่ควรมีชั้นวางของ ประตูไม่ตรงแนวเดียวกับเตียงนอน อะไรทำนองนี้แหละ
   ว่างๆ ก็ลองศึกษาศาสตร์เรื่องพวกนี้ของญี่ปุ่นเขาด้วย ส่วนใหญ่เขาจะอยู่ในห้องชุดเหมือนพวกคอนโดกัน ก็พบว่าเขามีแนวคิดที่ละเอียดอ่อนมาก เริ่มกันตั้งแต่ประตูและโถงทางเดินเข้าห้องกันเลย ลักษณะของห้องก็เหมือนกับคอนโดเรานี่แหละครับ
   กลางวันไปทำธุระที่ธนาคารกสิกรไทย เห็นเขามีโฆษณาทำบัตร ATM แบบพร้อมรับประกันภัยของกสิกรไทย คือนอกจากจะใช้งานแบบ ATM ตามปกติแล้ว ยังเหมือนได้มีประภัยอุบัติเหตุแถมมาให้อีกด้วย (อันที่จริงไม่ได้เรียกแถมหรอกนะ เพราะต้องเสี่ยค่ารายปี ปีละ 500 บาท เสมือนเป็นการซื้อประกัน)
   ผมมีประกันภัยส่วนตัวอยู่แล้ว แต่ไม่เคยได้ใช้บริการอะไรกับเขาหรอก ก็ถือว่าดีที่เราไม่เจ็บอะไร แต่กับของกสิกรนี้ผมสนใจ เพราะมันเบิกจ่ายได้สะดวกมาก ดูในรายละเอียดก็พบว่ามีโรงพยาบาลที่ทางบ้านผมใช้บริการประจำเข้าร่วมโครงการด้วย
   เราไม่ได้จ่ายเงินอะไรเลย แค่ยื่นแสดงบัตร และเซ็นชื่อรับทราบเท่านั้นเอง อืมม แบบนี้ผมว่าสะดวกดีนะ ยิ่งถ้าขี่จักรยานผาดโผนเล่น BMX เหมือนตอนหนุ่มๆ ผมว่าต้องได้ใช้บริการกันแทบทุกวันเป็นแน่ จำได้ว่าเจ็บตัวบ่อยเหลือเกิน ที่คลาสสิคและโดนกันทุกคนคือบันไดตีหน้าแข้ง โถ คุณ แค่เล่าย้อนหลัง ผมยังนึกเสียวหน้าแข้งตัวเองเลย
   วันนี้มี pm จากพี่เจี๊ยบมาถึงผม พีมักจะส่งเรื่องราวต่างๆ มาให้ผมอ่าน ผมมักไม่ค่อยได้ตอบกลับ นอกจากเสียว่าจะเป็นความเห็นที่ผมขัดแย้ง เนื้อหาเป็นบทความคัดลอกจากนิตยสาร ลองอ่านกันดูครับ ผมว่าน่าสนใจ เลยก๊อปมาให้อ่านกันซ้ำ

   วันนี้อ่าน Secret
คุณดู๋ สัญญา คุณากร เล่าว่า

           " ใช่ เพราะทุกอย่างสอนเราเสมอ แต่ก่อนผมปั่นจักรยานไปทำงานที่เจเอสแลซึ่งอยู่ที่ลาดพร้าว 107 บ้านผมอยู่สุขุมวิท 49 ปั่นไป 16.5 กิโลเมตร สมัยนั้นปั่นจักรยานด้วยความรู้สึกดี เพราะไม่ต้องใช้น้ำมัน ประหยัดพื้นที่ พอย้ายบ้านมาอยู่แจ้งวัฒนะ ก็ปั่นจากแจ้งวัฒนะไปเจเอสแอลอีก คราวนี้ 27.5 กิโลเมตร ขากลับ โอ้โฮ...มืดแล้วยังไม่ถึงบ้าน แต่ก็มีความสุข
             ที่บอกว่าทุกอย่างสอนเราคือ จักรยานสอนว่าถ้าคุณเป็นคนที่ตัวเล็กที่สุดในสังคม คุณจะอยู่รอดด้วยอะไร ถนนเปรียบเหมือนสังคมๆ หนึ่ง ทุกคนไม่รู้จักกัน คนกล้ามใหญ่คือพวกรถเมล์ โฟร์วีล บิ๊กฟุต พวกคนบรรดาศักดิ์คือพวกรถแพงๆ รถเบนซ์ รถอะไร ที่มันยาวๆ ใหญ่ๆ ส่วนคนที่ช่ำชองคือพวกแท็กซี่ พวกวัยรุ่นคือสามล้อ และมอเตอร์ไซค์ แต่จักรยานคือพวกที่ไม่มีอะไรเลย ใครมาคุณก็ต้องหลบ ใครแถเข้ามาคุณก็ต้องกลัวเขา ความเร็วก็สู้มอเตอร์ไซค์ไม่ได้ รถเมล์ก็ทำเป็นมองเห็นบ้างไม่เห็นบ้าง เห็นเราปั่นมา แต่เขาจะเข้าป้ายเขาก็ปาดหน้าไป เราก็ต้องหลบขึ้นฟุตปาธ
บางทีจักรยานสอนให้รู้ว่า ชีวิตคนที่เป็นตาสีตาสา คนที่ไม่มีอะไรไม่ใช่คนใหญ่คนโตนี่ ต้องยอมจริงๆ เลย ขับมาตรงๆ ดีๆ แต่เขาอยากจะทำอย่างนั้นก้ต้องยอม ต้องอดทน ต้องเข้าใจ ดมควันก็ต้องทน ถนนตรงไหนไม่ดีรถใหญ่เขาไม่รู้สึก แต่จักรยานรู้สึกหมด ฝาท่อตรงไหนเปิดถ้าตกลงไปแย่เลย เพราะฉะนั้นเวลาปั่นต้องมีสติตลอด ต้องระแวดระวังมองหน้ามองหลัง เป็นการสอนการใช้ชีวิต ถ้าผมเป็นคนไม่มีอะไรในสังคม ผมก้ต้องใช้ชีวิตแบบระมัดระวัง เจียมเนื้อเจียมตัว อดทน นี่จักรยานสอนเรา"

   ผมเห็นด้วยกับความคิดของเขาครับ
Title: Re: มค 53
Post by: O'Pern on January 23, 2010, 01:31:55 pm
23 มค 53
   เช้านี้ขี้เกียจเฉยเลย ไม่ได้ขี้เกียจตื่นนะ แต่ขี้เกียจปั่นจักรยาน จะว่าขี้เกียจก็ไม่เชิงหรอก มันเบื่อที่จะไปในเส้นทางเดิมๆ บางทีออกมาปั่นแต่เช้ามืด ดันไปเจอรถบรรทุกถมดินนำอยู่ข้างหน้า เราก็ดมควันไปสิ ยังไม่นับเรื่องเศษดินที่หล่นเรี่ยราด
   เลยใช้การบริหารแทน เดินไปเดินมา เหวี่ยงแขนขาราว 30 นาที แต่จนแล้วจนรอดก็เอาจักรยานออกปั่นจนได้ ฮ่าๆ
   ผมเจอ GPS ที่ถูกใจแล้วครับ นั่งอ่านรายละเอียดอยู่นาน มีลูกเล่นเพียบ แต่เอาเข้าจริงผมกลัวจะใช้งานมันไม่เป็นน่ะครับ ไม่เคยจับ GPS มาก่อนเลย หลักๆ ที่อยากใช้ก็แค่ใช้จดจำเส้นทางที่เราเคยผ่านมา แล้วก็อยากใช้ระบบนำทาง ผมไม่รู้ว่าเครื่องแบบมือถือจะนำทางได้หรือไม่
   ชอบทุกอย่าง เสียอย่างเดียว ราคาเกือบจะ 3 หมื่นบาทแน่ะ
   ช่วงบ่ายพี่หน่องโทรมาคุย หลังจากเปลี่ยนยางจาก 20X1.75 ไปเป็น 20X1.50 เขาบอกว่าปั่นได้ช้าลงกว่าเดิม แถมล้มกลิ้งมาแล้ว
   ผมตกใจสิ มันเกิดอะไรขึ้น ยางหน้าแคบลง ในหลักการก็ต้องมีแรงเสียดทานต่ำกว่า ยังไงๆ ก็ต้องวิ่งเร็วกว่าเดิมแน่ แต่มันมีเงื่อนไขเล็กน้อย คือ ลักษณะของดอกยาง และแรงดันลมยาง ไอ้ตัวหลังนี้สำคัญเชียวนัก 
   ส่วนที่พี่เขาล้มก็เพราะล้อตกหลุมตอนขี่กลางคืน เขาเล่าแล้วผมเสียวเลย เพราะผมยิ่งไม่คุ้นการขี่กลางคืนอยู่ด้วย ดีที่เขาไม่เป็นอะไรมาก แต่รถสิตระแกรงหลังหักเลย ไม่รู้ว่าเขาขี่รถอะไรไปล้มเหมือนกัน มี Brompton และ Bike Friday นึกแล้วเสียดายรถ แต่ยังดีที่คนไม่เจ็บ
