Bike Forum > my bike diary / my life diary

พฤษ 52 17 ดอนหวาย / 28-31 solo trip

(1/4) > >>

O'Pern:
1 พฤษ 52
   วันแรงงานแห่งชาติ แต่สำหรับผมวันไหนๆ มันก็เหมือนๆ กัน ถ้าลูกหยุดก็มักจะอยู่กับลูก แต่ถ้าลูกไปเรียนก็ต้องรับส่งเขา ไม่รู้สึกเบื่อเลยสักวัน เป็นความเต็มใจของผมเองที่อยากดูแลเขาให้เต็มที่
   ตื่นเองตอนตี 4 แต่ไม่อยากลุกเล้ยย ขออิอออดนอนต่อจนถึงตี 5 กว่าจะเอารถออกได้ก็ปาไป 0530 ออกไปปั่นเส้นทางเดิม แต่พบว่าบางช่วงของเส้นทางมีร่องรอยน้ำท่วมขัง มีเศษดินเลนเลอะเทอะเต็มพื้นไปหมด ช่วงไหนแห้งหน่อยก็จะเป็นเศษดินทรายระเกะระกะ
   แบบนี้ปั่นไม่สนุกแน่ครับ แถมร่างกายผมยังไม่ฟื้นดี แปลกนะ รู้สึกเหมือนไม่ค่อยมีแรง ขี่ไม่ค่อยสนุกยังไงพิกล จึงเริ่มออกหาเส้นทางใหม่ วกวนจนไปทะลุแถวพระประแดง เห็นสะพานวงแหวนอุตสาหกรรมวันนี้แล้วนึกอยากลองขึ้นไปปั่นดู ไม่รู้เขาให้จักรยานขึ้นไหม แต่มีมอเตอร์ไซค์เขาขี่ขึ้นกัน ตรงทางขึ้นก็ไม่เห็นมีป้ายห้ามรถจักรยาน หรือมอเตอร์ไซค์ ผมอนุมานเอาว่าจักรยานก็สามารถขึ้นได้ แต่วันนี้ร่างกายยังไม่พร้อมครับ เพลียๆ ล้าๆ บอกไม่ถูก แต่เล็งไว้แล้วว่าจะมาช่วงวันอาทิตย์เช้าๆ น่าจะเป็นอีกเส้นทางที่ท้าทายร่างกายอย่างมาก เพราะเนินชันดีเหลือเกิน
   สุดท้ายวันนี้ขี่ไปได้แค่ 30 กม กลับมาบ้านก็ยืดเส้นยืดสาย ภรรยาผมทำน้ำแค่รอทคั้นไว้ให้ดื่มบำรุงผิว ผมเคยบอกเขาว่าดื่มน้ำแครอทแล้วผิวพรรณของผมดูดีขึ้นอย่างมาก กระ ฝ้า บนใบหน้าเลือนลางลงเยอะ ดีกว่าทาครีมแพงๆ เสียอีก เขาคงจำได้ วันนี้เลยจัดมาให้ผม
   อาหารเช้าบำรุงสุขภาพเป็นผัดผักคะน้าจานใหญ่ กับไข่เจียวสูตรเดิม ช่วงสายมีกุ้งทะเลฝอยทอดกรอบ กินทั้งตัว ตามด้วยแตงโมหนึ่งชิ้น แถมด้วยน้ำเต้าหู้หนึ่งแก้ว
   กลางวันทานมะม่วงเขียวเสวย 2 ลูก ไม่จิ้มพริกเกลือ มีถั่วคั่ว มีอัลมอนด์ และขนมปังกรอบแบบ Pretzel (จะมาอ้วนก็ตรงขนมปังกรอบนี่แหละ)
   ไม่รู้เป็นอะไรเหมือนกันนะ ตั้งแต่กลับมาก็รู้สึกขี้เกียจๆ ยังไงก็ไม่รู้ มันไม่ค่อยอยากทำอะไรเลย กระทั่งปั่นจักรยานเมื่อเช้าก็ยังไม่ค่อยรู้สึกสนุกเต็มที่เหมือนเมื่อก่อน
   แถมอยากกินโน่นกินนี่ เดินหยิบของกินเข้าปากบ่อยเลย
   รู้สึกว่าตัวเองผิดปกติ แต่ไม่รู้สาเหตุ
   เอ.. หรือว่าจะเกิดจากความเครียด สาเหตุที่ไปเที่ยวแล้วกลับมาไม่สนุกดังใจคิด อืมม.. เป็นไปได้เหมือนกันนะนี่ การที่ไม่ได้ขึ้นเขา Tateyama เล่นเอาผมใจสลายไปเลย

