Author Topic: พค 56 3-7 Top of the gulf regatta 2013  (Read 23775 times)

Offline O'Pern

  • fear is a mind killer
  • Administrator
  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 7411
  • don't let your fear stand in the way of your dream
    • racing club
Re: พค 56 3-7 Top of the gulf regatta 2013
« Reply #30 on: June 02, 2013, 03:56:39 pm »
31 พค 56
   ตื่นตี 3 ออกจากบ้านตี 4 ถึงสนามบินตี 5 เครื่องออกตี 6 ถึงสุราษฎร์ตี 7 ถึงโรมแรมตี 8
   กะไว้คร่าวๆ ราวๆ นี้ ไปถึงสนามบินดอนเมืองตั้งแต่เคาเตอร์เขายังไม่เปิด พอเปิดให้เช็คก็เป็นเที่ยวบินไปหาดใหญ่ แต่ผู้คนแห่กรูกันไปต่อคิว ผมก็งงสิ ไม่เคยบินนกแอร์ ไม่รู้จะทำตัวอย่างไร เราจะไปสุราษฎร์ฯ
   เลยเดินไปถามพนักงานซื่อๆ นี่แหละ
   “ผมจะไปสุราษฎร์น่ะครับ ไม่ทราบว่าจะต้องรอให้เจ้าหน้าที่เปิดแถว หรือว่าผมสามารถเช็คอินได้จากจุดนี้ครับ”
   “ลูกค้ามีสัมภาระหรือเปล่าคะ”
   “ไม่มีครับ ผมถือขึ้นเครื่องใบนี้ใบเดียว”
   “ถ้างั้นก็เช็คอินจากจุดนี้ได้เลยค่ะ”
   รีบไปยืนต่อคิวเลย แล้วจู่ๆ ก็มีหญิงกลางคนเดินลากกระเป๋ามาตัดหน้า ยกวางขึ้นชั่งน้ำหนักเรียบร้อย พนักงานเงยหน้ามาก็งง ไล่ไปต่อคิวท้ายแถว ฮ่าๆ ดีๆ มันต้องแบบนี้ ไอ้พวกชอบทำเป็นมึน
   ยื่น e ticket ให้ ตั๋วยุคใหม่ดูไม่มีค่าเลยนะ ต่างจากตั๋วยุคเก่าที่หน้าตาเหมือนสมุดเช็ค และยุคถัดมาก็ใหญ่ขึ้นมาหน่อย เป็นกระดาษแข็ง แต่พอปัจจุบันแม่งเป็นแค่กระดาษ A4 ปริ๊นมาเองจากบ้าน
   พนักงานบอกว่าปกติผมจะต้องไปเช็คอินฝั่งตรงข้าม แต่ตอนนี้เคาเตอร์เขายังไม่เปิด เลยจะทำรายการจากจุดนี้ให้แทน ผมไม่มีสัมภาระฝากโหลด ก็เลยสะดวกหน่อย สอบถามเขาเรื่องการนำจักรยานไปด้วย พนักงานตอบว่า
   “สามารถนำเข้ามาทั้งคันได้เลย ไม่มีค่าใช้จ่ายค่ะ”    
   “เฮ้ยย นอกจากไม่ต้องแพ็คแล้ว ยังฟรีอีกด้วย เฮ้ย เหมือนฝันไป นกแอร์คงจะเป็นเพื่อนเราไปตลอดแล้วสินะ”
   เพราะขนาด Air Asia ยังต้องแพ็ค ต้องจ่ายเงินเพิ่ม ถึงแม้ตั๋วของนกจะแพงกว่าหน่อย แต่ถ้ามันสะดวกขนาดนี้ ยังไงก็ยอมจ่ายครับ
   ข้อเสียของการแพ็คลงกล่องก็คือ พนักงานลากกระเป๋าเขาจะโยนกล่องของเราอย่างไม่ใยดี นี่คือที่มาของอาการล้อคด กล่องขาด เฟรมถลอก ตีนผีหัก ฯลฯ
   ในทางกลับกัน หากเป็นรถทั้งคัน มองเห็นอยู่ทนโท่ว่าเป็นจักรยาน เขาก็จะใช้วิธีเข็นไปพิง ไปจอดกองไว้กับกลุ่มสัมภาระชิ้นใหญ่
