racing-club.net

Bike Forum => my bike diary / my life diary => Topic started by: O'Pern on April 01, 2009, 07:28:52 pm

Title: เมษ 52 13-15 เกาะช้าง / 24-28 Japan Alpine
Post by: O'Pern on April 01, 2009, 07:28:52 pm
1 เมษ 52
   เช้านี้หยุดปั่น เพราะวันนี้ต้องไปส่งมิวเรียนพิเศษภาคฤดูร้อน โรงเรียนของมิวเขาไม่เหมือนโรงเรียนทั่วๆ ไปครับ สอนแบบเล่นสนุกเสียมากกว่า เป็นการเตรียมความพร้อมให้แก่เด็กๆ ก่อน จะมาเริ่มเรื่องวิชาการก็ตอนประถมโน่นเลย ต่างจากโรงเรียนอื่นๆ ที่อนุบาลเขาก็อ่านเขียนกันเป็นแล้ว
   ไม่ต้องตื่น 0430 แล้ว ดีใจมากเลย รู้สึกนอนสบายดีจริงๆ ไม่ต้องตั้งนาฬิกาปลุกเหมือนเช่นเคย แต่เช้ามาก็เหงาๆ หน่อยนะ ไม่มีอะไรทำ เลยเอาจักรยานมาตรวจสภาพ พบว่ายางเบรกหลวม และนอทยึด Stem ก็หลวม นอกนั้นโอเคดีหมด
   กลางวันไปร้านแสงเพชร หาซื้อยางนอก ตอนแรกกะจะเอาขนาด 1.25 แต่จับดูแล้วเนื้อยางบางมาก เลยเอาเบอร์ 1.50 เหมือนเดิมมาใช้ดีกว่า เนื้อหนาหน่อย ยอมหนักนิด แต่ก็จะทนต่อการทิ่มแทงจากเศษแก้วและของมีคมริมถนนได้ดีกว่า
   อ้อ คราวนี้ผมใจถึงเล่นยางสลิคเลยนะ สลิคในความหมายของผมก็คือไม่มีดอกเลยนะ เคยอ่านในเวปมีคนเข้าใจไปต่างๆ นานาว่าสลิคคือดอกยางทางเรียบ คือมีดอกลายๆ ไม่ได้เป็นตะปุ่มตะป่ำ คำว่าสลิคมันแปลทำนองว่าเรียบ กลมมน อะไรทำนองนั้น ถ้าเป็นยางที่มีดอกลายๆ อยู่บ้าง แบบนั้นเขาจะเรียกว่าแบบ Street หรือ Road เสียมากกว่า
   สองจิตสองใจเหมือนกันครับว่าจะลองสลิคดีไหม ไม่เคยมาก่อน กลัวกลิ้งเหมือนกัน แถมจะเอาไปใส่รถ KHS HT คันใหญ่เพื่อนยากของผม จอดนิ่งมานานเป็นเดือนละ คิดถึงมันเหมือนกันนะครับนี่
   ตัดสินใจเลือกเพราะเป็นยีห้อ Vittoria ของอิตาลี และคำว่า Made in Thailand ครับ ผมเป็นคนชอบสินค้าไทย แต่ของให้เป็นสินค้าดี คุณภาพดี พวกของไทยแต่ทำห่วยๆ ทำลวกๆ แบบนี้ไม่สนับสนุนครับ โดยเฉพาะพวกไทยหลอกไทย อันนี้แสบมาก เพิ่งรู้เหมือนกันว่า Vittoria เขาผลิตกันในไทย และประกาศความเป็นไทยด้วยการพิมพ์ Made in Thailand ทั้งที่กล่องตัวโตๆ และที่แก้มยางครับ เจ๋งดี่ว่ะ ชอบๆ
   อ้อ เป็นยางขอบพับด้วยนะครับ ชอบตรงนี้แหละ เพราะเผื่อต้องมีการหอบหิ้วพกพาไปไหนด้วยก็ทำให้สะดวกขึ้นหน่อย เผื่อไว้ตอนเดินทางไปกับทริปทัวริ่งเขาน่ะครับ
   ยางเส้นนี้มีชื่อรุ่นว่า Rubino Pro Slick ด้านในกล่องมีสติกเกอร์อันเล็กแถมมาให้ 2 ชิ้น พร้อมคู่มือเป็นแผ่นกระดาษพับมา
   ตกเย็นพอมีเวลาว่าง เลยเอายางมาใส่ โหหห สุดยอดเลยคุณเอ๋ย ผมไม่เคยใส่ยางอะไรยากเย็นขนาดนี้มาก่อนเลย ต่อให้เป็นยางขอบลวดก็เถอะ งัดแป๊บเดียวก็จบ แต่ไอ้นี่ยางขอบพับแท้ๆ ซึ่งปกติยางขอบพับมันแทบจะใส่ได้โดยไม่ต้องใช้เครื่องมืองัดเลยด้วยซ้ำไป มันเกิดอะไรขึ้นกับยางของผมวะนี่ มันเหมือนกับว่าทำมาสำหรับขนาด 25.5 อย่างนั้นแหละ ทั้งๆ ที่แก้มยางก็เขียนว่า 26 นี่หว่า งัดแรงๆ ก็กลัวก้านงัดยางจะหักคามือเหมือนของ Zefal อันเก่า อันใหม่นี้เป็นของ Beto ครับ ลองของถูกๆ ดูบ้าง ใช้ของแพงแล้วพังนี้น่าเสียดายจริงๆ
   ปล้ำอยู่นานครับ งัดๆ แรงๆ ก็กลัวก้านงัดยางหัก เลยถอดออกมาแล้วใส่ใหม่อยู่สองสามรอบ สุดท้ายก็ต้องงัดแรงๆ อยู่ดี ใจหนึ่งคิด เอ๊ะ ยางเส้นนี้มันผิดปกติหรือเปล่าหว่า เอ๊ะ หรือว่ามันเป็นยางไทย คือผมไม่ค่อยเห็นแบรนด์อินเตอร์ทำในไทย แถมขายในไทยอีกด้วย ที่จริงน่ะสินค้าในโลกดังๆ หลายอย่างล้วนทำในไทย แต่เป็นการทำเพื่อส่งออกเท่านั้น
   งัดมันจนเข้าได้แหละครับ เจ็บมือไปหมดเลย แต่พอใส่กับรถแล้วสวยมากๆ เลย ผมว่ามันดูสวยกว่าพวกใส่ยางเล็กๆ อย่างเช่นขนาด 1.0 หรือ 1.25 เสียอีก ยาง 1.50 นี้มันอ้วนๆ กลมๆ ดูน่ารักดี สรุปว่าชอบยางหน้าตาแบบนี้ แต่ยังไม่รู้ว่าชอบยี่ห้อนี้ไหมนะ เอาไว้ขอลองปั่นดูก่อนค่อยว่ากันอีกที
   นี่ขอให้มันใส่ยางเฉพาะแค่ครั้งแรกนี้ล่ะ เพราะถ้ายางแตกกลางทางแล้วเจอยางถอดใส่ลำบากขนาดนี้เห็นทีจะยิ่งเหนื่อยนะครับนี่
   ยางเส้นนี้สามารถทนแรงดันได้สูงสุดถึง 90 ปอนด์/ตารางนิ้ว เชียวนะ เกือบจะเป็นแบบพวก High Pressure แล้วนะครับนี่ ด้านแก้มยางก็เสริมความแข็งแรงด้วยไนลอน 120 เส้น (ต่างจากรุ่นล่างๆ ที่เสริมไนลอน 60 เส้น และรุ่นท๊อปจะมีไนลอนสูงถึง 290 เส้น – หากผมอ่านเสปคแล้วตีความผิดพลาด ขออภัยครับ) ยางเป็นสีแอนทราไซต์ (ดำมัน) แอนทราไซต์นี้เป็นชื่อของถ่านหินชนิดหนึ่งที่มีสีดำออกเงาๆ มันๆ ครับ
Title: Re: เมษ 52
Post by: O'Pern on April 02, 2009, 06:00:08 pm
2 เมษ 52
   เช้านี้ผมไม่ได้ออกปั่น เพราะต้องไปส่งมิวเรียนซัมเมอร์ แต่ตัวเองตื่นตั้งแต่ 0430 ตื่นเองอัตโนมัติ นาฬิกาชีวิตของผมมันจดจำเวลาได้เองแล้ว คิดแล้วพรุ่งนี้เช้าออกปั่นดีกว่า แม้จะทำได้ไม่ถึง 50 กม เหมือนเช่นเคย เพราะต้องรีบกลับบ้าน แต่เอาสัก 20-30 กม ก็น่าจะเป็นเรื่องดี ยังไงก็ดีกว่าอยู่เฉยๆ แน่
   เมื่อวานพอใส่ยางสลิคเสร็จก็ลองปั่นเล่นในบ้าน นั่งเบาะแล้วเจ็บก้นเลยล่ะ เพราะเป็นเบาะแบบแข็ง ก้นตัวเองคุ้นเคยกับเบาะนุ่มนิ่มของ F20-W เสียแล้วกระมัง
   ผมเริ่มมองหากางเกงจักรยานมาสักพัก ชอบใจผลิตภัณฑ์ของ Fox นะ หาในเวปมีคนขายหลากหลายราคา 980 บ้าง 800 กว่าบาทบ้าง มีการเปิดเป้า เปิดป้าย Fox ให้ดู บอกตามตรงครับว่าสงสัยเหลือเกิน เพราะทำไมในเวปมีขาย แต่ร้านจักรยานไม่มีขาย ไปถามร้าน Dirt Shop ที่เป็นตัวแทนผลิตภัณฑ์ Fox อย่างเป็นทางการแต่ผู้เดียวในประเทศไทย เขาก็ยังไม่มีกางเกงจักรยานขาสั้นขาย จะมีก็เป็นกางเกงลำลองเท่านั้น
   หรือในเวปเป็นพวกไทยหลอกไทยอีกแล้ว ขายของปลอมน่ะไม่ว่ากัน แต่ก็บอกกันหน่อยสิน่าว่าปลอม
   หรือจะเป็นบาปบริสุทธิ์คือคนขายก็โดนหลอกมาอีกทอดหนึ่ง เลยมาหลอกต่อแบบไม่ตั้งใจ (อันนี้ผมคิดเข้าข้างแบบสุดๆ เลยนะ)
   ผมเคยใช้แต่กางเกงจักรยานของ Nalini ครับ เป้าเป็นหนัง ไม่เคยใช้แบบฟองน้ำเลย ผมว่าเป้าหนังมันดูน่าจะนุ่มสบายกว่า แต่ที่เห็นชัดคือดูภายนอกสวยกว่าครับ มันไม่ได้เป็นแผ่นหนาๆ เหมือนพวกฟองน้ำ ใส่แล้วเป้ากางเกงไม่โดดเด่นมากนัก    ปั่น KHS HT ครั้งแรกรู้สึกไม่คุ้นอย่างมาก ช่วงรถผิดไปจาก KHS F20-W อย่างมาก ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนนี้ก็ขี่เจ้าคัน HT นี่แหละไปทริปค้างคืนที่อัมพวา ไปได้อย่างสบายๆ ด้วยซ้ำ
   ในเมื่อไม่คุ้น ก็ต้องปรับเซ็ทติ้งใหม่ครับ เริ่มจากเลื่อนเบาะให้ตำแหน่งหัวเข่าตรงกับปลายเท้าตามสูตรของผม อันนี้เป็นเซ็ทติ้งแบบรถซิ่งนะ แต่ถ้าอยากสบายก็ต้องเลื่อนเบาะถอยหลังนิด ให้หัวเข่าถอยหลังออกมาหน่อย พร้อมกับปรับ Stem ยกขึ้นสัก 10 องศา จะทำให้ขี่ทางไกลสบายมาก ตอนปรับ Stem ขึ้น อย่าลืมพลิกแฮนด์หมุนให้มันพอดีกับองศาข้อมือด้วย มิฉะนั้นอาจมีอาการนิ้วชามาเยือนได้ง่ายๆ เพราะตำแหน่งข้อมือ และข้อศอกผิดพลาดครับ
   อาการนิ้วเท้าชาก็เช่นเดียวกันครับ เกิดจากมุมเข่า สะโพก และหลังที่ผิดพลาด แต่เรื่องพวกนี้แก้ไขง่าย แค่ปรับเลื่อนเบาะนิดหน่อยก็หายแล้ว
   ความยาวของขาจานก็สำคัญครับ คนสูงไม่ถึง 170 จะเหมาะกับขาจานยาว 165 แต่มันหาของได้ยากเหลือเกิน เลยทำให้ต้องใช้ขาจานที่ยาวเกินสเปคกับช่วงขาตัวเอง ลำพังใช้ปั่นน่ะปั่นได้ครับ ไม่มีปัญหา แต่สำหรับคนเล่นรถทัวริ่งตัวจริงแล้วผมไม่แนะนำครับ เพราะพวกนี้ปั่นกันทั้งวัน และไปกันหลายวัน เลือกของให้เหมาะกับสรีระตัวเองจะดีกว่า
   ถึงตรงนี้ผมอยากเขียนทฤษฎีใหม่ครับว่า ความยาวขาจาน น่าจะสัมพันธ์กับความสูงของผู้ขี่ และมีโอกาสเป็นไปได้ที่ความยาวขาจานควรจะเท่ากับความสูงของผู้ขี่ด้วยซ้ำไป (นับเฉพาะผู้ขี่ที่สมส่วนนะครับ พวกขาสั้น แขนยาว ตัวยาว พวกนี้ไม่นับ ไปบวกลบชดเชยกันเอาเอง)
   ช่วงเย็นผมเตรียมความพร้อมให้กับจักรยานคัน KHS HT ด้วยการเตรียมอุปกรณ์ยังชีพพื้นฐาน อันได้แก่ ยางใน ชุดปะ ไฟหน้า ไฟท้าย และเงินอีกเล็กน้อย แต่เซ็ทติ้งของผมชุดนี้มันออกจะประหลาดสักหน่อย เพราะยางหน้าเป็น Kenda Kwest ลมยาง 65 psi ส่วนด้านหลังเป็น Vittoria Rubino Pro Slick แรงดั้นลมยาง 80 psi (ยางทนแรงดันสูงสุดได้ถึง 90 psi)
   ตรวจเช็คอุปกรณ์ไปเรื่อยๆ พบว่ากระโหลกหลวมครับ อันนี้จริงเจ้าคันนี้กระโหลกหลวมมานานเป็นปีแล้ว แต่มันหลวมนิดเดียว ไม่ได้สนใจเสียนาน จนวันนี้เริ่มหลวมเยอะขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง พอปั่นไหว ไม่น่าเกลียดเท่าไหร่ ที่ไม่ได้ไขให้มันแน่นก็เพราะผมไม่มีเครื่องมือครับ ฮ่าๆ
   รถคันนี้ผมมีเพียงแค่แร็คหลังครับ แถมเป็นแร็คสำหรับ Child Seat ของ Giant ที่เอาไว้ให้ลูกนั่งเล่นตอนเด็กๆ ถอดเก้าอี้ออกนานแล้ว แต่ยังเก็บแร็คไว้เผื่อตอนออกทัวริ่ง อ้อ ทริปอัมพวาที่ใช้ Pannier ของ Ortlieb เหน็บไปสองใบ ก็ยึดกับแร็คอันนี้แหละครับ เป็นแร็คเหล็กธรรมดาๆ หน้าตาเชยๆ ผมเห็นยังพอใช้ได้ ก็ใช้ไปก่อน แต่ถ้าให้ซื้อใหม่ ผมอยากได้แร็คแบบสองชั้น และชั้นล่างนี้อยู่ถอยค่อนไปด้านหลังสักหน่อย เป็นแร็คที่ออกแบบมาให้ใส่ Pannier สำหรับ MTB ล้อ 26 ครับ ใส่แล้วกระเป๋าไม่ค่อยชนกับส้นเท้าตอนปั่น ในไทยยังไม่เห็นมีใครเอามาขายเลย ไว้ไปต่างจังหวัดจะด้อมๆ มองๆ ดูสักชุด
   เล่าถึง Ortlieb นี้เขายังมีกระเป๋าใต้เบาะ และกระเป๋าหน้าแฮนด์ขายอีกนะ แต่ผมดูทรงแล้วไม่ชอบเอาเสียเลย กระเป๋าใต้เบาะนั้นช่างเล็กและใส่ของได้น้อย ส่วนกระเป๋าหน้าแฮนด์ก็ยังไม่สวยถูกใจนัก แถมเปิดออกมาแล้วลักษณะเหมือนกล่องพลาสติคราคาถูกๆ เลย น่าจะมีบุหุ้มอะไรสักนิด กระเป๋าทั้งสองกันน้ำได้อย่างดีสไตล์ Otrlieb ครับ อ้อ ราคาแพงตามสไตล์เขาด้วยแหละครับ อันละเป็นพันเลยล่ะ
   ส่วน Pannier ข้างนี้ผมยอมเขาเลย เพราะออกแบบได้ดีจริงๆ มีหูหิ้วแบบปลดเร็วมาให้ อันนี้เวิร์คสุดๆ ใช้เวลาปลด Pannier แค่ไม่ถึงช่วงกระพริบตา แถมใช้มือเดียวทำได้สบายๆ สุดยอดเหลือเกิน
   ในเวปดังอย่าง thaimtb มีคนหิ้วของ Ortlieb มาขายบ้างเหมือนกันครับ แต่ขอบอกว่าแพงกว่าที่ผมซื้อจาก Pro Bike เสียอีก
   โดยปกติร้าน Pro Bike จะขายของแพงมากครับ แต่ผมก็ยังอุตส่าห์ไปเป็นลูกค้าเขาอยู่หลายครั้งหลายหน ซื้อทั้งๆ ที่รู้ว่าสามารถหาที่อื่นได้ถูกกว่า นั้นก็เพราะผมอยากให้ร้านเขามีกำไร อยากอุดหนุนเขาว่างั้นเถอะ เขาจะได้อยู่ได้ นั่นก็จะส่งผลทางอ้อมกับชาวจักรยานทั่วไปให้มีร้านดีๆ ไว้เดินเล่น
   ลองคิดดูในทางกลับกัน หากมีแต่คนไปเดินดู ไม่ซื้อสักชิ้น ไม่ซื้อสักคน นานเข้าร้านเขาก็ต้องปิดหน้าร้านไป อาจเหลือแต่แค่ขายส่งหลังร้านอย่างเดียว
   แต่ผมชอบบรรยากาศร้าน Pro Bike ที่ย้อนกลับไปสมัยสิบกว่าปีก่อนโน้นมากกว่าครับ คุณนทีมาคุมร้านเองอยู่บ่อยครั้ง แก้ไขปัญหาให้ลูกค้าได้ทันท่วงที บางครั้งมีฝรั่งเข้าร้านมาสองคน คุณนทีรับไปคนหนึ่ง เหลืออีกคนผมก็เข้าไปช่วยคุยช่วยขาย สนุกดีเหมือนกัน แม้จะไม่ได้ช่วยอย่างเป็นทางการ แต่แค่เพื่อนคุยก็ทำให้ลูกค้าเกิดความประทับใจได้แล้วล่ะครับ
   พนักงานรุ่นเก่าๆ มักจะคุ้นหน้ากันอย่างดี ปัจจุบันผมคุ้นแค่ไม่กี่คนเอง มีลุง มีคุณหวาน คุณเหน่ง คนอื่นผมเจอก็ได้แต่ส่งยิ้มให้ ทักทายแค่สวัสดีครับ เขายังทำหน้างงๆ เหมือนกับว่า มาสวัสดีฉันทำไม ฮ่าๆ ไม่เป็นไร ไมตรีมีแต่ให้ครับ ผมไม่เคยคาดหวังอะไรตอบแทน
Title: Re: เมษ 52
Post by: O'Pern on April 04, 2009, 05:02:06 pm
3 เมษ 52
   เมื่อคืนฝนเทลงมาอย่างหนักครับ ตั้งแต่ 0800-1000 ฟ้าร้องเสียงดังน่ากลัวมาก สัญญาณเคเบิ้ลทีวีล่มตามปกติวิสัย ต้องเสียบสายอากาศทีวีธรรมดาดูแทน แต่แป๊บเดียวก็ต้องปิด กลัวฟ้าผ่าใกล้ๆ แล้วจะมีไฟวิ่งเข้ามาในสายเมนบ้านผม มันทำให้ทีวีพังได้ง่ายๆ อ้อ คอมพิวเตอร์ก็ด้วยครับ    เคยโดนมาแล้วกับทีวี และวิทยุสื่อสาร แม้จะไม่พังเสียทีเดียว แต่เล่นเอาภาครับเพี้ยนไปเลย
   
