racing-club.net

Bike Forum => my bike diary / my life diary => Topic started by: O'Pern on October 01, 2009, 03:07:48 pm

Title: ตค 52 31 UN
Post by: O'Pern on October 01, 2009, 03:07:48 pm
1 ตค 52
   เมื่อคนฝนตกทั้งคืน ผมอยู่กรุงเทพฯ ฝนเลยแค่ปรอยๆ แต่ชาวบ้านทางภาคอีสาน ภาคเหนือเขาหนักกว่าเยอะ ต่างประเทศยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ มันก่อตัวที่ฟิลิปปิ้นส์ ไล่มาลงที่เวียดนาม พอถึงลาวก็เบาลงนิดหน่อย มาเข้าไทยก็เบาลงไปอีก นี่ขนาดเบาแล้วนะ ผมสงสารชาวบ้านที่เขาโดนพายุฝนชมัด
   ผมจับพลัดจับผลูมาออกแบบบ้าน มาอย่างงงๆ ผมคุ้นเคยแต่กับพวกรถยนต์มาตลอด ปีนี้มีงานบ้านด้วย สนุกดีเหมือนกัน แต่ผมไม่ได้เรียนเรื่องบ้านมาแม้แต่น้อย ไม่รู้เรื่องฐานราก เรื่องเสาเข็ม หรือเรื่องวัสดุอุปกรณ์ใดๆ เลย เขียนแบบบ้านก็ไม่เป็น เรื่องระบบไฟระบบน้ำก็ไม่รู้เรื่อง
   ผมก็บอกคนที่มาจ้างผมก่อนแล้วนะว่าผมไม่รู้เรื่องพวกนี้ ผมเป็นแต่ดีไซน์ เขาว่าโอเค เออ เอากับเขาสิวะนั่น
   แต่นี้ไม่ใช่คนแรกที่มาหาผมเรื่องบ้าน หลายปีก่อนผมออกแบบบ้านไว้หลังหนึ่ง เจ้าของงบถึง อยากได้บ้านมันส์ๆ ผมเลยจัดให้ รับรองมันหยดติ๋ง
   ผมเป็นคนบ้านะ คนไหนมาหาผม มาคุยกับผม ก็ต้องมีความบ้าอยู่บ้าง ไม่ชอบของธรรมดา ไม่ชอบของพื้นๆ เออเชื่อไหมครับว่าบางคนมันบ้ากว่าผมอีก แบบชนิดที่ว่าเอ คนนี้มันบ้าจริงหรือบ้าเล่นวะนั่น
   บ้ามาก็บ้าไป มักจะจัดให้แบบชุดกลางๆ เล็กๆ เพราะดูไม่โหดจนเกินไปนัก ยังพอใช้งานได้จริงด้วย มีความมันส์อยู่ในคอนเสป
   ไลฟ์สไตล์ของผมและนักออกแบบท่านอื่นๆ ล้วนแตกต่างกันไปคนละทิศทาง คนส่วนใหญ่มักจะชอบอ่านเกี่ยวกับงานออกแบบ  ดูของดีไซน์แปลกใหม่ แต่บ้านผมไม่มีหนังสือเกี่ยวกับการออกแบบใดๆ เลยสักเล่ม ผมไม่อ่านหนังสือดีไซน์ ไม่ดูงานคนอื่น ผมคิดและทำของผมเองคนเดียว แต่ก็ยอมรับนะครับว่าบางครั้งเอางานบางชิ้นเก่าๆ มาดูแล้วรู้สึกว่ามันไม่เข้าท่าเอาเสียเล้ยย ฮ่าๆ คือมันบ้ามากเกินไปน่ะครับ ออกแนวติงต๊องก็มี คนอย่างผมมันไม่ได้สมบูรณ์แบบไปเสียทั้งหมดหรอกครับ แต่ก็มีอีกหลายครั้งที่หยิบเอาไอเดียเก่าๆ ออกมาดู แล้วมันดันประยุกต์เข้ากับงานชิ้นอื่นได้นี่สิ มันแจ๋วตรงนี้
   ความบ้าของผมมันเริ่มก่อตัวขึ้นมาทีละนิดจากการใช้ชีวิตอิสระ ตอนหนุ่มๆ ก็เอารถยนต์เก่าๆ ของที่บ้านมาใช้ขับไปโรงเรียนบ้าง พอใช้นานเข้าก็ยึดเป็นของเราเองซะ มันเป็นรถสีขาว เลยเอาสติกเกอร์สีดำมาคาดให้เป็นลายม้าลาย ไปไหนมีแต่คนมอง รถก็ไม่ติดฟิล์ม เห็นหน้าตาคนขับชัดเจน นี่แค่ตอนอายุ 18 นะครับ
   หลังจากนั้นมาก็ได้ใจ ลอกสติกเกอร์เก่าออก ติดใหม่ เป็นลวดลายใหม่ เป็นลายแสงตะวันมีเมฆหมอกด้วย ผมลอกเลียนแบบลายของรถแข่ง BMW 2002 มา ทำไม่เหมือนเขาหรอก ฝีมือยังไม่ถึง แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความอุตสาหะอย่างสูง เพราะประกอบด้วยจุดกลมๆ เล็กๆ หลายร้อยจุด ยุคนั้นยังไมมีคอมพิวเตอร์ ผมใช้ตัดสติกเกอร์ด้วยมือล้วนๆ หึหึ ทำอยู่ราว 3 เดือนถึงออกมาเป็นรูปร่างพอดูได้ แต่เพื่อนบางคนมาเห็นมันบอกน่าเกลียดฉิบเป๋ง เล่นเอาหมดกำลังใจ
   วันนี้ฝนตกปรอยๆ ทั้งวัน ไอ้ฝนปรอยแบบละอองเม็ดละเอียดนี่แหละครับ มันเหมือนฝนแถบสแกนดิเนเวียเลย ที่นั่นฝนจะเป็นเม็ดแบบนี้ ตกไม่มากก็เย็นสบาย แต่ถ้าโดนนานๆ ก็เล่นเอาเปียก เออ ย่านนั้นเขาแปลกอย่างหนึ่งคือไม่มีฟ้าร้อง ฟ้าแล่บ ฟ้าฝ่า หรืออาจจะนานๆ จะมีสักทีก็ได้นะ ผมไม่ได้ไปอยู่นานนัก เลยไม่รู้ลึกๆ
   แต่จะได้แม่นเลยแหละครับว่าไอ้เม็ดฝนแบบนี้แหละที่โดนผิวเราขณะอากาศหนาวๆ แล้วมันจะเหมือนเข็มอันเล็กๆ จิ๋วๆ มาทิ่ม บ้านเราจะใส่เสื้อกันฝนเพราะกันเปียกน้ำ แต่ตอนที่ผมอยู่โน่นผมใส่เสื้อกันฝนเพราะกันเจ็บเสียมากกว่า ลำพังเดินตากฝนยังไม่เท่าไหร่ครับ แต่ถ้าขี่จักรยานลุยฝนนี่สิ หึหึ
   โอ๊ยยย คิดถึง North Cape
Title: Re: ตค 52
Post by: O'Pern on October 02, 2009, 02:45:34 pm
2 ตค 52
   เมื่อวานตอนเย็นเอาจักรยานออกขี่เล่น โหห อากาศดีแบบสุดยอดมากๆ มีฝนมาบ้างก็ลุยมันซะ ฝนเม็ดเล็กๆ บรรยากาศคล้ายอยู่เมืองนอก ฝันเอาเอง คิดเอาเอง ปั่นไปก็สูดควันไป สนุกกว่าปกตินิดหน่อย
   อ่านข่าวตอนเช้าเรื่องสะพานรัชโยธินที่ปิดซ่อมไปนาน เปิดได้ 2 วัน ถนนเสียซะแล้ว อ่านแล้วรู้สึกละเหี่ยใจจริงๆ ครับ เขาบอกว่าถนนน่ะทำได้เรียบร้อยดี แต่คนงานเอาน้ำยาเคมีไปล้างเครื่องมือบนสะพาน ทำให้เกิดการกัดกร่อน
   เออ เอากับเขาสิ มันโยนเรื่องให้คนงานว่ะ ถึงแม้จะเป็นคนงานทำจริงๆ ก็เถอะนะ แต่งานแบบนี้หัวหน้าคนงาน ต้องมาแสดงความรับผิดชอบต่างหาก จะให้แมนจริงๆ ก็ต้องเป็นถึงขั้นคนควบคุมการก่อสร้างด้วยซ้ำไป
   ไทยๆ ล่ะนะ เอาง่ายๆ ลวกๆ เข้าว่า ไอ้ไทยเอ๊ย
   เช้านี้ผมเสียฟอร์มอย่างมากเรื่องการขับรถยนต์ มันเป็นการกลับรถในที่แคบ ถนนมี 4 เลน (ไปกลับ รถสวนกันได้) ไม่มีไหล่ทาง การกลับรถในถนนแคบแบบนี้ก็ต้องรอถนนโล่งๆ ก่อน แล้วค่อยหักเลี้ยวแล้วโยกรถสัก 1-2 ครั้ง
   แต่ผมจะใช้วิธีกลับรถแบบดึงเบรกมือครับ ไม่ต้องตกใจ ผมทำไม่บ่อยนักหรกอ แต่มาวันนี้สิ หึหึ
   ถนนโล่งเข้าทางเราเลย ก็เร่งเพิ่มความเร็วส่งมาซะ พอถึงจุดที่เรากะจังหวะไว้ก็ดึงเบรกมือ หักพวงมาลัยควบคุมบาลานซ์ของรถ เติมคันเร่งเพื่อเลี้ยว ที่วันนี้เสียฟอร์มเพราะว่ารถมันหมุนไม่เต็มวง แถมความเร็วที่จะเร่งส่งออกมันก็ลดน้อยลง ผลคือรถกวาดไม่สวย หมุนไม่เต็มวง 180 องศา 
   ช่วงที่ยังขับรถในสนามบ่อยๆ นี้ผมกลับรถแบบนี้ได้แม่นยำมาก แคบกว่านี้ก็ยังทำได้ แต่มาวันนี้ฝีมือหดหายไปเยอะเลย
ผมมีปัญหาเรื่องการใช้ภาษาอังกฤษแน่ๆ เลย ตอนแรกคิดนิดหน่อย มาระยะหลังนี้มันชักบ่อยขึ้น ยกตัวอย่างเช่นคำว่า OTOP คนทั่วไป หรือกระทั่งสื่อมวลชน อ่านออกเสียงกันว่า โอ ถอบ ผมอ่านว่า โอ ท๊อป / Hollywood คนทั่วไป สื่อมวลชน อ่านออกเสียงว่า ฮอ ลี หวูด ผมอ่าน ฮอ ลี วู๊ด / New York ทั่วไปอ่าน นิว หยอก ผมอ่าน นิว ย๊อค
   ราวๆ นี้ครับ ผมไม่ได้กระแดะอะไรที่จะพยายามสร้างความแตกต่าง ไม่ใช่เด็กวัยรุ่นแล้วที่ต้องมาทำตัวเด่นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ปัญหามันเกิดเพราะผมต้องสอนภาษาอังกฤษให้ลูกนี่สิ
   เอาล่ะผมเข้าใจว่าต่างคนต่างสไตล์ ต่างถิ่นก็ต่างสำเนียง แต่สำเนียงแบบไหนล่ะที่เราควรสอนเด็ก
   ไม่รู้ล่ะ ผมยึดเอาว่าการอ่านของผมถูก แต่ผมก็ไม่ได้บอกว่าของคนอื่นเขาผิด ไม่อยากเถียงกันเรื่องไร้สาระ แต่มันแค่แปลกใจ เพราะสังเกตุดูแล้วคนไทยมักจะลงท้ายเสียงด้วยเสียงต่ำ  เสียง  ห เสียง ถ แปลกดี
   นี่ๆ ขอคุยหน่อย ตอนหนุ่มๆ อายุสัก 18 ปี เคยมีฝรั่งชมผมด้วยนะว่าพูดภาษาอังกฤษได้ชัดมาก ชัดกว่าตัวเขาซึ่งเป็นฝรั่งเจ้าของภาษาเองเสียอีก เจอแบบนี้งงครับ จะเป็นไปได้ไง คนเอเชียหัวดำจะพูดได้ชัดกว่าคนท้องถิ่นเอง
   คุยไปคุยมาก็เข้าใจ คือผมพูดภาษาอังกฤษด้วยสำเนียงของภาคกลาง (เปรียบเป็นของไทยนะ) ส่วนตัวเขาน่ะอยู่ภาคใต้ การพูดเลยมีสำเนียงของท้องถิ่นย่านนั้นๆ ถึงตรงนี้ทำให้ผมเข้าใจมากขึ้นอีกหน่อยครับว่า หากจะเรียนภาษาอังกฤษให้ดี ก็ต้องดูสถานที่ๆ เราจะไปเรียน ไปฝึกพูดด้วย
   อย่าเพิ่งคิดว่าผมโอ้อวด คุยโม้ใหญ่โตไปล่ะ อย่าเข้าใจผิด ประเด็นคือแค่เรื่องการออกเสียง และผมต้องการหาสิ่งที่ถูกต้องที่สุดเพื่อไปสอนลูกต่างหากครับ
   พื้นฐานของผมเรียนและฝึกภาษาอังกฤษด้วยตัวเองนะครับ ทุกวันนี้ก็ไม่ได้เก่งกาจอะไรนัก แค่พอซื้อของกินได้ และไม่หลงทางเมื่อไปต่างแดน
   หลักสำคัญที่ผมจับประเด็นได้นั่นคือการออกเสียงให้ถูกต้องครับ นี่แหละที่ผมถือว่าสำคัญสุด แต่หาโรงเรียนที่สอนสไตล์นี้ได้น้อยมากๆ โดยทั่วไปก็จะออกเสียงสำเนียงไทยกันหมด เช่น A อ่านว่า เอ ผมอ่าน เอย์ (เอ อิ ก็ได้) หรือ 2 อ่านว่า ทู ผมอ่าน ทยู้ (ทะ ยู้) ยังไม่นับพวกคำที่มีตัว th ลงท้าย ที่คนส่วนใหญ่จะพลาด เพราะต้องสอดลิ้นเข้าไประหว่างฟันบนและฟันล่าง
   พายุฝนอ่อนกำลังลงแล้ว ฝนก็้น้อยลงตาม ในกรุงเทพฯวันนี้เลยแดดแรงอย่างเก่าอีกแล้ว โดนแล้วแสบผิวเหลือเกิน ตอนเด็กๆ ผมว่าแดดไม่แรงเท่านี้นะ วิ่งเล่น ปั่นจักรยานเล่นอยู่นาน ไม่ยักกะแสบผิวเลยแม้แต่น้อย
   หรือว่าชั้นโอโซนที่กรองความแรงของแสงอาทิตย์มันบางลงไปเยอะแล้วก็ไม่รู้
Title: Re: ตค 52
Post by: O'Pern on October 03, 2009, 04:56:12 pm
3 ตค 52
   วันนี้ฟิตจัด เช้าตรู่ออกปั่นสัก 20 กม ยังไม่หนำใจ กลางวันยังออกไปอีกรอบ เห็นมันไม่ค่อยมีแดดน่ะ แต่ที่ไหนได้ ออกไปแป๊บเดียวแดดแรงจ้าเลย ช่างมัน ปั่นต่อไปเดี๋ยวก็ชิน แต่ไม่ได้ออกไปนานนักหรอกนะ แค่ลองรถคัน KHS HT ทดสอบแรงดันลมยางต่ำกว่าค่าสูงสุดสัก 10% ลองแล้วรู้สึกนิ่มนวลดีอย่างเห็นได้ชัดเลย
   ผมไปตั้งกระทู้ในเวปของ TCC เกี่ยวกับเรื่องการขนย้ายจักรยานและสัมภาระขณะออกทริป เพราะกลัวว่าสัมภาระที่ผมเอาไปมันจะเกะกะมาก ผมมีทั้งเต้นท์ แผ่นปูรองนอน และข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว หากใส่ Pannier ไป ผมจะต้องคอยถือเจ้า Pannier ทั้ง 2 ใบนี้และเต้นท์พร้อมอุปกรณ์การนอนนี้ด้วยหรือไม่ มันหลายชิ้นอยู่นะ แผ่นปูรองนอนมันเบาก็จริง แต่มันใหญ่ ม้วนเก็บได้ แต่มันใส่กระเป๋า ใส่เป้ไม่ได้ หอบหิ้วกันพะรุงพะรังผมก็ไม่ชอบเหมือนกัน มันขาดความคล่องตัว
   เวลาผมเปลี่ยนเซ็ทติ้งรถแต่ละครั้ง ก็มักจะต้องเอารถออกไปลองอย่างเป็นทางการ ผมต้องการข้อมูลว่าเซ็ทรถแบบไหนอาการจะเป็นเช่นไร ไม่รู้คนอื่นเขาจะทำแบบนี้กันไหม
   ผมเพิ่งเห็นโฆษณาของ ททท ตอน 12 เดือน 7 ดาว 9 ตะวัน ตอนแรกน่ะได้รับเอกสารเป็นอีเมลล์มาหลายเดือนแล้ว แต่ไม่รู้จะทำเป็นแค่แคมเปญโฆษณาทางสื่อสิ่งพิมพ์หรือไม่ วันนี้เห็นพี่เบิร์ดเป็นพรีเซนเตอร์ ถ่ายที่มอหินขาว จ ชัยภูมิ ขอยกย่องว่าทำได้ดีมากๆ ไม่แพ้ตอนสามพันโบกที่ อุบลราชธานีเลย เห็นแล้วอยากไปจริงๆ แต่ในภาพน่ะเขาเอาไฟสปอทไลท์ไปส่องเพิ่ม มีการจัดแสงช่วย มันเลยดูสวยกว่าความเป็นจริงเยอะ ของจริงมันเป็นลานโล่งๆ ตกดึกก็มืดสนิท ไม่ได้เห็นก้อนหินใหญ่ๆ สีขาวหรอกนะ
   ไทยเรามีของดีๆ สวยๆ อีกเยอะมากๆ ครับ ผมว่า ททท ของเรามาถูกทางแล้ว แต่อย่างที่เคยบอกว่าเราขาดการต่อยอด งานนี้ ททท เปิดเกมให้แล้ว ทาง จ ชัยภูมิจะต้องรองรับนักท่องเที่ยวกันขนานใหญ่ ชุมชนที่อยู่ใกล้มอหินขาวก็ต้องช่วยกันต่อยอดกันเองด้วยนะครับ หาแหล่งท่องเที่ยวให้เขาอยู่ต่อได้ด้วย ไม่ได้แค่ไปดูลานหิน ไปกลางวันร้อนสุดยอดแทบไม่อยากลงจากรถ ทำอย่างไรให้นักท่องเที่ยวเขาอยู่ได้นานๆ ยิ่งเขาอยู่นาน เขาก็ยิ่งใช้เงินมาก เงินก็จะตกอยู่ในท้องถิ่นของท่านเองนะครับ
   ไทยเราเด่นเรื่องธรรมชาติ และผู้คนเป็นมิตรไมตรีครับ อันแรกน่ะหลายๆ ประเทศเขาก็มีกัน แต่เรื่องน้ำใจของคนในท้องถิ่นแล้ว คนไทยกินคนต่างชาติขาดลอยครับ
   แปลกดีไหม การศึกษาของคนเราแพ้เขา แพ้คนที่ชาติเขาเจริญแล้ว แต่จิตใจคนในต่างจังหวัดของเรากลับดีกว่า แต่ก็อีกล่ะนะ ใจดีเกินไปก็กลายเป็นถูกเขาหลอกก็มีเยอะ คือคนเขามองโลกแง่ดีไง เขาไม่เคยเจอคนร้ายๆ เกิดมาก็อยู่กับท้องถิ่น อยู่กับธรรมชาติ ใจเลยสงบ
   ครั้นสังคมเมืองขยายเข้าไปหาเขา กลายเป็นำวัฒนธรรมการโกงเข้าไปด้วย ใครปรับตัวไม่ทันก็ตกเป็นเหยื่อ
   เดินสายกลางครับพี่น้อง เห็นอะไรไม่ชอบมาพากลก็ต้องระวังตัวกันไว้สักนิด โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ
   จะบอกให้อีกอย่างว่า คนที่โดนหลอกมันจะเกี่ยวเนื่องกับความโลภ
   นั่นหมายความว่า ถ้าไม่โลภ ก็มักจะไม่โดนครับ    
Title: Re: ตค 52
Post by: O'Pern on October 04, 2009, 05:07:51 pm
4 ตค 52
   เช้ามืดออกมาตักบาตรทำบุญวันเกิดของลูกผมครับ เขามีอายุครบ 8 ปีในวันพรุ่งนี้ ภรรยาจัดเตรียมดอกไม้ ธูป เทียนไว้ตั้งแต่กลางคืน ผมมาจัดอาหารเข้าถุงตอนเช้า ไม่ได้ไปตักบาตรที่ไหนไกลหรอกครับ แค่หน้าปากซอยนี่แหละ บางช่วงพระยังไม่เดินมาเราก็นั่งคุยกันสามคน แต่ก็ไม่นานนักหรอก พระท่านทะยอยเดินกันมาเรื่อยๆ ขอให้มารอถูกจังหวะและเวลาก็แล้วกัน
   แต่คนแถวบ้านผมเขาตักบาตรกันแบบกองโจรครับ คือขับรถไปเรื่อยๆ เจอพระที่ไหนก็โฉบไปจอด เหมือนแท๊กซี่เห็นผู้โดยสาร แบบนั้นเป๊ะเลย เป็นการตักบาตรแบบกองโจร แบบซุ่มโจมตี ไม่ได้อยู่นิ่งปักหลักเหมือนอย่างผม ผมเองก็เคยตักแบบกองโจรกับเขาเหมือนกัน แต่ไม่ไหวว่ะพี่น้อง พอเหลือพระองค์สุดท้ายผมตระเวณหาอยู่นานมาก ไกลจากบ้านเป็น 10 กม เลย
   ตักบาตรเสร็จแล้วกลับมาบ้านรีบกรวดน้ำด้วยนะครับ เทน้ำรดที่โคนต้นไม้ใหญ่ในบ้านเรานี่แหละ
   เสร็จแล้วมองหน้ากัน ไปไหนกันต่อดี ยกโขยงกันไปตลาดน้ำบางน้ำผึ้งอีกแล้ว ลูกกับภรรยาติดใจก๋วยเตี๋ยวต้มยำ ผมเองก็ด้วย มันไม่ไกลจากบ้านผมเท่าไหร่นัก เลยไม่ใช่ปัญหาอะไร แถมมีขนมอร่อยๆ เพียบ น้ำหนักขึ้นอีกแน่ๆ
                กลับจากตลาดน้ำทีไร ได้ขนม ได้อาหารกลับมาเต็มสองมือทุกครั้ง ขนมไหนติดใจก็ซื้อซ้ำ อันไหนไม่ถูกใจก็ลองแค่ครั้งเดียว วันนี้เจอของแปลก คือข้าวเกรียบเห็ดนางรม เป็นชิ้นข้าวเกรียบสีขาว ไม่เคยเห็นมาก่อน เพิ่งรู้ว่ามีเห็ดนางรมด้วย คิดว่ามีแค่หอย ไม่ได้ซื้อมาครับ หิ้วจนเต็มสองมือไปหมดแล้ว ไว้คราวหน้าก็แล้วกัน
