27 กพ 55
หนาวฉิบเป๋งเล้ยยยย อากาศราว 13C ตอน 0700 นี่มันหนาวเพราะอยู่บนยอดดอยหรือเปล่าวะ ผมไม่เคยอยู่ดอยมาก่อน เลยไม่รู้อารมณ์ของบรรยากาศ ณ ช่วงเวลานั้น แต่คงไม่ใช่หนาวเพราะฤดูหนาวแน่ๆ มันเลยมาเยอะแล้ว หรือจะเป็นหย่อมความกดอากาศสูงที่มาจากจีนตอนบน ตอนอยู่กรุงเทพฯได้ยินพยากรณ์อากาศเขาบอกแบบนี้บ่อยมาก
ยืดเส้นยืดสายหน้าห้องพักท่ามกลางหมอกหนา เอ๊ะ หรือว่าจะเป็นควันก็ไม่รู้นะ ละแวกนี้ไม่มีร้านอาหารบริการ มีแต่ร้านค้าสวัสดิการของเจ้าหน้าที่บรรยากาศเหงา เศร้า ไม่ชอบแบบนั้น ส่วนร้านที่อยู่บนหน้าผาของชาวอาข่าที่กินมื้อเย็นวานคงจะยังไม่เปิดแน่ๆ เพราะทั้งดอยช้างนี้มีนักท่องเที่ยวมากันแค่ 3 กลุ่ม คือ ผม กลุ่มพระ และกลุ่มนักท่องเที่ยวจากฉะเชิงเทรา
ขับรถลงไปที่ร้านสวัสดิการก็มีกาแฟอาราบิคก้าให้ดื่มฟรี กาแฟอย่างดีเลยนะ ปลูกเอง คั่วเอง ก็นี่มันคือดอยช้างนี่นา กาแฟสุดยอดที่ดีที่สุดของไทยอยู่ที่นี่ครับ เป็นอันดับ 1 ของไทย และอันดับ 3 ของโลก อีกหนึ่งความจริงที่คนไทยเองก็ยังไม่รู้ มัวแต่ไปกินกาแฟแบรนด์เนมอยู่ได้ตั้งนานหลายปี
น่าเสียดายที่ผมใม่ใช่คอกาแฟ ให้กินของดีเพียงใด ก็รับรู้ได้แค่ว่ามันคือกาแฟ ไอ้เรื่องหอมน่ะผมสัมผัสได้ แต่มันคงไม่ลึกซึ้งอะไรเลย คือกินได้แค่พอรู้ว่ากาแฟแบบไหนดี แบบไหนห่วย แต่ถ้าคัดเกรดดีๆ หลายๆ อันมาให้ลองชิม แบบนี้ผมไม่รู้เรื่องอะไรกับเขาหรอก
ย้อนกลับไปเก็บข้าวของ เช้านี้ผมจะแวะร้านกาแฟดอยช้าง ต้นตำหรับสุดยอดกาแฟสักหน่อย เมื่อวานเย็นผ่านมาแล้ว เล็งไว้แล้ว ต้องขับลงเนินเขาไปสัก 2 ลูกมั้ง
ร้านกาแฟตั้งอยู่หัวมุมถนน มีลานตากเมล็ดการแฟกว้างใหญ่ ด้านหลังเป็นโรงคั่ว และบรรจุ ปลูกกันตรงนี้ ตากแห้ง คั่วบดกันตรงนี้ และกินกันตรงนี้ นี่คือกาแฟดอยช้าง ที่เริ่มมีแฟรงชายน์ขยายออกไปทั่วแล้ว กรุงเทพฯก็มีครับ อยู่แถวเสนา - วังหิน
เดินตรงเข้าไปอย่างมาดมั่น สั่งกาแฟชนิดที่ดีที่สุด เขาบอกว่าเป็นกาแฟขี้ชะมด ชื่อก็แปลกแล้ว ถามราคาดู เขาตอบกลับมา เข่าแทบทรุด
แก้วละ 300 บาทครับ ชาวเขาเผ่าอาข่า ตอบพร้อมกับส่งยิ้ม
เออ เอารองจากนั้นลงมาหน่อยก็ได้
สุดท้ายได้กาแฟแบบเอ็กเพรสโซแก้วเล็กจิ๊ดเดียว ซดอีกเดียวคงจะเกลี้ยง แต่ทำตัวเป็นผู้ดีหรูๆ กับเขาหน่อย ค่อยๆ จิบทีละนิด โอบถ้วยกาแฟใบเล็กในอุ้งมือให้พออุ่นท่ามกลางอากาศหนาว