ตื่นเองราว 0430 ตามเวลาเดิมเป๊ะ ตื่นก่อนนาฬิกาปลุกนิดหน่อย แต่ไม่ได้ออกไปปั่นจักรยานครับ เพราะต้องมีน้ำท่วมขัง และเจิ่งนองตามทางเป็นระยะๆ แน่ โดยเฉพาะเส้นทางในสวนที่ผมมักผ่านไปเป็นประจำ 
   เลยออกกำลังกายแบบบริหารแทนครับ บิดตัวไปมา ยืดเส้นให้ทั่วร่าง มีเวลาว่างเลยทำน้ำมะละกอคั้นกิน ทำอาหารเช้าแบบง่ายๆ กิน เอาพริกหวานหลายๆ สีมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่หอมใหญ่ และใส่เนื้อไก่ ผัดรวมกันแค่นี้ก็เสร็จ ทานกับไข่เจียวสองฟอง แต่คัดเอาไข่แดงออก 1 ฟอง ทอดไข่ด้วยน้ำมันมะกอก
   สายๆ มีน้ำเต้าหู้อีก 1 ถ้วย พร้อมกับถั่วลิสงต้ม มื้อเช้าเล่นเสียเยอะขนาดนี้ กลางวันผ่านไปได้อย่างสบายมาก บ่ายผมไปรับลูกที่โรงเรียน มีธุระโอนเงินที่ธนาคารนิดหน่อย เลยให้มิวไปจัดการ สอนให้เขารู้จักขั้นตอนพิธีการต่างๆ ให้เรียนรู้จากสถานการณ์จริง หากลูกอยู่กับผม เขาจะได้เรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัว ไม่ว่าจะอยู่สถานที่ใดก็สามารถสอนลูกได้ทุกที่
   ตกเย็นสิ มีของกินเพียบเลย หยิบ พ่อกลับมาบ้านเอาหมูสะเต๊ะมาฝากอีกด้วย เห็นมีแตงกวาเหลืออยู่เกือบเต็มถ้วย เลยซัดซะหมดเกลี้ยง แหม วันนี้ออกจะเกินพิกัดไปหน่อยนะนี่ ไม่รู้เป็นอะไร หากไม่กินอะไรก็ไม่ค่อยหิวนะ แต่พอกินนิดหน่อยเท่านั้นแหละ มันรู้สึกเหมือนจะยิ่งติดลม คล้ายกับรู้สึกเหมือนอดอยากปากแห้งอะไรทำนองนั้น
   เย็นยืดเส้นยืดสายทั่วร่างกายอีกครั้ง หากคืนนี้ฝนไม่ตก พรุ่งนี้เช้าคงได้เอารถใหญ่ออกลองยางสลิคแน่ๆ
Title: Re: เมษ 52
Post by: O'Pern on April 04, 2009, 07:19:01 pm
4 เมษ 52
   ตื่น 0430 ขึ้นมาก็เจอท้องฟ้าแล่บ แปล๊บๆ โห แบบนี้ไม่รอดแน่เลย ตื่นมาดูพื้นเห็นน้ำเจิ่งนองเต็มไปหมด ว้า.. อดปั่นอีกละ
   ปล่อยไว้แบบนี้ไม่ดีแน่ครับ จะออกกำลังกายทีต้องคอยฟ้าคอยฝน ผมต้องหาวิธีทำอะไรสักอย่างแล้ว
   ตกลงนี้เลยไม่ได้ปั่นจักรยานมา 3 วันเข้าไปแล้ว
   บ่ายผมไปรับรถยนต์ที่ศูนย์บริการ ถนนพระราม 3 แต่ไม่ได้ขี่จักรยานไปเหมือนเช่นทุกที เพราะท้องฟ้าครึ้มๆ หากฝนเทลงมาคงยุ่งกันใหญ่ เลยนั่งแท๊กซี่ไป โห ระยะทางแค่สิบกว่าโลกระมัง ตั้ง 97 บาท รถก็ไม่ค่อยติดเท่าไหร่ คิดแล้วเสียดายเงินจริงๆ เพราะปั่นจักรยานนั้นแสนจะสนุก แม้จะต้องทนร้อนสักหน่อยก็เถอะ
   พรุ่งนี้ที่บ้านผมเขาจะไปสระบุรีกัน มี้บ้านพักเล็กๆ ที่แถวมวกเหล็กครับ ระยะทางราว 180 กม อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 500 เมตร คิดเหมือนกันว่าจะลองปั่นไปดู น่าจะใช้เวลาสัก 9 ชม สำหรับมืออ่อนๆ อย่างผม ใจอยากเอารถพับไปลองเหมือนกันนะนี่ รู้ทั้งรู้ว่ามันสู้รถใหญ่ล้อ 26 ไม่ได้หรอก
   อีกอย่างคือรถ F20-W นี้ผมปั่นมาเสียคุ้นมือคุ้นเท้าแล้ว แถมมีตระแกรงหน้าหลังครบครัน หยิบจับของอะไรใส่ก็สะดวกไปหมด
   หากไม่มีอะไรผิดพลาด ผมจะออกจากบ้าน 0400 ใช้ความเร็วประมาณ 20 กม/ชม ผมน่าจะถึงที่มวกเหล็กสัก 0100 หรือ 0200 โดยที่ไม่นับกรณีหากรถมีเหตุให้หยุดพักในการซ่อมบำรุง
   คงต้องนอนเร็วแต่หัวค่ำ และเตรียมน้ำดื่มใส่กระติกไว้ 1 อัน เกลือแร่อีก 1 อัน แต่ไม่แน่เกลือแร่อาจไม่เอา แวะซื้อผลไม้สดๆ กินข้างทางน่าจะสดชื่นกว่า เราผ่านปั๊มน้ำมันตั้งเยอะแยะ ตามรายทางมีเป็นสิบๆ ปั๊มเลย
   เอาไงดีล่ะนี่ กลัวฝนตกอย่างเดียวนี่แหละ เฮ้อ… ถ้าปั่นๆ อยู่แล้วฝนเทลงมานี้มีเฮขนานใหญ่เชียวนะครับนี่
   เอาไงดีวะ เอาไงดีวะ เริ่มสับสน รถน่ะพร้อม คนก็พร้อม แต่สภาพอากาศนี่สิ แหม นี่ถ้าเป็นช่วงอากาศเย็นแบบตอนปลายปีก็ดีสินะ จำได้ว่าหนาวเย็นสุดๆ เลย
   เปิดเวปดู เห็นมีคนทำแร็คขาย อืม ไอเดียเข้าท่า ผมเองก็คิดจะทำออกมาเหมือนกัน แต่แร็คของผมมันเป็นแร็คพิสดารกว่าคนอื่นเขา มันเป็นแร็คอเนกประสงค์ ผมอาจชอบมันคนเดียวก็เป็นได้ ทำมาแล้วสงสัยขายไม่ได้แน่เลย ฮ่าๆ
   โต๊ะทำงานผมมีลูกโลกเล็กๆ ตั้งอยู่อันหนึ่ง นั่งดูมันทุกวัน ใจอยากลองปั่นรอบโลกกับเขาดูบ้าง แต่อีกใจก็ไม่อยากทำอะไรเดิมๆ เหมือนคนอื่นเขา คิดมุขใหม่ได้ แต่ยังไม่กล้าบอกใคร กลัวคนเขาว่าบ้า
   ช่วงเย็นมีคนมาซื้อจักรยาน Dahon Vitesse D5 ของผมไปแล้ว เป็นจักรยานที่ผมอยากขายให้แก่คนที่เหมาะสมเท่านั้น ผมจึงประกาศเฉพาะในเวปของ Racing Club มาหลายเดือน มีหญิงสาวมาดูรถ 2 ท่าน แต่ส่วนสูงไม่ถึง 170 เซน ผมจึงแนะนำให้เธอไปเล่นรุ่นอื่นที่เหมาะสมกว่า จนกระทั่งวันนี้มีชายตัวโตสูงใหญ่ ให้เขาลองปั่นดู เขาชอบ ผมจึงขายรถให้เขาไป
   แม้จะไม่ได้ใช้ แต่มันเสียดายเหมือนกันนะครับนี่ เป็น Dahon รุ่นเดียวที่มีบังโซ่ขนาดใหญ่มาให้จากโรงงาน ผมชอบใส่กางเกงขายาวปั่นจักรยานน่ะครับ
Title: Re: เมษ 52
Post by: O'Pern on April 06, 2009, 06:27:08 pm
5 เมษ 52
   ฝันสลายครับ ที่เตรียมการไว้ต้องยกเลิกทั้งหมด กลางคืนแม่มาบอกให้ช่วยเฝ้าบ้าน จะมีคนงานมาพาหมาที่บ้านผมไปหาหมอ หมาของผมไม่สบายครับ
   ทำได้แค่ตื่นเช้ามาปั่นเล็กๆ น้อยๆ อย่างไม่เป็นทางการ ไม่ถึง 10 กม ดี เอาคันรถยางสลิคไปครับ จากเดิมที่ใช้ยาง Kenda Kwest ขนาด 1.50 ตอนนี้มาเป็น Vittoria Rubino Pro Slick ขนาด 1.50 เท่าเดิม ผมดูที่แก้มยางเขาว่าทนแรงดันสูงสุดถึง 95 psi (จากเดิมที่ผมคิดว่าเป็น 90 psi) แรงดันเฉียดร้อยนี้เข้าใกล้ยางระดับรถเสือหมอบแล้วครับ นึกภาพไม่ออกเลยว่าหากยางแตกนอกบ้าน ผมจะใช้สูบมืออัดลมเข้าไปให้ได้ถึง 95 psi ตามสเปคได้อย่างไร (ยางพวกนี้เป็นยางแบบแรงต้านทานต่ำครับ ควรเติมลมให้อยู่ระดับสูงอยู่เสมอ แม้จะไม่สูงสุด แต่ก็ไม่ควรปล่อยให้แรงดันต่ำ เพราะจะกินแรงมาก)
   จากการลองปั่นแค่นิดๆ หน่อยๆ ไม่ได้ลากยาวกันเป็นชั่วโมง ผมยังไม่เห็นความแตกต่างระหว่างยางเก่ากับยางใหม่เท่าไรนัก แต่ที่มองดูด้วยสายตาจากภายนอก ผมว่ายางสลิคเส้นใหญ่ๆ มันอ้วนๆ น่ารักดี
   ตอนสายไปห้างเดอะมอลล์ ไปเฉพาะแค่ซูปเปอร์มาเก็ตครับ งวดนี้ผมเล่นผักสดผลไม้เพียบเลย ผักสารพัดสี พริกหวานทุกสี เห็ดอีกหลายอย่าง ที่ขาดไม่ได้คือชาเชียว และน้ำแอ๊ปเปิ้ลหมัก (Apple Cider Vinegar) ตบท้ายด้วยการซื้อสลัดกล่องใหญ่กลับมาทานที่บ้าน เลือกน้ำสลัดผสมวาซาบิและพริกไทยดำ รสชาติแปลกๆ ดี ทานอิ่มจนแน่นท้อง แต่กลับรู้สึกอยากกินของหวานๆ ต่ออีก ไม่รู้ทำไม เลยหยิบช็อคโกแลตดาร์คกินไปสามสี่ชิ้น
   บ่ายฟ้าครึ้มๆ อีกแล้ว เอาอีกแล้ว จะตกไหมนี่ ฝนตกผมไม่กลัว แต่กลัวไม่ได้ออกกำลังกายปั่นจักรยานนี่สิ ใจเริ่มคิดมองหาเทรนเนอร์มาเล่นกับเขาบ้างเหมือนกัน
Title: Re: เมษ 52
Post by: O'Pern on April 07, 2009, 02:43:30 pm
6 เมษ 52
   ฟ้าฝนเป็นใจ วันนี้เลยได้ออกปั่นทดสอบยางสลิคเสียที ได้แต่ลูบๆ คลำ ๆมาเสียหลายวัน วันนี้ได้อัดเต็มแรง ผมไม่เคยเติมลมยางมากขนาด 80 psi มาก่อนเลย โดยปกติใช้ยางธรรมดาก็จะมากสุดที่ 65 psi ใจจริงอยากเติมสัก 95 psi ตามสเปคเขา แต่สูบของผมมันรวนๆ ครับ บางจังหวะมันดันออกมาจนคันโยกเด้งอย่างแรงยืดสูงสุดเกือบจะทิ่มหน้าทิ่มตา ไม่รู้เป็นอะไรของมัน สูบของ Zefal ครับ ซื้อที่ Pro Bike อีกนั่นแหละ
   จากการลองแค่ 50 กม ผมเริ่มชอบยางตัวนี้เหมือนกันครับ ให้อัตราเร่งดี แต่แปลกที่ไม่ค่อยสะเทือนมากเท่าไหร่นัก ถ้าให้คิดหาเหตุผล ก็คงเป็นเรื่องซีรี่ส์ยาง ภาษารถยนต์เขาเรียกซีรี่ส์ ภาษาจักรยานคงจะเรียกแก้มยาง แก้มมันอ้วนๆ กลมๆ ไอ้ตรงนี้แหละครับ ที่มันทำหน้าที่เป็นระบบซับแรงสั่นสะเทือน ยางยิ่งแก้มหนาก็จะยิ่งนุ่ม แถมรถคันนี้ของผมเป็นเฟรมแบบโครโมลี่อีกด้วย เลยยิ่งนุ่มกันเข้าไปใหญ่
   ช่วงนี้ของชีวิตผมชอบเฟรมโครโมลี่อย่างมากครับ ใช้เฟรมอลูมินั่มแล้วรู้สึกกระด้าง ตกหลุมแล้วสะท้านมือเลย แต่ก็ยอมรับเรื่องความเบาว่ามันเบากว่า ใครชอบเบาๆ ก็ต้องยกให้เขาล่ะครับ ส่วนตัวผมชอบเฟรมนุ่มนั่งสบาย หนักกว่านิดหน่อยผมรับได้ ขนาดบรรทุกของเยอะแยะ ใส่กระเป๋าหลายใบ ผมยังเฉยๆ เลย
   ปั่นตอนเช้าได้พบ “เซท” เพื่อนเก่าอีกแล้ว วันนี้เขาเลี้ยวออกมาจากซอย ขณะที่ผมอยู่ทางตรง พอเห็นจักรยานพุ่งออกมาจากซอย ผมก็รู้ทันทีว่าเป็นเขา เพราะเซทมีเอกลักษณ์เด่นชัดคือตัวสูงกว่า 180 ซม ผมว่าเขาเป็นคนที่สูงสุดในย่านที่ผมอยู่นี่แหละ เอาเป็นว่าหากเห็นใครตัวโตๆ สูงๆ ผมมักจะสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นเซท และมักไม่พลาด
   เล่าเรื่องยางต่อ ยางตัวนี้ขนาด 1.50 แต่มันปั่นออกมาแล้วให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าเราใส่ยางขนาดเล็กลงครับ เหมือนกับยางเราเป็นขนาดสัก 1.25 คือมันลื่นดี กินแรงน้อย กดแล้วติดตีน ทำอัตราเร่งได้ดี ตามทฤษฎีแล้วผมจะสามารถทำความเร็วสูงสุดได้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
   แต่วันนี้กดไปแค่ 40 กม/ชม ครับ ยังไม่ค่อยคุ้นรถ (ของตัวเอง) นัก อ้อ วันนี้ผมใส่บันไดธรรมดาปั่นนะ ช่วงเข้าระยะทางที่ 45 กม ใกล้จะถึงบ้านแล้วผมมีอาการชาที่ปลายเท้าขวาครับ เมื่อก่อนสงสัย ไม่รู้เกิดจากอะไร เลยแก้ไม่เป็น มาตอนนี้ผมรู้แล้ว มันเกิดจากพื้นรองเท้านุ่มเกินไปครับ
   อาการปลายเท้าชานี้เกิดกับผมครั้งแรกเมื่อตอนไปทริปที่อยุธยากับ TCC ครับ แถมมีตะคริวกินตอนใกล้ถึงบางไทรอีกด้วย ระยะทางแค่ 2 กม แท้ๆ แต่ต้องจอดนั่งพัก มองพวกผู้หญิงตัวเล็กๆ ปั่นผ่านกันฉิวๆ ๆ เซ็งว่ะ
   ตอนนั้นผมยังไม่รู้เลยว่าพวกปั่นทางไกลน่ะ เขาต้องจิบน้ำเกลือแร่กัน ต้องจอดแวะพักกัน ผมปั่นตลอด แถมมีอัดแรงๆ อีกหลายช่วง ดูแลตัวเองไม่เข้าท่าเสียเลย
   หลังจากทริปนั้นมาก็เริ่มโง่น้อยลงครับ เรียกว่ามาถูกทางไม่โง่ซ้ำซาก หารองเท้าพื้นแข็งมาใส่ หาเกลือแร่จิบระหว่างทางทริปไกลๆ
   แต่ทำตามรุ่นพี่เขาบอกแค่แป๊บเดียว ผมก็เอาอีกแล้ว ค้นหาทฤษฎีตัวเองอีกแล้ว เริ่มมีการทดลองทดสอบว่าอะไรที่เหมาะแก่ร่างกายเราบ้าง เราอยากลดน้ำหนักด้วยนะ ไม่ได้ต้องการแค่ปั่นอย่างเดียว เราจะกินอาหารพวกคาร์โบไฮเดรตอย่างพวกนักกีฬาเขามากนักก็ไม่ได้
   ตกเย็นฝนลงอีกแล้ว เซ็งจัด
Title: Re: เมษ 52
Post by: O'Pern on April 08, 2009, 02:29:10 pm
7 เมษ 52
   ออกปั่น 0500 กับรถ KHS F20-W ด้วยเพราะเหตุผลว่ามันเป็นรถคันเดียวในบ้านที่มีบังโคลน เมื่อวานฝนตกหนักมาก อาจมีน้ำท่วมขังตามผิวถนน
   ช่วงแรกไม่มีอะไร ถนนแห้งดี แต่พอเข้าใกล้ในสวนเท่านั้นแหละ มีน้ำท่วมขังเป็นระยะๆ นี่ถ้าเอาคัน KHS HT มาคงเละไปหมดเป็นแน่
   อ้อ เมื่อวานขี่คัน HT ซึ่งเป็นเบาะแข็ง นั่งทีแรกแล้วรู้สึกเจ็บๆ ยังไงพิกล หรือก้นผมคุ้นเคยกับเบาะนุ่มของคัน F20-W ไปแล้ว วันนี้ลองนังเบาะนุ่มอีกที รู้สึกว่าชอบนะ แปลกดี ทั้งๆ ที่ตอนแรกผมไม่ชอบเบาะแบบนี้เลย มันหยุ่นๆ แปลกๆ แต่ตอนนี้ชอบตรงหยุ่นๆ นุ่ม ๆ นี่แหละครับ เออ เอากับเขาสินะ กลายเป็นว่าสรุปไม่ได้ว่าเบาะแบบไหนดี เอาเป็นว่าหากเราชอบ เราพอใจ นั่นแหละ ของดีแล้ว
จักรยานนี้มันทดสอบยากกว่ารถยนต์อีกหรือครับนี่ ผมขับรถยนต์ทดสอบมามากมาย ส่วนใหญ่ก็จะขับกันถึงลิมิทของรถคันนั้นๆ กันไปเลย คำว่าถึงลิมิทไม่ได้แปลว่าต้องอัดเร่งแรงสุดล่ะ ผมทำแบบนั้นกับรถบางคันที่เขาออกแบบมาเฉพาะ รถบางคันพลังที่แท้จริงของเขาอยู่ที่ 6500 รอบ ยิ่งเป็นรถแต่งแรงๆ อาจต้องเร่งไปถึง 7500 รอบ ในขณะที่รถบางคัน 3500 รอบก็แทบไปต่อไม่ไหวแล้ว
รถยนต์แต่ละประเภทก็จะเด่นในด้านที่ต่างกัน เช่นเดียวกับจักรยานครับ มีจักรยานหลายประเภท ออกแบบมาให้ใช้งานแตกต่างกัน เพียงแต่ว่ารูปทรงของจักรยานมันดูเหมือนๆ กันไปหมด ต่างจากรถยนต์ที่ดูภายนอกก็พอจะรู้ว่ารถทรงไหน ใช้ทำอะไร รถเก๋ง 4 ประตู รถสปอร์ท 2 ประตู รถกระบะ รถตู้ รถแวน และอีกสารพัดรถ จักรยานเขาก็มีแบ่งเหมือนกันนะ เช่นเป็น MTB เสือหมอบ City Bike Hybrid Bike รถพับ รถ Cyclocross Fixed Cruiser Recumbent และอีกเยอะเลย
อย่างที่บอกแหละ จักรยานรูปทรงมันคล้ายกัน แต่ถ้าใช้งานจนถึงลิมิท รับรองครับว่าจะเห็นความต่างอย่างชัดเจน
ผมเป็นมือใหม่ในเรื่องจักรยานครับ ยังต้องขี่แล้วศึกษาอีกเยอะ แต่การศึกษาของผมนั้นไม่ชอบอ่านเวปฝรั่งแล้วจำขี้ปากเขามาเล่าต่อ จะมีอ่านบ้างก็อ่านไปงั้นๆ แหละ ดูรูปสวยๆ เสียมากกว่า ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยจะเชื่อใครเท่าไหร่ โดยเฉพาะพวกฝรั่ง
ฝรั่งมั่วก็เยอะครับ เคยเห็นกันไหมล่ะครับ มีนะครับ มีเยอะด้วย ผมอ่านตามเวปบอร์ดต่างๆ มีหลายท่านชอบยกตัวอย่างแล้วอ้างอิงว่าเอามาจากเวปฝรั่ง (ฝรั่งที่ให้ข้อมูลถูกก็มีเยอะครับ มันแล้วแต่ว่าท่านไปอ่านในเวปใดเข้า หากเจอฝรั่งมั่วมาท่านก็ต้องแยกแยะให้ออกด้วยนะ) ถ้าจะให้ดี ต้องบอกที่มาที่ไปของเวปนั้นๆ ด้วยครับ ถึงจะดี
ฝนตกน้ำท่วม ทำให้ผมปั่นได้แค่ 30 กม ดีที่เลือกรถถูกคัน มีบังโคลน ไม่งั้นเละ ขากลับผ่านตลาดเลยซื้ออาหารเช้ามาฝากลูกและภรรยา ส่วนตัวผมทานผัดผักทำเองที่บ้าน
   พอเล่นจักรยานมากๆ เข้า ตอนนี้เริ่มอยากได้รถทัวริ่งคันใหญ่กับเขาบ้างเสียแล้ว หลังจากที่เพิ่งไปเอารถพับทัวริ่ง (KHS F20-W) มา เมื่อตอนเดือนมกราคม รถคันนี้ค่อนข้างจะเข้ากับสรีระของผมได้ดี ปั่นแล้วสนุก ส่วนรถจักรยานคันเก่าๆ ของผมสองคันคือ KHS HT และ GT นั้น ล้วนแล้วแต่เป็นรถที่ขนาดใหญ่กว่าตัวผมครับ แต่ใหญ่ไปนิดหน่อย แค่ 1 เบอร์ ยุคที่ผมซื้อรถนั้นมันปี 94 ผมเลือกจักรยานยังไม่เป็นเลยครับ รู้แต่ว่า XTR คือเจ๋งสุด นั่นแหละ ใช่เลย รถผมเลยเป็น XTR เกือบทั้งคัน เล่าให้อ่าน ไม่ได้โอ้อวดว่าใช้ของแพง หรือฉันรวย แต่ผมเป็นคนที่ชอบของดีๆ และซื้อทีเดียวจบ ไม่ชอบอัปเกรด ไม่ชอบค่อยๆ ทะยอยแต่ง ผมชอบรถเดิมๆ รถผมมัน XTR เดิมๆ มากับ KHS Team ท่อโลหะเป็น Reynolds OX II True Temper Made in USA ตามระเบียบ ส่วนคัน GT เป็น Alluminum 7005 ตะเกียบหน้าโครโมลี่
   เอาเป็นว่าตั้งแต่มีจักรยานมา KHS F20-W เป็นรถที่เหมาะกับสรีระของผมมากที่สุด !!! ปั่นมาเป็นสิบปี เพิ่งจะได้รถถูกไซส์เมื่อต้นปีนี้เองหรือนี่ โหหห สุดยอดเลยครับพี่
   ถึงแม้จะอยากได้ Full Size Touring Bike แต่ยังไงแล้วผมไม่เอา Trek 520 ยอดฮิตเป็นแน่ ส่วน Kona Sutra ก็พอได้ แต่ไม่ชอบตรงใช้ล้อ 700 ผมชอบล้อ 26 มากกว่า แถมชอบเฟรมแบบมีช่องว่างของตะเกียบเยอะๆ ให้ใส่ยางหน้ากว้างๆ ได้ด้วย รู้ไหมทำไม .. ผมเผื่อไว้ลุยในที่ๆ MTB ก็ยังไปได้ยาก เช่นที่ใดลองนึกกันเองดู
   มอง Surly ไว้ครับ แล้วก็เจอคนหิ้วเฟรมมาขาย มีขนาดพอดีตัวผมด้วยนะ ราคาก็แรงตามสไตล์ของดี ประกอบออกมาเต็มคันคงจะเกินครึ่งแสนเป็นแน่แท้ เฉพาะเฟรม และตะเกียบก็ใกล้สองหมื่นบาทแล้ว
   ตกลงนี่ผมเล่นจักรยานมันจะยิ่งเปลืองเงินมากกว่ารถยนต์ไหมวะนี่ ยังดีที่ปั่นจักรยานแล้วยิ่งแข็งแรง แต่ยิ่งขับรถยนต์แล้วไม่เห็นจะยิ่งแข็งแรงตรงไหน
   เย็นฝนตกอีกแล้ว นี่มันเข้าใกล้หน้าฝนแล้วหรือไรกัน แต่จำได้ว่าวันสงกรานต์จะมีฝนตกทุกปีเลย แล้วพรุ่งนี้ผมจะออกปั่นจักรยานได้หรือไม่กันล่ะนี่
Title: Re: เมษ 52
Post by: O'Pern on April 08, 2009, 04:58:19 pm
8 เมษ 52
   ฝนตกก็ไม่หวัน เพราะผมไม่ปั่นจักรยานแล้ว วั้นนี้ใช้วิ่งแทน วิ่งมันไป 1.30 ชม ได้ระยะทางมาแค่ 10 กม เอง ช่วงเข้าใกล้ กม ที่ 8 ผมรู้สึกตึงๆ หัวเข่านิดๆ แต่ไม่หยุดพัก อดทนวิ่งต่อไปจนครบ 10 กม อากาศเย็นสบาย ไม่มีแดด เพราะผมวิ่งตั้งแต่ตี 5 
   เหงื่อโทรมทั่งตัวเลย ไม่ได้ออกวิ่งมานานมากๆ เลยเดินอีก 1 กม เป็นการ Cool Down แถมด้วยเดินถอยหลังอีก 300 เมตร กลับบ้านดื่มน้ำกระชายคั้น ผสมน้ำผึ้ง มะนาว และ Apple Cider Vinegar ผสมทุกอย่างรวมกัน แล้วเติมน้ำกระชายตามลงไป 1 แก้ว (250 cc)
   เช้าทานน้ำเต้าหู้ กับถั่วลิสงต้มนิดหน่อย กลางวันทานผัดผักจานใหญ่ ใส่สารพัดผัก พวกคะน้า บร็อคโคลี่ เห็ด กับเนื้อไก่นิดหน่อย ทานกับไข่เจียวสองฟอง (แยกไข่แดงออก 1 ฟอง)
   กลางวันฝนตกอีกแล้ว เอาอีกแล้วไง ตกๆ หยุดๆ น่ะ เทหนักบ้าง เบาบ้าง สลับกันไป แต่ไม่กลัวแล้ว ตกก็ตกไป เธอตก ฉันวิ่ง เธอหยุด ฉันปั่น
   ตอนบ่ายเพื่อนชื่อ “ต่อ” โทรมาหา บอกว่าของที่สั่งไว้จากญี่ปุ่นมาถึงแล้ว ให้เข้ามาดู ต่อเป็นเพื่อนนักเรียนของผมตั้งแต่ตอนหนุ่มๆ เขาทำธุรกิจซื้อขายของมือสองจากญี่ปุ่น แรกๆ ก็ใช้บริการเขาเรื่องรถยนต์ มาตอนนี้ให้ต่อเอาจักรยานเข้ามาด้วย ฮ่าๆ
   ผมสั่งรถโดยที่ไม่รู้เรื่องว่าเมืองที่เขาอยู่มีรถแบบไหนให้เลือกกันบ้าง ต่อเองก็ไม่ได้เล่นรถจักรยาน เลยเอารถเข้ามาแบบสุ่ม ผมเองยังนึกหวั่นๆ ว่า ผมจะขายออกไหมนี่ เพราะปกติผมเป็นคนไม่ชอบขายปลีก ไม่ชอบคุยทีละคัน ผมชอบแบบยกล็อตไปเลย
   ช่วงรถพับยังไม่ค่อยฮิต ผมขายกันโดยดูที่ขนาดล้อเท่านั้น ถ้าเป็นรถมีเกียร์ก็จะบวกเข้าไปอีกหน่อย 300 บ้าง 500 บ้าง แล้วแต่ขนาดล้อ ซื้อขายกันแบบยกกองเลย
   เป็นอันว่าพรุ่งนี้ผมจะไปดูของที่สั่งมาที่บ้านของต่อ ได้เรื่องอย่างไรจะมาเล่าให้อ่านกัน
   ตลอดวันนี้ทั้งวันผมรู้สึกเจ็บต้นขาชมัด มันเกิดจากการวิ่งของผมเองแหละ สงสัยไม่ค่อยได้วิ่งมากนัก เริ่มวิ่งทีไร เป็นแบบนี้ทุกทีเลย หัวเข่าก็เหมือนกัน มีตึงๆ หน่อยๆ นี่ขนาด Worm Up และ Cool Down อย่างดีแล้วนะครับนี่ เล่นเกินพิกัดก็เป็นอย่างนี้กระมัง
   ตลอดบ่ายจนเย็นฟ้ามืดครึ้ม ซักถุงมือตากไว้เมื่อวันก่อนยังไม่แห้งดีเลย ใจเริ่มคิดอยากได้ถุงมือสำรองเอาแบบที่มันแห้งเร็วหน่อยมาลองใช้ดู ของแพงๆ นี้ซักทุกวันแล้วรู้สึกเสียดาย ฮ่าๆ
   อยู่บ้านว่างๆ เป็นต้องบีบนวด ไม่ก็ลุกขึ้นมายืดเส้นช่วงขา อยากให้มันหายเร็วๆ พรุ่งนี้จะได้ออกวิ่งอีก
ผมเหลือเวลาอีกแค่สองสัปดาห์เท่านั้น ก่อนที่จะไปขึ้นเขาที่สูงอันดับสองรองจากภูเขาไฟฟูจิ มันคือเขาชื่อ Tateyama ครับ
Title: Re: เมษ 52
Post by: O'Pern on April 10, 2009, 01:31:37 pm
9 เมษ 52
   ตื่นเช้ามาลุกไม่ไหวครับ ต้นขาทั้งสองข้างเจ็บระบบไปหมด ขึ้นลงบันไดนี่ต้องจับราวสองมือ ค่อยๆ ไต่ขึ้นไป เห็นสภาพตัวเองแล้วน่าเป็นห่วงมาก
   แต่แปลกที่ว่าหากปั่นจักรยานแล้วจะไม่เจ็บเลย เออดีเหมือนกัน เลยเอาจักรยานออกปั่น แต่เป็นการปั่นเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ไม่ได้ออกแรงกดอัดเลยแม้แต่น้อย
   ปั่นช้าๆ ครับ ใช้เวลาไปนาน แต่ได้ระยะทางมาไม่เท่าไหร่ ไม่เป็นไร เอาให้ขาหายดีก่อนค่อยมาว่ากัน ตอนผมออกกำลังกายหนักๆ นี้ มักจะคิดถึงคำเตือนจากพี่เจี๊ยบ (รุ่นพี่ที่เคารพนับถือในวงการจักรยาน) เสมอๆ โดยเฉพาะเรื่องหัวเข่า เรื่องวิ่งแล้วเจ็บเข่านี้ไม่กล้าเล่าให้ฟังเลย กลัวโดนดุมาอีก
   กลางวันผมพาคนงานที่บ้านไปรับเช็คช่วยชาติ คนงานดีใจกันใหญ่ที่ได้เงิน 2000 บาทฟรีๆ ผมเองยังไม่เข้าใจการกระทำของรัฐบาลเลยครับว่า การนำเงินมาแจกนี้มันช่วยเศรฐกิจได้อย่างไร คิดแต่เรื่องการมีเงินหมุนเวียนในระบบเศรฐกิจแค่นั้นเองหรือ
   ผมเองไม่ได้เรียนบริหาร ไม่ได้เรียนเศรฐกิจ แต่ไม่ค่อยเห็นด้วยกับการแจกปลา และจะเห็นด้วยกับการสอนให้จับปลาด้วยวิธีต่างๆ มากกว่า
   บ่ายผมไปบ้านเพื่อนชื่อต่อครับ พอไปถึงก็เห็นมีพวกพ่อค้ารถยนต์มาคัดเลือกของกันสองสามราย บอกตามตรงครับว่าผมเห็นอุปกรณ์รถยนต์แล้วมันรู้สึกตื่นตาตื่นใจกว่าจักรยานเยอะมากๆ หรือเป็นเพราะผมเล่นรถยนต์มาก่อนก็ไม่รู้ ได้เห็นของแปลกๆ ที่ไม่ค่อยเคยเห็น ได้เห็นของตกแต่งเสริมสมรรถนะแบบที่พวกรถแข่งเขาใช้กัน
   ผมเจอเพื่อนเก่าชื่อ “กบ” อีกคนที่บ้านของต่อ กบกับต่อเป็นเพื่อนสนิทกันมาก กินเหล้าด้วยกันประจำ ผมไม่กินเหล้าเลยสนิทน้อยกว่านิดหนึ่ง แต่ก็ยังไปเที่ยวด้วยกันบ้าง (คำว่าเทียวของผม คือการออกท่องเที่ยวตามต่างจังหวัด มิใช่การออกไปกินเหล้าตอนกลางคืนตามสถานเริงรมย์) สมัยหนุ่มๆ เราชอบไปทะเลกัน ผมมีบ้านพักอยู่ระยอง อยู่ที่อ่าวมะขามป้อม น่าแปลก ที่บ้านผมกับบ้านต่ออยู่กันคนละมุมของอ่าว ใกล้ๆ กัน น่าบังเอิญจริงๆ
   กบมากับเพื่อนอีก 2 คน มีคนหนึงเล่นจักรยานอย่างมาก อยู่ในเวป thaimtb ด้วย เห็นเขาเลือกจักรยานอยู่นาน ผมเองมองกราดทีเดียวก็รู้ว่ารถล็อตนี้ไม่ใช่สเปคของผม เลยหาทางจะเยออกยกล็อต
   ไม่ใช่ว่ารถไม่ดีล่ะ รถน่ะโอเคเลย เพียงแต่ผมไม่ชอบรถแบบนี้เท่านั้นเอง
   ต่อเองก็ไม่ได้เล่นจักรยาน พอเอารถมาล็อตแรกเลยเอาแต่พวกรถแม่บ้านมาเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ยังเป็นรถแม่บ้านเกรดดีนะ อย่างพวก Bridgestone Albelt พวกนี้จะใช้สายพานขับเคลื่อน ชาวบ้านชอบ ดูไฮเทค เท่ ข้อดีของรถสายพานคือเงียบ ไม่เลอะเทอะ ข้อเสียก็คือกินแรงเยอะ ภาษารถยนต์เขาเรียก Drivetrain Loss คือเกิดการสูญเสียแรงไปขณะขับเคลื่อน
   ถ้าเป็นรถที่เน้นสมรรถนะอย่างรถแข่งน่ะเขาไม่ใช้กันแน่ แต่หากใช้กับรถบ้านก็ยังพอไหว ออกแรงมากว่านิดหน่อยไม่เห็นเป็นไร เราออกมาปั่นจักรยานก็เพราะต้องการออกกำลังกายกันอยู่แล้วมิใช่หรือ จะมาห่วงเรื่องเหนื่อยไปทำไมกัน
   ต่อบอกผมเองครับว่าเขายังดูรถไม่ค่อยเป็น จึงให้คำแนะนำเขาเรื่องพื้นฐาน เช่น ขนาดของวงล้อ ประเภทของรถ เห็นรถหลายคันมือเกียร์แตกหัก รู้สึกเสียดาย จึงแนะนำเขาเรื่องการแพ็คของใส่ตู้ด้วย ผมนั่งคุยนั่งเล่นอยู่บ้านต่อจนถึง 0630 อยู่จนไม่มีใครเหลือแล้วสักคน ฝนเทลงมาประปราย เราช่วยกันขนย้ายของ สักพักผมขอตัวกลับบ้าน
   ช่วงเย็นรุ่นพี่ชื่อ “กรม” โทรมาคุย พี่คนนี้ผมเจอกันไม่กี่ครั้งตามงานรถยนต์ เมื่อก่อนพี่กรมทำงานที่ Ford และเชิญผมไปร่วมงานทดสอบรถยนต์อยู่เสมอ จำได้ครั้งตอนไประยอง ไปทดสอบรถกันบนเขา พักที่ Brookside Villa บรรยากาศสวยดี คนมักบอกว่าเหมือนเมืองนอก งานนั้นเกิดขึ้นราว 10 ปีที่แล้วเห็นจะได้ Ford เพิ่งจะเข้ามาทำตลาดรถกระบะในประเทศไทยอย่างจริงจัง รถของ Ford ขับดีเลยดีเดียว แต่ผมก็มักจะมีข้อติอยู่เสมอๆ ให้แก่บริษัทรถยนต์
   บริษัทที่ได้รับข้อติจากผมเยอะสุดก็คือ BMW ไม่ใช่ว่ารถไม่ดี แต่เป็นเพราะผมได้จับ ได้สัมผัสอยู่นาน ค่ายรถใหญ่ๆ ที่ใจถึงเขาจะนำรถมาให้ผมทดสอบกันแบบส่วนตัว อย่าง BMW 5 Series นี้ผมได้รถมาขับทดสอบอยู่เกือบเดือน แต่ทาง BMW กลับได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ายิ่งกว่า ผมให้ผลการทดสอบรถยนต์แก่เขาด้วยการพิมพ์ยาวถึง 10 หน้ากระดาษ A4
   พี่อ้วน (ผู้บริหารระดับสูง ในช่วงนั้น) รู้สึกแปลกใจ บอกอยู่วงการรถมาเป็นสิบปีเพิ่งเคยเจอแบบนี้
   ผมยิ้ม ตอบสั้นๆ ว่า มันคือมาตรฐานการทำงานของ Racing Club ครับ
   แล้วเดี๋ยวเปิ้ลกลับอย่างไรละวันนี้
ผมนั่งรถเมล์หน้าตึก  All Season นี่แหละครับ
พี่อ้วนยกโทรศัพท์ขึ้นมาคุยกับเลขานิดหน่อย
ขากลับเย็นนั้น ผมขับ BMW Roadster กลับบ้าน ช่วงใกล้ขึ้นทางด่วน ผมจอดรถเปิดหลังคาขับกลับบ้านอย่างสบายอารมณ์
   !!! ผมเจองานใหญ่อีกแล้วหรือครับนี่
   เล่าเรื่องเก่าแล้วเพื่อนๆ ชาวจักรยานคงยังไม่ทราบกันว่าผมทำอะไรมาบ้างในอดีต แต่ถ้าเพื่อนในวงการรถยนต์มาอ่านคงพอนึกภาพออกกันบ้าง
   เรื่องรถยนต์นี่เล่าได้ยืดยาวกว่าจักรยานเสียอีก เพราะมันคืองานหลักของผมเลย ไว้จะทะยอยๆ เล่าตามโอกาสเหมาะสม
   ปัจจุบันพี่กรมทำงานอยู่กับ TATA ตบท้ายด้วยประโยคเด็ด
   “เปิ้ล ไว้ไปสิงคโปร์กันไหม”
   รู้ไหม ผมตอบว่าอะไร
Title: Re: เมษ 52
Post by: O'Pern on April 12, 2009, 05:05:44 pm
10 เมษ 52
   ตื่นมาก็เจ็บขาอีกแล้ว ยังไม่หายเลย แต่ได้วอร์มยืดเส้นแล้วรู้สึกดีขึ้นเยอะ กะจะเอาจักรยานออกปั่น แต่ได้ยินเสียงฝนตกขณะอาบน้ำ อ้าว เอาแล้วไง อดอีกแล้ว เฮ้ออ
   กลายเป็นว่าวันนี้นอกจากไม่ได้วิ่งแล้ว ยังไม่ได้ปั่นจักรยานอีกด้วย ทำได้แค่ยืดเส้นไปมา ลงจากบ้านมาอ่านหนังสือพิพม์ เห็นบอกว่าประกาศเป็นวันหยุดราชการ คนทำงานราชการเลยได้เฮ ได้หยุดเยอะ แต่ก็นั่นแหละ มันก็มีเวลา มีเรื่องใช้ใช้เงินเยอะตามไปด้วย
   คนทำงานเปิดร้านค้าขายที่เปิดกันแทบไม่มีวันหยุดเขาถึงรวยกันไง ส่วนหนึ่งมาจากทำงานจนไม่มีเวลาใช้เงิน พวกที่มากเกินไปก็ทำงานเสียจนเจ็บป่วย เอาเงินที่ได้มาเก็บไว้รักษาตัวเองตอนแก่
   แนะนำให้เดินสายกลางครับ ทำงานก็ทำเต็มที่ ถึงเวลาหยุดก็ต้องพัก ถึงเวลาอาหารก็ต้องกิน ถึงเวลาพักผ่อนก็ต้องนอน เหล่านี้จะทำให้ท่านมีความสุขและสุขภาพแข็งแรง
   ตอนบ่ายมีรุ่นน้องมาชวนไปตลุยเกาหลีช่วงใกล้ปลายปี คนนี้ไปแบ็คแพ็คที่เกาหลีอยู่ 3 เดือน อยู่จนเต็มวีซ่า ไปทั้งๆ ที่ไม่รู้ภาษาเกาหลีเสียด้วย สุดยอดจริงๆ
   ประเทศเกาหลีนี้แปลกอย่างหนึ่งครับ คือไม่ต้องใช้วีซ่าในการเข้าประเทศ เพราะประเทศเขากับไทยเรามีสนธิสัญญากันตั้งแต่สมัยสงครามโลกโน่น คือเป็นพันธมิตรกันนั่นเอง
   มีเงินซื้อตั๋วเครื่องบิน ก็ไปได้เลย แต่.. มันจะต้องมาผ่านด่านเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของเขาครับ อันนี้แหละ ตัวเข้มงวดเลย คนไทยหลายคนโดนตรวจ โดนค้นอย่างละเอียด บางคนบอกเจ้าหน้าที่เขาใช้วิธีสุ่มตรวจ แต่ผมว่าไม่ใช่หรอก นามสกุลของเรา หรือ จังหวัดที่เราอยู่ มันไปใกล้เคียงกับคนไทยที่เคยก่อวีรกรรมไว้ต่างหาก
   ไอ้พวกตรวจแล้วผ่านก็โอเคไป แต่มีเยอะเหมือนกันครับที่ตรวจแล้วไม่ผ่าน ต้องส่งกลับไทยสถานเดียว โห เซ็งสุดยอดเลย เสียเงิน เสียเวลา
   โดยมากจะเป็นนักเดินทางหญิงครับที่โดนตรวจ เช่นเดียวกับที่ญี่ปุ่นเลยแหละ อาการเดียวกัน คือเกรงว่าคนไทยเราจะไปทำงานพิเศษ หากเป็นหญิง ผมแนะนำให้แต่งตัวเรียบร้อยไปครับ พวกแต่งแบบนางแบบนี้ไม่ค่อยรอดสักราย ยกเว้นมากับพวกทีมงานต่างๆ
   ผมเองเคยไป แต่ก็ผ่านได้ตลอดทุกด่าน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหนังสือเดินทางของผมเต็มไปด้วยวีซ่าประเทศต่างๆ หรือเปล่า แต่ถ้าเล่มของใครเกลี้ยงๆ เขาอาจซักถามมากสักหน่อย
   ถึงแม้ทำหนังสือเดินทางเล่มใหม่แล้ว แต่ตอนขอวีซ่าประเทศญี่ปุ่นนี้เขายังให้ผมทำหนังสือเดินทางเล่มเก่าไปแสดงด้วยเลยนะ แปลกดีเหมือนกัน
   กลายเป็นว่าปีนี้ผมมีทริปเกาหลีแถมแทรกเข้ามาอีก 1 อัน (เผลอๆ อาจมีสิงคโปร์อีก) ดีเหมือนกัน คราวก่อนไปก็ไม่ได้ปั่นจักรยานเลย ถนนในเมืองเขาปั่นยากหน่อย แต่ก็ยังดีกว่าของกรุงเทพฯเยอะมาก ส่วนที่สวยๆ นี้มีเยอะมากๆ ในเมืองนี่แหละ แต่มีเยอะ เจ๋งว่ะ
   เกาหลีกับกรุงเทพฯคล้ายกันหลายจุดครับ กทม มีแม่น้ำเจ้าพระยาผ่ากลาง แบ่งเป็นกรุงเทพฯ กับฝั่งธน โซลเกาหลีเขามีแม่น้ำฮัน ผ่ากลาง แบ่งเป็นโซลเก่า และโซลใหม่ โซลเก่าคือเมืองเก่าเทียบได้กับฝั่งธนบุรี โซลใหม่คือเมืองใหม่ที่สร้างขึ้น เทียบได้กับฝั่งกรุงเทพฯที่มีตึกรามใหญ่โต
   ขนาดของเมืองก็พอๆ กัน เรามีสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาอยู่ 10 แห่งมั้ง แต่โซลมีสัก 43 สะพานเห็นจะได้ (นับรวมรถไฟราง รถไฟลอยฟ้า และรถไฟใต้ดิน)
   ริมฝั่งแม่น้ำ ของเขาจะเป็นที่ว่างเปล่า  ขอบเป็นเนินลาดคล้ายแม่น้ำโขง เขาทำเป็นทางจักรยานบ้าง ท่าเรือสำหรับคนเล่นกีฬาทางน้ำบ้าง มีแทร็คสำหรับจักรยานภูเขาด้วย ส่วนของบ้านเรามีแต่บ้านเรือนแน่นขนัดไปหมด ต่อล้ำยื่นกินพื้นที่ไปในแม่น้ำกันอย่างอิสระ
   
