ระวัง! อีกสามเดือนเสียดินแดนสามจังหวัด
โดย หมายเหตุผู้จัดการ 13 พฤษภาคม 2550 18:19 น.
.
เราเคยเตือนมาโดยลำดับแล้วว่าสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้นไม่ใช่ปัญหาอาชญากรรม ไม่ใช่การก่อการร้าย แต่มันเป็นสงครามชนิดใหม่ คือสงครามประชากรที่อาศัยเชื้อชาติ ศาสนา มาตุภูมิ เป็นธงนำทางการเมือง
เป็นสงครามที่มีเป้าหมายขับไล่คนไทยเชื้อสายอื่นออกจากพื้นที่ และก่อตั้งรัฐใหม่ขึ้นมา โดยอาจครอบคลุมไปถึงพื้นที่ตอนเหนือของมาเลเซียด้วย
แต่ทว่าหามีใครสนใจหรือยอมรับไม่ ยังคงใช้มาตรการปราบปรามอาชญากรรมธรรมดาเข้ารับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แม้กระทั่งในวันนี้ก็ยังคิดแต่การสืบสวนสอบสวนออกหมายจับข้าศึก ซึ่งไม่เคยจับใครมาลงโทษได้ และไม่มีผลต่อการหยุดยั้งสถานการณ์เลย
เราฟันธงไว้อีกครั้งหนึ่งว่าการใช้มาตรการในการรับมือกับอาชญากรรมคือสืบสวน สอบสวน จับกุม คุมขัง ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์และไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ รังแต่จะเพิ่มแนวร่วมให้กับข้าศึก และเร่งสถานการณ์ให้เร็วขึ้น
เพราะว่ากระบวนการรับมือกับอาชญากรรมนั้นมีโอกาสผิดพลาดได้มาก มีโอกาสจับกุมผู้บริสุทธิ์ได้มาก และเกิดผลกระทบให้ประชาชนในพื้นที่ต่อต้านรัฐและเข้าร่วมกับข้าศึก
รัฐบาลเต่ายังคงใช้มาตรการนี้ในการรับมือกับสถานการณ์ นี่เป็นด้านที่หนึ่ง
เพราะมันเป็นสงคราม ในสนามรบย่อมไม่มีการสมานฉันท์ ยิ่งการใช้นโยบายปูผ้าขาวกราบวิงวอนต่อข้าศึกเป็นเรื่องน่าขัน และถูกเย้ยหยันไปทั่วทั้งโลก เพราะชาวโลกทั้งปวงย่อมรู้ดีว่าในสนามรบนั้นไม่มีธรรมะในสงคราม มีแต่ต้องหยุดยั้งข้าศึกให้ได้เท่านั้น
รัฐบาลเต่ายังคงเพ้อพร่ำแต่เรื่องสมานฉันท์ ซึ่งผิดพลาดล้มเหลวอย่างร้ายแรง ไม่ว่าในทางการเมืองหรือในทางการทหาร
ในทางการเมือง การสมานฉันท์กับโจรเป็นไปไม่ได้ วันนี้ก็ให้ผลแล้วว่าทำให้โจรฮึกเหิมลำพองและดำเนินการอย่างเปิดเผยในการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ถึงขนาดข่มขู่ด้วยการวางระเบิดถึงรั้วพระราชวังอยู่แล้ว
ในทางการทหาร ในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ก็ยังใช้มาตรการเก่าเก็บคือวางกำลังไว้ในค่าย แล้วส่งกำลังออกไปลาดตระเวน ซึ่งสหรัฐฯ ที่เป็นแม่แบบในวิธีการนี้ก็ได้ให้ข้อสรุปเมื่อสี่เดือนก่อนแล้วว่ารูปแบบดังกล่าวมีแต่ความพ่ายแพ้ ไม่สามารถตอบสนองต่อพัฒนาการทางยุทธวิธีที่เปลี่ยนรูปโฉมไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว
แต่รัฐบาลเต่าก็ไม่รู้ไม่ชี้ไม่ประสีประสา ไม่ติดตามข่าวสาร ไม่ปรับปรุงการทำงาน ยังคงใช้วิธีการซึ่งทำให้ชีวิตทหารตำรวจและประชาชนจำนวนมากต้องตกเป็นเป้าในการถูกเข่นฆ่าสังหารไม่เว้นแต่ละวัน นี่เป็นอีกด้านหนึ่ง
เหตุการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในขณะนี้มาถึงขั้นสุดท้ายแล้ว คือขั้นสุดท้ายที่จะเสียดินแดนหรือจะรักษาดินแดนของเราเอาไว้ได้หรือไม่
