racing-club.net

Bike Forum => my bike diary / my life diary => Topic started by: O'Pern on February 03, 2012, 08:20:32 pm

Title: กพ 55 26-29 เชียงราย
Post by: O'Pern on February 03, 2012, 08:20:32 pm
1 กพ 55
   อีก 4 วันจะถึงงานขี่ไปหัวหินแล้ว เช้านี้ผมจิตนาการสภาพเส้นทางแถวเมืองเพชรบุรีที่สองข้างทางเป็นนาเกลือ ลมพัดแรงมาก ช่วงนี้แหละที่ทำให้ร่างการเราเหนื่อยล้าอย่างมากเลย แถมเส้นทางจะเป็นแบบนี้ยาวไปอีกสัก 70 กม ผ่านช่วงชุมชนลมก็น้อยหน่อย แต่พอเจอทางโล่งๆ ลมทะเลจะพัดซัดเราเต็มๆ
   ขี่แถวบ้านเส้นทางเดิมๆ แต่ในหัวมันคิดไปเส้นทางอื่น ความสุขเล็กๆ น้อยๆ ของผมเองในช่วงเช้าของวัน วันนี้เล่นหัวหินไปก่อน
   ไปส่งลูก ไปทำงาน บ่ายเข้ามาบ้าน จัดเตรียมเอกสาร
   เย็นผมมีประชุมกรรมการที่คอนโด ได้รับเลือกกับเขาด้วยเว้ยเฮ้ย เป็นหน้าที่ๆ ผมไม่ถนัดเลยแม้แต่น้อย แต่ก็ต้องเข้าไปร่วมลงมติในเรื่อต่างๆ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง ผมยังต้องเรียนรู้กลโกงในธุรกิจคอนโดอีกเยอะ น่าตกใจมากครับ ที่ว่า คอนโดแต่ละแห่งล้วนมีการโกงกินแนวๆ เดียวกันนี้หมด
   มิน่าเล่า เจ้าของโครงการรวยเอาๆ ได้เงินมาจากการโกงเงินค่าส่วนกลางของลูกบ้านนี่เอง ใครอยู่คอนโดก็ลองไปตรวจเช็คกันดูครับ
   นิติฯ (กลุ่มคนที่มาบริหารโครงการ) จัดเรียกประชุม แต่ไม่มีหนังสือแจ้งวาระการประชุมให้อ่าน เปิดฉากมาก็เล่นไม่ซื่อกันเสียแล้ว พยายามจะให้แต่ละวาระผ่านไปโดยเร็ว ยังดีที่กลุ่มกรรมการมีผู้ใหญ่ที่เข้ามาทำงานอย่างแท้จริงช่วยค้าน
   นั่งคุยออกความคิดเห็นกันอยู่นานราว 2 ชม หลังจากลงมติโวตกรรมการ รองกรรมการ เรียบร้อยแล้ว ไม่มีเรื่องใดต้องออกเสียงอีกแล้ว ผมจึงขอแยกตัวกลับก่อน เพราะลูกชายอยู่บ้านคนเดียว
   กลับมาบ้าน ลูกกำลังนั่งอ่านหนังสือเล่น เจอหน้าผมก็ดีใจ ผมขอเขาหอมแก้มแล้วปลีกตัวไปอาบน้ำ กลับมาอีกที เขานอนหลับปุ๋ยเสียแล้ว
Title: Re: กพ 55
Post by: O'Pern on February 03, 2012, 08:22:27 pm
2 กพ 55
   อากาศยามเช้าลมพัดเย็นเหมือนมีฝนตกอยู่ไกลๆ สองวันมานี้อากาศครึ้มๆ แต่แถวบ้านผมฝนไม่ตก
   อ่านหนังสือเจอโฆษณาน้ำมันเครื่องสำหรับรถใช้แก๊ส เฮ้ยย อย่าไปบ้าจี้ตามมันนะ มันไม่มีจริงหรอก อันที่จริงจะใช้น้ำมันเครื่องแบบใดก็ได้ ขอให้มีค่ามาตรฐาน API สูงสุด และค่าความข้นใส (SAE) เบอร์เดียวกับที่ระบุไว้ในคู่มือ
   ลองคิดง่ายๆ ถ้าเราใช้น้ำมันเครื่องสำหรับแก็ส แล้วเกิดวิ่งไปต่างจังหวัด แก๊สหมด ต้องวิ่งน้ำมันสัก 30 นาที แบบนี้คุณจะเข้าอู่เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องใหม่เพื่อจะวิ่งน้ำมันด้วยไหมครับ
   บ่ายเข้ามาบ้าน เปิดคอมพิวเตอร์ทำงาน ตกใจ เจอเมลล์มา 16 อัน ก็เป็นเรื่องมาจากการประชุมเมื่อวานแหละครับ อ่านกันจนมึนไปเลย
   เย็นไปรับลูก แวะโชว์รูมรถ Volvo ย่องไปดู Volvo XC60 ไอ้คันเป็นรถที่ฉลาดที่สุดเท่าที่มีขายในไทย ระบบไฮเทคสารพัดอัดเข้ามาแบบจัดเต็ม เช่นระบบเบรกอัตโนมัติกรณีรถคันหน้าเบรกกะทันหัน เราเบรกไม่ทัน รถจะเบรกให้เอง ระบบวิ่งตามรถคันหน้า เขาเบรก มันก็จะเบรกให้เราเอง เขาช้า มันก็ลดความเร็วให้เราเอง มีไฟเตือนรถที่มาวิ่งอยู่ในจุดบอดสายตา (Blind Spot) ยังไม่นับพวก Traction Control ที่เป็นพื้นฐานไปเสียแล้ว จนกระทั่งรถกระบะใหม่ๆ ก็ยังมีกันหมดแล้ว
แต่ก็กลัวว่าไอ้ระบบพวกนี้แหละจะมาเป็นจุดอ่อนของมันเอง คือใช้ไปนานๆ กลัวมันรวนแล้วระบบเชื่อมต่อถึงกันหมด จะพาให้เราต้องเปลี่ยนชิ้นส่วน อุปกรณ์แบบยกชุด หรือไม่ก็รวนจนไฟหน้าปัดโชว์ ทำให้เราขับด้วยความไม่สบายใจ
   ผมไปดูโชว์รูมนี้มา 3 ครั้งแล้ว ไม่เคยเจอรถ XC60 เลย มาวันนี้คุยกับเจ้าหน้าที่ เขาบอกว่ารถเพิ่งมา แต่เป็นของลูกค้าที่จองไว้แล้ว ผมสอบถามถึงรถโชว์ เขาบอกว่าไม่มี เพราะรถมันขายได้ตลอด มีแต่คนจอง
   โอ้โห เหลือเชื่อ ผมขับรถตระเวนอยู่ฝั่งธนฯมาเป็นสิบๆ ปี เห็นรถ Volvo ป้ายแดงแบบนับคันได้
   ขอดูเครื่องยนต์เป็นอย่างแรก อยากดูการออกแบบจัดวางอุปกรณ์ว่ามันออกแบบให้เราสามารถรื้อแกะซ่อมบำรุงเองได้สะดวกเพียงใด เอาแค่ไส้กรองอากาศก็ต้องใช้ประแจบล็อกรูปดาวไขถึง 4 ตัว ต่างจากรถญี่ปุ่น และรถกระบะที่ใช้คลิปสปริงล็อค ถอดเปลี่ยนไส้กรองได้ในเวลาไม่ถึง 10 วินาที
   การจัดวางอุปกรณ์ทำได้ดีครับ วางแบตฯ ไว้ด้านชิดกับผนัง Firewall ช่องรับอากาศไอดีมีท่อต่อตรงมาจากกระจังหน้า มีแผ่นดักลมปิดหน้าหม้อน้ำอีกด้วย แผ่นบังลมนี้จะช่วยให้ลมอั้ดเข้ารังผึ้งหม้อน้ำได้ดีมากยิ่งขึ้น ในพวกรถเล็กๆ รถญี่ปุ่นจะมีเจ้าแผ่นนี้ขายเป็นของแต่ง 
   ภายในสวยหรูเรียบตามสไตล์ Scandinavian Design ถูกใจผมดี แต่อยากได้ช่องเก็บของจุกจิกมากกว่านี้หน่อย เขาชดเชยมาให้เป็นช่องเก็บของขนาดใหญ่เว่อร์ๆ ฝั่งผู้โดยสารด้านหน้าแทน (ใหญ่แบบน่าจะเก็บคอมพิวเตอร์โน้ทบุ๊คขนาดกลางๆ ได้)
   เซลล์โชว์ติดเครื่องยนต์ดูระบบต่างๆ มีฟังชั่นการปรับแต่งรถด้วยระบบไฟฟ้าแบบ BMW จะเรียก idrive ของ Mercedes Benz เรียก Command ส่วนของ Volvo เขาเรียก my car เล่นแม่งง่ายๆ อย่างนี้แหละวะ รถของกู ตรงๆ ซื่อๆ ดี
   ที่ชอบอีกอย่างคือเบาะหลังพับแล้วเรียบสนิทดีครับ มีแผ่นปิดบังสัมภาระมาให้ แถมตาข่ายมาให้อีกอัน (เอาไว้กันหมาปีนข้ามเบาะหลังเข้ามา / สำหรับคนที่เอาหมาใส่ท้ายรถ)
   เซลล์พยายามพูดจาหว่านล้อมให้จอง แต่แหมพี่ เร็วไปหรือเปล่า รถคันละตั้งแพง ยังไม่ได้ขับอะไรสักนิดเลย จะให้จองซื้อแล้วหรือ ขนาดรองเท้าแตะฟองน้ำคู่ละ 30 ยังลองแล้วลองอีกเลย แถมใส่ไม่พอดี ยังเอากลับไปเปลี่ยนได้อีกด้วย
   นึกแล้วเสียดายโอกาสนะ นี่ถ้ายังทำนิตยสารอยู่ล่ะก็ จะขอยืมรถมาทดสอบให้ชุ่มใจ แต่ก็มีข้อเสียเหมือนกัน เพราะลองแล้วมักจะชอบทุกที เรียกว่าถ้าใครมีใจให้รถคันนั้นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว และจำเป็นต้องใช้รถ ก็จะตัดสินใจได้ไม่ยาก
   ในเรื่องราวเกี่ยวกับรถยนต์ทั้งหมด ผมถนัดที่สุดก็คือเรื่องของการออกแบบ และทดสอบรถยนต์นี่แหละครับ จะคิดทำสิ่งใด ก็จงทำสิ่งที่เรารัก เราชอบ มันก็จะทำให้ผลงานออกมาดี
Title: Re: กพ 55
Post by: O'Pern on February 03, 2012, 08:25:19 pm
3 กพ 55
   เที่ยงคืนตื่นขึ้นมากลางดึกด้วยอาการเวียนหัว นั่งสักพักไม่เห็นดีขึ้น หยิบยาพาราฯ มากิน อีกสักครู่ใหญ่ก็อาเจียนออกมาเป็นอาหารมื้อเย็น ใช่แล้ว KFC ที่ลูกชวนไปกินนั่นเอง น่าใจหายที่อาเจียนออกมาเป็นสีส้มสดๆ เหมือนสีน้ำจิ้มไก่เลย
   อาเจียนเสร็จแล้วก็ดีขึ้นนิดหน่อย ขึ้นไปนอนต่อ แต่อีกไม่นานก็ลุกมาอาเจียนอีก คราวนี้สีส้มจางลงแล้ว ก็แหงสิ เอาออกไปแล้วล็อตหนึ่งนี่นา
   นั่งคิด วิเคราะห์ เอ๊ะ เราเองก็สุขภาพแข็งแรง ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย เจ็บป่วยนี่น้อยมาก มีก็แค่เจ็บหลังจากการยกของนี่แหละ
   ในทางกลับกัน ลูกนอนหลับปุ๋ยอย่างสบาย เขากินไก่เหมือนกับผม แต่เขาจิ้มเฉพาะซ๊อสมะเขือเทศ
   ปิ๊งๆ ๆ ๆ ได้คำตอบแล้ว มันต้องมาจากน้ำจิ้มไก่แน่
   ส่วนเหตุผลลึกๆ จะเป็นอย่างไร มีปัจจัยด้านอื่นเสริมหรือไม่นั้น ไม่อาจทราบได้ งานนี้ทำเอาผมต้องเข็ด KFC ไปพักใหญ่เชียวล่ะ
   หลังอาเจียนรอบสอง ทุกอย่างก็เริ่มดีขึ้น ผมเบนความสนใจตัวเองด้วยการมาพิมพ์ไดอารี่เล่าเรื่องชีวิตประจำวัน ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ กลัวล้มตัวนอนแล้วอยากอาเจียนอีก จะต้องเดินเข้าออกห้องนอน รบกวนภรรยาและลูก ผมเกรงใจเขา เลยนั่งอยู่ในห้องทำงานชั้นล่างนี่แหละ ตอนนี้ก็ปาเข้าไปตี 1 แล้ว
   นั่งเล่นเกมในเครื่องคอมฯ เป็นเกมแนว Puzzle สลับกับพิมพ์ไดอารี่อยู่จนถึงตีสองครึ่ง รู้สึกว่าตัวเองดีขึ้นแล้ว ไม่อาเจียน ไม่เวียนหัวแล้ว เลยขึ้นไปนอน เหลือเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะเช้าแล้ว แต่ถ้าผมเข้านอนแล้วสามารถหลับสู่โหมดหลับลึกได้สัก 1 รอบ (รอบหนึ่งราว 45 นาที) ก็น่าจะตื่นมาแบบไม่งัวเงียพร้อมกับสมองที่สดใส
   การหลับของคนเรามีอยู่ 4 ระดับครับ
ระดับที่ 1 นอนหลับยังไม่สนิทนัก ยังคงได้ยินเสียงรอบๆ ตัวอยู่ ถ้าเสียงดังรบกวนมา ก็จะลืมตาตื่นขึ้นมาได้ง่าย
ระดับที่ 2 เริ่มหลับจริงแล้ว หลับลึกขึ้นนิดหน่อย ถ้าเสียงรอบตัวไม่ดังมาก ก็จะไม่ได้ยิน ไม่ตื่น
ระดับที่ 3 เข้าสู่สภาวะการหลับสนิท
ระดับที่ 4 อยู่ในโหมดหลับลึก ฝรั่งเรียกว่า Delta Sleep นั่นคือสมองของเราจะได้พักผ่อนอย่างแท้จริง มายืนเรียกให้ตื่นก็ไม่ได้ยิน ปลุกก็ไม่ตื่น
แต่สมองคนเราจะหลับอยู่ในโหมด 4 ได้ไม่นานนัก จะค้างอยู่ราว 20 นาที แล้วก็จะวนไปสู่โหมด 2 ตามด้วย 3 และ 4 อีกครั้ง
ฉิบหาย!!!! พอหัวถึงหมอนก็รู้สึกเวียนหัวทันที ลุกขึ้นมาอาเจียนแต่ไม่มีอะไรออกมา พะอืดพะอม ดื่มน้ำเปล่าไป 1 แก้ว อีกสัก15 นาทีต่อมาก็อาเจียนอีกชุดใหญ่ คราวนี้ออกมาเป็นน้ำเปล่าผสมน้ำย่อยออกสีเขียวๆ
อาเจียนเสร็จก็จะรู้สึกสบายตัวขึ้น แต่หมดแรงครับ นอนอยู่ข้างชักโครกในห้องน้ำนั่นแหละ
เป็นอันว่านอนไม่ได้ครับ เปิด DVD ดูเล่นจนถึงเช้ามืด เดินโซเซเอาจักรยานออกขี่ตอนตี 5 แต่ขี่ได้แป๊บเดียวครับ เกิดอาการหมดแรง เหมือนจะหลับใน รถไม่มั่นคงเลยครับ มันส่ายไปมา ตอนเลี้ยวก็ยังไม่นิ่ง รู้สึกอันตราย เลยวกกลับบ้านดีกว่า
เข้ามาบ้านนอนต่อตอนหกโมงเช้า นอนอยู่เกือบถึงเจ็ดโมง สะดุ้งตื่น (น่าจะหลับเข้าโหมด 4 แล้ว) รีบกินอาหารเช้าและไปส่งลูก แล้วก็ไปทำงานที่ร้านขายของต่อ
ไม่น่าเชื่อ พอขึ้นรถยนต์ปุ๊บ ผมรู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที แต่พออยู่ที่ทำงานเงียบๆ ว่างๆ ก็เริ่มง่วงเข้าให้ แต่ไม่มีอาการอาเจียนแล้ว โชคดีจริงๆ
บ่ายเข้ามาบ้าน ตั้งใจจะนอน แต่มีงานส่วนตัวมากมายที่ยังไม่ได้จัดการ เลยทำได้แค่นอนพักสายตา แป๊บเดียวเย็นแล้วก็ออกไปรับลูก เขาขอกินอาหารร้าน Yayoi เป็นร้านอาหารญี่ปุ่น ผมไม่ค่อยชอบให้กินแบบนี้ เพราะเขากินแต่กุ้งเทมปุระ มันมีแต่ของทอด เขาบอกไม่ได้กินมานานแล้ว วันนี้เลยหยวนๆ
แวะร้านหนังสือ ผมได้ข้อมูลเดินทางจังหวัดเชียงรายมาอีก 1 เล่ม เดินผ่านร้าน istudio พนักงานกำลังสาธิตโปรแกรมใหม่ของ apple คือ icloud เป็นการส่งไฟล์แบบไร้สาย ราวกับว่ามาทางก้อนเมฆ ยอมรับเลยครับว่าแม่งเจ๋งจริงๆ
กลยุทธของเขาคือจะทำให้ทุกคนที่ใช้ผลิตภัณฑ์ชิ้นใดชิ้นหนึ่งกลายมาเป็นสาวกให้ได้ ถ้าคุณมี ipad ก็จะต้องอยากได้ iphone และ imac/mac book หรือฟัง ipod โหลดโปรแกรมผ่าน itune ซื้อของออนไลน์ใน app store หรือถ้าจะให้มากกว่านั้น ที่บ้านก็ต้องมีรูปบูชา Steve Jobbs พร้อมอัตชีวประวัติอย่างละเอียด
อย่าลืมทำบุญให้เขาทุกวันเกิด และวันที่เสียชีวิตด้วยล่ะ
Title: Re: กพ 55
Post by: O'Pern on February 04, 2012, 06:40:00 pm
4 กพ 54
   เสาร์นี้ลูกยังคงต้องไปเรียนเสริมที่โรงเรียนชดเชยช่วงหยุดน้ำท่วมปลายปีที่แล้ว ส่งลูกเสร็จแล้วก็ไปทำงานที่ร้านขายของต่อ เช้าขี่จักรยานจดออเดอร์ลูกค้า ผมชอบแอบแวะไปนั่งเล่นริมเจ้าพระยาเล่น ไม่ได้อู้นานนักหรอก แค่สัก 1-2 นาที นั่งพักเหนื่อย หลบแดดร้อน บางวันก็ซื้อขนมครกจากแม่ค้ารถเข็นมานั่งกินตรงนี้แหละ นั่งมองบรรยากาศข้างหน้าไปเรื่อยๆ แม้จะริมน้ำเหมือนเช่นเดิมทุกวัน แต่อารมณ์มันแตกต่างกัน
   ช่วงเช้ามีทัวร์จักรยานขี่ผ่านผมไปแทบทุกวัน นึกอิจฉาไกด์ที่เขาได้งานที่สนุก ผมอยากทำบ้าง อยากแนะนำเรื่องราวต่างๆ ในกรุงเทพฯ หรือประเทศไทยให้คนต่างชาติเขารับรู้ แถมได้ฝึกพูดภาษาอังกฤษไปในตัวอีกด้วย
   กลางวันขี่จักรยานไปเวิ้งนาครเขษม แหล่งขายอุปกรณ์ดนตรีและเครื่องใช้เก่าแก่ของกรุงเทพฯ ไปซื้อตัวปรับตั้งสาย Uke และปิ๊ก ผมเลือกไม่เป็น เลยสอบถามเจ้าของร้าน เจอร้านหนึ่งชื่อ “หมี มิ้ง มิวสิค” ร้านเล็กๆ ห้องเดียว ไม่ติดแอร์ ขายของพวกกีตาร์ เจ้าของชื่อหมี พูดคุยตอบคำถามผมอย่างดีมาก ผมถามเยอะแยะ เพราะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับ Uke เลย คราวหน้าถ้าจะต้องซื้ออะไร ผมจะมาที่ร้านนี้เป็นอันดับแรก
   อ้อ เวิ้งนาครเกษม กำลังจะหมดสัญญาเช่าตึกแล้วนะครับ อีกหน่อยจุดนี้จะกลายเป็นตึกใหญ่แบบห้างสรรพสินค้า ใครอยากเก็บรูป เก็บบรรยากาศ ก็จัดไปได้เลยครับ ย่านเก่าแก่คลาสสิคในกรุงเทพฯ มันค่อยๆ แปรสภาพกลายเป็นตึกยุคใหม่ไปหมดแล้ว
   บ่ายไปธุระในห้าง เจอแผงขายของทุกอย่าง 20 บาทอีกแล้ว ชอบจริงๆ เลย ของบางอย่างดูไม่ออกมาเอาไว้ทำอะไร ถ้าเจอร้านใหญ่ๆ จะยิ่งเดินสนุก หยิบจับของขึ้นมาดูได้แทบทุกอย่าง
   เย็นนี้ลูกขอไปตีแบดฯกับเพื่อนครับ แถมบอกให้ผมมารับดึกๆ หน่อยอีกด้วย
Title: Re: กพ 55
Post by: O'Pern on February 06, 2012, 01:19:34 pm
5 กพ 55 ทริปหัวหิน
