Author Topic: บทเรียนจากกรีซ  (Read 2351 times)

Offline ToppyRacingClub

  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 1382
บทเรียนจากกรีซ
« on: August 11, 2011, 03:16:07 pm »
เมื่อเร็วๆ นี้...มีข่าวว่า คณะกรรมการกลุ่มประเทศยูโร ได้ตัดสินใจอนุมัติวงเงินช่วยเหลือเศรษฐกิจของประเทศกรีซงวดใหม่ เพิ่มขึ้นไปอีก 12,000 ล้านยูโร หรือประมาณ 520,000 ล้านบาท แต่เงินช่วยเหลือก้อนนี้ รวมทั้งก้อนที่ผ่านๆ มานั้น ใช่ว่าจะได้มาแบบง่ายๆ เพราะถึงกับต้องนำเอา อธิปไตยทางเศรษฐกิจ ของกรีซไปแลกมากันเลยทีเดียว...
                        ------------------------------------------------
 ดังคำให้สัมภาษณ์ของนาย ฌอง คล็อด ยุงเคอร์ ประธานกลุ่มยูโรกรุ๊ป ที่ได้กล่าวกับนิตยสารโฟกัสของเยอรมนี หลังจากมีการอนุมัติวงเงินงวดใหม่ให้กับกรีซเรียบร้อยแล้ว โดยเน้นย้ำเอาไว้ว่า อำนาจอธิปไตยของกรีซจะต้องถูกจำกัดลงอย่างมาก คือ นอกจากจะต้องทำอะไรต่อมิอะไรตามคำสั่ง ตามการควบคุม บังคับ ของเจ้าหนี้ ไม่ว่าจะเป็นการออกมาตรการรัดเข็มขัดอย่างเข้มข้น ห้ามไม่ให้ขึ้นเงินเดือนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน งดจ่ายโบนัสเป็นเวลา 3 ปี เพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 21 เปอร์เซ็นต์ เป็น 23 เปอร์เซ็นต์ เพิ่มภาษีน้ำมันเชื้อเพลิงอีก 10 เปอร์เซ็นต์ ฯลฯ แล้ว ยังต้องนำเอาทรัพย์สินของรัฐ หรืออันที่จริงก็ของประชาชนนั่นแหละ อันได้แก่ รัฐวิสาหกิจต่างๆ ไปเร่ขาย หรือไปแปรรูปให้เป็นของเอกชนกันเป็นแถบๆ...                        ----------------------------------------------
 และการเร่ขายรัฐวิสาหกิจของกรีซคราวนี้ รัฐบาลและประชาชนชาวกรีซ คงแทบไม่ได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจใดๆ เลย เนื่องจากเจ้าหนี้กลุ่มยูโรกรุ๊ป จะใช้วิธีจัดตั้งบริษัทขึ้นมาทำหน้าที่เลหลังกันเป็นการเฉพาะ แบบเดียวกับการขายรัฐวิสาหกิจในเยอรมนีตะวันออก ช่วงที่ถูกเยอรมนีตะวันตกเทก โอเวอร์ หรือแบบการขายสินทรัพย์ ปรส.ในบ้านเรา อะไรประมาณนั้น โดยคาดว่าจะสามารถระดมเงินจากการขายรัฐวิสาหกิจต่างๆ ของกรีซ ได้ซักประมาณ 50,000 ล้านยูโร พอทำให้บรรดาเจ้าหนี้อุ่นใจได้ว่า จำนวนเงินที่ทุ่มเทลงไป เพื่อช่วยเหลือ เยียวยา เศรษฐกิจของกรีซนั้น จะไม่สูญเปล่าไปแน่ๆ ส่วนจะก่อให้เกิดเม็ดเงินกำไรกับบริษัทเอกชนรายใด สถาบันการเงินรายใด ชาติใด บรรดาชาวกรีซคงไม่มีสิทธิ์รู้ เพราะไม่เหลืออำนาจอธิปไตยพอ ที่จะปกป้องทรัพย์สินของชาติได้อีกต่อไปแล้ว
                         ---------------------------------------------------
 อะไรที่ทำให้รัฐบาล และประชาชนชาวกรีซ ต้องอับจนไปได้ถึงขั้นนี้...ถ้าใครต้องการรู้รายละเอียดลึกๆ ควรไปหาบทความชิ้นหนึ่ง ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันวานที่ผ่านมา มาอ่านเพื่อประดับความรู้ หรืออ่านเพื่อใช้เป็น บทเรียน สำหรับประเทศไทยแลนด์ แดนสยามของเรา ก็ย่อมได้ บทความชิ้นนี้เขียนโดยอาจารย์ วีระพงษ์ ชุติภัทร์ แห่งศูนย์บริการวิชาการธรรมาภิบาล มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม ใช้ชื่อว่า กรีซ...ประเทศฉิบหายช่างมัน ขอให้ข้าชนะก่อน โดยสรุปคร่าวๆ อาจต้องใช้คำว่า ทั้ง รัฐบาล และ ประชาชนชาวกรีซนั่นแหละ ที่ต่างก็มีส่วนร่วมในการสร้างความอับจน หรือร่วมกันทำลายอำนาจอธิปไตยในมือตัวเอง จนแทบไม่เหลือติดประเทศไปแล้วในขณะนี้...