   เข้าเวปของคอนโดไอวี่ มีคนโพสเรื่องอยากให้สร้างที่จอดรถจักรยาน ผมน่ะเฉยๆ เพราะผมไม่จอดอยู่แล้ว ยังไงๆ ก็ต้องเข็นขึ้นห้องแน่ๆ แต่ก็คิดถึงส่วนรวม คิดถึงคนที่เขาใช้รถประจำวันจริงๆ แบบพวกรถแม่บ้าน เลยคิดว่าถ้ามี่ที่จอดไว้บ้าง ยังไงก็ย่อมดีกว่าไม่มีแน่ๆ
   มีคนมาแจมกระทู้บ้าง ถามถึงรถ Strida บ้าง ส่วนผมก็บอกเขาไปว่าผมสนใจรถแบบ Mini ผมเรียกรถ Mini เพราะมันย่อขนาดล้อลง คนทั่วไปในเวปจักรยานเขาเรียก Mini Touring ผมไม่เห็นด้วย แต่ไม่ได้แย้งอะไรเขาไป มันไม่เห็นจะทัวริ่งอะไรตรงไหนสักนิด หากจะเรียกแบบสากลเขาเรียก Mini Bike
   อีกสักพักหากเข้าอยู่จริงๆ ผมจะไปชวนเพื่อนๆ ในคอนโดปั่นจักรยานกัน ไม่ได้คาดหวังให้ออกมาขี่กันเยอะๆ หรอก เพราะมันเป็นไปไม่ได้ ใจลึกๆ จริงๆ ผมอยากได้เพื่อนสนิทใกล้บ้านเหมือนตอนเด็กๆ ตอนที่ขี่ BMX ผมมีเพื่อนแถวบ้านเต็มไปหมดเลย
   สองวันก่อนตอนเย็นแวะตลาดใกล้บ้าน ผมนั่งกินข้าวกับภรรยา เจ้าของร้านจำหน้าผมได้ ส่งยิ้มมาให้ ตอนเด็กๆ ผมแวะกินขนมร้านเขาทุกคืน ไปกับแก๊งค์ BMX กลุ่มของผม 
น่าเสี่ยดายที่เด็กวัยรุ่นสมัยนี้กลายเป็นแกงค์มอเตอร์ไซค์กันหมดแล้ว สมัยก่อนผมขี่ BMX ร่อนไปทั่วแถวละแวกบ้าน ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เด็กสมัยนี้จะขี่มอเตอร์ไซค์ซิ่งร่อนไปทั่วเช่นกัน แต่เสียงของมอเตอร์ไซค์มันรบกวนชาวบ้านเขาน่ะสิครับพี่น้อง
ถ้ารถเอ็งเงียบสนิทเหมือนจักรยานนะ รับรองว่าไม่มีใครไปยุ่งอะไรกับเอ็งหรอก
Title: Re: มค 53
Post by: O'Pern on January 26, 2010, 01:49:34 pm
24 มค 53
   เช้านี้กลุ่มสวนธนฯ เขาจัดงานประจำปีขี่จักรยานไปหัวหิน ทางกลุ่ม TCC (ชื่อใหม่คือ THCA หากจำผิดขออภัย) ไปด้วยจำนวน 30 ท่าน ผมไม่ได้ไปแจม ยังไม่ลงตัวเรื่องเวลา งานนี้งานใหญ่ นักปั่น นักแข่งหลายคนมาร่วมกันเพียบ แต่รูปแบบการปั่นนั้นออกไปในแนวของการแข่งขันเสียมากกว่า ตัวผมถนัดแนวทัวริ่ง เจองานที่มีรถบรรทุกสัมภาระช่วยทุ่นแรงก็เลยไม่คุ้นสักเท่าไหร่ ผมชอบไปไหนมาไหนแบบดูแลตัวเอง ไอ้ทริปที่มีตัวช่วยนี้มันดูไม่ค่อยคุ้นยังไงพิกล
   เช้าพาภรรยาไปตลาดน้ำบางน้ำผึ้งอีกแล้วครับ วันนี้ไปกันสองคน ลูกเขาขออยู่เล่นอยู่ที่บ้าน ไปกันสองคนก็เลยชวนกันกินก๋วยเตี๋ยวเรือ แล้วก็ซื้อของกลับมาบ้านเต็มสองมือ
   Pm จากเวปจักรยานมาอีกแล้วครับ วันนี้มา 2 pm ถามเกี่ยวกับ Dahon ตอบกยากครับ เพราะผู้ขี่หุ่นดี ตัวสูง มันเลยฟันลงไปไม่ได้ว่าควรเลือกตัวใดมากว่ากัน มันอยู่ที่ความชอบ แต่ถ้าตอบแบบว่า เลือกตามชอบใจได้เลย มันก็ดูไม่ค่อยจะช่วยเหลือสักเท่าไหร่ เลยซักไซร้ต่อถึงสไตล์การขี่ พบว่าเขาชอบขี่เร็ว อืม แบบนี้ค่อยง่ายหน่อย เน้นไปที่รถเบา เกียร์เยอะได้เลยครับ เพราะช่วงของรถไม่มีปัญหาต่อสรีระของเขาเลย แหม ก็สูงถึง 175 นี่นา
   เขาอยากได้ Dahon มีตัวเลือกอยู่ 3 รุ่น คือ Speed P8 / Mu P8 / Speed P18
   แบบนี้เลือกไม่ยากครับ ตัว Speed P8 VS Mu P8 มันต่างกันจุดหลักๆ แค่เฟรม ตัว Speed จะเป็นโครโมลี่ ส่วนตัว Mu จะเป็นอลูมินั่ม มีปลีกย่อยอีกเล็กน้อยตามปีของรถ มันไม่ใช่จุดเด่นอะไรนัก ถ้าเงินถึงและชอบปั่นเร็วจริง แนะนำไปที่ Speed P18 เลยครับ แรง เบา สะใจแน่นอน
   เย็นพาครอบครัวไปกินข้าวที่มหาชัยครับ เป็นร้านอาหารเก่าแก่ชื่อร้านคุณตุ่ม พ่อเป็นคนนำทางไป รสชาติใช้ได้ครับ แต่ราคาก็ไม่ได้ถูกอะไรนัก ผมไม่คุ้นกับอาหารแพงๆ โดยเฉพาะอาหารเย็น เป็นมื้อที่ผมไม่ค่อยอยากกินเยอะนัก ทุกวันนี้กินแต่ผลไม้ และพวกถัวต่างๆ
   แต่ถ้าอยู่ดึกๆ มันจะหิวนะ เลยมักจะชิงหลับก่อน

25 มค 53
   ช่วงนี้ขี้เกียจบ่อย วันนี้ก็ตื่นเช้านะ แต่ขี้เกียจปั่นไกลๆ สงสัยเบื่อพวกรถบรรทุก ขนาดขี่มืดๆ ยังต้องมาดมควัน ทำใจไม่ได้จริงๆ
   ปั่นมันแถวบ้านนี่แหละครับ ขี่ไป 45 นาที เสร็จแล้วเดินเล่นยืดเส้นอีกสักพัก อากาศหนาวเย็นคงเป็นความฝันไปแล้ว ต่อไปนี้มี่แต่จะร้อนขึ้นๆ
   ส่งลูกเสร็จก็แปลงกายเป็นคนงานขับรถครับ วันนี้ขับรถส่งของทั่งวัน ดีที่หลังเจ็บเริ่มหายแล้ว เข่าก็เจ็บน้อยลง แต่ก็ยังคงต้องยกของส่งลูกค้าครับ มีพนักงานติดรถเป็นลูกมือไปช่วย 2 คน คนหนึ่งชื่อพี่มล ชอบพูดคุยสนุกสนาน มีเรื่องอะไรสงสัยก็ชอบสอบถามผมเสมอ ทั้งการเมือง อุบัติเหตุ และเรื่องราวข่าวดังในแต่ละวัน
   วันนี้เราคุยกันเรื่องคนที่รอดชีวิตจากซากปรักหักพังจากแผ่นดินไหวที่เฮติ สิบกว่าวันแล้ว รอดได้อย่างไร เหตุผลคือขณะเกิดเหตุเขาอยู่บริเวณบาร์พอดี ก็เลยมีน้ำอัดลม และเบียร์อยู่ใกล้มือ แต่สองวันก่อนก็มีอีกคนที่รอด คนนั้นใช้วิธีดื่มปัสสาวะตัวเอง
   ก็กรณีคับขันน่ะครับ เราก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ชีวิตรอดได้ ไม่เพียงแต่คนหรอกครับ สัตว์เองก็เช่นกัน
Title: Re: มค 53