2 พฤษ 52
   ไปญี่ปุ่นเที่ยวนี้ไม่สนุกสะใจดังคาดหมาย ผมมองหาสถานที่ใหม่ๆ มาทดแทน นึกได้ว่า “กบ” และ “กรม” เขาจะไปสิงคโปร์กัน แต่ช่วงนี้ทุกประเทศเข้มงวดกับนักเดินทางขาเข้า ใครมีไข้แม้เพียงเล็กน้อย ก็จะถูกหมายตา และหากมีไข้มากก็ต้องถูกเขากักตัวไว้ดูอาการอย่างน้อย 7 วัน
   แล้วผมจะมีไข้ไหววะนี่ ผมเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน แต่ปกติแล้วร่างกายผมแข็งแรงดี ไม่ค่อยเจ็บป่วยง่าย แม้ไม่สบายก็มักจะไม่ทรุด และฟื้นตัวเร็ว
   เขาไปสิงคโปร์กันวันที่ 7 ผมจะไปก่อนหรือหลังก็ย่อมได้ ไปถึงแล้วค่อยโทรนัดกัน
   ผมกลัวโดนกักที่ด่านขาเข้าสิงคโปร์ว่ะ หน้าตาผมดูไม่ค่อยแจ่มใสเลย ผิวหนังก็หยาบแห้งจากการโดนหิมะกัด ผมว่าสักพักคงจะลอกออกมา หวังว่าคงจะไม่เจ็บแสบนะ
   เอาไงดี หรือว่ารอให้สถานการณ์โลก และสภาพตัวผมดีขึ้นกว่านี้แล้วค่อยไป
   คิดไม่ออก สรุปไม่ได้ เลยยังไม่ได้จองตั๋วเครื่องบิน
   กลางวันผมอ่านเวปของ TCC มีทริปไปจีน ดูท่าทางน่าสนใจ ผมไม่เคยไป เลยเกิดอาการอยาก ทริปนี้ 10 วัน ปั่นกันโหดไม่เบา วันละราว 100 กม ผมว่าผมไหว ใจคิดอยากเอารถพับ KHS F20-W ไป แต่กลัวเจอทางแบบ Off Road เดี๋ยวผมจะหงายท้อง
   เรื่องของเรื่องก็คือผมไม่มีรถแบบ Full Size ที่พร้อมเดินทางเลย ผมมี KHS HT ก็จริง แต่ขนาดเฟรมของมันใหญ่กว่าตัวผมไป 1 เบอร์ หากจะให้แก้ไข ก็ต้องขอ Stem สั้นและยกมาแทน และถ้าได้แฮนด์แบบผีเสื้อร่วมด้วยก็คงจะดีขึ้นอย่างมาก
   เป็นอันว่าเริ่มมองหาแฮนด์ผีเสื้อได้ ณ บัดนี้ กระเป๋า Pannier ผมมีครบแล้ว ใช้ของ Ortlieb ชุดเดิม สิ่งหนึ่งที่ไม่ค่อยได้ใช้ แต่ผมอยากได้ติดตัวก็คือชุดกันฝนครับ มีสองทางเลือกคือเอาแบบผ้าคลุมเฉพาะท่อนบนร่างกาย กับอีกแบบคือเป็นสองชิ้น เสื้อและกางเกงแยกชิ้นกัน แบบแรกสะดวก ง่าย แบบหลังใส่ปั่นจักรยานสะดวกกว่าอย่างมาก เพราะมันไม่พริ้วปลิว
   มีการบ้านเพิ่มอีกอย่างแล้วเรา
   ทริปไปจีนนี้ยังอีกยาวไกลครับ เขาไปกันช่วงปลายปี แต่ระหว่างนี้ผมจะเล่นทริปในประเทศไปพลางๆ ก่อน ค่าใช้จ่ายถูกกว่ากันเยอะมาก และอยากจะไปแบบนอนเต้นท์ด้วย ใจอยากลองสถานที่ใกล้ๆ ก่อน เช่น เกาะเสม็ด หรือ เจ็ดคต ที่สระบุรี เกาะสีชังก็น่าสนใจ ใกล้กว่าเสม็ดเสียอีก