มันคือกาแฟดำนี่แหละ ก็หอมดีล่ะนะ แต่อย่างที่บอก ผมไม่ใช่คอกาแฟ ไม่ได้กินกาแฟดำแบบนี้มาหลายปีแล้ว เพราะจะเจอกาแฟก็ตอนงานประชุมสัมนาที่มักจะมี Coffee Break แต่ผมก็ไม่เคยกินกาแฟสักครั้ง
บรรยากาศในร้านเป็นเพิงไม้ที่สะอาดมาก ดูดีทีเดียวในลักษณะภูมิประเทศเช่นนี้ ลมหนาวพัดโชย มือถือถ้วยรับไออุ่นจากกาแฟร้อน นั่งได้นาน ไม่มีเบื่อ นี่คือเช้าวันจันทร์ ยังไม่มีลูกค้าไต่เขาขึ้นมากินมากนัก
แล้วก็มีรถตู้คันหนึ่งแล่นเข้ามา ผู้โดยสารเป็นพระภิกษุที่ผมเจอในป่าผ์ใกล้กับบ่อน้ำศักดิ์สิทธเมื่อวาน อ้าว เราพักที่เดียวกันหรือนี่ พระท่านจำผมได้ เลยเอ่ยปากทักผมก่อน
อ้าว เจอกันอีกแล้ว
ผมยกมือไหว้ สวัสดีครับหลวงพ่อ พูดคุยทักทายกันอยู่นาน ท่านเห็นว่าผมคงจะชอบบรรยากาศแบบนี้ เลยแนะนำให้ไปที่แม่ฮ่องสอน ให้ไปพักที่บ้านรักไทย ไปปางอุ๋ง ผมน่ะชอบอยู่แล้ว แต่ไม่รู้จะมีโอกาสไปกับเขาเมื่อไหร่กัน หนำซ้ำนี่อาจเป็นการเดินทางครั้งสุดท้ายของผมแล้วก็เป็นได้
หลวงพ่อท่านหยิบหนังสือเกี่ยวกับวัดของท่านมาให้เล่มหนึ่ง เอ่ยปากชวนให้ผมไปเทียว และบอกว่าเดือนหน้าท่านจะไปวัดไทยที่ Florida ไปทำบุญที่นั่น สนใจไปไหม
สนสิครับหลวงพ่อ แต่ไม่รู้ว่ามันต้องใช้เงินสักเท่าไหร่กันล่ะนี่ ฝากตัวเป็นศิษย์วัด เกาะชายผ้าเหลืองท่านไป จะผิดไหมนะ
ผมใช้เวลาอยู่ในร้านกาแฟเล็กๆ นี่ถึง 1 ชม ไม่เคยนั่งร้านกาแฟใดมาก่อนในชีวิต ยิ่งร้านหรูๆ ในเมืองนี่ไปกันใหญ่เลย ผมว่ามันดูดัดจริตยังไงพิกล สั่งกาแฟมาจิบ สั่งเค๊กมากิน เอาคอมพิวเตอร์มาออนไลน์เล่น เอามือถือมากดเล่น มีแต่ผู้คนที่แต่งตัวหรูหรา ไอ้คนอย่างผมมันไม่เหมาะกับร้านแบบนั้นหรอก
ช่วงอยู่ในร้านก็เดินอ่านป้ายสรรพคุณกาแฟแต่ละชนิด ที่เจ๋งสุดคือกาแฟขี้ชะมด คือเขาเลี้ยงชะมดไว้ในไร่กาแฟ ปล่อยให้มันกินเมล็ดกาแฟอย่างอิสระ แล้วพอมันถ่ายออกมา ก็จะมีลักษณะเป็นเมล็ดกาแฟกลมๆ เกาะติดกัน เขาก็เอาขี้ของมันนี่แหละ เอามาทำความสะอาด แล้วก็ตาก คั่ว บด อบ หรือจะทำอะไรก็ว่าไป
เขาว่าการที่เมล็ดกาแฟถูกบ่มในร่างกายชะมด มันจะทำให้รสชาติดีขึ้น
อืมม ลึกซึ้งโคตรๆ เลยครับ เลยเลื่อกไอ้กาแฟขี้ชะมดนี่แหละเป็นของฝากให้พ่อ พ่อผมชอบกาแฟครับ กินวันละ 1 แก้วตอนสายๆ
หา.. ซองละ 2000 บาท!