Post by: O'Pern on January 26, 2010, 05:13:49 pm
26 มค 53
   เมื่อคืนนอนดึก อ่านหนังสือครับ ไม่ได้ดูทีวี อ่านเพลินไปหน่อย เช้านี้เลยขี้เกียจลุก เป็นวันแรกในรอบหลายเดือนที่ไม่ได้ออกกำลังกายตอนเช้า
   รถผมแอร์เสียครับ ออกอาการตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ความเย็นก็ค่อยๆ จะหดหายไป ถ้าแดดแรงๆ นี้เหลือแต่ลมเปล่าๆ ออกมา หาไอความเย็นไม่เจอ เช้านี้โทรเรียกช่างให้มาเอารถไปซ่อม ใช้บริการร้านแถวบ้านนี่แหละครับ เป็นช่างประจำบ้านผมไปแล้ว ซ่อมเสร็จเขาก็เอารถมาส่งให้ที่บ้าน เงินก็จ่ายทีหลัง คือเอาเราสะดวก ก็เกรงใจเขาเหมือนกันนะ โดยมากวันรุ่งขึ้นก็เอาไปให้เขาแล้ว
   กลางวันเข้าไปที่ไอวี่ (คอนโด) ไปดูห้องออกกำลังกาย เขาเพิ่งเปิดใช้บริการ วันนี้ผมเข้าไปแบบฉุกเฉิน ไม่ได้เตรียมชุดออกกำลังกายไปด้วย เลยได้แค่เดินไปเดินมา พบเห็นสิ่งที่ยังไม่เรียบร้อยหลายจุด ก็บอกเจ้าหน้าที่เขาไป เอาไว้พรุ่งนี้ ถ้าว่าง จะลองไปใช้บริการแบบเต็มๆ ดูสักรอบ
   เข้าไปในห้อง ปัดกวาดเช็ดถูเล่น เปิดหน้าต่างรับลม แหม เย็นสบายดีจริงๆ นั่งเล่นนอนเล่นอยู่ชั่วโมงกว่า นั่งเล็งว่าจะวางผังห้องอย่างไรดี ยังคิดและสรุปไม่ลงตัวเสียที เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่นั่นแหละ
   ในเวปจักรยานมีคนสอบถามถึงกางเกงของ Fox ว่าใช้ดีไหม มีหลายคนมาโพสตอบว่าใช้ไปได้พักเดียวฟองน้ำรองก้นก็แบนลีบแล้ว
   เรื่องกางเกงจักรยานแบบเข้ารูปของ Fox นี่ผมเคยเล่าไว้หลายเดือนก่อนแล้ว จำไม่ได้เหมือนกันว่าเดือนใดเสียด้วย เอาเป็นว่าหากอยากใช้ของดีทนนานก็เลือกยี่ห้อที่ไม่ใช่ Made in China และถ้าเงินถึง ก็แนะนำให้ใช้แบบเป้าชามัวร์ Made in Italy ของเก่าผมใช้มาเกิน 10 ปี ยังใส่ได้สบาย (แต่ยางยืดเอวและปลายขาเริ่มขยายและขาดบ้างแล้ว)
   ผมใช้ของ Nalini ครับ
Title: Re: มค 53
Post by: O'Pern on January 27, 2010, 03:34:10 pm
27 มค 53
   เมื่อคืนผมนั่งคุยกับเพื่อนที่ทำธุรกิจตกแต่งภายในอยู่จนถึงเกือบตี 1 คุยกันมันส์มาก เรียกเขามาสานฝันให้ผมหน่อย คือผมเป็นคนออกแบบคอนเสปและภาพรวมของห้องทั่งหมด รวมถึงคุมโทนสี ฟังชั่นการใช้งาน และเรื่องระบบแสง เล่าไอเดียและคอนเสปทั้งหมด พร้อมยื่นแบบสเกชมือให้เขาดู คนนี้ทำงานตกแต่งมาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ ตัวเขาเป็นรุ่นที่สอง ฝีมือดีครับ อย่างน้อยก็ตกแต่งเรือหรูล่องเจ้าพระยาที่ต้อนรับเจ้าชายจิกมี่มาแล้ว
   แต่เขาคุ้นเคยกับงานแบบเรียบหรู ถูกแพงเราไม่ว่ากัน อันนี้มันแล้วแต่งบเจ้าของห้อง พอมาเจอห้องของผมที่ไอเดียมันพุ่งกระฉูดเขายิ้มใหญ่เลย บอกว่าไม่ได้จับงานแบบนี้มานานมากแล้ว ชักจะมันส์ตามผมไปด้วย ผมบอกว่านี้มันยังมันส์นิดเดียว เดี๋ยวทำห้องนี้เสร็จ (คอนโด) แล้วค่อยมามันส์กันที่บ้านผม พูดพลางผมชี้ไปยังบ้านห้องกระจกที่อยู่บริเวณใกล้ๆ กัน หลังนั้นผมอยู่คนเดียว เล่นได้เต็มที่ มีทั้งพื้นเลื่อนปรับระดับ มีเชือกโหน ทีมันส์สุดคือมีกระสอบทรายด้วย (หากไอเดียยังไม่เปลี่ยนแปลงนะ)
   เข้านอนก็ตี 1 กว่าครับ หลับสนิทแต่มาตื่นเองตอน 0530 เฉยเลย ตื่นจริงครับ แต่ไม่ยอมลุกเสียงั้นแหละ อู้อีก 30 นาที ล้างหน้าแปรงฟันตอน 0600
   วันนี้แม่บ้านผมลากลับบ้านต่างจังหวัด เลยต้องดูแลความเรียบร้อยในบ้านเองทั้งหมด เริ่มจากปัดกวาดทำความสะอาด ถูพื้น ซักผ้า รดน้ำต้นไม้ ฯลฯ เป็นพ่อบ้านเต็มตัวครับ ทำแบบเก้ๆ กังๆ เพราะไม่ค่อยได้ทำงานพวกนี้ แต่ก็พอทำได้ครับ ไม่เห็นจะยากอะไร
   พอกลางวันรู้สึกง่วงครับ ได้เอนหลังนอนก็สบายหน่อย แต่ก็นอนไม่หลับ ได้แต่พักสายตาสักครู่หนึ่ง
   คุย msn กับรุ่นน้อง (อายุ 16 ปี) เขาอยู่ USA ชอบเรื่องรถยนต์มาก คุยแล้วนึกถึงภาพตัวเองสมัยยังเด็ก เลยคุยกับเขาอยู่นาน แลกเปลี่ยนประสพกาณ์ เน้นให้เขาศึกษา คิด และรู้จักวิเคราะห์สิ่งต่างๆ เอง อย่าไปเชื่อสื่อเสียทั้งหมด อ่านแล้วสรุป นำไปต่อยอดให้ได้
   เขาอยู่รัฐเดียวกับทีผมเคยอยู่ตอนเด็กๆ ด้วยน่ะครับ เลยคุยกันนานหน่อย ถามถึงเรื่องโน่นเรื่องนี้ มันทำให้ผมนึกภาพวัยเด็กขึ้นมาได้ชัดเจน สนใจเรื่องเดี่ยวกันก็คุยกันได้นานหน่อยครับ คนนี้สนใจเรื่องรถยนต์ ก็เลยแนะนำให้ไปเล่นรถอย่างฉลาด คือเล่นไปก็ศึกษาไปด้วย อย่าไปหลงของแต่งของซิ่ง
   ตกเย็นไปรับลูก รีบกลับเข้ามาบ้าน กวาดบ้าน รดน้ำต้นไม้ ทำความสะอาดถ้วยชาม ฯลฯ
Title: Re: มค 53
Post by: O'Pern on January 29, 2010, 01:41:33 pm
28 มค 53
   เช้านี้ไม่ได้ออกกำลังกายครับ ปัด กวาด เช็ด ถูบ้าน รดน้ำต้นไม้ จากนั้นก็ขี่จักรยานไปซื้อต้มเลือดหมูให้ลูก ซื้อข้าวหน้าเป็ดให้ภรรยา ของตัวเองไม่มีอะไรจะกิน เลยกินกล้วยไป 2 ลูกแทน ไม่อิ่มหรอกครับ
