racing-club.net

Bike Forum => my bike diary / my life diary => Topic started by: O'Pern on February 01, 2010, 05:08:38 pm

Title: กพ 53
Post by: O'Pern on February 01, 2010, 05:08:38 pm
1 กพ 53
   ลืมตาตื่น แต่ไม่มีแรงขยับตัวครับ เคยเป็นกันไหม
   แม่บ้านยังไม่กลับมา เลยขี่จักรยานไปซื้อโจ๊กให้ลูกกิน โหยยย แทบไม่อยากจับจักรยานเลยครับ เห็นแล้วอยากจะถีบแม่งทิ้งไปไกลๆ ขี่ไปแบบไม่สนุกเลยแม้แต่น้อย รีบไป รีบกลับ
   ผมชั่งน้ำหนักดู พบว่าลดไปถึง 1.5 กก แต่ไม่ได้ดีใจอะไรนักหรอก มันลดเพราะร่างกายเราเสี่ยน้ำไปเยอะไว้อีก 1-2 วัน มันก็ขึ้นมาเท่าเดิมแหละ
   กลางวันทำธุระข้างนอกบ้าน แดดแรงจัดเหลือเกิน มันก็แรงพอๆ กับเมื่อวานล่ะนะ แต่เมื่อวานเราอยู่บนจักรยานเลยไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร
   หนังสือพิมพ์เดลินิวส์พาดหัวเรื่อง Honda เขา Recall รถ เอาอีกแล้วไง ทำเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตไปได้ อาทิตย์ก่อนก็มีข่าวของ Toyota Recall ผมก็เล่าไปแล้วว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา แถมยังต้องชื่นชมเขาอีกด้วยซ้ำที่ยั้งเอาใจใส่ลูกค้า
   รถยี่ห้ออื่นๆ เขาก็มี Recall กันเป็นเรื่องปกตินะครับ ต่อให้เป็นรถเกรดสูงอย่าง Mercedes Benz / BMW ก็ยังมี
   และยังมีอีกเยอะ แต่มีการ Recall แต่เขาปิดข่าว คือไม่บอกแม้กระทั่งลูกค้าตัวเอง เขารอให้เราเอารถเข้าศูนย์ จังหวะนั้นแหละครับ ที่เขาเปลี่ยนชิ้นส่วนที่ผิดปกติให้คุณไปแล้ว และไม่มีค่าใช้จ่ายในจุดนี้
   โดยเฉพาะรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ไอ้พวกไฮเทคทั้งหลายแหล่นี่แหละตัวดี รถพวกนี้จำเป็นต้องเข้าศูนย์ตลอดนะครับ ระบบไฮเทค มีคอมพิวเตอร์ควบคุมต่างๆ  มีระบบอัจฉริยะคอยประมวลผล
   รถเหล่านี้มักจะเป็นรถหลังปี 2000 ขึ้นไป ที่บอกว่าควรนำรถเข้าศูนย์บ้าง ก็เพราะทางบริษัทแม่เขาจะส่งข้อมูลมาคอยอัปเดทซอฟแวร์ในรถเราอยู่เสมอ แต่ถ้ามีพรรคพวกอยู่ในบริษัทนั้นก็คอยหมั่นเช็คข้อมูลกันหน่อยก็ดีครับ เพราะบางทีการเข้าศูนย์แล้วไปเจอศูนย์แย่ๆ เจอช่างห่วยๆ นี่มันคือฝันร้ายของเราเลยทีเดียว