                วันนี้เน้นหนักไปทางขนมไทยโบราณ ที่หาทานได้ยากก็คือพวกที่ต้องใช้ฝีมือประดิษฐ์ประดอย เช่น จ่ามงกุฏ แค่เห็นขนมก็แทบไม่อยากกิน สวยเหลือเกิน อ้อ ขนมและอาหารที่ขายในตลาดน้ำบางน้ำผึ้งนี้เป็นฝีมือของชาวบ้าน และกลุ่มสหกรณ์เขาทำกันเองนะครับ ไม่ได้มีการรับจากที่อื่นมาวางขายเหมือนตลาดอื่นๆ ผมชอบตรงนี้มาก นับว่าเป็นตลาดน้ำที่มีคอนเสปดีทีเดียว
เดินผ่านหน้าวัด ให้ลูกเอาเงินไปใส่ตู้บริจาคช่วยเหลือเด็กกำพร้าบ้านครูน้อย เด็กๆ เขาก็คงหยอดเงินใส่ไปงั้นๆ ไม่ได้คิดว่าการบริจาคเป็นการทำทาน ไว้สักวันคงต้องสอนเขา
                กลับมาบ้านพร้อมกับความอิ่ม ยังมากินต่อที่บ้านอีก ซื้อมันเทศทอดทั้งหัวมาด้วยอีก 1 กระทง
                ผมวางแผนปั่นจักรยานสำหรับทริปปลายปี ยังไม่สรุปว่าจะไปที่ใด แต่หาข้อมูลอย่างไรก็ไม่ค่อยมีรายละเอียดด้านการปั่นจักรยานเดินทางและท่องเที่ยวเลย
                เป็นไปได้สูง ว่ามันอาจจะเป็น Solo Trip ของผมอีกแล้ว
Title: Re: ตค 52
Post by: O'Pern on October 06, 2009, 02:23:31 pm
5 ตค 52
   กินจนน้ำหนักขึ้นอีกแล้ว ถึงวันจันทร์ทีไรก็เริ่มมหกรรมลดพุงทุกที พักหลังมาาชักจะเป็นแบบนี้เริ่มบ่อย แต่ยิ่งอายุมาก ยิ่งลดได้ช้า แถมต้องใช้ความตั้งใจมากกว่าเดิม มันเป็นไปตามวัย ทางที่ดีควรจะควบคุมมากกว่าจะมาตามลดทีหลังอย่างผม
   วันนี้เขามีงานทดสอบขับรถยนต์ Mitsubishi Lancer ตัวใหม่ เปลี่ยนโฉมกันเลยนะ แบบ Model Change หน้าตาดุดันดีมากๆ วัยรุ่นที่ชอบรถแต่ง รถซิ่งคงจะถูกใจกัน
   แต่วันนี้คนงานส่งของที่บ้านไม่มาทำงาน ไม่ได้ไปทดสอบรถยนต์กันล่ะ แปลงร่างเป็นพนักงานขนสินค้า นั่งติดอยู่ท้ายรถกระบะแทน ชีวิตอิสระดีไหมครับ ฮ่าๆ
   ตะเวณส่งของก็ร้อนแสนร้อน ตอนกลางวันก็มีฝนเทลงมา ก็ส่งมันทั้งๆ ที่ฝนตกนี่แหละครับ อยู่กลางถนนนี้ร้อนและฝุ่นควันถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา และถ้ามีฝนมาก็ถือว่าช่วยเพิ่มภาระให้แก่การทำงาน
   จะมานั่งบ่นก็ไร้ประโยชน์ครับ เราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันอย่างมีความสุขจะดีกว่า คิดแบบนี้เป็นการคิดบวก ถึงแม้ว่าแง่บวกมันจะมีไม่มากนัก แต่ก็ต้องคิดออกมาให้ได้
   โลกเราทุกวันนี้แข่งกันที่มุมมองความคิดครับ มันมีพื้นฐานมาจากสมอง การเรียนรู้ และประสพการณ์ เรียนไม่เก่ง สอบได้ไม่ดี ไม่ใช่ปัญหาเลยสักนิด ผมขอแค่ให้มีความคิดดีๆ ในสิ่งดีๆ ในแง่มุมดีๆ แบบสร้างสรรค์ อาจผิดแผกคนอื่นไปบ้าง ก็ถือเป็นการคิดนอกกรอบ
   แต่ไอ้ที่ไม่ดีก็คือพวกไปฉลาดในเรื่องเลวๆ เช่นคิดคดโกง คิดทุจริต คิดหาผลประโยชน์เข้าตัวเองและพวกพ้อง
   ไม่น่าเชื่อว่าจะพบไอ้พวกเหี้ยแบบนี้ได้เยอะมากในนักการเมือง ประเทศชาติมันเลยไม่ไปถึงไหนกันไง มีแต่ตัวมันเองที่รวย
   ปิดท้ายด้วยเรื่องดีๆ ของลูกผม วันนี้เป็นวันครบรอบวันเกิดของเขา โดยส่วนตัวผมรู้สึกเฉยๆ กับเรื่องงานวันเกิดมากๆ วันเกิดตัวเองก็แค่ไปทำบุญ ทำคุณความดีให้มากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะกับคนใกล้ชิดเช่นพ่อแม่ ผมไม่เคยได้ของขวัญวันเกิดอะไรสักอย่าง แต่คนอื่นเขาไม่ได้เป็นอย่างผม ตอนเด็กๆ ก็เลยมีคิดน้อยใจ คิดอย่างได้แบบเขาบ้าง
   พาลูกไปทานที่ร้าน KFC เขากินไก่อย่างเอร็ดอร่อยมาก นั่งมองดูเขากินก็แอบยิ้มไปในใจ นี่ผมละทิ้งงานหลักของตัวเอง ละทิ้งอนาคต ละทิ้งโอกาสที่จะทำเงินทองได้มากมายเพื่อที่จะได้ดูแลเขาอย่างใกล้ชิด
   ผมดูแลเขามาถึงวันนี้ก็ 8 ปีเต็มๆ ขากลับเดินผ่านร้านขายขนมปัง เขาอยากได้เค๊กชิ้นใหญ่ ผมต่อรองขอเป็นชิ้นเล็กๆ แทน อ้างเหตุผลว่าเผื่อมันไม่อร่อย เขาโอเค
   ถึงบ้าน เขาเอาเทียนวันเกิดมาปัก ให้ผมจุดไฟให้ เขาอฐิฐานยกมือไหว้พนมือ จากนั้นก็เป่าเทียน
   “สุขสันต์วันเกิดนะครับลูก”
   “ขอบคุณครับพ่อ”
Title: Re: ตค 52
Post by: O'Pern on October 07, 2009, 01:43:39 pm
6 ตค 52
   เซ็งสุดยอด เดินไปเหยียบขี้หมามา แล้วดันมาปั่นจักรยานต่อทันที มันยัดลงไปในบันไดแบบเต็มๆ ยังดีที่เป็นรองเท้าแตะที่พื้นมันเรียบๆ ไม่ได้เป็นรองเท้าจักรยานที่มีคลีทอยู่ข้างใต้ แบบนั้นจะเรียกโดน 2 เด้ง แต่กระนั่นก็เถอะ เพราะบันไดอันนี้มันคือ Shimano XT 08 Clipless หึหึ ขี้หมาติดเต็มสปริงเลยพี่น้อง
   เมื่อวานแสนจะเสียดายที่ไม่ได้ไปงานทดสอบรถยนต์ Mitsubishi Lancer ยังนึกคิดถึงไม่ทันหาย วันที่ 17 พฤศจิกายน เดือนหน้าจะมีงานเปิดตัว Mazda 2 แล้ว ตัวนี้สวยและน่ารักมากๆ ครับ เป็นรถเล็กๆ สไตล์เดียวกับ Toyota Yaris ใครชอบรถเล็กนี่ผมแนะนำเลยแหละ แต่ไม่รู้จะเป็นรถตัว Model Change หรือเปล่า ไว้ใกล้ๆ ค่อยดูกันอีกที
   ตอนเช้าถึงบ่ายแดดแรงจัด แต่พอใกล้จะเย็นกลับมืดครึ้มเหมือนฝนจะตก เล่น 2 ฤดูในวันเดียวกันเลยนะนี่
   เช้านี้อ่านเจอข่าวปัญญาอ่อนของทางภาครัฐ เรื่องการจับสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ ก็พวกของปลอม ของก๊อปทั้งหลายนั่นแหละ มันมาปัญหาอ่อนตรงที่ เขาว่าใครซื้อจะโดนจับ โดนปรับ แปลกดีไหมที่ผู้ผลิต ผู้จำหน่ายไม่โดน (จะว่าไม่โดนก็ไม่เชิงหรอก เพราะมีกฏหมายเก่าว่าด้วยสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์กำกับไว้อยู่แล้ว)
   คือมันจับต้นตอไม่ได้แล้วไง เพราะพวกพ้องของมันทำกันเอง จับไปก็เจอของเพื่อน ของพี่ ของนาย ก็เลยต้องมาจับคนซื้อ ประเด็นที่ผมว่ามันปัญญาอ่อนอยู่ตรงนี้
   เออ วันนี้เขาทดสอบรถยนต์ BMW 7 Series นี่หว่า ตัวใหม่เสียด้วย ไม่ได้ไปอีกแล้ว รถหรูระดับสุดยอดแบบนี้ พลาดแล้วเสียดายนะ
   แต่ก็อย่างที่บอก ลูกผมสำคัญกว่าครับ
Title: Re: ตค 52
Post by: O'Pern on October 08, 2009, 02:03:45 pm
7 ตค 52
   เช้าเอารถ KHS HT ออกปั่น ตระเวณสำรวจซอยเล็กซอยน้อยใกล้บ้าน มีการวกเข้าไปในสวนกล้วยไม้บ้าง โดนหมาไล่เห่าบ้างตามระเบียบ ไม่มีปัญหาอะไร เราอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ
   อากาศดี สายๆ เลยเอารถออกปั่นอีกรอบ ทีนี้กลับเข้ามาตอนบ่ายเลย โดนฝนด้วยครับ ตกอย่างหนักเลย เห็นมอเตอร์ไซค์จอดหลบฝนกันหมด ผมปั่นฝ่ามันไปซะเลย เย็นสบายดีออก มันก็แค่เลอะเทอะหน่อย เฉอะแฉะบ้าง ก็เท่านั้นเอง ผมปั่นตากฝนอยู่ราว 1 ชม มันก็หายตกไปเอง
   ผมว่าปัญหาของการปั่นกลางฝนนั้นก็คือเรื่องเบรกจะอ่อนประสิทธิภาพลง และการยึดเกาะของยางกับผิวถนนจะไม่ดีดังเดิม
   ผมใช้ด้านหลังของถุงมือที่เป็นเหมือนผ้าขนหนูปาดเช็ดเลนส์แว่นตาเป็นระยะ แต่พอกลับมาถึงบ้านแล้วพบปัญหาใหญ่ นั่นคือรองเท้ามันเปียกชุ่มไปหมดเลยครับ มันแห้งยากน่ะสิ ส่วนเสื้อ กางเกง พอกลับมาถึงบ้านก็แทบจะแห้งสนิทแล้ว ถุงเท้าไม่เป็นไร เพราะซักทุกวัน อ้อ มีผ้าคลุมหน้าอีกอันที่พอถึงบ้านแล้วผมรีบซักตากทันที เผื่อพรุ่งนี้จะได้ใช้ทัน
   ออกปั่นแล้วรู้สึกเหมือนผมคนเดิมกลับมาแล้ว ไม่ได้ออกปั่นอย่างเป็นทางการแบบนี้มาหลายเดือน ผมรู้สึกดีนะ มันรู้สึกสบายอกสบายใจบอกไม่ถูก
   รีบเอารองเท้าผึ่งลม ลุ้นให้แห้งไวๆ พรุ่งนี้ผมอยากเอาจักรยานออกปั่นอีก เมื่อเช้าอยากเอาเสื้อกันฝนไปด้วย แต่ผมดันไปปลด Pannier ทั้ง 4 ใบ ออกซะ เลยไม่มีที่ใส่ ที่เอา Pannier ออกก็เพราะปั่นบนท้องถนนจังหวะที่ต้องซิกแซกเกรงว่ากระเป๋าจะไปโดนรถเก๋งเขาน่ะครับ
   ได้ปั่นกลางฝนจัดๆ แบบนี้เป็นครั้งที่ 2 แล้ว ครั้งแรกตอนผมออก Solo Trip ไประยอง งวดนั้นฝนหนักกว่านี้เยอะ ผมเปียกและแห้งไป 3 รอบ ภายในวันเดียว ที่ว่าแห้งนี้คือปั่นจนรองเท้าแห้งเลยนะ
   ผมค่อนข้างพอใจกับประสิทธิภาพของยางสลิคที่ใช้อยู่ กลัวอย่างเดียวตอนยางแตกแล้วต้องงัดออกมาปะ เพราะตอนใส่จำได้ว่างัดกันนานมาก ใส่ยากจริงๆ ถามพรรคพวกเลยรู้ว่าคนอื่นเขาก็เป็นเหมือนกัน
   
8 ตค 52
   ออกปั่นแล้วติดใจ วันนี้เอาอีกแล้ว แต่เตรียมพร้อมอุปกรณ์กันฝนไปด้วย คือเสื้อกันฝน + กันลม (หนาว) อันนี้ที่จริงไม่จำเป็นนัก แต่ผมเผื่อไปทริปที่หนาวๆ เลยมีติดเอาไว้ และอุปกรณ์ใหม่คือรองเท้าที่ใช้ลุยน้ำโดยเฉพาะ เตรียมไปแค่สองอย่างนี่แหละ แต่ถ้าให้เลือกอย่างเดียว ผมขอเป็นรองเท้า เพราะตัวเปียกน่ะมันแสนจะเย็นสบายดีออก แถมพอปั่นถึงบ้านก็ต้องถอดออกซักอยู่แล้ว จะเปียกแฉะขนาดไหนก็ไม่มีปัญหา แต่รองเท้านี่สิ เปียกแล้วแห้งยากมาก ทิ้งไว้ทั้งคืนยังได้แค่หมาดๆ ใส่แล้วไม่ดีครับ เดี๋ยวเชื้อราขึ้น ทำให้เท้าเป็นแผล และที่สำคัญคือเหม็นครับ ใครเท้าเหม็น หรือรองเท้าเหม็น ก็มักจะมาจากเจ้าเชื้อโรคจำพวกนี้แหละครับ
   วันนี้เลยพก Pannier ไป 1 คู่ แขวนไว้ด้านหลัง เออ เมื่อวานลุยฝนเลยได้ใช้บริการผ้าคลุมกันฝนของกระเป๋าบนแร็คหลัง พบว่ามันกันน้ำได้ดีพอควร ทำไมช่างต่างจากผ้าคลุมกระเป๋าบนแร็คหน้า (กระเป๋าหน้าแฮนด์) อย่างเยอะมาก ทั้งๆ ที่เป็นยี่ห้อเดียวกัน ตระกูลเดียวกัน ซีรี่ส์เดียวกัน ผ้าคลุมของกระเป๋าหน้านี้อย่างห่วยเลยครับ ฝนลงแค่หยดเดียวก็ซึมเข้ากระเป๋าด้านในแล้ว KHS พลาดอะไรในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไปหรือเปล่า
   เอ๊ะ หรือเขาออกแบบมาให้มันกันน้ำออกวะ
   ใก้ลสิ้นปีแล้ว วงการธุรกิจต่างๆ มักจะงัดกลยุทธการตลาดออกมาเพื่อกระตุ้นยอดขายตามเป้าที่บริษัทเขากำหนดไว้ให้ สังเกตุให้ดีก็จะพบเรื่องพวกนี้ในทุกวงการเลยครับ เด่นๆ ก็รถยนต์ มีถึงขั้นจัดงานมหกรรมรถยนต์ตอนเดือนธันวาคมเป็นประจำทุกปี พวกคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ IT หรือโทรศัพท์มือถือยิ่งไม่ต้องห่วง อัดแคมเปญกันระเบิด แต่ต้องดูให้ดี ไอ้พวกนี้มันชอบยัดไส้ เอาของมีตำหนิ  ของเกรดต่ำมาเซลล์ กระทั่งวงการเล็กๆ อย่างพวกแคมปิ้งก็ยังมีเซลล์กันเลยครับ แต่เขาแฟร์หน่อยตรงที่บอกเลยว่าเป็นสินค้ามีตำหนิ แบบนี้ต้องชื่นชมครับ ต้องบอกยี่ห้อว่าเป็นของ Karana ของไทยเรานี่แหละ ผมใช้บริการสินค้าของเขาหลายอย่างแล้ว ที่เลือกยี่ห้อนี้ก็เพราะผมชอบของไทยครับ ขอให้เป็นของดี ผมมักเลือกของไทยไว้ก่อน ยิ่งอุปกรณ์เหล่านี้ผมมักซื้อกันทีเดียวจบ และใช้ยาวตลอด จึงมองเรื่องบริการหลังการขายด้วย สินค้าไทยสามารถส่งซ่อมได้ ณ จุดที่เราซื้อครับ เต้นท์ขาด เสาหัก สมอบกหาย ฟลายชีทรั่ว ฯลฯ เรื่องพวกนี้เขาทำได้สบายมากๆ
   ผมปั่นจักรยานผ่านโชว์รูมรถ Mazda เห็นมีติดป้ายเปิดรับจองรถ Mazda 2 รู้สึกแปลกใจ อ้าว รถยังไม่เปิดตัวเลย รับจองกันแล้วหรือ มีแค่รูปภาพก็ขายได้แล้วหรือนี่ แจ๋วจริงๆ เลย
   ซื้อจักรยานกันคันละหมื่นกว่าบาทยังคิดแล้วคิดอีก หาข้อมูลต่างๆ นานา ถามเพื่อนสารพัดว่าดีไหม เป็นไงบ้าง คุ้มไหม ทนทานไหม มีจุดอ่อนอะไรบ้าง
   รถยนต์คันละ 5 แสน กลับจ่ายเงินจองกันเฉยเลย ก้นยังไม่ได้เคยสัมผัสเบาะนั่งของมันเลย หน้าตาของจริงจะเหมือนในรูปหรือเปล่าก็ไม่รู้
   ต่อให้เขาเปิดตัวแล้วก็เถอะครับ แม้จะได้เห็นตัวจริงแล้ว ได้จับ ได้ลูบคลำ (รถ) แล้ว ก็มีอีกหลายท่านที่จ่ายเงินซื้อแบบง่ายดาย
   บางบริษัทมีรถให้ทดลองขับ อันนี้ถือว่าแฟร์หน่อย แต่ก็อีกนั่นแหละ ได้แค่ขับนิดๆ หน่อยๆ หน้าบริษัท อย่างเก่งก็ขึ้นทางด่วนแป๊บเดียวก็วนลงแล้ว มันไม่ค่อยรู้เรื่องหรอกครับ และเซลล์มักจะเสนอบริการทดลองขับให้แก่เฉพาะลูกค้าที่สนใจจริงๆ เท่านั้น คือมาขอขับซี้ซั้วเขามักจะไม่ให้
   ซื้อรถยนต์นี่ยิ่งต้องคิดให้หนักนะครับ รองเท้าแตะคู่ละ 30 บาทยังลองแล้วลองอีกเลย หากเป็นร้านที่เขาให้เราหยิบลองเองได้นี่ เห็นบางคนเอามากองเต็มพื้น ลองถอดเข้าถอดออก ลองเดินอยู่หลายเที่ยวกว่าจะตัดสินใจซื้อ เผลอๆ ยังไม่ซื้อก็มีเยอะแยะ
   ที่ผ่านมางานของผมจึงเป็นการทดลองทดสอบขับรถยนต์แทนผู้ซื้อไงล่ะครับ
Title: Re: ตค 52
Post by: O'Pern on October 11, 2009, 11:17:47 am
9 ตค 52
   ลูกผมอยากได้นาฬิกาแปลงร่าง Ben10 ดูไร้สาระเน๊อะ แต่ย้อนไปคิดถึงตัวเองตอนเด็กๆ ผมเคยอยากได้เข็มขัดแปลงร่างของมดเขียว V3 ชมัด
   ตัวการ์ตูนฮีโร่พวกนี้มันคือขวัญใจเด็กๆ ไงครับ เชื่อไหมว่าทุกวันนี้หากผมเห็นโมเดลได้มดแดงเป็นต้องหยุดดูทุกที และต้องสอดสายตามองหาเจ้า V3 เป็นตัวแรก ชอบรองลงมาก็ V6 Amazon จำได้ว่ามีกำไลกาก้า กับ กำไลกีกี้ ฮ่าๆ แม่งบ้าฉิบเป๋ง
   ผมอยากได้ แต่ไม่เคยได้หรอกครับ สมัยก่อนไม่มีของเล่นพวกนี้ขาย อยากได้ก็ต้องตัดกระดาษมาเขียนมาระบายสีแล้วคาดเอวเอาเอง หึหึ คงจะเหมือนหรอกนะมึง
   ไปดูห้างเซ็นทรัล เจอรุ่นที่ลูกผมเขาชอบ เห็นราคาแล้วตกใจ 1150 บาทครับ คุ้นตาว่าเคยเห็นทีคลองถม ไว้ต้องไปดูอีกที เพราะมันมีหลายรุ่นเหลือเกิน
   ตอนบ่ายเปิด Google ดู เจอแบบเดียวกันเลย ในเวปเขาขาย 650 บาท ผมอยากเห็นของก่อน โทรไปคุย เจ้าของคนขายบอกเขาขายออนไลน์อย่างเดียว ไม่มีหน้าร้าน เลยวางสายไป บอกตามตรงว่ากลัวโดนหลอก แต่เวปเขาก็ดูโอเคดีนะ อย่างว่าแหละ หากจะหลอก ก็ต้องทำให้เนียนสิ ทำห่วยๆ ใครจะมาโอนเงินให้กันเล่า
   หาไปเรื่อยๆ เจออีกเจ้าหนึ่ง ขายออนไลน์อีกละ ผมบอกจะมาซื้อให้ลูก ผมกลัวมันผิดรุ่น คนนี้เขาเข้าใจ เลยโอเค แต่ไว้ผมพร้อมแล้วค่อยโทรนัดเขาให้ออกมา โชคดีที่ไม่ได้ไกลกันเว่อร์นัก ผมคงปั่นจักรยานไปได้ เขาอยู่แถวหัวลำโพง กลางเมืองเป๊ะๆ เลย
   วันนี้ตลอดทั่งวันผมเป็นคนขับรถส่งของครับ พนักงานขับรถไม่มาทำงาน ผมเลยต้องขับแแทน ชีวิตอิสระดี ร้อน ฝน หนาว เราไม่สนใจ เราจะส่งของเสียอย่าง ตอนบ่ายเลยลุยฝนเสียจนสะใจ เลิกงานก็มืดแล้ว ปั่นจักรยานกลับบ้านแบบฝ่าสายฝนนี้ดูจะสนุกเหลือเกิน