11 เมษ 52
   ตื่นเช้ามาขาผมดีขึ้นอย่างมาก แค่รู้สึกตึงเพียงเล็กน้อย พอยืดเส้นยืดสายสักพักก็ค่อยยังชั่ว ฟ้าฝนเป็นใจและร่างกายดีขึ้น ผมจึงออกปั่นทำระยะทางไปได้ 50 กม ไม่น่าเชื่อว่าพักการปั่นไปหลายวัน แต่ผมกลับปั่นได้ดีมาก ทำอัตราเร่งได้ดี ไม่ค่อยรู้สึกเหนื่อยนัก ไม่รู้ว่าเพราะร่างกายแข็งแรงขึ้น หรือว่าอากาศเย็นสบายดีก็ไม่รู้ แต่ผมไม่ค่อยหิวน้ำเท่าไหร่
   เช้านี้ผมทานส้มตำครับ กับผักสดแกล้ม 1 จานใหญ่ มีไก่ทอดกระเทียมพริกไทยอีกนิดหน่อย อิ่มอยู่นาน
   กลางวันฝนตกหนักเลยครับ หนักแต่ไม่นาน แบบนี้พอไหว ผมน่ะอยู่บ้าน ไม่มีอะไรอยู่แล้ว แต่สงสารคนเมืองครับ เพราะตกหนักๆ นานๆ แล้วน้ำมักจะท่วมเป็นประจำ สมัยก่อนคิดว่าระบบท่อของเราไม่ดี แต่พอโตขึ้นแล้วก็รู้ว่ามันอยู่ที่วินัยของการทิ้งขยะของคนในชุมชนนั้นๆ ด้วย เรื่องนี้สำคัญเสียยิ่งกว่าการมีระบบท่อที่ดีเสียอีกครับ
   บ่ายๆ อยู่บ้านอ่านหนังสือ เล่นกับลูก เย็นพามิวออกไปทานอาหาร แม่บ้านผมลากลับบ้านต่างจังหวัดครับ ตอนแรกกะจะทำอาหารเองให้ลูก แต่คิดแล้วมิวกินคนเดียว นึกแล้วขี้เกียจเก็บ ขี้เกียจล้าง ฮ่าๆ เลยพากันไปกิน KFC เพราะมิวเขาไม่ค่อยได้กินเนื้อไก่ เขาทานแต่พวกปลาและอาหารทะเล
   เย็นกลับมาวัดลมยางรถ โอโห เหลือแค่ 60 psi อีกแล้ว เลยอัดเข้าไปอีกให้เต็ม 100 psi (KHS F20-W)
   ฝนตกโปรยปราย ผมนึกครึ้มใจ ขึ้นไปกวาดดาดฟ้าของบ้านตัวเอง ขัดๆ ถูกๆ ขณะฝนตกนี่แหละ ประหยัดน้ำไปในตัว เล่นเอาพื้นกระเบื้องสวยเชียว
   คืนนี้นอนหัวค่ำอีกแล้ว เพราะอะไรน่ะหรือ ผมมีนัดทุกเช้ากับการออกกำลังกายครับ
Title: Re: เมษ 52
Post by: O'Pern on April 16, 2009, 08:55:53 am
12 เมษ 52
   เช้าวันอาทิตย์แสนจะสดชื่น เลยออกไปอัดจักรยานมาซะ 60 กม กลับมาบ้านค่อยโล่ง ปลอดโปร่งหน่อย ช่วงหลังๆ ของการเปั่นเบาะของผมมันทรุดตัวดัง “กึก” หัวเบาะทิ่มๆ ลงเล็กน้อย กลายเป็นว่าตำแหน่งแบบนี้จะดีสำหรับการก้มตัวลงต่ำลดแรงต้านอากาศ เลยปล่อยให้เบาะมันทิ่มอยู่อย่างนั้นแหละ ดกลับมาบ้านค่อยว่ากันอีกที
   เส้นทางที่ผมปั่นประจำจะต้องผ่านหมาหลายตัว ไล่เห่าบ้าง มองดูเฉยๆ บ้าง ผมชินซะแล้ว แต่วันนี้มีตัวหนึ่ง ตัวไม่ใหญ่ ดูเหมือนเป็นหมาเด็กๆ แต่ตัวก็ไม่เล็กมากขนาดลูกหมา มันมีสีสันและรูปทรงคล้ายกับหมาตัวเก่าของผมที่วิ่งออกจาบ้านแล้วหนีหายไป หมาผมชื่อ “ไอ้โม่ง” ครับ
   ผมเจอหมาน้อยตัวนี้ประจำ ทุกทีก็มองเฉยๆ ไม่เห่าไล่ แต่วันนี้มันวิ่งไล่ผม ผมตกใจมาก รีบเบนรถหลบ กลัวมันเข้าประชิดตัว แต่แปลกใจตรงไม่ได้ยินเสียงเห่า ผมชลอรถช้าลง มันก็วิ่งช้าตาม แถมสั่นหางกระดิกๆ
   เอ๊ะ ท่าทางมันเป็นมิตรนี่หว่า แปลกมาก ตั้งแต่เกิดมาเพิ่งเจอหมาเป็นมิตรก็วันนี้แหละ เลยกลายเป็นลดความเร็วให้มันวิ่งตาม พอไกลมากเข้ามันก็หยุดวิ่งและเดินกับถิ่นตัวเองไป
   ลักษณะเส้นทางของผมจะต้องวนผ่านจุดที่หมาน้อยนี้นอนอยู่หลายครั้ง ทุกครั้งที่ผ่านมันก็จะลุกขึ้นวิ่งตามผมอย่างสนุกสนาน พลอยทำผมรู้สึกสนุกสนานไปด้วย
   ช่วงสายผมจอดรถเพื่อปิดไฟและถอดเก็บเข้ากระเป๋า หมาน้อยมันก็มานอนหมอบราบอยู่ข้างรถ หน้าของมันชิดกับวงล้อเลย
   “ไอ้โม่ง มานี่ๆ” ผมทึกทักเอาเอง เรียกมันว่าไอ้โม่ง ชื่อเดียวกับหมาตัวเก่าของผม
   “เรารู้จักกันแล้วนะ เราเป็นเพื่อนกันนะ ดูแลตัวเองด้วยนะ” ผมพูดคุยกับมันพร้อมกับลูบหัว ยื่นแขนให้มันดมกลิ่น มันไม่ตอบอะไรนอกจากสั่นหางอย่างเดียว
   ที่จริงน่ะ ยังมีหมาอีกตัวที่ท่าทางเป็นมิตร ตัวมันใหญ่โต ผมเรียกมันว่า “เบน” มาจากเบนจี้ เป็นชื่อหมาในหนัง ผมเคยดูตอนหนุ่มๆ จำได้ว่าเป็นหมาฉลาด แต่หมาตัวนี้ยังไม่เคยเล่นด้วยกัน มันไม่เคยวิ่งไล่กวดผมเลย เราเจอกันทุกเช้าอยู่เสมอ มันชอบนอนหมอบอยู่บนผิวถนน โชคดีที่เป็นถนนซอยตัน เลยไม่มีรถผ่านมากนัก
   เบน กับ ไอ้โม่ง มักจะนอนเล่นอยู่ใกล้ๆ กัน แต่ย่านนั้นมีหมาอีกเป็นสิบตัวเลย
   ขาผมหายเจ็บแล้ว มีแค่ตึงนิดๆ ไม่น่าจะถือว่าเป็นอาการเจ็บนะ ผมรู้สึกว่าการปั่นจักรยานช่วยให้ขาผมหายเร็วขึ้น เมื่อหลายปีก่อนตอนผมย่อตัวย่อเข่าจะได้ยินเสียง “แก๊ก” ที่หัวเข่า แต่ทุกวันนี้ไม่มีเสียงดังกล่าวแล้ว มันเกิดจากการปั่นจักรยานอย่างต่อเนื่องมาทุกเช้านั่นเอง
   กลางวันผมไปทำธุระที่เดอะมอลล์ท่าพระ อดใจไม่ไหว ซื้อสลัดบาร์กลับมามา 1 กล่อง อิ่มมาก แต่กลับหยิบช็อคโกแลตดาร์คเข้าปากอีกหลายชิ้นหลังอาหาร บ่ายอากาศร้อนอบอ้าวมากๆ ดูเหมือนฝนจะหายแล้วกระมัง นี่คงเข้าฤดูร้อนสุดๆ อย่างเป็นทางการ
   
13 เมษ 52 (เกาะช้าง จ ตราด)
   ออกเดินทางแต่เช้า เพราะต้องขับรถไกลถึง 350 กม และต้องไปต่อเรือข้ามเกาะอีกสัก 30 นาที ขับสบายๆ ไม่เร่งรีบ แต่ไปภาคตะวันออกทีไรผมเบื่อตรงต้องขับรถย้อนแสงทุกที โดยเฉพาะการออกเดินทางช่วงเช้าๆ พระอาทิตย์กำลังขึ้นไง แดดก็เริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ ช่วง 8 โมงจะแยงตาเอามากๆ ที่บังแดดของรถมันอยู่สูงเกินไป ช่วงนี้ต้องทนเอาเอง แต่อีกสักแป๊บเดียวก็หายแล้ว
   ผมเดินทางไปภาคตะวันออกนี้บ่อยที่สุดเลยครับ สมัยหนุ่มๆ ผมเล่นเรือใบที่พัทยาประจำ เล่นจนซื้อบ้านพักไว้บนเขาพระตำหนัก สมัยนั้นพวกคอนโดฯอะไรยังไม่ฮิตกันมากนัก ปัจจุบันขายบ้านพักไปแล้ว เพราะไม่ค่อยได้ไปถี่เหมือนเมื่อก่อน
   ตอนสมัยทำงานทดสอบรถยนต์ก็ยิ่งต้องเดินทางไปสนามพีระฯบ่อยๆ เหมือนกัน ภาคตะวันออกอีกแล้ว ผมพอมีประสพการณ์มาบ้าง จึงเลือกที่นั่งเลือกทำเลที่จะโดนแดดน้อยที่สุด แนะนำให้เลือกที่นั่งฝั่งขวาครับ แต่ถ้าชอบความนุ่มนวลของรถยนต์ด้วย ก็ต้องเลือกที่นั่งกลางลำรถ หากใครเมารถแนะนำให้นั่งหน้า มองไปข้างหน้าไกลๆ จะช่วยได้มาก
   ผมไปกันแค่ 3 คน มีภรรยาและลูกเท่านั้น กลางวันแวะทานอาหารทะเลร้านดังที่อำเภอ ขลุง จ ตราด ก่อนถึงท่าเรือข้ามฟากสัก 30 นาที ภรรยาชอบอาหารทะเล แต่ผมเฉยๆ ผมแกะไม่ค่อยเป็น หากให้เลือกก็จะเป็นพวกกุ้ง เพราะแกะง่ายสุด
   ถึงที่พักชื่อ Dewa เอาตอนบ่าย 2 ระหว่างทางผมสำรวจเส้นทางอย่างละเอียด ถนนบนเกาะช้างแคบมาก หากเป็นช่วงขึ้นเขาแล้วจะไม่มีไหล่ทางให้หลบกันเลย รถสวนกันได้ 2 คันพอดีๆ ขนาดมีมอเตอร์ไซค์ขับช้าอยู่ข้างหน้า เรายังต้องรอจังหวะไม่มีรถสวน ถึงจะแซงเขาได้ ส่วนทางพื้นราบนั้นพอจะมีไหลทางกว้าง แต่ก็กลายเป็นที่จอดรถไปเสียหมด
   ถนนแบบนี้ขี่จักรยานยากครับ
   1 ยากเพราะทางแคบ อันตราย
   2 ยากเพราะไม่คุ้นเคยสภาพเส้นทาง
   3 ยากเพราะไม่คุ้นเคยสภาพผิวถนน
   ความยากทั้ง 3 อย่างมารวมตัวกันให้เราแก้ไขปัญหาในคราวเดียว
   พื้นผิวถนนโดยรวมเป็นทางลาดยาง แต่ไหล่ทางมักจะขรุขระ และบางช่วงเป็นลูกรัง ด้านหลังของเกาะบางช่วงมีน้ำกันเซาะผิวถนน ทำให้ขุรขระเป็นแนวยาว ขับรถยนต์ไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิด แต่มันคือปัญหาใหญ่ของจักรยานเลย
   เย็นพากันไปเดินเล่นริมชายหาด โรงแรมที่พักของ Dewa สวยงามมาก สไตล์ Modern ปูนเปลือย สระว่ายน้ำปูกระเบื้องสีดำ เจ้าของชวนผมมาพักนานแล้ว เพิ่งจะมีโอกาสวันนี้เอง
   แต่บรรยากาศด้านริมทะเลยังไม่ค่อยประทับใจนัก สู้หาดแม่รำพึง จ ระยอง ไม่ได้ แม่รำพึงเป็นหาดทรายกว้างใหญ่ แถมยาวถึง 12 กม ตอนหนุ่มๆ ผมเอารถยนต์ รถมอเตอต์ไซค์ ลงไปขับเล่นบนพื้นทรายประจำ ปัจจุบันแม่รำพึงอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเสม็ด จึงไม่มีพวกเรือเร็ว เจทสกี หรือพวกเครื่องเล่นต่างๆ รวมถึงบาร์เบียร์ที่ผมสุดแสนจะเกลียด ไชโยๆ ๆ
   เป็นอันว่าไม่ได้เล่นน้ำทะเลกัน ได้แค่เดินเล่นเลาะชายฝั่ง จากนั้นก็ไปทานอาหารเย็นร้านท้องถิ่นของชาวบ้านกัน
   กลางคืนเปิดแผนที่เกาะ (หยิบฟรีได้บนเรือข้ามฟาก) วางแผนเส้นทางการปั่น ระยะทางรอบเกาะไม่มากนัก แค่ 60 กม แต่ด้านท้ายเกาะเส้นทางยังไม่สมบูรณ์ ผมทราบแค่นี้

14 เมษ 52
   คนมันเคยตื่นเช้า ต่อให้เหนื่อยขนาดไหนก็ยังลุกไหว ออกมาปั่นตอนตี 5 แต่มันมืดฉิบเป๋งเลยครับ ลำพังแค่ทางราบน่ะพอไหว แต่ขึ้นเขามืดๆ นีอันตรายมาก ยิ่งลงเขายิ่งสุดยอดใหญ่เลย เพราะมองไม่เห็นทาง ผมไต่ไปได้เนินเดียวก็ถอดใจแล้ว
   จึงเปลี่ยนเส้นทางไปยังด้านหน้าเกาะแทน ผมมุ่งหน้าไปยังท่าเรือ ช่วงแรกยังมืดมากๆ ทนปั่นช้าๆ ค่อยๆ ไป จนถึงช่วงเนินเขา แม้ฟ้าจะเริ่มสว่างแล้ว แต่บนเกาะต้นไม้ใหญ่ปกคลุมมาก ผมยังมองไม่ค่อยเห็นทางอยู่ดี ถึงตรงนี้อยากได้ไฟหน้าแบบชนิดโคมส่องกระจาย และแบบพุ่งส่องเป็นลำมาใช้สัก 2 อัน
   เนินเขาที่เกาะช้างนี้สูงชันอย่างมากครับ ไม่ค่อยเป็นทางลาดสูงทีละนิดๆ เหมือนเส้นทางในภาคเหนือ จู่ๆ มันก็ตั้งชันขึ้นมาอย่างนั้นแหละ เอาๆ ไม่เป็นไร เรามาเพื่อหาสิ่งนี้มิใช่หรือ
   ผมเลือกใช้รถ KHS F20-W ในภารกิจนี้ครับ เพราะพับเก็บใส่รถได้ จานหน้ามี 3 ใบ มีตะแกรงหน้าหลังครบครันพร้อมให้ผมใส่สัมพาระบนจักรยานได้ หากมีการปั่นข้ามเกาะกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เส้นทางที่รถยนต์เข้าไปไม่ถึง
   แต่ข้อเสียของรถ F20-W ก็อย่างที่เคยเล่าน่ะครับ มันพับยาก พับแล้วไม่เล็ก พับแล้วเกะกะ
   ขึ้นเขาสูงชัน ได้ใช้จานหน้าใบเล็กตลอดทางครับ เฟืองหลังก็เลือกเบอร์ใหญ่สุด ซึ่งรถผมคันนี้ให้เฟือง 32 ฟันมา ผมชอบใจมาก ได้ใช้ตลอดทางเลย
   ทางขึ้นสูงชัน ทางลงก็ต้องชันตามครับ ตอนขึ้นก็ปั่นด้วยความอดทน แต่ตอนลง แทนที่จะได้ไหลลงเร็วๆ สบายๆ กลับกลายเป็นว่าต้องกดเบรกกันตลอดทาง เพราะมันชันมาก ลงไปแป๊บเดียวก็หักมุม 90 องศาเลย หากไม่เบรกกันตั้งแต่ยอดเนิน ปล่อยให้รถไหลแรงๆ แล้วมาเบรกกลางทาง ทำให้เราต้องกดเบรกแรง และล้อจะล็อคได้ง่าย การทำให้ล้อล็อคขณะลงเนินนี้คือการฆ่าตัวตายดีๆ นี้เอง เพราะข้างทางนี้ตกลงไปก็เป็นเหวเลยครับ สูงเป็นร้อยๆ เมตรเลย
   เสียงเบรกของรถผมดังมากๆ มันดังเหมือนช้างร้อง กลายเป็นว่าเข้ากับบรรยากาศดีแท้ แต่ผมไม่ชอบเบรกดังๆ นี้เลยนะ ไม่รู้จะปรับตั้งอย่างไรดีเหมือนกัน คงต้องถอดรื้อออกมาแล้วประกอบใหม่หมด ตั้งแต่ขี่จักรยานมาเป็นสิบๆ ปี เพิ่งจะมีรถที่เบรกแล้วดังก็คันนี้แหละ
   เส้นทางสูงชันยังมีอยู่ต่อเนื่องครับ ขึ้น 10 นาที ลงแค่ 10 วินาที จากนั้นก็ขึ้นอีกแล้ว สลับๆ กันเช่นนี้ ขาขึ้นนั้นเหนื่อย แต่ขาลงก็เสียว และเสี่ยง เบรกใครไม่ดีมีหวังแย่
   บางช่วงของเส้นทางมันโหดมากๆ ชันแล้วชันอีก แถมมีเลี้ยวหักคดเคี้ยว โหดเหลือเกินครับ แถมอุปกรณ์ของผมก็ไม่มีความพร้อมเอาเสียเลย ผมใส่เสื้อแขนสั้น กางเกงขาสั้น รองเท้าแตะ มีแค่นี้แหละ เพราะกะจะมาแค่ปั่นเล่นนิดๆ หน่อย ๆไม่คิดว่ามันจะโหดสาหัสขนาดนี้
   ยังดีได้แป้นเหยียบอแดปเตอร์มาใส่กับบันได Shimano XT ผมจึงเหยียบบันไดได้เต็มเท้าหน่อย ไม่งั้นแย่กว่านี้อีกเยอะ และคงถึงกับปั่นไม่ได้กันเลย ขอบคุณคุณเจษฎาจาก thaimtb อีกครั้งครับสำหรับอุปกรณ์ชิ้นนี้ที่ส่งมาให้ผม
   ปกติผมปั่นแล้วไม่ชอบพักครับ มันดูเสียสถิติยังไงพิกล (ทั้งๆ ที่ไม่ได้แข่งอะไรกับใครเขา) แต่กับเกาะช้างแล้วผมขอพักครับ ทั้งๆ ที่ขาทนไหว ใจเรายังไหว แต่ผ่านจุดชมวิวแล้วมันอดใจไม่ได้ ทิวทัศน์สวยเหลือเกิน ผมยืนอยู่บนยอดหน้าผา มองลงไปเห็นเกาะเล็กเกาะน้อยอีก 2-3 เกาะ ลมพัดเบาๆ กำลังสบาย แดดก็ไม่แรง อากาศก็ดี สูดแรงๆ ไปหลายปืด
   ทนปั่นโหดๆ ไปอีกสักพักผมก็มาถึงท่าเรือ เส้นทางโหดเหลือเกิน จนไม่รู้จะพูดอย่างไร ใครเคยขับรถยนต์มาเที่ยงคงจะนึกภาพออก
   เนื่องจากเส้นทางคับแคบมาก แถมไม่มีไกลทาง ยังสูงชันอีกด้วย ขามาผมถามเจ้าหน้าที่ท่าเรือเขาไว้ว่าเรือรอบแรกมากี่โมง เขาว่า 0630 นั่นคือราว 0700 ก็จะมีรถยนต์คันแรกมาเหยียบเกาะช้างแล้ว
   ผมต้องลงเขาให้เสร็จก่อน 7 โมงครับ ยังดีที่ระยะทางบนเขานั้นมีไม่ไกลมากนัก ไม่กี่กิโล ปัญหาอยู่ที่ความสูงชันต่างหาก
   จากที่พักมาถึงตรงนี้ทำระยะทางไปได้แค่ราว 18 กม ใช้เวลาไป 1 ชั่วโมงเศษ เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเส้นทางขึ้นเขา
   ขากลับผมทำเวลาได้ดีกว่าเดิม เพราะจำเส้นทางได้บ้าง แต่ก็ยังคงต้องเบรกแรงๆ เลี้ยงรถไว้ขณะลงทางลาดชันอยู่ดี มีอยู่แค่ช่วงสั้นๆ เองมั้ง ที่ปล่อยให้รถไหลได้ไกลหน่อย แต่ไหลเร็วๆ ในเส้นทางแบบนี้มันเสียวมากๆ กลัวจะเบรกไม่อยู่ กลัวจะเบรกแล้วล้ม ล้มแล้วเจ็บอย่างมากแน่นอน รถพังอีกด้วย
   ถึงที่พักเอาตอน 0730 ภรรยาและลูกเล่นน้ำกันอยู่ในสระ สักพักเราอาบน้ำกันและทานอาหารเช้าของโรงแรม ไม่น่าเชื่อว่าผมกินไม่ยั้งเลย อะไรที่เคยเลี่ยงไม่กิน มาตอนนี้หยิบกันมันดะ ทั้ง French toast, Waffle, Pancake ราดน้ำเชื่อมเมเปิ้ล แต่ก็ยังเลือกกินของมีประโยชน์และหากินยากอยู่ด้วยล่ะ เช่นพวกขนมปังแบบ Dark Bread, Rye พวก Cereal ก็เลือกกินแบบ Whole Grain, Oat, Barley อะไรพวกนี้ ตบท้ายด้วยสลัดผลไม้ราดด้วยโยเกิร์ต
   โรงแรมนี้มีห้องให้นั่งพักผ่อนด้วย เป็นเหมือน Living Room มีโทรทัศน์ให้ดู มี DVD ให้ยืมไปดูส่วนตัวบนห้อง มีหนังสือให้อ่าน มีเกมแบบไม่ใช้ไฟฟ้าให้เล่น เช่นหมากรุก หมากฮอส และโดมิโน อ้อ มี Internet ให้ใช้ด้วย แค่คิดชั่วโมงละ 150 บาทแน่ะ โหดเหลือหลาย ลูกผมชอบเล่นโดมิโนครับ ก็เลยเล่นกันอยู่นานหน่อย
   กลางวันพากันไปกินส้มตำไก่ย่าง ร้านี้คนแน่นเลย รสชาติอร่อยดี แต่ยังสู้ร้านแถวบ้านผมในกรุงเทพฯไม่ได้
   ผ่านน้ำตกคลองพลู ผมพาภรรยาและลูกเข้าไปเดินป่าเล่นน้ำตกกัน เป็นการเดินแบบ Trekking ของแท้ เดินกันถึง 1 กม ยังดีนะแค่เดินเท้า ไม่ถึงกับปีนป่าย เดินจนเหงื่อชุ่มตัว แดดแรงจัด แต่กลับส่องไม่ถึงตัวผมเลย เพราะความสูงของต้นไม้มันบดบังไปหมด
   น้ำตกสวยครับ ผู้คนลงแช่น้ำกันเต็มไปหมด โดยมากจะเป็นผู้ใหญ่ มิวอยากเล่นน้ำด้วย แต่ผมกลัวเขาอันตราย สถานที่ไม่คุ้นเคย เราไม่รู้เลยว่าตรงไหนไม่ปลอดภัยบ้าง เลยแค่พากันลุยๆ แช่เท้าพักผ่อน
บ่ายกลับมาพักผ่อนที่ห้อง ดูทีวีเห็นข่าวความไม่สงบในเมืองหลวงแล้วรู้สึกหดหู่ยังไงพิกล จับไอ้พวกนี้มาปั่นจักรยานแข่งกันคงน่าดูไม่น้อย เอาทีมเสื้อเหลือ มาสู้กับทีมเสื้อแดง ฮ่าๆ
   เย็นว่ายน้ำกันอีกรอบ จากนั้นก็ไปกินที่ร้านอาหารทะเล มิวชอบกินปลากระพงทอดราดน้ำปลา ส่วนผมชอบอะไรก็ได้ที่แกะง่ายๆ ถ้าปลาก็ชอบแบบเลาะก้างออกแล้ว ส่วนพวกหอยนี้ไม่ค่อยชอบ จะกินก็เพื่อประโยชน์แก่ร่างกาย เช่นหอยนางรม หอยแมลงภู่
   ครอบครัวเรานอนกันแต่หัวค่ำครับ
   