   กลโกงของศูนย์มีเยอะมากครับ ไว้ทะยอยเล่า หากผมยังไม่เล่า คือผมลืม เจอหน้าทวงได้
   ตกเย็นตรวจเช็คจักรยานพบว่ายางหน้าแบนลงเยอะ แต่ยังพอมีลมอยู่ รูรั่วต้องไม่ใหญ่ชั้วร์ ไม่งั้นผมทนปั่นกลับมาไม่ได้หรอก
   แต่ยังไม่ถอดมาปะซ่อมนะ โรคเบื่อจักรยานยังไม่หาย
Title: Re: กพ 53
Post by: O'Pern on February 02, 2010, 08:44:02 pm
2 กพ 53
   วันที่ 14 กพ นี้ จะมีงานขี่ขึ้นอินทนนท์อีกรอบ เป็นงานแข่งประจำปีของอำเภอจอมทอง เคยคิดว่าอยากไปอีกครั้ง แต่มันดูเนือยๆ ยังไงไม่รู้ ไม่ค่อยตื่นเต้นเหมือนครั้งก่อน สงสัยไม่มีเพื่อนไปมั้ง อย่างปีก่อนมี่น้าชูชวน แถมยังไปพักบ้านน้าชูเขาอีกตั้ง 3 คืน
   อ่านเวป TCHA (ชื่ออันนี้ไม่ผิดแน่ๆ ละ) เขาก็มีงานขี่ขึ้นอินทนนท์เหมือนกัน แถมจัดไปเป็นทริปรีไซเคิ้ลจักรยานอีกด้วย แต่เขาไปกันหลายวันครับ ออกเดินทางคืนวันศุกร์ที่ 26 และกลับมากรุงเทพฯเอาเช้าวันที่ 2 มีนาคม เลยชักจะลังเลใจ ใจหนึ่งก็อยากไป เพราะผมชอบขี่กับ TCHA แต่อีกใจคิดไปพลางว่าจะออก Solo Trip ของตัวเองอีกครั้งดีไหม
   สองจิตสองใจอยู่นั่นแหละ
   สำรวจใบหน้าตัวเองตอนอาบน้ำเห็นร่องรอยจากการโดดแดดเผาบนเรือตอนดูปลาโลมาได้อย่างชัดเจน คือผมมีกระ ฝ้า อยู่เต็มใบหน้ามานานมาก ตอนเด็กๆ เล่นกีฬากลางแจ้งและไม่เคยทาครีมกันแดดเลย เพิ่งจะมาทาไม่กี่ปีมานี่แหละ ทาแล้วก็มันช่วยป้องกันของใหม่ให้เกิดได้ช้าลง ส่วนของเก่าก็ค่อยๆ จางลง ไอ้ของพวกนี้มันไม่หายสนิทหรอกนะ ได้แค่ทุเลา
   ตามปกติมันก็เป็นรอยกระ ฝ้า บางๆ จางๆ แต่วันนี้มันชักเข้มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นั่งตากแดดแค่ชั่วโมงเดียว (แต่แดดแรงจัด) โธ่ ไม่น่าเลย    ไอ้กระ ฝ้า พวกนี้ยิ่งใช้เวลานานกว่าจะเลือนลางลงไป มันไม่หายขาดหรอกครับ หากโดนแดดแรงๆ แป๊บเดียวเซลล์สีผิวก็เปลี่ยนเป็นเข้มทันที
   เช้านี้สำรวจจักรยานอย่างเป็นทางการ โดยเฉพาะรูรั่ว อัดลมเข้าไปก็ได้ยินเสียงฟู่ๆ อย่างชัดเจน แบบนี้ง่ายครับ ไม่ปะก็เปลี่ยน มีสองทาง ถ้าเป็นเวลาปกติผมก็จะปะ แต่ถ้าต้องไปลงเขาชันสุดกู่อย่างอินทนนท์ก็จะเปลี่ยนยางในเส้นใหม่ ก็เพราะตอนลงเขานานๆ ยาวๆ เราจะต้องใช้เบรกมาก เบรกแบบจับขอบล้อแม้จะหยุดได้ดีก็จริง แต่เบรกนานๆ เกิดการเสียดสีแล้วขอบล้อจะร้อน ถ้าหากร้อนมากเข้าจะทำให้ยางในระเบิดได้ แต่ยางในไม่ได้ระเบีดอย่างเดียว มันสามารถดันยางนอกให้แตกกระจุยได้ในพริบตา ส่งผลให้รถล้มกลิ้ง ไม่อยากนึกภาพตอนมันระเบิดขณะลงเขาชันๆ เลยครับ