                         -------------------------------------------------------
 พูดง่ายๆ ว่า...ภายใต้การแข่งขันเอาแพ้-เอาชนะ ของพรรคการเมือง 2 พรรคใหญ่ในประเทศกรีซ คือ พรรคที่มีแนวออกไปทางสังคมนิยมที่เรียกว่า PASOK กับพรรคประชาธิปไตยใหม่ ND ต่อเนื่อง ยาวนาน เป็นทศวรรษๆ
ทั้งสองฝ่ายต่างหันมางัดเอา นโยบายประชานิยม ออกมาเร่ขายต่อประชาชนชาวกรีซมาโดยตลอด ในขณะที่ฝ่ายหนึ่งได้รับชัยชนะมาจากการให้สัญญาว่า จะเพิ่มอัตราค่าจ้างแรงงานขึ้นปีละ 3 เปอร์เซ็นต์ ลดภาษีและยกเว้นภาษีสำหรับใครก็ตามที่คิดจะซื้อรถยนต์คันใหม่ แบบ พรรคกุญแจ 2 ดอก ในบ้านเราประมาณนั้น สัญญาที่จะให้เงินก้อนโตแก่ผู้เกษียณก่อนวัย และเพิ่มค่าจ้างขึ้นไปอีก ทั้งๆ ที่ประเทศกำลังขาดดุลงบประมาณมหาศาล ฯลฯ อีกพรรคหนึ่งก็จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะให้สัญญาว่า จะเพิ่มค่าจ้าง ค่าแรง ตามแบบฉบับของตัวเองเช่นกัน แถมยังจะให้ชาวกรีซได้ใช้ระบบอินเทอร์เน็ตสาธารณะที่ดีที่สุดในยุโรป ได้เป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกที่ต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูงเป็นสองเท่าของงบประมาณที่เคยตั้งเอาไว้...ฯลฯ

                          -----------------------------------------------------
 ภายใต้การแข่งขันเอาแพ้-เอาชนะในลักษณะเช่นนี้ อาจารย์ วีระพงษ์ สรุปไว้ว่า ส่งผลให้ ประชาชนชาวกรีซ...เสพติดกับการได้ค่าจ้างงานสูงกว่าความเป็นจริง...เสพติดกับการได้สวัสดิการที่ดีๆ จากรัฐ...เสพติดกับการกู้ยืมเงินอย่างง่ายๆ แม้ว่าจะไม่มีปัญญาใช้คืน...และเสพติดกับความมักง่ายที่เกิดจากนโยบายประชานิยม ซึ่งแต่ละพรรคแข่งกันหยิบยื่นให้มากว่า 30 ปี เรียกว่า...ถ้าหากพรรคไหนไม่งัดนโยบายประชานิยม ลด-แลก-แจก-แถม ออกมาโฆษณาให้หนักๆ เข้าไว้ มักจะต้องแพ้เลือกตั้งไปซะทุกที ส่วนประเภทที่พร้อมจะ เกทับ เพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 300 บาทโดยทันที ใครจบปริญญาตรีรับไปเลย 15,000 ใครมีข้าวเปลือกเอามาจำนำเกวียนละ 15,000 แถมมีบัตรเครดิตเอาไว้ให้รูดปรื๊ดๆ ได้อีกด้วย ครัวเรือนไหนที่มีหนี้ต่ำกว่า 5 แสนบาทไม่ต้องใช้หนี้ไปอีก 3 ปี ใช้อินเทอร์เน็ตสาธารณะฟรี แถมแจกคอมพิวเตอร์ให้เด็กชั้นประถมทุกคนทั่วประเทศอีกต่างหาก ฯลฯ อันนี้...รับรองว่าแลนด์สไลด์ไปทุกๆแลนด์สเคปได้ไม่ยาก...