15 เมษ 52
   เมื่อวานผมปั่นไปด้านหน้าเกาะ ซึ่งเป็นท่าเรือ ราว 0700 จะเริ่มมีรถยนต์ทะยอยกันเข้ามาเป็นสาย วันนี้ผมเลือกไปด้านท้ายเกาะแทน แต่ผมออกปั่นตอน 0600 เพราะไม่อยากปั่นในความมืดเลย
   ออกไปได้แค่ 1 กม ก็เจอเนินแรกแล้วครับ ยังไม่ทันวอร์มอะไรเลย หากใครมี Heart Rate Monitor ผมแนะนำให้ถอดออกก่อนครับ เพราะเอาแค่เนินแรกผมว่า Heart Rate ของท่านก็พุ่งปรี๊ดแล้ว เสียงเตือนตี๊ดๆ ๆ คงทำให้ปั่นไม่สนุกแน่ๆ
   ผ่านเนินแรกไปแป๊บเดียวก็เอาอีกแล้ว มันค่อยๆ สูงขึ้นๆ เรื่อยๆ บางช่วงก็หักตั้งสูงชันโหดไม่แพ้ด้านหน้าเกาะเลย ต่างกันตรงที่ว่าด้านหน้าเกาะนั้นมันมีทางชันเฉพาะช่วงหน้าเกาะ ช่วงท่าเรือ หลังจากนั้นก็จะเป็นพื้นราบ หรือเนินเล็กเนินน้อย แต่ไอ้ด้านท้ายเกาะนี้มันโหดเสียยิ่งกว่าครับ เนินต่อด้วยเนินล้วนๆ ทางลาดลงก็มี แต่ชันสุดๆ ผมปล่อยเบรกให้รถไหลไปสัก 3 วินาที จากจุดหยุดนิ่ง รถมีความเร็วถึง 50 กม/ชม อัตราเร่ง 100 กม/ชม ใน 6 วินาที อัตราเร่งนี้พอๆ กับ Porsche 911 Turbo เลยนะครับ สัมผัสได้โดยแค่ปล่อยรถไหลลงอีกด้วย ไม่ต้องอัดเร่งอะไรเลย อ้อ ถ้าใครใช้เสือหมอบ หรือ MTB ก็จะได้ความเร็วสูงกว่าผมอีกเยอะเลยครับ
   ผมใช้เบรกอย่างหนักมากๆ เสียงช้างร้องดังก้องไปทั่ว ผ่านฝูงลิงป่าเขายังตกใจ
   ด้านท้ายเกาะนี้ไม่ค่อยมีโรงแรมที่พักแล้วครับ เป็นป่าไปหมด บางช่วงเป็นหน้าผา ผ่านจุดชมวิวทีไร ผมต้องขอจอด วิวสวยเหลือเกิน มองไปไกลสบายตา สูดอากาศลึกๆ ได้อย่างเต็มที่ ไม่มีควันรถ รู้สึกสบายใจ ปลอดโปร่ง นี่ถ้าบ้านผมอยู่แถวนี้ก็ดีสินะ ได้ออกกำลังกายเต็มที่เลย
   ยิ่งเข้าไปลึกด้านท้ายเกาะ ผู้คนก็ยิ่งน้อยลง จนไปถึงสุดท้ายของเกาะจริงๆ ถึงขนาดเห็นนกเงือกกันเลย นกเงือกเขาอยู่เฉพาะที่เงียบๆ จริงๆ เท่านั้นครับ หากมีคน มีรถ นกเงือกจะไม่อยู่
   ด้านปลายเกาะมีหาดทรายเล็กๆ อยู่สองสามแห่ง เงียบสงบดี สวย มันห่างไกลความเจริญก็จริง แต่นี่แหละ คือเสน่ห์ของแหล่งท่องเที่ยว
   เส้นทางยังคงเป็นเนินสูงและทางลาดชันตลอดทางเลยนะครับ มีพื้นราบก็แค่ช่วงสั้นๆ ไม่กี่ร้อยเมตรเอง
   ช่วงปลายของเส้นทางด้านท้ายเกาะนี้จะวกเข้าไปในป่าทึบ เป็นป่าจริงๆ เลยนะ ทางแคบขนาดแค่มอเตอร์ไซค์ขี่สวนกัน หากนำรถยนต์ไปก็ต้องถอยหลังออกยาวตลอดสัก 1 กม คนขวัญอ่อนไม่ควรมาคนเดียวครับ เพราะจะได้ยินเสียงแปลกๆ เหมือนเราไม่ได้อยู่คนเดียว
   ไม่น่าเชื่อว่าในป่าลึก ผมเจอผู้หยิงคนหนึ่งนั่งยองๆ กับพื้น ข้างๆ มีลูกนั่งเล่นบนพื้นดิน มีมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งจอดอยู่ ผมถามว่าเส้นทางนี้ทะลุไปอีกฟากของเกาะได้ไหม เขาตอบ “ไม่รู้ เขาไม่เคยไปถึง”
   ผมปั่นต่อไปจนสุดเส้นทาง พบว่าเส้นทางโดนน้ำป่าพัดจนขาด ผมปีนลงไปดู มองหาทางจะพาจักรยานข้ามไป แต่มันสูงจากระดับถนนมาก น่าจะมีคนช่วยหย่อนรถผมลงมาให้ จะได้แบกลุยปั่นต่อไปได้
   ขากลับที่ผมวกออกมา ผมไม่เจอผู้หญิงและเด็กตัวเล็กแล้ว หากเขาขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปผมต้องได้ยินเสียงเครื่องของรถสิ ป่าเงียบขนาดนี้ เป็นเรื่องแปลกที่ไม่มีข้อสรุป
   เป็นอันว่าการปั่นด้านท้ายเกาะผมทำได้แค่นี้ ระยะทางพอๆ กับด้านหน้าเกาะครับ แต่ความโหดของเส้นทาง ผมให้คะแนนมากกว่าเท่าตัว และหากให้เลือกปั่น ผมยังคงเลือกเส้นทางด้านท้ายเกาะ เพราะรถยนต์น้อยกว่า เงียบสงบกว่า
    ขากลับผมทำเวลาได้ดีกว่าขามา เพราะต้องเร่งความเร็ว กลัวภรรยาและลูกเขารอนาน น้ำดื่มของผมหมดเกลี้ยงนานแล้ว หาซื้อก็ไม่มี มีแต่ป่า มีแต่ลิง ปั่นไปน้ำตกอันหนึ่งด้านท้ายเกาะ ไปถึงก็เจอแต่น้ำตกแห้งๆ ไม่มีน้ำ
   อดทนปั่นจนไปถึงโรงแรมแห่งหนึ่ง เจ้าหน้าที่ด้านหน้ายิ้มให้ ผมเลยเข้าไปขอน้ำ เขาเต็มใจเทให้ ผมขอแค่ครึ่งเดียว แต่เขาเติมให้เต็มกระติกเลย
   ได้น้ำแล้วแรงมาทันทีครับ ต้องเร่งแข่งกับแสงแดดด้วย ผมออกปั่นสาย ทำให้เริ่มร้อนแล้ว บางช่วงเห็นมีรถสองแถวขับรับนักท่องเที่ยวมา นั่นคือเริ่มมีรถข้ามฝั่งเข้ามาแล้ว
   เนินที่เราลงตอนขามา ขากลับเราต้องปั่นขึ้นครับ ไอ้ที่ว่าลงโหดๆ ลงชันๆ ไอ้นี่แหละตัวดีเลย ผมปั่นแบบนั่งไม่ได้ เพราะว่านั่งแล้วมันจะหงายหลังเอา ต้องยืนโยกและโน้มตัวไปด้านหน้า ตำแหน่งของหัวผมอยู่ราวๆ ดุมล้อหน้าครับ ลองนึกภาพดูว่าปั่นสภาพนี้ไปตลอดเนินเขา
   ขึ้นชัน ลงโหด เป็นเรื่องธรรมดา แต่อย่างที่บอกคือลงเร็วไม่ได้ ทางมันแคบ ทางมันหักศอก ข้างทางเป็นหน้าผาสูงชัน ลงทีไรต้องกดเบรกแรงๆ ตลอดทาง พี่ช้างมาแล้วจ้าาา
   อัดแบบหอบๆ จนมาถึงที่พักเอาตอน 0830 แดดแรงเหลือหลาย อาบน้ำและทานอาหารเช้ากัน ผมหิวจัดเลยกินเสียหลายอย่าง เลือก Omltee ทานกับไส้กรอก และขนมปังข้าว Rye (มันไม่ค่อยอร่อยเหมือน French Bread หรอกนะ แข็งๆ สากๆ ฝืดคอ แต่ผมกินเพราะว่ามันหายาก ชีวิตประจำวันผมไม่ค่อยได้กิน อยากกินอาหารให้มันหลากหลายเท่านั้นเอง)    
   กินอย่างละนิด อย่างละหน่อย แป๊บเดียวก็อิ่ม ผมชอบเคาเตอร์หนึ่งเขามีเจ้าหน้าที่ยืนคั้นน้ำส้มสดๆ ให้เลย ผมสั่งมาเสีย 3 แก้ว เผื่อลูกและภรรยาด้วย ดื่มแล้วสดชื่นดีจริงๆ
   ทานเสร็จมิวชวนไปเล่นโดมิโนอีกแล้ว เขาคงติดใจ เล่นกันสองเกม จากนั้นเราก็เก็บข้าวของกลับบ้าน มิวบอกคิดถึงบ้านมากๆ
   ออกจากโรงแรมสิบโมงกว่า แต่ขึ้นเรือได้ก็เกือบเที่ยง คิวที่ท่าเรือยาวมากๆ ผมเห็นแล้วเบื่อเลย ต้องนั่งรอในรถร้อนๆ อยู่นาน ด้านนอกรถก็ไม่มีที่หลบร้อนเตรียมไว้ กลายเป็นว่าต้องอยู่ในรถแทน
   แต่พอขึ้นเรือได้ก็รู้สึกดีใจ อากาศสดชื่นดี ผมมองเกาะช้างค่อยๆ ถอยห่างออกไป มองภาพรวมทั้งเกาะ มองเกาะอีกด้านที่ผมยังไม่เคยปั่นไปสำรวจมันเลย ทั้งสองวันนี้ผมปั่นได้แค่ครึ่งเกาะเท่านั้นเอง เป็นครึ่งเกาะด้านที่มีโรงแรมที่พักอยู่มาก ส่วนอีกด้านเป็นที่เงียบสงบ ซึ่งผมชอบมากกว่า ใช่เลย คราวหน้าผมจะไปอีกด้านของเกาะนี้ให้ได้
   แวะทานอาหารกลางวันที่ จ ตราด เป็นต้มเลือดหมู รสชาติอร่อยดีมาก ดีกว่าร้านในกรุงเทพฯอีกหลายร้านเลย ราคาแค่ชามละ 30 บาท
   ช่วงขากลับพี่เจี๊ยบโทรมาคุย แต่ผมเป็นคนไม่ชอบคุยขณะขับรถ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนมีผู้อื่นร่วมเดินทางด้วย กลัวเขาจะรำคาญ เลยขอพี่เจี๊ยบว่าเดี๋ยวผมโทรกลับ
   แต่เมื่อก่อนนี้ตอนผมยังไม่มีครอบครัว ผมคุยตลอดทางเลยนะ ไม่ได้คุยโทรศัพท์นะ แต่เป็นการคุยวิทยุสื่อสารแบบ VR ผมว่าไอ้นี่แหละตัวแก้ง่วงของจริง เปิดวิทยุทีไร เป็นได้คุย ไม่เคยง่วงเลย สอบถามเส้นทางก็ได้ แต่ส่วนใหญ่ผมจะเอาไว้ถามว่าร้านอาหารร้านไหนอร่อย เจ้าถิ่นแต่ละท้องที่แนะนำไม่ค่อยผิดหวัง
   ตอนหนุ่มๆ สมัยผมไปพัทยาบ่อยๆ นี้ นั่งรถเปิดหลังคาจอดริมทะเลคุยวิทยุ โห สบายใจดีเหลือเกิน
   กลางทางมีฝนตกหนักด้วยครับ อันตรายมากๆ เจอรถยนต์บางคันแซงกันแบไม่กลัวตาย เห็นรถข้างหน้าสวนมาแท้ๆ ยังกล้าเร่งออกไปอีก ทำไมใจคนเราเป็นอย่างนี้ มิน่า ถึงเกิดอุบัติเหตุได้บ่อยเหลือเกิน
   ผมมาถึงบ้านเอาตอนห้าโมงเย็น รู้สึกเหนื่อย รู้สึกล้า แต่พอถึงบ้านแล้วกลับอุ่นใจ แบบนี้กระมังที่ฝรั่งเขาเรียก Home Sweet Home
Title: Re: เมษ 52 13-15 เกาะช้าง
Post by: O'Pern on April 17, 2009, 02:23:25 pm
16 เมษ 52
   ตื่นเช้าเตรียมออกปั่น แต่ขาล้าเหลือเกิน เมื่อวานขึ้นเขาอย่างหนัก ส่งผลให้วันนี้หัวเข่าตึงมากๆ ผมไม่อยากฝืน เลยตัดสินใจไม่ออกปั่น ช่วงเช้าเลยใช้เวลาจัดแต่งต้นไม้ รดน้ำต้นไม้ เลี้ยงปลา อ่านหนังสือ
   ขี่ขึ้นเขาโหดๆ ทีไร นึกถึงคำเตือนของพี่เจี๊ยบทุกที เขาเตือนว่าอย่าฝืน อย่าดันทุรัง เดี๋ยวหัวเข่าจะเสีย เดี๋ยวจะปั่นจักรยานตอนแก่ๆ ไม่ได้
   ครับพี่เจี๊ยบ ผมฟังคำเตือนของพี่เสมอครับ แต่อาทิตย์หน้าผมขอไปขึ้นเขา Tateyama อีกรอบก่อนนะครับ ความสูงก็เป็นอันดับ 2 รองจากภูเขาไฟ Fuji นักท่องเที่ยวเขาเรียกกันว่า Japan Alps นัยว่าคล้ายๆ กับ Alps ที่ Switzerland อันนี้ Alps ของแท้
   แต่เส้นทางของ Tateyame มันไม่ค่อยโหดเรื่องความสูงชันครับ มันจะมาโหดที่มันเป็นหิมะแทน ผมยังนึกภาพไม่ออกเลยว่าผมจะใช้จักรยานแบบไหนดี ผมอยากได้รถของ Surly รุ่น Pugsley ดูโหวงเฮ้งแล้วน่าจะเป็นรถจากโรงงานคันเดียวที่ทำให้ผมสามารถฝ่าด่านหิมะนี้ไปได้ แต่ราคาแรงเหลือหลายครับ จะซื้อมาเพื่อภาระกิจครั้งนี้ครั้งเดียวก็เกินเหตุ แต่ถ้ามีบ้านผมมีหิมะตกหนาๆ ก็ว่าไปอย่าง
   เป็นอันว่าปัญหาที่ผมอาจเจอนั่นคื่อการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า การเตรียมชุดแต่งกาย และที่หนักนา แถมผมคุมไม่ได้นั่นคื่อตัวรถจักรยานเอง เพราะผมจะไปหารถเช่าเอาจากที่นั่นครับ
   ไปเที่ยวมา 3 วัน กินอิ่มทุกมื้อ แถมไม่ได้คุมอาหาร กินสารพัดคาร์โบไฮเดรตเลยทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นมา 0.5 กก ไม่ใช่ปัญหาครับ ก่อนขึ้น Tateyama ผมจะเอาลงมาอีกสัก 1 กก ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำได้ไหม เพราะโลหลังๆ มันยากเหลือเกิน
   เช้านี้เลยได้ล้างรถแทน รถจักรยานนะครับ ลุยมา 3 วัน เละเทอะไปหมด ชาวบ้านเกาะช้างเขาเล่นน้ำสงกรานต์กัน ถนนบางช่วงเปียกแฉะ จักรยานก็เลอะเป็นธรรมดา บางช่วงลงเนินส่งมาทำความเร็วได้มาก พอถึงพื้นราบกลับเจอน้ำ แบบนี้ก็เบรกไม่ได้แล้วล่ะครับ ทำได้ดีสุดคือปล่อยฟรีแล้วผ่านน้ำไป ดีที่มีบังโคลน ไม่งั้นเข้าปากแน่นอน
   ผมเริ่มมองหาวิธีทำให้ดุมมันลื่นขึ้นกว่านี้ ยังไม่เคยถอดรื้อดุมของ Power Tools มาดู แต่คิดว่าน่าจะใช้ลูกปืนเรียงเม็ดธรรมดา คุมด้วยจี๋ ถ้าเป็นเล่นนี้ก็เล่นไม่ยาก ผมคงเริ่มต้นด้วยการทำให้ผิวถ้วยลูกปืนมันลื่นขึ้น หาลูกปืนใหม่ที่กลม แกร่ง กว่าเดิม ตัวถ้วยลูกปืนอีกด้านก็ต้องทำให้มันลื่นและแกร่งขึ้นด้วย แต่ผมไม่รู้ว่าตัวแกนปลดนี้มันจะเกี่ยวกับการลื่นด้วยไหม
   นี่คือวิธีอัปเกรดรถในสไตล์ของผมครับ ย้ำอีกครั้งว่าผมเล่นรถมาในสายของรถยนต์มาก่อน เป็นการเล่นในแนวของนักทดสอบรถยนต์ ผมเพิ่งจะขับดริฟท์ในปี 95 นี้เอง ผมไม่ได้เล่นรถมาในสายของนักแข่ง นักซิ่ง หรือนักแต่งรถแต่อย่างใด
   พอมาจริงจังกับจักรยาน ผมก็ยึดแนวทางเดียวกันคือมองที่เหตุผลกันก่อน เช่นต้องการดุมลื่น ผมก็จะดูว่าตรงไหนมันฝืดได้บ้าง ผมมิได้จ้องจะหาซื้อดุมใหม่กันท่าเดียว นี่คือความต่างของแนวทาง เด็กที่เล่นรถยนต์ที่ชอบสอบถามพวกของแต่งซิ่ง มักโดนผมย้อนถามจนไปไม่เป็นกันหลายคน เพราะเขาไม่รู้ว่าของเดิมสเปคอย่างไร แล้วจะไปหาของแต่งสเปคไหนมาใช้กันเล่า
   ผมเริ่มจากการล้างปลอกมือและ Bar End อันดับแรก เนื่องจากอยู่บนสุด และตอนผมปั่นขึ้นเขานี้ ผมไม่ได้ใส่ถุงมือมาด้วย เหงื่อที่ออกตามแขนนั้นไหลมากองรวมกันที่ข้อมือ ปลอกมือและ Bar End ของผมเปียกชุ่มไปด้วยน้ำ ลื่นก็แสนจะลื่น เป็นปัญหาในตอนลงเขาพอควร ต้องใช้สมาธิมากกว่าเดิม เนื่องจากต้องคอยเบรกตลอดทางแล้ว แฮนด์เรายังลื่นง่ายอีกด้วย นี่คือตัวอย่างของคนที่ออกปั่นโดยอุปกรณ์ไม่พร้อมครับ ยังไม่นับเรื่องหมวก ชุดแต่งกาย ผมมีสิ่งเดียวคือแว่นตากันลม ผมใช้แว่นใสครับ แต่ปั่นไปได้แป๊บเดียวก็ต้องถอดออก เพราะว่าปั่นช้า เหงื่อออกมาก ทำให้ฝ้าขึ้นเต็มเลนส์ไปหมด แต่ช่วงเช้ามืดนี้ถอดไม่ได้เลยนะ แมลงในป่าเยอะมากๆ บินวิ่งชนหัว ชนหน้าตาเต็มไปหมด
   ล้างรถและตรวจเช็คทุกอย่างไปเรื่อยๆ พบว่ายางเบรกหลังเคลื่อนไปจากตำแหน่งเดิม และรถมีอาการคอหลวม นอกนั้นทุกอย่างโอเคดีหมด ผมถอดยางเบรกออกมาปรับตั้งใหม่ อันนี้เป็น V Brake อันแรกที่ผมถอด เชื่อไหมครับว่าผมเพิ่งรู้ว่ามันมีนอตปรับตั้งมุมโทของผ้าเบรกด้วย ใช้มาตั้งนาน เพิ่งรู้ โง่ฉิบเป๋งเลย ฮ่าๆ
   รถคันเก่าๆ ของผมล้วนแล้วแต่เป็นเบรกแบบ Cantilever ครับ โบราณและเก่าแก่กว่า V Brake เยอะ เชื่อไหมว่าทุกวันนี้แม้จะเป็นรถจักรยานปี 93 ผมยังใช้ยางเบรกอันเดิมของมันอยู่เลย และมันยังเบรกอยู่ได้ดีมากๆ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงไม่ค่อยนิยมการอัปเกรดแบบสะเปะสะปะ
   แหวนปรับมุมโทของเบรกยี่ห้อ Tektro เป็นแหวนแบบปรับเลื่อนมุมแคมเบอร์ได้ พอเลื่อนแหวนรองให้ตรงร่อง หน้าผ้าเบรกก็จะเอียง ภาษารถยนต์เขาเรียกมุมเอียงพวกนี้ว่ามุม Toe แปลว่านิ้วเท้านี่แหละครับ ลองยืนแล้วก้มมองเท้าตัวเอง หากปลายเท้าชี้เข้าหากัน เรียกว่ามุมโทอิน หากปลายเท้าชี้แยกจากกัน จะเรียกว่าโทเอ้าท์ ซึ่งเราจะปรับโทมากแค่ไหน In หรือ Out แค่ไหนก็ตามสะดวก (ตามแต่ขนาดมุมเอียงของวงแหวนที่เขาให้มา) แต่มันเป็นการเล็งด้วยสายตานะ คงปรับให้สองข้างเท่ากันเป๊ะได้ยากมากๆ เพราะไม่มีเครื่องมืออะไรให้ใช้เล็งได้เลย
   ผมลองเล็งๆ ดู แต่ก็ไม่รู้ว่ามันควรปรับอย่างไร เลยเซ็ทให้มันเป็นค่ากลางๆ ไว้ ขอแค่หน้าผ้าเบรกจับเต็มขอบล้อเป็นใช้ได้ ไว้ผมต้องโทรปรึกษาพี่เจี๊ยบอีกแล้วในเรื่องการตั้งมุมของผ้าเบรกนี้
   อีกเรื่องที่ผมยังไม่รู้ก็คือ V Brake เขามีวงแหวนปรับมุมโทของผ้าเบรกกันทุกอันหรือไม่ หรือว่าเบรกแพงๆ รุ่นสูงๆ อย่างพวก XTR เขาจะมีลูกเล่นมากกว่านี้?
   โลกเขามี V Brake ออกมาเป็นสิบปี ผมเพิ่งจะมีคำถาม นี่ผมยังไม่เคยใช้เบรกแบบดิสค์กับเขาเลยนะครับนี่ มิฉะนั้นจะมีปัญหามากกว่านี้อีกมากเป็นแน่
   อ้อ รถ Dahon Vitesse D5 คันเก่าผมก็เป็น V Brake ครับ แต่ไม่ค่อยได้ขี่ ช่วงยาวมากเกินสรีระของผม เลยขายออกไปแล้ว ไม่เคยรื้อแกะชิ้นส่วนใดๆ สักอัน ขี่นิดเดียว พับเก็บไว้เป็นปีจนสายเกียร์น่าจะฝืด เพราะชิฟแล้วรวนๆ ในเกียร์ 3-4 ถอดมาหล่อลื่นแล้วปรับตั้งใหม่น่าจะหาย
   ผมเริ่มมองหารถ Full Size Touring Bike ไว้ใช้งานอีกคัน แต่คราวนี้ผมอยากได้แบบพับได้ หรือไม่ก็ถอดประกอบได้ เพราะรถใหญ่มันขี่ใช้งานดีกว่ารถพับเยอะมากๆ เผื่อไว้สำหรับการเดินทางที่นับวันมันจะยิ่งไปไกล ไปยากมากยิ่งขึ้นทุกทีๆ
   สไตล์การเล่นรถของผมคือทัวริ่งครับ และมักจะปั่นเดียวอีกด้วย ไปกับคนกลุ่มใหญ่แล้วผมเกรงใจเขา เผื่อรถผมเสียเขาต้องมารอผมกัน จะมีกลุ่มเดียวที่ผมไปด้วยบ่อยสุดก็คือ TCC ครับ ส่วนมากมักจะเป็นผู้ใหญ่ใจดี แถมเป็นกลุ่มทำประโยชน์เพื่อสังคมอีกมากด้วย
   ตกเย็นผมตัดสินใจถอดล้อของรถ F20-W มาดูว่ามันฝืดหรือติดขัดอะไรหรือไม่ พบว่าล้อหน้าผืดเล็กน้อย ส่วนล้อหลังไม่เท่าไหร่ เลยถอดรื้อออกมาตรวจสภาพว่ามีน้ำหรือฝุ่นเข้าไปหรือไม่ พบว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติทั้งสองล้อ เลยทำการปรับตั้งจี๋ใหม่
   ผมห่างหายจากการปรับแต่งดุมล้อมาเป็นสิบๆ ปี ล่าสุดก็ตอนอายุ 15 สมัยเล่น BMX ไม่น่าเชื่อว่าทุกวันนี้ผมกลับไปทำแบบเดิมๆ สมัยเด็กๆ อีก เหมือนเดิมเป๊ะเลย
   แต่ดุมล้อสมัยก่อนมันโลวเทคครับ มีแค่ถ้วยลูกปืนธรรมดาๆ ตัวคุมลูกปืนธรรมดาๆ มีแหวนรองบางๆ อีกตัว เออ สงสัยเหมือนกันนะ ว่าทำไมถึงเรียกว่า “จี๋” ก็ไม่รู้
   ดุมหลังด้านซ้ายของ Power Tools นี้ดีหน่อย มียางชิ้นใหญ่ครอบปิดจี๋กันฝุ่นกันน้ำได้ดีเลย ส่วนดุมอีกด้านก็เป็นนอทธรรมดาๆ ที่แก้มยางหลังช่วงใกล้ขอบล้อมีรอยคล้ายกับแตกปริออกมา แต่ยังมองไม่ชัดเจน ขออย่าให้มันแตกเลยนะ ไม่อยากเอาไปส่งเคลม เพราะไม่รู้ทาง Siam Strida เขาจะมีสำรองไว้ให้ผมไหม
Title: Re: เมษ 52 13-15 เกาะช้าง
Post by: O'Pern on April 20, 2009, 06:45:06 pm
17 เมษ 52
   เช้านี้ออกปั่นอย่างไม่รีรอ ใจจดจ่อตื่นมาตั้งแต่ยั้งไม่ตี 4 แน่ะ วันนี้อัดไปเกือบ 50 กม ช่วงหลังของการปั่นแดดแรงมากๆ ผมเลยสำรวจเส้นทางเลียบคลองอันใหม่ เป็นทางปูนแคบๆ แต่ปั่นจักรยานได้สบายมาก
   เช้านี้แดดแรงจัด แค่ 0530 ขอบฟ้าก็เริ่มสว่างแล้ว ผมรู้ได้ทันทีว่าวันนี้ต้องร้อนสุดๆ อีกหนึ่งวันเป็นแน่ เลยรีบอัดทำเวลา ผ่านหมาชื่อ “เบน” มันนอนเล่นอยู่ที่เก่าเป็นประจำ ส่วน “ไอ้โม่ง” ผมมองไม่เห็น ทำได้แต่ส่งใจคิดถึงมัน
   พอแดดเริ่มแรง ผมตัดสินใจออกปั่นเส้นทางใหม่ เป็นทางปูนแคบๆ เลาะริมคลอง บรรยากาศดีมากๆ เงียบ ร่มเย็น ผ่านสวนตลอดเส้นทาง แต่ทำความเร็วอะไรไม่ได้นัก บางช่วงเป็นเนินลาดชัน รถ Single Speed คงต้องจอดเข็น รถผมโชคดีมีจานหน้า 3 ใบ จึงผ่านได้สบายหน่อย
   ผมแวะซื้อโจ๊กฝากมิว เขาชอบกินโจ๊กพร้อมไข่ลวก
   กลางวันดูทีวีได้ข่าวว่า “แสบ แสนศักดิ์ เมืองสุรินท์” เสียชีวิตแล้ว คนนี้ฮีโร่ในอดีตของผมคนหนึ่งเลย ตอนเด็กๆ ผมได้ยินชื่อเขาว่าเป็นแชมป์โลก รู้สึกว่ามันยิ่งใหญ่มากๆ หลังจากนั้นก็ไม่ค่อยมีใครดังเท่าเขาอีกแล้ว จะมีก็แค่ “เขาทราย กาแลคซี่” ไม่รู้ว่าเทียบกันได้ไหม
   มีอีกข่าวคือ สนธิ ลิ้มทองกุล ถูกลอบฆ่า แถมยิงโดนด้วย แต่ไม่ตาย หมอช่วยผ่าตัดไว้ทัน
   ฟังข่าวแล้วหดหู่ใจเหลือเกิน สู้ดูรายการสานรักไม่ได้สักนิด เป็นรายการเกี่ยวกับเด็กดี แต่จน ขยันทำงานช่วยครอบครัว และขยันเรียน ดูแล้วน้ำตาแทบไหลทุกที
   ผมปรับตั้งดุมล้อใหม่ ตอนหมุนดูรู้สึกมันลื่นขึ้นนิดๆ แต่ก็ยังทำความเร็วปลายทะลุ 40 กม/ชม ได้ยากเหลือเกิน เหลืออีกจุดเดียวคือกระโหลก ซึ่งผมไม่มีเครื่องมือถอด
   อ้อ การปรับตั้งมุมหน้าสัมผัสของผ้าเบรกใหม่ ทำให้เสียงช้างร้องหายไปแล้ว รู้สึกดีใจมาก เพราะผมไม่ชอบรถที่มีเสียงเลย
   พบอาการใหม่ คือคอหลวม ผมใช้มือหมุนๆ ให้มันเข้าที่ ไม่อยากเอาเครื่องมือแบบปากตายไปไขมัน กลัวนอทสีดำมันลอก ผมว่ามันต้องลอกแน่ๆ เลย ดูเหมือนใช้อลูมิเนียมชุบสี
   รถผมวิ่งไป 1600 กม แล้วครับ ผมมีจักรยานหลายคัน แต่ไม่รู้ทำไมชอบปั่นเจ้าคันนี้มากที่สุดเลย ทั้งๆ ที่มันแสนจะหนักที่สุด และล้อเล็กที่สุด หากให้มองหาเหตุผล ก็คงเป็นเรื่องของการปั่นสบายในสไตล์รถทัวริ่งกระมัง แถมพร้อมสรรพด้วยกระเป๋าหน้า หลัง ซื้อของกลับบ้านก็ใส่กระเป๋าเก็บเสียเรียบร้อย หากเป็นรถคันอื่นซื้อแล้วต้องห้อยตรงแฮนด์ ขี่ลำบาก ไม่ชอบ
   ในขณะที่ KHS HT คันแรกของผมเลย รถปี 93 ปั่นไปแค่ 2000 โล เองมั้ง รถคัน GT ไม่รู้ เพราะไม่มีมาตรวัด แต่ปั่นไม่เยอะนักหรอก มันเป็นรถเฟรมอลูมินั่ม ยุคนั้นเขาฮิตกัน ผมก็พลอยเอากับเขาด้วย ปั่นแป๊บเดียวก็รู้ว่าเราไม่ชอบสไตล์นี้ มารู้ตัวทีหลังว่าชอบแบบโครโมลี่มากกว่า เลยจอดเสียนาน ขายต่อก็ราคาตกเยอะ ซื้อมาแพงมาก เก็บไว้ดีกว่า เผื่อเพื่อนมาบ้าน จะได้ไปปั่นด้วยกัน
   จากการออกซ้อมปันทุกวันทำให้ร่ายกายผมแกร่งมากยิ่งขึ้น ขึ้นดอยอินทนนท์ที่ว่าสูงสุดในประเทศมาแล้ว ก็ได้ความภูมิใจส่วนตัวมา แต่งานนั้นมันเป็นการฝึกความอดทนของจิตใจเสียมากกว่า แต่กับเกาะช้างแล้วผมรู้สึกแตกต่าง แม้เกาะช้างจะไม่สูงชันเท่า มีขึ้นๆ ลงๆ หากแต่ว่ามันกลับใช้พลังของร่างกายมากและต่อเนื่องตลอดทางเลย ลงปุ๊บก็หักขึ้นปั๊บ หลายช่วงที่สับเกียร์กันไม่ทัน รถเกือบหยุดกลางเนินชัน แต่กับอินทนนท์มันเป็นทางลาดขึ้นล้วนๆ ขึ้นอย่างเดียว ไม่มีลงเท่าไหร่เลย ขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอด 50 กม และขึ้นชันมากๆ ช่วง 5 กม สุดท้าย ซึ่งสาหัสอย่างมาก เพราะแต่ละคนล้วนหมดแรงกันแล้ว
   กลายเป็นว่าผมชอบการขึ้นเขาจริงๆ แล้วหรือครับนี่ รถแต่ละคันของผมไม่ได้ออกแบบเพื่อการไต่เขาเลย หากแต่เป็นรถเพื่อเดินทางไกล
   ไม่ใช่หรอก ผมไม่ได้ชอบการขึ้นเขาหรอก ผมชอบความท้าทายต่างหาก ผมต้องเตรียมความพร้อมให้กับตัวเองอยู่เสมอ มีงานใหญ่รอผมอยู่ข้างหน้า ผมอยากปั่นในทุกสภาพอากาศ อาทิตย์หน้าผมจะได้ไปลุยในหิมะ
   และหากไม่มีอะไรผิดพลาด อีกสองเดือนถัดไปผมจะปั่นสุดโหดอีกครั้งหนึ่ง