   อีกเหตุผลหลักที่ผมไม่ชอบแพ็ครถใส่กล่องก็คือ ตอนถึงจุดหมายปลายทางแล้ว ผมจะเอากล่องนั้นเก็บไว้ที่ไหน มันไม่มีที่ให้เก็บ ประเทศใหญ่ๆ เขาจะมีเคาเตอร์รับฝากของชิ้นใหญ่ แต่ก็ต้องโดนวันละประมาณ 10 USD จะไปขี่เล่นกี่วัน ขากลับถ้าจะมาเอากล่องก็ต้องจ่ายค่าฝากไอ้กล่องนี้ด้วย หึหึ ภาระชัดๆ สนามบินสุวรรณภูมิของไทยเราเองก็มีรับฝากนะ น่าจะคิดวันละ 100 บาทมั้ง ไม่แน่ใจเหมือนกัน
   ผมไปแค่คืนเดียว เลยไม่ได้นำจักรยานไปด้วย แต่ทริปอินทนนท์ต้นปีหน้านี่สิ คงได้จัดแน่ๆ จองตั๋วตอนโปรแค่ 800 บาท จักรยานฟรี บิน 1 ชม ถึง ผมว่าแม่งถูกกว่ารถทัวร์ชั้นดีอีกนะนี่
   ผมว่าหากมีคนรู้ข้อมูบนี้ จำทำให้นกแอร์ก็เป็นสายการบินที่อยู่ในใจอันดับ 1 ของชาวจักยานได้ง่ายๆ
   ผมซื้อประกันภัยด้วยนะ เขาคิด 150 บาท แต่คงจะไม่ได้ประกันอุบัตเหตุอะไร คือต้องถึงฆาตน่ะ ถึงจะเคลมได้ ซื้อแบบสิ้นคิดนะ นึกในใจหากเราเป็นอะไรไป ก็ยังพอได้เงินประกันกลับคืนมาบ้าง เราไม่ได้ใช้ แต่คนข้างหลังเขาจำเป็น
   ไมได้มาเหยียบดอนเมืองหลายปีมาก ตั้งแต่มีสุวรรณภูมิแล้วผมก็ไม่เคยมาที่นี่อีกเลย จนมาวันนี้แหละ ชอบครับ เพราะใกล้กว่า คนก็หนาแน่นน้อยกว่า มีสายการบินแค่ไม่กี่สายเอง ส่วนใหญ่จะในประเทศ
   ขั้นตอนพิธีการก็เดิมๆ ครับ เอาเอกสารที่เราจองตั๋วไปขอออกบัตรโดยสาร (Boarding Pass) แล้วก็ผ่านด่านตรวจวัตถุต้องสงสัย (ห้ามเอาของเหลวเกิน 100 cc เข้า) ขาไปผมมีน้ำ 1 ขวด เลยกินไปให้เหลือครึ่งขวด (250cc) ผมว่ามันน่าจะผ่านได้นะ ลองดู อยากลอง
   วางกระเป๋าบนสายพานเครื่องสแกน ส่วนตัวเราก็เดินผ่านซุ้มสแกน ผลคือผ่านทั้งคนทั้งของ
   แต่คราวหน้าไม่ต้องเอาน้ำมาก็ได้ ผ่านด่านนี้แล้วข้างในมี 7-11 ขนาดใหญ่ ข้าวของไม่แพงเลย พอๆ กับ 7-11 ปกติ มาจัดเอาในนี้ดีกว่าเยอะ ผมเลยซัดซาลาเปาไป 2 ลูก ขำขำ ไปถึงโน่นยังนึกภาพไม่ออกว่าจะเป็นอย่างไร หาของรองท้องไว้ก่อนดีกว่า
   จากจุดนี้ไปถึงประตูขึ้นเครื่องผมว่าไกลราว 500 เมตร หนุ่มสาวเดินสบาย คนแก่ก็พอไหว แต่ผมสงสารคุณลุงคุณป้าสองคนเดินถือของหนักมาก ลุงถือกระเป๋าสองใบ และสะพายเฉียงอีกอัน คุณป้าถือลังเบียร์ผูกเชือกจนตัวเอียง ไหล่อีกข้างสะพายกระเป๋าถือ เห็นแล้วรู้สึกไม่ดีเลย
   “คุณป้าครับ ให้ผมช่วยถือครับ” พูดพร้อมกับถือวิสาสะเอาเอง มือสอดเข้าไปใต้เชือกคล้องทันที