2 พฤษ 52
   ผมเป็นโรคขี้เกียจเข้าแล้วครับ ตื่นเช้าแต่ไม่ยอมลุก สงสัยขาดแรงจูงใจ ทางแก้ง่ายๆ ก็คือหาแรงจูงให้เติมเข้าไปซะ
   แรงจูงใจง่ายๆ สำหรับผมก็คือการได้ไปปั่นจักรยานในสถานที่ต่างๆ ครับ ที่ผ่านมาแรงจูงใจเต็มเปี่ยมเพราะหวังจะปั่นขึ้นเขา Tateyama แต่พอผิดหวังเข้านี้เล่นเอาผมไปไม่เป็นเลย ไม่ได้เผื่อใจไว้สักนิดว่าจะมีเหตุไม่คาดฝัน
   แถมต้องรีบกลับเพราะไข้หวัดสายพันธุ์พิศดารระบาดหนัก เพราะถ้ากลับช้าและขณะเดินทางกลับเกิดมีไข้ขึ้นมาแม้เพียงสักเล็กน้อยล่ะก็ งานเข้าของแท้ จะต้องถูกกักตัวไว้ที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองแน่นอน ไม่ใช่เรื่องน่าสนุกเลยล่ะ
   วันนี้ผิวหน้าผิวตัวผมดีขึ้นอย่างมาก ผิวที่แห้งสากเป็นขุยเริ่มลอกออกมา เผยผิวใหม่เนียนนุ่ม โห.. ยังกะโฆษณาหลอกหญิงในทีวีเลย
   ตกเย็นเริ่มวางแผนการชั่วร้าย กลางคืนเติมคาร์โบไฮเดรตเพียบ กิน Pretzel กับองุ่นสดเข้าไปเยอะเลย พรุ่งนี้เช้าเรามีนัดกัน 