   ผมชักจะชอบสายฝนเสียแล้วสิ

10 ตค 52
   วันนี้พาลูกไปดูกลุ่มนักบินของสหรัฐอเมริกาชื่อ Thunder Bird เขาบินโชว์ที่ดอนเมือง คนเยอะแน่ๆ เลยโทรไปสอบถามเจ้าหน้าที่ถึงเวลาและสถานที่อย่างละเอียด ได้ความว่าประตูเปิดให้เข้า 1200 เวลาแสดงคือ 0100 – 0300 โห แสดงแค่ 2 ชม เอง ส่วนสถานที่ก็คือลานหน้าคลังสินค้าครับ
   ผมวางแผนอย่างดิบดี ออกเดินทางออกจาบ้าน 1115 ถึงทางลงหน้าดอนเมืองเวลา 1200 พอดี โห ท้ายแถวยาวมาก โอเคๆ วันนี้คนเยอะอยู่แล้ว ต้องทำใจ แต่ระหว่างต่อคิวรอก็มีรถมาเสียบเข้าข้างหน้าอยู่ตลอดเวลาเลย ทำเอาท้อใจเหมือนกัน จนลูกถามว่า พ่อไม่ไปเสียบเข้าแบบเขาบ้างล่ะ ผมหันไปมองหน้าแล้วยิ้ม ไม่ได้พูดตอบอะไร พูดไม่ถูก
   ต่อคิวอยู่ยาวนานจนมาหงุดหงิดเพราะเจ้าหน้าที่เขาปิดทางเข้าที่ผมจะเข้าครับ เขาให้ไปใช้ทางเข้าด้านหน้า โหห ผมต่อคิวมา 45 นาที มาเจอแบบนี้เซ็งสุดยอด เลยต้องไปใช้ทางเข้าอันถัดไป มันไกลกว่าเดิมเยอะ แถมเข้าไปแล้วก็ต้องขับย้อนกลับมาอีก
   รถเยอะแน่นมากๆ ครับ ไม่เคยเห็นคนเยอะขนาดนี้มาก่อนเลย ขนาดวันเด็กทีว่าแน่ๆ ยังแพ้งานนี้ขาดลอย
   รถเยอะ จอดกันมั่วเลย มีที่เรียบร้อยไม่เกะกะใคร ผมเห็นคนอื่นเขาจอด เลยต่อหลังเขาบ้าง พอล็อครถเสร็จเจ้าหน้าที่ประกาศทางทรโข่งว่าเป็นที่ห้ามจอด ผมลังเลกับลูกว่าเอาไงดี เพราะคนอื่นเขาเดินกันไปเฉย ทำเป็นไม่ได้ยิน
   ตัดสินใจเลื่อนรถครับ แล้วก็ถามลูกว่าเราควรทำอย่างไรกับสถานการณ์เช่นนี้ เขาว่าเราควรเลื่อนรถ เพราะเจ้าหน้าที่บอกห้ามจอด ผมแย้งว่าคนอื่นเขาก็จอดกันเต็มเลยนะ ลูกผมเริ่มทำหน้าไม่มั่นใจ ผมโอบลูกมาจูบหน้าผาก บอกว่าเราทำถูกแล้วจ๊ะ แต่คนทำถูกต้องมักจะกลายเป็นคนต้องเสียสละ เลยยกตัวอย่างการต่อคิวซื้อของแล้วมีคนมาแซงคิวให้เขาดู
   วนไปเรื่อยๆ ก็เจออีกที่ๆ มีคนจอดกันเยอะเลย เอาบ้าง ต่อท้ายเขาบ้าง ไม่มีเจ้าหน้าที่ว่า เลยรีบลงจากรถแล้วจ้ำเท้าเข้าอาคารคลังสินค้าทันที ตอนนี้เวลา 0130 แล้ว เลยเวลาการแสดงไป 30 นาทีแล้ว แต่ผมยังไม่เห็นเครื่องบิน F16 ของ Thunder Bird เลย
   คนเยอะแน่นมากๆ เบียดเสียดกันเข้าทางประตูเล็กๆ เห็นมีคนพยายามจะพาจักรยาน MTB เข้าไปด้วย ผมเห็นมากัน 3 คัน ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาทำสำเร็จไหม จับจองที่นั่งชม (นั่งกับพื้น) ไม่น่าเชื่อว่าเขามาเริ่มแสดงบินกันตอน 0230 ครับ (เลทแบบกระจาย) การบินก็เหมือนงาน Air Show ทั่วๆ ไป มีบินผาดโผน หมุนวน บินเฉียดพื้น บินเฉี่ยวกัน บินเกาะกลุ่ม ฯลฯ ราว 0315 ก็จบแล้ว แป๊บเดียวเอง แต่แดดร้อนและแรงจัดมากๆ มีเด็กเล็กร้องไห้กระจองอแงกันเต็มไปหมด ก็แหงล่ะสิ เด็กเขายังไม่มีความอดทนกับความร้อนมากนัก แต่ลูกผมเขาไม่บ่นอะไรนะ อดทนใช้ได้เลย
   ขากลับก็เบียดเสียดกันออกทางแคบๆ เช่นเคย รีบวิ่งตรงไปที่รถ เพราะรู้ว่ารถจะต้องติดอย่างมากแน่ พอถึงรถก็อึ้ง เพราะมีรถจอดขวางเข้าเกียร์ P แถมดึงเบรกมือพร้อมสรรพ ขวางแบบเต็มคันเลย งงเต็ก
   ก็เลยสอนลูกต่อไปอีกว่า หากเราจอดรถขวางคนอื่นเขาก็ต้องปลดเกียร์ว่าง และไม่ต้องดึงเบรกมือ คนที่เราจอดขวางเขาจะได้เข็นรถเราได้ เขาจะได้ออกได้สะดวก
   รออยู่สักพัก โชคดีที่รถคันหน้าเขามาพอดี เลยพอจะขยับรถออกได้บ้าง แต่เกิดเหตุไม่คาดฝันอีกแล้ว รถติดแบบมโหฬาร ผมไม่เคยเจอแบบนี้มาหลายปีมากๆ เพราะจอดอยู่ห่างทางออกแค่ราว 300 เมตร แต่กลับต้องใช้เวลาถึง 1 ชม ถึงจะนำรถออกได้ 
   รถผมเก่าแล้ว จอดรถติดนานๆ วันนี้ออกอาการแอร์ไม่เย็น รถติดแบบหยุดนิ่งนานๆ ผมเลยดับเครื่อง ลูกผมเขาไม่ได้บ่นร้อนอะไร เขาเข้าใจดี
   พอออกมาข้างนอกก็ต้องเจอรถติดต่ออีก แต่ยังดีที่มันค่อยๆ เคลื่อน ดีกว่าด้านในที่จอดนิ่งๆ อย่างเดียวเลย
   ขึ้นทางด่วนได้เท่านั้นแหละ ผมอัดแหลก เหมือนเก็บกด ลองเปิดแอร์ บ๊ะ มันกลับมาเย็นเหมือนเดิมแล้วโว๊ย เย้ๆ ดีใจกับลูกอยู่สองคน ยังกับคนบ้า
   ถึงบ้านด้วยความอ่อนเพลีย ระโหยโรยแรง ผมใส่เสื้อแขนยาว มันเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อทั้งตัว (เหงื่อออกท่วมตอนนั่งรอเครื่องบินแสดง) บริเวณเอวของกางเกงยีนส์ยังเปียกแฉะไปหมด เข็มขัดหนังยังเปียก
   น้ำหนักผมลดลงไปถึง 1 กก กับการนั่งเฉยๆ กลางแดด คืนนี้สองคนพ่อลูกต้องหลับสบายแน่ๆ เลย
Title: Re: ตค 52
Post by: O'Pern on October 12, 2009, 05:24:29 am
11 ตค 52
   ตื่นเช้าขึ้นมา ปกติผมต้องเอาจักรยานออกปั่น อย่างน้อยๆ ก็ต้องปั่นเล่นแถวบ้าน แต่เช้านี้มันเพลียเหลือเกิน ไม่น่าเชื่อว่าแค่นั่งตากแดดอย่างเดียว ไม่ได้ออกแรงขยับร่างกายสักนิดมันจะเพลียได้ถึงเพียงนี้
   ผมปั่นจักรยานลุยฝนกลับมาบ้านตั้งแต่คืนวันศุกร์ กลับมาก็จอดรถทิ้งไว้ วันเสาร์ก็ไม่ได้ไปสนใจอะไรมัน เช้าวันนี้มาดูพบว่าผ้าคลุมกันฝนของกระเป๋าหลังที่ผมคิดว่ามันดีน่ะ ตกลงคือมันห่วยพอๆ กับผ้าคลุมอันหน้าแหละครับ ที่ตอนแรกเผลอไปชมมันก็เพราะว่าขณะปั่นลำตัวผมจะช่วยบังเม็ดฝนก่อนจะไปโดนกระเป๋าหลัง พอมาวันนี้เจอฝนแบบชุ่มฉ่ำถึงรู้ว่ากระเป๋ามันเปียกไปหมดเลย เซ็งจริงๆ ผ้าคลุมแบบนี้จะให้มาทำไมกันนะนี่ เสียชื่อเปล่าๆ (เป็นกระเป๋าพร้อมผ้าคลุมของ KHS ครับ)
เอาอีกแล้ว ไปตลาดน้ำบางน้ำผึ้งอีกแล้ว นี่ติดใจก๋วยเตี๋ยวหมูต้มยำกันขนาดนี้เชียวหรือนี่ เอาๆ ไปก็ไป ถึงแม้เราจะเบื่อ แต่คนที่เรารักเขาชอบ การทำตามใจเขา ทำให้เขามีความสุขแม้เพียงจะเล็กๆ น้อยๆ เราก็พลอยสุขใจไปด้วย
ผมสั่งบะหมี่ต้มยำ และตามด้วยต้มยำแห้งอีกชาม ภรรยาสั่งวุ้นเส้นต้มยำ ส่วนลูกไม่ชอบเผ็ด เล่นบะหมี่น้ำแทน สงสัยว่าทำไมภรรยากินแค่ชามเดียว เขาบอกจะไปกินขนมจีนต่อ โหห มีก๊อก 2 เสียด้วย ส่วนลูกของเงินไปซื้อไข่นกกระทาทอด 2 กระทง
                และแล้วก็เป็นไปตามคาด กลับมาจากตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง พร้อมกับของกินเต็มสองมืออีกเช่นเคย หากเป็นเช่นนี้นานเข้าเห็นทีจะไม่ได้การเสียแล้ว เพราะวันอาทิตย์วันเดียวทำหนักหนักผมขึ้นราว 1 กก แต่พอจันทร์-เสาร์ ผมลดลงได้แค่ครึ่ง กก เอง มันจะเกิดการอ้วนสะสม ยิ่งนานเข้ามันยิ่งลดลำบาก นี่ก็เริ่มจะยากมากขึ้นแล้วด้วยนะ
                เอารถจักรยานออกมาจัดการเสียหน่อย จอดทิ้งไว้ให้แห้งเองตั้งแต่คืนวันศุกร์ฝนตกเฉอะแฉะมาก ไอ้ผ้าคลุมกระเป๋านี้เป็นตัวปัญหาเลยนะ นอกจากจะไม่กันน้ำเข้าแล้ว มันยังกันน้ำออกอีกด้วย แถมกักโคลนไว้บริเวณขอบยางยืดอีกด้วย ยังดีหน่อยตรงที่ล้างง่าย แห้งเร็ว 
                วันนี้ตลอดวันอยู่บ้านมีแต่กินๆ ๆ ใครซื้อขนมมาแล้วไม่ชอบก็ยกให้ผมจัดการเสียหมด แหม เล่นของทอดเสียด้วย น้ำหนักไม่ขึ้นก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้วนี่ เข็ดแล้วครับ ไม่เอาอีกแล้ว
Title: Re: ตค 52
Post by: O'Pern on October 13, 2009, 12:54:01 pm
12 ตค 52
   อ่านเวปจักรยาน เห็นคนจะนำเข้ารถ Fuji เขาบอกมาจากอเมริกา ผมไม่แน่ใจว่าแบรนด์ของอเมริกา หรือว่า Made in อเมริกากันแน่ หรืออาจถูกทั่งข้อ ก และข้อ ข ก็เป็นได้
   ผมคาดเดาอย่างคนไม่รู้เรื่อง ไม่ได้ค้นหาข้อมูลเช็ค แต่ชื่อ Fuji ไม่น่าจะเป็นของอเมริกา มันเป็นชื่อภูเขาไฟของญี่ปุ่น ถ้ามันชื่อยี่ห้อ Grand Canyon ก็ว่าไปอย่าง และรถคันนี้บอกตามตรง ผมคิดว่ามัน  Made in China ชัวร์ๆ คนขายเขาบอกยังไม่แน่ในเรื่องราคา เพราะต้องขนส่งมาจากอเมริกา อืมม หรือว่าเขาอาจสั่งตรงมาจากอเมริกาจริงๆ ก็ได้นะ อย่างไรแล้วเขาต้องรู้ดีกว่าผมแน่นอน
   แต่รถของ Fuji เขาผลิตอยู่ 3 แห่ง คือ จีน ไต้หวัน และโปแลนด์
   เอ้า ไหนๆ ก็คุยถึง Fuji ตัวนี้กันแล้ว ขอจำขี้ปากฝรั่งมาเล่าต่อให้อ่านกัน ผมไม่ได้เคยขี่เองหรือใช้งานยาวนานต่อเนื่อง แต่มีเจ้าของเวปจักรยานอันหนึ่งเขาพิมพ์เล่าไว้หลังจากใช้งานไป 15000 ไมล์ เป็นการใช้งานแบบเต็มที่ บรรทุกของจริงจัง ใช้เดินทางจริงจัง ผลออกมาดังนี้
   ล้อ ดุม ซี่ลวด ชุดเฟืองหลัง โซ่ บันได Stem แร็ค  – ห่วย
   เฟรมช่วงหลังสั้นไปหน่อย (รถทัวริ่งแท้ๆ เฟรมช่วงหลังจะยาว)
   เฟรมแคบเกินไป ใส่ได้แค่ยาง 700 X 32
   โหห นี่มันเกือบจะครบรอบคันแล้วนะครับนี่ ตกลงมันเป็นรถที่ใช้ได้ดีแค่เฟรมและชิ้นส่วนหลักๆ หรืออย่างไรกัน หรือว่าจะเป็นรถที่ออกแบบมาให้เราซื้อเพื่อมาอัปเกรดภายหลัง
   หึหึ พวกนักแต่งรถคงจะชอบ แต่พวกที่ชอบขี่เดิมๆ แบบผมคงส่ายหน้า
   แต่หนังสือจักรยานบางเล่มก็ให้ผลทดสอบออกมาว่ามันโอเคดีนะ คือมันสมราคาไง ไม่แพงมากนัก ไม่มีอะไรเสียมากนัก (แต่เขาก็ไม่ได้บอกว่ามีอะไรดีเหมือนกันนะ ฮ่าๆ )
   แต่ถ้าไปถามพวกนักเดินทาง พวกใช้รถจริงจัง ก็จะได้คำตอบแบบข้างต้นตามที่ผมไปอ่านและจำขี้ปากเขามาเล่าต่อ
การอ่านหนังสือใดๆ หรือเวปใดๆ จะไปปักใจเชื่อว่ามันคือความจริงเสียทีเดียวนั้นไม่ได้หรอกครับ เรียกว่าเก็บเป็นข้อมูลไว้จะดีกว่า คือเชื่อหน่อยๆ เพราะเราไม่รู้ว่านิตยสารเล่มนั้นเขาขายตัวหรือเปล่า (ขายตัว – หมายถึงเขียนเชียร์พวกที่ลงโฆษณา) และนักทดสอบในเวปนั้นๆ เขามีสไตล์การขับขี่เป็นเช่นไร เขาใช้งานเหมือนเราหรือไม่
                 ไม่แน่ หากให้ผมทดสอบ ผมขี่แบบกระหยอง กระแหยง ผลการทดสอบรถ Fuji อาจออกมาดีเลิศก็เป็นได้ เช่น รถใช้งานได้ดีมาก ไม่มีปัญหาอะไรเลย ลากยาวตลอด 7 วัน ผ่านได้สบายๆ ฯลฯ อะไรก็ว่ากันไป
                อ่านสื่อทุกสื่อ ต้องใช้วิจารณญาณครับ กระทั่งเวปที่คุณกำลังอ่านอยู่นี้ก็ตาม โปรดใช้ใจของตัวเองร่วมตัดสินใจประกอบด้วยอีกแรง
               วันนี้ตลอดวันท้องฟ้าครึ้ม มีฝนตกเป็นระยะ ผมไม่กลัวเปียกฝนแล้ว กลับชอบเสียด้วย เลยนำจักรยานออกปั่นกลางวัน แต่ไม่ได้ปั่นเร็ว แค่ปั่นเล่นๆ กลัวล้ม แต่ก็ไปได้ไม่นานนักหรอกครับ ต้องกลับมารับลูกตอนเขาเลิกเรียน ต้องเผื่อเวลาซักผ้าคลุมหน้า ซักชุด เพราะพรุ่งนี้ผมจะขี่อีก
                อย่างที่บอกแหละครับ ขี่กลางฝนผมไม่กลัวเปียก แต่กลัวรองเท้าไม่แห้ง เพราะมีแค่คู่เดียว 
   อ้อ อย่าเพิ่งคิดว่า Fuji Touring เป็นรถที่ไม่ดีนะครับ แค่มันเป็นรถแบบ Entry Level หรือแบบมือใหม่เริ่มต้นคิดจะออกเดินทางเท่านั้นเอง
   เหนือสิ่งอื่นใด รถที่ดี ต้องสมกับสัดส่วนสรีระของเราเท่านั้น Fuji Touring คันนี้ใช้ล้อ 700 คนสูงไม่ถึง 175 ซม ยังไม่คู่ควรครับ
   วันนี้ช่วงกลางวันผมยังคงเอาจักรยานออกปั่น แม้ฝนจะตกก็ออก ไม่สนใจเรื่องเปียกแฉะหรือเลอะเทอะอะไรแล้ว คิดแบบนี้คงปั่นแบบหวาดระแวง เลยออกไปลุยๆ ซะให้มันชุ่มฉ่ำ จะกังวลอย่างเดียวก็เรื่องรองเท้าเปียกนี่แหละ กลัวเชื้อราติดเท้าครับ มันต้องอบอับอยู่เป็นเวลานานเสียด้วยสิ ทำไงดี
Title: Re: ตค 52
Post by: O'Pern on October 14, 2009, 04:49:31 pm
13 ตค 52
   เช้าฟิตจัดเลย ตื่นมาวิ่งแต่เช้ามืดตอน 0530 แต่วิ่งไปได้แค่ 2 กม ฝนก็เทลงมาหนัก ที่จริงน่ะฝนตกปรอยๆ ตลอดคืนแล้ว เช้ามาก็ยังไม่หาย กะจะเอาจักรยานออกลุยฝนเล่นแต่กลัวล้ม เพราะมันมืด เลยใช้วิ่งแทน
   วิ่ง 2 กม เหงื่อยังไม่ทันออกเท่าไหร่ รู้สึกพลังยังเหลือ แต่ฝนดันตก ทำอะไรมากนักไม่ได้ จะจัดสวนเล่นก็ยังไม่ได้เลย มันเปียกเลอะเทอะไปหมด เดินไปเดินมา นั่งอ่านหนังสือเล่นแทน
ผมอยากได้รถ Tandem เอามาไว้ขี่เล่นกับลูก อยากได้มานานแล้วล่ะ แต่สองจิตสองใจ เพราะกลัวว่าซื้อมาแล้วจะไม่ค่อยได้ใช้ มันเสียดายตรงนี้ แถมขายต่อก็ปล่อยออกลำบากมากๆ จอดเก็บก็แสนจะเกะกะ ขนย้ายนี่ไม่ต้องห่วงเลย ลืมไปเลย
ค้นหาข้อมูลเจอรถของ Tank (สมัยก่อนจะเขียนว่า Tange ไม่รู้ยี่ห้อเดียวกันไหม) ของเขาเด่นตรงที่จานหน้าหลังอิสระต่อกัน ไม่ต้องปั่นตามกันเหมือน Tandem ทั่วๆ ไป รถของ Tank เป็นแบบ MTB ล้อ 26 นิ้ว
อีกค่ายที่ชอบก็คือ KHS เด่นที่เป็น Tandem พับ ล้อ 20 นิ้ว ดูรายละเอียดต่างๆ แล้วมันเหมือนกับเอา KHS F20-W ของผมมายืดเลย รถผมซื้อมา 2.5 หมื่น ยังคิดแล้วคิดอีก แต่พอเป็น Tandem นี้เขาขาย 4.5 หมื่นบาท !!! มันแพงเพราะอะไรกันหรือครับนี่ อุปกรณ์ที่ติดรถให้มาก็เกรดกลางๆ บอกตามตรงว่าก็งั้นๆ แหละถ้าให้ราคา 3.5 หมื่นบาท ผมยังนั่งเกาหัวคิดแล้วคิดอีกเลย เพราะระบบจานที่เชื่อมหน้าหลังมันเป็นแบบโบราณสุดๆ แบบปั่นตามกันอยู่เลย รถยุคใหม่หลังปี 2000 มาแล้ว น่าจะใช้ของใหม่ๆ ได้แล้ว
แม้จะอยากได้ แต่เจอราคาแบบเพชรฆาตอย่างนี้ หากจะซื้อจริงๆ เห็นทีจะต้องหาจากแหล่งอื่น แม้ในใจลึกๆ อยากจะซื้อกับตัวแทนจำหน่ายอย่างถูกต้องก็ตาม
   แต่คงจะยังอีกสักพัก ผมอยากได้แบบจานหน้าหลั้งไม่ต้องปั่นตามกัน

14 ตค 52
   ตื่นแต่เช้าจะมาวิ่ง แต่วิ่งไม่ได้ ฝนมันตก ตอนสายฝนหาย เอาจักรยานออกปั่น ช่วงนี้ใช้แต่รถ KHS HT คันเก่าแก่ แต่ยังขี่ดีมาก อุปกรณ์ทุกอย่างยังใช้งานได้ดีเยี่ยม ไม่ต้องเปลี่ยน ไม่ต้องอัปเหมือนพวกวัยรุ่นแต่งรถเขาทำ ของเก่าๆ มันก็จะดีเด่นตรงความทนทานนี่แหละครับ และนี่คือหัวใจของการทำรถแบบทัวริ่งเชียวล่ะ
   ช่วงบ่ายเข้าบ้านมาเจอฝนกลางทางครับ รีบจอดรถใส่เสื้อกันฝน เปลียนรองเท้า แหม แต่งเสี่ยดิบดี ปั่นไปได้หน่อยเดียว ฝนหายเสียแล้ว เลยจอดรถถอดเสื้อกันฝน เปลี่ยนรองเท้ากลับ แต่ก็อีกนั่นแหละ ไปได้อีกสักพัก ฝนตกอีกแล้ว
   เฮ้ยย เอาไงวะ
   มันตกปรอยๆ สลับหนาเม็ดบ้าง และหยุดตกบ้าง ช่วงฝนตกก็โอเคดี แต่พอฝนหยุดแล้วมันร้อนไปหน่อย นี่ขนาดใช้เสื้อกันฝนอย่างดีมากๆ แล้วนะครับนี่ เป็นเพราะตอนปั่นจักรยานเราเหงื่อออกมากมั้ง เพราะตอนผมใส่คลุมแม้ฝนไม่ได้ตกก็ไม่ได้รู้สึกร้อนจนน่ารำคาญนัก