18 เมษ 52
   เช้านี้ผมปั่นทำความเร็วได้มากที่สุดตั้งแต่ขี่รถคันนี้มาเลยครับ ไม่รู้ว่าเกิดจากการที่เมื่อวานทานพวกคาร์โบไฮเดรตมากหรือเปล่า แต่อัดไป 50 กม ทำความเร็วเฉลี่ยได้ 24 กม/ชม ทุกทีได้แค่ 20 นิดๆ แต่ถ้าเป็นช่วงเดือนแรกๆ นี้ได้แค่ 17-18 เอง
   ไม่เจอหมาชื่อ “ไอ้โม่ง” อีกแล้วครับ เจอแต่ “เบน” มันยังคงนอนหมอบนิ่งอยู่บริเวณเดิม
   ขอบฟ้าเริ่มสว่างตั้งแต่ 0530 แดดออกเร็ว สายหน่อยก็แดดแรง เดินกลางแดดตอนกลางวันแล้วแสบผิวอย่างมาก จำได้ว่าตอนหนุ่มๆ ไม่เห็นเป็นแบบนี้เลย คงเกิดจากภาวะโลกร้อน นี่ขนาดร้อนขึ้นแค่ 0.8 องศาเองนะนี่ ผมว่าภาวะแบบนี้คงจะค่อยๆ ทะยอยร้อนขึ้นเรื่อยๆ น้ำแข็งขั้วโลกจะละลายมากขึ้น ภูเขาสูงๆ ที่ฮอกไกโดประเทศญี่ปุ่นหิมะก็ละลายหายไปเยอะครับ ส่วนขั้วโลกเหนือ ขั้วโลกใต้นั้นไม่ต้องห่วง หายไปเพียบ อลาสก้าอเมริกาเหนือถึงกับค่อยๆ แหว่งหายไปจนไม่ยากที่จะกู้คืนกลับมา
   ลักษณะเช่นนี้ไม่ต้องมีหมอดูผมก็รู้ว่าระดับน้ำทะเลจะเพิ่มสูงขึ้น ประเทศริมทะเลทุกประเทศจะต้องเตรียมการป้องกัน แต่มีประเทศหนึ่งที่ป้องกันยาก คือมัลดีฟ เพราะของเขาเป็นหมู่เกาะน้อยใหญ่เต็มไปหมด ส่วนเวนิส ประเทศอิตาลีก็น่าเป็นห่วง ผมไปไม่บ่อยนัก เมืองเขาสวยนะ แต่ผมไม่ชอบ มันไม่ธรรมชาติ มันเป็นเมืองจัดฉาก จัดให้นักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชม ตรอกซอกซอยเล็กๆ ยังมีร้าน Gucci ดังๆ ไปเปิด ขนาดหนีไปไกลๆ ที่เกาะ Capri (เปรียบได้กับเกาะสีชังของไทย) เดินอยู่บนยอดเขา ยังไปเจอร้าน Prada LV
   ผมชอบความเป็นธรรมชาติของท้องถิ่นและผู้คน ไม่ต้องจัดแต่งอะไรมาก คงไว้แบบเดิมๆ นี่แหละสุดยอดแล้ว ไทยเรายังขาดจุดนี้อีกมากครับ พอเห็นฝรั่งมาเที่ยวกันเยอะหน่อยก็ต้องเปิดร้านขายเหล้า ขายบริการทางเพศ คิดสั้นฉิบเป๋ง ทำให้เขาดูถูกคนไทยทั้งประเทศเปล่าๆ คนรุ่นเก่าเป็นแต่เปิดร้านขายเหล้า คนรุ่นใหม่นี้ยังดีหน่อย เน้นเปิดร้านขายกาแฟแทน
   ตกเย็นผมตรวจสอบสภาพยางนอกของรถ F20-W อีกครั้งอย่างละเอียด พบว่าร่องรอยที่เคยเป็นกังวล คิดว่ามันเป็นรอยปริแยกนั้น มันไม่ใช่ครับ เป็นแค่ลายเส้นของยางธรรมดาๆ ค่อยโล่งอกหน่อย
   
19 เมษ 52
   วันนี้เป็นวันแรกที่ผมรู้สึกเมื่อยขาเนื่องจากการปั่นจักรยาน คงจะอัดหนักเกินไป เพราะปกติไม่เคยปวดเมื่อยขาจากการปั่นจักรยานเลย ขนาดกลับจากอินทนนท์ก็ยังรู้สึกเฉยๆ กระทั่งเกาะช้างที่เป็นเนินโหดสูงชันก็ไม่รู้สึกอะไร
   เช้านี้พาภรรยาและลูกไปเดินเล่นสวนจตุจักร มิวชอบทานอาหารเช้าที่ร้าน Delifrance ถนนสีลม เป็นร้านอาหารฝรั่งเศษ ผมอยากลดน้ำหนักเพิ่มอีก เลยสั่งสลัดจานใหญ่มาทานแต่เช้า ภรรยาทานสเตคแซลมอน และซุปหัวหอม แบบฝรั่งเศษ
   จากนั้นก็ไปสวนจตุจักรต่อ เราแยกกันเดิน ผมชอบดูอุปกรณ์ของทหารและพวกแคมปิ้ง ภรรยาชอบดูของจุกๆ จิกๆ ส่วนลูกไม่มีอะไรชอบมากไปกว่าของเล่น
   เดินผ่านช่วงขายเสื้อผ้าใช้แล้ว พบเห็นกางเกงจักรยานแขวนอยู่หลายตัวเลย รองเท้าจักรยานก็มี พวกรองเท้าน่ะยังพอไหวที่จะใช้มือสอง แต่กางเกงนี่สิ ผมว่าไม่ควรใช้เลยนะ
   กลางวันทานบะหมี่ร้านดังในสวนจตุจักร ขากลับแวะตลาด อตก ซื้อของกินกลับมาบ้านอีกเพียบ น่าตกใจที่ผมทานปลาช่อนลุยสวนคนเดียวเกือบหมดตัว ปลาตัวโตราว 1 ฟุต พร้อมกับราดน้ำยำรสชาติเข้มข้นด้วยเครื่องแกง ไม่ได้ออกเปรี้ยวหวานเหมือนตามร้านอาหาร ทานพร้อมกับผักสดจานโต ผมกินเสียหมดเกลี้ยงเลย อิ่มมหาศาล
   ตกเย็นไปธุระเรื่องเรียนพิเศษของมิว ผมไมได้ยัดเยียดให้ลูกเรียนพิเศษหรอกนะ แต่เห็นว่าเขาชอบคณิตศาสตร์เป็นพิเศษ เลยพามาทำทดสอบดู มาดูโรงเรียน เขาบอกชอบ อยากเรียน ผมเองก็พลอยดีใจ เพราะจำได้ว่าตัวเองไม่เห็นจะเคยบ่นอยากเรียนอะไรกับเขาเลยในสมัยเด็กๆ
   เข้าไปในห้างทีไร เสร็จมิวมันทุกที ชอบทานแต่ร้านฟูจิครับ ผมสิไม่ค่อยชอบ ทั้งยังแพงอีกด้วย แถมพวกของดิบๆ หลายอย่างผมไม่เคยกินเลย แต่แปลกที่ภรรยาและลูกผมเขาชอบกันนะ
   ตอนท้องภรรยาผมชอบทานอาหารญี่ปุ่นอย่างมาก ไม่รู้เกี่ยวกันไหม
   กว่าจะเสร็จธุระจากโรงเรียนและทานอาหารเย็น กลับถึงบ้านก็สามทุ่มกว่า เข้านอนกันเกือบจะสี่ทุ่ม ผมเองดึกกว่าเพื่อน รออาบน้ำเป็นคนสุดท้าย
   คืนนี้นอนดึก พรุ่งนี้จะตื่นไหวหรือเปล่าหนอ

20 เมษ 52
   ลุกขึ้นตื่นเองโดยไม่ต้องพึ่งนาฬิกาปลุกมานานแล้ว วันนี้ก็เช่นกัน จัดแจงตัวเองเสร็จก็ลงมาเปิดห้องจูงจักรยานออกมา โอโห ลมเย็นพัดวูบ เป็นลมชื้นๆ คล้ายกับมีฝนตกอยู่บริเวณใกล้เคียงนี้เอง เริ่มลังเลใจว่าจะเอาจักรยานออกปั่นดีไหม สักพักมีฟ้าแล่บตามาก เลยตัดสินใจง่ายหน่อย วันนี้ยกเลิกการปั่นครับ
   ไม่ปั่นแล้วทำไรดี วิ่งดีไหม แต่ถ้าวิ่งติดลมนานๆ แล้วเจ็บขาเดี๋ยวจะแย่เอา วันพฤหัสบดีนี้ผมก็ต้องออกเดินทางไปเขา Tateyama แล้ว ช่วงนี้ต้องรักษาสุขภาพตัวเองให้ดีเยี่ยม มาเจ็บช่วงนี้นี่แย่เลยนะ
   เลยตัดสินใจวิ่งเหยาะๆ วิ่งสักพักมันก็ไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ เลยหยิบเอาเชือกกระโดดมาโดดเล่น คือวิ่งสัก 200 เมตร ก็มาโดดเชือกสัก 1 เซท โดดเสร็จก็ออกวิ่งต่อ
   ฮ่าๆ เหนื่อยฉิบเป๋ง เหนื่อยกว่าวิ่งธรรมดาเยอะมากๆ เหนื่อยมากกว่าปั่นจักรยานอีกด้วย ทำอยู่แป๊บเดียวเหงื่อโทรมเลย ขนาดตอนเช้าๆ ลมพัดเย็นๆ นะนี่ ยืดเส้นยืดสายทั่วร่างกาย เหนื่อยมากนักก็จะเดินพักผ่อนคลายบ้าง หายเหนื่อยก็มาโดดเชือกกันใหม่
   ผมไมได้กระโดดเชือกมาหลายเดือนมาก เมื่อก่อนโดดแล้วชอบผิดจังหวะบ่อย เชือกตีกับขา น่าแปลกที่วันนี้ไม่เป็นเลย โดดเป็นร้อยๆ ครั้งก็ผ่านตลอด ไม่ทราบเหตุผลเหมือนกัน
   ฟ้าเริ่มสว่าง แต่กลายเป็นว่าฝนไม่ตก แหม รู้อย่างนี้น่าเอาจักรยานออก แต่ตอนเช้ามืดผมไม่กล้าเสี่ยง ปั่นกลางฝนนี้ไม่ถนัดเลย ไม่คุ้นเคยมาก่อนอีกด้วย
   สายหน่อยเลยมาจัดแต่งต้นไม้ รดน้ำต้นไหม้ มื้อเช้าผมทานผัดกระเพราะไก่ และไข่ดาว 2 ฟอง แยกไข่แดงออก 1 ฟอง และทอดด้วยน้ำมันมะกอกตามสเปค ทานแค่กับข้าวครับ ไม่ได้ทานพร้อมกับข้าวสวย
   กลางวันเริ่มมาเช็คของเตรียมตัวเดินทาง เพิ่งรู้ว่าผมขาดของสำคัญไปหลายอย่าง เด่นชัดมากสุดคือเงินเยนของญี่ปุ่น เปิดตู้ดูเห็นเหลืออยู่แค่หมื่นกว่าเยนเอง คงต้องไปแลกที่ร้าน Supre Rich เจ้าเก่าอีกแล้ว
   แบตเตอรี่สำรองของกล้องวีดีโอก็หาไม่เจอ ทำไงดีนี่ ผมชอบถ่ายวีดีโอตอนเดินทางครับ ไม่ค่อยได้ถ่ายภาพนิ่งเท่าไหร่นัก หากหาไม่เจอจริงๆ คงต้องหาซื้อใหม่ เฮ้ออ…
   ชุดว่ายน้ำผมขาดอีกด้วย ขาดตรงก้นเลย ตอนไปเกาะช้างก็ขาดอยู่นิดหน่อยแล้ว กลับมามันยิ่งขาดมากขึ้น นี่ผมจะไปลงบ่อน้ำแร่ของเขาด้วยนะ แต่เป็นบ่อแบบอินเตอร์หน่อย เขาให้ใส่ชุดว่ายน้ำลง แต่ถ้าเป็นบ่อแบบของดั้งเดิม เขาจะแก้ผ้ากันลงหมดทุกคน และแยกบ่อชายบ่อหญิง
   ทำไมทริปนี้ของผมมันช่างมีความไม่ค่อยจะพร้อมเท่าไหร่เล้ยย เหลือเวลาอีกไม่กี่วันเองก็จะออกเดินทางแล้ว ไม่ค่อยชอบเตรียมของในสภาพการเร่งรีบเลย ดูมันร้อนรนยังไงไม่รู้
   ตอนบ่ายไปหาซื้อแบตฯสำรองของกล้องวีดีโอ พอหยิบออกมา พนักงานขายเขาร้อง โอ้.. เก่ามาก บอกให้ผมไปหาเอาที่ศูนย์บริการแทน ฟังแล้วเซ็ง แล้วศูนย์มันอยู่ไหนของมันบ้างวะนี่ ยี่ห้อ JVC น่ะ
   มองๆ กล้องแบบบันทึกด้วย SD Card ไว้ด้วย ใจอยากเล่นแบบ Hard Disk บ้างเหมือนกันนะ แต่กลัวตกแล้วพังทันทีตามสไตล์ของหัวเข็ม Hard Disk น่ะ เลยยั้งๆ ไว้ก่อน
   ยังไม่พอ ผมชอบชุดว่ายน้ำของ Speedo ไปดูที่เดอะมอลล์ท่าพระแล้ว แต่ผมมีบัตรส่วนลดของห้างเซ็นทรัลอยู่ จึงไปดูที่เซ็นทรัล กลายเป็นว่าของหมด หึหึ
   เย็นนี้ทานข้าวแช่ครับ ซื้อมาเก็บไว้ตั้งแต่เมื่อวาน แถมด้วยถั่วกรอบๆ อีก 1 ถุงใหญ่ แตงโมอีกสิบกว่าชิ้น
Title: Re: เมษ 52 13-15 เกาะช้าง
Post by: O'Pern on April 21, 2009, 04:41:03 pm
21 เมษ 52
   ชล่าใจ ไม่ได้ตั้งนาฬิกาปลุก เลยตื่นสายไปหน่อย ที่จริงตื่นตั้งแต่ตี 4 แล้ว แต่ขอหลับต่ออีกแป๊บ ที่ไหนได้ ตื่นอีกทีตี 5 โน่นเลย พอเวลาผิดพลาด มันก็จะคลาดเคลื่อนไปหมด วันนี้เลยไม่ได้ออกปั่นจักรยานอีกแล้ว ใช้ยืดเส้นยืดสายเดินเล่นหน้าบ้านแทน
   กลางวันเพื่อนโทรมาแจ้งสภาพอากาศล่าสุดจากญี่ปุ่น เขาว่าในเมืองอากาศเย็นสบาย ไม่ต้องเอาเสื้อกันหนาวไป แต่บนยอดเขา Tateyama ที่เราจะปั่นจักรยานขึ้นกันนั้นอุณหภูมิราว 8 องศาเซลเซียส ผมฟังแล้วเฉยๆ รู้สึกดีตรงที่ไม่ต้องเตรียมชุดกันหนาวแบบเอิกเกริก แต่ก็เป็นธรรมชาติของภูครับ หากมีฝนตกล่ะก็ รับรองว่าอากาศจะเย็นลงอีกอย่างมากในเวลาอันรวดเร็ว
   ตอนหนุ่มๆ สมัยผมอยู่ที่เมือง Seattle รัฐ Washington ประเทศ USA จำได้ว่าครั้งหนึ่งขับรถเล่นอยู่ริมถนน อุณหภูมิ 15 องศา แล้วจู่ๆ มีฝนตกลงมาอย่างหนัก (ปกติฝนของทางพื้นที่ด้านเหนือของโลกจะมีฝนตกเป็นปรอยๆ บางๆ) ผมมองป้ายบอกอุณหภูมิที่บริเวณสี่แยก มันค่อยๆ ลดลงจาก 15 แป๊บเดียวลงไปเหลือที่ 2 องศา ใช้เวลาแค่นาทีกว่าเองมั้ง เรียกว่ารถยังติดอยู่เลย ยังไม่ได้เคลื่อนตัวสักนิด
   รัฐ Washington อยู่ซ้ายสุด เหนือสุดของ USA ครับ เป็นรัฐที่พูดภาษาอังกฤษได้เพราะที่สุดใน USA ฝรั่งที่โน่นเขาบอกผมมา เลยจำไว้เป็นข้อมูล ผมชอบเมืองนี้ อากาศเย็นสบายดี บางคนอาจบอกว่าหนาวเย็นเกินไป แต่ผมชอบ เพราะออกกำลังกายหนักๆ เหงื่อก็แค่ซึมๆ เอง เสียดายที่ช่วงนั้นไม่ได้ฮิตจักรยาน ดันไปเล่นสเกตบอร์ทแทน ฮ่าๆ
   หน้าร้อนเดือนเมษายน ดวงอาทิตย์ตกตอนสี่ทุ่ม นั่งกินข้าวในบ้านตอนสองทุ่มกว่าแดดยังแรงราวกับบ้านเราตอนบ่ายๆ ขับรถกลับบ้านบางวันสองทุ่มกว่าแล้ว ยังต้องใส่แว่นกันแดดอยู่เลย โหห เจอแบบนี้ ไม่คุ้นอย่างแรง ฮ่าๆ
   แต่เรื่องหนาวๆ นี้ผมชอบมากครับ ครั้งหนึ่งผมไปดินแดนสูงสุดของยุโรป เป็นพื้นดินที่ใกล้ขั้วโลกเหนือมากที่สุดเท่าที่จะเดินทางโดยรถยนต์ได้ ดินแทนนี้อยู่ที่ประเทศ Norway ชื่อว่า North Cape หากดูแผนที่จะเห็นว่าอีกนิดเดียวก็จะถึงขั้วโลกเหนือแล้ว
   เสด็จพ่อ ร5 ก็เคยประพาสที่แห่งนี้ครับ ยังมีอณุสรณ์สถานจารึกไว้อยู่เลย แถมมมีพิพิทธภัณฑ์เล็กๆ เกี่ยวกับเมืองไทยอยู่ในที่ตั้งของ North Cape นี้อีกด้วย ประเทศไทยเรามีชื่อเสียงดังมากที่ North Cape ครับ
   ผมไปที่โน่นโดยมีเสื้อกันหนาวบางๆ ตัวเดียว สุดท้ายเอาไม่อยู่ครับ ยอมแพ้จริงๆ ลมแรงชนิดที่ว่าผมใส่กางเกงยีนแล้วลมพัดจนกางเกงสะบัดเป็นธงเลย ดัง พับๆ ๆ ๆ ลมพัดผ่านร่างกายผมชนิดที่ว่าทะลุกระดูกไปเลย หนาวจับใจ หนาวถึงกระดูกเป็นอย่างไร สัมผัสได้ง่ายๆ ครับ
   เสียดายตอนนั้นไม่ได้ปั่นจักรยานขึ้น เส้นทางสวยมากๆ เหมาะมากกับเสือหมอบ เพราะเรียบเหลือเกิน นึกแล้วอยากไปปั่นอีกครั้ง แต่เส้นทางนี้ค่าใช้จ่ายแพงมากครับ แถม North Cape เปิดแค่ปีละไม่กีเดือน นอกนั้นเป็นหิมะปกคลุมตลอด เดินทางอันตรายมาก แต่ว่าไปแล้ว ใจอยากไปอีกนะ และครั้งนี้จะขอปั่นจักรยานขึ้น ระยะทางไกลครับ น่าจะเฉียดร้อย กม เรื่องเหนื่อยผมว่าผมไหว แต่เรื่องอากาศเบาบางนี้ไม่เคยเจอ อยากลองดูเหมือนกัน อยากรู้ว่าโหดหรือไม่ อย่างไร
   Tateyama นี้ก็คล้ายกันครับ เป็นเมืองปิด เปิดเมืองปีละแค่ 2 เดือน ตามสไตล์เมืองหิมะ Tateyama นี้อาจมาแนวเดียวกันครับ คือปกติก็จะเย็นๆ สบายๆ แต่ถ้ามีฝนล่ะก็ ตัวใครตัวมัน โดนเม็ดฝนในอากาศหนาวๆ แล้วเหมือนถูกเข็มทิ่มครับ มันรู้สึกยิบๆ ที่ผิว บางคนบอกคัน บางคนบอกเจ็บ แต่โดยรวมแล้วมันไม่สบายตัวเหมือนโดนฝนตอนอยู่เมืองไทย เย็นสบายสุดยอดเลยล่ะ
   มีข่าวดีของผม เมื่อเช้ารื้อบ้านเป็นการใหญ่ หาแบตฯสำรองของกล้องวีดีโอ สักพักก็เจอซุกอยู่ในเก๊ะ รู้สึกดีใจฉิบเป๋ง ไม่ต้องเสียเงินซื้อใหม่ เพราะจะใช้แบตฯสำรองก็เฉพาะตอนไปต่างประเทศหลายๆ วันเท่านั้นเอง ปกติหากอยู่ในไทยใช้แบตฯก้อนเดียวอยู่ได้สบายมาก
   พ่อแม่ผมไปออกกำลังกายที่สวนสาธารณะทุกเช้า วันนี้กลับมาพร้อมกับถุงขนม เป็นมันเทศญี่ปุ่นอบ แม่บอกเพื่อนเอามาฝาก ผมเห็นแล้วหัวเราะเลย บอกแม่ ผมจะไปญี่ปุ่นมะรืนนี้อยู่แล้วครับ
   เช้านี้ทานแค่น้ำเต้าหู้ ส่วนกลางวันทานเส้นหมีราดหน้า แถมด้วยไข่เจียวอีกหนึ่งฟอง ใส่เส้นนิดเดียวพอ แต่ขอผักคะน้าเยอะๆ เลย มื้อเย็นเป็นแค่ผลไม้ และมีถั่วบ้างนิดหน่อย ตลอดวันซดชาเขียวชงเอง ไม่ใส่น้ำตาลไปราว 1.5 ลิตร
   จัดเตรียมวิตามินซี 1000 มก ไว้เรียบร้อยแล้วครับ เผื่อเอาไปกินตอนอยู่ต่างแดน
Title: Re: เมษ 52 13-15 เกาะช้าง
Post by: O'Pern on April 23, 2009, 07:26:51 pm
22 เมษ 52
   เช้านี้ออกปั่นตั้งแต่ยังไม่ตี 5 เช้ามากกว่าทุกวันที่เคยออกปั่น โดนหมาไล่กวดหลายตัว มีอยู่สองตัวที่มาแปลก คือวิ่งพุ่งเข้ามาหาจากทางหน้ารถ เหมือนจะวิ่งชนรถ พอถึงระยะประชิดกัน มันก็ตกใจเบรก แต่จะกลับหลังหันไล่กวดผมต่อก็ไม่ทันเสียแล้ว จักรยานแล่นสวนไปไกลแล้ว
   วันนี้ปั่นเส้นทางเดิมครับ อัดมา 50 กม เหมือนอย่างเคย    แต่แปลกที่กลับถึงบ้าน น้ำหนักไม่เห็นลดลงเลยสักนิด เฮ้ออ.. เล่นผมหมดกำลังใจเลย แถมเช้านี้ลมแรงมาก หลายช่วงของเส้นทางผมปั่นทวนลม ทำเอามาตรวัดความเร็วไม่ค่อยขึ้นเลย
   ช่วงนี้แดดแรงมากๆ ครับ กลางวันผมจะปั่นจักรยานไปคลองถมก็เปลี่ยนใจยกเลิกกระทันหัน เพราะแดดมันแรงเหลือเกินครับ เผาโดนร่างกายนานๆ นี้ต้องแย่แน่ๆ เลย นอกจากแสบผิวแล้ว ยังอาจไม่สบายได้อีกด้วย อุณหภูมิวันนี้เขาว่า 37.4 องศา วัดที่แถวๆ ศูนย์ประชุมแห่งชาติ เวลาบ่ายสามโมง
   เลยตัดสินใจขับรถยนต์ไปแลกเงินที่ Super Rich ราชดำริแทนครับ จากนั้นก็รีบกลับบ้านทันที ไม่อยากไปไหนเลยครับ ร้อนเหลือเกิน อยู่บ้านเราดีกว่า นี่ตัวผมเองก็ยังไม่ได้จัดกระเป๋าเดินทางเลย ผมไม่ค่อยเร่งรีบอะไรนัก แต่มักจะเตรียมพร้อมอยู่เสมอ ผมมีกระเป๋าใบเล็กๆ ใส่อุปกรณ์ของใช้ส่วนตัวแพ็คพร้อมเดินทาง พอจะไปก็แค่หยิบกระเป๋าใบนี้เหน็บไปด้วย นอกจากจะมีของใช้พวก ยางสีฟัน แปรงสีฟัน สบู่ ยาสระผม ที่โกนหนวด ฯลฯ ยังมีอุปกรณ์ยังชีพการนอนอีกด้วยนั่นคือยาทากันยุง ที่อุดหู (อันนี้เวิร์คมากๆ หากเจอเพื่อนร่วมห้องนอนกรน) ที่ปิดตา (กรณีนอนรวมกันหลายคน แล้วคนอื่นเปิดไฟสว่าง) ที่เหลือก็คือแค่ชุดใส่ให้ครบตามจำนวนวัน กางเกงชั้นใน ถุงเท้า ผมมีของง่ายๆ เพียงเท่านี้
   แต่ยังมีกระเป๋าถืออีกใบ อันนี้ติดตัวตลอด เพราะมีกล้องวีดีโอ เครื่องคิดเลข น้ำดื่ม ของขบเคี้ยว แผนที่ สมุดบันทึก ปากกา พาสปอร์ท ถ้าไปสถานที่ธรรมชาติมากๆ ผมจะนำหีบเพลงปากไปด้วย (อันนี้แหละ กระชากอารมณ์ได้ดีสุดยอด)
   ครั้งนี้ไม่ได้นำจักรยานตัวเองไปด้วยครับ เพราะกะจะปั่นกันแค่วันเดียว กลัวจักรยานจะเป็นภาระขณะขึ้นรถไฟ JR (ชื่อรถไฟที่ญี่ปุ่น ย่อมาจาก Japan Railway) งวดนี้เลยใช้บริการจักรยานเช่า แต่ถ้างวดหน้าไปอีกที่จะเป็นทริปของจักรยานล้วนๆ เลยล่ะ นัดกับรุ่นน้องชื่ออาร์ทไว้เรียบร้อยแล้วล่ะ แต่ยังไม่กำหนดวันเวลาที่แน่ชัดกัน
   ส่วนม้วนเทปวีดีโอที่ผมยังไม่มี ผมใช้วิธีขอเทปของลูกมาใช้ ผมบันทึกสารคดีเกี่ยวกับการบินเอาไว้หลายม้วนให้ลูกดู ขออันที่เขาไม่ชอบมาสัก 2 อันก็พอแล้ว ผมไปไหนมาก็มักจะบันทึกภาพไว้ครับ เอาไว้ให้ลูกได้ชมตอนเขาโต ผมว่าเขาคงชอบนะ หรือผมอาจคิดไปเองคนเดียวก็เป็นได้ หลายที่ๆ ผมบันทึกเอาไว้ และหวังว่าอาจได้กลับไปอีกครั้ง
   