O'Pern:
3 พฤษ 52
   ชีวิตมันเบื่อๆ ครับ เลยหาสิ่งท้าทาย เช้านี้ขอตัวตัวไม่ดี ออกปั่นในสถานที่ห้ามนำจักรยานเข้า
   ผมไปปั่นบนสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวรพระประแดงครับ สะพานนี้ลักษณะเหมือนดาวสามแฉกของรถยนต์ Mercedes Benz ด้านหนึ่งอยู่บนถนนสุขสวัสดิ์ จังหวัดสมุทรปราการ อีกด้านจะเป็นถนนพระราม 3 กรุงเทพฯ ส่วนทิศสุดท้ายจะลงไปที่ถนนปู่เจ้าสมิงพราย จังหวัดสมุทรปราการ
   ผมเริ่มที่สุขสวัสดิ์ครับ ขึ้นปุ๊บก็ไต่ขึ้นเนินลาดยาวไปยังสะพานข้ามแม่น้ำ จากนั้นเลือกไปลงปู่เจ้าสมิงพราย พอลงปุ๊บก็กลับรถเลยครับ ขึ้นใหม่อีกรอบ ไต่เนินยาวๆ ข้ามแม่น้ำอีกครั้ง คราวนี้เลือกไปลงพระราม 3 พอลงถึงพื้นราบก็กลับรถทันที ย้อนกลับมายังสุขสวัสดิ์ เป็นอันเสร็จสิ้น
   ได้ไต่ขึ้น 3 เนิน ไหลลงอีก 3 เนิน สนุกดีนะ อากาศดีมาก วิวสวยสุดยอด เสียอย่างเดียวคือเขาห้ามจักรยานขึ้น
   สะพานแห่งนี้เขาห้ามมอเตอร์ไซค์ ห้ามจักรยาน ห้ามรถเข็น ห้ามคนเดิน รู้สึกตื่นเต้นดี วิวสวยงามมาก อากาศเย็นสบาย ผมออกปั่นตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น เสียดายตรงที่เนินลาดขึ้นนั้นไม่ได้ชันเหมือนกับที่ตาเห็นเลย ผมปั่นขึ้นได้ด้วยจานหน้าใบกลางแบบสบายๆ เนินสูงจริงแต่ไม่ชันเลย เป็นการออกแบบได้ดีมากๆ เพราะถ้าชันเหมือนสะพานพระราม 9 ผมว่าจะต้องทำให้รถบรรทุกของหนักไต่ลำบากแน่ แถมจะเป็นปัญหาเรื่องการจราจรตามมาอีก
   มื้อเช้าวันนี้ของผมเป็นติ่มซำครับ มีซาลาเปา มีขนมจีบ ฮะเก๋า มีเกาลั้ดคั่วอีกด้วย บรรยากาศเหมือนอยู่ฮ่องกงเลย ขาดโจ๊กไป ไม่งั้นเหมือนเป๊ะ
   เออ จะว่าไปแล้วฮ่องกงนี้ก็มีทางจักรยานสวยๆ เหมือนกันนะ เขาทำทางอยู่นอกเมือง ปั่นเลาะเกาะไปจรดชายทะเลเลย คุ้นๆ ว่ายาวถึง 200 กม ชาวเสือหมอบเห็นแล้วคงน้ำลายไหล
   ผมคงหยุดทริปต่างประเทศไว้สักพัก (แต่ยังไงเรื่องงานนี้คงจะเลี่ยงลำบาก) ระยะนี้โลกป่วนด้วยไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ อยู่บ้านเราจะดีที่สุด ตอนกลับจากญี่ปุ่นคิดว่าอาจจะไปต่อที่สิงคโปร์กับพวก “กบ”เก็บสถานที่สวยๆ ที่ยังไม่เคยไปอีกมาก เที่ยวไทยใช้เงินน้อยกว่า สบายใจกว่า สถานที่ๆ ผมเล็งไว้นาน แถมใกล้ แต่ยังไม่เคยไปคือเกาะเสม็ดและเกาะสีชัง
   กลางวันกินส้มตำ ข้าวเหนียว ไก่ย่าง อาหารคลาสสิคของชาวจักรยาน กินแป้งเยอะๆ แล้วง่วงนอนดีจัง ยิ่งตอนเช้าออกกำลังกายมาด้วย ทำเอาบ่ายนี้อยากหลับเสียให้ได้
   ช่วงเย็นตรวจเช็ครถ พบว่าล้อหน้าคลอนนิดๆ ไขดุมปลดไม่แน่น ไม่ใช่ความผิดของอุปกรณ์ แต่เป็นฝีมือผมเอง กลัวไขแน่นเกินไปแล้วมันจะบีบดุมล้อจนฝืด อาการคอหลวมยังมีอยู่บ่อยๆ ก่อนออกรถก็เอามือหมุนให้แน่นเข้าสักนิดก็ใช้ได้ แต่ถ้าจะแก้ให้ตรงจุดก็ต้องใช้เครื่องมือไข อย่างที่บอกแหละครับ ผมกลัวมันสีถลอก เลยยังไม่ได้ไข ชุดคอและนอคล็อคของผมสีดำครับ
   ตรวจเช็คลมยางดู พบกว่าลดลงมาเหลือที่ 60 อีกแล้ว เช็คทีไรเหลือ 60 ทุกที สรุปเอาเองว่า หากเติมเต็ม 100 มันจะค่อยๆ ลดลงเรื่อย ๆพอจนถึง 60 มันจะลดลงช้าแล้ว
   ผมอัดเข้าไปจนเต็ม 100 ตามสเปคสูงสุดที่ยางนอกรับได้ ดีนะที่อยู่ในบ้าน มี Floor Pump เพราะถ้าอยู่นอกบ้านก็คงต้องพึ่งบริการปั๊มน้ำมันแน่ๆ เพราะสูบมือคงทำได้แค่แรงดันระดับปานกลาง แค่พอขี่ได้ อัดด้วยมือเข้าไปไม่ถึง 100 psi แน่ๆ
   