   มีช่วงหนึ่งของเส้นทางผมปั่นขึ้นบนทางเท้า ไปเจอกับขอบฝาท่อที่มันยกสูงขึ้นมาราว 1 นิ้ว ไม่ใช่ปัญหาด้านความสูงหรอกครับ แค่นี้ล้อผ่านได้สบายมาก แต่เป็นมุมการวางตำแหน่งของฝาต่างหาก คือมันไม่ได้วางขวางโดยตรง มันวางเอียงๆ ผมปั่นท่ามกลางคนเดินเท้าด้วย มาเจอฝาท่อแบบกระทันหัน ล้อหน้าผมไต่แนวขอบท่อไปได้ แต่ล้อหลังมันลื่นแฉลบครับ เท้าก็ติดคลิปไว้ ไม่ได้ตกใจอะไรหรอก ผมทรงตัวได้ รถปัดเป๋ไปทางซ้ายตามมุมฝาท่อที่เอียง รีบเทน้ำหนักมายังด้านหน้ารถ ปล่อยให้ท้ายรถมันไถลไป คุมบาลานซ์รถด้วยแขนสองข้างอย่างเดียว รถมันเสียอาการ อย่างไปฝืนมัน พอรถหยุดไถลนั่นแหละกริปถึงมา ทีนี้ก็ปั่นต่อได้ เทน้ำหนักมาด้านหลังได้เต็มที่เลย
   กลับมาบ้านด้วยความหิวโหย ตอนปั่นผ่านร้านอาหารข้างทางแต่ละร้านคนแน่นเต็มไปหมด โดยเฉพาะร้านดังๆ นี้คนยืนออแน่นหน้าร้านกันเลย เราไปกับจักรยาน มันไม่สะดวกตอนกินอาหารเลยแม้แต่น้อย ยกเว้นไปกันเป็นกลุ่ม จะดูเหมือนได้อภิสิทธิ์ แม้ค้ามักจะใจดีเห็นพวกเราปั่นมาไกล ให้ข้าวเต็มจานเลย
   อ่านเวปจักยานเจอกระทู้เกี่ยวกับเทคนิคการใช้เต้นท์ในการออกทัวริ่ง เลยเข้าไปแจมกับเขาสักหน่อย ตอบๆ ไปก็สนุกดีครับ ส่วนใหญ่เป็นประสพการณ์ตรงของผมจริงๆ ที่พบเจอมากับตัวเอง สนุกดีครับ เป็นการแบ่งปันแง่คิด มุมมอง ทรรศนะ อย่าไปเรียกมันว่าความรู้อะไรเลย มันเป็นเรื่องของประสพการณ์มากกว่า ใครใช้บ่อยก็จะสัมผัสถึงได้มากกว่าคนอื่นเขา ก็เท่านั้นเอง
Title: Re: ตค 52
Post by: O'Pern on October 15, 2009, 04:02:39 pm
15 ตค 52
   ฝนตกอีกแล้ว เลยไม่ได้ทั้งวิ่งและปั่นจักรยาน เอารถมาฉีดน้ำยาหล่อลื่นโซ่ ที่ผ่านมาโดนฝนมาหลายงาน ไม่เคยล้างเลย วันก่อนปั่นแล้วมีเสียงดังเอี๊ยดๆ โหห แปลว่าเราละเลยมันมามากแล้วนะนี่
   เช้าดูทีวีช่อง 3 สรยุทธอ่านคำว่า Hollywood ว่า ฮอ ลี หวูด แล้วก็พูดใหม่อีกครั้งทันทีว่า ฮอ ลี วู๊ด เหมือนกับว่ามีทีมงานคอยกระซิบบอกสคริป
   เอ๊ะ นี่มีทีมงานช่อง 3 มาอ่าน Diary ของผมบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ไม่ใช่ปัญหาหรอกครับ อ่านออกเสียงผิดกันก็เป็นแค่สำเนียง มันไม่ใช่ภาษาไทย ไม่ค่อยมีใครถือสากันนักหรอก แต่ไอ้ที่ผิดหนักๆ จนกระทั่งผิดความหมายก็คือการออกเสียงชื่อห้าง Fashion Island ว่า แฟ ชั่น ไอ้ส แลนด์ (Fashion Ice Land) Island แปลว่าเกาะ ออกเสียงว่า ไอ เลิ่น หรือ จะ ไอ แลนด์ ก็โอเค คล้ายๆ กัน
   กลางวันผมต้องขับรถกระบะคนงานไปส่งของ รถคันนี้ผมตั้งชื่อว่า Die Hard เพราะมันเป็นรถที่โทรมสุด ไม่ค่อยมีใครอยากขับคันนี้กันเลย เริ่มจากเบาะนั่งมีนอตยึดไม่ครบ เลี้ยวหรือเบรกแล้วเบาะจะแกว่งๆ ไปด้วย คล้ายเล่นเครื่องเล่นใสสวนสนุก เบาะนั่งด้านซ้ายฟองน้ำทะลุเป็นรูโบ๋กว้างใหญ่ หากมีคนนั่งไปด้วยต้องใช้กระดาษหนาๆ รองก้น ไม่งั้นจมลงไปบนเหล็กสปริง เป็นรถเคยมีแอร์ ทุกวันนี้ก็ยังมีอยู่ แต่มันเสีย เปิดไม่ได้ ลมไม่ออก รถคันนี้ไม่มีพวงมาลัยเพาเวอร์ กระจกเป็นแบบมือหมุน อันนี้ผมไม่แคร์เลย แต่กระจกมันเป็นคราบกาวจากฟิล์มกรองแสงเต็มไปหมด คนงานลอกฟิล์มออกแต่เช็ดคราบกาวออกไม่เป็น
   ยังไม่หมด มีอีกเยอะ กุญแจไขประตูด้านคนขับไม่มี เป็นรูโบ๋ หากจะเข้ารถ ต้องไปไขด้านคนนั่ง แล้วมุดเข้ามาขับ วงพวงมาลัยเปื่อยยุ่ย จับแล้วเหนียวมือ คลัตช์ผิดปกติ ไม่เชิงคลัตช์หมด แต่ปล่อยคลัตช์ออกตัวแล้วรถสั่นสะท้าน เบรกทำงานไม่ครบ 4 ล้อ กดเบาๆ ไม่อยู่ ต้องกระทืบแรงๆ ถึงจะตอบสนองไวหน่อย
   ขากลับผมขับไปทับของบางอย่างแล้วติดล้อมา ได้ยินเสียงแต๊กๆ ตามรอบล้อที่หมุน จอดรถดูได้ยินเสียงฟู่ๆ ดังมาก พบว่าเป็นตะปูเกลียวปล่อยตัวใหญ่ คล้ายกับหลุดออกมาจากบานพับเฟอร์นิเจอร์ เลยรีบขับกลับบ้านทันที แต่ยังไม่ทันถึง ไปได้แค่ 1 กม ลมก็ออกจนหมดล้อ
   เอารถเข้าข้างทาง เตรียมทำการเปลี่ยนยาง แต่ยางอะไหล่มันไม่มี เลยตัดสินใจขับบดยางกลับบ้าน เห็นว่าแค่ 1 กม กว่าๆ และยางรถกระบะแก้มมันหนา ล้อก็กระทะเหล็ก คงไม่เป็นอะไร
   ถึงบ้านก็ถอดยางไปปะ ถึงร้านยางก็ตกใจมาก เพราะผมขับบดมาจนแก้มยางด้านในโดนครูดเป็นแนวยาวถึงชั้นผ้าใบ ยางเสียดสีกันจนหลุดลุยเป็นผงๆๆ หยิบออกมาได้หลายกำมือ หากนำแก้วมาตวงก็คงจะสักครึ่งลิตร
   ผมโทษตัวเองที่ทำให้ยางเสียหาย จากที่จะเสียเงินแค่ค่าปะยาง 100 บาท กลายเป็นต้องซื้อยางเส้นใหม่ 1400 บาท
   แต่ถ้าเป็นคนอื่น เขาคงจะโทษว่ายางมันเก่าแล้ว ขับบดไปหน่อยเดียวมันก็พังเอง มันหมดอายุของมันเองแหละ ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ไม่ขับบดกลับมา แล้วจะให้ทำยังไง รอให้คนมาช่วยหรือ
   อืม มนุษย์มักไม่คิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิด – กฏข้อที่ 1 ของความเป็นคน
   บ่ายท้องฟ้ามืดครึ้มอีกแล้ว พิพม์เล่ายังไม่ทันขาดคำ เทลงมาอย่างหนักเลย ฮ่าๆ ผมอยู่ฝั่งธนฯ เลยไม่ค่อยรู้ว่าทางฝั่งพระนครเขาฝนตกหนักเพียงใด เห็นภาพน้ำท่วมแถวศรีนครินทร์แล้วตกใจ ไม่ได้เห็นแบบนี้มานานมากๆ สมัยก่อนสิ ฝั่งธนฯ นี้ฝนตกนิดเดียวก็ท่วมแล้ว เพราะพื้นที่ที่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยานั้นต่ำมาก ปัจจุบันเขาทำเขื่อนและทางเดิน (และปั่นจักรยานก็ได้) เลียบแม่น้ำ สวยงามดีมากๆ แต่ไม่ค่อยมีใครดูแล ผมชอบไปปั่นจักรยานมักเจอบ่อยอยู่ไม่กี่อย่าง คือขวดเบียร์ กระป๋องเบียร์ เศษอาหารและภาชนะ สุดท้ายคือ ขี้หมา
   Amazing Thailand
Title: Re: ตค 52
Post by: O'Pern on October 16, 2009, 04:30:44 pm
16 ตค 52
   งานสัปดาห์หนังสือครั้งที่ 14 เริ่มเมื่อวานนี้เป็นวันแรก จัดตั้งแต่ 15-25 ตค ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์ อันที่จริงในงานเขาก็ไม่ได้ลดอะไรกันเยอะนักหรอก แค่ราว 10 – 15% สำหรับหนังสือใหม่ แล้วแต่ค่ายด้วยนะ แต่ที่ผมชอบไปก็คือเราได้ดูความหลากหลาย ได้คุ้นค้นหาหนังสือเก่าๆ ที่ชอบมากคือหนังสือต่างประเทศลดราคากระชากใจ เคยเจอลดแบบ 80% สุดยอดเหลือเกิน เล่มหน้าปึ๊ก ปกแข็ง กระดาษอย่างดี ภาพสีทั้งเล่ม หนักมากๆ เหลือแค่ 60 บาท แจ๋วๆ ๆ
   เคยเจอหนังสือเกี่ยวกับการปั่นจักยานในเวียดนามด้วย เขียนโดยนักเดินทางฝรั่ง ผมเห็นว่าไกลตัว และยังไม่ได้อยากไปเวียดนาม เลยไม่ได้ซื้อมา ลดราคาแล้วเหลือเล่มละร้อยกว่าบาทมั้ง
   ตั้งใจไว้ว่าวันนี้จะไปงานสัปดาห์หนังสือช่วงกลางวันนี่แหละ คนน้อยดี พอเอาเข้าจริงฝนตกอีกแล้ว กลัวรถติดครับ เพราะวันนี้เขาปิดซ่อมสะพานลอยไทย-ญี่ปุ่นเป็นวันแรกอีกด้วย ปิดนานถึง 45 วัน ผมจะต้องไปขึ้นรถไฟใต้ดิน และจอดรถยนต์ไว้แถวนั้นพอดีอีกด้วย เลยขอเลื่อนไปก่อน ไว้สัปดาห์หน้าค่อยว่ากันใหม่
   ที่จริงน่ะ เล็งไว้หลายคนว่าเราพอจะปั่นจักรยานไปได้ไหม ไอ้ระยะทางไม่ใช่ปัญหาเลย มันอยู่ที่ๆ จอดรถจักรยานมากกว่า ลำพังให้จอดแล้วล็อคทิ้งไว้ข้างนอกอาคารอย่างที่เคยเห็นกันน่ะผมไม่เอานะ ไม่รอดแน่ๆ ขืนล็อคไว้ก็เหลือแต่เฟรม เผลอๆ หากเจอตัดสลิงก็จะไม่อยู่แม้กระทั่งเฟรม คือไปทั้งคัน
   นี่ถ้าศูนย์ประชุมเขามีที่จอดจักรยานภายในอาคารอย่างดี มีคนเฝ้าตลอดเวลา ก็ดีสินะ หึหึ คงจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อมีนายกรัฐมนตรีที่มาจากนักจักรยานนี่แหละครับ
   ทุกวันนี้มันมีแต่ผู้ใหญ่เล่นกอล์ฟเต็มบ้านเมืองไปหมด ประเทศก็เลยมีแต่สนามกอล์ฟ
   อย่าให้ผมได้เป็นใหญ่บ้างก็แล้วกัน จะสั่งให้ยกเลิกรถเมล์เล็กกันก่อนเพื่อนเลย เพราะขับกันได้แย่เหลือเกิน เพชรฆาตบนท้องถนนดีๆ นี่เอง มารยาทรามสุดๆ รถไฟฟ้งไฟฟ้าอะไรไม่ต้องทำ หันมาทำรถเมล์ไฟฟ้ากันเสียก่อน ดูแลระบบพื้นฐานกันให้ดีก่อน ทำเขื่อนตลอดสองผั่งแม้น้ำเจ้าพระยา ทำพร้อมไปกับรถรางไฟฟ้าเลียบเจ้าพระยาทั้ง 2 ฝั่ง ทำแบบรางคู่นี่แหละ งบน้อย ทำแค่ฝั่งเดียวก็ได้ แต่ถ้าทำได้ทั้ง 2 ฝั่งจะสุดยอดมากๆ รับรองคนแน่นครับ อันนี้ทำได้จริง ไม่ต้องเวณคืน บรรเทาการจราจรได้เยอะมากๆ แถมเป็นการป้องกันคนรุกล้ำแม่น้ำได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะพวกบ้านไฮโซ โรงแรมราคาแพงหรูๆ ไอ้พวกนี้แหละ ตัวดีเลย ตามมาด้วยร้านอาหารริมแม่น้ำ มีร้านไหนบอกไม่ทิ้งของลงแม่น้ำบ้าง บอกมาหน่อยซิ อยากเห็นหน้าจริงๆ
   แหม เล่าแล้วชักคัน ถ้าทำได้จริงก็แจ๋วไปเลยนะ เออ นี่มันงานของผู้ว่า กทมฯ เขานี่หว่า เขาก็ต้องบอกใจน่ะอยากทำ แต่ไม่มีงบ ก็เลยจบ โถๆ ๆ ไม่มีงบ ก็หางบสิวะท่าน ตั้งเป็นโปรเจคขึ้นมา ประกวดราคากันตามปกตินี่แหละ ขี้คร้านจะมีบริษัทต่างชาติยื่นซองประกวดกันเต็มไปหมด เราไม่ต้องลงเงินสักบาท แค่ให้เขาเก็บค่าบริการไปสัก 7-10 ปี แล้วแต่จะตกลงกัน หลังจากนั้นพอหมดสัญญา ทาง กทมฯ ก็มาเป็นฝ่ายเก็บต่อเอง
   อ้อ อีกสิ่งที่ควรทำและทำได้เดี๋ยวนี้เลย ใช้เงินไม่เท่าไหร่นั่นคือควบรวมการชำระค่าโดยสารยานพาหนะต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน ทำเป็นบัตรเติมเงินครับ ใช้ชื่อว่า Bangkok Pass / Bangkok Link หรือชื่ออะไรก็ได้ ทำนองนี้แหละ ควบรวมการจ่ายเงินรถไฟฟ้าใต้ดิน บนดิน รถไฟราง เรือ รถเมล์ ค่าทางด่วน ฯลฯ หรือหากเจ๋งจริงจะพ่วงค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ด้วย ท่านจะพบกับความสะดวกแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน รวดเร็วแบบสุดยอด โอกาสรั่วไหลก็น้อย ไม่ต้องเตรียมเงินสดจ่าย ไม่ต้องทอนเงิน พกแค่บัตรเดียวนี่แหละ ไอ้เรื่อง่ายๆ ทำไมไม่ทำกันว้าาา
   หยุดพัฒนาถนนเพื่อเอาใจคนใช้รถกันได้แล้วครับ หันมาดูคนเดินดินกันดีกว่า เราต้องช่วยเหลือให้คนรากหญ้าสุขสบายก่อน พวกเขาลำบากกันมานาน คนที่มีรถยนต์ใช้ทุกวันนี้ใช่ว่าจะรวยจริงนะครับ เขากัดฟันซื้อก็เพราะหลีกหนีความลำบากในการขึ้นรถเมล์ต่างหาก
   ใครเป็นรํฐมนตรีกระทรวงคมนาคม หรือเกี่ยวข้องกับการพัฒนาเมือง ผมว่าควรบังคับให้นั่งรถเมล์มาทำงานครับ (เดี๋ยวมันก็ต้องไปแอบซื้อคอนโดฯ ใกล้ๆ ที่ทำงานอีกแหละ ไอ้พวกนี้มันกะล่อน หน้าอย่างมันไม่มานั่งรถเมล์กันหรอก) การที่เราได้ใช้ชีวิตจริงๆ เหมือนชาวบ้าน เราจะพบปัญหาที่คุณไม่เคยคิดว่าจะได้เจอ เช่น
   รถเมล์เล็กจอดแช่ป้าย จอดซื้อของกลางทาง / รถสองแถวเล็ก กลับมาอีกแล้ว (สมัยก่อนยกเลิกสองแถว ให้เปลี่ยนเป็นรถเมล์เล็กแทน แต่พอทุกวันนี้เอารถสี่ล้อเล็กมาจากญี่ปุ่น ไม่ต้องทำทะเบียนหรอก วิ่งมันแค่แถวนี้ จ่ายเงินให้ตำรวจแต่ละ สน ที่ผ่านก็โอเคแล้ว) แท๊กซี่จอดแช่ป้ายหน้าห้างดังๆ / รถเก๋งจอดทับป้ายรถเมล์ / มอเตอร์ไซค์รับจ้างยึดฟุตบาทเป็นคิวของตัวเอง มีติดป้ายราคาด้วย (เสียภาษีหรือเปล่าครับพี่) ฯลฯ
   ผมกล้าเล่า กล้าบอก เพราะผมนั่งรถเมล์ครับ ไม่ได้นั่งหนเดียวแล้วมาโม้ ผมนั่งติดต่อกันทุกวันเช้าเย็นมาถึง 3 เดือน (หลังจากนั้นก็ยังนั่ง แต่ไม่ได้ทุกวัน) ด้วยความที่อยากรู้ปัญหา เรือผมก็ลง รถไฟฟ้าผมก็ใช้ จักรยานผมก็ปั่น เดินเท้านี้ของถนัดเลย เคยเดินใน กทม ไกลสุดนี้ราว 10 กม เดินอยู่ 1.45 ชม พร้อมเป้หลังขนาดเล็ก
   รถเมล์ที่ผมนั่งมีทั้งร้อนและเย็น แถมยังหิ้วเอาจักรยานขึ้นรถเมล์อีกด้วย
Title: Re: ตค 52
Post by: O'Pern on October 17, 2009, 04:36:24 pm
17 ตค 52
   คุยเรื่องบ้านเมืองแล้วคัน เหมือนมันเข้าทางเรา วันนี้คุยต่อเอาเรื่องแท๊กซี่ดีกว่า เพราะแท๊กซี่บ้านเราประหลาดมาก คือมีหลายสี ผมบอกเพื่อนฝรั่งว่ามันเป็น M&M
   ความคิดของผมแท๊กซี่ควรเป็นรถสีขาวครับ และคาดแถบสีแดงน้ำเงิน ทำให้มันเป็นระเบียบ ส่วนสหกรณ์แท๊กซี่ใดจะมีโลโก้ของตัวเองก็ทำมันไว้ที่ข้างรถ กำหนดจุดให้มันเหมือนๆ กัน จะได้เป็นระเบียบและเกิดความสวยงาม
   อู่แท๊กซี่จะต้องดูแลผู้เช่ารถของตัวเองด้วย ไม่ใช่ใครมาเช่าก็ให้เช่าได้ ต้องมีประวัติอย่างดีว่าเคยทำงานอะไรมาบ้าง เพราะทุกวันนี้ที่เห็นแท๊กซี่โหดๆ ฆ่าคน ปล้นผู้โดยสาร ข่มขืน ฯลฯ ส่วนใหญ่มาจากคนที่พ้นคุกออกมาครับ
   ก็ในเมื่อเขาทำงานอะไรไม่ได้ ไปสมัครที่ไหนหากบอกเพิ่งออกจากคุกมา ก็ไม่มีใครรับ แต่พอเช่าแท๊กซี่ขับนี้หมูมากๆ จ่ายเช่า 6 วัน ได้ฟรีอีก 1 วันอีกด้วย ทางอู่เขามีโปรโมชั่นแบบนี้
   คนพ้นคุกกลัวตัวกลับใจก็ดีไป แต่มีบางส่วนไม่ใช่ กลับจำฝังใจแก้แค้นสังคม คือเขาเป็นโรคจิตไปแล้วไง ออกมาก็ก่อเหตุต่างๆ นานา แล้วก็อ้างเหตุผลข้างๆ คูๆ แต่ทั้งหมดเกิดจากจิตใจตัวเขาเองครับ จะมาอ้างความจนไม่ได้หรอก คนจนจิตใจดีๆ มีเยอะมาก
   ทางภาครัฐต้องหาทางออกให้แค่คนที่พ้นคุก คือต้องมีการติดตาม มีการรายงานตัวอยู่เป็นระยะ พอเขามารายงานตัวเราก็สอบประวัติไปด้วยว่าบ้านอยู่ไหน ทำงานอะไรแล้ว ก้าวหน้าดีไหม มีปัญหาอะไรไหม ฯลฯ คือต้องเป็นที่ปรึกษาให้เขาด้วย ช่วยเขาอย่างจริงใจ ไม่ใช่พ้นคุกแล้วเอ็งก็ไปๆ ซะ จบกันแล้ว
   ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่จุดจบ หากเป็นจุดเริ่มต้นชีวิตใหม่ของเขาต่างหากครับ คิดดูให้ดี ลองคิดว่าตัวเองออกจากคุกมา และไม่มีครอบครัว ไม่มีญาติมิตร คุณจะทำอะไรได้บ้าง
   ขอโทษนะ บ้านยังไม่มีอยู่เลย มันก็เลยเป็นสาเหตุของอาชญากรรมต่างๆ ในสังคมเราทุกวันนี้ไง