                         --------------------------------------------------------
 ด้วยเหตุที่ประชาชนเป็นเช่นนี้...รัฐบาลจึงเป็นเช่นนั้น!!! ความโลภ ความอยากได้ ความกระหายวัตถุ ที่ทั้งรัฐบาลและประชาชน ได้ร่วมสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันและกันในลักษณะเช่นนี้นี่เอง สุดท้าย อำนาจอธิปไตย ของปวงชนชาวกรีซ ก็จึงถูกเปลี่ยนมือไปสู่เจ้าหนี้เงินกู้ทั้งหลาย ที่หันมาลงแส้เฆี่ยนหลังรัฐบาลและประชาชน อย่างอำมหิต โหดร้าย ชนิดน้ำตาตก เลือดตกยางออก ไปทั่วทั้งแผ่นดิน ด้วยมาตรการภาษี มาตรการรัดเข็มขัด รวมทั้งการนำเอาทรัพย์สินของรัฐ ของประชาชน ออกไปเปิดหลังรถกระบะเร่ขาย ฯลฯ ส่งผลให้ประชาชนชาวกรีซนับหมื่นนับแสน ต้องออกมาก่อการจลาจล เผาบ้าน เผาเมือง หรือเผาประเทศตัวเอง จนเมืองใหญ่ๆ หลายต่อหลายเมืองเป็นอัมพาตไปแล้วหลายต่อหลายครั้ง...
                          ----------------------------------------------------
 แต่อย่างว่านั่นแหละ...ทุกสิ่งทุกอย่างมันสายไปซะแล้ว!!! น่าเสียดายที่ไม่มีพรรคการเมืองพรรคใด หรือชาวกรีซรายใด เคยคิดจะพยายามทำความรู้จักกับแนวคิดประเภทที่เรียกว่า เศรษฐกิจพอเพียง กันมาก่อน ไม่เช่นนั้นไม่ว่าใครแพ้-ใครชนะ พรรคไหนจะนอนมา พรรคไหนมีพระเดินสวดนำหน้า อย่างน้อยเครือข่ายป้องกันทางสังคม ซึ่งถูกรังสรรค์ขึ้นมาจาก ภูมิปัญญาดั้งเดิมของสังคม และถูกนำไปแพร่กระจายออกสู่ชุมชนต่างๆ ในชนบท หรือในตัวตนของแต่ละปัจเจกบุคคล อาจพอช่วยรองรับความเจ็บปวดรวดร้าวของชาวกรีซ อย่างเช่นที่กำลังปรากฏอยู่ในสังคมไทยได้บ้าง ส่วนพรรคการเมือง หรือนักการเมืองนั้น...อย่าไปถือสาหาความอะไรให้เสียเวลา ส่วนใหญ่เมื่อมา...แล้วก็ไป ตามเวร ตามกรรม ที่ตัวเองเคยก่อเอาไว้ จะยาวหรือสั้น เบาหรือหนัก อันนี้...คงต้องรอดูอนาคตของ พรรคเผาไทย ก็แล้วกัน...
                        ------------------------------------------------
 ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก ซัมเมอร์เซ็ท มอห์ม...ชาติใดให้ความสำคัญแก่สิ่งอื่นมากกว่าอิสรภาพ ชาตินั้นจะสูญเสียอิสรภาพ และที่น่าหัวเราะก็คือ หากชาตินั้นให้ความสำคัญกับความสุขสบาย และเงิน มากกว่าอิสรภาพ ชาตินั้นก็จะสูญเสียทั้งความสุขสบาย เงิน และสูญเสียอิสรภาพตามไปด้วย...
                        ------------------------------------------------


ที่มา http://www.thaipost.net/news/080711/41398