   สายๆ เพื่อนนักเรียนเก่าสมัยเด็กโทรมาแจ้งข่าวว่าแม่ของหม่อมตุ้ยเสียแล้ว อันที่จริงไม่น่าจะเรียกเสียนะ เพราะเขาเป็นถึงระดับเชื้อพระวงศ์ หม่อมราชวงศ์ แต่ผมไม่รู้ว่าจะต้องมีคำราชาศัพท์เรียกเฉพาะหรือเปล่า เพราะขนาดหม่อมตุ้ยเองก็ยังมีคนใกล้ชิดเรียกว่าคุณชาย ผมเองจะเรียกบ้างก็เขิน เพราะรู้จักกันมานานมาก
   หม่อมตุ้ยมีส่วนช่วยนิตยสาร Racing Club อย่างมากครับ ผมขอข้อมูลเกี่ยวกับรถ VW Aircooled จากเขามาเยอะ แถมช่วงนั้นเขาบ้ารถแดร็กมาก ทุ่มไปกับรถอยู่หลายปี ปัจจุบันก็ยังไม่ได้เลิกนะ ยังคงแรงๆ ๆ ๆ ระดับหัวๆ แถว ผมเองต่างหากที่ค่อยๆ หายหัวไปจากวงการรถยนต์ จนเพื่อนๆ บางคนถามถึง และชวนให้กับมาขับรถยนต์อีกรอบ
   “ให้เด็กๆ เขาดังกันไปเถิดครับ” ผมตอบ
   แต่อันที่จริงน่ะ ไม่มีเงินครับ ต้องเก็บเงินไว้เผื่อลูกเรียนหนังสือ ต้องเรียนอีกเป็นสิบปี
   ตอนบ่ายก็ทำงานบ้านอีกแล้ว แต่มาทำความสะอาดภายในบ้านแทน ก็ปัด กวาด เช็ด ถู เหมือนเดิมๆ งานบ้านนี่ทำไม่มีวันจบครับ บ้านยิ่งสะอาดยิ่งดี คนในบ้านยิ่งมีสุขภาพดี ตอนเด็กๆ ผมก็ทำความสะอาดห้องเอง แต่เป็นแค่การดูแลเฉพาะห้องส่วนตัวของเรา
   สักพักมีโทรศัพท์ เจ้ากร โทรมา กรคือคนที่ผมเพิ่งรู้จักในคอนโดเดียวกัน คุยกันถูกคอ เขาอัธยาศัยดี ห้องเขากำลังตกแต่ง เขาก็ยินดีให้คนที่สนใจเข้าไปชมได้ จนผมกลัวว่าจะเป็นการใจดีเกินไป เลยบอกเขาว่าคบหาคนก็ค่อยๆ ดูกันไป อย่าสนิทสนมรวดเร็วนัก บอกกว้างๆ แบบนี้ ไม่รู้เขาจะเข้าใจไหม
   กรรับราชการอยู่กรมศุลกากรครับ ประจำที่ท่าอากาศยานอีกด้วย แบบนี้ไงเล่า ถึงได้คุยกันถูกคอ ผมสงสัยอะไรก็ถามเขาได้ตลอด
   “วันนี้พี่เข้าไอวี่หรือเปล่าครับ” กรถามผม ในขณะที่ตัวเองอยู่ตลาดสามย่าน
   “ผมไม่เข้าครับ คงอีกหลายวันกว่าจะเข้าไป แม่บ้านผมลากลับต่างจังหวัด ผมต้องดูแลบ้าน และดูแลลูกอีกด้วย” ผมตอบเขาไปตามตรง คนอย่างผมไม่มีฟอร์ม
   กรรับทราบและวางสายไป ผมคิดว่าอีกสักพักคงต้องขอเข้าไปชมห้องของกรเขาอีกรอบเป็นแน่ เห็นบอกว่าเสร็จแล้ว และเจ้าตัวภูมิอกภูมิใจเป็นหนักหนา
   แต่ในใจอยากจะบอกว่า ถ้าเอ็งได้เห็นห้องของข้าบ้างล่ะก็ .. จะร้องจ๊ากกก
Title: Re: มค 53
Post by: O'Pern on January 29, 2010, 07:49:21 pm
29 มค 53
   ต้องเป็นแม่บ้านอีกหลายวันครับ ไม่ได้ออกกำลังกายหนักๆ เลย วันอาทิตย์นี้จะออกทริปไปบางปะกงด้วย ยังดีที่ทริปไม่ยาวนัก แค่ 120 กม เขาว่าไปดูปลาโลมา หึหึ แถวบ้านผมก็มีครับ บางขุนเทียนชายทะเลนี่เองแหละ ที่ผมไปกับเขาไม่ได้เพราะอยากดูปลาหรอก ผมแค่อยากขี่จักรยานกับพี่ๆ เพื่อนๆ กลุ่มนี้มากกว่า
   กลุ่ม THCA นี้เป็นกลุ่มจักรยานที่มีบุคลิกเฉพาะตัวครับ มักจะมีผู้ใหญ่มากสักหน่อย มีเด็กและผู้หญิงเข้าร่วมด้วย ที่ผมชอบก็เพราะไปขี่แล้วเสมือนอยู่ในวงศาคณาญาติครับ คนไหนดูมีอายุหน่อย ผมจะเรียกอาเจ็ก ถ้าเป็นผู้หญิงก็จะเรียกอี้ วัยเดียวกันก็คุยกันแบบคุณผม ถ้าเห็นเด็กๆ ขี่นี่ผมจะชอบมาก คล้ายๆ กับได้ดูลูกตัวเองขี่ยังไงยังงั้น
   เข้าเวปจักยาน เจอคนแต่งรถเพื่อแบกอีกแล้ว คราวนี้เขาบอกต้องยกรถขึ้นตึก 8 ชั้น ตัวเองใช้รถ Mu P8 อยากลดน้ำหนักจักรยานลงอีกสัก 2 กก
   เห็นแล้วคัน เลยเข้าไปแจม แต่โพสไปแบบกลางๆ ทำนองว่าไม่คุ้มค่า และใช้เงินลงทุนไปอีกเยอะมาก
   อยากได้รถเบา ก็ต้องหารถเบาๆ ที่ถูกใจตั้งแต่แรกเลยครับ ไปซื้อรถเกรดธรรมดา เอามาอัปเกรดแล้วหวังจะให้มันเบานี้ไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างแรกคือต้องมีเงินเหลือเฟือ และต้องทำใจว่าภายหลังอัปเกรดได้สมใจแล้ว คุณจะมีอะไหล่จักรยานกองเหลือแบบแทบจะครบทุกชิ้น เอาเป็นว่าหากมีเฟรมที่ประกอบอุปกรณ์ได้ลงตัวล่ะก็ มันก็จะเป็นรถที่แทบจะพร้อมขี่เลยล่ะ
   แต่บอกตามตรงนะว่า ผมไม่เชื่อว่าเขาจะแบกจักรยานแบบนี้ได้ทุกวันหรอกครับ ไม่ใช่ว่าดูถูกเขา แต่มันเกิดความไม่สะดวกอย่างมาก ลองนึกภาพดูก็แล้วกันครับ ต่อให้รถเบาเหลือแค่ 5 กก เลยด้วยซ็ำ (น้ำหนักแค่ข้าวสารถุงเดียว) แต่ต้องแบกเดินขึ้นบันไดตึก 8 ชั้นทุกวันเช้าเย็น เอาแค่เดินตัวเปล่ายังลิ้นห้อยเลยครับ นี่ต้องแบกจักรยานไปด้วย
   
   ผมดูทีวีแล้วติดใจผู้ประกาศข่าวที่มักจะพูดว่านักฟุตบอลคนโน้นคนนี้ทำแฮททริก สงสัยกันไหมครับว่าไอ้แฮททริกนี้คืออะไร
   ผมน่ะรู้ แต่สงสัยว่าทำไมต้องพูดว่านักกีฬาทำแฮททริกด้วย หากพูดออกมา แสดงว่ามันมีนัยสำคัญพิเศษอย่างไรหรือ แต่ก็เปล่า ไม่เคยมีผู้ประกาศข่าวคนใดออกมาเฉลยความหมายของคำว่าแฮททริกเลยสักคน (ย้ำว่าไม่มีเลยสักคน ไม่ว่าช่องใดๆ )
   แฮททริก มาจากภาษาอังกฤษว่า Hat Trick คือการทำแต้มได้ 3 แต้มในการแข่งขันนั้นๆ เรียกว่ามีฝีมือดีมาก จนผู้ชมพากันยืนเปิดหมวกบนอัฒจรรย์
   นั่นแหละ Hat Trick
   แต่ผมไม่รู้ว่ามันมีความหมายอะไรแฝงไว้อีกบ้างหรือเปล่านะครับ ยังไม่ได้ศึกษาวัฒนธรรมของยุโรปเขามากนัก
   