   อ้อ เรื่องพวกนี้เราสามารถทำได้เลยทันทีนะ ไม่ต้องใช้งบประมาณใดๆ เรื่องแท๊กซี่ก็แค่ออกเป็นกฏหมายว่าปีหน้าต้องเป็นสีขาวพร้อมคาดแถบแดงน้ำเงินตามรูป (อันนี้ให้ทางขนส่งจังหวัดจัดการ) เรื่องเก็บประวัติก็โยนให้เจ้าของอู่จัดการซะ หากไม่ปฏิบัติก็มีบทลงโทษ ก็ว่ากันไป ส่วนเรื่องให้คนพ้นคุกมารายงานตัว ก็ให้เจ้าตัวเขาเลือกสะดวกว่าจะไปรายงานตัวที่ใด (น่าจะเป็นที่ว่าการเขตของแต่ละท้องที่) ให้นักศึกษาหรือเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการแนะแนวที่มีจิตใจดีๆ คุยกับเขาบ่อยๆ ความแข็งกร้าวในจิตใจจะหายไปได้เองครับ
   ง่ายมากเลย เห็นไหมครับ ว่าแต่จะทำกันหรือเปล่าล่ะ
   ช่วงนี้ฝนตกทุกวัน แถมวันละหลายๆ รอบ ชาวจักรยานอ่วมแน่ถ้าออกทริป แต่ผมชอบนะ มันเย็นดี ผมมองแต่ข้อดีของมันคืออากาศเย็นสบาย จะเปียกบ้างก็ช่าง ถึงบ้าน ถึงจุดหมายก็อาบน้ำซะ (ถ้าทำได้)
   หากเรามองแต่ข้อเสีย เราก็จะไม่ชอบมันครับ เช่น เปียกเลอะเทอะ ลื่นล้มง่าย เบรกไม่อยู่ ขี้เกียจล้างรถ ฯลฯ
   ในเมื่อเราเลี่ยงมันไม่ได้ เราน่าจะอยู่ร่วมกับฝนอย่างมีความสุขนะครับ ตอนแรกผมก็ไม่ชอบ แต่ลุยมาหลายฝนก็เริ่มชอบแล้ว นี่เราคุยกันเฉพาะตอนปั่นเล่นนะ พวกคนปั่นไปทำงานตัวเลอะเทอะมอมแมม อันนี้ยกเว้น เห็นใจจริงๆ เพราะผมเองก็เคยเปียกปอน แต่โชคดีที่เป็นตอนปั่นกลับบ้าน เลยพับจักรยานหิ้วขึ้นรถเมล์มันซะเลย   
แต่ไม่บ่อยนักหรอกนะครับ เกรงใจชาวบ้านเขาน่ะ
   อืม ผู้ว่า กทมฯ น่าจะลองขี่จักรยานจากบ้านมาทำงานดูบ้างนะ
   เฮ้ย ตื่นๆ ๆ ๆ
Title: Re: ตค 52
Post by: O'Pern on October 18, 2009, 05:06:43 pm
18 ตค 52
   เอาเรื่องบ้านเมืองอีกไหมครับ กำลังมันส์ อิอิ
   คุยเรื่องใกล้ตัวบ้านดีกว่า เรื่องการใช้รถใช้ถนนนี่แหละ ปัญหาบนท้องถนนมีมากมาย ส่วนใหญ่จะเกิดจากผู้ใช้รถที่ไม่เคารพกฎเกณฑ์ของสังคม มีคนชอบเอาเปรียบ ขับรถเห็นแก่ตัว ขับแบบหน้าด้านแบบมาเสียบเอาคอสะพาน ฯลฯ
   อบรมไปก็เท่านั้นแหละครับ คือได้แต่ทำ มันไม่อยู่ในจิตสำนึก จะมัวรอให้เทพฯเจ้าที่ไหนมาแก้คงยาก ลองดูวิธีของผม
   อันนี้เป็นงานของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการคนเดียวเลยครับ อ้อ โปรเจคนี้ทำได้เลยนะ ไม่ยาก แต่ขั้นตอนเยอะหน่อย
   จัดให้มีวิชาขับรถยนต์ในนักเรียนชั้นมัธยม 6 ครับ คือให้ข้อมูลที่ถูกต้องเป็นวิชาบังคับมันซะเลย สอนอย่างถูกต้องและต้องลงสนามจริงด้วยนะ ไม่ต้องห่วงเรื่องหารถยนต์หรือสนามครับ หากมันบรรจุในหลักสูตรจริง รับรองว่าจะมีบริษัทเอกชนค่ายรถยนต์ดังๆ มาเป็นสปอนเซอร์กันจนหางคิวยาวมาก เพราะมันคือการโปรโมทรถของเขาโดยตรงเลยล่ะ อ้อ เรียนจนจบหลังสูตร ม6 แล้ว ขนส่งก็ออกใบอนุญาติขับขี่ให้ได้ทันทีเลยครับ 
   ผลจากงานนี้ก็คือ เราได้สร้างผู้ขับรถยุคใหม่ขึ้นมาแล้ว เป็นพวกเด็กพัฒนาแล้ว อย่างน้อย พวกเขาก็คงจะไม่เปิดไฟฉุกเฉินขับขณะผ่านสี่แยกหรือขับท่ามกลางสายฝน ไม่มาขับเอาเปรียบมาเบียดผู้อื่นที่คอสะพาน
   ผลต่อเนื่องยังมีอีกครับ คือพวกโรงเรียนสอนขับรถข้างถนนที่มาตรฐานต่ำจะค่อยๆ หมดไป ไอ้พวกนี้มันสอนขับพร้อมพาไปสอบใบขับขี่ พอไปสอบก็ยัดเงินเจ้าหน้าที่ขนส่ง คือไปสอบพอเป็นพิธี แค่ทำเอกสารเท่านั้น เป็นแบบนี้มานานแล้วล่ะ ยุคเก่าๆ นี้หากใครไม่ยัดเงินถึงขั้นไม่ผ่านกันเลยทีเดียว นี้คือเรื่องจริง ทุเรศไหมครับ
   อาจจะพ่วงวิชามอเตอร์ไซค์ไปด้วยก็ยังไหว หรือหากเวลาไม่พอ ก็เปิดเป็นคอร์ส Summer ช่วงปิดเทอมซะ (ค่อยๆ ดูกันไป หลักสูตร Summer อาจจะสั้นไปหน่อย แต่ก็ดีตรงที่มีบริษัทเอกชนยินดีอบรมสอนให้ฟรีแน่ๆ)
   จะอย่างไรก็แล้วแต่ คือผมอยากให้มันมีการเรียนการสอนขับรถโดยสถานศึกษาหลัก ผมว่าวิธีนี้แม้จะแก้ปัญหาการขับรถงี่เง่าไม่ได้ 100% แต่หากใครมีวิธีอื่นที่เจ๋งกว่า โปรดช่วยเปิดสมองผมด้วยครับ
   ดูข่าวทีวีเกี่ยวกับเมืองปาย แม่ฮ่องสอน เป็นเรื่องของการไล่ที่ค้าขายของชาวเขาที่ค้าขายกันมาหลายปีตั้งแต่ก่อนปายจะโด่งดังเหมือนทุกวันนี้ ทางฝ่ายคนไล่ก็บอกว่าถนนนี้แคบ อันตราย จะให้ย้ายไปอยู่ที่ๆ จัดไว้ให้ จะได้รวมเป็นแหล่งของชาวเขา ดูดีไหมครับ
   ทางฝั่งชาวเขาก็บอกว่าที่ๆ จัดไว้ให้ไม่มีคนเดินผ่านเลย มันขายของไม่ได้ ปัญหามันอยู่ตรงนี้ครับ คือย้ายแล้วขายไม่ได้ เขาก็เลยไม่ย้าย
   มันยังไม่จบเท่านั้น เพราะเมืองปายมันเติบโตอย่างก้าวกระโดด ซึ่งอันตรายนะ มันจะขยายแบบไม่มีขอบเขต จะมีคนนอกพื้นที่เข้ามาหากินแทนที่คนท้องถิ่น แน่นอน อาชญากรรมก็จะต้องตามมา
   เห็นแล้วเสียดายนะ ผมยังไม่เคยไปเยี่ยมชมเลย อยากไปสักครั้งก่อนที่มันจะเละเทะไปกว่านี้
   วันนี้ผมพาภรรยาและลูกไปดูหนังในโรงภาพยนต์เรื่อง รถไฟฟ้ามาหานะเธอ ผมเฉยๆ กับหนังและโรงหนัง ออกจะไม่ชอบเสียด้วยซ้ำไป แต่ภรรยากับลูกเขาอยากดู เลยตามใจเขาสักหน่อย
   ผมดูหนังในโรงเรื่องล่าสุดคือสุริโยทัย หึหึ ก่อนลูกผมเกิดอีกครับ นานมากๆ มาวันนี้ได้ดูในโรงที่สวยใหม่ ที่นั่งเป็นแบบโซฟาปรับเอนนอนได้ แต่ที่ชอบสุดคือไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดัง ไม่ได้ยินเสียงคนคุยกัน และสุดยอดของผมก็คือไม่มีใครคอยเอาเท้ามาเตะด้านหลังเบาะ
   หนังสนุกดีครับ ผมชอบบท การวางพลอทเรื่อง การขมวดปมของปัญหา และการลำดับเรื่อง แต่แปลกที่เคน ธีรเดชเขาเป็นพระเอก กลับไม่เด่นนัก สู้นางเอกชื่อคริส หอวังไม่ได้เลย (ความเด่น) ผมไม่แน่ใจว่าเธอชื่อ คริส นามสกุล หอวัง หรือชื่อจริงว่า หอวัง ชื่อเล่นชื่อคริสก็มิทราบได้
   ผมว่าเธอน่ารักดีนะ
Title: Re: ตค 52
Post by: O'Pern on October 19, 2009, 06:05:31 pm
19 ตค 52
   ผมปั่นจักรยานไปนั่งเล่นริมแม่น้ำเจ้าพระยา เจอเรือนักท่องเที่ยวผ่านมา ผมโบกมือให้ สักพักเขาก็โบกมือตอบกลับมากันเกือบทั่งลำ ผมส่งยิ้มแก้มปริแม้จะอยู่แสนไกลโดยไม่สนใจว่าเขาจะมองเห็นหรือไม่
   ลองคิดดูในทางกลับกัน หากเราเป็นนักท่องเที่ยวแล้วมีคนท้องถิ่นโบกมือทักทายบ้าง เราจะรู้สึกอย่างไรกัน
   ใจเขาใจเราครับ เห็นไหมว่าแค่เราโบกมือทักทาย แค่ส่งยิ้ม มันเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายๆ ทำได้ทันที ใหม่ๆ อาจเขิน ลองๆ ค่อยๆ ทำดู ทุกวันนี้ผมชินแล้ว ไปกับลูก ลูกผมยังช่วยโบกอีกแรงเลย
   เราทำแค่นี้แหละ แต่ให้หลายๆ คนช่วยกันทำ ลองนึกภาพเรากำลังไปต่างเมือง มีคนทักทายและส่งยิ้มให้ตลอดทาง โหห เท่โครตๆ ครับพี่น้อง ได้ใจกันไปเต็มๆ แม้ประเทศเราจะยังไม่พัฒนาเยอะอย่างฝรั่งเขา แต่ใจเรานั้นกลับเหนือชั้นเสียยิ่งกว่า
                นี้คือเรื่องจริงครับ นี้คือจุดแข็งของคนไทยเราเลยนะ พื้นฐานคนไทยเป็นคนจิตใจดีครับ ยิ้มง่าย หัวเราะเก่ง ชอบความเฮฮา สนุกสนาน คนไทยเราไม่ค่อยเคร่งเครียดเหมือนพวกญีปุ่น ไม่เง้มงวดเหมือนพวกฝรั่ง แต่จากการที่เราง่ายๆ สบายๆ กันจนเพลิน มันก็กลายเป็นข้อเสีย หรือจุดอ่อนของคนไทย ก็คือ ขี้เกียจ ผัดวันประกันพรุ่ง เอ้อระเหย ฯลฯ
                ลองทำ SWOT ของคนไทยเราดูครับ ทำเหมือนมันคือธุรกิจนี่แหละ แล้วจะรู้ตื้นลึกหนาบางของตัวตนของเราเอง
                แต่โดยรวมคนไทยเรายังดีอยู่ครับ คือมันดีจากจิตใจข้างในไง ไม่ได้ดีจากภายนอกเหมือนพวกฝรั่งเขา ความต่างอยู่ตรงนี้ นี้คือหัวใจสำคัญ เราไม่ต้องทำให้บ้านเมืองเจริญเหมือนเขา ไม่ต้องไปเลียนแบบเขา เราอย่าไปเดินหลงทางที่คิดว่าฝรั่งคือเทพฯ ฝรั่งมันมั่วเยอะมากเลยนะครับ จอมโกหก จอมหลอกลวง แต่ทำฟอร์มเหมือนด้วยการยกอ้างทฤษฎี่ต่างๆ นานา
               กลางวันเอาจักรยานออกปั่นไป 30 กม เหนื่อยเป็นบ้า เพราะบางช่วงถนนโล่งรถน้อยก็แอบอัดๆ หน่อย ไม่ค่อยได้ขี่เร็วๆ มานานแล้ว ทุกทีปั่นแบบค่อยๆ ย่อง AV นี้ไม่สวยเลย โชว์ใครไม่ได้
               อ้อ เจอฝนด้วยครับ แต่แค่ปรอย ทีนี้ผมไม่หยุดรถเพื่อเปลี่ยนรองเท้าและใส่เสื้อคลุมแล้ว ชักจะรู้แกวแล้วว่าตกแป๊บเดียว เดี๋ยวก็หาย
               เพราะจักรยานเราเคลื่อนที่ตลอดไงครับ หากไม่ใช่ฤดูมรสุมแล้ว เรามักจะปั่นผ่านกลุ่มเมฆฝนทะลุไปเลย เออ แต่ถ้าเจอเมฆใหญ่ก็แย่หน่อยนะ ฮ่าๆ
               กลับมาบ้านก็ทำการ Strech (ยืดเส้น) ในสไตล์ของโยคะ อันนี้ผมคิดขึ้นมาเอง กะจะพักให้หายเหนื่อยไปด้วยในตัว แต่ทำไปทำมา กลับเหงื่อซ่กเสียยิ่งกว่าเก่า สงสัยท่าที่ผมทำจะโหดเกินไปก็ไม่รู้ ยืดเส้น 10 นาที เดินดูต้นไม้เล่นอีก 5 นาที พอตัวแห้ง หัวใจเต้นเบาลง ก็ค่อยไปอาบน้ำ
               โหหห กลับมาเหนื่อยๆ ได้นอนแช่น้ำเย็นในอ่างแสนจะสบายเลยคุณเอ๋ย
Title: Re: ตค 52
Post by: O'Pern on October 20, 2009, 02:51:33 pm
20 ตค 52
   เช้าออกปั่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง เป็นการปั่นแบบกระทันหัน ตอนแรกตั้งใจจะวิ่ง แต่มีรถบรรทุกคันใหญ่จอดขวางอยู่กลางซอย มันดูแคบๆ บรรยากาศไม่ดี เลยเอาจักรยานออกปั่นแทน
   ออกจากบ้านได้หน่อยเดียวก็พบก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ตกอยู่กลางถนน รถยนต์ต่างพากันเบนหลบ ผมรีบจอดจักรยาน รอจังหวะรถว่าง เดินเข้าไปย้ายก้อนน้ำแข็งให้ชิดขอบทาง นี่หากมอเตอร์ไซค์ชนเข้าไม่อยากนึกภาพเลย เช่นเดียวกับรถเก๋ง พังยับแน่ๆ
   นึกขึ้นได้ เลยไปสำรวจเส้นทางเก่าทีเคยปั่น พบว่าเขาทำถนนกันเสร็จแล้ว เรียบ เนียน สวยเลย แต่ปั่นไปได้พักเดียวเท่านั้นแหละ ถนนอีกช่วงที่มันเคยสวย ตอนนี้มันกลับเละเทะมาก มีน้ำท่วมขังหลายช่วง แต่ที่แย่สุดคือ รถมอเตอร์ไซค์ และรถสองแถวเล็กมันดันมาวิ่งในเลนจักรยาน !!!
   ลำพังมอเตอร์ไซค์ไม่เท่าไหร่ เพราะขนาดสูสีกัน แต่กับรถยนต์นี่สิ ผมว่ามันแย่นะ น้ำท่วมถนนของเอ็งก็ลุยไปสิวะ ตัวไม่เห็นเลอะสักหน่อย นี่มาขับในเลนจักรยาน ไม่ต้องบอกก็รู้ได้เลยครับว่าอีกหน่อยทางจักรยานก็จะต้องพังไปตามกัน
   ปั่นเช้าๆ แบบนี้อากาศดี สิ่งที่ขาดไม่ได้ขณะปั่นตอนมืดคือแว่นตาครับ ไม่ใช่แว่นกันแดด แต่ใส่เพื่อกันแมลง วันนี้ไม่ได้ติดแว่นมา เลยโดนจนได้ แมลงตัวเล็กๆ บินเข้าตา ผมปิดตาสักพัก ขยี้เบาๆ ให้หายคัน แต่ก็ทำได้แค่ทุเลา สุดท้ายกลับมาบ้านตาแดง ตอนอาบน้ำเลยล้างตาด้วยน้ำเปล่า สักพักก็ดีขึ้นเอง โชคดีไป
   เช้านี้ทำมาได้ 25 กม บนเส้นทางแบบกึ่งวิบากหน่อยๆ 
   กลับมาบ้านอาบน้ำ ทานอาหาร ไปส่งลูกที่โรงเรียน รู้สึกยังไม่หนำใจ สายๆ เลยเอาจักรยานออกปั่นอีกรอบ ทีนี้เจอแดดแรงจัดเลย โชคดีวันนี้ใส่เสื้อสีขาว รู้สึกว่าเย็นสบายดีกว่าตอนใส่เสื้อสีดำอย่างเห็นได้ชัด นี่ทำให้ชักอยากได้ชุดขาวเสียแล้วสิ
   ปั่นเข้าไปในเขตทางพระประแดง ชมวิวแม่น้ำเจ้าพระยาสักหน่อย แล้วก็วกกลับบ้าน ทำไปอีกราว 30 กม
   ช่วงลงสะพานยาวๆ ผมทดสอบปล่อยมือรถขณะความเร็วสูง พบว่าแฮนด์สั่นแกว่งไปมา และจะแกว่งแรงขึ้นตามความเร็วจนต้องใช้มือคอยประคอง กลัวมันสะบัดจนรถล้ม ช่วงนั้นความเร็วราว 40 กว่าๆ
   อืมม ผมว่าเมื่อก่อนตอนผมใช้แฮนด์ตรงมันไม่เป็นแบบนี้นะ หรือว่ามันสะบัดเพราะผมใช้แฮนด์ผีเสื้อ (แฮนด์มันใหญ่ กว้าง กินลมเยอะ)  หรือว่าเป็นเพราะห้อย Pannier หลังไปด้วย 2 ใบ ไม่รู้สาเหตุเหมือนกัน เอาไว้ลองใหม่
   ปั่นกลับบ้านกลางแดดแรงจัด แต่พอถึงบ้านพักเดียวฟ้ากลับมืดครึ้ม มีฟ้าร้องครืนๆ อยู่นาน ลมพัดแรง โชคดีที่ถึงบ้านก่อนนะนี่ แต่ถ้าไม่รอดก็ไม่เป็นไร เราเป็นเพื่อนกับฝนอยู่แล้ว
   อ่านเวปจักรยาน เห็นมีคนโพสบอกว่าตัวเองปั่นๆ อยู่แล้ววูบล้มลงไป ผมเดาว่าคำว่าวูบของเขาคือหมดสติ เป็นลม อะไรทำนองนี้ ดีที่เขาไปกับเพื่อนเป็นกลุ่ม หันมาดูตัวผมเอง หากวูบบ้างคงจะแย่ ผมปั่นคนเดียวตลอด ไปไหนมาไหนคนเดียวล้วนๆ
   มันชินกับการอยู่คนเดียวน่ะครับ มีเพื่อนไปด้วยสนุกกว่าแน่ๆ แต่ถ้าเพื่อนเยอะเกินไปก็จะขาดความคล่องตัว โดยเฉพาะทริปยาวๆ ยกเว้นแต่จะมีผู้นำที่แข็งแกร่ง และมีตารางทริปอย่างละเอียด เหมือนอย่างกลุ่ม TCC เขาทำ
   อ่านๆ ไปชักกลัวจะวูบเหมือนเขา มีข่าวคนเสียชีวิตขณะปั่นจักรยานอยู่เป็นระยะ ปีหนึ่งจะมีสัก 2 คน นี่เฉพาะข้อมูลในอินเทอร์เนทอย่างเดียวนะครับ ในโลกแห่งความเป็นจริง มีคนเสียชีวิตขณะออกกำลังกายอีกเยอะมากๆ
   มักจะเกิดกับคนมีโรค แต่ไม่รู้ตัวว่ามีครับ หนึ่งในนั้นคือโรคหัวใจขาดเลือด
Title: Re: ตค 52
Post by: O'Pern on October 21, 2009, 06:16:17 pm
21 ตค 52
   เมื่อวานปั่นบ้าเลือดไปหน่อย ตอนเย็นมีอาการ Overtrain คือฝึกเยอะเกินไป เช้านี้ฝนตกตั้งแต่ตี 4 ตกหนักเสียด้วย เลยได้โอกาศพักทั้งวิ่งทั้งปั่น
   กลางวันไปงานสัปดาห์หนังสือที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์ เจอหนังสือจักรยานภาษาอังกฤษ ผมยืนอ่าน แล้วมีผู้ชายอีกคนหยิบซื้อ ผมเลยชวนเขาคุย
   “ปั่นจักรยานหรือครับ”
   “ใช่ครับ”
   “ผมเห็นมีอีกเล่ม จะละเอียดกว่านี้ มีการซ่อมบำรุงด้วย” ผมบอกเขา
   เขายิ้ม ไม่ตอบอะไร จ่ายเงินซื้อเล่มดังกล่าวมา
   อย่าว่าแต่เขาเลย ผมเองก็หยิบติดมือกลับมาด้วยเหมือนกัน
   กลางวันฝนตกปรอยๆ ครับ รถก็ติดเหมือนเดิมตามประสาของมัน มาที่นี่ผมเลิกขับรถยนต์มาเป็นปีแล้ว เพราะแม้จะได้จอดก็เดินไกล แถมหากจะซื้อหนังสือก็ยังต้องหิ้วเดินไกลกลับไปที่รถอีก สู้มารถไฟฟ้าไม่ได้เลย
   แต่ก็อย่างที่เคยบ่นเรื่องการตรวจค้นสัมภาระครับ ผมมีเป้หลังเอาไว้ใส่ของ มีกล้องถ่ายรูป มีน้ำดื่ม มีหมวก วันนี้ผมวางเป้ให้เขาตรวจ ยังไม่ทันเปิดซิปเลย เขาให้ผมผ่านไปเสียแล้ว
   เอ๊ะ นี่เขาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือนี่ !!!