23 เมษ 52
   เช้านี้ไม่ได้ออกปั่น ตื่นสาย เพราะนอนดึก จัดเตรียมของลงกระเป๋า แต่ผมมักจะจัดกองๆ เอาไว้ก่อน ค่อยๆ ทะยอยแพ็คลงกระเป๋าทีละอย่าง กองไว้เกะกะเต็มไปหมด แบ่งแยกประเภทของใช้เป็นหมวดหมู่ เช็คดูว่าข้าวของครบตามที่เราจำเป็นต้องใช้หรือไม่ ชุดชั้นในและถุงเท้านี่ของใกล้ตัวที่สำคัญมาก หากจะใส่ซ้ำ ก็ต้องเตรียมการซักและตากด้วย แต่ถ้าเป็นกางเกงยี่นส์นี้ใส่ซ้ำได้สบายๆ 2 – 3 วันนี้เป็นเรื่องธรรมดามาก
   ตอนเย็น “กรม” จาก Tata โทรมาชวนไปสิงคโปร์ แต่คุยกันได้พักเดียว เขาคงติดธุระ สักพัก “กบ” โทรมาอีกคน กบคนนี้เป็นรุ่นน้องสมัยผมเรียนโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ตอนเรียนไม่รู้จักกันหรอก มารู้จักกันตอนเล่นรถยนต์ แต่กบเขาเล่นรถหนักกว่าผมเยอะ ไปทางพวกรถสปอร์ท รถแรงๆ มอเตอร์ไซค์ก็เอา แต่ล่าสุดเขาขี่จักรยานด้วย
   “เราไปกันวันที่ 7 พค กลับ 10 พค” กบบอกผม ผมรีบวิ่งไปดูปฏิทิน อยากไปด้วย เพราะเขาบอกพักฟรี มีบ้านเพื่อนสนิท อยู่ได้สบายๆ ไม่ต้องเกรงใจ แหม ฟังแล้วสดชื่นจัง การได้พักฟรีในต่างประเทศผมถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ครับ เพราะจะทำให้เราเหลือเงินเอาไว้ใช้สอยด้านอื่นอีกเยอะมาก
   แต่เอ… วันที่ 7 นี้ผมยังไม่แน่ใจเลยว่าจะกลับจากญี่ปุ่นหรือยังน่ะสิ ลำพังเรื่องธุระของผมน่ะเสร็จตั้งแต่วันอาทิตย์แล้ว แต่ผมจะอยู่ต่อ อยากปั่นจักรยานเล่น สำรวจเส้นทาง ดูสถานที่ต่างๆ ดูร้านเช่าจักรยาน ดูสถานที่กิน ที่เที่ยว ฯลฯ
   ผมอยากจัดทัวร์จักรยานครับ แต่การไปต่างแดนมันมีค่าใช้จ่ายเยอะเหลือเกิน ลำพังไปตัวเปล่า หากซื้อทัวร์ญี่ปุ่นก็ต้องมีสัก 5-6 หมื่นบาทแล้ว ไหนยังจะต้องขนจักรยานไปอีก ค่าใช้จ่ายมันเพิ่มขึ้นเยอะแน่ครับ ไหนจะค่ากิน ค่าอยู่
   ลูกทัวร์ที่จะไปกับผมคงอาจมีแค่ทริปละไม่กี่คน แต่ก็ดีไปอย่างตรงที่คนน้อยๆ จะทำให้การเดินทางสะดวกมากยิ่งขึ้น ผมชอบชาวจักรยานเรื่องการตรงต่อเวลาครับ นัดกันแล้วไม่ค่อยมาสาย มีแต่มาแต่เช้าตรู่มารอก่อนคนนัดเสียอีก แบบนี้เยี่ยม
   เอาไงดี อยากไปสิงคโปร์กับกลุ่มนี้เขาด้วย ยิ่งได้พักฟรี ยิ่งอยากไปเข้าไปใหญ่ แต่ถ้าพลาด ผมก็คงต้องลุยเดี่ยว ยังไงก็ต้องไปแน่ๆ ประเทศนี้สวยงาม สะอาด น่าปั่นจักรยานอย่างมาก แต่ก็ยังไม่รู้เลยครับว่าสามารถหาร้านจักรยานเช่าจากที่โน่นได้ไหม แต่ถ้าเอารถเราไปเองได้มันจะรู้สึกสะใจกว่าเยอะ
   ผมคงเก็บเอาเรื่องนี้ไปคิด เพราะหากจะไปกับเขา ก็ต้องกลับมาให้ทัน หรือไม่ก็ไปเจอกับเขาที่สิงคโปร์โน่นเลย
   ผมเริ่มแพ็คของอย่างจริงจังเอาตอนหกโมงเย็น เริ่มจัดเสื้อผ้าก่อน ใช้วิธีม้วนครับ ม้วนมันเป็นท่อนๆ นี่แหละ กางเกงก็ม้วน เสื้อก็ม้วน วางสุมๆ กันแล้วมันไม่ยับ หรือตอนพนักงานโยนกระเป๋าเราแรงๆ ของด้านในกระเด็นไปมา ไอ้ที่เราม้วนๆ ไว้มันก็แค่คลายตัวออกมา
   กระเป๋าเดินทางนี้ต้องใส่รหัสล็อคด้วยนะครับ รหัสเดิมๆ ติดตัวมาจากโรงงานอย่าไปใช้นะ เช่นพวก 000 อะไรนี้ ไม่เอา ตั้งใหม่ให้เป็นเลขที่เราจำง่ายแต่คนอื่นเดายาก ไม่แนะนำเลขตอง เดาง่ายที่สุดเลย
   ยังต้องมีแถบรัดกระเป๋าเสริมด้วยครับ อันนี้ป้องกันกระเป๋าเด้งเปิดเอง เคยเห็นของบางคนเขาเปิด พนักงานต้องหยิบของยัดๆ ๆ ใส่ไปให้แทน สงสัยตัวล็อคจะเสีย หรือไม่ก็ปิดไม่สนิทก่อนเช็คอิน
   ตามมาด้วยชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทร ติดไว้ที่กระเป๋า เผื่อกรณีกระเป๋าตกหล่น คนที่สนามบินจะได้ส่งกลับมาบ้านเราได้ถูก
   ใครใช้กระเป๋าโหลๆ ก็ขอให้ทำเครื่องหมายแสดงความต่างไว้ด้วยครับ เวลารอกระเป๋าออกมาจากสายพาน ผมเล็งนานมาก จนระยะหลังติดสติกเกอร์ไว้ จากนั้นเรื่องยากก็เป็นเรื่องง่ายขึ้นมาทันใด
   ผมนำกระเป๋าใหญ่ไปใบเดียวครับ ไม่ได้ซื้อของอะไรมากอยู่แล้ว (แต่ถ้ามีการเดินตลาดนัดท้องถิ่นก็ไม่แน่นะ) กับกระเป๋าสะพายอีกใบ อันนี้มีของยังชีพอีกชุดหนึ่ง เช่น หนังสืออ่านเล่น ของขบเคี้ยว น้ำดื่ม กล้องวีดีโอ สมุดบันทึก เครื่องคิดเลข หมวก ฯลฯ
   ผมพร้อมออกเดินทางแล้วครับ จะกลับมาวันไหนยังไม่กำหนดเลย
   อ้อ .. ผมนำภาพภรรยาและลูกติดตัวไปด้วยเหมือนตอนปั่นขึ้นอินทนนท์ครับ
Title: Re: เมษ 52 13-15 เกาะช้าง
Post by: O'Pern on April 30, 2009, 07:03:56 pm
24 เมษ 52
   เดินทางถึงประเทศญี่ปุ่นแล้วครับ ไม่เคยสัมผัสประเทศนี้มาก่อนเลย นั่งเครื่องอยู่ราว 6 ชั่วโมง เล่นเอาเมื่อยก้น แต่ก็ยังดีกว่าไปยุโรป หรือสหรัฐอเมริกา พวกนั่นว่ากันเป็นสิบชั่วโมงแบบรวดเดียว ไม่มีการจอดแวะพักข้างทางเหมือนตอนขับรถยนต์ จำได้ว่าตอนไปอิตาลีนี้ผมนั่งดูหนังเรื่ององค์บากอยู่ 3 รอบ หนังฉายวนต่อเนื่องกันไม่มีหยุด ดูจนจำบทพูดของตัวละครได้เลยล่ะ
   เครื่องที่ไปยุโรปมักจะเกรดดีกว่าเครื่องที่ใช้บินในเอเชียครับ เรื่องขนาดของเก้าอี้ผมว่าสูสี แต่จะมาเฉือนกันตรงที่อุปกรณ์อำนวยความสะดวก เช่นมีจอภาพยนต์ส่วนตัว เลือกช่องดูหนังได้เองอย่างอิสระ มีเกมส์ให้เล่นราว 5 เกมส์ แถมยังเล่นร่วมกับผู้โดยสารท่านอื่นในลำเดียวกันได้อีกด้วย ทำโดยการระบุหมายเลขที่นั่งลงไป แต่เกมส์ที่ผมชอบมากสุดคือเกมส์สอนภาษา ซึ่งมักจะเป็นภาษาของประเทศปลายทางที่เรากำลังจะไป เรียกว่าทั้งสนุก ทั้งได้ความรู้ติดตัว
   เท้าแตะสนามบินยังไม่รู้สึกร้อนหนาว เพราะยังอยู่ในอาคารผู้โดยสาร เราก็ทำตามลำดับของพิธีการ คือ ลงจากเครื่องปุ๊บก็ต้องไปที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง ยืนเข้าแถวในช่องที่เขียนว่าพาสปอร์ทคนต่างชาติ เสร็จด่านนี้ก็เข้าไปรับกระเป๋าได้เลย ต้องดูจากหน้าจอแสดงผลว่ากระเป๋าของเราจะอยู่ที่สายพานไหน เขาจะมีระบุไว้ว่าเครื่องบินไฟล์ทไหนจะเอากระเป๋าลงที่สายพานใด ได้กระเป๋าออกมาแล้วก็เข็นออกข้างนอกได้เลย ต้องผ่านด่านสุดท้ายคือด่านศุลกากร ถ้าไม่มีของอะไรต้องสำแดงก็เข็นรถออกช่องเขียว แต่บางคนน่าสงสัยเจ้าหน้าที่ก็จะขอเรียกตรวจกระเป๋า ผมเห็นคนผิวสีก่อนหน้าผมโดนค้นเสียละเอียดยิบ จนเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นต้องให้ผมไปต่อคิวแถวอื่นแทน
   สัมผัสอากาศธรรมชาติของญี่ปุ่นครั้งแรกก็ตอนออกจากสนามบินนี่แหละครับ สูดแล้วสดชื่นดีจริงๆ เพราะเป็นสนามบินที่อยู่นอกเมือง ชื่อสนามบินชูบะ อยู่เมืองนาโกย่า สนามบินนี้สร้างโดยการถมทะเลด้วยขยะ เป็นสนามบินที่เปิดตลอด 24 ชม ต่างจากสนามบินเก่าๆ อย่างนาริตะที่อยู่โตเกียว สนามบินนั้นจะเปิดถึงแค่ 4 ทุ่ม เพราะเขาเกรงใจประชาชนที่อยู่รอบข้างสนามบินที่จะได้รับผลกระทบจากมลภาวะด้านเสียงดัง (เห็นนโยบายของรัฐบาลเขาแล้วซึ้งจริงๆ) ส่วนสนามบินชูบะที่บอกเปิดได้ 24 ชม นี้ก็เพราะเขาถมพื้นที่ออกไปนอกชายฝั่งทะเลเลยครับ ไม่รบกวนประชาชนท้องถิ่นแม้แต่คนเดียว!!!
   ทันทีที่ออกนอกสนามบิน สายตาของผมสอดส่องแต่คนปั่นจักรยาน ทั้งๆ ที่มีรถยนต์มากมายให้ดูจนละลานตา เรียกว่าแค่ยืนมองดูรถยนต์ในลานจอดรถก็สนุกแล้ว
   แต่จากที่มองเห็นส่วนใหญ่จะเป็นรถจักรยานแบบแม่บ้านครับ แต่เขามักจะปั่นกันบนทางเท้า แต่ถ้าเป็นย่านนอกเมือง หรือถนนกว้างสักหน่อย เขาก็จะปั่นกันบนผิวถนนเลย คนปั่นกันเยอะมากครับ ยิ่งเช้าเย็นยิ่งเยอะ โดยเฉพาะพวกเด็กนักเรียนนี้มีเยอะมาก ยังไม่นับคนทำงาน ชาย หญิง ต่างปั่นจักรยานกันหมด แหม ดูแล้วน่าสนุกจริงๆ
   จากสนามบินผมเดินทางต่อไปยังเมือง Gifu ผมชอบความเป็นธรรมชาติ และของโบราณ เมืองนี้เป็นเมืองเก่าบ้านเรือนยังคงอยู่ในสภาพเดิมเมื่อ 400 กว่าปีก่อน ลักษณะเป็นชุมชนเล็กๆ บ้านเรือนหลังเล็กๆ เรียงกันคล้ายกับตึกแถว (ถ้าเรียกแบบคนไทยนะ ถ้าเป็นที่สิงคโปร์เขาจะเรียกว่า Shop House น่าแปลกที่คนไทยรุ่นใหม่เรียกบ้านที่ทำการค้าไปด้วยว่า Homp Office แหม เรียกแล้วดูโก้ฉิบเป๋ง) บ้านเรือนพวกนี้สร้างด้วยไม้ครับ มีถนนเล็กๆ แคบๆ เชื่อมโยงกันเป็นลักษณะตัดสี่เหลี่ยม ผังเมืองเหมือนกับย่านสยามสแควร์เลย เป็นบล็อคๆ
   ไปชมแค่บ้านเรือนก็สวยจับตาแล้วครับ ยั้งมีบางบ้านทำขนมโบราณขายสดๆ อีกด้วย มีร้านหนึ่งขายขนมแป้งข้าวเหนียวชิ้นกลมปิ้งกรอบๆ ภาษาญี่ปุ่นเขาเรียกขนม “เซมเบ้” แต่เซมเบ้นี้เขามีกันเป็นร้อยๆ ชนิดเลยนะ ทั้งหวานทั้งเค็ม ผมลองแล้วรู้สึกว่าอร่อยหมด ขอให้กรอบ และใหม่สด เป็นใช้ได้ แต่ราคาก็ไม่เบาครับ ชิ้นขนาดเท่าผ่ามือ เขาขายชิ้นละ 250 เยน (อัตราแลกเปลี่ยนเงิน 100 เยน = 37 บาท / วันที่ 24 เมษายน 2552) ก็ตก 92.50 บาทครับ จ่ายเป็นเงินเยนก็ไม่รู้สึกอะไรนัก แต่คิดคำนวนเป็นเงินไทยแล้วแทบหงายท้อง ขนมกรอบๆ ชิ้นโตหน่อยเดียว อันละเกือบร้อยบาท
   ยังมีบางร้านแพงกว่านี้อีกนะ อันละ 350 เยนก็มี ส่วนไอศครีมโคนที่มักขายกับไอศครีมแบบ Softcream ราคาอันละ 300 เยน เห็นนักท่องเที่ยวกินกันหลายคนเลย สนใจเข้าไปดู แต่ผมไม่ซื้อ อันใหญ่เหลือเกิน กินไม่หมด กินหมดก็คงจะอ้วนน่าดู
   เดินชมเมือง ดูโน่น ดูนี่ ซึ่งมักจะเป็นพวกศิลปะของการก่อสร้างและการวางผังเมือง ดูระบบระบายน้ำที่ทำโดยขุดร่องน้ำขนาดใหญ่และภายในเอาหินขัดเรียบๆ มาวาง น้ำไหลเร็วมากๆ
   เมืองนี้ติดกับภูเขาและลำคลองสายใหญ่ น้ำสะอาดมากจนถึงขนาดมีปลาคาร์ฟสีส้มๆ แดงๆ ว่ายอยู่ในลำคลองนี้หลายตัว ตัวโตเสียด้วย อยู่เมืองไทยไอ้พวกนี้ไม่น่ารอด ผมว่า
   หากให้เปรียบเทียบคงจะเหมือนเราไปเที่ยวตลาดอัมพวา ตลาดสามชุก อะไรทำนองนี้ เพียงแต่ของไทยเราเน้นของกินเป็นหลัก ยังดีที่ได้บ้านเรือนสมัยโบราณเก็บไว้เป็นแบ็คกราวน์สวยๆ
   ติดกับชุมชนแห่งนี้ยังมีจวนผู้ว่าที่ยังหลงเหลือและเก็บอนุรักษ์ไว้อยู่ด้วยครับ ของโบราณเดิมๆ สร้างด้วยไม้หลังใหญ่โตมาก ไม่มีตะปู ปูพื้นด้วยเสื่อทาทามิ (ทราบภายหลังว่าแถวโคราชนี้คือแหล่งผลิตเสื้อทาทามิส่งออกไปญี่ปุ่นเลยล่ะ) ประตูเลื่อนไม้ บุด้วยกระดาษสา แบบที่เราเห็นเหมือนในหนังนั่นแหละครับ
   คืนนี้ผมขอพักที่ๆ มีบ่อน้ำแร่ธรรมชาติสักหน่อยครับ เกิดมาก็เคยแค่นอนแช่น้ำอุ่นในห้องน้ำ ไม่รู้เหมือนกันไหม
   โรงแรมที่พักชื่อ Hodakaso Yamano Hotel มีบ่อน้ำแร่ให้แช่ทั้งแบบ In Door และ Out Door ด้านในอาคารด้านหลังมีบ่อน้ำแร่สำหรับแช่เท้า แต่ดูแล้วน่าสยอง เหมือนรู้สึกตกนรก เพราะมีไอร้อนๆ เป็นควันลอยขึ้นมาจากบ่อน้ำนี้ตลอดเวลา    ผมมาญี่ปุ่นครั้งนี้ต้องการเก็บเกี่ยวประสพการณ์เอาไว้ให้มากที่สุดครับ แม้ใจจริงอยากได้บ่อแบบธรรมชาติที่เคยดูใน TV Champion แต่มันอยู่ไกลเหลือเกิน เลยขอลองบ่อของโรงแรมนี้ก่อน แต่บ่อของโรงแรมนี้ก็ไม่ใช่ขี่เหร่นะครับ ด้านนอกอยู่ติดกับแม่น้ำ แถมทิวทัศน์ก็ใช่ย่อย อยู่ในโอ้มกอดของขุนเขา
   เออ ลืมเล่าเรื่องอากาศ ตั้งแต่ก้าวขาออกจากอาคารสนามบินก็สัมผัสได้ถึงอากาศอันเย็นฉ่ำ จะว่าไปก็คล้ายกันทางเชียงใหม่ช่วงหน้าหนาวนั่นแหละ ก็ราว 12-15 องศา แต่ถ้ามีลมกระโชกพัดแรงๆ ผ่านมาล่ะก็ หากเสื้อมี Hood คลุม ก็หยิบคว้ามาปิดแทบไม่ทันกันเลย หนาวสุดยอด มีฝนปรอยๆ ด้วย นี่คือตัวแปรของความหนาวเย็นเลยล่ะ
   พอเข้าโรงแรมได้ก็รีบตรงดิ่งไปบ่อน้ำแร่ Out Door ทันทีเลยครับ โรงแรมตั้งอยู่ริมหน้าผาชัน จะไปบ่อน้ำแร่ต้องลงบันไดไปราว 100 เมตร ผมใส่ชุดยูกาตะลงไป พอถึงบ่อก็ถอดชุดใส่ในตระกร้า แต่พอจะลงบ่อแล้วมันช่างยากเย็น เพราะน้ำในบ่อมันร้อนเหลือเกิน ผมค่อยๆ หย่อนเท้าลงไป แต่กว่าจะเหยียบได้ก็ต้องกลั้นใจ หย่อนถึงหลายนาทีเพิ่งจะหย่อนลงไปได้แค่เอว ร้อนมากๆ ครับ ผมไม่เคยอาบน้ำอะไรที่ร้อนขนาดนี้มาก่อนเลย ขนาดหน้าหนาวในเมืองไทย ผมยังอาบน้ำเย็นเลยด้วยซ้ำไป
   ก็ได้แต่ทนๆ ไปครับ สุดท้ายก็ลงไปมิดคอ อยากลงทั้งหัว แต่กลัวใบหน้าพัง ขนาดลงไปมิดคอนานแล้ว ผมแช่อยู่นาน ยังไม่พบกับความสุขหรือความสบายตัวเลยสักนิด ไม่เห็นมันจะสนุกหรือสบายตัวตรงไหนเลย ในทีวีคนแช่เขาทำหน้าตามีความสุขกันเสียจริง ผมเลยอยากลองบ้าง
   ทนได้สัก 15 นาทีผมก็ขึ้นครับ พอเดินขึ้นแล้วกลับมีความสุขเสียยิ่งกว่า แต่แปลกตรงที่ช่วงเพิ่งขึ้นจากน้ำสัก 3 นาที ผมรู้สึกเวียนหัวครับ เหมือนกับเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ ช่วงที่แช่น้ำร้อนจะทำให้เลือดลงไปเลี้ยงทั่วร่างกาย พอก้าวขาขึ้นจากบ่อเลือดที่ไปเลี้ยงอยู่ในร่างกายจึงวิ่งขึ้นมาบนศีรษะไม่ทัน สอบถามคนอื่นดู เขาก็บอกว่าเป็นเหมือนกัน
   โรงแรมนี้อยู่นอกเมืองครับ เลยใช้บริการอาหารเย็นของโรงแรม จัดชุดสุกี้ยากี้มาให้ผมครับ มีหม้อไฟเล็กๆ มีเนื้อหมู มีผักพื้นบ้าน เส้นอุด้ง เอาทุกอย่างใส่หม้อไฟ รอให้สุก ก็ตักกินพร้อมกับข้าวสวย ไม่น่าเชื่อว่าอร่อยเหลือเกิน
   สอบถามเจ้าหน้าที่เขาบอกว่า อร่อยเพราะข้าวเขาหุงด้วยน้ำแร่จากบ่อธรรมชาติครับ ส่วนเนื้อสัตว์ก็เป็นของดีในท้องถิ่นเขา ผักพื้นบ้านก็ปลอดสารพิษ
   ทานอาหารเย็นเสร็จผมรู้สึกเหมือนเป็นหวัดครับ มีจาม มีน้ำมูกใส ทั้งๆ ที่ผมไปไหนมาไหนก็ไม่เคยเป็นอะไรเลยสักนิด ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไรเหมือนกัน จึงลองไปที่บ่อด้านในโรงแรม ไปบ่อเล็กที่นั่งแช่เท้า แช่สักพัก อาการหวัดก็หายไปเอง เออ แปลกดีเหมือนกัน เป็นเอง หายเอง แป๊บเดียวเองอีกด้วย
   อ้อ นึกออกแล้ว ช่วงเย็นมีฝนตกนี่เอง ผมตากฝนในขณะที่อากาศหนาวเย็นอย่างมาก (เพราะอยู่บนเขา) มีลมแรงเป็นจังหวะ
   กลางคืนผมนอนด้วยการเปิดหน้าต่างแง้มๆ ไว้สักคืบหนึ่ง หลับสบายใต้ผ้าห่มหนา อากาศดี แถมเงียบสงัด