ใช่ค่ะ 2000 บาท ชงได้ 20 ถ้วย
พี่จะใช้ชงแบบเครื่อง หรือว่ากระดาษกรองดีคะ หนูจะได้บดให้ถูกกับลักษณะการชง
เอาล่ะสิมึง จะกินก็ยังไม่เคยกินกับเขาเลย แต่คุ้นๆ ว่าที่บ้านมีถุงกระดาษสำหรับกรองกากกาแฟ
ผมชงแบบกระดาษกรองครับ ตัดสินใจให้เขาบดสำหรับกระดาษกรอง ผิดถูกอย่างไร ผมก็แค่ไปซื้อกระดาษกรองมาให้พ่อ บ้านผมไม่มีเครื่องชงกาแฟแน่ๆ
เจ้าหน้าที่ฉีกถุงเมล็ดกาแฟ ใส่เครื่องบด แล้วบรรจุกลับไปในซองอีกครั้ง ซีลปากถุงด้วยความร้อน กำชับผมว่าหากเปิดแล้วกินให้หมดภายใน 1 เดือน และปิดซองให้แน่นหนาเสมอ
ผมคงจะศรัทธาในกาแฟดอยช้างอย่างมาก เลยจัดแบบ Doi Chaang Peaberry ที่เป็นแบบ Single Estate มาอีก 1 ซอง ไอ้อันนี้ถูกกว่าแบบขี้ชะมดเยอะ ซองละแค่ 400 บาท ทำเอาราคาถูกไปเลย
Single Estate หมายถึงผลิตจากกาแฟที่ปลูกในแหล่งเดียว คือบนดอยนี้เท่านั้น ได้รับลม ฝน แดดแบบเดียวกัน ไม่ใช่กาแฟที่รับซื้อมาจากชาวบ้านถิ่นอื่น ซึ่งแม้จะเป็นกาแฟพันธุ์เดียวกัน แต่ปลูกต่างถิ่น ต่างดิน รสชาติและกลิ่นก็จะไม่เหมือนกัน
โหห ลึกซึ้งอีกแล้ว กูตามไม่ทันแล้วโว๊ยย เอาเป็นว่าหากสนใจกาแฟอันดับหนึ่งของไทย เข้าไปอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
www.doichaangecoffee.com อยู่นานท้องเริ่มหิว ขับรถลงจากดอยราว 15 กม สู่พื้นราบ หาร้านอาหารไม่เจอสักร้าน ตอนนี้ผมอยู่อำเภอแม่สรวย ชาวบ้านออกเสียงว่า แม่สวย ใครเรียก แม่สะรวย จะดูเป็นไอ้พวกบ้านนอกทันที ไม่ต้องตกใจ ผมก็เป็นหนึ่งในไอ้บ้านนอกคนนั้น ขนาดภาษาอังกฤษยังเขียน maesuai เลยน่ะครับ
แม่สรวยเปรียบเหมือนเป็นตำบลเล็กๆ อยู่ในอำเภอวาวี ซึ้งต้องขับรถแยกไปคนละทาง ทางดอยช้างจะเด่นเรื่องกาแฟ ส่วนดอยวาวีจะเด่นเรื่องชา ทริปนี่มีเวลาน้อยครับ ขอจัดแค่กาแฟก่อน ชาไว้ทีหลังนะ (แหม น่าเสียดาย ถ้ามีเวลามากๆ น่าจะจัดดอยวาวีไปอีกสัก 1 ชุด)
ช่วงนี้ผมขับเลยบ่อน้ำร้อนที่เล็งไว้ตอนขามาแล้วล่ะ ไม่อยากแช่แล้วด้วย หิวเสียมากกว่า
ตัดสินใจขับย้อนขึ้นเหนือสู่ตัวเมืองเชียงราย วันนี้วางเส้นทางว่าจะวิ่งขึ้นเหนือไปเรื่อยๆ ค่ำไหนนอนนั่น แต่ตอนนี้หิวมาก ถึงตัวเมืองเชียงรายก็หลงทางอีกแล้ว เลี้ยวผิดเลี้ยวถูก บางถนนเป็นวันเวย์ ผมขับฝ่าเข้าไปเฉยเลย ฮ่าๆ
ได้กินต้มเลือดหมูเป็นอาหารเช้าตอน 11.00 ครับ จะเรียกว่า Brunch ก็ได้ เท่ดีออก มันคือลูกผสมระหว่าง Breakfast กับ Lunch นี่เป็นภาษาสากลนะ ผมไม่ได้แต่งขึ้นมาเอง