   เห็นกลุ่ม TCHA เขาก็จะจัดไปขึ้นอินทนนท์เหมือนกันนะ ผมเลยเข้าไปให้ข้อมูลพื้นฐานที่ควรรู้เกี่ยวกับการปั่นเล็กๆ น้อยๆ โดยเน้นไปที่การลงเขาเป็นสำคัญ ผมกลัวเขาล้มกันน่ะครับ ยิ่งมีผู้ใหญ่ไปกันเยอะด้วย ถ้าเป็นพวกกลุ่มวัยรุ่นนี่จะไม่ค่อยเป็นห่วงสักเท่าไหร่
   เข้าเรื่องยางรั่วต่อ มันรั่วตั้งแต่เช้าวันอาทิตย์แล้วล่ะ แต่รูไม่ใหญ่ ลมค่อยๆ ซึม มาวันนี้ผมลองอัดลมเข้าไปดูกะว่าให้ตึงมือเหมือนตอนออกทริป พบว่าลมยางมีแค่ 20 psi เอง โหห แล้วผมทนปั่นแบบนี้จนจบทริปได้ไงนี่ กินแรงสุดๆ เลย จนทำให้ในที่สุดก็ขี่ไม่ไหว ต้องเอาจักรยานขึ้นรถเมล์กลับบ้าน เล่าให้ใครฟังก็ฮากันใหญ่
   เมื่อคืนคุยกับเจ้าตุ๊ก คนนี้เป็นรุ่นน้องเจอกันทริปวังน้ำเขียว ผมเป็น Buddy ให้เขา ทริปนั้นมือใหม่เยอะมาก แถมตุ๊กยังใช้รถพับไปลุย เธอคงยังไม่รู้ว่าถนนมันเป็นแบบ Off Road ผมเองน่ะรู้ แต่ก็ยังดื้อไปกับยางสลิค เพราะต้องการทดสอบบางอย่าง
   “วันนั้นตุ๊กถึงบ้านกี่โมงครับ” ผมถาม
   “หกโมงกว่าค่ะพี่ แล้วพี่ล่ะ”
   “ผมถึงบ้านสองทุ่ม ขี่ไม่จบหรอกนะ เอาจักรยานขึ้นรถเมล์ แล้วมาต่อเรือข้าฟากพระประแดง”
   ผมพูดจบ เจ้าตุ๊กหัวเราะลั่น
   “แล้วคนเขาไม่มองพี่หรอ”
   “ก็มองสิ จอดป้ายไหนคนก็มองตลอด เราก็ได้แต่ส่งยิ้มไป”
   ทริปล่าสุดบางปะกง ตุ๊กเปลี่ยนไปใช้รถแบบ Full Size MTB ของ Trek แล้ว แม้จะตัวเล็ก แต่พื้นฐานดี ใจถึง ร่างกายแข็งแรง แบบนี้ไปไหนไปกัน
   ผมถามว่าทริปอินทนนท์จะไปด้วยไหม ดูเธอสนใจนะ แต่ต้องรอดูกลุ่มเพื่อนๆ ก่อน ผมเองน่ะสนอยู่แล้ว ไปกับ TCHA ยิ่งสนุกเข้าไปใหญ่ อย่างที่บอก ปั่นกับคนคุ้นเคย เหมือนปั่นกับญาติสนิท ยิ่งได้เหนื่อยร่วมกัน ได้ปั่นเคียงข้างกัน แบบนี้จะทำให้ยิ่งรักกันมากขึ้นครับ
   เออ นึกขึ้นได้บัตรสมาชิกผมหมดอายุเดือนมกราคม มันผ่านมาแล้วนะนี่ ผมว่าจะทำสมาชิกแบบตลอดชีพไปซะเลย