   กลับมาบ้านก็เจอฝนอีกตอนเย็น วันนี้ทั้งวันเลยไม่ได้จับจักรยานเลยแม้แต่น้อย ที่จริงน่ะ ไม่ได้ล้างรถมานานมากแล้ว โดนมาหลายฝนก็ยังไม่ได้ล้างสักที ตอนได้ยินเสียงโซ่ดังอ๊อดแอ๊ดนี่แหละ ถึงจะได้ฉีดน้ำยาสักครั้ง แต่ก็ยังไม่ได้ทำการล้างอย่างเป็นทางการแต่อย่างใด
   คงรอฝนหายแหละครับ ถึงจะได้ฤกษ์ ผมอาจทำการเปลี่ยนโซ่ด้วย ใช้มาตั้งแต่ปี 94 ไม่เคยเปลี่ยนเลย แต่ปั่นไม่เยอะนักนะ แค่ 3000 กว่า กม มาเยอะช่วงสองสามปีนี้เองแหละครับ และคงจะเยอะขึ้นเรื่อยๆ

   รถคัน KHS HT ของผมที่ล้อหน้ามีซี่ลวดงออยู่เส้นหนึ่ง งอเยอะเสียด้วย แต่แปลกที่ล้อไม่คด ผมเลยไม่ได้ไปสนใจอะไรกับมัน กะว่าให้หัด ขาด แล้วถึงจะค่อยซ่อม มันเกิดขึ้นหลังจากผมออกปั่นคนเดียวเมื่อหลายเดือนก่อน ไอ้ที่ผมปั่น 260 กม พร้อมแบกของไป 15 กก ปั่นในวันเดียวจบนั่นแหละครับ กลับมาก็เจอซี่ลวดงอเลย มีไปลุย Off Road บ้างนิดหน่อย คือลุยนิดหน่อย แต่ทางโหดมาก เห็นหน้าผาหินชัน ที่ฝนตกเปียกชุ่ม ยางหลังผมเป็นสลิคมันลื่น เลยต้องปั่นไต่เขินเขาด้วยการนั่งบนแร็คหลัง เป็นท่าปั่นที่ทุกลักทุเลมาก ฝืนธรรมชาติแบบสุดๆ เพราะขณะขึ้นเขาเราควรถ่ายน้ำหนักไปด้านหน้าแทนต่างหาก
   มาวันนี้จะมามองหาว่ามันยังโอเคดีอยู่ไหม แต่พบกับความแปลกใจซี่ลวดที่เคยงออยู่ในล้อหน้า บัดนี้มันกลายเป็นยืดตรงดังเดิมไปแล้ว เฮ้ย เป็นไปได้อย่างไรกันนี่ งงแท้
KHS HT ของผมใช้ช้อคฯหน้าของ Rock Shock Judy XC ครับ ไส้ในเป็นกลไกแบบโบราณ ทำงานด้วยสปริงและลูกยาง มีการหมุนปรับแข็งอ่อนได้ด้วย เรียกว่าเจ๋งสุดยอดแล้วในสมัยนั้น (ปี 94)
   แต่ระยะหลังมานี้ได้ยินเสียงก๊อกแก๊กๆ รถผมมีอาการคอหลวมอยู่แล้วด้วย เลยไม่ได้สนใจอะไรนัก วันนี้ลองจับช้อคฯกดๆ ดู เอ๊ะ มันมีก๊อกแก๊กเบาๆ เอาไงดีล่ะนี่ เก่าก็เก่า แถมหนักอีกด้วย หากมีปัญหาจริง ผมคงเปลี่ยนเป็นตะเกียบแบบ Rigid แน่ๆ เคยเห็นที่ Pro Bike เขามีขาย จำได้ว่าเป็นตะเกียบโครโมลีสีดำ มีรูยึดแร็คแบบ Low Rider Mount เสียด้วย ราคา 1200 บาท (ยังไม่ได้ลด) แต่ไอ้แร็คแบบนี้หากไม่ได้ใส่ Pannier หน้านี้มันจะดูรถเกะกะเอามากๆ เลย ไม่ชอบอย่างแรง ไม่สวยเลยสักนิด แถมตอนถอดล้อหน้ายังต้องคอยจับรูยึดขาแร็คอีกด้วย
   ปั่นต่อเนื่องนานๆ ผมรู้สึกว่ารองเท้ามันคับไปหน่อย ผมใส่ถุงเท้าแบบหนาด้วยแหละ มันเลยไปกันใหญ่ ปกติถุงเท้าของจักรยานจะบางเบา ผมกลัวรองเท้าเหม็นน่ะครับ เลยคิดว่าถุงเท้าหนาๆ มันคงจะซับเหงื่อได้ดีกว่าอย่างบางเป็นแน่
   นี่ถ้าออกทริปยาวๆ ผมคงต้องหารองเท้าคู่ใหม่ เคยไปเล็งไว้แล้ว เป็นของยี่ห้อ Bontrager เห็นที่ Pro Bike สองพันกว่าบาท ลองใส่แล้วโอเคดี ไม่ชอบมันอย่างเดียวตรงที่เป็นสายคาดแบบ Velcro สามแถบ
   เพราะมันเหมือนรองเท้าเด็กอนุบาลเป๊ะเลย
Title: Re: ตค 52
Post by: O'Pern on October 22, 2009, 04:01:27 pm
22 ตค 52
   เช้าไม่ได้ออกวิ่ง เอาจักรยานออกปั่นตอนกลางวันแทน เล่นไปแค่ 30 กม ขำขำ ปั่นไปย่านพระประแดงเหมือนเดิม ผมชอบนั่งเล่นริมน้ำ รู้สึกเย็นสบายทั้งกายและใจ สมองปลอดโปร่งดีจริงๆ
   ระหว่างทางเจอเด็กประถมจับกลุ่มเล่นกัน เห็นผมผ่านมาก็มองกันใหญ่ เด็กคนหนึ่งช่างพูดช่างคุย ถามโน่นถามนี่ตลอดเวลา นี่อะไร นั่นอะไร แฮนด์แบบนี้ซื้อที่ไหน เขาเรียกว่าอะไร ดูแกจะสนใจจักรยานเป็นพิเศษ สุดท้ายมีการให้ผมถอดแว่นให้ดูหน่อย ก่อนจากกันผมหยิบลูกอมของ Fox ให้แกไปหนึ่งเม็ด เขายกมือไหว้ก่อนรับของ พอได้ของแล้วก็ชูขึ้นให้เพื่อนๆ ในกลุ่มดู ตะโกนร้องเย้ๆ ดีใจใหญ่
   ผมยิ้มภายใต้หน้ากากที่ปิดคลุมอยู่ เด็กเขามองไม่รู้หรอกว่าผมยิ้ม เป็นยิ้มที่ผมรู้สึกสบายอกสบายใจเหลือเกิน นี่ขนาดแค่ลูกอมเม็ดเดียวเองนะนี่
   ขาลงสะพานผมทดลองปล่อยมือรถที่ความเร็วสูง แปลกที่วันนี้รถมันนิ่งกว่าเมื่อวาน นีมันเป็นเพราะรถหรือเพราะผมบาลานซ์มันไม่ถูกเองนะนี่ วันนี้รถทรงตัวได้ค่อนข้างดี จนผมปล่อยมือเลี้ยวโค้งที่ความเร็วสูงได้อีกด้วย เสียวดีเหมือนกัน เลยเอามือคอยประคองเอาไว้เผื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน
   หรือเป็นเพราะว่าผมแคะเอาเศษหินเล็กๆ ที่ติดอยู่ในร่องดอกยางออกก็ไม่รู้นะ เมื่อเช้าผมว่าง นั่งแคะเศษหินเล็กจิ๋วออกมาได้หลายเม็ดเหมือนกัน ก็ทำแบบเดียวกับรถยนต์นั่นแหละครับ ก่อนขับในสนามแข่งหรือต้องการไปอย่างเต็มลิมิท ผมจะต้องนั่งแคะเศษหินออกจากร่องดอกยางทั้ง 4 เส้นเลย ไม่ค่อยมีใครทำแบบนี้กันหรอกครับ ผมมันบ้า
   ช่วงใกล้ถึงบ้านฟ้ามืดครึ้มอีกแล้ว เหมือนเมื่อวานเป๊ะเลย และไอ้เมื่อวานมันก็เหมือนเมื่อวานซืนเด๊ะๆ เช่นกัน
   ฝนตกแค่นี้ผมไม่บ่นอะไรหรอกครับ แต่กลับจะสงสารคนที่บ้านเขาน้ำท่วม เกษตรกรที่เรือกสวนไร่นาเขาเสียหาย ที่ร้ายสุดคือประเทศฟิลิปปินส์ที่เขาโดนมรสุมเข้าถึง 3 ลูกติดๆ กัน คนตายกันเยอะ น่าจะเข้าหลักพันคนแล้ว บาดเจ็บยังไม่นับ และอีกหลายหมื่นครอบครัวที่ยังไม่มีที่พักอาศัย
   ปั่นกลางแดดร้อนๆ นานๆ ผมเริ่มรู้สึกว่ารองเท้ามันคับจริงๆ เสียแล้ว จะผ่อนคลายได้บ้างในจังหวะดึงเท้าขึ้น แต่ถ้าต้องเดินด้วยรองเท้าจักรยานล่ะก็ รู้สึกว่ามันจะอึดอัดเท้าไปหน่อย
Title: Re: ตค 52
Post by: O'Pern on October 23, 2009, 04:44:35 pm
23 ตค 52
   ปั่นจักรยานเยอะ เลยไม่ได้คุยเรื่องบ้านเมืองเลย เอาเป็นว่าสลับๆ กันไป ช่วงนี้ปั่นเยอะเพราะมันเกิดแรงจูงใจ ใช่แล้ว ผมจะออกทริปครับ แต่ไปไหนยังไม่บอก เขิน กลัวไปไม่ได้ หรือไม่ได้ไป เพราะมันเป็นทริปที่ต้องจัดเตรียมทุกอย่างเองให้ดีพร้อม
   เมื่อคืนฝนตกตั้งแต่ตี 3 มั้ง มาหยุดเอาตอนใกล้จะ 8 โมงเช้า นี่ถ้าใครออกทริปกันแต่เช้าผมล่ะสงสารน่าดู
   ฝนตก อากาศเย็น แต่เปียกเลอะหน่อย ผมเอาจักรยานออกปั่นอีกแล้ว ไปวนเวียนย่านพระประแดง แต่ปั่นไม่ได้เยอะนักหรอก ไปแค่ 30 กม ขากลับวันนี้ขับออกมาจากถนนใหญ่ตัวอำเภอพระประแดง เลยผ่านร้านอาหารอิสลาม เห็นมีชาวบ้านจอดรถกินกันเยอะ เลยเอาบ้าง แต่ผมใส่ชุดประหลาด กลัวคนแตกตื่น เลยซื้อกลับมากินที่บ้าน เลือกแบบอ้วนน้อยหน่อยคือสลัดแขก แต่อยากลองของชอบคือมะตะบะ เอามา 2 อย่างเลยก็แล้วกัน
   ธรรมดาผมหิวก็ไม่ค่อยแวะจอดซื้อของอะไรนักหรอกครับ น้ำดื่มก็เตรียมไปเอง เกลือแร่ก็ไม่กิน ถ้าจะกินก็ขอเป็นผลไม้สดๆ เลย
   กลับบ้านก็เดินเล่นพักให้เหงื่อแห้ง อาบน้ำแล้วก็จัดการกับอาหาร รสชาติอร่อยใช้ได้เลยครับ แต่ยังไม่ถึงขั้นเจ๋งที่สุด ผมเคยกินที่อื่นอร่อยกว่านี้ แต่ก็ซัดจนหมดเกลี้ยงทั้ง 2 จานนะ ฮ่าๆ
อ้อ เข้าเวปจักรยานเห็นมีการจัดตั้งกลุ่มคนใช้จักรยานของ Bike Friday กัน อย่าไปตกอกตกใจอะไรครับ มันเป็นเรื่องของธุรกิจ เหมือนกับที่ทาง Pro Bike จัดกิจกรรมให้ลูกค้าของเขานั่นแหละ ถ้าอยากมีกลุ่มบ้าง ผมแนะนำให้มองหาเพื่อนแถวบ้านเข้าไว้ครับ มีประโยชน์จริงๆ ได้พบปะกันบ่อย ได้ช่วยเหลือกัน หรือถ้าจะมาเป็นกลุ่มเดียวกับผม ขอเรียกว่า Bike Everyday ก็แล้วกัน ใครปั่นทุกวัน ปั่นบ่อยก็เป็นเพื่อนกันไปเอง
ช่วงนี้ผมออกปั่นทุกวัน ก็เจอชาวจักรยานบ้างเหมือนกันนะ โดยมากก็จะปั่นแซงเขาแล้วทักทาย “สวัสดีครับ” แต่ต้องลากเสียงหน่อย ไม่งั้นเขาฟังไม่รู้เรื่อง บางทีก็เจอคนแต่งชุดขี่จักรยานก็มีเยอะ
ความสุขในการขี่จักรยานของผมจะอยู่ที่การได้ขี่ ได้ออกกำลังกาย และได้ปั่นไปในสถานที่ๆ เราชอบ ผมจะรู้สึกเฉยๆ มากกับการอัปเกรดรถ เพราะทำให้มันเบาหรือลื่นนั้นมันก็ดีจริง แต่เราจะได้ออกแรงน้อยลง
อ้าว ผมปั่นจักรยานเพราะต้องการออกแรงนะ ขี่ไม่เกิน 100 กม ไม่ได้ออกทริปลากยาวหลายๆ วันต่อเนื่องกันไม่ต้องไปทำอะไรกับรถมันมากนักหรอกครับ บำรุงรักษาให้มันอยู่ในสภาพดี ปรับตั้งเซ็ทติ้งให้มันเหมาะกับการใช้งานและสรีระของเราก็เพียงพอแล้ว
ที่บอกแบบนี้เพราะเห็นมีบางคนปั่นกระหยองกระแหยง แต่พอแต่งรถอัปเกรดนี้ทุ่มเทกันสุดตัว โอเคล่ะ สไตล์ใครสไตล์มัน แต่ผมกลัวมือใหม่เขาหลงทางกันน่ะสิ และมักจะมีแบบนี้เยอะมากเสียด้วย
ก็คงเหมือนวัยรุ่นแต่งรถยนต์ซิ่งน่ะครับ คือไปขวนขวายหาของมาใส่รถ ทั้งๆ ที่หลายอย่างมันช่างจะติงต๊องเสียเหลือเกิน ยกตัวอย่างสินค้าที่ผมเรียกว่าของอันตรายอย่างแรกก็คือตัวครอบคาลิเปอร์สเบรกครับ
อันนี้รุ่นน้องผมเป็นคนทำขึ้นมาคนแรกเลย เขาถามผมว่ามันโอเคไหม ผมตอบไปตามความจริงว่า ใส่ครอบไปมันก็ระบายความร้อนไม่ออกน่ะสิ แถมตอนจะเปลี่ยนผ้าเบรกก็ต้องไปงัดมันออกมา งัดแตกก็เสียของอีก ฯลฯ
   เขาก็รับฟังไป แล้วอีกไม่นานก็มีไอ้ของชิ้นนี้ออกมาขาย อันตรายนะครับ โดยเฉพาะรถที่ขับลงเขาบ่อยๆ ยิ่งเบรกนานๆ คาลิเปอร์สก็ร้อน ปกติมันก็มีลมพัดผ่านตลอด ทีนี้ดันเอาฝาครอบ (ที่คิดว่าสวย) ไปครอบมันไว้ ไม่ได้ครอบเฉยๆ นะ ทากาวพอกมันเข้าไปอีก เจริญล่ะมึง
   ของอีกอย่างที่ติงต๊องมาก เห็นมีขายตามประดับยนต์ใหญ่ๆ คือตัวรั้งเข็มขัดนิรภัยไม่ให้มันกดแนบกับหน้าอก อืมม เข้าท่าดีไหม หากเป็นหญิงคาดเข็มขัดมันจะทาบลงบนหน้าอกไง เขาคงเขินอาย ไอ้ของแบบนี้เลยออกมาตอบสนองความต้องการ
   แต่มันอันตรายครับ เพราะหากสายเข็มขัดมันไม่แนบกับตัว มันจะล็อคไม่ทันตอนเกิดอุบัติเหตุ เช่นนี้คือใส่เข็มขัดไปก็คือแค่ป้องกันตำรวจจับ มันไม่ได้ช่วยอะไรคุณเลยขณะรถชน แถมหนำซ้ำหากรถคุณมี Air Bag ก็จะยิ่งเพิ่มอันตรายต่อตัวเองยิ่งขึ้น เพราะขณะ Air Bag พองออก มันมีก๊าซอยู่ด้านในดันออกมาด้วยแรงระเบิดที่สามารถดันล้ออัลลอยของรถยนต์ให้เด้งจากพื้นถึงตึกชั้นที่ 3 ได้สบายๆ
   หึหึ ลองนึกภาพมันดันเอาใบหน้าคุณคนขับดูสิครับ
Title: Re: ตค 52
Post by: O'Pern on October 24, 2009, 06:32:13 pm
24 ตค 52
   ปกติวันนี้จะมีงานของ UN (United Nation) เป็นงานอะไรสักอย่าง มีวิ่ง มีปั่นจักรยานด้วย แต่แปลกที่เป็นงานฟรี มีแจกเสื้อ แจกเหรียญที่ระลึก ของฟรีคนชอบครับ สมัครกันใหญ่เลย ผมเองก็ด้วย แต่ไม่หวังของแจกอะไรหรอก เป็นเพราะเขาเริ่มกันเช้าและจบเร็ว ผมชอบปั่นแต่เช้า เลยขอแจมซะ
   แต่เขาเลื่อนเป็นเสาร์หน้านะครับ ตอนแรกวางแผนไว้อย่างดี แต่ไม่เป็นไร ดีที่เขาบอกล่วงหน้านานหน่อย ไม่งั้นมีคนเก้อแน่ๆ
   ถึงแม้งานเขาจะเลื่อน แต่การปั่นของผมไม่เลื่อนครับ ฝนตกก็ปั่น แดดแรงก็ปั่น บอกแล้วไงว่าคนมันมีแรงบันดาลใจ
   ผมต้องทำให้ร่างกายแกร่งกว่าเดิม แถมยังต้องลดน้ำหนักลงอีก เพราะที่ผ่านมาแม้จะลดลงได้เยอะแล้ว แต่จากการหยุดปั่นไปเสียนานแล้วยังทานเยอะอีก ทำให้น้ำหนักเพิ่ม
   ลดน้ำหนักตอนอายุยิ่งมากก็ยิ่งลดยากครับ มันเกิดจากกระบวนการเผาผลาญอาหารในร่างกายเราเอง แต่มีกฏง่ายๆ คือ ใช้พลังงานให้มากกว่าการกิน
   วันนี้ออกปั่นเช่นเคย แต่ก็มักไปที่เดิมๆ เริ่มเบื่อเหมือนกัน อยากลองหาที่พักกางเต้นท์ดูบ้าง เอาแบบค้างคืนจริงๆ เลยนะ ไม่ได้แค่นอนเล่นประเดี๋ยวประด๋าว แบบนั้นผมนอนเล่นตามสวนสาธารณะก็ได้
   เช้านี้พาลูกปั่นออกถนนใหญ่ครั้งแรก ลองไปแค่ใกล้ๆ บ้านครับ ดูทักษะของเขาแล้วพอไปได้ แต่ติดที่รถของเขาเป็นแบบ 16 นิ้ว Single Speed หากจะพาออกทริปต้องใช้คันใหม่ เพราะยืดเบาะสูงจนสุดหลักอานแล้ว ปั่นจนเท้าแทบจะชนล้อหน้าอยู่แล้ว
   สองจิตสองใจ คิดไว้นานแล้วล่ะว่าจะหารถใหม่ให้เขา มี 2 ตัวเลือกคือแบบ MTB 20 หรือ 24 นิ้ว กับ MTB Size 13 ล้อ 26
   คันแรกจะขี่ง่ายกว่า แต่ใช้ได้ไม่นาน ไม่น่าจะเกิน 3 ปี ก็ต้องเปลี่ยน
   อีกคันใช้ได้อีกนานเลย แต่เขาจะต้องเอื้อมแขนไปข้างหน้ามาก และช่วงขาปั่นยังดูเก้งก้าง ดูแล้วไม่คล่องตัว
   เอาไงดีวะ
   อ้อ ลูกผมอายุ 8 ปี สูง 130 ซม หนัก 30 กก ครับ
   วันนี้ผมออกปั่นไม่เยอะเท่าไหร่ แค่ 20 กว่า กม เพราะฝนตก ตอนแรกจะลุยปั่นต่อ แต่นึกอย่างไรก็ไม่รู้สิ รู้สึกไม่อยากลุยฝน เลยปั่นกลับมันซะ เปียกแค่ปรอยๆ พอถึงบ้านรู้สึกโชคดีที่เราคิดถูก เพราะฝนเทลงมาอย่างหนักมากเลย
   ผมตรวจสภาพรถ KHS HT คันที่ช่วงนี้ปั่นประจำนั่นแหละ พบว่าหลักอานมันเลื่อนลงมาเองถึงเกือบ 1 นิ้ว
   มังคงจะค่อยๆ เลื่อนลงมาเองน่ะครับ แต่ผมดันไม่รู้ตัวเอง คือมันเคยชินไง แล้วนี่มันเลื่อนลงมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้สิ เป็นปีหรือยังก็ไม่รู้ จุดอ่อนข้อนี้ผมว่าหลายคนคงหลงลืมในการตรวจเช็คเป็นแน่
   เอ๊ะ แล้วไอ้ที่ผมปั่นนานๆ จนเจ็บหลังเมื่อหลายเดือนก่อนมันจะเกี่ยวข้องกันไหมล่ะนี่ แม้ทุกวันนี้จะหายดีแล้ว แต่ปั่นกลางแดดจัดนานๆ หลายชั่วโมงมันรู้สึกเมื่อยหลังในจุดนั้น แค่เมื่อยนะ ไม่ได้เจ็บ กลัวซ็ำรอยเดิมจริงๆ เล้ยย
   จัดการยกเบาะขึ้นให้ถูกตำแหน่ง บ๊ะ ปั่นดีกว่าเดิมอีกว่ะ ตอนนี้เริ่มมั่นใจแล้วว่ารองเท้าของผมมันคับเกินไป ผมต้องการใหญ่กว่านี้อีก 1 เบอร์ หรือถ้ามีแบบความกว้างมากขึ้นกว่าเดิมก็จะดีมากเลย ที่ผมใช้อยู่เป็นของ Adidas ครับ ชอบเพราะเป็นสีดำล้วนและทรงไม่ซิ่งนักนี่แหละ ผมชอบ มันดูเรียบๆ ดี ที่จริงผมมีของ Sidi Action อยู่ แต่มันเก่าแก่จนเปื่อยยุ่ยไปหมดแล้ว ซื้อตอนปี 94 ซื้อพร้อมๆ กับรถ KHS HT คันนี้แหละครับ
   นี่ถ้าไม่พังก็ไม่เปลี่ยนหรอก เสียดายจะตาย
Title: Re: ตค 52
Post by: O'Pern on October 25, 2009, 04:53:47 pm
25 ตค 52
   เช้านี้ผมพาลูกออกทริปเป็นครั้งแรกครับ เป็นการปั่นออกถนนอย่างเป็นทางการ ปั่นอย่างจริงจัง อ่านเจอพี่ท่านหนึ่งจัดทริปปั่นไปชายทะเลบางขุนเทียน แถวบ้านผมเองแหละ ก็เลยแจมเสียหน่อย ถนนเส้นนี้สร้างแล้วพัง สร้างแล้วพังมา 2 รอบ รอบล่าสุดที่เห็นทุกวันนี้คือรอบที่ 3 ครับ อย่าได้ตกใจไป
   ผมน่ะ ปั่นตั้งแต่มันยังไม่ทำถนนรอบแรกเลย ระยะทางแค่ 10 กว่า กม แต่เหมือนไกลเหลือเกิน กันดารสุดยอด รถวิ่งผ่านแต่ละคันก็ฝุ่นตลบ คนเดินถนนผมเผ้าเป็นสีแดงเพราะดินลูกรัง