ใช้เวลาบนโต๊ะอาหารกินไปดูแผนที่ไปด้วย รสชาติดีมากครับ ต้มเลือดหมูส่วนใหญ่จะใส่ผักตำลึง บางร้านขี้เกียจนี่เล่นผักกาดหอมเลย แต่ทีเชียงรายนี่เขาใส่ผักชื่อจิงจูฉ่าย ราคาแพงกว่าผักทั่วไปเยอะ อยู่ กทม ก็หาซื้อได้ครับ ตลาดใหญ่ๆ มีขาย
ดูสถานที่เที่ยวในตัวเมือง เหลือบไปเจอไร่แม่ฟ้าหลวงอยู่ใกล้ๆ ถามทางเจ้าถิ่นแล้วก็มุ่งตรงไปทันที แต่เสียใจด้วย เขาปิดวันจันทร์ ฮ่วย
ในตัวเมืองมีที่เที่ยวอีกมากมาย แต่ไม่เอาแล้วล่ะ หลงบ่อยจัด ขับไปดูแผนที่ไปด้วย รถจะชนเอา แม้จะจอดรถดูข้างทางก็ตาม มันก็ยังมีผิดพลาดอยู่เสมอ ว่าแล้วก็ไปตามแผนเดิมของเราคือ ขึ้นเหนือ
จอดอ่านแผนที่เป็นระยะ แถวนี้มีพิพิธภัณฑ์บ้านดำของอาจารย์ถวัลย์ ดรรชนี นักวาดภาพระดับเทพ ผมเคยเห็นอาจารย์ถวัลย์วาดภาพสดๆ ขณะถ่ายทอดทีวีอยู่ครั้งหนึ่งสมัยเด็กๆ ติดตามาจนถึงทุกวันนี้
ขับไปขับมา หาทางเข้าไม่เจอครับ ก็เลยตามเลย ขึ้นเหนือไปเรื่อยๆ เป้าหมายคือแม่สาย จะข้ามไปฝั่งพม่าดีหรือเปล่าหรอ รอดูบรรยากาศย่านนั้นก่อน
ถนนดีมากครับ ผมไปวันธรรมดาด้วยมั้ง รถยนต์ไม่มาก ขับสบายๆ จอดดูแผนที่เช็คเส้นทาง และดูสถานที่ท่องเที่ยวที่เราจะผ่าน ถ้าจุดไหนน่าสนใจก็แวะซะเลย จัดแบบสดๆ กันเลย
อ้าว เฮ้ย ทำไมรถติดได้ ขับไหลๆ ไปเรื่อยจนถึงจุดเกิดเหตุ รถยนต์ชนกับมอเตอร์ไซค์ครับ หน้ารถเก๋งยุบ มอเตอร์ไซค์ไปอยู่ไหนไม่รู้ แต่คนขับนอนเสียชีวิตกลางถนน
โห สะเทือนใจว่ะ คนขับรถเก๋งเป็นนักศึกษาหญิง ยืนคุยโทรศัพท์อยู่ข้างรถ
เห็นเขาเกิดอุบัติเหตุ ก็เตือนตัวเราเองให้ขับรถอย่างระมัดระวังครับ ตัวอย่างมีให้เห็นกันทุกวี่ทุกวันอยู่แล้ว ตัวเราเองนั้นแหละครับที่จะตระหนักหรือเปล่า
ขับขึ้นเหนือต่อไปเรื่อยๆ พอเข้าใกล้แม่สาย ก็ไปเจอถ้ำขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ผมไม่เคยเที่ยวถ้ำมาก่อน ชอบครับ สนใจมาก เลี้ยวเข้าไปแบบไม่ต้องคิดอีกแล้ว ขับลึกเข้าไปหลายกิโลเมตรหน่อย จอดรถแล้วเตรียมไฟฉายไป 2 ชุด ติดหน้าผาก 1 และถือในมืออีก 1 แต่เป็นไฟฉายแบบ LED นะ ไม่ได้เป็นไฟทรงพลังราคาแพงอะไรนัก