   ตกเย็นได้รับจดหมายจากชมรมจักรยานเพื่อสุขภาพ อำเภอจอมทอง ชวนไปงานปั่นขึ้นอินทนนท์ครั้งที่ 3 แหม ช่วงกลางวันเพิ่งคุยเรื่องนี้หยกๆ ทำเอาอยากไปร่วมงานด้วยนะครับนี่
Title: Re: กพ 53
Post by: O'Pern on February 07, 2010, 10:34:34 am
3 พค 53
   เห็นข่าวทีวีคุยกันเรื่องปรับปรุงทัศนียภาพสนามหลวง ผมเห็นด้วยครับ แต่ยังมีประเด็นย่อยเรื่องการไล่นกพิราบ เขาบอกว่าจะนำนกไปเลี้ยงที่อื่น เลี้ยงในกรงขนาดใหญ่ แยกเพศผู้ เพศเมีย อืม ทำไมต้องทำขนาดนั้นด้วย ผมงง
   คิดแบบผม คิดแบบคนไม่มีความรู้ หากคุณอยากไล่นก ก็ไม่ต้องไปให้อาหารมันสิครับ ทุกวันนี้ที่มีนกมา ก็เพราะมีพ่อค้าคอยืนขายถั่วเขียว ขายอาหารนก แหม แบบนี้จะไล่นกได้อย่างไรกันเล่า
   แค่ประกาศออกมาว่าห้ามขายอาหารนก ห้ามเลี้ยงนก แค่ห้าม แค่ออกกฏ มันง่ายและใช้เงินน้อยกว่าขนย้ายนกไปที่อื่น ไม่ต้องเปลืองค่าสร้างกรง ไม่ต้องมีค่าดูแล    
   เอ๊ะ หรือคิดแบบผมมันง่ายไป คือทำได้จริง แต่คนทำไม่ได้เงิน !!! ทำแล้วไม่ได้อะไรเลย ได้แค่เงินเดือนตามปกติ (มันคงยังไม่พอ .. อ้าว แล้วมึงมาเป็นข้าราชการทำไมกันล่ะ)
   พ่อค้าแม่ค้าจะมาต่อต้านตำรวจก็จับสิครับ เอะอะ อะไรก็ก่อม็อบๆ กันตลอด แบบนี้บ้านเมืองไม่ได้พัฒนาหรอกครับ พวกประท้วงคิดถึงแค่ตัวเองไม่ได้ค้าขาย แต่ที่ผ่านมาไม่รู้ว่าคิดหรือไม่ว่าที่ผ่านมามันเละขนาดไหน
   ผมว่าผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเรายังคิดกันสั้นอยู่นะ ที่ผ่านมาไม่เคยเห็นใครมองการณ์ไกลเหมือนในหลวงท่านเลย ไม่ต้องทำให้ได้ทัดเทียมพระองค์ท่านหรอกครับ (เพราะผมรู้ว่านักการเมืองไทยเราทำไม่ได้) เอาแค่นำคำของท่านมาปฏิบัติก็เพียงพอแล้ว ไม่ต้องอะไรมาก ผมขอแค่กฏข้อแรกข้อเดียวของลูกเสือที่ทุกคนเคยสาบานมาแล้ว
   1 ข้าจะจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
   แค่นี้ข้อเดียวยังทำกันไม่ได้เลย บ้านเมืองถึงได้พัฒนาแบบย้อนหลังอย่างทุกวันนี้ไง
   ณ เวลานี้ นาทีนี้ที่ประเทศก้าวไปไม่ได้ ผมอยากได้พระเอกขี่ม้าขาวมาสักคน หรือหากไม่มีจริงๆ ก็คงต้องพึ่งระบบคอมมิวนิสต์แล้วล่ะครับ จริงๆ นะ ผมคิดถึงคอมมิวนิสต์จริงๆ เอาแบบเหมา เจ๋อ ตุง นี่แหละครับ ดัดสันดานนักการเมืองดีนัก