   เช้านี้มีทริปจักรยานใหญ่สุดของชาว กทม เป็นงานขี่ไปหัวหิน 200 กม จัดโดยนักจักรยานกลุ่มสวนธนฯ เป็นงานเล็กๆ จัดขึ้นกันเองต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว จนเริ่มมีสปอนเซอร์เข้ามาแจม นับว่าเดินมาถูกทางแล้วครับ อนาคตต่อไป ถ้าทางกลุ่มมีการทำการตลาดดีๆ ก็สามารถบันทึกเทปโทรทัศน์ได้ไม่ยาก
   แต่ถึงตอนนั้น อาจต้องมีการเขียนสคริปกันหน่อย มีการเล่นแบบ Drama (เล่นละคร) กันบ้างเล็กๆ น้อยๆ เพื่อสร้างสีสัน เรียกเรตติ้ง
   ผมไม่ได้ไปร่วมงานกับเขาหรอกครับ ผมขี่ไม่ไหว ถ้าขี่ไหวจริงก็อยากจะนอนพักค้างสักคืน แต่นี่พวกเขาขี่กันไปแต่เช้า และมีการเช่ารถกลับกันเอง บ้างก็รวมกลุ่มกัน ผมเกรงใจคนอื่น ผมขี่ช้า หากจองไว้แล้วเกิดผมขี่ยังไม่ถึง แต่ทั้งกลุ่มเขาจะกลับกันแล้ว จะทำอย่างไร มันเป็นคำถามที่ผมหาคำตอบไม่ได้ ก็เลยขี่เล่นเองคนเดียวนี่แหละ
   เอาขนมขบเคี้ยวใส่รถจักรยานแล้วขี่ไปรอหน้าปากซอย เดี๋ยวเขาจะขี่กันผ่านหน้าบ้านผมนี่แหละครับ ออกไปยืนรอเอาขนมแจกเพื่อนๆ นักปั่นด้วยกัน แม้ไม่ได้ไปเอง แต่ขอแจมเล็กๆ น้อยๆ
   ขบวนจักรยานผ่านหน้าบ้านผมตอน 0800 อ้าว .. เขาขี่กันในช่องทางด่วนเลยน่ะ โหห แล้วแบบนี้มันไม่เกะกะรถยนต์กันหรอกหรือนี่ ตัวผมยืนรออยู่ในทางขนาน ขนมเต็มรถเลย กล้วยตากแพ็คซองละ 2 ชิ้น เวเฟอร์รสช็อคโกแลต รสนม ไม่ได้วิ่งข้ามรั้วปูนไปแจกแน่ๆ เลย
   ได้แต่มองดูและส่งแรงใจ ขบวนจักรยานผ่านหน้าผมราว 10 นาที นาทีแรกยืนดูด้วยความตื่นเต้น แต่อีกพักเดียวเท่านั้นแหละ น้ำตาเริ่มซึม คลอ และไหลหยดลงมา มันเริ่มมีบางอย่างสะกิจใจผมเข้าให้แล้วสิ
   “ไว้สักวันกูต้องขี่อย่างพวกมึงบ้างให้ได้”
   “กูจะไปให้ไกลกว่าพวกมึงอีกด้วย”
   บอกอย่างไม่อายก็คืออิจฉาพวกเขา ขณะกำลังคิด สายตาผมก็เห็นฝรั่งคนหนึ่ง ขี่รถพับคันเล็กๆ เฮ้ยย ลุงบ็อบ ผมตะโกนเรียก ลงบ็อบ อยู่ 3 ครั้ง ป้องปากตะโกนเสียงดังลั่น แต่ลุงไม่ได้ยิน
   เฮ้ย นั่นมันไอดอลของผม งานนี้ลุงขี่คนเดียวอีกด้วย รอบข้างรายล้อมไม่มีใครขี่ประกบตามเลย สุดยอดอีกแล้วลุงผม ปีนี้ลุงคงจะอายุย่างเข้า 83 ปี เจ๋งว่ะ ตอนผมอายุ 83 ผมจะทำอะไรได้มากแค่ไหนนะ
   “ผมจะต้องเป็นอย่างลุงให้ได้ และผมจะต้องเจ๋งกว่าลุงให้ได้”
   ตอนผมอายุ 83 ก็ยังคงอยากจะเดินทางไปเรื่อยๆ ไม่อยากใช้คำว่ารอบโลก กลัวจะหาว่าเว่อร์ แต่ผมรู้ตัวเองว่าใจกำลังคิดอะไรอยู่ ถึงตอนนั้น คำว่า “รอบโลก” มันคงจะเกร่อไปแล้ว ต้องมีอะไรแปลกใหม่กว่านั้น แรงกว่านั้น และนั่นมันจะเป็นสิ่งที่ผมทำ จำไว้
   สิ่งที่พอจะทำได้ก็คือการถ่ายทอดประสบการณ์ออกไปเป็นงานเขียน ซี่งผมจะต้องออกตัวไว้ก่อนเลยนะว่าผมไม่ใช่นักขี่จักรยาน ไม่ใช่นักแข่ง ผมเป็นคนธรรมดาๆ ที่ชอบการเดินทาง และผมเลือกที่จะใช้จักรยานเป็นพาหนะร่วมในการเดินทาง ไม่ได้เก่ง หรือวิเศษไปกว่าใครเลย
   ยืนดูจนรถหมดขบวน ผมถึงขี่จักรยานไปซื้อต้มเลือดหมูให้ลูกและภรรยา กลับมาบ้านก็นั่งกินด้วยกัน แต่ไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่เลย ใจผมมันเกาะซ้อนท้ายรถลุงบ็อบไปตั้งแต่ตอน 0800 แล้ว
   เอ๊ะ แล้วลุงเขาจะกลับอย่างไรนะ เขามีรถมารับเอง หรือว่ากลับกับกลุ่มสมาคมจักรยานเพื่อสุขภาพไทย (TCHA) ผมขับรถไปรับเขาดีไหม แล้วเขาจะกลับกับผมไหม ฯลฯ
   สารพัดคำถามประดังเข้ามา ในเมื่อหาคำตอบไม่ได้ ก็ต้องหาข้อสรุปซะ ใจจะได้ไม่คิดมากต่อ ลุงบ็อบแกเดินทางแบบนี้มานับสิบปีแล้ว ในแถบเอเชียแกก็ไปมาหมดแล้ว อเมริกา ยุโรป อัฟริกา ฯลฯ ลุงเก็บมาหมดแล้ว ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่ผมจะต้องเป็นห่วงลุงในการหารถกลับ กทม เลย น่าจะเอาเวลามาเยียวยาหัวใจตัวเองที่กำลังรันทด ท้อแท้ต่างหาก
   ผมหยิบเอา Uke มาเล่น 1 ชม แหกปากร้องเพลงดังๆ ก็พอจะคลายความร้อนรุ่มในจิตใจไปได้บ้าง เมื่อวานซื้อปิ๊กมา 2 แบบ เลยได้ทีฝึกเล่นด้วยเทคนิคต่างๆ กลายเป็นว่าไม่ถนัดครับ ใช้นิ้วมือเปล่าๆ ตีนี่แหละคุ้นดี แต่การใช้ปิ๊ก มันสามารถกำหนดสไตล์ของเสียงได้หลายแบบเหมือนกันนะ นี่คือข้อดีของมันที่ผมค้นพบใน 1 นาทีแรก
   เล่นเพลง “ไม่ยอมหมดหวัง” ของ JFK – Jennifer Kim เพลงโปรดเก่าแก่ของผม ที่ฟังกี่ทีก็ยังกระชากใจได้เหมือนตอนฟังครั้งแรก
   “แม้ว่าจะต้องเสียความรักไป แม้ว่าจะไม่เหลือใครสักคน มันจะเจ็บจะช้ำกี่หน แต่คนคนนี้ไม่ท้อใจ”
   “แม้ว่าในวันนี้มีน้ำตา จะข่มมันให้ไหลอยู่ข้างใน ความฝันนั้นหมดไป แต่ยังเหลือตัวฉัน”
   ผมไม่รู้ว่าใครแต่งเพลงนี้ แต่ขอบคุณมาก ขอบคุณจากใจ ขอบคุณทั้งคนแต่งคำร้อง ทำนอง และผู้ร้อง เพลงนี้จะอยู่ในตำนานของเพลง Modern Classic ของผมเอง
Title: Re: กพ 55
Post by: O'Pern on February 06, 2012, 08:02:30 pm
6 กพ 55
   ขี่จักรยานตอนเช้าแบบช้าๆ มันเหมือนแทบไม่ได้ออกแรงอะไรเลย ได้แค่ขยับแข้งขาและลำตัวนิดหน่อย เอาน่ะ ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย ดีกว่าอยู่เปล่าๆ
   เช้าวันจันทร์รถติดมาก แต่วันนี้ติดหนักกว่าทุกที ผมใช้เวลาอยู่ในรถยนต์ 1 ชม นั่งอยู่นานจนรู้สึกปวดหลัง อาการเก่าคงจะกำเริบ ก็ต้องอยู่ร่วมกับมันอย่างมีความสุขให้ได้ เพราะนี่คือของขวัญที่ร้านขายของนี้มอบให้กับผมเมื่อหลายปีก่อน ขอบคุณครับ
   ผลจากการปวดหลัง ทำให้ผมขี่จักรยานนานๆ ไม่ได้เหมือนเก่าอีกต่อไปแล้ว แย่จริงๆ เลย มันจะหายได้หรือเปล่าก็ไม่รู้
   ไปถึงที่ทำงานก็ต้องยกของแต่เช้า จัดเรียงแล้วใช้รถเข็นตัก เข็นไปส่งที่รถลูกค้า บริการยกขึ้นรถ กล่าวขอบคุณครับที่มาอุดหนุน
   เย็นไปรับลูก วันนี้เขาเรียนดนตรีสากล ผมเลยมี Uke เล่นระหว่างรอเขาวิ่งเล่นกับเพื่อนสลับกับทำการบ้าน
   วันนี้ชีวิตเรียบง่ายแบบเหงาๆ หน่อย
Title: Re: กพ 55
Post by: O'Pern on February 08, 2012, 03:44:17 pm
7 กพ 55
   ขอขี่แบบเปลี่ยนบรรยากาศหน่อย เลยเอารถ KHS F20-W ออกขี่ ระยะนี้ตอบปัญหาในเวปจักรยานเกี่ยวกับการขี่ขึ้นอินทนนท์ที่จะเกิดขึ้นอีกครั้งในวันอาทิตย์ที่ 12 กพ นี้แล้ว นึกถึงทีไร มันช่างภาคภูมิใจ สมกับที่เราอดทนขี่จนผ่านมันมาได้
   การขี่ขึ้นเขาที่ยาว สูง และชันขนาดนี้ ใช้แรงอย่างเดียวไม่พอครับ นอกจากการเซ็ทติ้งรถที่ลงตัวแล้ว มีอีกอย่างที่สำคัญ และไม่ค่อยมีใครพูดถึง นั่นคือเรื่องของทรรศนคติ และวิธีคิด
   สิ่งที่อยู่ในหัวของผมอย่างเดียวขณะตอนขี่ขึ้นอินทนนท์ก็คือ ต้องขี่ให้จบ ยังไงก็ต้องถึงยอดเขา กูมาเพื่อขี่ ไม่ได้มาเพื่อเข็น หิวก็กิน เหนื่อยก็พัก จะไม่มีวันนั่งรถเซอร์วิสอย่างเด็ดขาด ถ้าขาหมุนอีกรอบแล้วมันจะตายก็ให้มันรู้กันไป
   ดังกล่าวนี้คือสิ่งที่อยู่ในใจของผม
   มันต้องขี่ด้วยความมุ่งมั่น ต้องตั้งใจจริง ถ้ามาแบบเหลาะแหละ พอเจอเนินชันแบบกดบันไดลงไม่ไหวก็ท้อเสียแล้ว แบบนี้จะไปต่อสู้ชีวิตภายหน้าได้อย่างไร เจอแค่นี้ก็บอกไม่ไหวแล้วหรือ มันทนไม่ไหวหรือไม่อยากทน
   ตั้งแต่ผมขี่จักรยานทางไกล และขี่ขึ้นอินทนนท์มา มันทำให้วิธีคิด วิถีการดำเนินชีวิตของผมเปลี่ยนไปมาก ที่เห็นชัดๆ คือใจเย็นขึ้นแบบโคตรๆ เลิกหงุดหงิดบนท้องถนนมานานมากแล้ว ทุกวันมีความสุขกับการทำความดี อะไรเล็กๆ น้อยๆ ที่พอจะช่วยเหลือคนอื่นที่พบเห็นได้เราก็ทำซะ โดยที่ไม่ต้องรอให้เขามาร้องขอหรอก สิ่งที่คนขับรถยนต์ทำได้ง่ายๆ ก็คือหยุดให้คนข้ามถนน หยุดรถให้คันอื่นเขาไปก่อน ทำเช่นนี้แล้วจิตใจเราก็จะสบายขึ้น เป็นการให้อีกอย่างหนึ่งที่ผู้ให้เป็นสุขกว่าผู้รับ
Title: Re: กพ 55
Post by: O'Pern on February 09, 2012, 02:32:45 pm
8 กพ 55
   ขี่จักรยานตอนเช้า อากาศสดใสดี ขี่ไม่เร็วหรอกครับ แป๊บเดียวก็กลับเข้าบ้าน ปฏิบัติวงจรชีวิตเหมือนเดิม เหมือนหุ่นยนต์จนถึงเย็น
   เย็นนี้กลับมาบ้านเรา อากาศดี แดดร่มแล้ว เลยหยิบเอาซีเมนต์ผงสำเร็จรูปที่เหลือมาทาขอบตึกดาดฟ้าห้องตัวเองที่มีปัญหาน้ำรั่วอีกรอบ จากเดิมที่เคยทาไว้แล้วชั้นหนึ่ง วันนี้ซ้ำอีกทีเป็นชั้นที่สอง
   ถอดเสื้อแล้วก็ทาๆ ๆ ๆ เนื้อตัวเลอะเทอะเหมือนช่างทาสีเลยครับ ง่วนอยู่บนดาดฟ้าราว 1 ชม กลับลงมาก็รีบล้างถัง ล้างแปรง ตากแห้งแล้วเก็บเข้าที่ เผื่อเอาไว้ใช้ทาจุดอื่นที่มีปัญหาอีก
   ค่ำสอนการบ้านลูก เสร็จแล้วก็รีบเข้านอนสัก 3 ทุ่ม ผมอธิบายการทำงานของสมอง การสร้างเซลล์สมอง การเจริญเติบโตของร่างกาย และเรื่อง Growth Hormone ให้เขาเข้าใจว่าทำไมเราจึงควรเข้านอนแต่หัวค่ำ
   สอนเด็กนั้น ต้องให้เหตุผล และที่มาที่ไปแก่เขาด้วย เพื่อความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ไม่ใช่แค่สั่งให้เขาทำครับ
Title: Re: กพ 55
Post by: O'Pern on February 10, 2012, 12:57:03 pm
9 กพ 55
   เช้าขี่จักรยาน กินข้าว แล้วก็ไปส่งลูก เลยไปทำงานที่ร้านขายของต่อ ไปถึงที่ทำงานก็เอาจักรยานออกขี่จดออเดอร์ลูกค้า วันไหนสินค้าขึ้นราคาก็โดนบ่นเยอะหน่อย ฟังไปแบบขำขำ ไม่ต้องไปเถียงเขาแม้แต่คำเดียว แต่ถ้าราคาสินค้าลดลงไม่เห็นจะได้รับคำชมหรือขอบคุณอะไรสักนิด
   อยู่เฝ้าหน้าร้านขายของ ยกของบ้าง เข็นของส่งบ้าง ตอนสายเพื่อนเก่าแก่ชื่อปุ๋ยสมัยเรียนมหาวิทยาลัยโทรมาชวนไปมีทติ้งเพื่อนเก่า หูผึ่ง น่าสนใจมาก ผมไม่ได้เจอเพื่อนๆ กลุ่มนี้ไม่ต่ำกว่า 20 ปีแล้ว
   ปุ๋ยอัปเดทเล่าให้ฟังว่าเพื่อนแต่ละคนทำงานอะไรบ้าง จากเดิมจิตใจเบิกบานสดชื่นเพราะอยากเจอเพื่อน กลายเป็นว่าฟังแล้วก็ค่อยๆ แห้งเหี่ยวไป เพราะเพื่อนแต่ละคนล้วนทำงานอย่างดิบดีกันหมด ทำงานระดับผู้บริหาร เจ้าของกิจการใหญ่โต หรือถ้ารับราชการก็ต้องใหญ่ชนิดบารมีสูงมาก
   เฮ้ย มันคนละเรื่องกับกูเลยว่ะ ทุกวันนี้กูยังต้องมาทำงานนั่งเฝ้าหน้าร้านขายของอยู่เลย คนงานขาดก็ต้องขับรถส่งของ คนงานสามารถหยุดงานได้เป็นเดือน จู่ๆ ก็หายไปเลย นึกจะมาก็มาได้ แม่งสุดยอดจริงๆ แต่ผมกลับทำไม่ได้ ไม่ต้องอะไรมาก เอาแค่จะไปร่วมงานมอเตอร์โชว์ ผมขอลางานช่วงเช้าไป ยังไม่ได้เลย
   นับประสาอะไรกับงานเปิดตัวและทดสอบรถยนต์ต่างๆ ที่ประดังกันเข้ามาเป็นสาย ที่ต้องไปแบบค้างคืน บ้างก็หลายคืน
   นึกไปถึงงานมีทติ้งเพื่อนเก่า ผมคงไม่กล้าไปแล้วล่ะ เรามันคนละระดับกันไปแล้ว สมัยเรียนเราเป็นเพื่อนกันก็จริง สนิทกันก็ใช่ แต่ผมก็เข้าใจว่าฟ้าสูงแผ่นดินต่ำนั้นเป็นเช่นไร
   “ปุ๋ย เราอาจจะไม่ว่างไปนะ เราอาจต้องเฝ้าร้านตอนเย็น”
   “เฮ้ย ไม่เป็นไร เลิกงานค่อยไปก็ได้”
   ปุ๋ยคงไม่รู้ว่าร้านของผมมันเลิกไม่เป็นเวลา อย่างเก่งสุดๆ ก็สัก 2 ทุ่ม กลางๆ ก็ 3-4 ทุ่ม สุดๆ ก็เที่ยงคืน ตีสอง ยกของกันข้ามวันข้ามคืน ช่วงเวลาแบบนี้ วัว ควาย มันเข้านอนกันหมดแล้ว
   “เอาไว้ใกล้ๆ ค่อยว่ากันนะปุ๋ย” ผมตัดบทสนทนา แล้วเบี่ยงประเด็นไปคุยเรื่องอื่นแทน
   เศร้าว่ะพี่น้อง เคยเห็นสติกเกอร์ว่า “เสือกเกิดมาจน” ที่อยู่ท้ายรถสิบล้อไหมครับ วันนี้เพิ่งเข้าใจความหมายที่แท้จริงของมัน

   วันนี้ได้รับมอบหมายให้อยู่เฝ้าร้านจนเลิก ลูกบอกขอติดรถตามไปด้วย เพราะที่ร้านมีลูกคนงานที่เขาชอบเล่นด้วยกัน พอถึงร้านมิวก็วิ่งไปหาเพื่อน ส่วนผมก็นั่งเฝ้าร้านอยู่อย่างนั้นแหละ วันนี้ยังดีที่ไม่ดึกมาก ถึงบ้านราว 3 ทุ่ม
Title: Re: กพ 55
Post by: O'Pern on February 11, 2012, 02:58:36 pm
10 กพ 55
   ฮอนด้าประกาศรายชื่อรถนำเข้ามาแล้วนะครับ เป็นไปตามความคาดหมายของผมหลายรุ่น และเหนือความคาดหมายคือรุ่น Step Wagon มอเตอร์โชว์ปีนี้รับรองว่ากระหึ่มสุดๆ เลยล่ะ
   กลาวันได้รับจดหมายจ่าหน้าถึงผมเอง เนื้อหาภายในเป็นการโฆษณาชวนเชื่อแบบโง่ๆ ว่ามันสามารถสั่งล็อคเลขท้ายล็อตเตอรี่ได้ ก็คงมีคนเชื่อบ้างล่ะนะ กลวิธีเหล่านี้หากินง่ายครับ คือเขาจะบอกเลขท้ายให้แต่ละคนที่หลงเชื่อโอนเงินแบบไม่ซ้ำกัน เช่นคนที่ 1 จะเป็นเลข 00 คนที่ 2 ก็จะเป็นเลข 01 เรียงต่อกันเช่นนี้ไปเรื่อยๆ พอนึกภาพออกไหม ว่าใครโชคดีก็เจอเลขจริงที่ล็อตเตอรี่ออก ผลก็คือ “โห แม่นว่ะ ตรงๆ เลย ไม่ต้องกลับ” ส่วนคนโดนแดกก็ก้มหน้าเงียบไปสิ ไม่กล้าบอกใคร กลัวจะโดนด่าซำว่า “ไอ้หน้าโง่”
   เสียเงินน่ะไม่ว่า แต่เสียหน้า เสียฟอร์ม ไอ้คนพวกนี้ยอมไม่ได้ ยิ่งว่าโง่ ยิ่งไม่ยอม เราจึงเห็นคนซื้อของติงต๊องปัญญาอ่อนมา คนอื่นสอบถามยังมีหน้ามาบอกว่าเป็นของดีอยู่เลย
   มีอยู่ในทุกวงการนะ วงการรถยนต์ยิ่งมีเยอะเลย เริ่มตั้งแต่วงแหวนทอนาโดรีดอากาศในท่อไอดี เขาว่าใส่แล้วไอดีจะหมุนวนเป็นพายุทอนาโด โห พ่อมึงสิ แรงดันในท่อไอดีปกติมันแรงเสียยิ่งกว่าทอนาโดของมึงเสียอีก
   เย็นลูกบอกว่าขอไปห้างเซ็นทรัล เขาไม่ได้ไปเดินเล่นชมแสงสีเหมือนพวกวัยรุ่นหรอก การไปห้างของเขามีจุดประสงค์เดียวก็คือไปร้านหนังสือครับ ผมเหมือนรู้งาน เลยเอารถไปจอดที่ห้างตั้งแต่เย็น แล้วค่อยเดินไปรับเขาที่โรงเรียน แต่พอไปถึง ปรากฎว่ามิวเปลี่ยนใจเสียแล้ว บอกจะอยู่เฝ้ายามตรวจโรงเรียนกับเพื่อน และเจ้าหน้าที่ รปภ ให้พ่อมารับ 1 ทุ่ม