   เกาหลีเขาเปิดประเทศด้วยละคร แล้วก็โด่งดังไปทั่วโลก ตอนนี้จีนเอาบ้างแล้วครับ แต่จีนเปิดประเทศด้วยภาพยนต์ เริ่มจาก สามก๊ก ขงจื้อ ล่าสุดมู่หลานมาแล้วครับ เรื่องสไตล์นี้มีมานานแล้วนะ แต่มันเพิ่งมาดังอีกรอบตอนจีนเขายิ่งใหญ่นี่แหละครับ ทำนายได้เลยครับว่าจีนจะยิ่งใหญ่สุดในเอเชีย ดังในทุกๆ ด้านอีกด้วย ไม่ว่าจะเรื่องการท่องเทียว เขาก็มีสถานที่สวยงามเยอะมาก
   หันมาดูไทยแล้วหดหู่ครับ ทั้งๆ ที่การท่องเที่ยวไทยเราเจ๋งไม่ใช่ย่อย พวกฝรั่ง ยุโรป เขาชอบสไตล์ของไทยเรามากกว่าจีนเยอะเลยนะครับ ปีนี้ฝรั่งเขาอากาศวิกฤตแปรปรวน ยิ่งยกขโยงกันมาไทยเต็มไปหมด
   ไทยเรามีของดีเพียบ แต่เราบริหารจัดการกันไม่เป็นครับ เหมือนเรือที่ต่างคนต่างพาย แถมเป็นเรือรูปทรงกลมแบบห่วงยางอีกด้วย มีฝีพายช่วยกันพายแบบรอบทิศเลย
   เราขาดผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ครับ คิดแล้วอยากเป็นผู้มีอำนาจอีกแล้วสิ จะจับมันยกเครื่องกันใหม่หมด เริ่มกันตั้งแต่นักการเมืองนี่แหละครับ ไอ้พวกนี้ตัวดี
   ที่ว่าลูกหลานจัญไร เพราะเรามีปู่จัญไร
Title: Re: มค 53
Post by: O'Pern on January 30, 2010, 04:47:44 pm
30 มค 53
   Toyota เขาเรียกคืนรถที่ขายไปครั้งใหญ่ การเรียกคืนแบบนี้เรียกว่าการ Recall เป็นการแสดงความรับผิดชอบของผู้ผลิต คือเขาเรียกรถที่ขายไปแล้วให้กลับมาปรับปรุงจุดบกพร่อง ฟังแล้วเข้าท่าดีไหมครับ ผมว่าแมนดีออก
   แต่มีคนอีกมากที่คิดตรงกันข้ามกับผม เขามองไปว่า Toyota ผลิตรถไม่ดีออกมา รถไม่ได้คุณภาพ
   อ้าว กลายเป็นว่าบริษัทใดไม่มีการ Recall รถ คือรถดีอย่างนั้นหรือ มิน่าเล่า การ Recall ในไทยจึงยังไม่เคยเกิดขึ้นเลย พอรู้ว่ารถตัวเองผิดปกติบกพร่องก็ได้แต่ซุกเก็บเอาไว้ ปล่อยให้มันเลือนหายไปตามกาลเวลา
   ไทยเราจึงมีแต่บริษัทรถที่มักจะโยนความผิดให้แก่ผู้บริโภคไงล่ะ เพราะขืนถ้ารับว่าตัวเองผิดล่ะก็ มีหวังภาพลักษณ์ย่ำแย่ เรทติ้งตกวูบ
   นี่แหละครับ ทำอะไรกันแบบไทยไทย

   เบื่อไอ้พวกโฆษณาขายคลิปโป๊ตามนิตยสารกันไหมครับ เห็นแล้วโครตจะทุเรศเลย ทำไมต้องมาหารายได้กันแบบนี้ด้วย มอมเมาเรื่องเพศนี่ชอบกันนัก ผมว่าสักวันต้องมีหน่วยงานสักแห่งออกมาโจมตีแน่ หากผมมีอำนาจน่ะหรือ ไอ้พวกนี้หดหายกันหมดแน่ เริ่มจากคาดโทษเจ้าของค่ายดาวโหลดก่อนเลย แต่เชื่อเถอะ ไอ้พวกนี้มันชอบเล่นใต้โต๊ะ จับได้มันก็มักจะยัดเงินเจ้าหน้าที่ ไอ้เจ้าหน้าที่ก็เหลือเกิน ไปยอมรับเงินมัน เกียรติของตัวเอง ไม่คำนึงบ้างเลยหรือ
   คิดเรื่องการบ้านการเมืองแล้วอยากเป็นนายกเสียให้ได้ ไม่ได้อยากเป็นผู้ยิ่งใหญ่หรอกนะ แค่อยากเห็นเรื่องปัญญาอ่อนในสังคมมันหายไป ที่ใกล้ตัวได้แก่เรื่องคอรัปชั่น เรื่องระเบียบวินัย เรื่องมุมมองและทรรศนคติ ฯลฯ คุยแล้วหงุดหงิดว่ะ
   
   ผมคิดค้นวิธีการพัฒนาประเทศไทยแบบก้าวกระโดดออกมาครับ เขียนเล่าเป็นรายงานได้เป็นเล่มๆ แล้วแต่ว่าจะเจาะลึกไปในแง่มุมใด เล่าคร่าวๆ ให้อ่านกันก็คือ ต้องคัดหาตัวผู้นำในแต่ละกลุ่มที่มีวิสัยทัศน์ คือมองการพัฒนาไปในอนาคตออก ตั้งเป้าหมายของไทยในอีก 3 ปีข้างหน้า มีทั้งแผนระยะสั้นและระยะยาว แบ่งการพัฒนาออกเป็น 1 / 3 / 5 ปีก็ได้ หรือประเมินมันทุกปีก็ยังได้
   ย้ำว่าเป็นการพัฒนาในทุกกลุ่มนะครับ ยกตัวอย่างเช่น การท่องเที่ยว ระบบผังเมือง ระบบการศึกษา ปัญหาข้าราชการคอรัปชั่น การสร้างวินัยในทุกกลุ่มชนชั้น ความสะอาด ฯลฯ
   ยกตัวอย่าง ตัวผมสนใจเรื่องการท่องเที่ยว และการพัฒนาบ้านเมือง หากผมเป็นผู้อำนวยการเขตบางขุนเทียน ตัวผมเองอยู่ย่านพระราม 2 ย่านบางขุนเทียน ผมก็เจาะลึกทุกพื้นที่ในเขตัวเอง เขียนออกมาให้หมดว่าในท้องที่ของเรามีสถานที่ใดสวยงามบ้าง มีร้านอาหารใดเด่นบ้าง มีอะไรโดดเด่นบ้าง ผมก็เอาข้อมูลเหล่านั้นรวบรวมไว้ เอาข้อมูลรวบไว้ที่ส่วนกลาง และจัดทำแผนพัฒนาเขตของตัวเองอย่างเป็นรูปธรรม
    เรารวบรวมข้อมูลเหล่านี้ของทุกๆ เขตไว้ ในที่สุด เราก็มีข้อมูลแหล่งท่องเที่ยว และของดีของเด่นในแต่ละเขตพื้นที่แล้ว เรานำข้อมูลเหล่านี้มาพิพม์แจกประชาชน อย่าลืมทำเป็นภาษาอังกฤษด้วย จัดแจกให้แก่นักท่องเที่ยวที่เข้าประเทศไทยทุกคนเลยก็จะดีไม่น้อย
   มีข้อมูลท่องเที่ยวแล้วก็ต้องบอกการเดินทางด้วยครับ หากเป็นเขตที่อยู่ชานเมือง การจราจรไม่หนาแน่น ก็เสริมการเดินทางด้วยจักรยานเข้าไปด้วยจะดีไม่น้อย โหห คิดแล้วอยากให้เป็นจริงจังเลย เริ่มมองเห็นการพัฒนาในแต่ละท้องถิ่นกันบ้างหรือยังครับ
   เอาล่ะ รอรัฐบาลทำ คงได้แต่ฝัน ผมเริ่มทำของผมเองก่อนเลยก็แล้วกัน แถวบ้านผมมีจุดเด่นคือถนนบางขุนเทียนชายทะเลครับ มีอาหารทะเลอร่อย มีลำคลองเล็กๆ มามาย นั่งเรือเที่ยวเล่นในสวนได้ มาดูส้มบางมดของแท้ที่โด่งดังไปทั่วโลก ผมไปต่างประเทศยังเห็นมีส้มบางมดไทยวางขายเลยครับ แพงเสียด้วย แต่น่าเสียดายที่เอกลักษณ์ของส้มบางมดคือเปลือกจะเป็นสีสนิม มันดูไม่สวยเหมือนส้มเมืองจีนที่เปลือกเคลือบด้วย wax