O'Pern:
4 พฤษ 52
   ผมเกิดความผิดปกติในจิตใจครับ น่าจะเกิดจากความเครียด ทำให้ผมกินเยอะ อยากกินโน่นกินนี่ทั้งๆ ที่ไม่ได้หิวอะไรเลย หลายคนเป็นแบบผมครับ มีเรื่องไม่สบายใจแล้วมักจะกินๆ ๆ ผมวิเคราะห์สภาพร่างกายและจิตใจตัวเองเป็นประจำ หากเกิดเรื่องผิดปกติแม้เพียงเล็กน้อยก็ต้องรีบแก้ไข
   ในใจผมยังรู้สึกเสี่ยดายกับการที่ไม่ได้ขึ้นเขา Tateyama แม้จะกลับมาหลายวันแล้วแต่มันยังคิดถึงอยู่ดี เพราะเป็นความฝัน แถมปีหนึ่งเขาเปิดแค่ 2 เดือน พลาดแล้วก็ต้องรอปีหน้าโน่นเลย แต่จะได้ไปหรือเปล่าก็ยังไม่รู้
   ก็ต้องรู้จักปล่อยวางครับ คิดถึงภูเขาลูกอื่นๆ ที่มีอีกตั้งเยอะแยะที่เรายังไม่เคยขึ้น คิดถึงวันที่โดนพายุหิมะซัดถล่ม ได้เห็นได้เล่นหิมะทั้งๆ ที่อยู่นอกฤดูหนาวไปแล้วแทน คิดถึงแต่เรื่องดีๆ สนุกๆ แทน
   เช้านี้จึงเริ่มฟิตร่างกายจริงจังอีกครั้ง ประเดิมด้วยการวิ่ง 10 กม ทานอาหารอย่างดีคือผัดผักกับเห็ด ตั้งเป้าหมายว่าจะลดน้ำหนักร่างกายลงมาให้ได้ตามที่คิดไว้ แต่ยังไม่รู้เหมือนกันครับว่าหากลดได้แล้วจะให้อะไรเป็นรางวัลตัวเองดี
   มันต้องมีรางวัลนะ ต้องมีแรงจูงใจ เล็กๆ น้อยๆ พวกนี้จะทำให้เราเกิดความมุ่งมั่น เหมือนบริษัทเขาให้โบนัสพนักงานอะไรทำนองนั้นแหละ
   ผมอยากได้รางวัลเป็นทริปยุโรป อเมริกา หรือนิวซีแลนด์สักทริปนะ ไม่รู้ว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ แต่หากมีใครมาชวนล่ะก็ เป็นได้เห็นดีกัน ยิ่งถ้าได้ที่พักฟรีหรือแบบนอนเต้นท์จะยิ่งสุดยอดมาก ของโปรดเลย
   เล่นไปเล่นมา กลายเป็นว่าค่าทริปแพงกว่าค่าจักรยานเสียอีก
   บ่ายมีออเดอร์จักรยาน 250 คัน มาแบบฟ้าผ่า รีบโยนไปทางญี่ปุ่นแบบฟ้าฝ่าเช่นกัน แต่แหม นึกถึงล็อตที่แล้วยังเซ็งไม่หาย มีมาแต่แม่บ้านล้วนๆ เล้ยย ไม่เข้าสเปคผมสักคัน โชคดีมีมาแค่ 48 คัน
   งวดนี้เลยมีการติว แต่อย่างว่าแหละ ฝากให้คนอื่นหาให้ มันคนละเรื่องกับเราไปหาเอง
   มื้อเย็นกินน้ำเต้าหู้ ถั่วอัลมอนอบราว 2 กำมือ มี่ขนมปังกรอบๆ เคี้ยวด้วยอีกนิดหน่อย
   ปกติช่วงเย็นผมตรวจเช็คจักรยาน แต่วันนี้ตรวจเช็ครองเท้าวิ่ง พบว่าพื้นเริ่มร่อน เดิมเป็นรองเท้าวิ่งคู่เก่าของพ่อ พ่อวิ่งทุกวันครับ ใช้รองเท้าวิ่งปีละ 3 คู่ คู่ไหนส้นสึกเริ่มเอียงก็จะเปลี่ยน ผมเห็นสภาพยังสวยก็เอามาใช้ต่อ
ปั่นจักรยานนั้นสนุกกว่าครับ แต่วิ่งมันลดน้ำหนักได้เร็วกว่าเช่นกัน เรียกว่าเหนื่อยมากกว่าในเวลาเท่ากัน อยากลดลงอีกสัก 5 กก แต่เป็น 5 ที่สุดแสนสาหัส
เพราะปัจจุบันนี้มันลดลงมาจากเดิมไปแล้ว 5 กก 