   คุณป้างง แต่ก็หันมายิ้ม บอกว่าขอบคุณมาก คุณลุงหันมามองว่าเกิดอะไรขึ้น ผมก็พูดต่อ
   “ผมช่วยถือให้ลุงอีกใบครับ”
   กระเป๋าใบใหญ่ของผมสะพายเฉียง มือซ้ายถือลังเบียร์ผูกเชือก (แม่งเจ็บมือมากๆ เลย) มือขวาถือกระเป๋าให้ลุง (หนักพอๆ กับลังเบียร์)
   เดินไปคุยกันไป ไม่อยากให้เงียบ ลุงป้าจะไประนอง เป็นคนท้องถิ่นที่นั่น เดินไปส่งจนถึงที่นั่งพักขึ้นเครื่อง คุยกันเล็กน้อย เชิญชวนให้ผมไปเที่ยวระนองบ้าง ผมตอบตกลงรับปาก แล้วก็แยกจากกัน
   ว่างครับ เวลาเหลือเยอะ ถ้าออกนอกบ้านแล้วชีวิตผมมักเป็นแบบนี้แหละ เจอใครที่ไหนก็ต้องช่วยเหลือเขาร่ำไป เมื่อก่อนตอนหนุ่มๆ นี่ไปต่างจังหวัดคนเดียวก็ช่วยจอดเปลี่ยนยางให้รถไปหลายคัน ไอ้พวกจั๊มแบตฯนี่ก็หลายครั้ง หรือเดินถนนเจอนักท่องเที่ยวกางแผนที่ ก็เข้าไปบอกทางได้เลย ไม่ต้องรอให้เขาถามหรอก เขาน่ะอยากถาม แต่ไม่รู้ว่าคนไทยคนไหนพูดภาษาเขาได้บ้าง ก็เลยลังเล ใจเขาใจเราครับ มีไมตรีก็หยิบยื่นให้ก่อนไปเลย รับไม่รับก็อีกเรื่อง
   ผมมีความรู้ความสามารถด้านนี้ ก็ใช้ให้มันเต็มที่ ใครเก่งหรือถนัดด้านไหน ก็ใช้มันไปอย่างนั้น นี่แหละ จะทำให้สังคมเราน่าอยู่ รู้กันหรือเปล่าว่าปีนี้กรุงเทพฯเราได้รับโหวดให้เป็นเมืองน่าเที่ยวที่สุดในโลกแล้วนะ (ปีก่อนอยู่อันดับ 3) จากหนังสืออะไรสักอย่างของฝรัง    
   เพราะไม่มีประเทศไหนแสดงน้ำใจให้การช่วยเหลือกันเหมือนคนไทยครับ นี่คือเอกลักษณ์ของเรา ใช่!!! หมายถึงผมและคุณด้วย คุณๆ ก็มีน้ำใจด้วยกันทั้งนั้น แต่บางคนจะไม่กล้าแสดงออก อายบ้าง เขินบ้าง ปัดโธ่ ทำความดี มีอายด้วย
   มันต้องภูมิใจสิ อย่างผมตอนวางของให้ลุงป้าแล้วเดินย้อนกลับมาด้วยความอิ่มเอิบ เช้านี้กูได้ประเดิมฤกษ์ดีแห่งการเดินทางแล้ว แม้มันจะเป็นแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็เถอะ
   เครื่องออกตรงเวลาเป๊ะ ไปถึงประตูทางออกสัก 30 นาทีกำลังดีครับ เผื่อเกิดเหตุมันจะออกก่อนเวลา มีนะครับ ไม่ใช่ไม่มี
   เครื่องไปสุราษฯ ใช้ 737-800 แบบเดียวกับที่ล้อหลุดที่เชียงรายเลย ฮ่าๆ ขึ้นเครื่องปุ๊บก็แจกน้ำดื่ม และขนมปังชิ้นเท่าฝ่ามือของ Aunty Anne กินเสร็จก็เข็นของมาขาย แป๊บเดียวเครื่องก็ลดระดับเตรียมลง
   ผมนั่งริมหน้าต่าง มองเห็นวิวตลอดทาง เฮ้ย เห็นตลอดทางที่เครื่องบินผ่าน เห็นบ้านตัวเอง ไล่ลงใต้มาทางพระราม 2 อ่าวไทย เห็นหัวหิน ประจวบ มาจนถึงพวกหมู่เกาะต่างๆ จนถึงชายฝั่งสุราษฯ แจ๋วไปเลย