   โอ้โห ตอนนี้เพิ่งจะ 4 โมงเอง ทำไมไม่บอกตั้งแต่แรกวะนี่ ทำไงดีล่ะเรา อีกตั้ง 3 ชม แน่ะ วันพรุ่งนี้ลูกมีกิจกรรมทำอาหารขายพอดี เขารับผิดชอบนำแป้งชุบทอด และซ๊อสมะเขือเทศ ผมเลยใช้เวลาช่วงนี้เดินไปหาซื้อของในห้างเซ็นทรัล กลับมาอีกทีตามเวลานัด คิดว่าจะได้กลับบ้านแล้ว แต่เปล่านะ เขาบอกขอกินข้าวกับเพื่อนก่อน แม่เพื่อนมารับหัวค่ำ ซื้อข้าวมันไก่มาฝากเด็กคนละกล่อง
   นั่งกินท่ามกลางฝูงยุงครับ แต่เด็กเขาก็สนุกสนานกัน ไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับการโดนยุงกัน แง่มุมเล็กๆ แบบนี้แหละที่ผมต้องเรียนรู้จากลูกครับ เราผู้ใหญ่ก็จะรู้สึกรำคาญกับฝูงยุง แต่ใจเด็กเขาสนุกสนานกับการนั่งเล่นกัน เรื่องยุงนั้น ไม่อยู่ในใจเขาแม้แต่น้อย สุดยอดจริงๆ มันเหมือนกับที่ผมคอยสอนเขาอยู่เสมอว่า
               
               “สิ่งใดที่เราคิดว่ามันเป็นปัญหา มันก็จะเป็นปัญหา แต่ถ้าเรามองข้ามมันไป มันก็จะไม่ใช่ปัญหาของเราแม้แต่น้อย”
Title: Re: กพ 55
Post by: O'Pern on February 12, 2012, 08:39:36 pm
11 กพ 55
   เสาร์นี้ลูกเรียนชดเชยน้ำท่วมเป็นวันสุดท้ายแล้ว วันนี้เลยมีกิจกรรมออกร้านทำอาหารขายกันเอง งานเล็กๆ ที่พวกเด็กๆ ทำกันเอง โดยมีครูเป็นคนคอยดูแลความเรียบร้อย กลุ่มมิวเขาขายข้าวเหนียวไก่ทอดครับ ส่วนกลุ่มอื่นก็ทำอาหารที่แตกต่างกันออกไป
   ผมยังคงไปที่ร้าน ช่วงเช้าขี่จักรยานจดออเดอร์ลูกค้า ผ่านตลาดเจอแม่ค้าขายขนมไทยดูน่ากิน ก็จะซื้อมานั่งกินริมแม่น้ำเจ้าพระยา เช่นขนมครก กินลมชมบรรยากาศไปเรื่อยๆ ความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่มีแค่สัก 2-3 นาที มันก็ยังดีกว่าไม่มีเลย
ขณะกำลังค้นหาข้อมูลเรื่องรถยนต์ของพ่อ โอ ไม่น่าเชื่อว่า O’Pern โดนลูบคมเข้าให้อย่างจัง วันก่อนที่ผมไปดูรถ Volvo XC60 ก็คุยกันไปเรื่อยกับเซลล์ สอบถามว่ารถนำเข้ามาจากไหน เขาบอกประเทศเบลเยี่ยม
ซึ่งมันก็จริง ไม่ผิดหรอกครับ มันเป็น XC60 D5 ตัวนำเข้าเมื่อสองปีกว่าโน่น แต่ไอ้ตัวที่ผมไปดูน่ะมันรุ่น D3 เครื่องยนต์เล็กลงมา และตัดออปชั่นไปหลายอย่าง จนราคาถูกลงมาเยอะ แต่เซลล์มันยังบอกว่าเป็นรถนำเข้าจากเบลเยี่ยมอยู่
   แหม เล่นหลอกกันยังกะหลอกเด็กเลยนะมึง ศูนย์วอลโว่พระราม 2 ครับ เซลล์ชื่อประสงค์ ใครใช้บริการก็รอบคอบกันหน่อย เจอหน้าวันแรกก็โดนหลอกเสียแล้ว นับประสาอะไรกับการใช้บริการภายหลังล่ะครับ
   เรื่องตัวรถ Volvo นี่จะซื้อก็ต้องคิดแล้วคิดอีก พอมาเจอเซลล์แบบนี้ ก็คงได้ข้อสรุปแล้วล่ะ
   เย็นไปรับลูกตามนัด 4 โมงเย็น แล้วมิวก็ทำให้ผมประหลาดใจอีกแล้ว
   “พ่อ มิวจะไปตีแบดฯกับเพื่อนนะ ให้พ่อมารับที่คอร์ดแบดฯ ตอน 2 ทุ่ม”
   เฮ้ยย เมื่อเช้าก็ถามแล้วนี่นาว่าจะตีแบดฯ ไหม ลูกบอกไม่ตี ให้พ่อมารับเร็ว พอตกเย็นเปลี่ยนใจเสียแล้ว คิดเร็วทำเร็ว แต่เราคนมารับนี่สิ ต้องนั่งรอถึง 4 ชม เชียวหรือนี่
   ต่อรองลูกเลื่อนมาเป็นเวลา 1 ทุ่ม แล้วก็แยกย้ายกันไป ลูกวิ่งไปเล่นกับเพื่อนต่อ แต่ผมนี่สิ เอาไงดีวะ ไปไหนดี มีเวลาเกือบ 3 ชม เลยนั่งเล่นที่โรงเรียนลูกสักพักใหญ่ ลูกเราไม่อยู่ ก็เล่นกับเด็กๆ คนอื่นนี่แหละครับ
   ผมใช้เวลาในการรอลูกที่ร้านหนังสือเก่าในห้างเซ็นทรัล ร้านแบบนี้ผมอยู่ได้นานเป็นชั่วโมง จนใกล้เวลานัดหมายถึงได้ตามไปที่คอร์ดแบดฯ ที่อยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนเท่าไรนัก
   แล้ววันที่เรียบง่ายก็ผ่านไปอีกวัน
Title: Re: กพ 55
Post by: O'Pern on February 12, 2012, 08:42:49 pm
12 กพ 55
   ตามแผนเดิมที่คิดไว้เองในใจ วันนี้ผมจะต้องไปร่วมงานขี่ขึ้นอินทนนท์ร่วมกับกลุ่มลุ่มน้ำวัง เพื่อนๆ ที่ลำปาง แถมจะอยู่ขี่จักรยานเล่นที่เชียงใหม่ต่ออีกด้วย
   แต่ลางานไม่ได้ เจ้าของร้านเปรยๆ เอาไว้ว่าอย่าขาดงาน (แต่แปลกมากที่คนงานคนอื่นเขาหายกันไปได้เป็นเดือนแบบหน้าตาเฉย – โคตรจะอิจฉาแม่งเลย ที่หยุดได้อย่างอิสระสุดๆ)
   ก็เลยอยู่บ้านแบบเดิมนี่แหละครับ โคตรเบื่อเลยว่ะ เบื่อชีวิต เบื่อแม่งทุกอย่าง
Title: Re: กพ 55
Post by: O'Pern on February 13, 2012, 08:59:17 pm
13 กพ 55
   จันทร์อีกแล้ว ชีวิตมนุษย์มันต้องเป็นแบบนี้ไปตลอดเลยหรือนี่ คงเป็นเพราะเรามีภาระต้องรับผิดชอบ ก็เลยมีหน้าที่บังคับต้องทำ เช้าไปส่งลูก สายไปทำงาน วันนี้ต้องเข้าโกดังไปยกของอีกแล้ว เย้ๆ (หลังกู…)
ชีวิตผมแม่งเข้าใกล้อาการประสาทแดกเข้าไปทุกที ยังดีที่รู้สึกผิดชอบชั่วดีได้อยู่ เลยไม่ได้จับใครเป็นตัวประกัน หรือไปปีนเสาไฟฟ้าประชดชีวิตเปื้อนฝุ่น
   เห็นว่าจิตใจตัวเองผิดปกติ จึงเริ่มทำ SWAT Test มันคือการวิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็ง ข้อเด่นข้อด้อยในองค์กร พวกที่เรียนบริหารธุรกิจมาจะรู้จักดี ผมประยุกต์เอามาทำเป็นบททดสอบชีวิตตัวเองนี่แหละ
   วิเคราะห์ออกมาแล้ว ผลก็คือทุกอย่างปกติดี โอเคหมด จุดแข็งยังคงมีเหมือนเดิม แต่ในใจอีกด้านลึกๆ มันโหยหาสิ่งที่ตัวเองขาด มันต้องการการยอมรับในสังคม อยากเป็นคนมีคุณค่า อยากแสดงความสามารถ ฯลฯ
   แล้วแก้ยังไงดีล่ะวะนี่ คิดอะไรไม่ออก บอกไม่ถูก มองไปเห็นจักรยานเพื่อนรักจอดแน่นิ่ง เฮ้ย นี่เราไม่ได้เดินทางไหนไหน หรือขี่จักรยานเดินทางไกลมาหลายเดือนแล้วนะนี่
   จัดเลยดีไหม
Title: Re: กพ 55
Post by: O'Pern on February 14, 2012, 08:27:08 pm
14 กพ 55
   วันวาเลนไทน์ วันนี้ไม่มีผลอะไรต่อผมและครอบครัวแม้แต่น้อย เป็นเทศกาลที่หลอกขายดอกไม้กันได้อย่างดีทีเดียว จากเดิมกุหลาบมัดละ 20 บาท กลายมาเป็นดอกละ 20 ได้เพียงชั่วข้ามคืน และอัพราคาเป็นดอกละ 200 บาทได้ไม่ยากในช่วงหัวค่ำ หากไปขายแถวแหล่งวัยรุ่นกลางคืนก็จะแพงกว่านั้นอีกเยอะ
   เจอผู้ปกครองเพื่อนลูก เลยนั่งคุยกัน เขาบอกมิวตัวสูงขึ้นมากเลย ผมเลี้ยงเขาตลอด ไม่ได้รู้สึกเห็นว่าโตไปกว่าเดิมสักเท่าไหร่ เขาถามว่าเลี้ยงยังไงให้ตัวสูง อ้าว.. ตอบไม่ถูกเลย ก็เลี้ยงปกตินี่แหละ แต่มาตรฐานของคำว่าปกติของผม มันอาจสูงกว่าของคนอื่น
   เริ่มตั้งแต่จิตใจ ต้องให้เขามีความสุข ทำอะไรแล้วไม่มีความสุขก็อย่าไปทำแม่งเลยครับ อย่างเรียนพิเศษเสริมนี่ก็ยกเลิกไปแล้ว เรียนดนตรีก็ไม่เอาแล้ว วิ่งเล่นมันอย่างอิสระนี่แหละ อยากวาดรูปก็ลุยเลย อยากอ่านหนังสือก็ได้เลย เต็มที่
   ทางด้านร่างกายก็เน้นอาหารอย่างดี ผัก ปลา ผลไม้ นานๆ ก็มีของชอบของเขาบ้าง เช่นพิซ่า ไก่ทอด ไอติม ฯลฯ ผมไม่ได้เข้มงวดอะไรนักหรอก แต่ทุกครั้งที่กินของไม่ดี ก็จะบอกให้เขารู้ถึงโทษของมัน หวังว่าพอตอนโตขึ้น เขาจะรู้จักเลือกของกินที่ถูกต้องกับชีวิตบ้าง
   เพราะถึงตอนมัธยม เขาก็จะใช้ชีวิตอยู่กับเพื่อนมากกว่าผมแล้ว และตอนนั้น เขาก็จะต้องเลือกที่จะเป็นผู้นำ หรือเป็นผู้ตาม วัยรุ่นมักจะไปไหนมาไหนเป็นกลุ่ม จะดีชั่วก็อยู่ที่การคบเพื่อนจุดนี้ด้วย ได้เพื่อนดี ได้ผู้นำดี ก็ไม่แปลกที่จะพากันไปในด้านดี ในทางกลับกัน หากได้เพื่อนเกเรแล้วพาลูกเราเกเรด้วย อันนี้ไม่ต้องโทษเพื่อนนะครับ ไม่ต้องโทษลูกด้วย ถ้าจะให้ถูก ก็ต้องโทษตัวเราเองครับ ที่เลี้ยงดูเขาได้ไม่ดีพอ
   ไม่ต้องมาอ้างว่าต้องทำงานหาเงิน การเลี้ยงลูกไม่ต้องการเงินมากมาย ใช้เวลาต่างหาก ไอ้คนที่มีเวลามากมาย แต่ดันไปจ้างพี่เลี้ยงมาช่วยดูแลนี่เห็นแล้วน่าสงสาร ตัวเองหวังจะสะดวกสบายเล็กๆ น้อยๆ หารู้ไม่ว่า ลูกน่ะ เขาต้องการอยู่ใกล้ชิดกับคุณมากกว่า แต่เขาพูดไม่ได้ ก็ต้องทนกันไป ได้พี่เลี้ยงดีปานใด มันก็ไม่เท่าเสี้ยวเท่าพ่อแม่เลี้ยงเองหรอกครับ
   เด็กเปรียบเสมือนผ้าขาวนั้นถูกต้องเลยทีเดียว ผมขอเสริมว่าเขาเหมือนฟองน้ำอีกด้วย อยู่ใกล้อะไรก็จะดูดซึมซับสิ่งนั้นเข้าตัว
   ครอบครัวไหนไม่ค่อยยกมือไหว้กัน พ่อแม่ ไม่เคยไหว้ ปู่ ย่า ตา ยาย ให้ลูกเห็น แบบนี้ลูกก็จะไม่ค่อยไหว้ใคร วิธีสอนให้ลูกไหว้ทำได้ง่ายๆ ก็คือพ่อแม่และคนใกล้ชิด ต้องยกมือไหว้กันบ่อยๆ เขาจะเห็นภาพ และทำตามเอง ไม่ต้องสอนด้วยซ้ำไป
   ถ้าใครอยากให้ลูกด่าเก่งๆ ล่ะก็ ให้ดูละครช่อง 3 ที่ชอบตบตีกันเข้าไว้ หรือไม่ก็พ่อแม่ และคนใกล้ชิดพูดจากหยาบๆ ให้ลูกได้ยินบ่อยๆ รับรอง แป๊บเดียวเห็นผลครับ คำด่านี้มันช่างจดจำได้รวดเร็ว เพราะพอพูดแล้ว ผู้ใหญ่มักจะหัวเราะชอบใจ นั่นแหละครับ มันยิ่งทำให้เด็กชอบใจ ชอบด่าเข้าไปใหญ่ แบบนี้เรียกว่า พากันลงเหวคงจะไม่ผิด
Title: Re: กพ 55
Post by: O'Pern on February 16, 2012, 01:57:03 pm
15 กพ 55
   ใบหน้าผมเป็นรอยจุดจ้ำแดงๆ คล้ายรอยสิว แรกๆ เกิดแค่ 1-2 จุด ไม่ได้ใส่ใจอะไร มาวันนี้ขึ้นเป็นแผงเต็มสองแก้ม เหมือนเด็กมัธยมตอนเป็นสิวเลย ไปธนาคาร พนักงานที่คุ้นเคยกันสอบถาม ก็บอกเข้าว่าแตกเนื้อหนุ่ม แม่บอกว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ เดี๋ยวมันก็จะหายไปเอง ปล่อยมุขเข้าไว้
   มันเกิดจากอะไรก็ไม่รู้เหมือนกันนะ เพราะกินก็แบบเดิมๆ ล้างหน้า ทาหน้าก็ใช้ของเดิมๆ หรือว่ามันจะเกิดจากจิตใจที่มีความเครียดสูง บอกตามตรงนะว่าตั้งแต่เกิดมาผมเพิ่งจะเคยเครียดก็ตอนนี้แหละครับ ทำงานหนักมาขนาดไหนก็ไม่เคยรู้จักความเครียดมาก่อนเลย
   ระยะนี้ก็เลยใช้แค่น้ำเปล่าล้างหน้าอย่างเดียว ก็สะดวกรวดเร็วดีครับ ประหยัดเงินค่าสบู่ล้างหน้าได้อีกด้วย
   วันนี้สั่งซื้อรถ Neobike 16 อีกคันหนึ่งครับ แต่เจ้านี่มันเฟรมไม่เหมือนตัวก่อนที่ผมมี ชอบตรงท่อคอเป็นอลูมิเนียมตรงยาว ถ้าเอามาใส่กับ Neobike 14 ของผมที่คอมันหักไปสองรอบแล้วน่าจะเวิร์คนะ รถอยู่ที่แม่สอด จ ตาก ผมโอนเงินเสร็จก็รีบโทรแจ้งเจ้าของรถว่าจัดการให้เรียบร้อยแล้ว เขาว่าจะรีบส่งรถให้เช่นกัน หลังจากนี้ก็รอกันไป แต่คนนี้คุ้นชื่อกันในเวปจักรยาน ไม่น่าจะต้องเป็นกังวลมากนัก

   เย็นมีประชุมกรรมการที่คอนโด ไปเข้าร่วมแบบสมองกลวงมากๆ คือผมไม่รู้เรื่องอะไรในวงการอสังหาริมทรัพย์เลย เราต้องมีการคัดเลือกนิติบุคคลมาทำการบริหารใหม่ แถมยังมีปัญหาเก่าสารพัดอย่างให้แก้ไข แต่มันก็ไม่เห็นจะยากอะไร มีปัญหาตรงไหนก็แก้ไปจุดนั้น ขอแค่ทำเพื่อส่วนรวมอย่างแท้จริง ไม่ได้เอาบริษัทพรรคพวกของตัวเองเข้ามา แล้วก็ยักยอกทุจริตต่างๆ นานา
   อยู่ร่วมงานสักพักก็ขอตัวกลับก่อน ลูกผมอยู่บ้านคนเดียว แต่ถ้าคิดอีกด้านนะ การอยู่คนเดียวก็จะเป็นการฝึกเขาอีกแบบหนึ่ง
Title: Re: กพ 55
Post by: O'Pern on February 16, 2012, 07:43:39 pm
16 กพ 55
   เช้าออกขี่จักรยานไป 30 นาที กลับมาบ้านได้เหงื่อซึมนิดๆ ขี่ตอนเช้าก็เย็นสบายดี ข้อเสียก็คือมันยังมืดอยู่ มองถนนไม่ค่อยชัดเจน ช่วงไหนไม่มั่นใจก็ต้องชะลอรถไว้ก่อน
   วิเคราะห์สาเหตุของจุดตุ่มแดงบนใบหน้าอยู่นาน ชักจะได้ข้อสรุป เพราะไปเจอขวดโทเนอร์เช็ดหน้าสมุนไพรสกัดจากมะเฟือง ไปเห็นก้นขวดมีตะกอนขุ่นจับตัวกันหนาเป็นก้อน คือปกติมันก็จะมีตะกอนอยู่บ้างเล็กน้อย แต่วันนี้มันผิดสังเกต หรือว่ามันจะหมดอายุ แล้วผมไม่รู้ เลยเอามาเช็ดหน้า ก็เลยได้เรื่องซะ
   ก็น่าจะมาจากสาเหตุนี้แหละนะ เพราะเรื่องอื่นก็ไม่เห็นมีอะไร อาหารการกินก็เดิมๆ อาหารทะเลผมก็ไม่เคยแพ้ ฝุ่นควันยิ่งไม่เคยเป็นปัญหา ขี่จักรยานมานานปี สูดจนชินเสียแล้ว
   ก็ต้องรอดูกันอีกสัก 2 วันครับ ถ้าเม็ดตุ่มแดง ผื่น จางลง ก็คือมาถูกทางแล้ว แต่ถ้าไม่ ก็คืองานเข้า
   ช่วงนี้สนุกกับการมองหาจักรยานพับมาใช้เพิ่ม ตัวเองไม่ได้ต้องการอะไรหรอก แต่มีเพื่อนนักเรียนสมัยก่อนที่ได้มาเจอกันน่ะสิ คุยกันแล้วเขาก็สนใจจักรยาน พอเลือกไม่เป็น ก็จะมาเอารถที่ผมมีนี่แหละ วันนี้ก็มีเพื่อนมาเอา Neobike 14 ไปอีก 1 คันแล้ว มารับรถ ผมก็สอนเขาปะยางด้วย ไม่ได้สอนปากเปล่า แต่ถอดรื้อยางออกมาให้เห็นทุกขั้นตอน หวังว่าเขาคงจะทำเองเป็นนะ เพราะการปะยางนี่มันคืองานพื้นฐานที่คนขี่จักรยานทุกคนต้องทำเป็น ลองนึกภาพดู เราขนจักรยานไปขี่ต่างจังหวัด พอขี่ได้แป๊บเดียว ยางแตก ถ้าปะไม่เป็นนี่แย่เลยนั่น หมดสนุกกันตลอดทริป
   ลูกขอลงทะเบียนเปิดใช้งาน Face Book มานานแล้ว แต่ผมไม่อยากให้เขาใช้ พอนานเข้า เขาก็เลยไปให้เพื่อนที่โรงเรียนจัดการให้ สรุปว่าทุกวันนี้ใช้ Face Book เสียแล้ว ตามติดมาด้วยการเล่นเกมใน Face Book ผมเห็นท่าทางไม่ดีเสียแล้ว ขอเล่นเกมบ่อยมาก เลยให้เขาเล่นเกมขับเครื่องบินแบบ Flight Simulator แทน
   มิวบอก โอเค พอได้
Title: Re: กพ 55
Post by: O'Pern on February 19, 2012, 11:26:10 am
17 กพ 55
   สองวันมานี้ขี่จักรยานช่วงเช้าเยอะกว่าปกติ เพราะอยากให้เหงื่อออกมากๆ หน่อย โดยเฉพาะบนใบหน้า เผื่อว่าอาการแพ้ที่เป็นตุ่มแดงๆ จะดีขึ้น ไม่รู้จะช่วยได้ไหม แต่ถ้าทำอะไรไม่ได้ คิดอะไรไม่ออก ผมก็แค่ทำชีวิตให้มันสมดุล เดาเอาว่าเราคงจะขาดการออกกำลังกาย หรือถ้าคิดว่าตัวเองออกกำลังกายแล้ว เอาเข้าจริง มันอาจยังไม่พอ