อากาศร้อนครับ แต่พอไปยืนที่ปากถ้ำเท่านั้นแหละ รู้สึกเย็นชื้นวูบขึ้นมาเลย ในถ้ำมืดสนิท มองไม่เห็นอะไรแม้แต่อย่างเดียว ยืนทำใจหน้าถ้ำอยู่สักพักก็ค่อยๆ เดินสืบเท้าเข้าไปทีละน้อยๆ พื้นถ้ำเป็นทรายบดอัดแน่น เหยียบแล้วไม่ยุบเลย ด้านบนเพดานถ้ำเป็นหินย้อยใหญ่บ้าง เล็กบ้าง สลับกันไป บางช่วงของเส้นทางเดินๆ อยู่ก็มีน้ำหยดใส่หัว ตกใจสิ ก็มันทั้งแสนจะมืด ไฟส่องสว่างที่พกไปสองดวง มันส่องได้แค่ระยะมือเอื้อมถึงเท่านั้นเอง นี่คือสถานที่ที่มืดที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมากเลยครับ
คนกลัวความมืดอาจยอมแพ้ตั้งแต่ปากถ้ำ ผมแม้จะไม่คุ้นเคย แต่ก็ลองสู้ดูสักตั้ง ใจเต้นตึกๆ ตลอดเวลา คิดหาคำพูดเท่ๆ มาปลอบใจตัวเอง
เฮ้ย มันแค่มืด แค่เรามองไม่เห็น ใจเราคิดกลัวไปเอง มันไม่มีอะไรหรอก
คิดไปก็ต้องส่องไฟลงพื้นทุกย่างก้าว กลัวจะไปเหยียบเอางูหรือสัตว์มีพิษเข้า ดีนะที่ยังไม่เจอค้างคาวบินกรูกันออกมาเหมือนในหนัง ไม่งั้นหัวใจวายแน่
ช่วงปากถ้ำนี่ดูอลังการมาก เป็นโถงกว้างใหญ่รถสิบล้อเข้ามาจอดได้เป็นสิบคัน เพดานสูงพอๆ กับหัวลำโพง ตรงกลางเป็นพื้นเรียบ พอยืนได้ แต่ถ้าหน้าฝนจะเป็นทางน้ำผ่าน ผมดูจากการที่ทรายมันบดอัดจนแน่น เหยียบเข้ากดลงไป ดินยังไม่ยุบ
กัดฟัน ฝืนใจเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ จนถึงช่วงทางแคบนี่ยิ่งน่ากลัว ต้องปีนป่ายขึ้นไป เลี้ยวเลาะคดเคี้ยวกลัวจะหลงเหมือนกัน ผมมีเชือกติดมา 1 เส้น แต่มันแค่ 20 เมตรเท่านั้นเอง ถึงตอนนี้รู้แล้วล่ะครับว่าเชือกแบบสะท้อนแสงมันมีประโยชน์อย่างไร
มีทางแยกในถ้ำด้วยนะ ไม่กล้าไปหรอกครับ กลัวหลง แค่มืดก็สาหัสแล้ว เกิดหลงขึ้นมานะ ไม่อยากคิดจริงๆ นี่วันธรรมดา ไม่มีนักท่องเที่ยวคนใดก้าวลงมาหลังจากผมอีกเลย โฮ่ๆ ๆ ๆ
ยิ่งเดิน ยิ่งกลัว ท่ามกลางความมืดใจก็คิดไปต่างๆ นานา โดยมากจะเป็นด้านลบ ที่ทำให้จิตใจเราท้อถอยไปทุกที
จะมีงูไหมนะ ตะขาบ แมงป่อง ค้างคาว นี่ขนาดสัตว์เล็กนะ บางช่วงจิตใจคิดไปถึงตอนเจอสัตว์ใหญ่ สัตว์ป่า พวกหมีตัวใหญ่ โอ้โห้ แม่ง คิดแล้วแทบถอดใจเลยครับ ไม่ได้สร้างสรรค์เล้ยยยย
เออ แล้วเกิดแบตฯไฟฉายเราหมดล่ะ
เจอมุขนี้เข้าไปอาการโคม่าออกทันที เพราะผมเอาไฟจักรยานเก่าๆ มาส่องทางน่ะสิ เกิดไฟดับนี่จบข่าวเลยนะนั่น คลำทางกลับไม่ถูกแน่เลย ตอนนี้ไฟยังพอมีอยู่ก็ส่องได้แค่ระยะมือเอื้อมถึง ไม่เอาแล้วโว๊ยยย กลับดีกว่า ไม่สนุกแล้ว
เข้าไปได้สัก 500 เมตร ใช้เวลาราว 45 นาที ก็ยอมแพ้ครับ แต่ถ้ามีเพื่อนกลุ่มใหญ่ลงไปด้วยคงจะดีนะ มันน่าจะอุ่นใจขึ้นเยอะเลย