   รัฐบาลจีนปัจจุบันยังมีการประหารชีวิตนักการเมืองโกงกินเลยนะ จำกันได้หรือเปล่า บ๊ะ สุดยอดว่ะ ชอบจริงๆ เลย
   ไทยเราอิสระเสรีแบบงี่เง่าไร้ขอบเขตครับ อ้างอธิปไตยท่าเดียว โดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองมันก็ล้ำเขตคนอื่นเขาอยู่เหมือนกัน แค่ตัวเองเสียผลประโยชน์เท่านั้นแหละ ไม่ได้เด็ดขาด แต่ตาของมันจับจ้องจะเอาเปรียบคนอื่นอยู่ตลอดเวลา
   เหมือนอันธพาลขับรถบนถนนที่เราพบเห็นกันได้บ่อยๆ น่ะครับ มันจะปาดไปเลนไหนก็ใช้ขับไปเบียดคนอื่นเขา แต่พอตัวเองโดนเบียดให้บ้าง ทำเป็นโกรธ ทำโมโห ท้าตี ท้าต่อย ก็มีให้เห็นอยู่ประจำ
   แล้วที่เห็นว่าโดนยิงตายเพราะขับรถปาดหน้ากันน่ะ มันไม่ใช่เรื่องรถหรอกนะ มันตายเพราะกวนตีนต่างหาก
   
4 กพ 53 – 6 กพ 53
   ตื่น 0400 ครับ ไม่ได้ฟิตจัดอะไรหรอก ตื่นเพื่อขับรถไปส่งพ่อแม่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ งานนี้ลูกผมไปด้วย แหม ชักอิจฉามันจัง ได้เดินทางตั้งแต่เด็ก
   ส่วนผมมีประชุมสัมนาต่างจังหวัดครับ กลับเอาวันอาทิตย์โน่นเลย ประชุมจริงๆ แค่วันกว่าๆ วันหัวท้ายเขาถือว่าเป็นวันเดินทาง ไม่มีเรื่องใดเป็นสาระสำคัญ เลยไม่ได้เข้าอินเทอร์เนทตลอด 3 วันเต็มๆ รู้สึกโล่งสบายดี ไม่ได้หงุดหงิดอะไร จะมีบ้างบางเรื่องเช่นในเวปบอร์ดของคอนโดไอวี่ที่ซื้อไว้ที่ผมมักจะติดตามข่าวประจำ เห็นว่าเขาจะมีงานมีทติ้งกัน ผมกลัวจะตกข่าว
   ประชุมสัมนากับเด็กๆ รุ่นน้องครับ ส่วนวิทยากรน่ะรุ่นเดียวกับผม บ้างก็รุ่นพี่ รุ่นน้องก็มีบ้าง สมัยนี้คนเจ๋งๆ แจ้งเกิดกันเยอะ เด็กรุ่นใหม่มากมายได้รับโอกาสให้แสดงฝีมือ นี่แหละครับ นาทีทองของชีวิต
   คนเราต่างกันในหลายด้านหลายปัจจัย แน่ล่ะ เรื่องฐานะเงินทองนั้นสำคัญอยู่ แต่ผมว่าสิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือจิตนาการ และโอกาสครับ เงินไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดเลยนะ หลายธุรกิจที่ผมคิดขึ้นมาเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์คนเมืองในอนาคตมันไม่เห็นจะต้องใช้เงินอะไรมากมายเลยในระยะเริ่มต้น คือใครๆ ก็ทำได้ ขอแค่มีเงินทุนบ้างเล็กน้อย สัก 1 ล้านนี่ผมว่าสบายๆ เลย แต่ถ้ามีมากกว่านี้ก็แจ๋วล่ะครับ มันจะทำอะไรต่อมิอะไรได้อีกเยอะ ถ้าเป็นหลัก 10 ล้านก็จะค่อยโล่งหายใจได้คล่องหน่อย คิดงานแบบสเกลใหญ่ได้ จับกลุ่มลูกค้าได้หลากหลายขึ้น