เราฟันธงว่าถ้ารัฐบาลเต่ายังทำเหมือนอย่างเคย คือไม่รับผิดชอบ ไม่สนใจและไม่ปริปากยอมรับผิดว่านโยบายปูผ้าขาวกราบโจรล้มเหลว และแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกไปแล้ว แต่นี้ไปอีกราว 3 เดือนสถานการณ์เสียดินแดนจะมีความชัดเจนจนทุกคนจะสามารถเห็นได้อย่างแน่นอน
เราประกาศ ณ บัดนี้ว่านโยบายปูผ้าขาวกราบโจรและนโยบายสมานฉันท์กับโจรเป็นความผิดพลาดล้มเหลวที่ทำให้เกิดหายนะครั้งใหญ่หลวงแก่ชาติบ้านเมืองอย่างแน่นอน
ในทางการเมือง ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขกำลังถูกท้าทายและกำลังถูกกระบวนการโค่นล้มด้วยระบอบใหม่ที่ประกาศและเคลื่อนไหวอย่างเปิดเผยและโจ่งแจ้งโดยระบอบใหม่ที่เรียกว่า ระบอบประชาธิปไตยของปวงประชามหาชน ดังที่คุณคำนูณ สิทธิสมาน ได้นำพยานหลักฐานมาเปิดเผยให้ได้รู้เห็นกันทางรายการยามเฝ้าแผ่นดินเมื่อคืนวันที่ 10 พฤษภาคม 2550 แล้ว
หากรัฐบาลเต่ายังอยู่ต่อไป เมื่อสถานการณ์พัฒนาไปถึงจุดหนึ่งก็จะเกิดแรงเหวี่ยงที่คนจำนวนมากจะเข้าร่วมและทอดทิ้งความนิยมศรัทธาในระบอบเดิม และเมื่อนั้นการสถาปนาระบอบการปกครองใหม่ในประเทศก็จะเกิดขึ้น
ในทางด้านสถานการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น รัฐบาลเต่าไม่ยอมรับผิดชอบใด ๆ โบ้ยความผิดไปให้กับ คมช. ทั้งสิ้น ในขณะที่ คมช.เองก็ไม่มีอำนาจรัฐอยู่ในมือ ไม่มีทรัพยากรบุคคลและงบประมาณอยู่ในมือ และไม่สามารถดำเนินนโยบายต่างประเทศที่เกื้อกูลในเรื่องนี้ได้เลย
เมื่อผสมกับความล้มเหลวของนโยบายปูผ้าขาวกราบโจรแล้ว สถานการณ์จะทรุดหนักลงอย่างรวดเร็ว
ล่าสุดนี้ ข้าศึกได้เพิ่มขีดความสามารถและเพิ่มเขตปฏิบัติการอย่างกว้างขวาง ใช้กำลังทหารจรยุทธ์เข้าโจมตีทหารหน่วยรบพิเศษจนเสียชีวิตถึง 7 นายในเวลาแค่พริบตาเดียว
เป็นเหตุการณ์สะเทือนใจสะเทือนขวัญของประชาชนทั้งประเทศ แต่รัฐบาลแต่ไม่เคยปริปากรับผิดชอบเลยแม้แต่คำเดียว ทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้ว ราวกับว่าไม่มีรัฐบาลอยู่ในประเทศนี้แล้ว
อย่างนี้ยังจะทู้ซี้อยู่ในอำนาจไปทำไม รีบลาออกไปเปิดโอกาสให้คนดีมีฝีมือเข้ามาแก้ไขปัญหาจะไม่ดีกว่าหรือ
นอกจากนั้นยังมีปฏิบัติการที่เรียกว่าซ้อมรบหรือวอร์มอัพในการปิดล้อมพื้นที่ถึง 3 พื้นที่ในเวลาไล่เลี่ยกัน คือ
หนึ่ง ปิดล้อมค่ายอิงคยุทธ์ซึ่งเป็นค่ายทหารหลักของจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่จังหวัดปัตตานี และปิดล้อมเป็นเวลากว่า 24 ชั่วโมง เป็นการซักซ้อมใหญ่ครั้งแรก
สอง ปิดล้อมอำเภอเบตงจนประชาชนทั้งอำเภอเบตงขาดแคลนน้ำมันและก๊าซหุงต้ม กระทั่งอาหาร จนต้องเดินอ้อมผ่านแดนเข้าไปในมาเลเซียเพื่อซื้อสิ่งของจำเป็น
สาม จากนั้นก็ปิดล้อมอำเภอตากใบ ทำให้เกิดความลำบากยากเข็ญแก่ประชาชนในพื้นที่โดยทั่วไป