   เพื่อนนักเรียนเก่าสมัยมัธยมที่ไม่ได้เจอกันเป็นสิบปี มาเจออีกทีในเวปจักรยาน เขาฝากให้มองหารถพับดีๆ ให้ ถามกว้างแบบนี้ ไม่ต้องคิดอะไรมาก สำหรับผมแล้ว รถ Best Buy ก็คือ Neobike 14 แต่เจ้าเพื่อนคนนี้ตัวสูงถึง 170 ผมเลยแนะนำ Neobike 16 แทน ให้เขามาลองรถที่บ้านผม เขากลับชอบขี่รถ 14 มากกว่า
   วันแรกที่เจอกันนี่มันจะเอารถผมกลับไปให้ได้เลยนะ ต้องบอกอย่าเพิ่งๆ กูยังใช้อยู่ ต้องใช้เจ้ารถเล็กคันนี้ขี่จดออเดอร์ลูกค้าตอนเช้า รับปากเขาว่าจะหาให้อีกคัน จนมาวันนี้แหละที่เพิ่งหาได้ โทรบอกปุ๊บตอนเย็นรีบมาปั๊บเลย Happy Ending ไปอีกราย แต่อดเป็นห่วงไม่ได้นะ เพราะเจ้าเพื่อนคนนี้เขาทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ปะยางยังไม่เป็นเลยน่ะสิ
Title: Re: กพ 55
Post by: O'Pern on February 19, 2012, 11:30:39 am
18 กพ 55
   เสาร์นี้ลูกหยุด ไม่ต้องเรียนชดเชยจากการหยุดช่วงน้ำท่วมแล้ว เช้านี้เขาขอออกไปเล่นที่ร้านด้วย กะว่าจะได้เล่นกับลูกคนงานในวัยเดียวกัน แต่ผิดคาด ไม่มีเด็กอยู่สักคน มิวเลยนั่งดูทีวี อ่านหนังสือ จนถึงกลางวัน และมากลับบ้านพร้อมผมช่วงบ่าย
   วันธรรมดาปกติก็เหงา วันเสาร์อยู่กับลูก คิดว่าจะหาย แต่เปล่า ลูกเริ่มจะไม่ต้องการผมแล้ว ตั้งแต่ลงทะเบียน Facebook นี่ก็หายใจเข้าออกเป็นแต่โลกออนไลน์ อยากแชท อยากโพสฝากข้อความโต้ตอบกับเพื่อน ร่วมเล่นเกมออนไลน์กับเพื่อน
   “ลูกรู้จักสัตว์เลี้ยงลูกด้วยเงินไหม”
   “รู้ครับ”
   “แล้วลูกรู้จักสัตว์เลี้ยงลูกด้วยคอมฯไหม”
   มิวเงยหน้าจากคียร์บอร์ดหันมาสบตา แล้วก็ก้มหน้าก้มตาพิมพ์ต่อไป
   ผมกำลังเป็นไอ้สัตว์ตัวนั้นหรือนี่
Title: Re: กพ 55
Post by: O'Pern on February 20, 2012, 08:14:56 pm
19 กพ 55
   ออกขี่จักรยานตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง วันนี้ขอจัดชุดใหญ่หน่อย อยากให้เหงื่อออกเยอะๆ หวังว่าใบหน้าที่มีอาการแพ้จะดีขึ้นโดยเร็ว เลือกเส้นทางที่ต้องขี่เข้าไปในสวน มืดสนิท เย็นวูบ โดยเฉพาะช่วงเช้ามืดแบบนี้
   ยิ่งขี่ก็ยิ่งมืด เส้นทางไม่คุ้นเคย ไม่ได้เข้ามาขี่นานแถวนี้ ขี่แล้วต้องระวังอย่างมาก ชักจะไม่ค่อยสนุก มองเห็นทางปูนเลาะริมลำคลองก็เปลี่ยนใจกะทันหัน วันนี้เล่นทางริมน้ำดีกว่า
   ขี่ไปในเส้นทางแปลกใหม่นี่มันช่างน่าสนุกจริงๆ ทำตัวเหมือนนักสำรวจ นักผจญภัย เหมือนสิ่งที่อยากทำในวัยเด็ก แต่ตอนนั้นเราได้แค่คิด ได้แค่อยากทำตามเขาบ้าง มาวันนี้ เรามีโอกาสผจญภัยในรูปแบบของเราเองบ้างแล้ว มันไม่ตื่นเต้นโลดโผนเท่าในหนังหรอก หากแต่มันคือของจริงล้วนๆ ขี่เข้าไปในพงรกชัฏ ลุ้นว่าจะเจองูบ้างไหม จะเจอแมลงหรือใบไม้ที่อาจมีผื่นคันบ้างไหม ฯลฯ
   แถวบ้านผมในละแวกสวน จะมีคูคลองมากมาย และมาพร้อมกับทางปูนแคบๆ เลาะคู่ไปกับลำคลอง วกวนดีครับ หากผ่านช่วงชุมชนก็จะมีชาวบ้านขี่มอเตอร์ไซค์สวนมา มีร้านค้าบ้าง แต่โดยรวมส่วนใหญ่จะเงียบกริบจนเหงา ผมชอบที่แบบนี้จริงๆ
   เส้นทางวกวนคดเคี้ยว เลยได้ทีหยิบกระดาษเอามาวาดเป็นแผนที่แบบคร่าวๆ จัดเก็บเอาไว้เป็นแผนที่ส่วนตัว เผื่อคราวหน้ามาขี่เล่นอีก วันนี้หยุดสำรวจเอาตอนสาย ต้องรีบกลับบ้านครับ นัดกับลูกไว้ว่าจะไปกินมื้อเช้ากันที่ตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง ไม่ได้ไปมานานหลายเดือนมาแล้วล่ะ
   แดดเริ่มออก สายแล้ว รีบขี่แบบเร่งฝีเท้ากลับบ้าน พอไปถึง มิวก็บอกว่าเปลี่ยนใจแล้ว ไม่ไปตลาดน้ำแล้ว จะไปกินในห้างแทน
   อ้าว.. เปลี่ยนใจกันง่ายดายจังลูก พ่อไม่ได้แวะตลาดซื้ออะไรกลับมากินเลย หวังเอาไว้ว่าเราจะไปกินกันที่ตลาดน้ำนี่แหละ
   เป็นอีกเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เราต้องเสียสละเพื่อลูกน้อย เช้านี้เลยต้องคุ้ยของเก่าในตู้เย็นออกมากิน ได้น้ำเต้าหู้ 1 ถุง ที่มิวเขาสั่งให้ผมซื้อตั้งแต่เมื่อวาน แล้วตัวเองก็ไม่ยอมกิน มีถั่วอบกรอบ ก็กินมันสองอย่างนี้แหละครับ
   ตอนสายพี่สมัคร เชียงราย โทรมาคุย ถามผมว่ายังจะไปเชียงรายอยู่ไหม จะพักที่ไหน อย่างไร ถ้าตัวเขาไม่อยู่ จะให้พี่ชายมารับที่สนามบิน
   พี่สมัครเป็นใครอย่างไร มาจากไหนก็ไม่รู้  แต่เขาเสนอตัวให้การช่วยเหลืออย่างมีน้ำใจมาก เนื่องจากไม่รู้จักกันมาก่อน ผมเลยไม่กล้าโทรตามติดเรื่องความช่วยเหลือ อันนี้จริงผมเองก็ไม่ต้องการอะไรนัก อยากได้แค่คำแนะนำเจ๋งๆ ที่ต่างจากไกด์บุ๊ค อยากไป อยากเห็นสถานที่ๆ ไม่ค่อยมีใครเขาไปกัน อยากพักที่พักแบบธรรมชาติโคตรๆ ผมกินอยู่เรียบง่าย ถ้าได้จักรยานสักคันก็สุดยอดแล้ว
    พ่อแม่กลับเข้ามาบ้าน เขาออกไปแต่เช้า ที่ไหนได้ ไปตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง ฮ่าๆ วนเวียนอยู่ใกล้ๆ แถวนี้นี่เอง ซื้อของกลับมาเยอะแยะ โดยมากจะเป็นผักผลไม้
   บ่ายหน่อยภรรยาตามกลับเข้ามาอีกคน มีของกินติดมือมาเพียบ แม้จะกินแตงโมไปเยอะแล้ว แต่เห็นของน่ากินหลายอย่างเลยจัดสักหน่อย จัดไป จัดมา ชักอิ่ม พี่เล่นจัดทุกอย่างเลย ก๋วยเตี๋ยวลุยสวน กะหรี่ปั๊บ น้ำพริกหนุ่ม+แคบหมู อิ่มสุดยอด
   ยังไม่พอ มื้อเย็นแม่ไปซื้อหมี่กรอบแถวตลาดพลูมาฝากอีก 1 กล่อง ตามด้วยทอดมัน น้ำพริกหนุ่มที่เหลือจากตอนกลางวัน ซัดจนหมดเกลี้ยง
   น้ำหนักคงจะขึ้นแบบไม่ต้องสงสัย อย่าไปคิดอะไรมาก นึกเสียว่าเป็นการโหลดคาร์โบก็แล้วกัน
Title: Re: กพ 55
Post by: O'Pern on February 22, 2012, 02:24:31 pm
20 กพ 55
   เช้าวันจันทร์อีกแล้ว ออกขี่จักรยานตามเคย แต่เช้านี้ดูเหมือนอากาศจะเย็นๆ กว่าวันก่อน ยิ่งช่วงไหนขี่ผ่านดงต้นไม้เยอะๆ นี่จะรู้สึกเย็นวูบอย่างเห็นได้ชัด หมายความว่าต้นไม้ช่วยให้โลกเราร้อนน้อยลงแบบไม่ต้องสงสัย
   ตอนสายมีพัสดุมาส่งผมถึงร้าน แน่ล่ะ มั้นคือ Neobike 16 คันใหม่ที่เพิ่งสั่งซื้อมาเมื่อสัปดาห์ก่อน แปลกใจที่มาแบบกล่องใหญ่เหมือนจักรยาน Full Size เลย เจ้าของรถคงจะหากล่องอื่นไม่ได้มั้ง ใจอยากจะเปิดดูทันทีเหมือนเด็กเห่อของใหม่ แต่ต้องอดใจเอาไว้ เอ็งต้องทำงานก่อน ไปยกของก่อน
   กลับมาบ้านช่วงบ่าย รถยนต์ผมมันคันเล็ก ใส่กล่องใหญ่ๆ อย่างจักรยานไม่ได้ เลยฝากรถกระบะคนงานให้ช่วยนำกลับมาด้วยตอนเลิกงานคืนนี้
   ตกดึกพอคนงานนำจักรยานกลับมาให้ อาการบ้าเห่อก็ออกนอกหน้า แม้จะดึกดื่น แต่ก็เอาคัทเตอร์ออกมาตัดสายรัดกล่อง และกรีดเปิดเพื่อออกดูหน้าตารถให้ชื่นใจ
   ไม่ได้ขี่ ขอแค่จับ ก็ยังดีวะ พรุ่งนี้เช้าค่อยมาทำความรู้จักกันนะ
Title: Re: กพ 55
Post by: O'Pern on February 22, 2012, 02:32:43 pm
21 กพ 55
   บ้าเห่อรถใหม่ (แต่เก่าโคตรๆ จากญี่ปุ่น) เจ้า Neobike 16 คันใหม่นี้ไม่รู้จะเรียกว่าอย่างไรดี เพราะเฟรมของมันต่างจากรถ Neobike ปกติที่พบเห็นกัน แม้จะเป็นกลไกพับกลางตัวถังเหมือนกัน แต่ใช้ชุดพับคนละแบบ เป็นคันโยกคล้ายรถพับทั่วไป แต่มีตัวล็อคแบบสปริง แปลกดี ไม่เคยเห็น วันนี้ลองจับโยกดูมีหลวมคลอนนิดๆ แต่ขับแล้วไม่มีเสียงก๊อกแก๊ก เลยรอดตัวไป
   แว๊บแรกที่ขี่ก็รู้สึกประหลาดใจ รถมันขี่ดีมากๆ จนผมปล่อยมือขี่ได้อย่างสบายตั้งแต่ครั้งแรกที่ถีบ เว่อร์ไปไหมนี่ ไอ้การที่ผมทดสอบโดยปล่อยมือขี่น่ะ ไม่ได้เอาไว้อวดการทรงตัวอะไรนะ มันแปลว่ารถบาลานซ์มาดีต่างหาก แถมช่วงจังหวะที่เราหยิบกระติกน้ำขึ้นมาดื่ม รถแบบนี้จะทำให้เราไม่ต้องเกร็งแขนข้างที่จับแฮนด์มากนัก
   ขี่ได้แค่แป๊บเดียวครับ ยังไม่ได้ทำอะไรกับมันมากนักเลย แต่ถ้าได้ถอดรื้อ คงจะเจออีกหลายจุดที่น่าสนใจ เช้านี้ต้องรีบออกไปส่งลูก และไปทำงานก่อน
   เช้านี้มิวปรับตัวได้ดีขึ้น ตื่นเช้ากว่าวันก่อนเยอะ ผมเป็นคนอาบน้ำแต่งตัวคนสุดท้าย ก็เลยเสร็จทันเวลา ไปโรงเรียนไม่สาย
   ไปถึงที่ทำงานก็เอารถ Neobike 14 ออกขี่ อืมม ผมว่าเจ้าคันใหม่ล้อ 16 ที่ได้มามันขี่สบายกว่าเจ้าตัวล้อ 14 นะ จากเดิมที่คิดว่าเจ้านี่แหละเจ๋งสุดแล้ว เลยเริ่มชักจะลังเล
   อ้อ ไอ้ตัว 16 ใหม่ที่ได้มาน่ะ มันหายากนะ แม้จะไม่ใช่รถที่สวยโกหรูอะไรนัก แต่ก็ไม่ได้พบเจอได้บ่อยๆ เหมือนตัวเฟรมอมตะที่ใช้แกนปลดเป็นกลไกการล็อคบานพับ ไม่รู้เรียกว่ารุ่นอะไรเหมือนกันครับ เคยเห็นอีกคันคล้ายกับล้อ 16 ใหม่ของผมแบบนี้แหละ แต่เป็นรุ่นล้อ 20 รู้สึกจะชื่อ Neo Handy มั้ง ถ้าจำไม่ผิดนะ เคยเห็นขายในเวปจักรยาน แต่ขายแพงมาก เลยไม่สนใจ
Title: Re: กพ 55
Post by: O'Pern on February 23, 2012, 08:24:06 pm
22 กพ 55
   เช้านี้ขี่รถ Neobike 16 ตัวใหม่ ซึ่งผมไม่รู้ชื่อรุ่นของมัน แต่ไอ้ตัว 16 รุ่นเก่าน่ะ มันชื่อ Neo Compo แต่ไอ้ตัวใหม่นี้ไม่มีสติกเกอร์ชื่อรุ่นติดไว้ เลยเรียกไม่ถูก
   อารมณ์เหมือนเด็กได้ของเล่นใหม่ แต่ยังไม่มีเวลาปรับแต่ง ทำได้แค่หล่อลื่นบานพับ และแกนปลด อารมณ์มันเหมือนรถคันล้อ 14 แต่นั่งสบายกว่า ไม่ใช่เบาะนุ่มกว่านะ อธิบายไม่ค่อยถูกเหมือนกัน ไม่รู้จะใช้คำอย่างไรดี คือมันคล่องตัวเหมือนรถล้อ 14 แต่ขี่สบายเหมือนรถล้อ 16 ข้อเสียมีแน่ครับ ผมว่ารถมันหนักกว่ารุ่น 16 ปกติที่ชื่อ Neo Compo เยอะเลย น่าจะมาจากรูปทรงของเฟรมแน่ๆ
   อยู่บ้านตอนเย็น นึกสนุก ลองเอาเจ้าคันใหม่ล้อ 16 มาใส่ท้ายรถ Nissan 180SX ที่ท้ายรถมีพื่นที่นิดเดียว แถมยังมีถังแก๊สใบใหญ่อีกใบ เท่าที่เคยลองมาก็มีแต่รถ Neo Bike 14 ที่ลงได้ ตัว 16 อย่าง Neo Compo หมดสิทธิ์ แต่ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าคันใหม่ล้อ 16 นี้กลับวางลงได้เฉยเลยเว้ยเฮ้ย งงสิ พิจารณาดูแล้วก็ต้องร้องอ๋อ เพราะจานหน้าของมันเล็กกว่ารถคันอื่นเขาครับ เป็นขาจานแบบเหล็กหล่อ ภาษา BMX จะเรียกว่าจานเลื้อย ตอนเด็กๆ เราก็เรียกตามกันไป โดยที่ไม่ได้คิดว่ามันจะผิดหรือถูก มาตอนนี้นึกแล้วตลกดีว่ะ
   เล่าถึงรถคันนี้บ่อยหน่อยก็เพราะชอบมันครับ ขี่ง่าย ขี่สบาย ทรงตัวดี ข้อเสียคือ GI ต่ำไปหน่อย เหมาะกับขี่ระยะสั้น จอดบ่อยๆ อย่างที่ผมใช้ขี่จดออเดอร์ลูกค้าตอนเช้านี่แหละ เหมาะมาก
   อ้อ วันนี้มีเพื่อนในเวปจักรยานที่ไม่รู้จักกันมาก่อน ชื่อนิรันด์ โทรมาเสนอให้ผมยืมจักรยานเอาไปใช้ที่เชียงรายถึง 2 คัน เอาอีกแล้ว เจอมุขประทับใจอีกแล้ว
   เขาบอกอ่านเจอในเวปว่าผมจะไปเชียงราย เห็นว่ายังไม่มีจักรยานใช้ ก็เลยจะให้ยืม ไม่ต้องเกรงใจ พังไม่เป็นไรอีกด้วย งงสิครับ เจอแบบนี้โคตรจะเกรงใจเลย เขายังคะยั้นคะยอให้เอารถไปให้ได้ บอกว่าไม่ต้องเกรงใจ
   ผมเฉไฉไปเรื่องอื่นบ้าง คุยเรื่องชีวิตบ้าง แล้วเราก็มีหลายสิ่งที่เหมือนกัน คือมีลูกชายคนเดียวอายุ 10 ปีเหมือนกัน เด็ดกว่านั้นคือเป็นแกนหลักในการเลี้ยงลูกเองเหมือนกันอีกด้วย ก็ต้องขอน้อมรับในมิตรภาพ ไว้ว่างๆ จะต้องหาโอกาสไปรู้จักกันสักหน่อย
   เป็นอีกหนึ่งความประทับใจที่หาได้เฉพาะในโลกของจักรยานครับ
Title: Re: กพ 55
Post by: O'Pern on February 23, 2012, 08:31:24 pm
23 กพ 55
   เช้านี้งดขี่จักรยาน 1 วัน ทั้งๆ ที่ตื่นแต่เช้า ไม่ได้ขี้เกียจนะ แต่ต้องเตรีมตัวออกจากบ้านเร็วกว่าปกติ วันนี้มิวเขาไปเข้าค่ายวิทยาศาสตร์ที่ จ ปทุมธานี ก็สนุกเด็กเขาสิครับ ออกกันแต่เช้าเลย เตรียมอาหารเช้าไปกินกันบนรถอีกด้วย น่าสนุกว่ะ ผมจะมีอารมณ์แบบนี้กับเขาบ้างก็ตอนออกทริปจักรยานกลุ่มใหญ่กับสมาคม (TCHA) นี่แหละครับ เล่าแล้วก็คิดถึงนะ ไม่ได้เจอพวกพี่ๆ รุ่นใหญ่มานานหลายเดือน ล่าสุดก็ทริปสิงคโปร์นี่แหละ
   ส่งลูกแล้วก็เลยไปทีทำงาน แล้วก็เข้าวงจรชีวิตแบบเดิมๆ อาศัยคิดบวกเข้าไว้ บวกให้มากๆ บวกแล้วยังเอาไม่อยู่ก็ต้องคูณแทน
   อดทนกันไปครับ นี่แหละรสชาติของชีวิต
   “อ้าว เฮีย ออกมาส่งของเองเลยหรอ”
   “เฮียไม่ต้องยกหรอก ให้ลูกน้องมันยกเองก็ได้”
   ถ้าออกไปส่งของ ก็จะเจอลูกค้าพูดประมาณนี้ ส่วนใหญ่ผมไม่ได้ตอบอะไร ที่ช่วยยกก็เพราะว่าจะได้เสร็จโดยเร็ว สินค้าตั้งเยอะแยะมากมาย ให้คนงานยกอยู่คนเดียว แล้วเมื่อไหร่จะเสร็จ
   ระยะหลังมานี้ดีหน่อยคือไม่ต้องออกไปยกของส่งของแล้ว เพราะหลังเจ็บถาวรไปแล้ว เจ้าของร้านเมตตาให้ทำแค่ขับรถแทน แต่ก็ไม่ได้ขับกันบ่อยๆ หรอกนะ นานๆ ที น่าแปลกใจตรงที่คนงานร้านอื่นขาด แต่ผมยังต้องขับรถไปรับสินค้าจากร้านเขามาเอง แต่พอคนงานร้านผมขาดบ้าง มันไม่เห็นจะมีใครขับรถมารับสินค้าเองบ้างเลย
   ระยะนี้น่าจะหมดลมหนาวอย่างเป็นทางการแล้ว กลายเป็นร้อนจับใจทันที แดดแรงขึ้นทุกวันๆ ตามสภาพแวดล้อมของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ก็ต้องทำใจทนกันไปครับ มนุษย์เป็นผู้ทำให้มันเป็นแบบนี้เอง แล้วจะไปโทษใครกันเล่า
   ปีนี้ค่ายรถ BMW จะนำ 5 Series Hybrid เข้ามา เขาเรียกว่าเป็นระบบ Active Hybrid เข้ามาช่วยเขย่าวงการรถประหยัดน้ำมัน แม้จะไม่มี Eco Car เหมือนค่ายรถญี่ปุ่นเขา แต่ BMW นี่แหละครับ เขาคือตัวจริงที่พาความแรงมาพร้อมกับความประหยัด นี่คือเรื่องจริง ทีทำให้แนวคิดของคอลัมนิสต์บางคน ที่บอกว่า จะเอาแรงก็ต้องยอมจ่ายค่าน้ำมัน นั้นเปลี่ยนไป