   ระยะแรกนี้ไม่มีร้านค้าบ้านเรือนอะไรเลย ไม่มีหมู่บ้านสักแห่ง มีแต่นากุ้ง มีแต่ป่าชายเลน ผมมาจอดรถยนต์นั่งเล่นแถวนี้บ่อย บรรยากาศดีมาก เหมือนมาปิคนิคยังไงยังงั้น
   จนถนนรอบแรกเสร็จ ถึงได้มีบรรดาร้านอาหารทะเลทะยอยกันเปิดเต็มสองข้างทาง นั่นแหละ เป็นจุดแจ้งเกิดความโด่งดังของบางขุนเทียนชายทะเลเลยล่ะครับ ใครผ่านไปมาก็ต้องมาแวะกินกัน บ่ายวันอาทิตย์นี้รถอย่างแน่นครับ ติดยาวกันเป็นกิโลเลย ผมเองก็เข้าไปใช้บริการบ้างเหมือนกัน แต่กินไม่บ่อยนัก ผมรู้สึกเฉยๆ ร้านอาหารทะเลที่อร่อยของผมเป็นร้านเก่าแก่เปิดมาเป็นสิบปี อยู่ที่ก้นอ่าว ชื่อร้านป้าจ๋วย นั่งกินกันบนชายหาด น้ำขึ้นสูงบางทีก็เท้าแช่น้ำกินกันไป
   พอคนเยอะ รถวิ่งเยอะ ก็มีหมู่บ้านเกิดขึ้น นี่แหละคือจุดเริ่มของความฉิบหาย เพราะบรรดาสิบล้อวิ่งถมที่กันทั้งวันทั้งคืน ถนนก็พังสิครับ ใช่เลย พอถนนพัง หมู่บ้านก็เสร็จ เย้ๆ ได้วิ่ง Off Road แต่ขอโทษ รถ Isuzu Mu 7 ที่เพิ่งออกมาไม่นาน ของเพื่อนผม ผุไป 2 รอบแล้วครับ นี่นับแค่วิ่งในถนนสายนี้อย่างเดียวนะ
   ถนนพัง ก็ตั้งงบเบิกจ่ายมาซ่อมกันใหม่ครับ ไทยเราเล่นง่ายๆ กันแบบนี้แหละ มีการคิดทำถนน แต่ไม่มีวิธีคิดการป้องกันถนนพังแต่อย่างใดเลย ทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้คิด และถ้าไม่เริ่มคิด มันก็จะต้องพังอีก
   รอบแรกของการทำถนนนั้น เป็นแค่การปรับผิวครับ และทำได้ครึ่งๆ กลางๆ คือทำยังไม่ได้ไปถึงสุดป่าชายเลน รอบสองถึงได้เริ่มลาดยาง และพังไปหมดแล้ว พังทั้งจากรถใหญ่วิ่ง และตัวที่ช่วยทำลายอีกอย่างคือน้ำกันเซาะ
   น้ำท่วมครับ ที่ดินย่านนี้ต่ำ (อันที่จริงก็ต่ำกันทั้ง กทม แหละ) หน้าน้ำ จะมีน้ำท่วมขังเป็นประจำ ท่วมผิวถนนจนมิด สองข้างทางเป็นป่าชายเลนอยู่แล้ว เลยทำให้มองไม่เห็นถนน เหมือนวิ่งลงไปในคลองเลยล่ะครับ
   จนมาการทำถนนรอบ 3 ปัจจุบันนี้ มีการขยายถนน มีเลนจักรยานด้วยนะ มีไหล่ทางให้รถเล็กวิ่งได้ แต่ทางจักรยานยังสร้างไม่ไปสุดถนนนะครับ มีแค่ครึ่งเดียว แต่ก็โอเค ดีกว่าไม่มี
   ถนนสวยเรียบเนียน ไฟฟ้าส่องสว่างตลอดทาง ทำให้เป็นสวรรค์ของชาวเสือหมอบย่านนี้กันเลย กลางคืนดึกๆ ถึงเที่ยงคืนยังปั่นกันไม่เลิกก็มี หัวค่ำไม่ต้องห่วง จักรยานเพียบ (บางวัน)
   ต้องยกเครดิตให้พี่บุญชัยครับ เขาอยู่ย่านนั้น และมาโพสชวนเพื่อนๆ ให้มาปั่นนจักรยานกัน ผมอ่านพบเข้า วันนี้เลยขอแจม พอเห็นหน้าก็ร้องอ๋อ เพราะเป็นพี่ที่มาซื้อ Dahon Vitesse D5 ของผมไปนั่นเอง
   0630 เลยขอจอดรถไว้หน้าบ้านเขา ผมกับลูกออกปั่นไปก่อน เพราะลูกผมมือใหม่ ปั่นช้า แถมรถเป็นล้อ 16 Single Speed เสียอีก มันเลยได้ความเร็วไม่เท่าไหร่ สองคนปั่นกระหยองกระแหยงไปเรื่อยๆ ลูกผมดูสนุกสนานมาก ผมเองก็พลอยดีใจไปด้วยที่เขาชอบจักรยาน พยายามปลูกฝังให้เขามีทรรศนคติที่ดีในการเดินทางด้วยจักรยาน
   พอไปได้สัก 30 นาที ก็เริ่มหมดแรง ฮ่าๆ ต้องล่อด้วยโกโก้เย็น บอกว่ามีร้านกาแฟขายโกโก้เย็นอร่อยมากนะ เขาถึงมีแรงฮึด
   ตลอดทางเราเจอนักปั่นจักรยานมากมาย กะคร่าวๆ ก็ราว 30 คัน ทะยอยกันมา บ้างก็สวนทางกัน มีเยอะที่แซงไล่หลังขึ้นมา ก็ทักทายกันไป ลูกผมดูจะเป็นดาวเด่น เพราะตัวเล็กจิ๋วเดียว
   ผมบอกให้เขาอดทน รักษาจังหวะรอบขาไว้ กำหนดลมหายใจ และทำสมาธิ ก็ได้แต่พูดๆ ไป ไม่รู้เขาทำได้มากแค่ไหน สุดท้ายก็ถึงร้านกาแฟ เจอนักจักรยานหลายท่านนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ถึงได้รู้ว่านี่คือร้านประจำของนักปั่น
   มิวตรงดิ่งไปสั่งโกโก้เย็น เหลือบไปเห็นเขามีอาหารขายด้วย แต่เป็นร้านแบบชาวบ้าน อาหารพื้นบ้าน มิวเขาคงหิว เลยขอสั่งข้าวไข่เจียวมากิน เห็นลูกกินผมก็หิวบ้างเหมือนกัน เลยขอลูกกินด้วย กลายเป็นแย่งกันกิน สนุกดี
   กินเสร็จลูกชวนผมเข้าไปดูโครงการปลูกป่าชายเลนในโรงเรียนคลองพิทยาลงกรณ์ เขาเคยมาทรรศนศึกษาที่นี่ ผมเองก็เคยมาปลูกป่าชายเลนกับ TCC ที่นี่เหมือนกัน แปลกดี คนละทริป คนละทาง แต่ที่เดียวกันที่สองพ่อลูกได้มาเยือน
   ปั่นเข้าไป คนในโรงเรียนท่าทางงง แต่ไม่ได้ว่าอะไร ลูกพาผมเดินทัวร์อยู่สักพัก ผมเห็นว่าแดดเริ่มแรง เดี๋ยวจะร้อน เลยชวนกันกลับ
   อันที่จริงหากลูกผมแกร่ง ผมจะพาเขาเข้าไปชมป่าชายเลนของจริงที่อยู่อีกฝั่งของถนน ผมเคยเข้าไปกับ TCC ก็ทริปที่ได้มีโอากาสช่วยผู้หญิงขี่ Dahon สีแดงที่เขาตกข้างทางจนเลอะโคลนเลนเต็มตัวไปหมดนั่นแหละครับ ตอนแรกไม่รู้จักกัน ช่วยแล้วก็ยังไม่ได้รู้จัก จนไปทริปสระบุรีกับกลุ่มของน้าเป็ดนั่นแหละ มาเจอกันอีกที ทราบว่าชื่อคุณอ้อย
   ป่าชายเลนย่านนี้สวยงามครับ เขาทำสะพานไม้สูงราว 2 เมตรเอาไว้ให้เดินชมเล่น ใจอยากไปอีกนะ แต่กลัวลูกตกคลอง ตกไปน่ะแย่เลย เพราะตอไม้เต็มไปหมด คราวนั้นคุณอ้อยรอดมาได้ยังไงก็ไม่รู้ โชคดีสุดยอดจริงๆ
   เป็นอันว่าเราเริ่มกลับกันตอนสาย ขากลับมิวปั่นไปได้ไม่กี่ กม ก็ร้อน และขอพักอยู่หลายหน นี่ผมกลัวเขาจะเข็ดกับจักรยานเหมือนกันนะ ทริปแรกพามาก็เจอแบบนี้เสียแล้ว
   แต่เขาก็กัดฟันสู้จนได้ ช่วงระยะท้ายๆ ผมอาสาดันหลังเขาให้ เขาบอกว่า ทำไมพ่อไม่ช่วยดันตั้งแต่แรกล่ะ เออ มันพูดเข้าท่าดี
   ปั่นกลับมาถึงจุดจอดรถก็ราว 0930 ทริปนี้ใช้เวลาไปราว 3 ชม ได้ระยะทางมาแค่ 25 กม ฮ่าๆ เอาน่ะ ทริปแรก ได้แค่นี้ก็เก่งแล้ว
   พอขึ้นรถได้ก็เหมือนสวรรค์เลย ได้แอร์เย็นๆ มันช่างต่างจากตอนที่เราอยู่กลางแดดจัดโดยสิ้นเชิง นี่เราต้องลำบากมาก่อน ถึงจะรู้ว่าความสะดวกสบายมันเป็นเช่นไร เหมือนตอนปกติขับรถเปิดแอร์ก็ไม่ได้คิดอะไรสักนิด จนถึงวันที่แอร์เสีย หรือต้องมาขับรถที่ไม่มีแอร์ มันถึงจะรู้คุณค่าของสิ่งที่เคยมี
   ถึงบ้านก็อาบน้ำ พาลูกไปเรียนพิเศษ ภรรยาชวนทานอาหารญี่ปุ่นแบบบุฟเฟ่ชื่อร้าน ชา บู ชิ ผมไม่ค่อยคุ้น ทำหน้าตาไม่อยากไป แต่เห็นลูกอยากกินก็เลยโอเค
   พอถึงร้านก็ทำตาโต จัดร้านเหมือนญี่ปุ่นมีซูชิจานเวียนเลียบมาตามโต๊ะ อยากกินอะไรก็หยิบเอาเลย เออ สนุกดีเหมือนกัน อาหารรสชาติงั้นๆ แหละ แต่มันสนุก และได้ความสะดวก รวดเร็ว คือเราบริการตัวเองไง น้ำก็หยิบเอง รินเองหมด เพิ่งรู้ว่าเขามาการจับเวลาตอนเรานั่งกินด้วยนะ คือให้กินได้ 1.15 ชม ฮ่าๆ ผมเล่นไปแค่ 30 นาทีก็รู้ผลแล้วล่ะ ที่เหลือก็แค่นั่งเล่นและละเลียดกินของหวาน ชอบถั่วแดงร้อนครับ เขานำถั่วแดงเชื่อมมาบดหยาบ มีน้ำขลุกขลิก อร่อยดี แต่หวานไปนิด
บ่ายออกไปทำธุระที่คอนโดฯ เรื่องเอกสาร บ๊ะ นี่เราจะมีคอนโดกับเขาบ้างแล้วหรือนี่ รู้สึกเท่เล็กน้อย แต่ผมไม่ชอบชื่อเรียกว่าคอนโดฯ เลยนะ มันฟังเสียงแล้วดูเหมือนอาวุธ น่าจะเรียกว่าแมนชั่น ผมว่าไพเราะกว่า ฟังดูหรูกว่า
   กลับมาบ้านตอนเย็นก็ยังเพลียๆ ครับ สงสัยเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวเพราะต้องปั่นไปดันหลังเจ้ามิวเขาไปด้วยแน่ๆ เพราะปกติผมปั่นไกลๆ นานๆ ก็ยังไม่เห็นเป็นอะไรเลย
   เออ ลืมไป นี่มันปั่นกลางแดดตั้ง 3 ชม นี่หว่า
Title: Re: ตค 52
Post by: O'Pern on October 27, 2009, 01:48:09 pm
26 ตค 52
   พี่น้องๆ
นายกรัฐมนตรีเกาหลีใต้ประกาศนโยบายอนุรักษ์โลก คนนี้เขาไม่ได้ทำแค่ปากพูดแน่ๆ เพราะเขาขุดถนนทิ้ง ขุดคลองโบราณที่เคยถูกญี่ปุ่นถมทิ้งตอนสงครามโลกเฉยเลย ยอมโดนด่าอยู่หลายปี จนมาวันนี้เมืองสดใส เกาหลีใต้พัฒนาไปเยอะมาก
   นโยบายล่าสุดของเขาคือการสร้างเส้นทางจักรยานเครือข่ายทั่วประเทศภายใน 5 ปี !!!
   เอาล่ะมึง เล่นของแรงเสียแล้ว รู้สึกสะใจเหลือเกินกับไอเดียแรง แบบนี้ บอกตามตรงว่าอยากยกประเทศไทยให้เขาช่วยมาบริหารจริงๆ การเมืองไทยเราพิการอย่างนี้ ไม่รู้อีกกี่ปีถึงจะลุกขึ้นยืนได้ เรื่องการพัฒนาไม่ต้องพูดถึง เต่ายังเดินเร็วกว่าเลย
   คอยจับตามองกันต่อไปครับ ผมเชื่อว่าเขาเอาจริงแน่ เพราะทุกวันนี้เส้นทางจักรยานเลียบแม่น้ำฮันที่มีทั้งแบบ On Road และ Off Road นั้นช่างสวยงามเหลือเกิน
   ผมตามหาเบาะนั่งแบบนุ่มสบายอยู่นาน ใครๆ ก็แนะนำ Brooks แต่ผมยังข้องใจบางอย่าง เลยโพสข้อความสอบถามในเวปจักรยาน มีคนมาตอบกันเยอะ คุณเจษฎาส่งลิงค์อันหนึ่งมาให้อ่าน ละเอียดยิบดีมาก อ่านแล้วสรุปได้ทันทีเลยครับว่า เบาะ Brooks มันไม่เหมาะกับผมเลยแม้แต่น้อย มันดีตรงนุ่มก็จริง แต่ออกจะเปราะเพราะโดนน้ำ โดดแดด ก็ต้องคอยห่อหุ้ม คอยเช็ด ใช้แบบผมคือไม่ดูแล ผลคือหนังแตกแห้ง หยาบกระด้าง อ้าว ฉิบหายละสิ แพงก็แพง หนักก็หนัก ยังเสือกเปราะเสียอีก
   คนชอบเขาก็ชอบกันนะ ก็ต้องปล่อยเขาไปล่ะครับ ไลฟ์สไตล์แต่ละคนมันต่างกัน ผมใช้ของแบบลุยๆ คือต้องเน้นทนทานไว้ก่อน เบาะบ้าอะไรวะ โดนฝนก็ต้องห่อผ้า เช็ดแล้วก็ต้องมีไขมันทาเคลือบ และไอ้ที่ประหลาดสุดคือมีการสีตกอีกด้วย ฮ่าๆ
   กลายเป็นต้องมองหาของยี่ห้ออื่นต่อไป
   วันนี้เอาจักรยานออกปั่นไปได้ราว 70 กม ปั่นกลางแดดนี่เหนื่อยอ่อนจริงๆ ผมปั่นไปดูจุดที่ผมจะทำการตั้งแคมป์ครับ ดูลาดเลา ดูทำเลแล้วรู้สึกว่าพอไปได้ แต่ถ้าเจอฝนเต็มๆ ทั้งคืนก็แย่หน่อย เพราะไม่มีที่หลบฝน สถานที่ไม่มีน้ำ ไม่มีไฟฟ้า ตามสไตล์ของแคมปิ้งเต็มรูปแบบ
   ผมต้องเตรียมน้ำดื่ม อาหาร ไปเอง ย่านนั้นไม่มีอะไรขาย แต่ถ้าแวะซื้อระหว่างทางก็พอไหว ก็ต้องดูว่าจะพักอยู่กันนานแค่ไหนล่ะครับ เตรียมอาหารไปให้เพียงพอกับความต้องการก็ใช้ได้ จะทำเองก็ได้ จะก่อไฟก็ยังไหว แต่ทริปแรกผมจะยังไม่ก่อไฟทำอาหาร เอาเวลามาดื่มด่ำกับบรรยากาศจะดีกว่า เพราะมันสุดยอดเหลือเกิน
   ท่องเที่ยวสไตล์ผมจะไม่ทิ้งขยะแม้แต่ชิ้นเดียว จะเก็บกลับมาให้หมดเกลี้ยง ขนสิ่งที่เรานำไปกินออกมาทิ้งข้างนอกให้หมด จุดนี้เองทำให้ผมกังวลกับการก่อไฟ เพราะมันจะเหลือกองเถ้าถ่านอยู่ เว้นแต่ว่าจะใช้เตาแก๊ส
   ทริปแรกขอไปคนเดียวก่อนครับ ยังไม่อยากพาใครไปลำบาก อีกอย่างคือกลัวเป็นนักท่องเที่ยวคนละสไตล์ เช่นดันไปเจอนักดื่ม นักสูบบุหรี่เข้า แบบนี้เซ็งสุดยอดเลย
   จะว่าไปก็มีอันตรายอยู่บ้างแหละครับ แล้วแต่มุมมองของคน ส่วนตัวผมมองแต่แง่ดี คือผมสนุกกับชีวิตในรูปแบบความเรียบง่าย ไม่ต้องใช้เงินสิ้นเปลืองมากนัก และเป็นการซ้อมแคมปิ้งของผมไปในตัว
   ขากลับบ้านผมใช้ทางลัด เป็นถนนที่ยังก่อสร้างไม่เสร็จ เป็นทางขรุขระ ผมใช้ยางสลิคก็ทำใจไว้แล้วว่าไปลำบาก แต่ที่เจอมันเหนือความคาดหมาย เพราะเป็นทางลูกรังผสมโคลนเลน แถมด้วยน้ำท่วมผิวถนนจนมิด เห็นแต่ต้นหญ้าข้างทางที่เป็นตัวกำหนดขอบเขต
   ช่วงแรกก็โอเคครับ จำเป็นต้องลุย กลัวจะกลับมารับลูกไม่ทัน โคลนสีส้มฉาบเคลือบวงล้อและยาง ปั่นไปได้สักพักตกร่องลึกจนเกือบล้ม ล้อหลังก็ฟรีจนทรงตัวลำบากมาก เลยยืนบาลานซ์รถกดแฮนด์ให้แน่น และทิ้งน้ำหนักตัวไปด้านหลังพร้อมๆ กัน เป็นท่าปั่นที่ทุลักทุเลมาก
   บางแอ่งลึกจนน้ำท่วมถึงกระโหลก โคลนอุ่นๆ ซึมเข้ารองเท้าจนรู้สึกเหนียว แต่ก็ต้องปั่นต่อไป ไม่งั้นล้ม
   ลุยประมาณ 300 เมตร พ้นออกมาก็รีบนำรถหย่อนลงแหล่งน้ำข้างทางเพื่อทำการล้างล้อ ใจอยากล้างเบรกด้วย แต่หากหย่อนลึกลงกว่านั้น กลัวกระโหลกจะเสียหาย
   จับรถเขย่าขึ้นลงพร้อมกับหมุนวงล้อไปด้วย ขโยกเขยกอยู่สักพัก จนโคลนสีส้มที่เคลือบไว้หลุดออกไป ผมถึงออกปั่นต่ออย่างรวดเร็ว ช่วงนี้น้ำดื่มผมหมดแล้ว เลยหยิบเอาลูกอมของ Fox มาอม
   คนละ Fox กับของจักรยานล่ะ ลูกอมของ Fox มีชื่อเสียงมานาน ลักษณะเด่นคือเม็ดเหลี่ยมใส มีหลายรสให้เลือก ทั้งผลไม้ และมิ้นท์
   ถึงบ้านก็รีบอาบน้ำ อาบทั้งชุดจักรยานเลยล่ะ เพราะจะซักกางเกงที่ขามันเป็นสีส้มไปด้วยในตัว 
Title: Re: ตค 52
Post by: O'Pern on October 28, 2009, 01:23:28 pm
27 ตค 52
   รีบตื่นขึ้นมาล้างรถโดยด่วน แต่เป็นการล้างแบบลวกๆ แค่ให้มันพอหายเลอะ เนื่องจากครึ่งล่างของรถกลายเป็นสีส้มจากการลุยทางลูกรังผสมโคลน บอกตามตรงว่าเกิดมาผมไม่เคยเจออะไรที่เลอะเละแบบนี้มาก่อนเลย มองทาง มองร่องก็ไม่เห็น เพราะน้ำท่วมผิวถนนเต็มไปหมด ไม่รู้ตรงไหนลึก หรือตรงไหนดินร่วน บางช่วงตกหล่มน้ำก็ท่วมถึงกระโหลก ขาจานฉาบโคลนลูกรังสีส้มจนไม่เห็นผิวโลหะ ที่น่าเวทนาที่สุดคือรองเท้าครับ จากเดิมสีดำล้วน มันกลายเป็นสีส้ม
   ตอนเช้าผมหิ้วรองเท้ามาล้าง ภรรยาเห็นนึกว่าผมซื้อคู่ใหม่มา กำลังจะแซวว่าเล่นสีซะหวาน ที่ไหนได้ กลายเป็นคนละเรื่อง ฉีดน้ำล้างออกง่ายดีครับ ผลจากการที่ผมเอายาเคลือบเงารถยนต์มาเช็ดถูเมื่อหลายวันก่อน ทำให้ลูบโคลนเลนออกได้ง่ายมาก ผมว่าแค่เอาน้ำฉีดโคลนก็ออกเกือบหมดแล้วล่ะ จะมีติดค้างก็แค่ซอกมุม ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
   ล้างรถแล้วก็ปั่นออกไปซื้อโจ้กให้ลูกครับ เขาบอกอยากกิน ก็ตามใจหน่อย จังหวะกดเบรกรู้สึกเหมือนมีเศษกรวดกดวงล้อ ไม่ชอบเสียงแบบนี้เลย ถึงบ้านก็เอาเศษไม้มาแคะกรวดเล็กๆ ที่แทรกอยู่ในร่องผ้าเบรกออก รู้สึกดีขึ้นหน่อย แต่ยังไม่หายสนิท สงสัยต้องถอดออกมาขัดกระดาษทรายเสียแล้ว อ้อ ยางเบรกนี้ติดรถมาตั้งแต่ปี 94 ครับ เป็นของ Shimano XTR เล่นของแพงเสียด้วย แต่ไม่น่าเชื่อว่ามันจะยังคงเบรกดีอยู่จนถึงทุกวันนี้ รู้สึกคุ้มเหลือเกิน ทั้งๆ ที่ไม่เคยถอดมาขัดหน้าผ้าเบรกเลยสักครั้งเดียว กดยางดูมันก็แข็งๆ เหมือนอาการยางเสื่อม แต่ทำไงได้ ตราบใดยังเบรกดีอยู่ ผมไม่เปลี่ยนให้เสียเงินหรอก ผ้าเบรกสำหรับ Cantilever ดีๆ ยิ่งหายากๆ อยู่