   ยกตัวอย่างธุรกิจที่ดินก็แล้วกัน เห็นภาพชัดเจนดี สมัยก่อน (หรืออาจยังคงเห็ฯอยู่ในสมัยนี้สำหรับบางคน) ใครคิดจะทำโครงการที่ดินอะไรสักอย่าง ก็มักแต่จะคิดถึงแต่ในอาณาบริเวณที่ดินของตัวเองอย่างเดียว เช่นหากมีที่ดินติดริมถนน ก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก เล่นตึกแถวแม่งเลย ขายได้ชัวร์ หมดชัวร์ตั้งแต่ยังไม่ได้ตอกเข็มเลยด้วยซ็ำไป (หากทำเลคุณไม่งี่เง่านัก)
   แต่ถ้ามีที่ผืนใหญ่ คนก็มักจะมองไปที่โครงการหมู่บ้าน (สมัยผมหนุ่มๆ เขาเรียกกันว่าบ้านจัดสรร โครตเชยเลยเน๊อะ) ทีนี้หมู่บ้านมันมีหลายเกรด หลายระดับ ก็อยู่ที่ว่าเราอยากสร้างขายใคร ขายคนระดับใด เราคิดตรงนี้ก่อน พร้อมกับดูทำเลประกอบไปด้วยว่ามันเวิร์คไหม ทำขายคนเกรดสูงก็ต้องงานเนี๊ยบ ทำขายคนเกรดล่างก็ต้องเน้นประหยัด อันนี้ใครๆ ก็รู้ แต่มันแปลกตรงที่เจ้าของโครงการหมกเม็ดทำงานเกรดประหยัดกับลูกค้าเกรดสูง มันก็เลยเป็นเรื่อง มีเจ้าของโครงการแนวนี้เยอะมากครับ เอาเป็นว่าเกินครึ่งก็แล้วกัน ที่เห็นดาหน้าในกระดานค้าหลักทรัพย์นั้นแหละตัวดีเลย พวกหัวโจกเลย
   เล่ามาเยอะ ลืมเข้าเรื่องเสียแล้ว ผมว่าการพัฒนาสิ่งต่างๆ รอบตัวสมัยนี้มันจะต้องไปกันเป็นแบบองค์รวม (ผมเอาคำองค์รวมนี้มาจากการเข้าร่วมฟังประชุมการเรียนการสอนของโรงเรียนลูก) คือเราคิดเองทำเองอย่างเดียวมันไม่ได้แล้ว มันเก่าไปแล้ว เรียกว่าหากเป็นธุรกิจก็ต้องเป็นแบบ win win แต่หลังจากผมเอาไปคิดต่อยอดแล้ว ผมอยากให้มันเป็นแบบ win win win ไว้วินที่สามนั้นคือลูกค้าระดับ End User เขาร่วมวินกับเราด้วย คือทั้งผู้ผลิต ผู้ประกอบการ และลูกค้าปลายทาง
   ยกตัวอย่างให้เห็นภาพแบบ win win win (ทฤษฎีของผมเอง อย่าแปลกใจไป) กรณี้เรามีที่ดินที่ต้องการพัฒนาสักผืน แน่ล่ะ คนรุ่นพ่อก็มองไปที่ทำหมู่บ้าน แต่สมัยนี้ผมว่าเราควรสร้างเมืองครับ ถ้าเรามีที่ดินใหญ่ ก็อยากให้สร้างตลาดก่อนเลย ตลาดคือคำพื้นๆ ภาษาชาวบ้านครับ ผมใช้เรียกจุดที่ผู้คนมารวมตัวกัน ถ้าคุยกับเศรษฐีก็เรียก Shopping Mall ผมใช้คำภาษาฝรั่ง แต่ไม่ต้องไปมองภาพห้างหรูหราอย่างของฝรั่งเขา เราแค่สร้างจุดให้คนมาค้าขาย จะออกมาในภาพไหนก็ย้อนไปดูทำเล และเกรดของลูกค้าที่เราอยากขายเขาประกอบกันไปด้วย