   มีแค่ข่าวว่าจะเอารถเข้ามา แต่จะขายเมื่อไหร่ผมก็ไม่รู้นะ คาดว่าในงาน Motor Show น่าจะได้เห็นตัวจริง และน่าจะมีงานเปิดตัวแบบ Soft Opening กับสื่อมวลชน (ผมก็คงจะอดไปอีกนั่นแหละ)
   ในเวปจักรยานมีคนมาโพสขายรถ Neobike 14 ให้ข้อมูลว่าเฟรมทำจากวัสดุโครโมลี่ ผมคิดว่ามันไม่ใช่น่ะ มันน่าจะเป็นเหล็ก Hi-tensile น่าจะเห็นเหล็กระดับสูงกว่าพวก Steel แต่ก็ยังเกรดต่ำกว่าโครโมลี่
   ด้วยความสงสัยเลยไปโพสถามในบอร์ด ความคิดเห็นส่วนใหญ่เทใจไปที่โครโมลี่ พร้อมกับอ้างอิงรถ JZ88 ที่เฟรมเหมือนกับ Neobike 14 ราว 99% ผมอ่านเพื่อรับรู้ความคิดเห็นคนอื่น แต่ในใจลึกๆ ผมยังไม่เชื่อว่ามันจะเป็นโครโมลี่อยู่ดี จนกว่าจะได้อ่านหลักฐานจากผู้ผลิต Neobike
   เย็นนี้ไม่ต้องไปรับมิว ก็ดูสบายดี มีอิสระดี แต่ในใจลึกๆ มันบอกว่าเหงาไปเยอะ ยิ่งช่วงค่ำ ปกติเราจะอยู่ด้วยกัน เขาทำการบ้าน ผมก็ซ้อม Uke หรือบ้างก็อ่านหนังสือไปด้วย แต่วันนี้ไม่มีอะไรทำ เลยหยิบเอาแผ่นมาสค์หน้าของภรรยา เอามาพอกหน้าไว้ เพราะผิวหน้าหลังจากอาการแพ้และทายาแล้วผิวมันแห้งตึงสุดๆ มาสค์ทิ้งไว้ 20 นาทีตามคู่มือบอก ลอกออกแล้วใบหน้านุ่มนิ่มดีจริงๆ
   กินขนมจีน แกงไก่ เป็นอาหารเย็น แม่ผมทำเอง ก็เลยกิน ปกติมื้อเย็นจะเป็นพวกผลไม้ น้ำเต้าหู้ ถั่ว วันนี้เจอของอร่อย จัดไปเยอะ พอชั่งน้ำหนักแล้วตาแทบถลนออกมานอกเบ้า ร้องจ๊ากกก ในใจ
   นับวันยิ่งห่างไกลกับคำว่า Six Pack ทุกทีๆ
Title: Re: กพ 55
Post by: O'Pern on February 25, 2012, 08:16:28 pm
24 กพ 55
   ตื่นเช้ามาขี่จักรยาน อากาศยามเช้าน่าจะเป็นช่วงเวลาที่ผมรู้สึกเย็นสบายได้มากที่สุด ยิ่งสายก็ยิ่งร้อน และร้อนระอุไปอีกพักใหญ่ แม้จะตัวจะตกดินไปแล้วก็เถอะ ส่วนช่วงร้อนแบบพีคเห็นจะเป็นตอนบ่าย ชนิดที่ว่าแม้จะยืนในที่ร่มก็ยังรู้สึกเหมือนอยู่ในท่ามกลางเตาอบขนาดใหญ่ ต่างกับสามปีก่อน ปี 52 น่ะครับ ผมจำได้แม่น เพราะว่าเป็นปีที่ผมขี่จักรยานขึ้นอินทนนท์ ปีนั้น หนาวนานมากๆ กลางเดือนกุมภาพันธ์ที่เชียงใหม่ยัง 15C บนยอดดอยไม่ต้องพูดถึง เลขตัวเดียวแบบขำขำ
   เย้ๆ วันนี้มิวกลับจากเข้าค่ายวิทยาศาสตร์แล้ว เมื่อวานจัดที่นอนก็ยังเอาตุ๊กตาที่เขาจับสลากได้มาวางแทนเจ้าตัว แต่ไม่ถึงกับห่มผ้าให้ตุ๊กตาหรอกนะ เย็นนี้โรงเรียนเขามีงานตลาดนัดอีกด้วย บอกให้ผมมารับเย็นๆ หน่อย ผมว่าในงานมันต้องมีขนม มีอาหาร อะไรเยอะแยะแน่ๆ เลย
   บ่ายเข้ามาบ้าน นั่งคิดวิเคราะห์ชีวิตตัวเองแล้วเกิดอาการท้ออย่างหนัก ทำไมมันไปได้ไม่ถึงไหนเลยวะนี่ ไอ้ความฝันของผมที่บอกว่าล้มไปแล้ว เลิกฝันแล้ว เอาเข้าจริง มันทำไม่ได้หรอก เอาล่ะ แม้จะเลิกฝันอย่างหนึ่ง แต่พอว่าง มันก็จะฝันถึงอีกอย่างหนึ่งแทน นานๆ เข้าจะกลายเป็นมีฝันหลายอัน ไอ้ฉิบหาย ฝันอันเดียวยังยากที่จะทำ ไอ้บ้านี่ดันมาฝันหลายอัน ทั้งเรื่องรถยนต์ จักรยาน ธุรกิจบ้านพัก Guest House งานเขียนหนังสือ ฯลฯ
   จิตตัวเองอยู่ในเกณฑ์ฟุ้งซ่านอย่างรุนแรง เก็บกดสุดขีด เมื่อรู้ปัญหาแล้วที่นี้จะทำอย่างไรต่อไปดีล่ะ
   นั่นสิเน๊อะ ปัญหานี้ผมรู้มานานนับปีแล้วล่ะ มาทำงานที่ร้านนี้วันแรกก็ซึ้งแล้ว มันสะสมในจิตใจทีละนิดๆ
   ก็คงต้องแก้ด้วยวิธีคิดนั่นแหละครับ แต่ไอ้วิธีคิดบวกที่ผมใช้เพื่อพยุงสถานภาพจิตใจตัวเองนี้ คิดอีกแง่มุมแล้ว ผมว่าบางทีมันก็เหมือนกับการคิดหลอกตัวเองไปวันๆ คือแท้ที่จริงน่ะ มึงเป็นคนไม่เอาไหน ทำอะไรไม่รอด ก็เลยต้องมาทำงานใช้แรงงาน แล้วก็สร้างภาพหลอกหลอนตัวเองอย่างโน้นอย่างนี้ คิดว่าตัวเองเก่ง ตัวเองทำได้ ถ้ามึงทำได้จริง เก่งจริง มึงไม่ต้องมานั่งบ่นอยู่อย่างนี้หรอกวะ มึงน่ะมันไอ้สวะ
   เจอจิตใจด้านมืดซัดเข้าให้เต็มเปา โดนใจอย่างแรง
Title: Re: กพ 55
Post by: O'Pern on February 25, 2012, 08:19:23 pm
25 กพ 55
   มิวหมดการเรียนเสริมแล้ว วันนี้เขาว่าง (เพราะยกเลิกเรียนพิเศษไปแล้ว) ผมออกไปทำงานที่ร้านเหมือนเดิม มิวขออยู่บ้าน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าจ้องจะเล่นเกมคอมพิวเตอร์
   สองสามวันมานี้แดดแรงจัด ใบหน้าผมที่เป็นผื่นแดงหายดีแล้ว แต่ก็ต้องทาครีมกันแดดเคลือบเอาไว้ เพราะรู้สึกหน้าตึงๆ เหมือนผิวเราจะบางลง เหมือนโดนลอกผิวออกไปชั้นหนึ่ง
   บ่ายเข้ามาบ้าน คิดไว้ในใจว่ามิวคงจะต้องกำลังเล่นเกม หรือไม่ก็เพิ่งจะรีบปิดเครื่องเพราะเห็นผมเข้ามาบ้าน แต่เปล่า เขาออกไป 7-11 เพื่อไปซื้อหนังสือการ์ตูนมาอ่าน อืมม ยอดนักอ่านตัวจริง
   ช่วงเย็นผมสาละวนกับการจัดกระเป๋าเดินทาง มันไม่ใช่การเดินทางครั้งแรก แต่กลับวุ่นวายเป็นที่สุด ก็เพราะว่าข้าวของเครื่องใช้เกี่ยวกับแคมปิ้ง จักรยาน มันกระจัดกระจายหายไปอยู่ไหนก็ไม่รู้ เหตุเกิดจากผมขนย้ายข้าวของตอนน้ำท่วมนั่นแหละครับ พอมาวันนี้ เราต้องการใช้ หาไม่เจอ
   เดินไป เดินมาทั่วบ้าน หยิบโน่นหยิบนี่ได้ทีละชิ้น จากเดิมที่ของมันอยู่รวมกันเป็นแพ็ค ต้องการใช้ก็หยิบมันไปทั้งกระเป๋า จบ แต่วันนี้ต้องหยิบของใช้มาทีละชิ้นๆ ใช้เวลาจัดกระเป๋านานหลายชั่วโมง นานเว่อร์จริงๆ เตรียมข้าวของเสร็จแบบ 99% เอาตอนหัวค่ำแน่ะ
   มีทริปผจญภัยที่เชียงรายครับ ไปสัก 4 วัน กลับมาคงจะมีเรื่องสนุกๆ มาเล่าอีกเยอะ
Title: Re: กพ 55
Post by: O'Pern on March 07, 2012, 11:40:16 am
26 กพ 55
   ตื่น 0400 ออกจากบ้าน 0445 ถึงสนามบินเกือบๆ 0530 รีบเช็คอินเพื่อไปเดินเล่นด้านใน รอเวลาเครื่องบินออกตอน 0650 แต่ว่าเราต้องไปรอที่ประตูหน้าเครื่องตั้งแต่ 0620 คิดเอาง่ายๆ คือถ้าไปต่างประเทศก็ต้องไปก่อนเครื่องบินออกสัก 2 ชม และถ้าเป็นการบินในประเทศก็ขออย่างน้อยสัก 1 ชม
   บินกับ Air Asia ก็สะดวกดีครับ ใช้ตั๋วแบบ online บางคนก็พริ้นท์จากหน้าจอมาเลย หรือจะเอาหน้าจอโทรศัพท์มาโชว์ Code ก็ได้นะ ผมว่าแจ๋วดี ได้ตั๋วออกมาแล้วก็สบายแล้วล่ะ ถ้าบินต่างประเทศก็ต้องรีบเข้าไปด่านตรวจคนออกจากเมืองก่อน แต่วันนี้บินในประเทศ มันไม่มีขั้นตอนอะไรอีกแล้ว
   เครื่องบินออกตรงเวลา คนนั่งข้างๆ ผมเป็นชายหนุ่มชื่ออาริส ผมเปิดฉากชวนคุยก่อนว่าเป็นคนเชียงรายไหม เขาตอบว่าไม่ใช่ แต่ผมเรียนที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
   เท่านั้นแหละ ตาผมปิ๊งเป็นประกาย แล้วสารพัดคำถามตลอด 1 ชั่วโมงหลังจากนี้ก็ถาโถมเข้าใส่ เพราะมารู้ภายหลังว่าเขาทำงานเกี่ยวกับทัวร์ และแผนกตั๋วโดยสาร เข้าทางผมสิ กำลังหาข้อมูลพวกนี้อยู่พอดี
   เราแลกนามบัตรกันก่อนลงจากเครื่องบิน ถ้า 4 วันต่อจากนี้ผมมีปัญหา คงได้โทรขอความช่วยเหลือจากอาริสแน่ๆ
   ถึงสนามบินแม่ฟ้าหลวงเชียงรายตามกำหนด โทรเรียกบริษัทรถเช่าที่ติดต่อไว้ล่วงหน้า บอกเขาว่าผมมาถึงแล้ว ขอรับรถเช่าตอนนี้เลยได้ไหม อีกพักเดียวเจ้าหน้าที่ก็ขับรถมาให้ เป็น Toyota Vios AT สีเงิน รถหน้าตาเรียบๆ สภาพโอเคดี แต่มีตำหนิเป็นรอยขีดข่วนและบุบเล็กน้อยทั่วคัน
   ผมรีบจัดแจงเก็บภาพตำหนิทั่วทั้งคันเอาไว้ก่อน กันมีปัญหาตอนส่งคืนรถ เดี๋ยวเขาจะหาว่าเราไปชนอะไรมา เซ็นเอกสารเล็กน้อยแล้วก็นัดวันส่งคืนรถ ขับออกมาจากสนามบินก็ไม่รู้จะไปไหนดี เดินทางแบบนี้มันอิสระสุดๆ เสียตรงที่ผมไม่ได้นำจักรยานมาด้วย
   พอขึ้นรถก็เหมือนติดปีก รีบหาของสำคัญเป็นเสบียงเก็บสำรองไว้ในรถ เช่นน้ำดื่ม และของกิน ไม่รู้จะแวะร้านไหนดี จู่ๆ ก็เห็น Big C ข้างหน้า เลี้ยวเข้าไปจอดโดยไม่ต้องลังเล จัดน้ำแกลลอนใหญ่ความจุ 6 ลิตร และของกินพวกขนมปัง ข้าวเกรียบญีปุ่นที่เรียก “เซมเบ้” ช็อคโกแลตดาร์ค ฯลฯ
   ไม่ใช่ถิ่นเรา ไม่เคยมาจังหวัดเชียงรายมาก่อน นึกถึงพี่สมัครที่อยู่อำเภอพาน เพื่อนใหม่ผู้ไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อนมีน้ำใจให้ผมพักอาศัยด้วยทั้งๆ ที่ไม่เคยคุยกันสักครั้ง  ผมรีบโทรหา ลุ้นให้เขารับสาย แล้วก็ไม่ผิดหวัง
   “สวัสดีครับ ผมเปิ้ลครับพี่ ตอนนี้ผมอยู่เชียงรายแล้วครับ”
   “อ้าว เปิ้ลมาถึงแล้วหรือ มีที่พักหรือยัง จะไปเที่ยวไหนก่อนไหม ถ้าผ่านก็แวะมาหาพี่ด้วยนะ มาดูที่พักก่อน”
   พี่สมัครเปิดประเด็นโดนใจผมเลย ถ้าได้ที่พักล่วงหน้า มันก็ทำให้เราเดินทางวางแผนท่องเที่ยวได้อย่างสบายใจ จะเย็นค่ำอย่างไรก็รู้ว่ามีที่นอนแน่ๆ
   “ผมขอแวะชมวัดร่องขุ่นก่อนนะครับ แล้วถึงจะเข้าไปอำเภอพานที่พี่อยู่”
   “ได้เลยเปิ้ล ออกจากวัดแล้วก็โทรมาบอกพี่ก็แล้วกัน จะได้ออกไปรอที่จุดนัดพบ”
   จากสนามบินเชียงราย ผมขับรถเข้าเมืองหาอาหารเช้ากิน อ่านเวป อ่านหนังสือแนะนำมาจนตาลาย เอาเข้าจริง ขับรถเอง มันได้แต่มองข้างทาง ไปไหนมาไหนไม่ค่อยสะดวก เราไม่รู้จักทาง ขับไปก็มีแต่หลง ลองขับหาร้านรสทิพย์ญาติของ เอ้ บ้านโป่ง คนในเวปจักรยานที่ชอบแนะนำสถานที่ต่างๆ ในการเดินทางให้ผมบ่อยๆ ก็ยังหาไม่เจอ ตัดใจวิ่งเข้าตัวเมือง ดันไปเจอร้านเป็ดย่างเหมือนกันเข้าให้ แต่เป็นคนละร้านกับรสทิพย์นะ จัดบะหมี่เป็ดย่างไป 1 ชาม รสชาติดีครับ กินได้แบบไม่ต้องปรุงเลย ชื่อร้านเป็ดย่างแมนดารินหรืออะไรทำนองนี้ ระหว่างที่นั่งกินก็มีคนทยอยเข้ามาซื้อตลอด น่าจะเป็นร้านที่มีชื่อเสียงพอควร
เสร็จแล้วขับลงใต้ แวะชมความงามที่วัดร่องขุ่นอยู่ราว 1 ชม ชมความอลังการ และผนังโบสถ์ที่มีรูปวาดอุลตร้าแมน ผมมีข้อมูลเท่านี้แหละ แต่ล่าสุดปัจจุบันมันไม่ใช่แค่อุลตร้าแมนแล้วล่ะครับ มันมี Star Wars / จอร์ช บุช ขี่จรวจมีบินลาดินซ้อนท้าย / ไมเคิล แจ๊คสันโพสท่าเต้น โอยย อีกเพียบเลยครับ แต่ที่ฮาสุดก็คือ Angry Bird และ กังฟูแพนด้า และคงจะมีออกมาอีกเรื่อยๆ ภาพวาดพวกนี้เป็นชิ้นงานเล็กๆ ที่อยู่ในผนังโบสถ์ด้านใน มีป้ายห้ามถ่ายรูปติดไว้ชัดเจน
ถ่ายรูปคู่กับอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ เดินทางไปยังอำเภอพานเพื่อหาพี่สมัคร แต่ระหว่างทางเจอกับบ่อน้ำร้อน เลยลองแวะเข้าไปดู
โอ้โห มีทั่งน้ำร้อน น้ำอุ่น และน้ำเย็น แต่ไฉนดันเป็นสภาพเหมือนบ่อเสื่อมโทรมล่ะนี่ ทำเลก็ดีสุดยอด ติดถนนใหญ่ มีลานจอดรถอย่างดี เห็นแล้วเสียดายโคตรๆ เลย
ไอเดียแว๊บแรกของผมอย่างแรกนี่ต้องจัดการบริหารน้ำก่อนเลยครับ ต้องจัดที่จัดทางให้น้ำดูดี น่าสัมผัส ทำรั้วไม้ไผ่เตี้ยๆ แบ่งกั้นอาณาเขตสักนิด ถ้าจะทำห้องให้ลงแช่ ก็แบ่งเป็นห้องชาย/หญิงไปเลย มีบ่อด้านนอกสำหรับเด็กก็ได้ ช่วยเสริมให้บรรยากาศดูดี นี่ถ้าเขาให้สัปทานเช่านี่ผมเอาจริงนะ ให้มันรู้กันไปว่าออนเซ็นไทยก็มีคนมาแช่
ไปถึงบ้านพี่สมัคร สอบถามได้ใจความว่าบ่อน้ำร้อนนี้มันอยู่ในเขตของกรมทางหลวง เขาบอกไม่มีงบไปพัฒนา จบข่าวเลยพี่น้อง
พี่สมัครใจดีสุดๆ พาไปดูบ้านพักที่อยู่ในรั่วเดียวกัน บอกว่าจะมาพักเมื่อไหร่ก็ได้ ปิดท้ายด้วยการพาไปกินก๋วยเตี๋ยวที่รสชาติดีที่สุดในอำเภอพาน อิ่มแล้วผมขับรถไปส่งพี่สมัครที่บ้าน บอกจะขึ้นดอยช้างต่อ ก่อนจะอำลากัน เขายังบอกว่า ถ้าคืนนี้เปลี่ยนใจหรือหาที่พักไม่ได้ ก็มานอนที่นี่ได้นะ เลื่อนประตูรั้วบ้านเปิดเข้ามาเองได้เลย ตามสบายเลย พูดจบก็พลางเลื่อนประตูรั้วให้ดู
สุดยอดดีไหมครับ นี่เราไม่รู้จักกันมาก่อนเลยนะ เพิ่งพบหน้ากันครั้งแรก ในเวปจักรยานก็ไม่เคยโพสคุยกัน พี่เขาอ่านอย่างเดียว ประทับใจชาวจักรยานจริงๆ ครับ
มุ่งหน้าขึ้นสู่ดอยช้าง เส้นทางวกวนขับขึ้นลงเขา ไปกับรถ AT มันก็ต้องใช้เทคนิคบ้างนะครับ จะให้แช่ที่ D อย่างเดียวรถมันไม่มีแรงมากพอที่จะไต่เขาชัน โอเคนะ ถ้าไปกับรถ AT แรงๆ ทรงพลังก็พอไหว แต่กับเจ้า Vios เครื่องเล็กๆ หากเจอทางชันมากเราก็ต้องลดเกียร์ลงช่วยเขาด้วย เช่นปกติขับที่ D ก็ลองลดมาทีละขั้นเป็น 3 – 2
การลดเกียร์ลงมิใช่แค่ล็อคให้เกียร์ทำงานสูงสุดแค่ 3 หรือ 2 นะครับ หากแต่ระบบภายในมันยังปรับแรงดันน้ำมันเกียร์ให้แรงขึ้นตามไปด้วย ระบบการส่งถ่ายกำลังในเกียร์ที่เรียกว่า Torque Converter มันจะมีแรงมากกว่าเดิม ส่งผลให้เครื่องยนต์มีแรงบิดดีขึ้นอีกด้วย
ระหว่างทางเห็นป้ายชี้บ่อน้ำร้อน อ่านเห็นป้ายข้างทางแว๊ปเดียวแล้วมือมันพารถเลี้ยวเข้าไปทันที นี่ถ้ามากับคนอื่นก็จะต้องถามความคิดเห็นก่อนว่าแวะดีไหม อยากชมไหม การเดินทางคนเดียวมันอิสระสุดแล้ว ขับลึกเข้าซอยไปสัก 3 กม ต่อด้วยทาง Off Road โหดๆ สัก 50 เมตร ยังดีที่ไม่ติดใต้ท้องรถ ถ้าหน้าฝนนะ จบข่าวเลย
บรรยากาศคล้ายบังกะโลที่กำลังทยอยสร้าง มีห้องให้เช่าแช่น้ำร้อนส่วนตัว เขาคิดคนละ 60 บาทต่อชั่วโมง ขอเขาดูห้องแช่หน่อย คิดทำใจแล้วล่ะว่าคงจะอึดอัดคับแคบ แต่เปล่า ภายในห้องตกแต่งแบบดูดีใช้ได้เลย นี่ถ้าขี่จักรยานมาเหนื่อยๆ แล้วเจอบ่อแบบนี้นะ ยอมแพ้ เข็นจักรยานเข้าห้องแล้วนอนแช่แบบไม่ต้องคิด
ลังเลเหมือนกันนะว่าจะจัดดีไหม แต่การแช่น้ำถึง 1 ชม นี่มันคงเล่นเอาตัวผมเปื่อย จะต่อรองเขาเหลือแค่ 30 นาทีก็เกรงใจ
เอาไว้ขากลับลงมาวันพรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ดีกว่า วันนี้ขอซัดดอยช้างให้จบก่อน
ขับย้อนกลับออกมาทางเดิม เข้าถนนใหญ่ก็เป็นลาดยางเรียบ ชัน และโค้งคดเคี้ยวแบบทางภูเขา แต่พอเข้าใกล้เขตดอยช้างถนนเริ่มแย่ มีการก่อสร้างทางใหม่ ใช่เลย Off Road มาอีกแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเส้นทางลูกรังร่วนในทางชัน ผมเห็นแล้วไม่แน่ใจว่าเจ้า Vios จะผ่านไหวไหม ต้องเข้าที่เกียร์ 1 ตามองไลน์ดีๆ บังคับพวงมาลัยให้ถูก อย่ากดคันเร่งแรงมากจนล้อฟรี ค่อยๆ ประคองรถแบบเกร็งสุดๆ ในที่สุดก็ไต่ทางชันขึ้นมาจนได้
“โห พี่ขับคันนี้ขึ้นมาหรอ” นักท่องเที่ยวจากฉะเชิงเทรากลุ่มหนึ่งถาม
“ผมเช่ารถมาจากในเมือง คนขับรถบอกรถเขาขึ้นไม่ได้ ผมเลยต้องเดินกันขึ้นมา” พูดพลางก็ชี้ไปยังรถตู้ที่จอดในลานกว้างด้านล่าง
เอ กูนี่ใจถึง หรือโง่วะนี่ เจ้าถิ่นเขายังไม่อยากเอารถขึ้นมาเลย แล้วเส้นทางหลังจากนี้มันจะมีอะไรหนักกว่านี้หรือเปล่าก็ไม่รู้ นี่เป็นการขับ Vios ครั้งแรกของผมอีกด้วย รถขับหน้าแรงน้อยๆ เครื่องเล็กๆ บ้าจริงๆ เลย
มึงมากับกูแล้ว มึงก็ต้องไปกับกูให้ได้ คิดแบบนี้แหละ คิดเหมือนตอนที่ขับรถธนูไฟเพื่อนเก่า ใจเราต้องประสานกัน แม้รถมันจะไม่มีหัวใจที่มีชีวิตก็ตาม สมมุติมันไปยังงั้นแหละ
ผมเลือกห้องพักแบบส่วนตัวหลังคาทรงตัว A เพราะเห็นเจ้าหน้าที่บอกว่าจะมีอีก 2 กลุ่มตามมา ชักไม่แน่ใจว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวแนวไหน คื่ออย่างนี้ไงครับ ตอนแรกกะจะนอนห้องรวม คือนอนกันเป็นแถวบนพื้น แต่ถ้ามีคณะอื่นมาด้วย เขาก็จะมานอนเรียงใกล้ๆ กับเรานี่แหละ
ไอ้แค่นอนไม่มีปัญหาครับ แต่กลัวจะเจอแบบเล่นกันส่งเสียงดัง แย่งที่นอนกัน วิ่งเล่นกัน หนักสุดที่กลัวเลยนะ ก็คือพวกขึ้เมา
ได้ห้องที่ต้องขับรถขึ้นเนินชันสูงไปอีกหน่อย ก็ลุยกันต่อไปครับ ผมกับ Vios เริ่มเข้าขากันแล้ว ช่วงนี้ขับแต่เกียร์ 2 อย่างเดียวเลย ถ้าเจอลูกรั่งร่วนนี่ต้องไปที่ 1 เลยด้วยซ้ำ จะว่าไปก็มันส์ดีว่ะ เป็นประสบการณ์ครั้งแรกที่เอารถเก่งมาลุย Off Road ซึ่งมันก็ไปได้นะ รถไม่ได้บุบสลายหรือเสียหายเลยด้วยซ้ำ เพียงแต่เราไม่เคยเห็นกันเท่านั้นเอง เส้นทางแบบนี้มีแต่รถกระบะเขาขับกัน
ได้ห้องพักแล้วก็สบายใจละ นี่คือบนยอดดอยช้างในวันธรรมดา ไม่มีร้านค้าร้านอาหารใดๆ แต่ตอนอยู่ในเมืองผมแวะซื้อน้ำแกลลอนใหญ่ และของกินติดรถไว้บ้างแล้ว การไปกับจักรยานมันสอนผมให้คิดล่วงหน้าไปอีกหลายอย่าง แม้จะเป็นการเดินทางแบบ No Plan ก็ตาม
ร้านสวัสดิการของที่นี่มีแต่มาม่าคัพ และโจ๊กซอง ผมขับรถขึ้นเขาต่อไปอีกหน่อยจนเข้าหมู่บ้านชาวอาข่าที่ปลูกชา กาแฟ เป็นอาชีพหลัก อีกพักเดียวก็เจอร้านอาหารขนาดใหญ่อยู่ริมหน้าผา ไม่มีคนมากินสักคน ทำท่าจะใกล้ปิดแล้ว ผมบอกว่าอีกสักพักจะมากินที่นี่ อย่าเพิ่งปิดนะ ขอข้าวไข่เจียว และผัดผักอีกจานก็พอแล้ว ขอไปชมสวนเกษตรบนยอดดอยก่อน สักพักจะกลับลงมา
ขึ้นมาสูงๆ เส้นทางยิ่งสวย และยิ่งโหดเข้าไปด้วย ลุ้นอย่างเดียวคือขอให้อย่าติดใต้ท้องเป็นใช้ได้ บางช่วงดินร่วนจนล้อหน้าฟรีทิ้ง รถเกือบจะไหล ก็ต้องใช้เทคนิคเหยียบสองเท้าเข้าร่วมด้วย
ท้าทายดีครับ ได้งัดเทคนิคเก่าๆ สมัยหนุ่มๆ ออกมาใช้จนครบถ้วนเลย เท้าซ้ายแตะเบรกไว้ไม่ให้รถไหล และจังหวะถอนเท้าซ้ายก็ต้องคุมน้ำหนักขณะยกเบรกอีกด้วย ทำงานสอดประสานกันกับเท้าขวาทีกดคันเร่งออกตัวอย่างเร็ว แต่ห้ามทำล้อฟรี ตาดูไลน์ มือคุมพวงมาลัย เจอพื้นตรงไหนร่วนซุยก็เปลี่ยนไลน์ขับหนีไปเรื่อยๆ
ยากใช่เล่น การขับแบบนี้ไม่มีใครที่ไหนสอนกัน ผมเรียนรู้เอง ฝึกเอง จะว่ามั่วเองก็ยอมรับ ทำจนมันออกมาเป็นสูตรสำเร็จ อาจต่างจาก Driving School ราคาแพงในต่างประเทศบ้าง แต่มันก็ให้ผลออกมาเหมือนๆ กัน
ผมขับรถคันใด ก็จะเอาใจใส่ในรถคันนั้น ถ้าไม่ใช่รถของเราแล้ว ก็จะยิ่งต้องรักษาให้มากกว่าของตัวเอง แม้จะเป็นรถเช่าก็เถอะครับ นิสัยเช่นนี้มั้นติดตัวผมไปเสียแล้ว สมัยก่อนนะ ถ้าเป็นรถยนต์ที่ยืมมาทดสอบนียิ่งแล้วใหญ่เลย รถยนต์ส่วนตัวผมยังจอดตากแดดบ้าง แต่กับรถทดสอบต้องจอดในร่มเท่านั้น ถ้าต้องจอดในลาน ก็จะไปจอดที่ห่างไกลผู้คน ยอมเดินไกล เพราะกลัวคนอื่นเปิดประตูมากระแทก จะว่าเว่อร์ก็ยอม เพราะเว่อร์จริง รถของคนอื่นเขา ไม่ใช่รถของผม ใจเขาใจเราครับ เขาให้เกียร์เรายืมรถมาทดสอบ เราก็ต้องตอบแทนด้วยการดูแลรถของเขาอย่างดีที่สุด
ขับตามเส้นทางไปเรื่อยๆ จนพบบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ 1 ใน 9 ของประเทศ ที่เขาจะใช้น้ำจาก 9 แหล่ง ไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนาในงานพระราชพิธีของในหลวง โอ้โห สุดยอดมาก บ่อน้ำเล็กๆ บนยอดดอย มีกระบวยแขวนไว้ข้างๆ ผมตักน้ำขึ้นมาล้างหน้า พลางขอให้เม็ดผื่นบนใบหน้าหายไปโดยเร็ว
เส้นทางนี้มันยาวแค่ไหนก็ไม่รู้นะ แต่ผมหิวแล้ว อยากกลับไปกินข้าวแล้ว หาทางออกไม่เจอครับ ท้องฟ้าเริ่มมืดลงเรื่อยๆ อารมณ์เหมือนหลงป่าเลยล่ะ ถนนคดเคี้ยวแบบรถวิ่งได้เลนเดียว สองข้างทางเป็นหญ้ารถ และเหว จะกลับรถออกทางเดิมก็ยังทำได้ยาก เว้นแต่จะเจอช่วงทางกว้างๆ หน่อย
ยิ่งขับ ยิ่งใจไม่ดี แต่ทำไงได้ เจอช่วงทางเรียบก็ต้องเร่งแข่งกับเวลาบ้าง ถ้าหลงจริงๆ นี่งานเข้าเลยล่ะ
อีกพักใหญ่ก็หลุดออกมาได้ แถมถนนที่ขับออกมานั้น มันผ่านบ้านพักที่ผมจองเอาไว้อีกด้วย ไม่น่าเชื่อว่ามันจะออกมาเป็นแบบนี้ ตลกมากๆ เลย
ไม่ได้แวะเข้าบ้านนะ ผมตรงไปร้านอาหารชาวอาข่าต่อ แน่ละ ขึ้นเนินลูกรังสูงชันอีกแล้ว แต่เราเคยขับผ่านมาแล้วก็ไม่มีอะไรต้องกลัว ตามองไลน์ เท้าคุมน้ำหนักคันเร่งให้ดี อย่าให้ล้อฟรี เดี๋ยวซวย
“สวัสดีครับ ไปขับรถเล่นมาหรือครับ” พี่นักท่องเทียวจากฉะเชิงเทรากลุ่มใหญ่ทักทายผม เขามานั่งกินกันที่ร้านนี้เหมือนกัน โชคดีจริงๆ เลย ถ้าไม่มีพวกเขามา  ร้านคงจะปิดไปแล้วแน่ๆ
“สวัสดีครับ ผมขึ้นไปชมด้านบนมานิดหน่อยน่ะครับ” อันที่จริงผมอยากลงมาตั้งนานแล้วล่ะ แต่มันเพิ่งจะถึงเดี๋ยวนี้เอง หิวสุดๆ เลยครับพี่น้อง
   ไข่เจียว ผัดผัก ข้าวเปล่า รสชาติกลางๆ แต่บรรยากาศนั้นเหลือเกินจริงๆ ผมมาถึงเอาตอนพระอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้าแล้ว ร้านอาหารเปิดไฟแล้ว นึกไม่ออกเลยนะ ว่าถ้าผมยังติดอยู่เส้นทางด้านบนจะเป็นอย่างไร เพราะมันมืดสนิท เส้นทางคดเคี้ยว ทุรกันดาร บางช่วงมีโค้งหักชัน ถ้าหลุดลงไปก็คือตกเหว
   กินแบบไม่เร่งรีบอะไรเลย ถ่วงเวลาอีกด้วย อยากอยู่ในจุดนี้นานๆ ได้อยู่หมู่บ้านชาวอาข่าของแท้ในสถานที่จริง ได้อารมณ์ดีครับ กินไปก็หยิบเอาหนังสือมาอ่านเล่นไปพลาง มีเรื่องราวเกี่ยวกับชา กาแฟ แมคคาเดเมีย ก็ของดีในย่านนี้เขาล่ะครับ
นักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่กลับไปแล้ว ผมถ่วงเวลาอยู่กับความเงียบอีกสักพักก็ขอตัวลากลับบ้าง พนักงานคงอยากจะปิดร้านแล้ว หลังจากนี้คงไม่มีใครขึ้นมาแล้วล่ะ เพราะมันมืดมากแล้ว สั่งซื้อต้มยำไก่สมุนไพรไปฝากเจ้าหน้าที่ชื่อ “พัช” ที่เขามีน้ำใจพาผมเดินไปชมบ้านแต่ละหลังก่อนตัดสินใจเลือก เดินไกลครับ แถมขึ้นเนินเยอะด้วย บริการดีจริงๆ เลย
ที่พักของผมเป็นบ้านหลังเล็กหลังคารูปตัว A สร้างแบบง่ายๆ จะว่าทำลวกๆ ก็ไม่ผิด ถ้าเขาตั้งใจทำดีๆ มันจะออกมาสวยกว่านี้เยอะ เพราะบรรยากาศมันดีอยู่แล้ว หากได้บ้านสวยๆ ช่วยอีกแรง ก็จะเป็นสวรรค์บนดิน
 กลางคืนลูกโทรมาหา บอกว่าคิดถึงพ่อ แหม เล่นเอาซึ้ง นี่เป็นครั้งแรกที่ลูกผมโทรมาหาขณะผมอยู่ต่างจังหวัดครับ เราอยู่ด้วยกันตลอด พอห่างกันก็เลยคิดถึงกันบ้างเป็นธรรมดา มันไม่ใช่แค่รัก หากแต่คือความผูกพัน คุยกันพอหายคิดถึงก็วางสายไป
การที่ผมปลีกตัวมาแบบนี้ มันก็เป็นการสอนเขาไปในตัวด้วย สอนเขาให้อยู่คนเดียว ให้ดูแลตัวเอง และถ้าเขาคิดได้มากกว่านั้น ก็จะรู้ว่าตอนที่เราอยู่ด้วยกันนั้น มันคือเวลาที่มีค่าเพียงใด
ฝันดีนะลูก พ่อเองก็คิดถึงลูกมากเช่นกันจ๊ะ 
Title: Re: กพ 55
Post by: O'Pern on March 07, 2012, 08:17:29 pm
27 กพ 55
   หนาวฉิบเป๋งเล้ยยยย อากาศราว 13C ตอน 0700 นี่มันหนาวเพราะอยู่บนยอดดอยหรือเปล่าวะ ผมไม่เคยอยู่ดอยมาก่อน เลยไม่รู้อารมณ์ของบรรยากาศ ณ ช่วงเวลานั้น แต่คงไม่ใช่หนาวเพราะฤดูหนาวแน่ๆ มันเลยมาเยอะแล้ว หรือจะเป็นหย่อมความกดอากาศสูงที่มาจากจีนตอนบน ตอนอยู่กรุงเทพฯได้ยินพยากรณ์อากาศเขาบอกแบบนี้บ่อยมาก
   ยืดเส้นยืดสายหน้าห้องพักท่ามกลางหมอกหนา เอ๊ะ หรือว่าจะเป็นควันก็ไม่รู้นะ ละแวกนี้ไม่มีร้านอาหารบริการ มีแต่ร้านค้าสวัสดิการของเจ้าหน้าที่บรรยากาศเหงา เศร้า ไม่ชอบแบบนั้น ส่วนร้านที่อยู่บนหน้าผาของชาวอาข่าที่กินมื้อเย็นวานคงจะยังไม่เปิดแน่ๆ เพราะทั้งดอยช้างนี้มีนักท่องเที่ยวมากันแค่ 3 กลุ่ม คือ ผม กลุ่มพระ และกลุ่มนักท่องเที่ยวจากฉะเชิงเทรา
   ขับรถลงไปที่ร้านสวัสดิการก็มีกาแฟอาราบิคก้าให้ดื่มฟรี กาแฟอย่างดีเลยนะ ปลูกเอง คั่วเอง ก็นี่มันคือดอยช้างนี่นา กาแฟสุดยอดที่ดีที่สุดของไทยอยู่ที่นี่ครับ เป็นอันดับ 1 ของไทย และอันดับ 3 ของโลก อีกหนึ่งความจริงที่คนไทยเองก็ยังไม่รู้ มัวแต่ไปกินกาแฟแบรนด์เนมอยู่ได้ตั้งนานหลายปี
   น่าเสียดายที่ผมใม่ใช่คอกาแฟ ให้กินของดีเพียงใด ก็รับรู้ได้แค่ว่ามันคือกาแฟ ไอ้เรื่องหอมน่ะผมสัมผัสได้ แต่มันคงไม่ลึกซึ้งอะไรเลย คือกินได้แค่พอรู้ว่ากาแฟแบบไหนดี แบบไหนห่วย แต่ถ้าคัดเกรดดีๆ หลายๆ อันมาให้ลองชิม แบบนี้ผมไม่รู้เรื่องอะไรกับเขาหรอก
   ย้อนกลับไปเก็บข้าวของ เช้านี้ผมจะแวะร้านกาแฟดอยช้าง ต้นตำหรับสุดยอดกาแฟสักหน่อย เมื่อวานเย็นผ่านมาแล้ว เล็งไว้แล้ว ต้องขับลงเนินเขาไปสัก 2 ลูกมั้ง
   ร้านกาแฟตั้งอยู่หัวมุมถนน มีลานตากเมล็ดการแฟกว้างใหญ่ ด้านหลังเป็นโรงคั่ว และบรรจุ ปลูกกันตรงนี้ ตากแห้ง คั่วบดกันตรงนี้ และกินกันตรงนี้ นี่คือกาแฟดอยช้าง ที่เริ่มมีแฟรงชายน์ขยายออกไปทั่วแล้ว กรุงเทพฯก็มีครับ อยู่แถวเสนา - วังหิน
   เดินตรงเข้าไปอย่างมาดมั่น สั่งกาแฟชนิดที่ดีที่สุด เขาบอกว่าเป็นกาแฟขี้ชะมด ชื่อก็แปลกแล้ว ถามราคาดู เขาตอบกลับมา เข่าแทบทรุด
   “แก้วละ 300 บาทครับ” ชาวเขาเผ่าอาข่า ตอบพร้อมกับส่งยิ้ม
   “เออ เอารองจากนั้นลงมาหน่อยก็ได้”
   สุดท้ายได้กาแฟแบบเอ็กเพรสโซแก้วเล็กจิ๊ดเดียว ซดอีกเดียวคงจะเกลี้ยง แต่ทำตัวเป็นผู้ดีหรูๆ กับเขาหน่อย ค่อยๆ จิบทีละนิด โอบถ้วยกาแฟใบเล็กในอุ้งมือให้พออุ่นท่ามกลางอากาศหนาว
   มันคือกาแฟดำนี่แหละ ก็หอมดีล่ะนะ แต่อย่างที่บอก ผมไม่ใช่คอกาแฟ ไม่ได้กินกาแฟดำแบบนี้มาหลายปีแล้ว เพราะจะเจอกาแฟก็ตอนงานประชุมสัมนาที่มักจะมี Coffee Break แต่ผมก็ไม่เคยกินกาแฟสักครั้ง
   บรรยากาศในร้านเป็นเพิงไม้ที่สะอาดมาก ดูดีทีเดียวในลักษณะภูมิประเทศเช่นนี้ ลมหนาวพัดโชย มือถือถ้วยรับไออุ่นจากกาแฟร้อน นั่งได้นาน ไม่มีเบื่อ นี่คือเช้าวันจันทร์ ยังไม่มีลูกค้าไต่เขาขึ้นมากินมากนัก
   แล้วก็มีรถตู้คันหนึ่งแล่นเข้ามา ผู้โดยสารเป็นพระภิกษุที่ผมเจอในป่าผ์ใกล้กับบ่อน้ำศักดิ์สิทธเมื่อวาน อ้าว เราพักที่เดียวกันหรือนี่ พระท่านจำผมได้ เลยเอ่ยปากทักผมก่อน
   “อ้าว เจอกันอีกแล้ว”
   ผมยกมือไหว้ “สวัสดีครับหลวงพ่อ” พูดคุยทักทายกันอยู่นาน ท่านเห็นว่าผมคงจะชอบบรรยากาศแบบนี้ เลยแนะนำให้ไปที่แม่ฮ่องสอน ให้ไปพักที่บ้านรักไทย ไปปางอุ๋ง ผมน่ะชอบอยู่แล้ว แต่ไม่รู้จะมีโอกาสไปกับเขาเมื่อไหร่กัน หนำซ้ำนี่อาจเป็นการเดินทางครั้งสุดท้ายของผมแล้วก็เป็นได้
   หลวงพ่อท่านหยิบหนังสือเกี่ยวกับวัดของท่านมาให้เล่มหนึ่ง เอ่ยปากชวนให้ผมไปเทียว และบอกว่าเดือนหน้าท่านจะไปวัดไทยที่ Florida ไปทำบุญที่นั่น สนใจไปไหม
   สนสิครับหลวงพ่อ แต่ไม่รู้ว่ามันต้องใช้เงินสักเท่าไหร่กันล่ะนี่ ฝากตัวเป็นศิษย์วัด เกาะชายผ้าเหลืองท่านไป จะผิดไหมนะ
   ผมใช้เวลาอยู่ในร้านกาแฟเล็กๆ นี่ถึง 1 ชม ไม่เคยนั่งร้านกาแฟใดมาก่อนในชีวิต ยิ่งร้านหรูๆ ในเมืองนี่ไปกันใหญ่เลย ผมว่ามันดูดัดจริตยังไงพิกล สั่งกาแฟมาจิบ สั่งเค๊กมากิน เอาคอมพิวเตอร์มาออนไลน์เล่น เอามือถือมากดเล่น มีแต่ผู้คนที่แต่งตัวหรูหรา ไอ้คนอย่างผมมันไม่เหมาะกับร้านแบบนั้นหรอก
   ช่วงอยู่ในร้านก็เดินอ่านป้ายสรรพคุณกาแฟแต่ละชนิด ที่เจ๋งสุดคือกาแฟขี้ชะมด คือเขาเลี้ยงชะมดไว้ในไร่กาแฟ ปล่อยให้มันกินเมล็ดกาแฟอย่างอิสระ แล้วพอมันถ่ายออกมา ก็จะมีลักษณะเป็นเมล็ดกาแฟกลมๆ เกาะติดกัน เขาก็เอาขี้ของมันนี่แหละ เอามาทำความสะอาด แล้วก็ตาก คั่ว บด อบ หรือจะทำอะไรก็ว่าไป
   เขาว่าการที่เมล็ดกาแฟถูกบ่มในร่างกายชะมด มันจะทำให้รสชาติดีขึ้น
   อืมม ลึกซึ้งโคตรๆ เลยครับ เลยเลื่อกไอ้กาแฟขี้ชะมดนี่แหละเป็นของฝากให้พ่อ พ่อผมชอบกาแฟครับ กินวันละ 1 แก้วตอนสายๆ
   “หา.. ซองละ 2000 บาท!”