   ก็ต้องเป็นหน้าที่ของคนขายส้มอีกนั่นแหละครับ ต้องบอกว่าทำไมส้มบางมดถึงมีเปลือกเลอะๆ ออกแนวสกปรกเช่นนั้น เป็นเพราะคราบของเสียจากมดครับ นั่นคือมีมดในสวนส้มเยอะ มียาฆ่าแมลงน้อย เห็นไหมครับ พอผู้บริโภคเขาทราบที่มาที่ไป เขาก็ย่อมอยากหยิบกินส้มบางมดของไทยมากกว่าส้มเปลือกสวยใสของจีนเป็นแน่
   
   ตอนบ่ายจัดเตรียมจักรยาน KHS HT เพื่อออกทริปบางปะกงวันพรุ่งนี้ ยางในล้อหลังผมยังมีอาการซึมๆ แต่ขี้เกียจเปลี่ยนครับ ขนาดถอดออกมาจับแช่น้ำจนมือเปื่อยยังหารูรั่วไม่เจอ แสนจะงงจริงๆ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็จะมีเหตุผลเดียวคือ ยางในเริ่มเสื่อมครับ
   หยิบกระเป๋าใส่บนแร็คหน้าหลังอย่างละใบ แร็คหน้าใส่พวกของสำคัญ โทรศัพท์ แว่นตา เงิน กล้อง และของจุกจิก แร็คหลังใส่ของใช้ เช่น ยางใน ชุดปะ อาหารเสริ่ม ของขบเคี้ยว เหลือพื้นที่ในกระเป๋าเผื่อจะมีของฝาก หรือของเล็กน้อยจะได้นำกลับบ้านได้
   ทริปวันเดียว ผมไม่เอา Panniers ไปครับ (แต่ถ้าไปพวกตลาดนี้ ผมจะติดไปด้วยนะ) คงไม่ได้ซื้อของอะไรกลับมาแน่ๆ
   จัดเตรียมกล้วยน้ำว้าไปหลายผลหน่อย กล้วยเป็นอาหารกินง่าย สะดวก อร่อย ไม่ต้องปรุง แถมคุณค่าอาหารสูง คนอื่นเขาจะกินกล้วยหอมแบบฝรั่ง แต่ผมชอบกล้วยน้ำว้าของไทยเรานี่แหละ หรือจะเป็นกล้วยไข่ก็ไม่ปฏิเสธ
   ถ้าเช้าๆ ได้น้ำเต้าหู้อีกถุงก็จะดีไม่น้อย อันนี้เอาไว้ดูกลางทาง หากเจอก็จะจอดแวะซดสักถ้วยแล้วปั่นต่อ
   เขานัดกันที่สวนลุม 0630 ครับ ผมมีเวลาเหลือเฟือ จากบ้านผมปั่นไปสวนลุมใช้เวลาราว 40 นาที แต่ถ้าเร่งสักหน่อยก็ทำได้ใน 30 นาที ผมวางแผนไว้อยากจะถึงสวนลุมก่อน 0630 ครับ เพราะจะได้จอดกินกล้วยและกินอาหารเช้าอย่างสบายใจ คือกินเสร็จแล้วสักพักถึงจะออกปั่นน่ะครับ ไม่ชอบกินแล้วปั่นทันที ดูมันไม่ค่อยดีต่อร่างกาย
   ผมไปถึงตอนเช้ามักไม่ค่อยคุยกับใครครับ จะปลีกตัวไปหามุมกิน เสร็จแล้วนั่นแหละ ถึงได้เดินทักทายคนโน้นคนนี้
   เข้าเวปจักรยานอัปเดทข่าว เห็นพี่ป๋องโพสว่าให้เอาสายล็อครถไปด้วย เพราะต้องจอดรถไว้ระยะหนึ่ง ผมเลยเอาสายสะพายกระเป๋าไปด้วย เพราะงานนี้ผมจะเอากล้องถ่ายรูปไปด้วย
   ที่ผ่านมา ไม่เคยเอากล้องไปด้วยเลย ฮ่าๆ
Title: Re: มค 53
Post by: O'Pern on February 01, 2010, 05:04:56 pm
31 มค 53 ทริปบางปะกง
   ผมบังคับการตื่นนอนของตัวเองได้ ด้วยการทำสมาธิเล็กน้อยก่อนนอน ไม่ต้องถึงกับนั่งสมาธิหรอกนะ แค่ก่อนนอนเราคิดถึงเวลาที่เราต้องการตื่น คิดถึงภาพเข็มนาฬิกาขณะนั้น คิดว่าตื่นแล้วจะทำอะไรบ้าง คิดให้เห็นภาพอย่างชัดเจน ทำแค่นี้แหละ ผมตื่นได้ตามเวลา บางทีก็ก่อนเวลาเล็กน้อย ตั้งนาฬิกาปลุกไว้นะ แต่ตื่นก่อนมันทุกที
   เช้านี้ผมตื่น 0430 อาบน้ำ แต่งตัว จัดเตรียมข้าวของ ออกจากบ้านตอน 0530 ขี่ไปจนถึงสวนลุมเอาตอน 0610 ท้องฟ้ายังเพิ่งจะเริ่มสว่าง แต่ก็มีนักจักรยานมากันเยอะแล้วครับ เกิน 10 คนน่ะ
   ผมมองหาคนสนิท ไม่เห็นสักคน แต่ถ้าเป็นคนรู้จัก คนคุ้นหน้าก็พอมีบ้าง เลยเดินไล่สวัสดีไปเรื่อย โดยมากจะเป็นพี่ๆ จากกลุ่ม  THCA (เป็นกลุ่มเก่าชื่อ TCC ที่ผ่านมาจำผิดครับ คราวนี้จำได้แม่นแล้ว) ที่คุ้นเคยกันมากสุดก็คือพี่ศรชัย (คากิ) พี่จารุกัญญา (ป๋อง) อาลิต น้าหมี และเจ้าหน้าที่ทีมเซอร์วิสเช่นพี่หล่อ รวมถึงกลุ่ม ฉ (ชื่อนี้มีที่มา ไว้ว่างแล้วจะเล่า)
   ตลอดเวลาก็มีคนทะยอยกันมาเรื่อยๆ ครับ เรานัดกันกลางเมืองแบบนี้สบายมาก แถมอยู่ติดกับรถไฟฟ้า BTS และรถไฟใต้ดิน MRT อีกด้วย เป็นทำเลที่พอเหมาะดีจริงๆ
   ผมสะดุดตาฝรั่งคนหนึ่ง คุ้นหน้าครับ แต่จำชื่อไม่ได้ เลยเดินเข้าไปคุย เพราะเห็นเขายืนเก้ๆ กังๆ อยู่คนเดียว ไม่มีเพื่อนคุย พอเดินไปข้างหน้าเขาเท่านั้นแหละ เขาเรียกทักผมก่อนเลย
   “เฮ้ เราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า” เขาเปิดฉากถาม
   “ผมรู้สึกคุ้นหน้าคุณ แต่ผมจำชื่อไม่ได้ ขอโทษด้วย” ผมพูด
   “โอ ไม่เป็นไร ผมชื่อเคน เราเคยเจอกันที่ไหนนะ”
   “ทริปอัมพวาครับ ผมจำได้แล้ว เราขี่ด้วยกันตอนขากลับ” ผมเริ่มจำได้ และนึกเห็นภาพเหตุการณ์วันก่อนขึ้นมาอย่างชัดเจน
   ได้เจอเพื่อนเก่าแบบนี้คุยกันยาวเลยครับ ยิ่งรู้ว่า Mr. Ken มาคนเดียวด้วยก็ยิ่งต้องให้เวลาแก่เขามากหน่อย ใจเขาใจเราน่ะครับ ลองนึกภาพตัวคุณเอง ขณอยู่ต่างบ้านต่างเมือง แถมเข้าไปแจมทริปจักรยาน แต่กลั้บไม่มีเพื่อนคุยสักคน
   ตลอดทริปของวันนี้ ผมคุยกับเคนเสียเป็นส่วนใหญ่ ทั้งขาไปและขากลับ
   เราออกเดินทางกันตอน 0730 ตลอดทางก็จะมีนักจักรยานดักรอแจมอยู่เป็นระยะ ทำให้กลุ่มเราใหญ่ขึ้นๆ บางคนบอกว่ามีถึงราว 200 คันแน่ะ
   ใช้ถนนบางนา มุ่งหน้าสะพานบางปะกง ขี่เส้นนี้อีกแล้ว ผมนึกถึงภาพเก่าตอนที่เคยลุย Solo Trip ไประยอง รู้สึกไม่ชอบขี่ถนนเส้นนี้เลย ด้วยเหตุผลดังนี้
-   ถ้าออกเดินทางตอนเช้า เราต้องขี่ย้อนแสงแดดตลอดทาง นอกจากร้อนแล้ว ยังแสบตา ทำให้เหนื่อยล้าได้ง่าย