ผมนั่งเล่นที่โถงใหญ่ปากถ้ำพักหนึ่ง ชมความอลังการของธรรมชาติที่เกิดมาเพิ่งเคยเห็นถ้ำขนาดใหญ่แบบนี้ บอกกับตัวเองว่าสักวันจะต้องกลับมาอีกครั้ง และต้องเข้าไปจนสุดทางให้จงได้
ประทับใจมิรู้ลืมครับ นี่แหละ เสน่ห์ของธรรมชาติ ผมชอบการใช้ชีวิตแบบนี้เป็นที่สุด รู้สึกเหมือนกับว่าเราเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ หึหึ เว่อร์จริงๆ
ขับย้อนกลับออกมาทางเดิม อีกแป๊บเดียวก็ถึงแม่สายแล้ว เหนือสุดของไทย ข้ามเข้าไปตลาดท่าขี้เหล็กของพม่าได้ แต่เมืองมันดูเงียบๆ ยังไงไม่รู้ ผมขับรถตระเวนดูแล้วก็วนรถกลับออกมา ไปเชียงแสนต่อดีกว่า ดินแดนสามเหลี่ยมทองคำ
ถนนเรียบดีตลอด รถน้อย ขับสบาย ไม่มีหลง เพราะตรงอย่างเดียว มีการสร้างถนนใหม่ ขยายถนนเป็นบางจุด ขับกลางวันไม่มีปัญหา แต่กลางคืนไม่แน่ เพราะมีทางเบี่ยงหลายจุด และไม่มีไฟส่องสว่าง แก้ปัญหาง่ายๆ ด้วยการลดความเร็วครับ
แม่สายถึงเชียงแสนทางเรียบตลอด ขับชมวิวเลาะริมลำน้ำโขง ช่วงสามเหลี่ยมทองคำจะมีดินแดนของพม่า และลาวให้เราเห็นอยู่ใกล้ๆ มีจุดชมวิวให้นั่งเล่นริมน้ำเป็นระยะ ผมจอดถ่ายรูปหลายครั้ง นี่เป็นวันจันทร์บรรยากาศเลยเหงาๆ แต่ก็มีนักท่องเที่ยวฝรั่งบ้างประปราย
เชียงแสนถึงเชียงของจะเป็นภูเขาเสียเยอะ ช่วงแรกทางเรียบ แต่ราว 30 กม หลังภูเขาล้วนๆ ครับ โหดดิบดี ขับอยู่เพลินๆ ก็เห็นคนยืนอยู่ข้างทาง พอเข้าไปใกล้ๆ ก็เห็นว่ามากับจักรยาน อ้าว นักเดินทางหรอกหรือนี่ มากับรถพับอีกด้วย ยังไม่พอนะ เพราะเป็นรถพับแบบโคตรโทรม โคตรเก่า จานหน้าใบเดียว เฟืองหลัง 6 ไอ้รถแบบนี้ไม่มีทางขี้นเขาย่านนี้ไหวหรอก มันมีไว้แค่ขี่ในเมือง
สวัสดีครับ มีอะไรให้ช่วยไหมครับ
เชียงของ เขาตอบผมมาแบบสั้นๆ คำเดียว
ฟังสำเนียงแล้วรู้ว่าไม่ใช่คนไทยแน่ ชายหนุ่มอายุราว 20 เศษ ตัวผอมสูง กับรถพับเหล็กเกรดต่ำที่สภาพโทรมเหมือนเศษเหล็ก ชนิดที่ว่าจอดทิ้งไว้ ขโมยยังไม่อยากเอา
เย้ๆ ได้ทำความดีแล้วโว๊ย ตอนอยู่ดอยช้างผมเจอคนข้างทางก็จอดถาม แต่ชาวเขาเขาไม่ยอมขึ้นรถผม บอกว่าเดินอีกแป๊บเดียวก็ถึง
ขึ้นรถมาเลย ผมพูดพร้อมกับ ผายมือไปที่รถ วิ่งไปเปิดฝากระโปรงท้าย หนุ่มชาวจีน (ผมเดา เพราะรถเขามีธงจีนติดไว้) ปลดกระเป๋าสัมภาระออก พับรถแล้วยัดท้ายรถ Vios อย่างง่ายดาย