O'Pern:
5 พฤษ 52
   วันฉัตรมงคล เป็นวันหยุด ตามปกติผมจะเอาจักรยานออก เพราะรถยนต์น้อย ปั่นสะดวกดี แต่วันนี้ผมวิ่งแทน วิ่งไป 10 กม แปลกที่ตื่นมาแล้วไม่เจ็บขาเท่าไหร่ ปกติจะเจ็บต้นขาจนต้อนเดินกะเผลกๆ ช่วงหลังตื่นนอนใหม่ๆ
   สงสัยที่ไม่เจ็บเพราะผม Cool Down แบบใหม่ ด้วยการเดินถอยหลัง ตามปกติจะ Cool Down ด้วยการเดินธรรมดา บ้างก็ยืดเส้น แต่เมื่อวานเดินถอยหลังราว 200 เมตร ตื่นมาวันนี้รู้สึกดี เช้านี้พอวิ่งเสร็จเลยเดินถอยหลังไปอีก 500 เมตร ถ้าพรุ่งนี้ตื่นมาแล้วไม่เจ็บขา คือมันเวิร์คชัวร์
   ตลอดวันผมรู้สึกอ่อนเพลีย สงสัยจะกินน้อย มื้อเช้าเป็นน้ำเต้าหู้ กลางวันเติมของหนักหน่อยเป็นเส้นหมี่ราดหน้า เส้นน้อยๆ ผักเพียบๆ
   วันนี้เบื่อๆ ไม่รู้เป็นอะไรเหมือนกัน สมองไม่ค่อยแล่น รู้สึกตัวเองเชื่องช้า

6 พฤษ 52
   วิ่งติดกันสองมาสองวัน เช้านี้โรคขี้เกียจกำเริบครับ นาฬิกาชีวิตปลุกตามเวลาเดิมทุกวันราวตี 4 กว่า แต่ร่างกายมันบอกขอนอนต่ออีกหน่อย มาตื่นอีกทีก็ฟ้าสว่างแล้วราวๆ 0530 เลยกลายเป็นว่าไม่ได้ทั้งวิ่งและปั่นจักรยาน มีข้ออ้างแบบเข้าข้างตัวเองว่าขอพักขาหน่อยนะ (แม้ว่าขาจะไม่เจ็บมากก็ตามที)
   มื้อเช้าวันนี้บำรุงร่างกายด้วยข้าวผัดข้าวกล้องใส่ผักเยอะๆ  ทานกับไข่เจียว 2 ฟอง แยกไข่แดงออก 1 ฟอง ใกล้เที่ยงมีน้ำเต้าหู้อีก 1 ถุง 
   ตอนสาย “กรม” โทรมาชวนไปสิงคโปร์อีกรอบ เล่นเอาผมเขวไปเยอะ ใจตะหงิดๆ จะไปกับเขาด้วยนะเนี่ยะ แต่เขาเดินทางกันพรุ่งนี้แล้ว เขามีตั๋วกันหมดแล้ว ผมสิยังไม่มีอะไรสักอย่าง จะไปหาซื้อหน้าเคาเตอร์แบบใน Amazing Race ไม่รู้จะต้องนั่งรอกันข้ามคืน หรือว่าได้บินทันทีก็ไม่รู้
   คงส่งใจไปแทนแหละครับ อิจฉาแต่ไม่ริษยา ขอให้เพื่อนทั้ง “กบ” และ “กรม” รวมถึงผู้ร่วมเดินทางทุกท่านเดินทางโดยปลอดภัยและท่องเที่ยวอย่างสนุกสนานครับ
   แต่บอกได้เลยนะว่า งวดหน้าผมไม่พลาด ไอ้พวกบ้านฟรี พักฟรี แบบนี้หายาก
   แม้ไม่ได้ไปกับพวกเขา แต่ผมก็แอบวางแผนของตัวเองเอาไว้ครับ เผื่อได้ไปงวดหน้าจะขอปั่นตั้งแต่สนามบินชางฮีเข้าตัวเมืองมันซะเลย (สำหรับไฟล์ทกลางวันนะ) หากเจอไฟล์ทกลางคืนก็ต้องเป็นอีกแผน เพราะมืด ไม่คุ้นเส้นทาง หากไม่มีเจ้าถิ่นนำปั่นแล้วผมขอยอมแพ้ แต่ถ้าจะให้สบายก็นั่ง MRT เข้าตัวเมืองได้เลย สบายๆ
   ผมว่าหากจะให้สนุก ปั่นกันให้มันส์ระเบิด ต้องออกจากไทยแต่เช้าตรู่ครับ (ไม่รู้จะมีไฟล์ทไหม) ถึงโน่นก็ออกปั่นไล่จากนอกเมืองเข้ามาเลย ตรงไหนสวย ตรงไหนสบายก็จอดแวะกันตามสะดวก เข้าเมืองถึงที่พักก็เที่ยงๆ บ่ายๆ อากาศร้อนก็อาบน้ำกันพักผ่อนสบายๆ ช่วงเย็นเอาจักรยานออกตะลอนอีกรอบ โห แค่คิดก็สุขแล้ว
   ผมไม่รู้ว่าบ้านเพื่อนของกรมเขาอยู่เมืองไหน ถ้ารู้ก็จะยิ่งช่วยวางแผนปั่นเที่ยวได้ละเอียดยิ่งขึ้น แต่ถ้าให้ผมวางเส้นทาง ผมจะเน้นแต่นอกเมืองครับ ไปตามเกาะเล็กเกาะน้อยที่นักท่องเที่ยวไม่ค่อยได้ไปกัน ไหนๆ ใครว่าสิงคโปร์เล็กนิดเดียว เดินวันเดียวก็ทั่ว ผมจะเอารูปแบบ Unseen Singapore มาฝาก
   อาหารกลางวันของผมวันนี้เป็นสัปปะรด ถั่วต้ม สัปปะรดนี้ประโยชน์ของมันอยู่ที่แกนกลางนะครับ คนทั่วไปส่วนใหญ่เอาแกนทิ้ง เอาไปทำอาหารสัตว์ซะ กินแต่เนื้อหวานฉ่ำอร่อยดีก็จริง แต่ถ้าได้แกนกลางด้วยก็จะดีกว่ามาก
   เดินไปเดินมาหิว หาของกินเป็นขนมที่ซื้อกลับมาจากญี่ปุ่น ผมไม่ซื้อของแพงหรอกครับ ขนมนี้ซื้อจากร้าน 100 เยน ดูรูปร่างเหมือนกูลิโกะป๊อกกี้เป๊ะเลย ลองกินดูพบว่าช็อคโกแลตอร่อยกว่าป๊อกกี้นิดเดียวเอง แต่ราคาแพงกันป๊อกกี้ไทยหนึ่งเท่าตัว
   อ่านเวปเพลินๆ หยิบกินไปจนหมดกล่องเลย !!!