   “ใช่ค่ะ 2000 บาท ชงได้ 20 ถ้วย”
   “พี่จะใช้ชงแบบเครื่อง หรือว่ากระดาษกรองดีคะ หนูจะได้บดให้ถูกกับลักษณะการชง”
   เอาล่ะสิมึง จะกินก็ยังไม่เคยกินกับเขาเลย แต่คุ้นๆ ว่าที่บ้านมีถุงกระดาษสำหรับกรองกากกาแฟ
   “ผมชงแบบกระดาษกรองครับ” ตัดสินใจให้เขาบดสำหรับกระดาษกรอง ผิดถูกอย่างไร ผมก็แค่ไปซื้อกระดาษกรองมาให้พ่อ บ้านผมไม่มีเครื่องชงกาแฟแน่ๆ
   เจ้าหน้าที่ฉีกถุงเมล็ดกาแฟ ใส่เครื่องบด แล้วบรรจุกลับไปในซองอีกครั้ง ซีลปากถุงด้วยความร้อน กำชับผมว่าหากเปิดแล้วกินให้หมดภายใน 1 เดือน และปิดซองให้แน่นหนาเสมอ
   ผมคงจะศรัทธาในกาแฟดอยช้างอย่างมาก เลยจัดแบบ Doi Chaang Peaberry ที่เป็นแบบ Single Estate มาอีก 1 ซอง ไอ้อันนี้ถูกกว่าแบบขี้ชะมดเยอะ ซองละแค่ 400 บาท ทำเอาราคาถูกไปเลย
   Single Estate หมายถึงผลิตจากกาแฟที่ปลูกในแหล่งเดียว คือบนดอยนี้เท่านั้น ได้รับลม ฝน แดดแบบเดียวกัน ไม่ใช่กาแฟที่รับซื้อมาจากชาวบ้านถิ่นอื่น ซึ่งแม้จะเป็นกาแฟพันธุ์เดียวกัน แต่ปลูกต่างถิ่น ต่างดิน รสชาติและกลิ่นก็จะไม่เหมือนกัน
   โหห ลึกซึ้งอีกแล้ว กูตามไม่ทันแล้วโว๊ยย เอาเป็นว่าหากสนใจกาแฟอันดับหนึ่งของไทย เข้าไปอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.doichaangecoffee.com
   อยู่นานท้องเริ่มหิว ขับรถลงจากดอยราว 15 กม สู่พื้นราบ หาร้านอาหารไม่เจอสักร้าน ตอนนี้ผมอยู่อำเภอแม่สรวย ชาวบ้านออกเสียงว่า “แม่สวย” ใครเรียก “แม่สะรวย” จะดูเป็นไอ้พวกบ้านนอกทันที ไม่ต้องตกใจ ผมก็เป็นหนึ่งในไอ้บ้านนอกคนนั้น ขนาดภาษาอังกฤษยังเขียน maesuai เลยน่ะครับ
   แม่สรวยเปรียบเหมือนเป็นตำบลเล็กๆ อยู่ในอำเภอวาวี ซึ้งต้องขับรถแยกไปคนละทาง ทางดอยช้างจะเด่นเรื่องกาแฟ ส่วนดอยวาวีจะเด่นเรื่องชา ทริปนี่มีเวลาน้อยครับ ขอจัดแค่กาแฟก่อน ชาไว้ทีหลังนะ (แหม น่าเสียดาย ถ้ามีเวลามากๆ น่าจะจัดดอยวาวีไปอีกสัก 1 ชุด)
   ช่วงนี้ผมขับเลยบ่อน้ำร้อนที่เล็งไว้ตอนขามาแล้วล่ะ ไม่อยากแช่แล้วด้วย หิวเสียมากกว่า
   ตัดสินใจขับย้อนขึ้นเหนือสู่ตัวเมืองเชียงราย วันนี้วางเส้นทางว่าจะวิ่งขึ้นเหนือไปเรื่อยๆ ค่ำไหนนอนนั่น แต่ตอนนี้หิวมาก ถึงตัวเมืองเชียงรายก็หลงทางอีกแล้ว เลี้ยวผิดเลี้ยวถูก บางถนนเป็นวันเวย์ ผมขับฝ่าเข้าไปเฉยเลย ฮ่าๆ
   ได้กินต้มเลือดหมูเป็นอาหารเช้าตอน 11.00 ครับ จะเรียกว่า Brunch ก็ได้ เท่ดีออก มันคือลูกผสมระหว่าง Breakfast กับ Lunch นี่เป็นภาษาสากลนะ ผมไม่ได้แต่งขึ้นมาเอง
   ใช้เวลาบนโต๊ะอาหารกินไปดูแผนที่ไปด้วย รสชาติดีมากครับ ต้มเลือดหมูส่วนใหญ่จะใส่ผักตำลึง บางร้านขี้เกียจนี่เล่นผักกาดหอมเลย แต่ทีเชียงรายนี่เขาใส่ผักชื่อจิงจูฉ่าย ราคาแพงกว่าผักทั่วไปเยอะ อยู่ กทม ก็หาซื้อได้ครับ ตลาดใหญ่ๆ มีขาย
ดูสถานที่เที่ยวในตัวเมือง เหลือบไปเจอไร่แม่ฟ้าหลวงอยู่ใกล้ๆ ถามทางเจ้าถิ่นแล้วก็มุ่งตรงไปทันที แต่เสียใจด้วย เขาปิดวันจันทร์ ฮ่วย
   ในตัวเมืองมีที่เที่ยวอีกมากมาย แต่ไม่เอาแล้วล่ะ หลงบ่อยจัด ขับไปดูแผนที่ไปด้วย รถจะชนเอา แม้จะจอดรถดูข้างทางก็ตาม มันก็ยังมีผิดพลาดอยู่เสมอ ว่าแล้วก็ไปตามแผนเดิมของเราคือ ขึ้นเหนือ
   จอดอ่านแผนที่เป็นระยะ แถวนี้มีพิพิธภัณฑ์บ้านดำของอาจารย์ถวัลย์ ดรรชนี นักวาดภาพระดับเทพ ผมเคยเห็นอาจารย์ถวัลย์วาดภาพสดๆ ขณะถ่ายทอดทีวีอยู่ครั้งหนึ่งสมัยเด็กๆ ติดตามาจนถึงทุกวันนี้
   ขับไปขับมา หาทางเข้าไม่เจอครับ ก็เลยตามเลย ขึ้นเหนือไปเรื่อยๆ เป้าหมายคือแม่สาย จะข้ามไปฝั่งพม่าดีหรือเปล่าหรอ รอดูบรรยากาศย่านนั้นก่อน
   ถนนดีมากครับ ผมไปวันธรรมดาด้วยมั้ง รถยนต์ไม่มาก ขับสบายๆ จอดดูแผนที่เช็คเส้นทาง และดูสถานที่ท่องเที่ยวที่เราจะผ่าน ถ้าจุดไหนน่าสนใจก็แวะซะเลย จัดแบบสดๆ กันเลย
   อ้าว เฮ้ย ทำไมรถติดได้ ขับไหลๆ ไปเรื่อยจนถึงจุดเกิดเหตุ รถยนต์ชนกับมอเตอร์ไซค์ครับ หน้ารถเก๋งยุบ มอเตอร์ไซค์ไปอยู่ไหนไม่รู้ แต่คนขับนอนเสียชีวิตกลางถนน
   โห สะเทือนใจว่ะ คนขับรถเก๋งเป็นนักศึกษาหญิง ยืนคุยโทรศัพท์อยู่ข้างรถ
   เห็นเขาเกิดอุบัติเหตุ ก็เตือนตัวเราเองให้ขับรถอย่างระมัดระวังครับ ตัวอย่างมีให้เห็นกันทุกวี่ทุกวันอยู่แล้ว ตัวเราเองนั้นแหละครับที่จะตระหนักหรือเปล่า
   ขับขึ้นเหนือต่อไปเรื่อยๆ พอเข้าใกล้แม่สาย ก็ไปเจอถ้ำขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ผมไม่เคยเที่ยวถ้ำมาก่อน ชอบครับ สนใจมาก เลี้ยวเข้าไปแบบไม่ต้องคิดอีกแล้ว ขับลึกเข้าไปหลายกิโลเมตรหน่อย จอดรถแล้วเตรียมไฟฉายไป 2 ชุด ติดหน้าผาก 1 และถือในมืออีก 1 แต่เป็นไฟฉายแบบ LED นะ ไม่ได้เป็นไฟทรงพลังราคาแพงอะไรนัก
   อากาศร้อนครับ แต่พอไปยืนที่ปากถ้ำเท่านั้นแหละ รู้สึกเย็นชื้นวูบขึ้นมาเลย ในถ้ำมืดสนิท มองไม่เห็นอะไรแม้แต่อย่างเดียว ยืนทำใจหน้าถ้ำอยู่สักพักก็ค่อยๆ เดินสืบเท้าเข้าไปทีละน้อยๆ พื้นถ้ำเป็นทรายบดอัดแน่น เหยียบแล้วไม่ยุบเลย ด้านบนเพดานถ้ำเป็นหินย้อยใหญ่บ้าง เล็กบ้าง สลับกันไป บางช่วงของเส้นทางเดินๆ อยู่ก็มีน้ำหยดใส่หัว ตกใจสิ ก็มันทั้งแสนจะมืด ไฟส่องสว่างที่พกไปสองดวง มันส่องได้แค่ระยะมือเอื้อมถึงเท่านั้นเอง นี่คือสถานที่ที่มืดที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมากเลยครับ
   คนกลัวความมืดอาจยอมแพ้ตั้งแต่ปากถ้ำ ผมแม้จะไม่คุ้นเคย แต่ก็ลองสู้ดูสักตั้ง ใจเต้นตึกๆ ตลอดเวลา คิดหาคำพูดเท่ๆ มาปลอบใจตัวเอง
   “เฮ้ย มันแค่มืด แค่เรามองไม่เห็น ใจเราคิดกลัวไปเอง มันไม่มีอะไรหรอก”
   คิดไปก็ต้องส่องไฟลงพื้นทุกย่างก้าว กลัวจะไปเหยียบเอางูหรือสัตว์มีพิษเข้า ดีนะที่ยังไม่เจอค้างคาวบินกรูกันออกมาเหมือนในหนัง ไม่งั้นหัวใจวายแน่
   ช่วงปากถ้ำนี่ดูอลังการมาก เป็นโถงกว้างใหญ่รถสิบล้อเข้ามาจอดได้เป็นสิบคัน เพดานสูงพอๆ กับหัวลำโพง ตรงกลางเป็นพื้นเรียบ พอยืนได้ แต่ถ้าหน้าฝนจะเป็นทางน้ำผ่าน ผมดูจากการที่ทรายมันบดอัดจนแน่น เหยียบเข้ากดลงไป ดินยังไม่ยุบ
   กัดฟัน ฝืนใจเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ จนถึงช่วงทางแคบนี่ยิ่งน่ากลัว ต้องปีนป่ายขึ้นไป เลี้ยวเลาะคดเคี้ยวกลัวจะหลงเหมือนกัน ผมมีเชือกติดมา 1 เส้น แต่มันแค่ 20 เมตรเท่านั้นเอง ถึงตอนนี้รู้แล้วล่ะครับว่าเชือกแบบสะท้อนแสงมันมีประโยชน์อย่างไร
   มีทางแยกในถ้ำด้วยนะ ไม่กล้าไปหรอกครับ กลัวหลง แค่มืดก็สาหัสแล้ว เกิดหลงขึ้นมานะ ไม่อยากคิดจริงๆ นี่วันธรรมดา ไม่มีนักท่องเที่ยวคนใดก้าวลงมาหลังจากผมอีกเลย โฮ่ๆ ๆ ๆ
   ยิ่งเดิน ยิ่งกลัว ท่ามกลางความมืดใจก็คิดไปต่างๆ นานา โดยมากจะเป็นด้านลบ ที่ทำให้จิตใจเราท้อถอยไปทุกที
   จะมีงูไหมนะ ตะขาบ แมงป่อง ค้างคาว นี่ขนาดสัตว์เล็กนะ บางช่วงจิตใจคิดไปถึงตอนเจอสัตว์ใหญ่ สัตว์ป่า พวกหมีตัวใหญ่ โอ้โห้ แม่ง คิดแล้วแทบถอดใจเลยครับ ไม่ได้สร้างสรรค์เล้ยยยย
   เออ แล้วเกิดแบตฯไฟฉายเราหมดล่ะ
   เจอมุขนี้เข้าไปอาการโคม่าออกทันที เพราะผมเอาไฟจักรยานเก่าๆ มาส่องทางน่ะสิ เกิดไฟดับนี่จบข่าวเลยนะนั่น คลำทางกลับไม่ถูกแน่เลย ตอนนี้ไฟยังพอมีอยู่ก็ส่องได้แค่ระยะมือเอื้อมถึง ไม่เอาแล้วโว๊ยยย กลับดีกว่า ไม่สนุกแล้ว
   เข้าไปได้สัก 500 เมตร ใช้เวลาราว 45 นาที ก็ยอมแพ้ครับ แต่ถ้ามีเพื่อนกลุ่มใหญ่ลงไปด้วยคงจะดีนะ มันน่าจะอุ่นใจขึ้นเยอะเลย
   ผมนั่งเล่นที่โถงใหญ่ปากถ้ำพักหนึ่ง ชมความอลังการของธรรมชาติที่เกิดมาเพิ่งเคยเห็นถ้ำขนาดใหญ่แบบนี้ บอกกับตัวเองว่าสักวันจะต้องกลับมาอีกครั้ง และต้องเข้าไปจนสุดทางให้จงได้
   ประทับใจมิรู้ลืมครับ นี่แหละ เสน่ห์ของธรรมชาติ ผมชอบการใช้ชีวิตแบบนี้เป็นที่สุด รู้สึกเหมือนกับว่าเราเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ หึหึ เว่อร์จริงๆ
   ขับย้อนกลับออกมาทางเดิม อีกแป๊บเดียวก็ถึงแม่สายแล้ว เหนือสุดของไทย ข้ามเข้าไปตลาดท่าขี้เหล็กของพม่าได้ แต่เมืองมันดูเงียบๆ ยังไงไม่รู้ ผมขับรถตระเวนดูแล้วก็วนรถกลับออกมา ไปเชียงแสนต่อดีกว่า ดินแดนสามเหลี่ยมทองคำ
   ถนนเรียบดีตลอด รถน้อย ขับสบาย ไม่มีหลง เพราะตรงอย่างเดียว มีการสร้างถนนใหม่ ขยายถนนเป็นบางจุด ขับกลางวันไม่มีปัญหา แต่กลางคืนไม่แน่ เพราะมีทางเบี่ยงหลายจุด และไม่มีไฟส่องสว่าง แก้ปัญหาง่ายๆ ด้วยการลดความเร็วครับ
   แม่สายถึงเชียงแสนทางเรียบตลอด ขับชมวิวเลาะริมลำน้ำโขง ช่วงสามเหลี่ยมทองคำจะมีดินแดนของพม่า และลาวให้เราเห็นอยู่ใกล้ๆ มีจุดชมวิวให้นั่งเล่นริมน้ำเป็นระยะ ผมจอดถ่ายรูปหลายครั้ง นี่เป็นวันจันทร์บรรยากาศเลยเหงาๆ แต่ก็มีนักท่องเที่ยวฝรั่งบ้างประปราย
   เชียงแสนถึงเชียงของจะเป็นภูเขาเสียเยอะ ช่วงแรกทางเรียบ แต่ราว 30 กม หลังภูเขาล้วนๆ ครับ โหดดิบดี ขับอยู่เพลินๆ ก็เห็นคนยืนอยู่ข้างทาง พอเข้าไปใกล้ๆ ก็เห็นว่ามากับจักรยาน อ้าว นักเดินทางหรอกหรือนี่ มากับรถพับอีกด้วย ยังไม่พอนะ เพราะเป็นรถพับแบบโคตรโทรม โคตรเก่า จานหน้าใบเดียว เฟืองหลัง 6 ไอ้รถแบบนี้ไม่มีทางขี้นเขาย่านนี้ไหวหรอก มันมีไว้แค่ขี่ในเมือง
   “สวัสดีครับ มีอะไรให้ช่วยไหมครับ”
   “เชียงของ” เขาตอบผมมาแบบสั้นๆ คำเดียว
   ฟังสำเนียงแล้วรู้ว่าไม่ใช่คนไทยแน่ ชายหนุ่มอายุราว 20 เศษ ตัวผอมสูง กับรถพับเหล็กเกรดต่ำที่สภาพโทรมเหมือนเศษเหล็ก ชนิดที่ว่าจอดทิ้งไว้ ขโมยยังไม่อยากเอา
   เย้ๆ ได้ทำความดีแล้วโว๊ย ตอนอยู่ดอยช้างผมเจอคนข้างทางก็จอดถาม แต่ชาวเขาเขาไม่ยอมขึ้นรถผม บอกว่าเดินอีกแป๊บเดียวก็ถึง
   “ขึ้นรถมาเลย” ผมพูดพร้อมกับ ผายมือไปที่รถ วิ่งไปเปิดฝากระโปรงท้าย หนุ่มชาวจีน (ผมเดา เพราะรถเขามีธงจีนติดไว้) ปลดกระเป๋าสัมภาระออก พับรถแล้วยัดท้ายรถ Vios อย่างง่ายดาย
   เขาชื่อ “ปินสึ” เป็นคนจีน ขี่เข้ามาทางพม่า ไทย กำลังจะไปเชียงของเพื่อลงเรือข้ามไปลาว และกลับบ้านที่จีน ขี่มาเป็นเดือนแล้วล่ะ น่าเสียดายที่ภาษาอังกฤษของเขาไม่ค่อยดี สื่อสารกันลำบาก เลยไม่รู้ว่าที่เขาไม่ขี่ต่อน่ะ เพราะรถพัง หรือว่าขี่ไม่ไหว หรืออยากไปเร็ว
   มีช่วงหนึ่งประทับใจมาก มีป้ายบอกทางว่า “ทางขึ้นเขา 1 กม” แถมขึ้นแบบชันด้วยนะ ผมอ่านป้ายให้ฟัง ปินสึหันมามองหัวเราะร่าเลย ขึ้นไปจนสุดยอดเนิน ก็เจอป้ายบอกว่า “ทางลงเขา 1 กม” แต่อย่าคิดว่าสบายนะ ไอ้ขาลงนี่แหละตัวดีเลยครับ อันตรายสุดๆ มือต้องกำเบรกตลอดเวลา ขี่ลงเร็วเกินไปก็จะเลี้ยวเข้าโค้งไม่ได้ มันสบายแค่ตรงไม่ต้องปั่นเท่านั้นเอง แถมเบรกต่อเนื่องนาน ขอบล้อจะร้อน ทำให้ยางระเบิดได้ง่าย
   ซึ่งถ้ายางระเบิดขณะลงเขานี่มันคือหายนะของนักปั่นครับ เจ็บตัวน่ะเจ็บแน่ แต่อาจรถพังเป็นของแถม หนักกว่านั้นอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ เรื่องจริงครับ และเกิดขึ้นมาหลายครั้งแล้วด้วย
ผมกับปินสึคุยกันแบบมั่วๆ ตลอดทางจนถึงเชียงของ ผมถามว่าจะให้จอดทีท่าเรือไหม ก็ไม่ได้รับคำตอบอีก ผมเลยตัดสินใจเข้าไปที่พักที่เล็งไว้ชื่อ “ตำมิละ” เป็นเกสเฮาส์แห่งแรกในเชียงของ เจ้าของขี่จักรยานอีกด้วย กะว่าจะหารถเช่าขี่เล่นไปในตัว
   เราแยกกันที่ตำมิละ ก่อนจากกันปินสึนึกคำพูดสักพัก แล้วเอ่ยคำว่า “ขอบคุณครับ” เขาพูดออกมาเป็นสำเนียงไทย น่ารักดีว่ะ ผมไม่รู้ว่าเขาจะลงเรือที่ท่าเรือบั๊กเพื่อข้ามไปฝั่งลาวเลยไหม หรือว่าคืนนี้จะพักที่เชียงของนี่ก่อน ภาษานี่เป็นอุปสรรคจริงๆ
   เทใจมาพักที่นี่ตั้งแต่อยู่ กทม ดูในภาพแล้วโอเคดีทุกอย่าง ใจอยากได้ห้องพักริมน้ำ แต่สภาพจริงแล้วมันมีถนนสายเล็กๆ อยู่ริมน้ำ มีรถมอเตอร์ไซค์ชาวบ้านแล่นผ่าน โหห แบบนี้จะนอนหลับหรือวะนี่ คงจะต้องฟังเสียงมอเตอร์ไซค์กันทั้งคืนแน่
   หารือกับ “คุณต๊ะ” ผู้ดูแล บอกความต้องการของผมว่าต้องการห้องพักที่เงียบสงบ ผมจะมาพักผ่อนเพื่อเขียนหนังสือ คิดว่าเขาจะหาห้องอื่นให้ เขากลับแนะนำให้ไปพักอีกแห่งถัดไปไม่ไกล เขาบอกว่าที่นั่นเงียบกว่าของเขา ให้ลองไปดูก่อนว่าชอบไหม
   บ๊ะ แฟร์ดีว่ะ แมนดีมากๆ ชอบจริงๆ
   ผมเข้าไปดูห้องพักที่ “น้ำโขง ริเวอร์ไซด์ โฮเตล” ได้ห้องพักหันหน้าเข้าแม่น้ำโขง แต่อยู่ลึกเข้ามาจากถนน ห้องพักมีระเบียง มีเก้าอี้ให้นั่งเล่นชมบรรยากาศฝั่งลาว มีสวนหย่อมกั้นระหว่างถนน บรรยากาศแบบโรงแรม แต่บริการแบบกันเองเหมือนเกสเฮ้าส์ เดี๋ยวจะเล่าว่ากันเองอย่างไร
   เก็บข้าวของในห้องเสร็จก็เดินออกหาของกินทันที ตอนนี้ประมาณห้าโมงเย็นแล้ว ผมกินมื้อเช้าตอน 11.00 และตลอดทางก็ไม่ได้กินอะไรอีกเลย ถนนหน้าโรงแรมคือถนนใหญ่สุดในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ มีอาหารขายตลอดสองข้างทาง ผมเลือกน้ำพริกหนุ่ม แคบหมู หมูแดดเดียว ข้าวเหนียว เรียกว่าเห็นอะไรน่ากินก็ซื้อตุนไว้ก่อน ของพวกนี้เก็บไว้ได้หลายมื้อ บ้านเมืองสะอาด น่าเดินครับ ตกเย็นแล้วอากาศเริ่มหนาวอีกด้วย เจอนักท่องเที่ยวสามีภรรยาผลัดกันถ่ายรูป ผมรีบปรี่เข้าไปเสนอตัวช่วยถ่าย แน่นอน ไม่มีใครอยากพลาดใช้บริการจากผมหรอก
   พูดคุยกับแม่ค้า เขาว่ามีตลาดใหญ่อยู่อีกฟากของถนนนี้ ได้ยินแล้วหูผึ่ง รีบกลับโรงแรมเอารถยนต์ออกทันที  ขับไปสุดถนนก็เจอลานกว้าง บรรยากาศเหมือนตลาดนัดแถบชานเมือง ขายของกินสำเร็จรูป อาหารพื้นบ้าน และผักสด ของบางอย่างกินไม่เป็น ไม่เคยเห็น เช่น ข้าวแรมฟืน รังผึ้งย่าง และพวกน้ำพริกท้องถิ่น ชื่อแปลกๆ แบบฟังแล้วก็ลืมไปเลย
   มีคนบอกว่าอย่าช็อปปิ้งตอนหิว มิน่าเล่า ผมซื้อของติดมือกลับมาเพียบ พอถึงโรงแรมก็เดินเข้าไปขอจาน ชาม ช้อน จากร้านอาหารเขาหน้าตาเฉย พนักงานก็ใจดีน่ารักสุดๆ กุลีกุจอหยิบจานชามตามที่ขอให้ ผมบอกเดี๋ยวเอามาคืนให้นะ เขาว่าไม่ต้องหรอกครับ เดี๋ยวให้เด็กไปเก็บที่ห้องเอง บ๊ะ เจ๋งอีกแล้ว บริการน่ารักดี