ปฏิบัติการปิดล้อมดังกล่าวได้ใช้มวลชนสตรีคลุมหน้าและเด็กคลุมหน้า รวมทั้งใช้ร่มกางกั้น โดยที่ฝ่ายรัฐไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์ให้ลุล่วงได้ในเวลาอันรวดเร็ว
เราอยากชี้ข้อสังเกตการแต่งกายของสตรีคลุมหน้าว่าหาได้เป็นไปตามบัญญัติแห่งศาสนาอิสลามแต่ประการใดไม่ เพราะในศาสนาอิสลามนั้น การคลุมหน้าของสตรีไม่ว่ารูปแบบใด แม้กระทั่งคลุมหน้าแบบฮีญาฟก็ยังต้องเปิดหน้าเป็นรูปวงเดือนหรือวงพระจันทร์
แต่พวกคลุมหน้าเหล่านั้นได้ใช้ผ้าดำอีกผืนหนึ่งปิดตั้งแต่ใต้ตาลงมา หากสังเกตดูให้ดีก็เหมือนกับการใช้ผ้าคลุมหน้าในอัฟกานิสถาน
แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับความเข้าใจให้ถูกต้องว่าคนเหล่านั้นมิใช่สตรีหรือประชาชนธรรมดาอีกแล้ว แต่เป็นหน่วยปฏิบัติงานหรือแนวร่วมของข้าศึก ที่ถูกใช้ให้ปฏิบัติการในทางปิดล้อม โดยอาศัยความไม่เข้าใจเรื่องศาสนาและสิทธิมนุษยชนบังหน้า
แต่ฝ่ายรัฐไม่เคยชี้แจงทำความเข้าใจ กระทั่งไม่เข้าใจว่าปรากฏการณ์นั้นคืออะไร จึงไม่สามารถแก้ไขเหตุการณ์ได้ และเกิดพฤติกรรมยอมจำนนจนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร
หากรัฐได้ชี้แจงทำความเข้าใจว่าปฏิบัติการเช่นนั้นเป็นปฏิบัติการที่เอื้อประโยชน์ต่อข้าศึก เป็นปฏิบัติการตามแผนการของข้าศึก รัฐย่อมมีความชอบธรรมที่จะเข้าสลายหรือจัดการอย่างเด็ดขาดได้
ต้องย้ำว่าต้องให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องก่อนจึงจะใช้ปฏิบัติการที่เด็ดขาดได้
วันนี้ข้าศึกฮึกเหิมลำพองขยายการปฏิบัติงานอย่างกว้างขวาง ทั้งทางการทหารและทางการเมือง ในขณะที่รัฐบาลเต่ายังไม่รับผิดชอบและยังคงปฏิบัติในรูปแบบที่ก่อให้เกิดความพ่ายแพ้ โดยไม่คำนึงถึงชีวิตทหารและความสูญเสียของชาติเลย
เราขอบอกให้พี่น้องร่วมชาติทั้งปวงได้รับรู้ทั่วกันว่าในเวลาอีกราวสามเดือนข้างหน้าจะมีปฏิบัติการขนาดใหญ่ โดยมุ่งต่อผลดังต่อไปนี้
ประการแรก จะมีการสังหารมนุษย์จำนวนมากเพื่อให้ได้ตัวเลขคนตายครบ 1,000 คนในปี 2550 เพื่อก่อเงื่อนไขให้สหประชาชาติเข้ามาแทรกแซงและลงประชามติให้แยกดินแดนแบบติมอร์ตะวันออก
ประการที่สอง จะมีการตัดเส้นทางคมนาคมทั้งทางรถไฟ ทางถนน และทางอากาศ ที่เชื่อมสามจังหวัดชายแดนภาคใต้กับตอนบนออกจากกัน และปิดล้อมสถานที่สำคัญต่าง ๆ ในลักษณะเคลื่อนไหวประชาชาติทั่วด้าน และขับไล่เจ้าหน้าที่ของรัฐ ตลอดจนชาวไทยเชื้อสายอื่นออกจากพื้นที่
มันคือสัญญาณการเสียดินแดนที่ชัดเจน หลังจากที่เคยเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 และการสูญเสียเขาพระวิหาร
จึงขอให้พี่น้องร่วมชาติได้เตรียมจิตใจรับความสูญเสียดังกล่าวไว้ล่วงหน้าได้แล้ว! นี่คือผลงานที่จะเป็นมหาอมตะในประวัติศาสตร์ของชนชาติไทยในน้ำมือของรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์
หากรอถึงวันนั้น แม้จะลาออกตามที่เคยพูดไว้ ก็เอาแผ่นดินกลับคืนไม่ได้แล้ว!
Source -
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9500000054650