เขาชื่อ ปินสึ เป็นคนจีน ขี่เข้ามาทางพม่า ไทย กำลังจะไปเชียงของเพื่อลงเรือข้ามไปลาว และกลับบ้านที่จีน ขี่มาเป็นเดือนแล้วล่ะ น่าเสียดายที่ภาษาอังกฤษของเขาไม่ค่อยดี สื่อสารกันลำบาก เลยไม่รู้ว่าที่เขาไม่ขี่ต่อน่ะ เพราะรถพัง หรือว่าขี่ไม่ไหว หรืออยากไปเร็ว
มีช่วงหนึ่งประทับใจมาก มีป้ายบอกทางว่า ทางขึ้นเขา 1 กม แถมขึ้นแบบชันด้วยนะ ผมอ่านป้ายให้ฟัง ปินสึหันมามองหัวเราะร่าเลย ขึ้นไปจนสุดยอดเนิน ก็เจอป้ายบอกว่า ทางลงเขา 1 กม แต่อย่าคิดว่าสบายนะ ไอ้ขาลงนี่แหละตัวดีเลยครับ อันตรายสุดๆ มือต้องกำเบรกตลอดเวลา ขี่ลงเร็วเกินไปก็จะเลี้ยวเข้าโค้งไม่ได้ มันสบายแค่ตรงไม่ต้องปั่นเท่านั้นเอง แถมเบรกต่อเนื่องนาน ขอบล้อจะร้อน ทำให้ยางระเบิดได้ง่าย
ซึ่งถ้ายางระเบิดขณะลงเขานี่มันคือหายนะของนักปั่นครับ เจ็บตัวน่ะเจ็บแน่ แต่อาจรถพังเป็นของแถม หนักกว่านั้นอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ เรื่องจริงครับ และเกิดขึ้นมาหลายครั้งแล้วด้วย
ผมกับปินสึคุยกันแบบมั่วๆ ตลอดทางจนถึงเชียงของ ผมถามว่าจะให้จอดทีท่าเรือไหม ก็ไม่ได้รับคำตอบอีก ผมเลยตัดสินใจเข้าไปที่พักที่เล็งไว้ชื่อ ตำมิละ เป็นเกสเฮาส์แห่งแรกในเชียงของ เจ้าของขี่จักรยานอีกด้วย กะว่าจะหารถเช่าขี่เล่นไปในตัว
เราแยกกันที่ตำมิละ ก่อนจากกันปินสึนึกคำพูดสักพัก แล้วเอ่ยคำว่า ขอบคุณครับ เขาพูดออกมาเป็นสำเนียงไทย น่ารักดีว่ะ ผมไม่รู้ว่าเขาจะลงเรือที่ท่าเรือบั๊กเพื่อข้ามไปฝั่งลาวเลยไหม หรือว่าคืนนี้จะพักที่เชียงของนี่ก่อน ภาษานี่เป็นอุปสรรคจริงๆ
เทใจมาพักที่นี่ตั้งแต่อยู่ กทม ดูในภาพแล้วโอเคดีทุกอย่าง ใจอยากได้ห้องพักริมน้ำ แต่สภาพจริงแล้วมันมีถนนสายเล็กๆ อยู่ริมน้ำ มีรถมอเตอร์ไซค์ชาวบ้านแล่นผ่าน โหห แบบนี้จะนอนหลับหรือวะนี่ คงจะต้องฟังเสียงมอเตอร์ไซค์กันทั้งคืนแน่
หารือกับ คุณต๊ะ ผู้ดูแล บอกความต้องการของผมว่าต้องการห้องพักที่เงียบสงบ ผมจะมาพักผ่อนเพื่อเขียนหนังสือ คิดว่าเขาจะหาห้องอื่นให้ เขากลับแนะนำให้ไปพักอีกแห่งถัดไปไม่ไกล เขาบอกว่าที่นั่นเงียบกว่าของเขา ให้ลองไปดูก่อนว่าชอบไหม
บ๊ะ แฟร์ดีว่ะ แมนดีมากๆ ชอบจริงๆ
ผมเข้าไปดูห้องพักที่ น้ำโขง ริเวอร์ไซด์ โฮเตล ได้ห้องพักหันหน้าเข้าแม่น้ำโขง แต่อยู่ลึกเข้ามาจากถนน ห้องพักมีระเบียง มีเก้าอี้ให้นั่งเล่นชมบรรยากาศฝั่งลาว มีสวนหย่อมกั้นระหว่างถนน บรรยากาศแบบโรงแรม แต่บริการแบบกันเองเหมือนเกสเฮ้าส์ เดี๋ยวจะเล่าว่ากันเองอย่างไร