-   ข้างทางเศษแก้วเยอะมาก ทั้งเศษแก้วจากอุบัติเหตุรถยนต์ และเศษขวดแก้วแตก (อันหลังอันตรายกว่า)
-   มีรถขี่ย้อนศรมาก ทั้งมอเตอร์ไซค์ และรถยนต์ (รถยนต์เขาก็ยังขับย้อนศรกันครับ)
-   หน้าตลาดหรือชุมชนใหญ่ๆ จะมีลักษณะเป็นท่ารถ รถเมล์จะจอดซ้อนกันถึง 3 ชั้น เหลือเพียงช่องทางเดียวให้รถผ่านได้
พอเข้าบางนาได้สักพัก ผมขี่เร่งไปจนอยู่หัวแถว สักพักก็ผ่อนความเร็วลงเพื่อไปดูเพื่อนๆ ที่อยู่กลุ่มท้ายสุด พบกว่ากลุ่มหัวแถวกับท้ายแถวห่างกันราว 30 นาที เห็นแล้วตกใจมาก เพราะมันทิ้งกันห่างเกินไป เลยเร่งความเร็วจากท้ายขบวนไปยังหัวแถวเพื่อบอกพี่คากิให้ทราบถึงปัญหา
ช่วงเร่งความเร็วขึ้นไปนี่แหละครับ ผมขี่เร็วมากถึงจะตามกลุ่มหัวแถวทัน ไม่น่าเชื่อว่ามันจะมาสร้างปัญหาให้ผมตอนขากลับ
   เคนเป็นชาวแคนาดาครับ อายุพอๆ กับพ่อผม ก็เลยเหมือนได้ดูแลพ่อตัวเองไป ในทางกลับกัน หากขี่กับเด็ก อย่างเจ้าปอนด์ (น้องของ Printer) ตอนไปทริปวังน้ำเขียว ผมจะรู้สึกเหมือนได้ดูแลลูกตัวเองเช่นกัน และหากขี่กับผู้หญิง ก็จะรู้สึกเหมือนดูแลภรรยา แต่ขี่กับเพื่อนนี่สบายหน่อย คือวัยพอๆ กัน ไม่ต้องดูแลกันมาก เผลอๆ มันจะแกร่งกว่าผมอีกด้วยซ็ำไป
   ผมรู้สึกแบบนี้กับทุกๆ คนที่ผมขี่ด้วยครับ เป็นความรู้สึกจากใจ ที่ไม่เคยบอกใครออกไป
   พวกหัวแถวจะแวะพักตามปั๊มน้ำมันใหญ่ๆ ผมเห็นด้วยครับ เพราะนอกจากได้พักขาแล้ว ยังเป็นการรอกลุ่มหลังไปด้วยในตัว
   แต่คนมาทีหลังนี่สิบางครั้งเริ่มทำใจลำบาก เพราะมาถึงปั๊มได้แป๊บเดียว ไอ้กลุ่มหัวแถวมันออกปั่นอีกแล้ว ฮ่าๆ ๆ
   รถผมเริ่มผิดปกติตอนขาไปนี่แหละครับ ยางล้อหน้าเริ่มแบนๆ แต่มองหาเศษแก้วไม่เจอ ลมยางค่อยๆ ซึมออก ไม่ถึงกับแบนติดดิน เลยให้สูบมืออัดเสริมเข้าไป ผมต้องทำแบบนี้ทุกครั้งที่หยุดพัก
   ยังดีครับที่ทริปนี้เป็นเส้นทางตรงตลอด จะมีเลี้ยววกวนก็แค่ช่วงใกล้ถึงจุดหมายแล้ว แถวสะพานข้ามแม่น้ำบางปะกง
   จากนี้ไปจะเป็นถนนเส้นเล็ก แต่แปลกที่มีเนินลดความเร็วของรถยนต์เป็นระยะ ผมเห็นพี่ท่านหนึ่งล้มลงต่อหน้าต่อตา เพราะแกมองไม่เห็นเนินนี้ ขี่มาเพลินๆ ก็ไม่ได้เร็วเลย แต่พอล้อหน้ากระแทกเนิน แขนก็งอพับเหมือนอ่อนแรง ล้มเต็มๆ เลยล่ะครับ
   เราจอดรถไว้ริมน้ำบริเวณท่าเรือ แล้วทะยอยลงเรือล่องปากอ่าว เพื่อชมปลาโลมา (นักวิทยาศาสตร์บอกว่าควรเรียกโลมา เพราะมันไม่ได้เป็นปลา เช่นเดียวกับวาฬ) ผมลงเรือลำแรก เขาว่าจุได้ 12 คน แต่ผมเห็นนั่งกัน 9 คนก็เต็มแล้ว เจ้าหน้าที่เขาว่า หากไม่ครบ 12 คน เรือจะไม่ออก ผมเลยชวนเคนลงมาด้วยกัน แต่มันไม่มีที่นั่งแล้ว เด็กเรือเอาเสื้อมาปูให้ ตกลงคือผม กับเคน นั่งกับพื้นบนเสื่อที่บริเวณหัวเรือ แหม ดูมันอัตคัตขัดสนยังไงก็ไม่รู้
   ก่อนลงเรือเราได้รับแจกอาหารกลางวันเป็นข้าวห่อใบบัว และน้ำดื่ม 1 ขวด ผมไม่เคยกินข้าวห่อใบบัวมาก่อนเลย รู้สึกตื่นเต้น เคนก็เช่นกัน เขาเป็นฝรั้ง ไม่เคยเจออาหารพื้นบ้านอย่างนี้แน่
   “เคน มันคือข้าวห่อใบบัวครับ คุณสนใจหน้าหมูแดง ไก่ หรือมังสะวิรัตน์” ผมช่วยเขาเลือกอาหาร
   “ผมขอเป็นหน้าหมูแดงดีกว่าครับ” เคนตอบ
   อย่างที่บอก ผมดูแลเขาเหมือนดูแลพ่อตัวเองเลยล่ะ
   พอเรือออก เราก็เปิดข้าวออกมากินกัน รสชาติใช้ได้ครับ มีน้ำจิ้มรสเปรี้ยวหวานปนเผ็ดมาให้ ราดแล้วอร่อยดี กินกันแป๊บเดียวหมดเลยครับ ไม่รู้ว่าเพราะอร่อยจริงๆ หรือเพราะหิว ฮ่าๆ
   ผมนั่งกับพื้น แดดแรงสาดส่องตลอดเวลา แต่เราขี่จักรยานก็โดดแดดอยู่แล้ว เลยไม่ค่อยรู้สึกเดือดร้อนอะไรนัก (พอนานๆ มันก็ชักจะแสบผิวเหมือนกันนะ)
   นั่งเรืออยู่ราว 1 ชม ก็ออกทะเล เห็นปลาโลมาดังคาดครับ แต่เห็นแค่หลัง แค่หัวนะ มันไม่ได้โดดขึ้นมาพ้นน้ำเหมือนในหนัง ดูสักพักก็วนเรือกลับ
   ไอ้ขากลับนี้น่าเบื่อครับ เพราะอยู่กลางแดดมาตลอดทาง อยู่บนเรือก็โดนแดดส่อง เพลียแดดเพลียลม เลยหลับกันเหมือนหมดลำ ผมกับเคนเองก็นอนมันกับพื้นเลยครับ กลายเป็นนอนพื้นสบายกว่าพวกนังหลับบนเก้าอี้เสียอีก
   ผมรู้สึกไม่อยากขี่จักรยานแล้วล่ะ มันแสนจะเมื่อยล้าตัวเเหลือเกิน กว่าจะออกปั่นจากท่าเรือเพื่อกลับกรุงเทพฯ ก็ราว 0300 ตกลงเลยไม่ได้แวะดูเกาะนกกัน ว้า น่าเสียดาย อยากชมธรรมชาติสวยๆ อยู่ด้วย เป็นเพราะเรามาถึงกันสายน่ะครับ เลยไม่มีเวลาเหลือพอ เอาแค่ออกเดินทางตอนนี้กว่าจะถึงกรุงเทพฯก็เย็นแล้วล่ะครับ (แต่ของผมดึกมากเลยว่ะ)
   ขี่ออกมาสัก 30 นาทีแรก ผมยังสดดีครับ รู้สึกสบาย และผ่อนคลายกว่าอยู่ในเรือเยอะ แต่หลังจากนั้นอีกสักพักก็รู้สึกหมดแรงขึ้นมาซะงั้น เท้ามันไม่มีแรงจะกดบันไดเลย รู้สึกเหนื่อยง่าย
   เอ๊ะ หรือว่าเราขาดน้ำ หรืออากาศร้อนจัด กล้ามเนื้อขามีเต้นๆ รู้สึกคล้ายๆ ตะคริว
   มองยางหน้าก็แบนลงๆ จอดสูบเติมก็ยังไม่มีแรงจะกดสูบ