O'Pern:
7 พฤษ 52
   ปั่นขำๆ แถวบ้านไปแค่ 10 กม เหงื่อซึมนิดๆ ปั่นจักรยานเหนื่อยน้อยกว่าวิ่งมาก แถมไปได้ไกลกว่า ไปนอกสถานที่ได้มากกว่า แน่นอนว่าผมรู้สึกสนุกกว่าวิ่งอย่างมาก
   แต่เช้านี้ออกปั่นด้วยชุดอยู่บ้าน รองเท้าแตะ ไม่ใส่หมวก ปั่นช้าๆ แรกๆ ก็โอเค แต่พอถึงสักครึ่งทางหรือพอจะทำความเร็วผมรู้สึกว่ามันไม่ค่อยคล่องตัว ไม่กระฉับกระเฉง ผมคุ้นกับการแต่งตัวให้รัดกุมมากกว่า
   กลับมาบ้านได้อาหารเช้ามือใหญ่ ข้าวกล้องกับผัดกระเพราไก่ ไข่ดาว คลาสสิคสุดๆ แล้ว ช่วงนี้บางวันแดดไม่แรงมาก คิดอยากเอาจักรยานออกช่วงกลางวันเหมือนเมื่อก่อน
   เมื่อคืนผมโดนเรียกตัวให้เข้าประชุมด่วนในวันพรุ่งนี้ (ศุกร์) เล่นเอาตั้งตัวไม่ติด คิดไปพลางว่าหากผมไปสิงคโปร์กับกรมและกบ แล้วเข้าประชุมไม่ได้จะเป็นอย่างไรกันนี่ ผมเป็นที่ปรึกษาธุรกิจขององค์กรเอกชนด้วยน่ะครับ เข้าประชุมก็ไปนั่งฟังๆ ขีดๆ เขียนๆ ความคิดทรรศนะลงในกระดาษ พอประชุมเสร็จก็เล่าความคิดของผมให้เขาฟังนอกรอบ
   บางช่วงมีประชุมหลายบริษัทในเวลาไล่เลี่ยกันครับ มีมึนๆ บ้างเหมือนกัน บางบริษัทเน้นธุรกิจพวกค้าขาย ในขณะที่บางแห่งเน้นบันเทิงและขายสื่อ แต่ถ้าเป็นพวกบริษัทรถยนต์นี่จะสนุกมาก เพราะใจเรามันรักมันชอบอยู่ด้วยไง ระยะหลังมีพวกจักรยานมาเสริมอีกด้วย เลยยิ่งสนุกเข้าไปใหญ่
   