   ลงเครื่องปุ๊บก็เดินตัวปลิวออกไปได้เลย เราไม่มีกระเป๋าที่โหลดใต้ท้อง จากจุดนี้ต้องหาทางเข้าเมืองครับ วิธีที่ถูกสุดคือนั่งรถของบริษัทพันทิพย์ ค่ารถคนละ 100 บาท เป็นรถแบบมินิบัส ไปลงที่สุดสายในเมือง จุดนี้เรียกว่า “ตลาดเกษตร” ใช้เวลาราว 45 นาทีจากสนามบิน
   ลงท่ารถ ผมก็สอบถามหารถไปโรงแรมที่พักชื่อ K Park มีคนพาเดินไปขึ้นรถฝังตรงข้าม เรียกผมให้นั่งด้านหน้าที่เล็กแคบมาก แต่ให้ฝรั่งสองคนนั่งด้านหลังกว้างๆ ชักเอะใจ สอบถามค่ารถ
   “คิด 100 บาทครับ”
   โห ผมหาข้อมูลมามันต้องแค่ 20-30 เองนี่หว่า หรือว่าเราโดนซะแล้ว
   “ผมไม่ค่อยมีเงินครับพี่ มีรถที่ไปถูกกว่านี้ไหมครับ”
   เขาบอกให้ผมไปหารถข้างนอกเอาเอง ชีโบ้ยๆ ไปข้างหน้าโน่น แน่ล่ะ ผมรีบเปิดประตูชิ้งหนีอย่างเร็ว
   เดินข้ามถนนกลับไปฝั่งตลาดเกษตร ยืนรอที่ป้ายรถเมล์ แป๊บเดียวไอ้รถแบบเดียวกับที่ไล่ผมมาก็มาจอดเทียบ ผมบอกจะไปโรงแรม K Park เขาบอกให้ขึ้นมาได้ แต่ยังระแวง เลยถามราคา
   “30 บาทครับ เดี๋ยวไปส่งให้ถึงโรงแรมเลย”
   โอเค เคลียร์ ชัดเจน จัดไป วิ่งไปขึ้นท้ายรถอย่างว่าง่าย ในรถมีเด็กนักเรียน 2 คน รถแบบนี้เขาวิ่งวนรอบเมือง ในเส้นทางคิดเงิน 10 บาท แต่ไปส่งผมเขาบอกต้องวิ่งออกนอกเส้นทาง เอ้า ไม่เป็นไร เล็กๆ น้อยๆ แบ่งกันกิน ยังดีกว่าไอ้คันแรกที่จะเอาผมตั้ง 100 เดาว่าหลอกฝรั่งไปส่งที่ท่าเรือ แล้วมันผ่านจุดที่ผมจะต้องไป ก็เลยหลอกแดกผมอีกคน
   ถึงโรงแรม 0900 ตรงเข้าไปเช็คอิน ต้นสังกัดจองไว้ให้แล้ว น่าแปลกที่คนอื่นๆ เขาพักห้องคู่ มีผมคนเดียวที่เขาให้พักห้องเดี่ยวคนเดียว
   พักชั้น 4 ห้อง 416 เป็นห้องแบบเตียงใหญ่เตียงเดียว นอนสบายครับ ห้องกว้าง สะอาด อุปกรณ์มาตรฐานครบ แต่ทีวีมีช่องน้อยไปหน่อย เจอแม่บ้านผ่านมา ผมขอน้ำเปล่าเขาเพิ่มอีก 2 ขวด
   เข้าห้องพักปุ๊บ อย่างแรกที่ต้องทำคือเช็คความเรียบร้อย อันดับ 1 คือแอร์ เปิดแล้วเย็นดีไหม ถ้าผิดปกติก็แจ้งซ่อมหรือเปลี่ยนห้องซะ ผลคือห้องนี้โอเคดีหมดทุกอย่าง แอร์เย็น น้ำไหล ไฟดี ทีวีติด
   เข้าห้องได้แป๊บเดียว คิดถึงจักรยานเลยว่ะ นี่ถ้ามีรถมานะ คงจะขี่มาตั้งแต่สนามบินละ ขี่เอาของมาเช็คอิน แล้วก็คงตระเวนขี่เที่ยวลัดเลาะแม่น้ำตาปี หาร้านในตำนานกิน โอ๊ย แค่คิดก็สุขแล้ว