25 เมษ 52
   ตื่นเองตามปกติสักตี 5 ก็พบกว่าฟ้าสว่างโร่เหมือนกับสัก 7 โมงที่เมืองไทย แดดแรงมากๆ นี่เป็นฤดูใบไม้ผลิที่ญี่ปุ่นนะครับ ตามปกติมันต้องไม่มีหิมะ ไม่มีฝนอะไรกันแล้ว แปลกใจอยู่เหมือนกันนะนี่ ฝนยังปรอยๆ อยู่ตลอดเลย
   ไฮไลท์ของวันนี้อยู่ที่การขึ้นเขาที่จุดชมวิวชื่อ Kamikochi สถานนีกระเช้าชื่อ Shin Hodaka Ropeway ต้องเดินทางไกลถึง 3200 เมตรบนสันเขาสูงชัน ต่อกระเช้าสองช่วง ช่วงที่สองเป็นกระเช้าแบบสองชั้นอันแรกของโลกอีกด้วย
   ขึ้นไปที่ความสูง 2156 เมตร จุดสูงสุดนี้สามารถมองเห็นเทือกเขา Japan Alps ที่ผมใฝ่ฝันอยากไปสัมผัสวันพรุ่งนี้
   ผมทานอาหารเซ็ทของโรงแรมเป็นมื้อเช้าครับ ไม่คุ้นปากอย่างมาก แต่ทำใจเป็นกลางแล้วรู้สึกว่ารสชาติดีเหมือนกัน เป็นข้าวทานกับผักดอง มีปลาแซลมอนย่าง ซุปมิโซะ อะไรทำนองนี้
   ฝนยังไม่หายเลยครับ มันเกิดอะไรขึ้นของมันนี่ ฝนตกแล้วอากาศเยือกเย็นมากครับ ทำให้เส้นทางที่ผมใช้วันนี้เปียกแฉะตลอด และเนื่องจากการที่ต้องไปขึ้นเขาสูงถึง 2000 กว่าเมตร จึงทำให้ผมสัมผัสบรรยากาศแปลกๆ ผมจะเล่าให้อ่าน
   หากเราอยู่พื้นราบและสัมผัสเม็ดฝน มันก็จะเหมือนหยดน้ำเปียกๆ แต่พอผมค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ จากเม็ดฝนเฉอะแฉะด้านล่างมันก็เริ่มเปลี่ยนเป็นปุยนุ่มๆ ของหิมะครับ รู้สึกตื่นตาตื่นใจอย่างมาก เพราะไม่เคยเห็นฝนกลายเป็นหิมะแบบคาตาอย่างนี้มาก่อนเลย
   กลายเป็นว่าฝนทำให้ผมได้ประสพการณ์แปลกใหม่อันแสนจะเยี่ยมยอด จากพื้นล่างที่เฉอะแฉะ ด้านบนตอนนี้ไม่แฉะแล้ว เป็นปุยหิมะตกมาแทน โดนตัวก็ไม่เปียกครับ แต่ถ้าทิ้งไว้นานหน่อยก็จะมีหิมะมาเกาะกันเต็มหัวจนกลายเป็นน้ำแข็งเคลือบตัวเราเอาไว้เลย สนุกสิครับ คิดว่าจะมาแค่ชมวิว แต่กลับได้สัมผัสหิมะ เสียตรงที่ไม่ได้เตรียมชุดแบบรัดกุมมาเท่านั้นเอง
   ตอนแรกตั้งใจจะมามอง Japan Alps ที่จะไปขึ้นวันพรุ่งนี้ กลายเป็นว่าตอนนี้สนใจแต่หิมะและน้ำแข็งที่อยู่บนจุดชมวิวอันนี้ ผมถามเจ้าหน้าที่เขาว่าฝนตกมาเมื่อสองคืนก่อนอย่างต่อเนื่อง ทำให้หิมะก่อตั้วขึ้นอย่างรวดเร็ว ตามปกติบริเวณนี้จะเป็นผืนหญ้าสีเขียว
   ผมเดินตามเส้นทางในหิมะอย่างสนุกสนาน โชคดีที่รองเท้าของผมมันกันน้ำได้ด้วย เลยเดินย่ำหิมะได้อย่างสนุกสนาน แต่อีกแป๊บเดียว ผมก็จะได้สัมผัสอีกประสพการณ์
   ขณะเดินเหยียบย่ำอย่างสนุกสนาน เท้าข้างหนึ่งของผมเหยียบลงไปบนผิวหิมะที่อ่อนนุ่ม ผลคือเท้าผมจมลงไปราว 1 เมตรกว่าๆ ขาอีกข้างยังค้างอยู่ด้านบนแต่อีกข้างจมมิด ลำตัวท่อนบนนอนราบไปกับพื้น นี่ถ้าขาอีกข้างจมลงไปด้วย รับรองว่าผมอ่วมแน่ๆ
   ไม่มีใครอยู่รอบข้าง ไม่มีใครเห็นผม จึงต้องไต่ออกมาจากหลุมเองครับ เท้าข้างที่จมมันลงไปลึกมาก ดึงขึ้นยากเพราะไม่มีผิวดินให้ยันแขน ยันพื้นไปก็เจอแต่หิมะนุ่มๆ แช่อยู่นานก็ยิ่งค่อยๆ จม เอาล่ะมึง งานเข้า ๆ ๆ
   แม้จะจมลงไปไม่มิดตัว แต่มันขึ้นยาก ค่อยๆ ขยับตัวดันหิมะให้มีช่องอากาศเข้ามาระหว่างหลุมที่จม พอมีช่องอากาศมากเข้าก็เริ่มดึงลำตัวขึ้นได้ และสุดท้ายก็ดึงเท้าออกมาได้ แต่ดึงยากรองเท้ามันติด ต้องทำปลายเท้าให้ชี้ลงด้านล่างถึงจะง่ายขึ้นมาหน่อย
   แปลกตรงที่ขาที่จมอยู่ด้านในไม่รู้สึกหนาวเย็นเลย ขึ้นมาได้ทีนี้ก็ระวังตัวแจเลยครับ เดินเฉพาะบริเวณที่มีคนผ่านไปมาจะดีกว่า
   เดินได้สักพักก็เข้าไปหลบหิมะที่ตัวอาคารด้านในครับ ผิงเตาฮีทเตอร์สักพัก พอมือหายเย็น (ผมไม่ได้นำถุงมือติดไปด้วย) ก็ออกไปเดินลุยหิมะเล่นต่อ เล่นยังกะเป็นเด็กเลยล่ะ สนุกจริงๆ อ้อ อุณหภูมิตอนนี้ -3 องศาเซลเซียสครับ วิ่งเข้าวิ่งออกเป็นว่าเล่น อากาศขมุกขมัว ถ่ายรูปออกมาก็ไม่สวย มันไม่มีแสงแดดส่อง มีแต่ลมพัดแรง มีปุยหิมะหนาๆ เป็นบางช่วง เสื้อผ้าของผมเต็มไปด้วยปุยหิมะ หากจะเข้าในตัวอาคารต้องสะบัดมันออกเสียก่อน หากเข้าในอาคารแล้วหิมะจะละลายกลายเป็นน้ำทันที จะทำให้เสื้อผ้าเปียกอีกด้วย
   เล่นสนุกจนหนำใจก็ค่อยลงเขาครับ ใช้กระเช้าเหมือนเดิม แต่ถ้าใครมีอุปกรณ์ไต่เขาหิมะมาก็สามารถเดินขึ้นหรือลงจากเขานี้ได้ แหม..ท้าทายเราอีกแล้ว
   ได้แต่คิดครับ เพราะขนาดตะกี้แค่เท้าตกหลุมยังเกือบแย่ นี่ต้องเดินเท้าถึง 3200 เมตร ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าตายชัวร์ครับ เครื่องมือก็ไม่ได้ติดมาสักชิ้น แต่ถ้าได้เชือกไต่เขาสักชุด พร้อมกับห่วงรัดตัวก็อยากลองเหมือนกันนะนี่ ก็ทางเดินลงนี้มันวกวนตามสันเขาครับ มันไม่ได้ตั้งตรงเด่เหมือนพวกไต่หน้าผา ผมถึงได้ออกอาการอยากลองของไง
   ประเมินแล้วไม่คุ้มค่าครับ เก็บแรงไว้ลุยเขา Tateyama วันพรุ่งนี้ดีกว่า ขาลงนี้จากเดิมเห็นหิมะปลิวๆ จู่ๆ ก็กลายเป็นเม็ดฝน นั่นคือเราเริ่มลงต่ำแล้ว ใจผมชอบแบบหิมะมากกว่านะ เพราะมันไม่เปียกเสื้อผ้า เดินลุยฝ่าได้สบาย แต่ถ้าฝนตกต้องใช้บริการร่ม ไม่งั้นเปียกแฉะ และจะหนาวมากๆ
   ลงมาถึงด้านล่างแล้วเห็นสกีรีสอร์ทที่อยู่บริเวณเดียวกันแต่มันไม่มีหิมะแล้ว เห็นแต่ทุ่งหญ้าเป็นทางลาดชัน และกระเช้าเคเบิ้ลที่เอาไว้พานักสกีขึ้นไปบนยอดเขา
   กลางวันแวะร้านอาหารชื่อ Maumi ทานอาหารชุดอีกแล้ว เล่นง่าย สั่งง่าย แต่มื้อนี้เป็นเนื้อไก่ครับ มาเป็นหม้อเหมือนสุกี้เลย แต่เนื้อไก่มี่แค่นิดเดียวเอง แต่เครื่องเคียงนี้มีเพียบ หลายอย่างเลย ลองแล้วอร่อยดีเหมือนกัน
   บ่ายเดินทางไปหมู่บ้านชื่อ Shirakawa สถานที่นี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจาก Unesco เมื่อปี 1995 จุดเด่นคือเป็นหมู่บ้านแบบชนบทโบราณ หลังคาตั้งชั้นราว 60 องศา คลุมด้วยฟางหนาๆ ญี่ปุ่นเขาเรียกบ้านสไตล์นี้ว่ากัสโซ สึคุริ บ้านสไตล์นี้ไม่มีตะปู (เพราะสมัยก่อนยังไม่มีตะปูให้ใช้กันนี่หว่า) หมู่บ้านนี้สวยมากๆ บรรยากาศดีเยี่ยม แต่ว่าฝนตกครับ มาเซ็งตรงนี้แหละ จะเดินเล่น หรือถ่ายรูปก็ทำได้ไม่สะดวก จากความประทับใจจึงทำให้ผมซื้อผ้าบังตาหน้าประตูแบบญี่ปุ่นผืนใหญ่ เป็นรูปวาดของบ้านทรงนี้มาหนึ่งชิ้น ราคาไม่ถูกครับ จ่ายไป 2100 เยน
   ทำเลที่ตั้งของหมู่บ้านนี้อยู่บนพื้นราบ ท่ามกลางขุนเขา (อีกแล้ว) ประเทศญี่ปุ่นเขามีภูเขาเยอะมากครับ พื้นที่ราบมีนิดหน่อยเอง ถึงทำให้ราคาที่ดินแพงไง แต่จากการวิเคราะห์ของผมเองคนเดียว ผมคิดว่าเมือง Shirakawa นี้เป็นเมืองจัดฉากครับ เป็นเมืองจัดฉากเช่นเดียวกับเมือง Vanice ของอิตาลี คือเป็นเมืองเก่าจริง สวยจริง แต่มันไม่มีวิญญาณ มันไม่มีคนท้องที่ดั้งเดิมอยู่ มีแปลงปลูกผัก ทำนาก็จริง แต่ก็แค่เป็นการทำโชว์ให้นักท่องเที่ยวดู พอตกเย็นผู้คนก็พากันเดินทางออกจากเมืองกันหมด กลายเป็นเมืองร้าง ทุกคนพักอาศัยอยู่รอบนอก พอเช้าวันใหม่เขาก็ค่อยมาทำงานกันในเมืองนี้อีกครั้ง ที่ Vanice นี่ยิ่งชัดเจนครับ ทุกคนบนเกาะพูดภาษาอังกฤษเปรี๊ยะ แต่คนอิตาลีเขาไม่ค่อยพูดอังกฤษกันเท่าไหร่หรอกครับ เขาใช้แต่ภาษาของเขาเอง
   เดินทางออกจากเมืองช่วงเย็นถึงเมือง Kanazawa แวะทานร้านอาการแบบบุฟเฟ่แบบ All you can eat ผมเลือกแบบชุดเล็ก คือทานเฉพาะอาหารและเครื่องดื่มแบบ Softdrink แต่มีชุดกลางคือดื่มเบียร์ได้ด้วย และชุดใหญ่ อันนี้เป็นเหล้าเลย
   อาหารอร่อยดีครับ บรรยากาศคล้ายกับร้านหมูกระทะที่หัวละ 89 บาทในไทย แต่ดูดีกว่าเยอะ อาหารดี หลากหลายเยอะมาก สะอาด แต่ให้เวลาทานแค่ 90 นาทีนะ จากนั้นจะมีลูกค้าชุดใหม่เข้ามา
   ค่ำนี้พักที่โรงแรมชื่อ Kanazawa Tokyu Hotel ฝนยังคงตกๆ หายๆ แต่โดยรวมคือพื้นดินยังไม่เคยแห้งเลย ผมทานอาหารและกลับมาโรงแรมจนดึก พบว่าร้านจักรยานเช่าปิดเสียแล้ว พรุ่งนี้ว่ากันอีกที
Title: Re: เมษ 52 13-15 เกาะช้าง / 24-28 Japan Alpine
Post by: O'Pern on May 02, 2009, 03:41:46 pm
26 เมษ 52
   ผมตื่นเองแต่เช้าทุกวัน แต่วันนี้แดดไม่แรงเหมือนวันอื่น มีลมแรง เหมือนเมื่อวานเป๊ะเลย มีฝนตกๆ หายๆ อากาศหนาวเย็นมาก 
   ไปหารถจักรยานที่ร้านเช่า พอบอกจะปั่นขึ้นเขา Tateyama เขาทำหน้าตกใจ แต่ฟังที่เขาอธิบายแล้วผมยิ่งตกใจกว่า เพราะว่าเขาห้ามปั่นจักรยานขึ้น จะเดินทางได้ก็เฉพาะนั่งรถของเจ้าหน้าที่เป็นรถบัส ระหว่างทางต้องนั่งรถราง ต่อกระเช้าเคเบิ้ล ตามด้วยนั่งรถบัส และเขาจะให้เราเดินผ่านกำแพงหิมะอันโด่งดัง ระยะทางราว 500 เมตร ด้านบนมีร้านอาหาร แต่ไม่มีอาหารให้เลือก เขาจัดขายเป็นอาหารชุด จากนั้นก็จะต้องลงอีกด้านหนึ่งของภูเขา ลงด้วยเคเบิ้ล ต่อด้วยรถราง ยังต้องนั่งเคเบิ้ลคาร์ลอดอุโมงทะลุเทือกเขาระยะทางยาว 800 เมตร พอถึงเขื่อนชื่อ Kurobe ก็ต้องเดินผ่านสันเขื่อน เขื่อนนี้ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น เดินผ่านเขื่อนอีก 800 เมตร จุดนี้เป็นทางลงของอีกฝั่ง จะต้องนั่งรถโดยสารต่อเป็นอันสิ้นสุดระยะทาง
   โห แล้วเราจะเอาจักรยานขึ้นไปได้ไงล่ะนี่ มีการต่อกระเช้าด้วย รถรางด้วย รถบัสอีกต่างหาก
   “แล้วมีภูเขาไหนที่พอจะปั่นจักรยานขึ้นได้บ้างล่ะ”
   “เขาส่วนใหญ่ก็มักจะขึ้นได้ แต่ถ้าเป็นด้านยอดบนสูงสุดน่ะมักจะต้องเดินขึ้น บ้างก็ต้องไต่หน้าผาขึ้น”
   งานเข้าภาค 2 เซ็งจัด
   ไหนๆ ก็มาแล้ว ยังไงต้องขอไปเหยียบกำแพงหิมะที่ Tateyama วะ รีบออกเดินทางแต่เช้าไปถึงทางขึ้นเขาก็ตกใจ เพราะเห็นนักท่องเที่ยวมายืนคอยกันมากมาย เป็นร้อยๆ คนเลยล่ะ
   ผมรีบเข้าไปดูลาดเลา ไม่รู้ว่าต้องต่อคิวช่องไหน อย่างไร ด้านนอกฝนก็ยังตกปรอยๆ ผมเตรียมร่มมาด้วย ไม่กลัวฝนแล้วล่ะวันนี้
   “วันนี้อุทยานเราปิดให้บริการนักท่องเที่ยวครับ” เจ้าหน้าที่บอกผม ฟังแล้วรู้สึกตัวชาขึ้นมาทั่งตัว ถามซ้ำอีกครั้ง ผมกลัวฟังผิด แต่เขาก็ตอบแบบเดิม
   “ด้านบนยอดเขาหิมะตกหนักมาก พายุเข้าอย่างรุนแรงสองวันสองคืน ถนนเต็มไปด้วยหิมะและน้ำแข็ง ถนนลื่นมาก เมื่อวานนี้รถบัสของอุทยานที่พานักท่องเที่ยวขึ้นเขาเกิดพลิกคว่ำ มีนักท่องเที่ยวเสียชีวิต 8 ศพ เราเลยจำเป็นต้องปิดเส้นทางในวันนี้ครับ”
   “เราคำนึงถึงความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวเป็นหลัก หากอากาศไม่ดี หรือมีสิ่งใดที่คิดว่าไม่ปลอดภัย เราจะปิดเส้นทางทันที”
   ฉิบหาย งานเข้าภาค 3
   เดินคอตกออกมา ผมรู้สึกโครตจะเสียใจเลย ใจหนึงอยากร้องไห้ แต่หากให้คิดแง่ดีก็คือ ผมยังโชคดีไม่ได้เป็นหนึ่งในผู้ประสพเหตุร้าย หรือผมยังโชคดีที่ไม่ได้ขึ้นเขาเที่ยวเมื่อวานนี้ เพราะหลังจากเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงแล้ว เจ้าหน้าที่เขาปิดเส้นทางทันที ทั้งรถราง รถเคเบิ้ล ต่างต้องถอยหลังกลับกันหมด วุ่นวายกันอยู่หลายชั่วโมง
   เสียใจไปก็เท่านั้น เขาไม่เปิดบริการเสียอย่าง เลยมองหาเป้าหมายถัดไป ใจอยากขึ้นภูเขาฟูจิให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย แต่มันต้องมีการวางแผนล่วงหน้า ต้องจองห้องพักที่ Base Camp ต้องใช้ตัวล่อ (ลูกผสมระหว่างม้ากับลา) เป็นตัวแบกสัมภาระ เขาฟูจิมี 10 ด่าน รถยนต์ขึ้นได้แค่ด่าน 5 ที่เหลือต้องเดินเท้า และด่านหลังๆ นี้ต้องใช้ไกด์ท้องถิ่นนำทาง
   ค่าใช้จ่ายอ่วมครับ เผลอๆ จะแพงกว่าตั๋วเครื่องบินไปญี่ปุ่นเสียอีก เลยนั่งคิด เอาเขาไหนดีวะที่ใกล้หน่อย สะดวกหน่อย หากจักรยานขึ้นได้ด้วยจะสุดยอดมาก
   ฝนเริ่มลงหนาเม็ด นักท่องเที่ยวชุดใหม่ทะยอยกันเข้ามา แต่พอทราบข่าวว่าเขาปิดการให้บริการก็ต้องพากันเซ็งกลับไปกันหมด ผมยังคงตระเวณอยู่รอบนอกของเทือกเขา Japan Alps กะจะคอยว่าหากฝนหาย หรืออากาศดี ผมอาจมีลุ้น
   ขับรถลงใต้สักพัก พบว่าอากาศดีขึ้น ฝนหายสนิท เกิดสายรุ้งทอดยาว ผมไม่เคยเห็นสายรุ้งแบบเต็มวงมาก่อนเลย ครั้งนี้เห็นโค้งเป็นรูปครึ่งวงกลมเป๊ะ สวยงามเหลือเกิน แถมสายรุ้งยังคงอยู่คู่กับผมไปตลอดเส้นทางกว่า 30 นาที ได้ดูสายรุ้งกันแบบเต็มๆ ตา ใจอยากวกกลับไปที่เขา Tateyama อีกรอบ เผือมีลุ้นว่าจะได้ขึ้นไหม แต่พอจะหาที่กลับรถก็เจอฝนเทลงมาอีกล็อต จากฟ้าสว่างสดใสกลายเป็นมืดครึ้มอีกแล้ว ท้องฟ้าสีเทาหม่นๆ มันช่างเหมือนความรู้สึกในใจผมเสียจริง
   นั่งรถไปก็มองเห็นเทือกเขา Japan Alps ไปตลอดทาง น้ำตาผมไหลออกมา คงจะเต็มที่ของมันแล้วกระมัง
   แวะทานอาหารกลางวันตอนบ่ายๆ เย็นๆ แบบสิ้นคิดที่ปั๊มน้ำมัน กินราเมงถูกๆ จัดชุดมาให้กับข้าวหน้าหมูทอด ราคา 640 เยน ได้อาหารมา 2 จาน ข้าวรสชาติปานกลาง บะหมี่น้ำราเมงอร่อย แต่ได้หมูชิ้นบางๆ ชิ้นเดียว แถมด้วยลูกชิ้นปลาแผ่นเล็กๆ อีก 1 ชิ้น ส่วนเส้นบะหมีให้เยอะมาก ราว 2 ก้อนเห็นจะได้ ผมกินไม่หมดหรอกครับ เหลือเพียบ
   ขับรถลุยฝนไปจนถึงที่พักชื่อ Matsumoto Toyko Inn อันนี้เริ่มจะเข้าตัวเมืองใหญ่เรื่อยๆ แล้วครับ อาหารเย็นทานในร้านเล็กๆ ในซอยข้างโรงแรมนี่แหละ ง่ายดี
   พอทานเสร็จผมรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวนัก ตอนอยู่ในร้านอาหารรู้สึกร้อนๆ ผิวหน้าผิวตัวผมแห้งจนลูบแล้วสากอย่างมาก ไม่ได้ติดโลชั่นทาผิวมาด้วย ผมทาแค่ครีมกันแดด พอเจอฝน เจอลม เจอหิมะ แบบชนิดมรสุมเต็มพิกัด ผิวที่ไม่คุ้นเคยกับสภาพสาหัสก็เลยเริ่มออกอาการ
   ผมหน้าแดงเหมือนกินเหล้ามา คอมีผื่นขึ้น มึนหัวนิดๆ จับหัวดูรู้สึกตัวลุมๆ ไม่รู้มีไข้หรือไม่ แค่อ่อนเพลีย ไม่รู้เกิดจากอะไร
   เดินกลับโรงแรม ไม่มีอะไรทำ ยังไม่หายเศร้า เลยเดินเข้าร้าน 100 เยน ดูของติดมือเล่นๆ ร้านนี้ทุกอย่างในร้านราคา 100 เยนครับ เหมือนร้านไดโซบ้านเราที่ขายทุกชิ้น 60 บาทนั่นแหละ ของเหมือนกันเป๊ะเลย อ้อ..100 เยนนี้เขายังไม่รวมภาษีนะ ตอนจ่ายจริงเราต้องจ่ายชิ้นละ 105 เยน
   ได้เดินดูโน่นดูนี่ค่อยสบายตัวขึ้นมาหน่อย แต่ก็ยังคงนอนเร็วตามปกติ เปิดดูทีวีเห็นมีข่าวเกียวกับไข้หวัดอะไรสักอย่างก็ไม่รู้ ระบาดกันอย่างกว้างขวางไปทั่ว คนญี่ปุ่นเขาจะใช้ผ้าปิดปากปิดจมูกกันเป็นประจำอยู่แล้ว ช่วงนี้ก็เลยยิ่งพบเห็นมากเข้าไปใหญ่ โดยเฉพาะผู้คนในตัวเมือง
   ข่มตานอนก็ไม่ค่อยจะหลับ ยังคงเศร้าใจกับการที่เสียโอกาสไม่ได้ขึ้นเขา Tateyama ที่ใฝ่ฝัน