เก็บข้าวของในห้องเสร็จก็เดินออกหาของกินทันที ตอนนี้ประมาณห้าโมงเย็นแล้ว ผมกินมื้อเช้าตอน 11.00 และตลอดทางก็ไม่ได้กินอะไรอีกเลย ถนนหน้าโรงแรมคือถนนใหญ่สุดในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ มีอาหารขายตลอดสองข้างทาง ผมเลือกน้ำพริกหนุ่ม แคบหมู หมูแดดเดียว ข้าวเหนียว เรียกว่าเห็นอะไรน่ากินก็ซื้อตุนไว้ก่อน ของพวกนี้เก็บไว้ได้หลายมื้อ บ้านเมืองสะอาด น่าเดินครับ ตกเย็นแล้วอากาศเริ่มหนาวอีกด้วย เจอนักท่องเที่ยวสามีภรรยาผลัดกันถ่ายรูป ผมรีบปรี่เข้าไปเสนอตัวช่วยถ่าย แน่นอน ไม่มีใครอยากพลาดใช้บริการจากผมหรอก
พูดคุยกับแม่ค้า เขาว่ามีตลาดใหญ่อยู่อีกฟากของถนนนี้ ได้ยินแล้วหูผึ่ง รีบกลับโรงแรมเอารถยนต์ออกทันที ขับไปสุดถนนก็เจอลานกว้าง บรรยากาศเหมือนตลาดนัดแถบชานเมือง ขายของกินสำเร็จรูป อาหารพื้นบ้าน และผักสด ของบางอย่างกินไม่เป็น ไม่เคยเห็น เช่น ข้าวแรมฟืน รังผึ้งย่าง และพวกน้ำพริกท้องถิ่น ชื่อแปลกๆ แบบฟังแล้วก็ลืมไปเลย
มีคนบอกว่าอย่าช็อปปิ้งตอนหิว มิน่าเล่า ผมซื้อของติดมือกลับมาเพียบ พอถึงโรงแรมก็เดินเข้าไปขอจาน ชาม ช้อน จากร้านอาหารเขาหน้าตาเฉย พนักงานก็ใจดีน่ารักสุดๆ กุลีกุจอหยิบจานชามตามที่ขอให้ ผมบอกเดี๋ยวเอามาคืนให้นะ เขาว่าไม่ต้องหรอกครับ เดี๋ยวให้เด็กไปเก็บที่ห้องเอง บ๊ะ เจ๋งอีกแล้ว บริการน่ารักดี
เปิดถุงเทใส่จานกินกันตรงริมระเบียงนี่แหละครับ นั่งชมวิวฝั่งลาวไปด้วย รับลมเย็นๆ บ้านเมืองเงียบๆ แม้จะเป็นอาหารพื้นบ้านง่ายๆ แต่ก็ทำให้ผมสุขสุดๆ ครับ กินข้าวเหนียวหมูแดดเดียว แคบหมูจิ้มน้ำพริกหนุ่ม มีขนมอีกนิดหน่อย อิ่มแบบแน่นพุง แถมเหลืออีกด้วย
ใกล้มืดแล้วผมกลัวจะมีแมลง เลยย้ายมานั่งกินในห้องต่อ หัวค่ำออกไปเดินเล่นรับลมหนาวที่ถนนหน้าโรงแรม กลางคืนบรรยากาศเหงาๆ หน่อยนะ มีจักรยานเช่าไว้บริการเยอะเลย เขียนป้ายบอกไว้ว่า วันละ 100 บาท เป็นจักรยาน MTB อย่างดีด้วยนะ ไม่ใช่รถแบบกะโหลกกะลา
ไม่นึกว่าจะมาเจออากาศหนาว ผมมีแค่เสื้อยืดบางๆ เดินอยู่นานชักเริ่มหนาว กลัวจะไม่สบาย กลับเข้าห้องดีกว่า
อาบน้ำอุ่นสบาย มีเวลาว่างให้วางแผนการเดินทางวันรุ่งขึ้น นี่ถ้ามีเวลาอีกก็อยากจะขึ้นภูชี้ฟ้า ผาตั้ง แต่คงทำไม่ได้ พรุ่งนี้ผมจะกลับเข้าตัวเมืองเชียงราย พักในเมืองสักคืน เดินเล่นชมเมือง แล้วก็เตรียมตัวกลับบ้าน กทม ในวันถัดไป