   เปิดถุงเทใส่จานกินกันตรงริมระเบียงนี่แหละครับ นั่งชมวิวฝั่งลาวไปด้วย รับลมเย็นๆ บ้านเมืองเงียบๆ แม้จะเป็นอาหารพื้นบ้านง่ายๆ แต่ก็ทำให้ผมสุขสุดๆ ครับ กินข้าวเหนียวหมูแดดเดียว แคบหมูจิ้มน้ำพริกหนุ่ม มีขนมอีกนิดหน่อย อิ่มแบบแน่นพุง แถมเหลืออีกด้วย
   ใกล้มืดแล้วผมกลัวจะมีแมลง เลยย้ายมานั่งกินในห้องต่อ หัวค่ำออกไปเดินเล่นรับลมหนาวที่ถนนหน้าโรงแรม กลางคืนบรรยากาศเหงาๆ หน่อยนะ มีจักรยานเช่าไว้บริการเยอะเลย เขียนป้ายบอกไว้ว่า วันละ 100 บาท เป็นจักรยาน MTB อย่างดีด้วยนะ ไม่ใช่รถแบบกะโหลกกะลา
   ไม่นึกว่าจะมาเจออากาศหนาว ผมมีแค่เสื้อยืดบางๆ  เดินอยู่นานชักเริ่มหนาว กลัวจะไม่สบาย กลับเข้าห้องดีกว่า
   อาบน้ำอุ่นสบาย มีเวลาว่างให้วางแผนการเดินทางวันรุ่งขึ้น นี่ถ้ามีเวลาอีกก็อยากจะขึ้นภูชี้ฟ้า ผาตั้ง แต่คงทำไม่ได้ พรุ่งนี้ผมจะกลับเข้าตัวเมืองเชียงราย พักในเมืองสักคืน เดินเล่นชมเมือง แล้วก็เตรียมตัวกลับบ้าน กทม ในวันถัดไป
Title: Re: กพ 55
Post by: O'Pern on March 07, 2012, 08:20:00 pm
28 กพ 55
   ผมตื่น 0530 ออกมานั่งเล่นริมระเบียง ท้องฟ้ายังคงมืดอยู่ แต่ทางฝั่งลาวเปิดวิทยุกระจายเสียงดังลั่น อยู่ฝั่งไทยยังฟังได้ชัด จับใจความดูแล้วเหมือนข่าวตอนเจ็ดโมงเช้าในวิทยุไทยที่มีข่าวในประเทศ ข่าวต่างประเทศ ฯลฯ
   0700 เอารถออกขับไปยังตลาดเช้า ชมเมือง สูดอากาศ รับลมหนาว นั่งเล่นริมโขง มองฝั่งลาว ถ่วงเวลาจนสาย แดดออกแล้ว แต่กลับยังไม่รู้สึกร้อน จุดไหนสวยก็จอดรถนั่งเล่นมันซะอย่างนั้น กลับเข้าโรงแรมเอาตอน 0900
   โรงแรมมีบริการอาหารเช้าฟรีครับ ไม่หรู รสชาติกลางๆ แต่บรรยากาศดีโคตรๆ เลยครับ นั่งกินกันที่ริมระเบียงชั้น 3 ติดลำน้ำโขง ฝั่งตรงข้ามเป็นเมืองห้วยทราย ประเทศลาว ตรงจุดนี้ก็นั่งเล่นอยู่อีกนานเลย ชอบเมืองนี้แล้วล่ะ (เอ๊ะ ไปไหนก็ชอบไปหมดเลย)
   จุดหมายวันนี้ขับเข้าตัวเมืองเชียงรายครับ พักที่ไหนก็ยังไม่รู้เลย เป็นการเดินทางแบบ No Plan ที่ผมติดมาจากการเดินทางด้วยจักรยาน ระยะทางวันนี้ราว 150 กม ขับแบบขำขำน่าจะสัก 2 ชม มื้อเช้าจัดการมาแล้ว เข้าตัวเมืองก็คงจะได้เวลากินมื้อเที่ยงพอดี
   เส้นทางราบครับ ไม่มีภูเขาแล้ว ขับสบายดีจริงๆ ถึงตัวเมืองเชียงรายตามเวลาเป๊ะ หาของกินทีใจกลางเมืองเลย ชาวบ้านเรียกว่าย่านหอนาฬิกา ขับรถมั่วเข้าไปจนเจอวงเวียนมีนาฬิกาเล็กๆ ก็รีบหาที่จอด เดินหาร้านอาหารก็ไม่ค่อยมีนะ มันกลายเป็นตลาดสด เอ๊ะ หรือเรามาผิดเวลา หรือเขาขายกันตอนเช้าตอนเย็น
   เดินหาร้านอาหารจนมาเจอร้านบ้านๆ มีพนักงานออฟฟิซมากินกันเยอะ เลยขอจัดบ้าง ดูในเมนูแนะนำ ผมเลือกข้าวผัดต้มยำ ได้ข้าวผัดต้มยำกุ้ง ข้าวออกแฉะๆ หน่อย รสชาติกลางๆ แต่ราคาถูกดีครับ ให้เยอะพออิ่ม จานละ 25 บาท น้ำเปล่า น้ำแข็งฟรี (ตักเอง)
   ตกบ่ายแล้ว หาที่พักดีกว่า ผมชอบแบบเงียบ สงบ ไกลนิดไกลหน่อยไม่เป็นไร นั่งคิดไปว่า หากเราเลือกที่พักในตัวเมือง ก็คงจะต้องฟังเสียงรถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์อย่างเลี่ยงไม่ได้ ฉะนั้น พักนอกเมืองหน่อยดีกว่า เรามีรถยนต์ขับอยู่แล้ว จะไปกลัวไกลทำไมกันเล่า
   ดูแผนที่เมือง พบว่าตัวเมืองมีแม่น้ำกกไหลผ่าน ต้นน้ำมาจากทางพม่า ไหลผ่านตัวเมือง แล้ววกขึ้นเหนือไหลเข้าสู่ลาวต่อ ผ่านไทยแค่ช่วงสั้นๆ นิดเดียว มีที่พักริมลำน้ำกกหลายแห่ง ที่ชื่อคุ้นหูฟังแล้วก็รู้ราคาเลยว่าสำหรับเทพเท่านั้น ผมเลือกอันที่ไม่ไกลกันเท่าไหร่นัก ชื่ออาข่า ริเวอร์เฮ้าส์ ขับไปหาแบบหลงปนงง เส้นทางในเมืองนี่ไม่คุ้นเลยครับ เลี้ยวผิดอันเดียวมันพาเราไปคนละทิศเลย ต้องเสียเวลาวนรถกลับมาใหม่
   ไปถึงก็ไม่ผิดหวัง ที่พักสวย บรรยากาศดี ห้องโอเค ได้ส่วนลดนิดหน่อยเพราะเป็นวันธรรมดา ที่นี่มีแต่ฝรั่งเข้าพัก ตอนเช็คอินเจอคนอิตาลีมาซื้อน้ำดื่ม 10 บาท แต่เขาจ่ายแบงค์ 1000 เจ้าของร้านไม่มีทอน ผมเลยหยิบเหรียญ 10 จ่ายให้แทน พนักงานงง ฝรั่งเองก็งง ผมต้องบอกว่าไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ผมออกให้เอง
   ห้องพักผมอยู่ชั้น 2 มีระเบียงเล็กๆ อีกแล้ว นั่งติดกับแม่น้ำกกเลย เกสเฮ้าส์แห่งนี้เท่ที่มีแปลงผักปลูกไว้กินเองด้วยครับ ผักก็งามดีชะมัด ทั้งผักกาดหอม กะหล่ำ พวกเครื่องเทศก็มีกระเพรา โหระพา ฯลฯ
   เอาข้าวของมาเก็บในห้อง นั่งพักดื่มด่ำบรรยากาศสักพัก ก็เอารถออกขับตระเวนในตัวเมืองเล่น ตัวเมืองมีวัดเยอะนะ แต่ผมไม่ค่อยชอบแนววัดเท่าไหร่ ใจชอบธรรมชาติแบบ Unseen มากกว่า อย่างถ้ำที่เจอมานั่นแหละ สุดยอดแห่งความประทับใจเลย ยังไงจะต้องขอจัดอีกสักรอบให้ได้ ไม่งั้นมันคาใจ และไปคราวนี้ขอแบบจัดเต็มทั้งระบบไฟ อาหาร น้ำ ฯลฯ
   เฮ้ย ยังมีเวลาเหลืออีกเพียบ ไปพิพิธภัณฑ์บ้านดำอีกครั้งดีกว่า ตอนขาไปก็พลาดขับเลย วันนี้ไม่น่าผิดอีกแล้วนะ จะจอดถามชาวบ้านเป็นระยะ จนในที่สุดก็มาถึงจนได้ ทางเข้าแคบๆ เล็กๆ ป้ายบอกทางก็ไม่เด่นชัด มิน่าเล่า วันก่อนถึงได้ขับเลยไป
   ด้านในอลังการสุดๆ คนละแนวกับวัดร่องขุ่นที่เป็นสีขาว ที่นี่เรียกบ้านดำ ข้าวของภายในดูเหมือนจะเป็นที่เก็บของสะสมของอาจารย์ถวัลย์ เป็นพวกชิ้นส่วนของสัตว์เช่นเขาควาย หนังสัตว์ หัวสัตว์ ดูน่ากลัวครับ แต่ก็เข้าใจศิลปินนะ เพราะว่านี่คือต้นแบบของจิตนาการในการวาดภาพสัตว์ในอิริยาบถต่างๆ
   ความงามที่แท้จริงของที่แห่งนี้ที่ผมสัมผัสได้ก็คือโครงสร้างของอาคารที่เรียงรายอยู่ไม่ไกลกันนัก แต่ละหลังมีจุดเด่นต่างกันออกไป สวยทุกหลังครับ ผมใช้เวลาอยู่ที่นี่จนถึงบ่ายแก่ๆ แล้วจึงขับรถกลับเข้าไปในตัวเมืองเพื่อหาของกินมื้อเย็น ซึ่งต้องขับรถย้อนลงใต้เข้าตัวเมืองเชียงราย
อ๊ะ ไฟน้ำมันเชื้อเพลิงขีดสุดท้ายกระพริบ ไม่รู้เหมือนกันว่าการแสดงผลแบบนี้หมายความว่าอย่างไร เข้าใจล่ะว่าน้ำมันเหลือน้อยเต็มที แต่อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะมีการเตือนระดับเข้มข้นกว่านี้อีกไหม
บนหน้าปัดรถยนต์จะใช้สีของไฟสื่อสารกับคนขับ ไฟเลี้ยวจะแสดงผลสีเหลืองบ้าง เขียวบ้าง ไฟใหญ่ปกติก็จะสีเขียว ไฟสูงก็จะสีฟ้า หรือจะมีรถแปลกๆ ใหม่ๆ ทำสีบ้าๆ บอๆ อะไรก็ช่าง แต่ถ้าเป็นไฟสีแดงล่ะก็ แปลว่านั่นคือการเตือนระดับสูง เช่น ไฟเบรกมือขึ้น ก็แปลว่าเราลืมปลดเบรกมือ หรือถ้าปลดแล้วไฟยังขึ้น ก็แปลว่าน้ำมันเบรกพร่อง ไฟรูปกาน้ำมันเครื่องโชว์ ก็คือน้ำมันเครื่องพร่อง ถ้าไฟนี้เตือนล่ะก็ ต้องเติมมากกว่า 1 ลิตรแน่ๆ อาการหนักสุดชนิดขับแบบไม่เป็นสุขก็คือไฟรูปเครื่องยนต์ขึ้น ยิ่งถ้าเป็นรถยุโรปที่มีหน้าจอแสดงผลแบบคอมพิวเตอร์ มันจะเตือนเราเป็นตัวอักษรแบบน่ากลัวมาก เช่น นำรถเข้าศูนย์ด่วน / หยุดรถเดี๋ยวนี้ / อะไรทำนองนี้แหละ
ไม่อยากคิดมาก เจอปั๊มก็จอดแวะเติมถังให้เต็มซะ จะได้ขับอย่างสบายใจ เรามาเที่ยว ไม่ได้มาทดสอบรถยนต์
   ขับไปขับมา เจอหอนาฬิกาอีกอัน อันนี้ใหญ่ และสวยงามมากกว่าหออันแรกเยอะมาก สองข้างทางมีร้านค้าอาหารเต็มไปหมด
   อ้าว เมืองนี้เขามีหอนาฬิกา 2 อันหรอกหรือนี่ ปัดโธ่
   รีบหาที่จอดรถทันที ลงมาเดินเล่นสำรวจร้านค้าร้านอาหาร เย็นนี้เล่นก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นหมู 1 ชาม โรตี 1 แผ่น กินทั้งๆ ที่รู้ว่ามันอ้วน อาศัยจากบ้านมาไกลก็ขอจัดสักหน่อย เดินเล่นชมเมืองจนเกือบมืดก็เข้าที่พัก
   คืนสุดท้ายแล้วสินะ เล่นเอาเหงาเหมือนกัน ผ่านไปแล้ว 3 วันเต็มๆ เวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน ผมเที่ยวได้ไม่เยอะนัก ไม่ได้อัดโปรแกรมแบบเต็ม แต่จะเน้นพักผ่อนสบายๆ เสียมากกว่า อยากให้ช่วงเวลาเล็กๆ นี้เป็นการผ่อนคลายจิตใจ หวังว่าใจที่เงียบสงบ จะคิดหาธุรกิจใหม่ๆ หรืออย่างน้อยก็ต้องได้ไอเดียด้านอื่นๆ
   ยิ่งค่ำอากาศก็ยิ่งเย็น มีหมอกบางๆ หรืออาจจะเป็นฝุ่นควันตามข่าวที่ลงหนังสือพิมพ์ก็เป็นได้ กลางคืนอยู่แต่ในห้องพักครับ ต่างจากนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่เขาจะต้องออกตระเวนราตรี ชมบรรยากาศเมืองยามค่ำคืน จัดเตรียมข้าวของแพ็คเก็บทีละส่วนๆ พรุ่งนี้ต้องกลับกรุงเทพฯแล้วสินะ
   ข้อเสียใหญ่ของที่พักนี้ก็คือเตียงเขาทำจากไม้ไผ่บ้องกลมๆ ใหญ่ มันยื่นออกมานอกขอบที่นอนเยอะมากเป็นคืบเลย เดินแล้วเข่าชนบ้าง นิ้วเท้าไปเตะโดนบ้าง เจ็บฉิบเป๋ง แถมตอนนอนแล้วพลิกตัวจะดังเอี๊ยด อ๊าดๆ ห้องพักกว้างใหญ่ดี แต่กลับโต๊ะวางกระเป๋าเดินทาง ไม่มีที่แขวนเสื้อผ้า ออกแบบยังไม่ค่อยลงตัวเท่าไหร่ครับ จุดนี้ควรแก้ไข มันจะเป็นห้องพักที่สมบูรณ์มาก
   ผมเลือกห้องพักแบบมีระเบียงก็หวังจะนั่งเล่น แต่มันมีแมลงมาเล่นไฟเยอะมาก ไม่รู้ว่าเพราะต้นไม้เยอะ หรือว่าอยู่ริมน้ำ หรือจะถูกทั้งข้อ ก และ ข ก็เป็นได้ ก็เลยได้แต่นั่งเล่นในห้อง ด้านล่างของเกสเฮ้าส์มีคอมพิวเตอร์ต่ออินเทอร์เนทฟรี แต่ยุงมันเยอะ อ้อ ที่นีมี wifi ฟรีด้วยครับ ขอ password จากพนักงานได้เลย
Title: Re: กพ 55
Post by: O'Pern on March 07, 2012, 08:22:24 pm
29 กพ 55
   ตื่นนอนแต่เช้าเหมือนเดิม นั่งเล่นริมระเบียง ชมบรรยากาศแม่น้ำกก เงียบสงบดีครับ อ้อ มีข้อเสียอีกนิด ลืมเล่าไป ที่พักแห่งนี้อยู่ใกล้ถนนใหญ่ไปนิด เลยได้ยินเสียรถยนต์แล่นบ้าง ยังดีล่ะที่ไม่ได้มีมอเตอร์ไซค์ซิ่ง ไม่งั้นจะเซ็งจิต
   ว่างๆ ก็นั่งจัดของ แพ็คของเข้ากระเป๋า จัดวางให้เป็นระเบียบ สายหน่อยก็ขับรถเข้าเมืองอีกรอบ ตอนนี้รู้แล้วล่ะว่าต้องไปหาของกินที่ไหน ไปหอนาฬิกาอันใหญ่ดีกว่า เพิ่งจะมาฉลาดเอาวันสุดท้ายนี่เอง เฮ้ออ
   เช้าๆ แบบนี้อยากได้อาหารแบบน้ำซุบ ปกติก็จะกินต้มเลือดหมู แต่วันนี้เจอร้านบะหมี่เชียงราย ขอจัดสักหน่อย เล่นบะหมี่น้ำไป 1 ชาม อิ่มครับ ชามใหญ่ รสชาติเหมือนกินตอนเด็กๆ หน้าโรงเรียนเลย
   เดินเล่นเล็กน้อย เจอร้านขายหมูยอและของฝาก เข้าไปดูสักหน่อย ได้น้ำพริกหนุ่ม แคบหมู ขนมข้าวซอยตัด พอสายแดดร้อนแล้วล่ะ อิ่มแล้วด้วย เห็นของกินเยอะแยะก็ไม่สน
   กลับเข้าที่พักจัดของแพ็คกระเป๋าอย่างเป็นทางการเสียที นั่งอ่านหนังสือเล่นที่ริมระเบียง ดื่มด่ำกับบรรยากาศของเมืองเชียงรายเป็นครั้งสุดท้าย อีกไม่กี่นาทีแล้วสินะที่ผมจะต้องลาจากเมืองนี้
   เป็นครั้งแรกที่มาเชียงราย จังหวัดที่อยู่เหนือสุดของไทย ได้ไปถ้ำที่ใหญ่ที่สุดของไทย ได้กินกาแฟบนดอยช้างที่รสชาติดีที่สุดในประเทศไทย เจอคนมีน้ำใจกับผมอย่างเป็นที่สุดชื่อพี่สมัครที่อำเภอพาน เจอชาวอาข่าเจ้าของร้านอาหารบนดอยช้างที่เปิดร้านรอผมมากินมื้อเย็น ถ้าไม่มีร้านนี้ ผมก็ไม่มีอะไรกินอีกแล้ว เห็นดินแดนพม่าที่สามเหลี่ยมทองคำ และนั่งชมเมืองห้วยทรายของประเทศลาว กินมื้อเช้าท่ามกลางอากาศเย็นจัดที่ริมลำน้ำโขง ขับรถเก๋ง Toyota Vios ลุยเส้นทางออฟโรดที่คนท้องถิ่นยังไม่อยากขับขึ้น เจอบ่อน้ำร้อนธรรมชาติที่ไร้คนเหลียวแลข้างถนนที่ใกล้อำเภอพาน
   ยิ่งเดินทาง ยิ่งรักประเทศไทย ใครๆ ก็สามารถเป็นอย่างผมได้ครับ
   ออกจากที่พักอาข่า ริเวอร์เฮ้าส์ตอนใกล้เที่ยง ขับรถไปสนามบินเพื่อคืนรถเช่าของบริษัท North Wheel ร้านนี้คิดเงินไม่เว่อร์ครับ ขอมัดจำแค่ 5000 บาท แต่ร้านอื่นเอาถึง 30000 บาท
   เช็คอินที่เคาเตอร์ Thai Air Asia เพื่อออกบัตร Boarding Pass ที่เหลือก็แค่รอเวลาเครื่องบินออก ไม่ค่อยชอบช่วงเวลานี้เลย ดูมันอาลัยยังไงก็ไม่รู้ เหมือนเรากำลังจะแยกจากเพื่อนรัก
   ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา  มีพบก็มีพราก มีรักก็มีจาก เก็บไว้เพียงความรู้สึกดีๆ ที่เรามีให้ต่อกัน
แล้วพบกันใหม่นะ เชียงราย ผมจะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง

เครื่องบินทะยานออกจากสนามบินแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงรายตอนบ่าย ทันทีที่เครื่องออก หัวใจผมก็ไปถึงกรุงเทพฯเสียแล้ว ผู้โดยสารที่นั่งข้างๆ เป็นหญิง คุยกันนิดหน่อย เขาไม่ใช่คนเชียงราย ก็เลยไม่รู้จะคุยอะไรต่อ หมดมุขขึ้นมาซะงั้น ต่างจากขามาแบบคนละเรื่อง เพราะไปเจอกับอาริส คนทำงานบริษัททัวร์ ที่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงมาก่อน เจอตัวจริงของจริง เลยมีเรื่องให้คุยกันตลอดทาง แถมก่อนแยกกันยังแลกนามบัตรกันอีกด้วย
อีก 1 ชม ถัดมาล้อก็แตะที่สนามบินสุวรรณภูมิ รอรับกระเป๋าแล้วก็กลับบ้านได้เลย ปกติผมจะกลับบ้านด้วยรถเมล์ ใช้รถ Shuttle Bus สีขาว ขึ้นที่ชั้น 3 เขาจะพาไปส่งที่ท่ารถเมล์ นั่งฟรีครับ แล้วต่อรถสาย 558 ลงหน้าปากซอยบ้านเป๊ะ ค่ารถ 38 บาท ใช้เวลาประมาณ 1.30 ชม กว่าจะถึงบ้าน แต่วันนี้ผิดไป ผมต้องไปรับลูกที่โรงเรียนต่อ
เลือกใช้บริการรถแท็กซี่ครับ แต่อย่าไปขึ้นที่ชั้นล่างนะ พวกนั้นรถปั่นมิเตอร์ ไม่ก็สารพัดกลโกง เขาชอบรับแต่พวกฝรั่ง และมักจะขอไม่กดมิเตอร์ อยากจะให้เหมาจ่ายแพงๆ เจอคนไทยนี่ขับรถแบบหงุดหงิดเลย ขับรถกระฟัดกระเฟียด บ้างก็มามุขแกล้งบอกรถเสีย ออกจากสนามบินมาได้หน่อยเดียวก็ทิ้งเราเสียแล้ว มักจะปล่อยแถวพระราม 9
ไม่อยากเสียอารมณ์แนะนำให้ลากกระเป๋าไปใช้บริการแท็กซี่ที่เขาเพิ่งมาส่งผู้โดยสารที่ชั้น 4 ครับ เดินไกลหน่อย แต่ได้แท็กซี่ดี แท็กซี่ตัวจริงที่ไม่ปฏิเสธผู้โดยสาร ไม่ต้องโดนชาร์จเพิ่ม 50 บาท เหมือนพวกแท็กซี่ที่เรียกจากชั้นล่าง
แป๊บเดียวก็ถึงบ้านแล้วครับ กลับตอนบ่ายรถยังไม่ติดมาก วางกระเป๋าเดินทางแล้วหยิบกุญแจรถติดเครื่องไปรับลูกทันที
มื้อเย็นลูกเลยได้ที ขอกินอาหารญี่ปุ่นร้านยาโยอิ ที่ Big C ร้านเพิ่งมาเปิดใหม่ มิวเลยบอกว่าขอชิมหน่อย ไม่รู้รสชาติจะเหมือนร้านในฝั่งห้างเซ็นทรัลพระราม 2 หรือไม่
อืมม จัดไปลูก