27 เมษ 52
   วันนี้ออกเดินทางไกลหน่อยครับ ขึ้นภูเขาหิมะไม่ได้ วันนี้เล่นภูเขาไฟมันซะเลย ไม่ใช่ภูเขาไฟธรรมดานะ ลูกนี้ยังคุกรุ่นอยู่เลย เพิ่งระเบิดเดือนล่าสุดก็มกราคมปี 52 เมื่อสามเดือนที่แล้วนี่เอง ฮ่าๆ สะใจจริงโว๊ยยย
   เดินทางไปภูเขาไฟชื่ออาซามะ สูงไม่เบาเหมือนกันครับ คือ 2560 เมตร ระยะทางขึ้นเขาก็ไม่ไกลมากนักราวสิบกว่า กม ชันได้ใจดีเหมือนกัน เส้นทางคดเคี้ยวคล้ายทางภาคเหนือของไทย เป็นทางเรียบตลอด ปั่นจักรยานขึ้นได้สบายๆ แค่พอเจอโค้งต้องระวังหน่อย เพราะหากสวนกับรถบัสใหญ่เขาจะเลี้ยวกินเลนเรา หากเจอตอนขึ้นเขาก็ไม่ใช่ปัญหา แต่ถ้าเรากำลังดิ่งลงแล้วเจอนี่สิ
   วันนี้แดดอย่างแรงครับ ดูทีวีเขาว่าพายุได้อ่อนกำลังลงแล้ว ใจหนึ่งอยากจะกลับย้อนไปที่เขา Tateyama เพราะยังคาใจกันอยู่ แต่หากจะไปก็ต้องขับรถอีกนานสัก 4-5 ชม เทือกเขา Japan Alps นี้ยิ่งใหญ่มากครับ กินพื้นที่หลายจังหวัดเลย
   แถมเราเองก็มาถึงภูเขาไฟลูกนี้แล้วด้วย จึงขอเคลียร์ลูกนี้ก่อน ด้านบนลมแรงอย่างมากครับ ใครใส่หมวกปีกนี้ลมพัดปลิวกระเด็นเลย ผมใส่หมวกแบบผ้าคลุมเลยเดินได้สบาย ไม่ต้องคอยเอามือจับ
   ลมพัดแรงจนผิวที่แห้งผากของผมยิ่งแห้งแตกเข้าไปใหญ่ จนรู้สึกคัน บางทีรู้สึกเจ็บ ลมแรงมากๆ จนผมต้องเอาผ้าพันคอมาพันหน้าเสียมิดชิด เหลือโผล่เพียงแค่ลูกตา
   ด้านบนของภูเขามีศาลเจ้าแม่กวนอิมด้วย แปลกดี ดูเหมือนเมืองไทยเลย ที่ไปไหนก็มักจะมีพระให้เราไหว้อยู่เสมอๆ
   แดดแรงจัดจนแสบตา หากโดนผิวก็แสบผิว ต้นคอผมเริ่มแสบ ไม่รู้ว่าเกิดจากเสียดสีกับผ้าพันคอ หรือเพราะโดนแดด หรือถูกทั้งข้อ ก และ ข
   เขาลูกนี้ผมไม่มีข้อมูลมาก่อนเลยครับ มากันสดๆ เลย ไม่รู้ว่าเราสามารถเดินเท้าได้ถึงปากปล่องเลยไหม แต่ตอนนี้ผมแสบผิวหน้า ผิวแขนอย่างมาก เดินไปได้อีกสักพักก็ต้องยอมแพ้เทพแห่งลม วายุ ผมต้องคอยหยุดพักเป็นระยะๆ โชคดีที่เขาทำซุ้มให้นักท่องเที่ยวหลบพายุลมแรงไว้เป็นช่วงๆ
   เส้นทางรายรอบทางเดินมีซากกองลาวาที่แห้งแล้ววางอยู่เต็มไปหมด ดูแล้วน่าเกรงขามดีจริงๆ
   สักพักหันไปดูยอดเขาที่ปากปล่องก็เห็นมีควันพวยพุ่งออกมา แรกๆ ก็จางๆ หลังๆ นี้ชักเข้มขึ้นเรื่อยๆ ๆ จากควันสีขาวบางๆ กลายเป็นควันสีหน้าทึบ
   เอ๊ะ จะงานเข้าอีกหรือเปล่าวะนี่ ทำให้แผนที่จะเดินขึ้นไปสำรวจเส้นทางจนถึงปากปล่องเป็นอันต้องชะงักไป
   เดินต่อไปไม่ได้ ก็ขอลงดีกว่า เห็นมีกลุ่มควันยิ่งหนามากขึ้น แต่ยังดีที่พื้นดินไม่สั่นไหว ใกล้ๆ กันมี Outlet ขนาดใหญ่มากๆ ๆ ๆ ผมอยากดูว่าใหญ่แค่ไหน และหากมีร้านค้าพวกของใช้ที่ผมชอบเช่นอุปกรณ์กีฬา หรือจักรยานจะสุดยอดมาก
   กลางวันเลยทานอาหารบุฟเฟ่ใน Outlet นั่นแหละ อร่อยดี บรรยากาศดี มีของถูกใจที่ไม่ค่อยได้กินคือ Potato Skin แต่เขาทำไม่เหมือนของฝรั่งนะ คืออบอย่างเดียว ไม่ได้ใส่ชีสใส่เบคอนหรือแต่งเติมอะไรเข้าไปด้วย
   มื้อนี้ผมเลยได้ทานสลัดอย่างเป็นทางการมื้อแรกในญี่ปุ่น อาหารญี่ปุ่นปกติจะไม่มีผักท่วมจาน แต่มักจะมีข้าว 1 ถ้วย และอาหารที่ผ่านการปรุงน้อยๆ มาเคียงข้าง การทานอาหารบุฟเฟ่ในประเทศที่เราไม่คุ้นเคยนี้สนุกมากครับ เพราะไม่รู้เลยว่าอะไรเขากินกับอะไรกัน น้ำจิ้มไหนจิ้มอะไร ซอสไหนเป็นอะไรผมยังดูไม่รู้เลย
   Outlet นี้ใหญ่จริงครับ ใหญ่จนบอกไม่ถูก หากกะด้วยสายตา ผมคะเนกว่ามันเล็กกว่าสนามหลวงนิดหน่อย สักราว ¾ ของสนามหลวงเห็นจะได้
   ดูจากแผนที่แล้วผมตรงดิ่งเข้าร้านของ Adidas ก่อนเพื่อนเลย เห็นรองเท้าถูกใจ เป็นรองเท้าลุยสไตล์ Outdoor ที่ผมชอบ ราคารับได้นะ ราวสองพันกว่าบาท สีก็สวย ขนาดก็มี แต่ผมยังไม่ซื้อ หาเหตุผลให้ตัวเองด้วยว่าเรามีรองเท้าอยู่เยอะมากแล้ว เพียงพอต่อการใช้งานแล้ว
   ใจอยากได้เสื้อผ้าหรือของใช้เกี่ยวกับจักรยาน แต่หาไม่เจอสักอย่าง จะมีก็พวกของตกแต่งแบบชาวบ้าน แต่งรถแม่บ้าน แต่ก็ดูน่ารักดีนะ มีอันหนึ่งผมชอบมาก คือตัวหนีบร่มกันแดด เอาร่มมาเสียบไว้ได้เลย ไม่ต้องคอยจับแฮนด์ ราคาพันกว่าบาทแน่ะ (ชิ้นนี้เห็นที่ร้านค้านอกเมือง)
   เดินจนถึงเย็นก็นั่งรถไฟชินคันเซนเข้าโตเกียว ระยะทางไกลมากนะ หากขับรถยนต์ก็ต้องมีสัก 4 ชม (รวมรถติดด้วย) ถ้านั่งชินคันเซนจะใช้เวลาแค่ราว 1 ชม เท่านั้น
   รถไฟชินคันเซนนี้วิ่งเร็ว 240 กม/ชม ครับ เป็นรองก็แค่ TGV ของฝรั่งเศษเท่านั้นเอง รถไฟคันนี้ดีครับ ที่นั่งเหมือนเครื่องบินเลย แต่กว้างขวางกว่าเยอะ แถมพอขึ้นนั่งเสร็จยังมีพนักงานเข็นของมาขาย แต่งตัวและรถเข็นคล้ายกับอยู่บนเครื่องบิน ผมเห็นแล้วหัวเราะก๊ากเลย
   นั่งอยู่นานราวหนึ่งชั่วโมง ระหว่างนั้นเดินสำรวจรถไฟเล่น พบว่ามีช่องเก็บกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่อยู่ระหว่างตู้รถไฟ ช่องนี้ใหญ่เพียงพอที่จะใส่จักรยานพับได้สบายๆ
   ไม่ต้องบอกก็รู้ ว่าผมคิดอะไรในใจ
    ผมนั่งจนถึงโตเกียว จากนั้นก็เปลี่ยนรถไฟเป็นสายเข้าเมือง ลงที่สถานีชินจุกุ พอเท้าเหยียบโตเกียวปุ๊บ ผมแทบอยากกลับไปยังจุดเริ่มต้นแรกของผมที่เหยียบครั้งแรก นั้นคือเมือง Takayama หรือไม่ก็เมือง Gifu ที่เป็นป่า เป็นธรรมชาติ มีพวกบ่อน้ำแร่ ผมชอบบรรยากาศแบบนั้นมากกว่าแบบในเมืองอย่างโตเกียว
   ไหนๆ ก็เข้าเมืองแล้ว ก็ขอเดินเล่นชมวิถีคนเมืองของเขาเสียหน่อย
   เดินไปพักเดียวก็รู้สึกแปลกๆ ครับ ผมไม่ชอบวิถีชีวิตแบบนี้ ผมชอบความเงียบสงบ ชอบความเรียบง่าย ชอบธรรมชาติ ชีวิตในโตเกียวตรงข้ามกับชีวิตของผมโดยสิ้นเชิง
   ขากลับเข้าโรงแรม ผมเห็นในแผนที่เขาเขียนว่า Pleasure Zone อยากรู้ว่าสนุกสนานแค่ไหนเลยลองเดินผ่านแวะเข้าไปดู ปรากฏว่าเป็นแหล่งอบายมุขเหมือนพวกย่านพัฒนพงษ์ของเราน่ะครับ หน้าร้านก็จะมี่คนเชียร์แขกคอยต้อนนักเที่ยว ผมไม่สนใจการเที่ยวลักษณะนี้ เลยก้มหน้าเดินผ่านอย่างเร็ว คนต้อนแขกส่วนใหญ่ก็จะไม่สนใจจะเรียกผม
   แต่มีคนหนึง เป็นคนอัฟริกันผิวดำ เดินเข้ามาคุยภาษาญี่ปุ่นกับผม ผมไม่โต้ตอบ เขาก็เดินตามและพูดคุยไม่ยอมหยุด ผมเดินเร็วขึ้นเขาก็เดินเร็วตาม บางช่วงเดินมาเบียดชนผม ผมไม่ชอบถูกกดดันครับ แต่ผมจะเป็นคนกดดันสิ่งรอบข้างแทน
   Hey, Black.. leave me alone OK? ผมพูดน้ำเสี่ยงขึงขัง ห้วนๆ ไม่สบตา ไม่มองหน้า ผมยังก้มหน้ามองพื้นอยู่เหมือนเดิม
   ได้ผล เขาไม่ตามผมมาอีกแล้ว
   ตอนพูดประโยคนั้น ผมกำมือแน่นแต่ซุกไว้ในกระเป๋าเสื้อสเวตเตอร์
   ผมเคยผ่านเหตุการณ์คล้ายกันนี้ที่โซล เกาหลีใต้ครับ ตอนนั้นเดินผ่านซอกตึกเล็กๆ จะกลับห้องพัก เจอพวกจิ๊กโก๋กินเบียร์นั่งกันเต็มไปหมด แม้ไม่อยากเดินผ่าน แต่ก็ไม่ได้ถอยหลังกลับ วัดใจเดินผ่านไป หากไม่มีใครโดนตัวผม ก็คงไม่มีเรื่องอะไร
ตอนนั้นในมือกำลูกกุญแจให้โผล่ออกมาเตรียมไว้แล้ว ดีที่ไม่ต้องใช้มัน เพราะไม่รู้เหมือนกันว่าผลจะออกมาเป็นเช่นไร
Title: Re: เมษ 52 13-15 เกาะช้าง / 24-28 Japan Alpine
Post by: O'Pern on May 03, 2009, 09:23:14 am
28 เมษ 52
   ผมรู้สึกเซ็งๆ ไม่ค่อยสนุกตั้งแต่วันที่อดขึ้นเขา Tateyama มาตลอด หาที่สวยๆ สนุกๆ เที่ยวบ้าง แต่ก็รู้สึกงั้นๆ ไม่ค่อยช่วยอะไรเท่าไหร่เลย ผมมาญี่ปุ่นครั้งนี้ก็เพราะต้องการขึ้นเขา Japan Alps ต้องการไปชมกำแพงหิมะ แม้เขาจะไม่ให้เอาจักรยานขึ้นก็ไม่เป็นไร ขอเดินขึ้นด้วยเท้าเราสักช่วงหนึ่งก็ยังดี มันน่าจะเป็นภาพประทับใจที่ไม่มีวันลืม แต่ก็ทำไม่ได้ เซ็ง
   เส้นทางทริปนี้ผมเริ่มจากนอกเมืองแล้วค่อยๆ ร่นขยับเข้ามาใกล้เมืองขึ้นเรื่อยๆ จนวันนี้ผมอยู่ในโตเกียวแล้ว เมืองหลวงที่รวมสารพัดของไฮเทค แต่ใจผมไม่เห็นจะสนุกสักนิด ผมชอบบรรยากาศนอกเมืองมากกว่า ผมวางเส้นทางผิดจริงๆ
   รู้สึกได้เลยว่ามาทริปนี้ไม่สนุกครับ วางแผนผิด เดินทางไม่รัดกุม สภาพอากาศแย่ ประสานงานบางช่วงผิดพลาด แถมต้องเจออากาศหนาวเย็นบนยอดเขาแบบไม่ทันตั้งตัว ผิวหน้าผิวตัวของผมแห้งผาก จับแล้วรู้สึกเจ็บ โดยเฉพาะบริเวณคอ เป็นผื่นแดง ร่างกายมีไข้แบบไม่รุนแรงนัก
   ดูทีวีเห็นข่าวว่ามีไข้หวัดระบาด ผมฟังไม่ออกว่าหวัดแบบไหน อย่างไร แต่คนที่นี่เขาใช้ผ้าปิดปากปิดจมูกกันหลายคน ผมเองก็ปิดกับเขาด้วย แต่ปิดเพราะป้องกันลมหนาวเย็นมาปะทะใบหน้า ผมปิดด้วยผ้าคลุมคอครับ ไม่ได้ปิดด้วยหน้ากากอนามัยแบบคนอื่นเขา
   แว๊บหนึ่งในใจอยากกลับไปเริ่มต้นเส้นทางใหม่ที่เขา Tateyama แต่คิดอีกทีก็กลัวเจอมรสุมพายุหิมะมาอีก เพราะบนเขานั้นอากาศแปรปรวนเหลือเกิน จากแดดแรงๆ จู่ๆ ก็มืดครึ้มกลายเป็นลมหนาวจัดพัดมาอย่างแรง ลังเลอยู่นาน สิ้นเปลืองเงินอีกเยอะมากด้วย
   คิดถึงสถานการณ์ไข้หวัดนกขึ้นมา เขามีการกักตัวคนมีไข้ที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองด้วย เฮ้ย แล้วผมจะโดนไหมวะนี่ หน้าและคอเป็นผื่นแดงโดนหิมะกัดมายังไม่หายเลย
   วันนี้เตรียมตัวกลับไทยดีกว่า  แพ็คของอย่างง่ายๆ ไม่เร่งรีบ เพราะไม่มีของชิ้นใหญ่ให้ขนกลับ กระเป๋าใบโตของผมยังหลวมๆ อยู่เลย
   ทานอาหารเช้าเสร็จก็ออกเดินเล่นย่านชินจูกุ แต่ร้านค้าเปิดกันสายราว 1030 บ้างก็ 1100 ออกเดินเล่นในตัวเมือง ดูของถูกๆ เผื่อเก็บไว้ใช้ตอนจำเป็น จึงได้กระเป๋าหนังมา 3 ใบ เป็นของเซลลดราคา 50% ถ้าเป็นราคาเต็มผมไม่กล้าซื้อหรอก
   เดินมองหาของที่ตัวเองอยากได้และจำเป็นต้องใช้ นั่นคือชุดว่ายน้ำ ที่เรียกว่าชุดก็เพราะมีกางเกงกับเสื้อแขนยาวด้วย ผมชอบใส่แบบนี้ เพราะแผ่นหลังและไหล่ของผมเต็มไปด้วยกระฝ้าเต็มไปหมด ผลมาจากการเล่นเรือใบตั้งแต่สมัยเด็กๆ ที่ออกทะเลตั้งแต่เที่ยง กลับมาอีกทีก็เกือบเย็น แถมไม่ใส่เสื้อ ไม่ทาครีมกันแดดเลย
   มองหาตามห้างใหญ่อย่าง Isetan, Mauri ก็ไม่มีของถูกใจ แต่เล็งของ Speedo ไว้แล้วตอนอยู่ไทย คงได้กลับไปซื้อที่เดอะมอลล์ท่าพระ อ้อ ผมเจอเสื้อผ้าของ North Face สวยถูกใจมาก แต่เห็นราคาแล้วเครียด เลยได้แต่จำรุ่นเอาไว้ อย่าเผลอลดราคาเชียว มีหวังได้เจอกันแน่
   ช่วงอยู่ในย่านชินจูกุนี้ได้ยินเสียงคุยภาษาไทยจากนักท่องเที่ยวเยอะมากเลยครับ ถ้าเป็นพวกสาวๆ เขาก็มักจะเดินกันตามร้านขายเครื่องสำอางค์ หนุ่มๆ ก็เดินกันหลากหลาย มีห้าง Isetan Men ภายในมีแต่ข้าวของเครื่องใช้ของชายหนุ่ม ส่วน Isetan ธรรมดาก็เป็นของสาวล้วน ผมเผลอเดินเข้าไปแป๊บเดียว รีบวิ่งออกเลย
   อีกร้านของชายหนุ่มที่อยากแนะนำคือ Marui OIOI Men มี 8 ชั้น เดินกันเมื่อยขาเลย ร้านขายเกมส์ กล้อง MP3 MP4 มีเพียบ เต็มไปหมด ละลานตา แต่ผมไม่ซื้ออะไรมาสักอย่าง
   ผมได้ครีมกันแดดราคาถูกๆ ติดมือกลับมา ซื้อเพราะได้ใช้ประจำ แถมราคาไม่แพง ได้ของสเปคสูงอีกด้วย คือ SPF 50+ / PA+++ แปลว่าป้องกันรังษี UVB 50 เท่าขึ้นไป และป้องกันรังษี UVA ได้ในระดับสูงสุด (ผมอาจจำข้อมูล UVA และ UVB สลับกัน หากผิดพลาดขออภัยด้วย)
   เลือกยี่ห้ออะไรก็สุดแท้แต่ หากจะให้มันปกป้องเราสูงสุดต้องดูค่า PA ด้วยครับ ส่วนใหญ่จะเป็น PA+ บ้างก็ PA++ แต่ถ้าได้ PA+++ คือครีมระดับเทพ จำไว้
   ส่วนค่า SPF ก็คงรู้ๆ กันอยู่ ตัวเลขมาก ก็ยิ่งปกป้องได้นานกว่า สุดท้ายก็มาดูที่เนื้อครีมและส่วนผสม บ้างใช้ Zinc บ้างใช้ Tatanium Dioxide ผมลองแล้วไม่เห็นความต่าง เลยเลือกแบบแห้งเร็ว ไม่เหนียว แค่นี้เป็นใช้ได้ (แต่จากประสพการณ์แล้ว หากยอมเหนียวหน่อยจะใช้ได้นานกว่า คือบีบออกมาหน่อยเดียว ละเลงได้พื้นที่เยอะกว่า และมักจะติดผิวกายนานกว่า หากออกทะเล ผมจะเลือกแบบเหนียวๆ หน่อย)
   ออกจากห้องพักตอนบ่ายๆ ตรงไปสนามบินนาริตะ รอเครื่องออก เดินเล่นที่สนามบินนาริตะ หยิบเอาเศษเหรียญออกมาดู กะว่าจะซื้อของจุกจิกให้เหรียญหมดไป ไม่อยากพกกลับบ้านให้เกะกะ เก็บไว้แค่ธนบัตรพอ
   ผ่านด่านตรวจคนขาออก หากเป็นที่ด่านไทยก็จะแค่ตรวจเอกสารอย่างเดียว แต่ของที่นี่เขาตรวจกระเป๋าด้วย นั่นคือห้ามนำของเหลวเกิน 100 cc ขึ้นเครื่อง ใช่เลย ผมมีน้ำดื่มติดตัวประจำ เลยรีบซดเสียเกลี้ยง คนก่อนหน้าผมเพิ่งซื้อน้ำอัดลมมา กินได้คำเดียวก็โยนทิ้งทั้งขวด
   พอพ้นด่านมา ผมก็นำขวดเปล่าไปกดน้ำดื่มมาใส่คืน น้ำดื่มนี้มีตู้กดดื่มฟรีครับ แต่ผมดื่มน้ำบ่อย เลยเก็บสำรองไว้ในขวด หยิบดื่มสะดวกมากกว่า
   เจอคนไทยเยอะมาก ส่วนใหญ่จะซื้อขนมกันคนละหลายๆ กล่องเลย ขนมของที่นี่สวยและน่ากินมากครับ แต่ว่ารสชาติคล้ายๆ กันหมด ซื้อไปฝากคนอื่นก็โอเค แต่ถ้าซื้อกินเองแล้วผมไม่เอา อ้วนมากๆ ขนมมักจะเป็นแป้งและน้ำตาลล้วนๆ จะว่าไปแล้วผมชอบขนมแบบพื้นบ้านอย่างที่ชาวบ้านเขาทำขายกันสดๆ มากกว่า เช่น เซมเบ้ (ขนมแป้งข้าวเหนียวปิ้งกรอบๆ ทาด้วยซอสปรุงรส) และดังโงะ (แป้งข้าวเหนียวย่างใส่ไส้หลากชนิด)
   เดินถ่วงเวลาจนได้ที่ก็ไปเข้า Gate ที่ระบุไว้ในตั๋ว พอเครื่องไต่ความสูงขึ้นถึงระดับ 10 กม ไฟรัดเข็มขัดก็จะดับลง เราก็ดูนาฬิกาไว้ อีกสัก 15 นาที ด้านขวามือของเครื่อง หากมองลงไปจะพบภูเขาไฟฟูจิ กับตันเขาจะประกาศให้ผู้โดยสาร First Class และ Bisiness Class ทราบ ส่วนพวก Y Class หรือ Economy Class นี้ไม่ประกาศให้ทราบ คงจะกลัวผู้โดยสารแห่งกันไปด้านหนึ่งจนอาจทำให้เครื่องบินเอียงเสียสมดุลย์ก็เป็นได้
   ขากลับนี้นั่งนานกว่าขามาอีกครับ เพราะบินทวนลม ทำให้ต้องใช้เวลานานกว่าเดิมถึง 1 ชม แถมขากลับนี้บินกลางคืนอีกด้วย ผมเป็นคนหลับยาก เลยไม่ค่อยได้นอน ภาพยนต์ที่เปิดในเครื่องก็แสนจะน่าเบื่อ คัดมากล่อมคนให้หลับโดยเฉพาะแน่ๆ
   ผมเลือกที่นั่งริมทางเดิน และค่อนไปทานด้านหลัง เราต้องบอกเจ้าหน้าที่ออกตั๋วตอนเช็คอินครับ หากเราไปก่อนล่วงหน้านานๆ ก็จะเลือกที่นั่งได้ ใครชอบนั่งริมหน้าต่างชมวิวก็สามารถเลือกได้ ส่วนผมชอบริมทางเดิน เพราะชอบลุกเข้าออกบ่อย หากเป็นไฟล์ทไกลๆ ก็มักจะไปยืนด้านท้ายเครื่องนานๆ ครั้งนี้ผมยืนนานราว 1 ชม ยืนให้มันเมื่อยไปเลย จากนั้นก็ไปนั่ง จะรู้สึกว่านั่งแล้วสบายมากๆ
   ทำเช่นนี้สลับกันไปเรื่อยๆ นั่งๆ ยืนๆ หากมีฝรั่งเข้ามาใกล้ก็ชวนกันคุยจะได้ไม่เบื่อ ทำได้ดีสุดก็เท่านี่แหละครับ ที่เหลือก็แค่รอเวลาเครื่องลง
ถึงด่านตรวจคนเข้าเมือง เราก็กรอกเอกสารขาเข้าไปตามระเบียบ เอกสารนี้ผมเตรียมไว้นานแล้ว แต่ถ้าใครไม่ได้เตรียมมา ก็หยิบเอาแถวนั้นแหละ มีวางไว้ให้หยิบกรอกกันสะดวก
ผมรีบเดินอย่างเร็วเข้าด่านตรวจคนเข้าเมือง เพราะในเครื่องมีคนไทยเยอะมากๆ ผมอยากอยู่หัวแถว ไม่ชอบต่อคิวนานๆ ผ่านด่านนี้แล้วก็ต้องรีบไปรอกระเป๋า ลุ้นให้กระเป๋าเราออกมาเร็วๆ ก็จะกลับบ้านได้เร็ว
   พ้นด่านนี้ไปก็ถึงคิวรับกระเป๋าเดินทาง เราต้องดูจากหน้าจอมอนิเตอร์ว่าเครื่องบินที่เราบินมาจะเอากระเป๋าลงที่สายพานเบอร์อะไร เราก็ไปยืนรอที่เบอร์นั้น
ผมมีกระเป๋าใหญ่ใบเดียว แต่โดนเจ้าหน้าที่สุ่มตรวจ เอากระเป๋าผมเข้าเครื่องสแกน ไม่มีปัญหา ผมไม่มีของอะไรผิดกฏหมาย ผ่านด่านนี้ได้ก็ออกไปพบผู้คนภายนอกได้แล้วครับ
   ภรรยาและลูกผมมารออยู่นานแล้ว เห็นหน้าสองคนแล้วรู้สึกดีใจจริงๆ ที่ผ่านมาตลอดหลายวันก็ได้แค่หยิบรูปถ่ายออกมาดูตอนคิดถึงกัน
   ไปต่างประเทศมาหลายครั้ง แต่ก็ยังคงคิดถึงคนใกล้ชิดทุกครั้งไม่เคยเปลี่ยน
   นี่กระมังที่เขาเรียกว่าความผูกพัน

29 เมษ 52
   เมื่อคืนทายาบำรุงผิวที่ภรรยาจัดไว้ให้ พบว่ารอยแห้งเหี่ยวบนใบหน้าและตามผิวกายดูหยาบน้อยลงไปนิดหน่อย แต่ยังมีร่องรอยบาดแผลจากการโดนหิมะกัดอยู่หลายจุด จำได้ว่าตอนหนุ่มๆ ก็เคยลุยหิมะเล่นแบบนี้ แต่ผิวกลับไม่เห็นเป็นอะไร ทว่าวันนี้มันไม่เหมือนอดีตอีกต่อไปแล้ว ร่างกายเราเริ่มเสื่อมสภาพไปเยอะมากแล้ว
   ตื่นเช้าตามปกติครับ แต่ไม่ใช่ตี 4 เหมือนตอนก่อนไปญี่ปุ่นนะ เป็นสักตี 5 ลืมตาตื่นแล้วก็จริง แต่ไม่มีแรงลุก แปลกใจเหมือนกัน เหมือนร่างกายเพลียๆ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ไปทำอะไรที่ต้องใช้แรงเยอะเลยสักนิด
   มื้อเช้าแรกของวันที่ได้กลับไทย ผมเลยได้ทานข้าวผัดกุ้ง ไข่ดาว ข้าวผัดทำจากข้าวกล้อง ไข่ดาว 2 ฟอง แยกไข่แดงออก 1 ฟอง ทอดในน้ำมันมะกอก สายๆ และตลอดวันจิบชาเขียวไปราว 1 ลิตร อ้อ ตอนตื่นเช้ามาก็ซดน้ำกระชาย ผสมน้ำผึ้ง มะนาวไปหนึ่งแก้วใหญ่เรียบร้อยแล้ว
   วันนี้เลยไม่ได้ทำอะไรมากนัก อ่านข่าวหนังสือพิพม์มีข่าวไว้หวัดหมู เออ แปลกดี สามปีก่อนมีไข้หวัดนก ตอนนี้มีหวัดหมู ต่อไปคจะมีหวัดอีกหลายสายพันธุ์เป็นแน่
   ผมแสบผิวหน้าและผิวกายเหลือเกิน บริเวณคอเป็นผื่นแดงเต็มไปหมด ยังดีที่ไม่เจ็บไม่ลอก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะโดนลม โดนแดด หรือว่าเสียดสีกับผ้าพันคอของตัวเอง
   หัวค่ำผมอาบน้ำลูบผิวหน้าผิวกายที่แห้งผากด้วยสบู่อ่อน บริเวณคอจะรู้สึกเจ็บหากขัดถูแรงๆ หลังอาบน้ำจึงชโลมด้วยเบบี้ออย เล่นซะตัวมันแผลบเลย ใส่ชุดนอนก็ไม่ได้ กลัวเลอะ เลยอยู่ในห้องน้ำสักพักใหญ่ รอให้ออยมันซึมไปในผิวก่อน
   ความอ่อนเพลียยังไม่หายไปเลย รู้สึกไม่อยากทำอะไร อยากพักผ่อน แต่ก็ไม่ได้อยากนอน เรียกว่าอยากอยู่เฉยๆ กระมัง
   ตอนบ่ายไปรับมิวที่โรงเรียน กลับมาก็อยู่บ้านกันสองคน มิวเขาเล่นได้ทั้งวัน รื้อข้าวของจนเกลื่อนกลาดไปหมด บางทีก็เก็บเองเสียเรียบร้อย บางวันก็ไม่ แต่ผมไม่ได้ว่าอะไรเขามากนักหรอก แค่เตือนให้เก็บเฉพาะตอนเขาลืม
   เข้านอนแต่หัวค่ำเหมือนเดิม ตกกลางคืนได้ยินเสียงฝนตกดังอยู่นานพักใหญ่ ว้า.. สงสัยจะอดปั่นจักรยานตอนเช้าอีกแล้วสินะ

30 เมษ 52
   ตื่นเองราวตี 5 มาเดินเล่นหน้าบ้าน ยืดเส้นยืดสาย เอาจักรยานออกปั่นเล่นเบาๆ ไม่เร่ง ปั่นไปแค่ 5 กม ไม่ได้จับจักรยานมาหลายวัน ได้ขี่แล้วรู้สึกดีจริงๆ เลย เป็นความรู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกสนุก
   พื้นถนนมีน้ำขังเป็นบางช่วง ไม่เหมาะแก่การปั่นเร็วๆ แต่ถ้าปั่นเรื่อยๆ ก็พอได้ ผมนำรถคันเดียวที่มีบังโคลนออกไปใช้งาน
   มื้อเช้าทานผัดผักบรอคโคลี่ใส่เห็ดหูหนูดำกับเนื้ออกไก่ ทานกับไข่เจียว 2 ฟองที่คัดแยกไข่แดงออก 1 ฟอง ทอดในน้ำมันมะกอกเช่นเคย
   ผิวหนังของผมเริ่มหยาบน้อยลงแล้ว เบบี้ออยนี้เวิร์คจริงๆ เลย คืนแรกผมใช้ครีมบำรุงที่ภรรยาจัดมาให้ ยี่ห้ออะไรอ่านไม่ค่อยออก อ่านยาก แต่กดออกมาแล้วเหมือนเบบี้ออยเลย ทาแล้วโอเคดี แต่มันแพงมาก กลัวเปลือง ผมเลยใช้เบบี้ออยแทน ตื่นเช้า มาวันนี้ผมบอกภรรยาว่ามันใช้แทนกันได้ดีเหมือนกันนะ ขวดละแค่ 30 กว่าบาทเอง
   ผมคงต้องทาเจ้าเบบี้ออยนี้ไปอีกสักพัก และคงจะต้องทาครีมบำรุงผิวช่วยด้วย จะให้ดีที่สุดก็ต้องทานอาหารที่มีวิตามิน E จะได้ช่วยกันฟื้นฟูผิวหนังให้คืนสภาพกลับมา
   ช่วงสายทานแตงโมไปหนึ่งชิ้น และซดชาเขียวไป 1 ลิตร กลางวันทานสัปปะรดหนึ่งกล่อง มีสารพัดถั่วกรอบๆ กินเสริม
   ไปญี่ปุ่นครั้งนี้รู้สึกไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่เลย คงเป็นเพราะพลาดจากการที่ผมไม่ได้ขึ้นเขา Tateyama อุตส่าห์วาดฝันอยู่นานเป็นเดือน ฟิตซ้อมร่างกายให้แกร่ง ไม่เป็นไร ปีหน้าผมจะไปใหม่ หรือไม่ก็ไปที่ๆ มันโหดเสียยิ่งกว่า นั่นคือภูเขาไฟฟูจิ ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีใครไปแจมกับผมไหม เพราะค่าใช้จ่ายแพงไม่ใช่เล่น
   สภาพอากาศแปรปรวนไปทั่วโลก ไทยเรายังหนาวเย็นตลอดเดือนมกราคมที่ผ่านมา ส่วนทางออสเตรเลียเขาร้อนจัดถึง 40 องศาเซลเซียส ส่วนทางญี่ปุ่นนี้เขาว่าไม่มีฤดูฝนนะ แต่จะมีฝนตกกันตลอดปีหากมีพายุเข้า ประเทศเขาเป็นเกาะไง จึงมีโอกาสรับมรสุมรอบด้านเลย
   กระทั่งภูเขาไฟฟูจิเองก็อากาศแปรปรวนบ่อยครับ หลายคนไปแล้วขึ้นไม่ได้ถึงจุดสูงสุดก็มีเยอะแยะ เขาเปิดเป็นด่านๆ ไล่จากด้านบนลงมา หากมีหิมะมากเข้าจนอันตรายก็จะทะยอยปิดด่านบนๆ ก่อน แต่ถ้าด่านล่างๆ น่ะ ไปได้สบายมาก
   ชั่งน้ำหนักดูพบว่าน้ำหนักขึ้นมาเกือบจะ 2 กก ผลมาจากการทานข้าวขาวทุกมื้อ และไม่ได้ออกกำลังกายอะไรเลยแม้แต่น้อย กลายเป็นว่าไม่ได้ปั่นจักรยานสักวัน เหงื่อไม่ออกเลยสักหยด
   ของเดิมยังลดลงไม่ถึงเป้าเลย ตอนนี้ต้องมาแบกเพิ่มอีกถึง 2 กก
   พรุ่งนี้ออกปั่นจักรยานได้หรือเปล่าก็ไม่รู้