8 พฤษ 52
   วันวิสาขบูชา แต่ผมเข้าประชุมตั้งแต่เช้าจรดเย็น มีพักทานอาหารกลางวัน พักเบรกดื่มชากาแฟและขนม เบรกเติมความอ้วนกันไปทำไมก็ไม่รู้ สำหรับผมการเบรกคือการได้ไปเข้าห้องน้ำต่างหาก
   อาหารกลางวันเป็นแบบบุฟเฟ่ คนต่อคิวตักทานกันอย่างมากมายตามระเบียบ ผมมันคนไม่ชอบรอนาน เลยเลือกของทานในอีกเคาเตอร์หนึ่งที่เป็นพวกสลัด ของหวาน ไอศกรีม เค้ก อ้อ มีเคาเตอร์แยกออกมาอีกสองอัน อันแรกเป็นก๋วยเตี๋ยว อีกอันเป็นบริการของข้าวแช่
   ผมรีบไปที่ข้าวแช่ก่อนเพื่อนเลย ผมชอบทานครับ พนักงานจัดมาให้แบบจานใหญ่มาก หน้าตาน่าทาน ข้าวและน้ำหอมมาก แต่พอชิมกับแล้วต้องเปลี่ยนใจ ไม่อร่อยเลยสักอย่างครับ ไล่ชิมกับไปทุกอย่าง ก็ไม่เห็นอร่อยสักอย่าง เสียดายจริงๆ นี่ถ้าต้องซื้อกินนี้คงจะโมโหน่าดู สุดท้ายก็ทำหน้าอายๆ และดันเลื่อนจานออกจากตัวไป
   สไตล์การทานอาหารบุฟเฟ่ของผมจะเลือกทานอาหารที่ตัวเองไม่ค่อยได้กิน อาหารที่แปลก มีผักที่แปลกใหม่ หรือหาทานยากครับ จานแรกผมจะตักอย่างละแค่ชิ้นเดียว หรืออันไหนน่าทานหน่อยก็สักสองชิ้น จานแรกของผมจะหลากหลาย แต่ไม่พูนจาน หลังจากจานแรกหมดนี่แหละ เริ่มเมนคอร์สได้ ชิมแล้วชอบก็ตักซ้ำได้เลย จากนั้นก็จะปิดท้ายด้วยของหวานครับ ปกติผมไม่ค่อยทานอาหารหวาน แต่กับบุฟเฟ่นอกสถานที่แล้วผมขอลองของแปลกๆ บ้าง อย่างวันนี้ผมทานทาร์ตไข่ (แต่รสชาติไม่เหมือนของร้านดังที่ฮ่องกงเลย) มีเจลลี่ลำไย และกล้วยราดช็อคโกแลตวางบนคุ๊กกี้ช็อคโกแลต (ชิ้นเล็กๆ )
   เนื้อหาการสัมนาบรรยายเกี่ยวกับการขาย ไม่ตรงกับสายวิชาที่ผมเรียนมาเลยแม้แต่น้อย แต่นี่แหละที่สนุก เพราะเราจะได้รับรู้สิ่งแปลกใหม่หยิบเอาความรู้สาขาวิชาอื่นๆ มาใส่สมองบ้าง
   กลายเป็นว่าวันนี้หมดวันไปอย่างเรียบง่าย แต่ยังดีที่มีวิชาการความรู้เพิ่มเติมเข้ามาในหัวสมอง กลับบ้านผมรีบอ่านทบทวนเนื้อหาแบบคร่าวๆ ต้องทำแบบนี้ จะได้ไม่ลืม
   นึกถึงเพื่อนสองคน กบ กับ กรม เขาเดินทางถึงประเทศสิงคโปร์กันเมื่อคืนนี้แล้ว ป่านนี้คงจะโลดแล่นกันอย่างสนุกนาน คิดแล้วน่าอิจฉาจริงๆ  ไม่เป็นไร ผมจะเก็บความรู้สึกครั้งนี้ไว้

Navigation

[0] Message Index

[#] Next page

Go to full version