   แต่เข็ดกับการโดนหลอกเรื่องค่ารถ เลยหวาดระแวง กูจะโดนอะไรอีกไหมวะนี่ ตื่นตั้งแต่ตี 3 เจอแอร์เย็นๆ เตียงนุ่มๆ ฮ่าๆ นอนพักดีกว่าเรา แค่นอนเล่นนะ ไม่หลับหรอก
   ฉุกคิดขึ้นได้ โทรหา “จอย” ดีกว่า เขาเป็นรุ่นน้องอยู่สุราษนี้เอง เกริ่นเขาสองสามวันว่าจะมาหา คุยกันมาหลายปีนะ ไม่เคยเจอกันเลย พบกันในเวปพวกนักเดินทาง ตอนนั้นกำลังหาคนร่วมทริปไปคินาบาลู ผมสนสิ เลยส่งชื่อไป จึงได้รู้จักกัน
   เฮ้ย โทรติด แต่เขาไม่รับสายว่ะ อ๊ะ ไม่เป็นไร คงจะเช้าเกินไป เราโทรไปแล้ว มีชื่อขึ้นแล้ว เดี๋ยวเขาว่างคงจะโทรกลับมาเอง
   นั่งดูทีวีไป นอนพักไป รอจอยโทรกลับมา เอ๊ะ ใกล้เที่ยงแล้วว่ะ ทำไมไม่โทรมาสักที ผมเป็นคนไม่ชอบตามครับ โทรหาทีเดียวพอ เกรงใจเขาด้วย คิดไปพลางว่า เขาคงจะติดธุระ ไม่ว่าง มีงานด่วน หรืออะไรสักอย่าง
   รอจนบ่าย จอยคงไม่โทรกลับมาแล้วแน่ๆ หิวว่ะ หาของกินดีกว่า ไม่มีจักรยานก็ต้องใช้เดินล่ะวะ แล้วก็พบว่าทำเลของโรงแรมแม่งช่างกันดารจริงๆ เลย ขนาดหา 7-11 ใกล้ๆ ก็ยังไม่มี ละแวกใกล้เคียงที่มองเห็นก็มีแต่พวกอู่ซ่อมรถ ร้านทำกันสาด ร้านค้าใกล้ๆ ก็มีแบบมินิมาร์ทเล็กๆ น่าแปลกที่มีร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัดดงมูลเหล็กด้วย ร้านชื่อดังย่านฝั่งธนฯ มาถึงนี่เชียวหรือ เดินปรี่เข้าไป ตกใจเลย ร้านคนแน่นโคตร ถอยฉากออกมา หาที่นั่งไม่ได้
   เดินเลียบเลาะรอบโรงแรมก็มาเจอร้านขายก๋วยเตี๋ยวแบบถูกๆ ขายพวกคนงานน่ะ ผมชินกับร้านแนวนี้ครับ ตอนทำงานส่งของก็จอดกินกันข้างทางแบบนี้แหละ นี่ขนาดมาประชุมยังต้องกินแบบนี้อีกหรือนี่ สุดยอดจริงๆ เลยมึง
   จัดไปครับ บะหมี่ต้มยำ ชามละ 35 บาท รสชาติพอได้ แดดร้อนแรงจัดจนไม่อยากเดินไปไหนต่อ เพราะรอบข้างมันกันดาร คิดจะเข้าเมืองก็ไม่รู้ไปจุดไหนดี มึน ตั้งหลักไม่ถูก เพราะตอนแรกจอยบอกจะพาเที่ยว เลยไม่ได้หาข้อมูลอะไรมาสักนิด
   แวะซื้อของกินจุกจิกขึ้นห้องพักหลบร้อน ยังแอบหวังว่าบ่ายๆ จอยคงจะโทรมา ช่วงเช้าคงไปธุระ แต่เปล่าเลย ผมแม่งคิดไปเองคนเดียว จอยไม่โทรมา แถมมีฝนตกอีกด้วย พระเจ้า ทำเอากูไม่ต้องไปไหนกันเลย เสียเวลาอยู่นิ่งๆ ในห้องตั้งแต่เช้าจรดค่ำ
   บ่ายเอาขนมมากิน เลยงดมื้อเย็นครับ เป็นคนนอนหัวค่ำอยู่แล้ว แถมเพลียจากการตื่นเช้า เข้านอนตั้งแต่ยังไม่สามทุ่ม ชิงหลับก่อน เพราะอยู่ดึกๆ จะต้องหิวชัวร์ แล้วจะมาเดือดร้อนเพราะหาของกินไม่ได้
i drive / i race / i test / I drift
I row / I run / I fun / I ride