   ปั่นไปซื้อโจ๊กแค่ 10 กว่า กม รู้สึกเมื่อยขาครับ วันนี้เลยขอพักร่างกายหน่อย  เพราะรู้สึกเพลียๆ เมื่อวานปั่นโหดจัด เพราะไม่ได้เอา Pannier ติดไป ทำให้รถมันโล่ง เร่งเร็วได้ถึง 50 แบบไม่ยาก แต่ถ้าทวนลมก็เหลือ 20 กว่าๆ อย่าไปฝืนธรรมชาติ เราเอาชนะฟ้าดินไม่ได้หรอก ไอ้พวกปั่นขึ้นเขา ปีนเขา ที่พูดว่าพิชิตโน่นนี่น่ะ เราแค่คิดไปเองคนเดียวต่างหาก
   ไม่ได้ปั่นเร็วๆ กลางแดดจัดมานาน จำได้ว่ารู้สึกปวดขมับ เอามือจับมันเต้น ตุบๆ ๆ เป็นจังหวะเลย ผมคาดเดาว่าน่าจะเกิดจากอากาศร้อนมากนะ และน้ำดื่มผมหมดอีกด้วย ทางแก้คือนั่งพักซะ แต่ผมยังดึงดันที่จะปั่นต่อ กลัวจะวูบเหมือนที่เคยอ่านเจอในเวปเหมือนกัน เลยหยิบลูกอมหวานๆ มาอม คิดไปเองว่ามันคงจะช่วยได้ ไม่รู้ผิดหรือถูก แต่กลับมาถึงบ้านรีบหยิบเอาแตงโมเย็นๆ เข้าปากไปหลายชิ้นเลย
   กลางวันวันนี้ทานส้มตำ กับไก่ทอดลอกหนังออก กินแกล้มกับผักสด รู้สึกดีที่เอาของมีประโยชน์มาใส่ในร่างกายบ้าง เพราะปั่นจักรยานในเมืองมีแต่สูดดมควันพิษ อืม แล้วเราจะเลี่ยงอย่างไรกันดีล่ะครับนี่ อิจฉาคนต่างจังหวัดก็ตรงเรื่องได้สูดแต่อากาศบริสุทธิ์นี่แหละครับ คนเมืองอย่างผมหมดสิทธิ์
   ด้วยเหตุนี้ไง ผมถึงดิ้นรนหาที่ออกตั้งแคมป์ อย่างน้อยก็ได้สูดอากาสบริสุทธิ์กับเขาบ้าง สักนิดหนึ่งก็ยังดี

28 ตค 52
   เซ็งจริงๆ รองเท้าผมเต็มไปด้วยโคลนลูกรัง แช่น้ำทิ้งไว้ค้างคืนยังซักไม่ออก เช้านี้เลยเปลี่ยนน้ำใหม่ แช่อีกรอบ เติมบรีส เอกเซล เข้าไปช่วยอีกแรง ถ้ายังซักไม่ออกอีกคงแย่แน่ๆ จากรองเท้าสีดำ กลายเป็นมีลายพรางส้มแถม
   ดูสารคดีสุขภาพจากญี่ปุ่น เขาสอนวิธีการแปรงฟันและการจับแปรง ผมลองทำตามแล้วรู้สึกไม่ถนัด เลยนำทฤษฎีของเขามาประยุกต์ เกิดเป็นการแปรงฟันแบบใหม่ (ของผมเองคนเดียว) ทำแล้วรู้สึกดีขึ้นครับ (เพราะออกแรงน้อยลง เหงือกพังช้าลง)
   อ้อ ตอนแปรงฟันน่ะ เราใช้ยาสีฟันเพียงแค่นิดเดียวก็เพียงพอแล้วนะครับ บีบออกมาแค่สัก 1 ซม ก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องบีบออกมาให้มันเต็มแนวขนแปรงเหมือนในโฆษณา พวกนั้นเขาชักจูงให้เราทำตาม ของจะได้หมดเร็วๆ ไง
   การรักษาสุขภาพฟันถือเป็นด่านแรกของการดูแลร่างกายเลยนะครับ สำคัญมากๆ มันเชื่อมโยงกันทั้งร่างกาย อย่างเส้นเลือดบริเวณเหงือกก็จะส่งผลต่อหัวใจ หากเป็นโรคเหงือก ปล่อยทิ้งไว้นานเข้า ก็มักจะเป็นโรคหัวใจตามไปด้วย
   กลางวันโทรคุยกับเพื่อนเก่า คุยไปคุยมาแทนที่เราจะชักจูงเขามาขี่จักรยาน กลายเป็นโดนอบรม ทำนองว่าปั่นจักรยานน่ะอันตราย รถจะมาชนเราเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เกิดเป็นไรไปจะทำอย่างไร น่าจะเอาเวลาไปทำอย่างอื่น ฯลฯ
   โดนชุดใหญ่เลย ฮ่าๆ ก็ได้แต่ฟังน่ะครับ เก็บแต่ประเด็นที่เขาเป็นห่วงเรามาคิด นอกนั้นปล่อยผ่านทะลุหูอีกข้างไป
   แต่คงไม่ชวนเขามาปั่นอีกแล้วล่ะ มองหาเป้าหมายต่อไปดีกว่า
   เมื่อคืนฝนตกหนัก เอ๊ะ เห็นหายตกไปสักพัก ผมคิดว่าจะหมดฝนแล้ว หรือมันมีมรสุมอะไรมาอีกหรือ ผมไม่ได้ติดตามข่าว
   เอาล่ะ จะอย่างไรก็แล้วแต่ ผมคุ้นเคยกับการอยู่กับฝนแล้ว แค่เราเตรียมพร้อมยอมรับว่าจะเปียกหรือไม่เปียก หากเปียกก็เตรียมชุดสำรองไว้ หากจะไม่เปียกก็เตรียมชุดกันฝนไว้ ก็เท่านั้น
   แต่ปั่นกลางฝน หรือแคมป์กลางฝนนี่ทุกลักทุเลและไม่ค่อยจะสนุกเท่าไหร่ คนทั่วไปเขาจะพยายามเลี่ยงกัน แต่ผมมักจะมองหาข้อดีในช่วงวิกฤต แม้มันจะมองไม่ค่อยออกก็ตาม
   ผมอยากได้ไฟฉาย + ไฟหน้าจักรยาน ขอเป็นอันเดียวกันนี่แหละ เน้นเล็ก เบา ไฟหน้าอันเก่าของผมพังไปนานแล้ว ไม่ค่อยได้ใช้ ลืมใส่แบตฯทิ้งไว้นาน เลยมีของเหลวไหลเยิ้มออกมา คงเป็นสารพิษแน่ๆ น่าเสียดาย ยังใช้งานได้ดีอยู่เลย ไม่เคยตกหล่นสักครั้ง
   อยากได้อีกอย่างคือตะเกียงครับ เน้นเล็ก เบา เหมือนเดิม เพราะจะใช้ตอนไปแคมป์กับจักรยาน คงจะได้เปิดกันนาน ทั้งช่วงทำอาหาร นั่งเล่น กว่าจะปิดก็คงตอนเข้านอน ดีที่ผมนอนเร็ว
   อีกอย่างที่อยากได้ไว้ใช้ แต่คงมีโอกาสใช้น้อยคือเตาครับ มีไว้ปรุงอาหาร แต่ถ้าแบกเตาไปด้วย รับรองว่าจะเอิกเกริกกันแล้ว เพราะต้องมีอุปกรณ์ที่เกี่ยวเนื่องตามมาอีกขบวนใหญ่ เริ่มจากแก๊สกระป๋องสำรอง ชุดหม้อ จาน ชาม น้ำยาล้างจาน ช้อน ส้อม ฯลฯ หึหึ เอาไว้ก่อนดีกว่าเน๊อะ ไว้เป็นแบบ Car Camping แล้วค่อยมาว่ากัน ตอนนี้เราเป็น Bicycle Camping กันอยู่ เน้นเบาเป็นหลัก เพียงแค่ซื้ออาหารที่เก็บง่าย กินง่าย ปรุงง่าย ไม่เลอะเทอะ รสชาติดี น่าจะเพียงพอกับการท่องเที่ยวช่วงสั้นๆ แล้ว
Title: Re: ตค 52
Post by: O'Pern on October 30, 2009, 02:16:42 pm
29 ตค 52
   เย้ๆ รองเท้าซักออกหมดแล้ว ดีใจมาก แต่ถึงอย่างไรก็ยังอยากได้คู่ใหม่อยู่ดี รู้สึกว่าปั่นนานๆ แล้วตรงกลางฝ่าเท้ามันคับเกินไป แต่ถ้าปั่นใกล้ๆ หรือไม่เกิน 100 กม หรือจอดพักบ่อยๆ ผมพอได้
   ผมลงชื่อสมัครไปร่วมงานของ UN ที่จะจัดวันเสาร์นี้ ดูเหมือนเป็นงานปั่นแบบเล่นๆ เพราะแค่ 8 โมง ก็เสร็จสิ้นงานกันแล้ว คุยกับเพื่อนถึงความแปลกใจว่าทำไมคนมาลงชื่อร่วมงานกันเยอะ
   “เขาแจกเสื้อไง แถมยังแจกเหรียญด้วย”
   อ้อ เป็นเช่นนี้เอง ชอบของแจกฟรีกัน ฮ่าๆ แต่ก็เห็นจะจริงนะ ชอบกันจังเลย แปลกอย่างเดียวคือเอาไปแล้วมักจะไม่ค่อยได้ใส่กัน ผมก็เป็นครับ ไม่ค่อยได้ใส่หรอก ใส่ไม่ค่อยสบาย ช่วงหลังเลยไม่รับ คือไม่ไปรับเลย แต่ลงชื่อสมัครไว้นะ สุดท้ายเจ้าหน้าที่เดินเอาเสื้อมาให้เองกับมือ (ถ้าเหลือ)
   คือถ้าเราไม่ได้ใส่ แล้วจะไปรับเสื้อเขามาทำไมล่ะครับ ผมก็เลยปล่อยให้คนอยากได้เขาไปรับกัน จนเพื่อนๆ ถามผมกันว่า
“อ้าว ไม่ได้ลงทะเบียนไว้ก่อนหรอกหรือ ถึงไม่มีเสื้อ”
แต่เชื่อไหมครับ มีอีกหลายคน มีเยอะมากๆ ที่ได้เสื้อแล้วกลับไม่สวม คนไหนใส่เป้ ใส่กระเป๋าก็ยังโอเคนะ แต่ไอ้คนที่เอาเสื้อแจกมาเหน็บด้านหลังเสื้อจักรยานนี่สิ คือมันเห็นๆ อยู่ไงว่ามีเสื้อ แต่แปลกใจ ทำไมไม่ใส่ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
“เสื้อไม่สวย เลยไม่ใส่”
“ใส่แล้วมันทับเสื้อทีมเรา”
“ใส่แล้วร้อน”
“ใส่แล้วอึดอัด”
จะสาเหตุอะไรก็แล้วแต่ ถ้าคุณมาร่วมงานของเขา ก็ต้องให้เกียรติเขาครับ แถมยังเป็นเสื้อแจกฟรี เขาแค่ต้องการให้ภาพมันออกมาเป็นเหมือนที่มเดียวกัน ไปด้วยกัน ใส่เสื้อเหมือนกัน ลองนึกภาพคนอื่นเป็นเสื้อขาวกันหมด มีคุณเป็นเสื้อแดงโดดออกมาคนเดียว
งานกลุ่มนะครับ ตอนเด็กนักเรียนคงเคยทำงานกลุ่มกันมา มันคือการรวมกันทำ ผิดถูกร่วมกัน
อย่าเอาแค่ตัวเองสะดวกสบายเลยครับ ถ้าแบบนั้นก็ไปปั่นกันเองแถวบ้าน ไปกับทีมของตัวเอง ฯลฯ เข้าสังคมแถมไปร่วมทริปที่เขาจัด การสวมเสื้อที่เจ้าภาพจัดให้ คือวิธีการหนึ่งที่เราแสดงความขอบคุณเขาโดยตรงเลยล่ะครับ
งานของ UN นี้เขาจะให้เราไปปั่นกันตรงไหนก็ยังไม่รู้เลย ในเอกสารที่ออกมาก็ไม่เห็นบอกอะไร แต่มีคนลงชื่อไปกันเพียบ อย่างที่บอก อ้อ ผมก็เป็นหนึ่งในนั้นครับ เหตุผลง่ายๆ อย่างเดียวก็คือ เขาปั่นกันเช้า และพรรคพวกไปกันเยอะ แค่นี้เองแหละครับ
วันนี้ไม่ได้ออกปั่นอีกแล้ว อะไรกัน สัปดาห์นี้ผมปั่นแค่วันจันทร์วันเดียว โหดแค่วันเดียว นิดเดียวเองหรือนี่ พรุ่งนี้ก็ไม่ได้ปั่นอีก เพราะนัดช่างตกแต่งภายในมาคุย แต่วันถัดไปได้ปั่นแน่ วันเสาร์ไง งานของ UN แต่คงปั่นแค่ขำขำเสียมากกว่า ยังไม่รู้เลยว่าจะเอาคันไหนไปดี ใจอยากพาลูกไปปั่นด้วย แต่ยังหารถที่เหมาะสมกับตัวเขายังไม่ได้เลย
Title: Re: ตค 52
Post by: O'Pern on October 31, 2009, 02:50:00 pm
30 ตค 52
   เอากระเป๋าใส่จักรยานของรถพับ KHS มาลองใส่รถดู ตั้งแต่ซื้อมาเกือบปี ไม่เคยลองเลย นี่ใกล้จะได้ใช้บริการของมันแล้ว เลยขอซ้อมสักหน่อย
   หึหึ เอาแล้ว ยัดไม่ลงครับ ลองพลิก ลองหมุนต่างๆ นานา เลยได้ข้อสรุปว่า มันอาจออกแบบมาสำหรับรุ่น T3 ก็เป็นได้ เพราะรถผมมีทั้งแร็คหน้าหลังที่เป็นตัวเกะกะชิ้นใหญ่ รองลงมาก็คือขากระติกน้ำ ไอ้รถคันนี้ของผมมันใส่กระติกได้ 2 ใบ ก็เลยยิ่งเพิ่มความเกะกะขึ้นเป็นทวีคูณ
   อืม ใส่ไม่ได้ แล้วทำไงดีล่ะ จะเดินทางอย่างไรกันดีล่ะนี่ คงต้องหาสายการบินที่เขารับเช็คอินแบบไม่ต้องแพ็ครถเสียแล้ว คงต้องเป็นสายการบินมีชื่อเสียงหน่อย แน่นอน ค่าตั๋วแพงกว่าพวก Low Cost เยอะ
   มีอีกทาง คือหากระเป๋าแบบ Hard Case มาใส่มันซะ แต่นั่นมันเหมาะสำหรับลงเครื่องแล้วใส่แท๊กซี่ มันคนละสไตล์กับผม ผมชอบแบบลงเครื่องแล้วกางจักรยานแล้วลุยได้เลย
   เออ พบกับความประหลาดที่เวป Trekkingthai ผมสมัครสมาชิกไว้นาน เข้าไปโพสบ้างเป็นระยะ ล่าสุดมีคนมาโพสถึงถนนสายหนึ่งที่นักจักรยานทัวริ่งทั่วโลกเขาชอบ และมีลงท้ายว่าสอบถามรายละเอียดได้ตามเบอร์โทร ผมเลยโพสถามเขาไปตรงๆ ว่า “ขายทัวร์หรือครับ ถ้าขายก็ขอรายละเอียดด้วย สนใจ อะไรทำนองนี้ และตามด้วยวิเคราะห์ภาพที่เขาโพส คือถนนมันมีแต่หินก้อนใหญ่ๆ บางภาพก็ดูแห้งแล้ง (หรืออาจหนาว) ไม่มีต้นไม้สักต้น ผมโพสว่าถนนอันตราย ร้อนจัด (หรืออาจหนาวจัด) ควรใช้ยางแบบ Off Road อะไรทำนองนี้ ไม่น่าเชื่อว่าผมอาจไปปีนเกลียวขาใหญ่ของเวปเขาเข้า ล่าสุดผมโดนแบน โดนถอนสมาชิกเวปไปเลย ฮ่าๆ
   ไม่ได้โกรธอะไรหรอกครับ แค่แปลกใจ โกรธผมหรือที่ถามตรงไปหน่อย หากคิดบวกก็น่าจะมาลงโปรแกรมทั่วร์ไปเลย ให้คนที่สนใจอ่าน จะยิ่งกระตุ้นต่อมอยาก
   บล็อคผมไว้ ก็สมัครใหม่ก็ได้ ฮ่าๆ ใช้ชื่อเดิมนี่แหละครับ ไม่ต้องทำตัวหลบซ่อน ที่สมัครน่ะ ไม่ใช่อะไรหรอกนะ เพราะมันสะดวกตอนตอบกระทู้ ไม่ต้องมาคอยพิพม์ลงชื่อ ลงอีเมลล์ และใส่ตัวเลข ฯลฯ ผมต้องการแค่ความสะดวกอย่างเดียวนี่แหละครับ
   บ่ายมีช่างทำตกแต่งภายในบ้านมานั่งคุย แลกเปลี่ยนไอเดียกันอยู่นาน ผมต้องการให้เขาเข้าใจรูปแบบงานของผม ต้องการห้องที่ไม่ธรรมดา ชอบแบบเรียบง่าย เน้นที่วัสดุที่แปลกใหม่ แต่ยังคงคอนเสปเดิมคือทำของเรียบง่ายให้ดูดี และแพงอย่างมีเหตุผล
Title: Re: ตค 52
Post by: O'Pern on November 03, 2009, 03:03:45 pm
31 ตค 52
   วันนี้ไปงานของ UN ตื่น 0430 ออกจากบ้านตี 5 ปั่นแบบมืดๆ เลยไปช้าๆ ไฟหน้าเป็นแค่ LED ดวงเล็กจิ๋วเดียว แต่ไฟท้ายนี่สิ เจิดจ้าเลย
   พอเข้าถนนใหญ่ก็เริ่มเจอชาวจักรยาน มีครบทุกรสเลย เสือหมอบ MTB และ Mini เขาแซงผมไปกันหมดแหละครับ ผมปั่นมาแบบช้าๆ ความเร็วสัก 20 เห็นจะได้
   มองไปเห็นรถคันหน้าเป็น Mini คนขี่เขาสะพายเป้โปรดระวังจักรยานที่งาน Car Free Day เขาแจก แต่พี่คนนี้เขาสะพายแบบกลับหัวครับ มันเป็นเป้แบบเชือกรูดไง เจ้าของคงรีบ หยิบฉวยได้ก็สวมแขนซะ ผมเห็นเข้าเลยเร่งความเร็วไปบอกเขา
   ปั่นเช้ามืดแบบนี้ชอบมากเลย ตลอดข้างทางเห็นร้านขายเหล้า บางร้านยังไม่ปิดก็มี คนกินก็คือเขายังไม่ได้นอน ต่างจากผมที่นอนเต็มอิ่ม และตอนนี้กำลังออกกำลังกาย
   เห็นคนกวาดถนนกำลังกวาดขยะริมถนน ผมแปลกใจว่าทำไมมันถึงมีขยะได้มากเพียงนี้ ทั้งๆ ที่เป็นถนนใหญ่ หรือว่าตอนกลางคืนจะมีแผงลอยมาตั้งขาย และทำความเลอะเทอะทิ้งไว้
   ผมว่าชาวจักรยานอย่างเราควรขอบคุณคนกวาดถนนอย่างมากครับ เพราะช่วยเก็บกวาดผิวถนนเสียจนเรียบร้อย มีน้ำท่วมขังก็ช่วยกวาด แต่ที่ผมรู้สึกขอบคุณมากที่สุดก็คือเขาช่วยเก็บเศษแก้ว เศษขวดแตกที่พวกมักง่าย พวกขี้เมา เขาทิ้งไว้ข้างทาง ลองนึกดูครับ หากไม่มีเขาช่วยเก็บเศษแก้ว เราจะปั่นจักรยานกันได้นานสักเพียงใด
   อีกพักเดียวก็มาถึงถนนราชดำเนิน โอ้โห นักวิ่งเต็มถนนเลย ชาวจักรยานก็ทะยอยกันมา ผมไม่รู้จุดนัดพบ เลยปั่นตามๆ รถคันหน้าเขาไปเรื่อยๆ
   มาถึงก็รีบไปลงชื่อรับเสื้อ ผมไม่แน่ใจเจตนาในการแจกเสื้อของเขาครับ คือต้องการให้เราสวมขณะปั่น หรือต้องการให้เราแค่เก็บเป็นที่ระลึก หรือทั้งสองอย่าง โดยส่วนตัวผมพอได้รับแจกก็รีบสวมใส่ทันที
   เจอเรื่องแปลก มีพี่คนหนึ่ง มาถึงงานไม่พบชื่อตัวเอง แต่โวยวายว่าลงทะเบียนแล้ว เจ้าหน้าที่บอกไม่มีชื่อก็คือไม่มีเสื้อ แต่เขาไม่ยอมรับ โวยวายเสียงดัง ยืนยันจะขอเสื้อให้ได้ ผมอยู่ใกล้ๆ พอดี ตอนนั้นยังไม่ได้สวม กะจะยกของตัวเองให้ จะได้เงียบๆ กันเสียที รู้สึกอายคนอื่นเขาเหลือเกินที่มาทะเลาะกันเพราะเสื้อยืดแค่ตัวเดียว
   ราว 0715 ก็ปล่อยขบวนจักรยานครับ ปั่นไปสัก 10 กม วนกลับมาที่เดิม ระหว่างทางผมเห็นคุณลุงท่านหนึ่งนอนกับพื้น มีคนช่วยปฐมพยาบาลเต็มไปหมด ไม่รู้ว่าเป็นลมล้ม หรือว่าค่อยๆ นอนลงเอง ผมหวังให้เป็นอย่างหลัง
   เข้าเส้นชัยพร้อมรับแจกเหรียญที่ระลึกก็จบงานครับ ปิดงานราว 0800 เคลียร์ได้เร็วมาก แดดเริ่มแรงมองหาใครรู้จักก็ไม่พบ เจอที่หน่อง Simpleway ที่มากับ Brompton คันใหม่เอี่ยม เลยคุยกันสักพักสั้นๆ แล้วก็แยกย้ายกัน
   อ้อ เราสามารถนำป้ายเบอร์ที่ติดเสื้อไปรับแจกชุดอาหารเช้าได้นะครับ คนเยอะหน่อยก็ต่อคิวกันไป มีการมาแทรกแซงคิวกันตามสไตล์ไทยๆ อย่าไปคิดอะไรมาก บ้านเรายังไม่พัฒนาก็เป็นแบบนี้แหละ
   ผมปั่นกลับบ้านโดยใช้เส้นทางเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา ปั่นไปทาง เทเวศ บางลำพู ท่าพระอาทิตย์ สวนสันติชัยปราการ ทะลุเข้าธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ท่าเตียน ปากคลองตลาด ข้ามสะพานพุทธเข้าฝั่งธน ปั่นอ้อมไปทางถนนเจริญนคร แล้วค่อยวกเข้าบ้านที่พระราม 2 รวมระยะทางตั้งแต่ออกจากบ้านราว 40 กม
   ตอนบ่ายนี้แดดแรงจัดเป็นบ้า ต่างจากตอนเช้าที่เย็นสบายดีเหลือเกิน ขากลับผมแสบตาอย่างมาก เพราะดันไปทาครีมกันแดดแบบรีบๆ คงจะทาเยอะเกินไป หรือไม่ก็ใกล้รอบดวงตา มันเลยแสบๆ รู้สึกอยากหลับตา แต่ปั่นจักรยานแล้วหลับตาไม่ได้ ฝืนๆ ทนๆ ไปจนถึงบ้าน ถึงได้ล้างออก ค่อยสบายหน่อย
   วันนี้ปั่นไม่เยอะเท่าไหร่ แต่รู้สึกเพลีย สงสัยจะตื่นเช้า และไม่ค่อยได้กินอะไร กลับมาบ้านเจอหมูย่างข้าวเหนียวเหลืออยู่ เลยจัดการซะ