   ตอนนี้ในหัวเริ่มคิดเรื่องต่างนานา เช่น เมื่อเช้ากินน้ำเต้าหู้ 1 ถุง และกล้วยน้ำว้าไป 4 ลูก ตอนสายกินไปอีก 3 ลูก กลางวันก็ข้าวห่อใบบัว กินไปแค่นี้เอง เอ หรือว่าเราขาดเหลือแร่วะ หรือขาดวิตามิน ฯลฯ
   นึกถึงเรื่องที่มีนักขี่จักรยานล้มวูบเสียชีวิตไป ชักกลัวว่ะ ยิ่งคิดยิ่งหมดแรง เอา ซวยเลยกู
   ช่วงนี้ผมให้เคนนำหน้าผมไป แต่มาเจอพี่หน่องแทน พี่หน่องขี่รถ Bike Friday Pocket 8 แต่เขาแข็งแกร่งเหลือเกิน ขี่ไปคุยไปกับผมได้สัก 30 นาที ผมก็บอกให้พี่หน่องแซงผมไปก่อน แต่ผมไม่คิดว่านั้นคือการพบกันครั้งสุดท้ายของวัน
   จากความเร็ว 25 ค่อยๆ ลดลงเหลือ 15 เจอเนินสะพานเล็กๆ ผมยังต้องปรับเกียร์เหมือนกับขี่ขึ้นเนินใหญ่ รู้สึกแปลกใจกับตัวเองว่าทำไมร่างกายเราถึงเป็นอย่างนี้วะ
   ผมผ่านตลาดนัดท้องถิ่น เลยแวะเข้าไปหาของกิน เจอลูกชิ้นไม้ละ 2 บาท !!! เฮ้ย มีด้วยหรอ เคยเจอถูกๆ ก็ต้องมี 5 บาท ตลาดเล็กๆ แต่ของกินเยอะ แถมถูกมากๆ
ซื้อมาแล้วก็จอดกินบนสะพานครับ ชมพระอาทิตย์ตกยามเย็น ป่านนี้คนอื่นคงจะเข้าใกล้บางนาแล้ว แต่ผมยังอยู่แถวสุวรรณภูมิอยู่เลย มองไปข้างหลังไม่เหลือใครแล้วครับ ขณะจอดกินลูกชิ้น เห็นมีคนขี่ผ่านผมไป 1 คน เจอปั๊มหน้าผมจอดกินไอศครีมอีกแท่ง พร้อมซื้อน้ำเติมเต็มกระติก เพราะวันนี้ยังอีกยาวไกลเป็นแน่
   ผมมาถึงแถวเทพารักษ์ตอน 0600 หมดแรงแบบไม่มีฟอร์ม ที่ทารุนร่างกายผมมากสุดคือการปวดขมับ แบบตุบๆ จำได้ว่าเคยรู้สึกแบบนี้ตอนปั่นกลางแดดจัดตอนทริปอยุธยา ตอนนั้นผมฝืนไปต่อจนเกิดตะคริว และทำให้ขี่ไม่ได้ในที่สุด
   หยิบโทรศัพท์โทรหาพี่หน่อง จะฝากให้ดูแลเคนด้วย ผมอยากให้เขาสองคนกลับรถ BTS ด้วยกัน เขาลงสถานีเดียวกัน แต่พี่หน่องไม่รับสาย คงจะขี่อยู่ หรือไม่ก็ไม่ได้ยิน
   ผมจอดจักรยานหน้าป้ายรถเมล์ เห็นรถประจำทางท้องถิ่น วิ่งบางปะกง – ปากน้ำ ตอนแรกผมกะจะปั่นไปให้ถึง BTS อ่อนนุช แล้วขึ้นรถไฟฟ้าไปลงที่วงเวียนใหญ่ แต่ผมก็ยั้งต้องขี่ต่ออีกเกือบ 10 กม กว่าจะถึงบ้าน
   มาตอนนี้เห็นรถไปลงปากน้ำ ใจนึกถึงท่าเรือข้ามฟากพระประแดง ผมจำได้ ผมเคยมาตอนทริประยองนี่นา ยืนคุยกับกระเป๋ารถทันที
   “พี่ครับ รถคันนี้ไปถึงแยกปู่เจ้าสมิงพรายที่มีท่าเรือข้ามฟากหรือเปล่าครับ” ผมถามเสียงดัง แข่งกับเสียงรถรอบข้าง
   “ไปค่ะ แต่รถไม่ได้เข้าไปในท่าเรือนะ”
   “ผมมีจักรยานมาด้วย ผมขึ้นไปได้ไหมครับ”
   พนักงานเริ่มงง ปนลังเล หันไปมองเห็นรถตัวเองว่างมาก
   “อ๊ะ รถว่างๆ อยู่ ขึ้นมาได้”
   “ขอบคุณคร้าบบบ” รีบจับรถยกขึ้นรถเมล์ นี่เป็นการนำจักรยาน Full Size ขึ้นรถเมล์ของผมเป็นครั้งแรก ช่วงจังหวะที่จับรถและก้าวขึ้น พบว่าช่วงห่างระหว่างบันไดของรถเมล์กับรถไฟมันเหมือนๆ กันเลย คือเราต้องจับรถให้ถูกจุด ถูกตำแหน่ง จะทำให้ยกรถขึ้นรวดเดียวได้เลย ไม่งั้นต้องไปเก้ๆ กังๆ ตรงบันได เกะกะคนอื่นเขาน่ะสิ
   เลือกที่นั่งด้านหลังสุดครับ เพราะเอาจักรยานวางขวางได้ ดูมันเกะกะน้อยสุดแล้ว มีล้อหน้ายื่นออกมาตรงทางเดินหน่อย ผมหักแฮนด์หลบและใช้มือกดเบรกไว้ตลอดทางป้องกันรถเลื่อน
   พอขึ้นรถเมล์ได้นี่เหมือนขึ้นสวรรค์จริงๆ ได้พักก้นช่างแสนจะสบาย รถเมล์วิ่งผ่านนักจักรยานผมก็จะโบกไม้โบกมือให้ ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะเห็นไหม ผ่านพี่วุฒิ (แซงแซว) ด้วย ผมงี้ยืนโบกสองมือเลย เพราะเริ่มสนิทสนมกับในทริปวังน้ำเขียว และแม้รถจะติดตอนเข้าเขตปากน้ำหนัก ผมก็ไม่บ่นอะไร เพราะเอารถลงไปขี่ ผมก็ไม่มีแรงจะปั่นมัน เลยใช้ชีวิตอยู่บนรถเมล์นาน 1 ชม ผมเป็นผู้โดยสารคนสุดท้าย เพราะกระเป๋ารถลงไปพร้อมกับผู้โดยสารกลุ่มใหญ่แถวปากน้ำไปแล้ว
   ผมจอดรถพิงพนักเก้าอี้แล้วรีบวิ่งไปหาคนขับ
   “พี่ครับ ถ้าถึงปากทางเข้าท่าน้ำช่วยจอดให้ผมลงด้วยนะครับ”
   “ไฟแดงแยกหน้าไง ลงแล้วเลี้ยวขวาเข้าไปเลย” คนขับรถบอก
   “แต่อย่าเพิ่ง เดี๋ยวผมไปกลับรถมาให้เลยดีกว่า” เขาเสริมต่อ
   แหม ใจดีเสียด้วย
   ผมลงรถเอาตอน 0700 ขี่ไป 5 กม ก็ถึงท่าเรือ พนักงานคิดค่าผ่านทางตัวผมพร้อมจักรยาน 5 บาท แต่ไม่ได้เปิดรั้วให้ผ่าน
   “ให้ผมเข้าทางไหนดีครับ”
   “ยกแล้วข้ามไป”
   ได้เลยครับ ขอมา ผมก็จัดให้ มือซ้ายจับกริปแฮนด์ มือขวาจับ Chain Stay ซ้าย ยกพรวดเดียวพนักงานทำหน้าตกใจ ผมเดินผ่านคันกั้นไปได้สบายมาก จะยกรถสูงแนะนำให้จับตำแหน่งนี้ครับ ยกได้ง่าย ยกได้สูง ชูรถได้เหนือหัว แถมยังวางรถได้เร็วอีกด้วย
   อยู่ในเรือก็ชมวิวครับ ธรรมชาติเงียบสงบดีมาก ผมชอบแบบนี้มากเสียกว่าบรรยากาศในเมืองเสียอีก
   ถึงพระประแดงเอาตอน 0730 ขี่ต่อกลับบ้านอีกราว 30 นาที ระยะทางไม่ไกลมาก แต่มันเหนื่อยล้าครับ มาถึงบ้านเอาตอน 0800 เป๊ะ    
   เข้ามาในบ้านเห็นลูกกำลังทำการบ้าน มีภรรยานั่งอยู่ใกล้ๆ คอยสอน
   “กลับมาแล้วหรอพ่อ” ลูกเรียก ส่วนภรรยาส่งยิ้มและพูดถามว่าเหนื่อยไหม
   ผมไม่ตอบอะไร ตรงเข้าไปหอมจูบหน้าผากลูก และภรรยา แล้วกระซิบข้างหูเธอว่า
   “เหนื่อยฉิบเป๋งเลยจ๊ะ”