   เอาล่ะ ถ้าเรามีสัก 50 ไร่ ชานเมือง แบ่งสร้าง Mall สัก 5 ไร่ จัดสรรแปลนให้ดี สังคมไทยเราไปไหนมาไหนต้องมีรถยนต์ใช่ไหม สร้างที่จอดรถแม่งไว้รอบ Mall เลยดีไหม เข้าออกมันได้รอบตัวเลย เอ็งจะมามุมไหนก็ปักหัวจอดได้ ไม่ต้องวนตีวงเพื่อเข้าที่จอดรถแคบๆ ทางเดียว
   จัดสรร Mall ไว้มุมหนึ่ง ไม่ต้องกลางก็ได้ แล้วห่างออกมาหน่อยก็ค่อยเป็นหอพัก เป็นคอนโดเกรดกลางๆ อันนี้เราเอาไว้ตอบสนองผู้ค้าใน Mall เองนั่นแหละ ช่องว่างระหว่างโครงการก็จัดวางต้นไม้ปรับปรุงภูมิทัศน์ให้สวยงาม เอาให้มันเจริญตา ที่ไหนคนอยู่สบายเขาก็อยากไปอยู่ครับ ใจเขาใจเรา เอาถังขยะใบใหญ่วางหน้าประตูตลาด หากใครเลี่ยงได้คงไม่มีใครอยากเดินผ่าน ไอ้ที่เห็นเดินผ่านเพราะมันจำใจ
   ใจถึงสร้างสวนสาธารณะไหมครับ อันนี้เรียกว่าวัดใจจริงๆ แต่ถ้าใจไม่ถึงก็แค่ทำบ่อน้ำขนาดใหญ่ก็ได้ คนไทยชอบอยู่ใกล้น้ำครับ วิถีชีวิตเราอยู่กับแม่น้ำลำคลองมาตั้งแต่อดีต แถมบรรยากาศริมน้ำมั้นแสนจะสบาย ร้านอาหารริมแม่น้ำทุกร้าน โซนริมน้ำจะเต็มก่อนเพื่อน ทั้งๆ ที่ไม่มีแอร์ด้วยซ้ำไป (หากฝนไม่ตก)
   ทะยอยสร้างเมืองไปเรื่อยๆ ครับ ด้านริมนอกสุด ห่างไกลตลาดหน่อย เก็บไว้เป็นโซนสำหรับบ้านเดี่ยวดีไหม หามุมเงียบๆ ให้เขาอยู่ ไกลจากตลาดอีกนิด แลกกับความเงียบสงบ ผมว่าเป็นดีลที่ลงตัวและคนยอมรับกันได้
   ในเมื่อเรามีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาแบบยกกระดาน (องค์รวม) เช่นนี้ ความเจริญมันจะมาแบบก้าวกระโดดครับ จากเดิมที่ดินเราเป็นทุงหญ้าซื้อมาตารางวาละไม่กี่พัน (จะมีด้านริมถนนที่อาจตารางวาละเป็นหมื่น) พอเราเอามาหารเฉลี่ยกันทั้งผืนแล้วก็ยังตกแค่หลักพันอยู่ดี แต่หลังจากนี้มันไม่ใช่แล้วครับ พอความเจริญมา มันจะมาแบบคุณตั้งตัวไม่ทัน เคยเห็นราคาที่ดินพุ่งเป็น 10 เท่าตัวไหมล่ะครับ นั่นแหละ ผมกำลังจะทำให้มันเป็นแบบนั้น
   หากเราทำเมืองของเราให้เจริญมากขึ้นเท่าไหร่ สาธารณูปโภคของทางภาครัฐก็จะมาหาเราเอง ใช่แล้ว ผมฝันไปถึงโครงการรถไฟฟ้าเลยล่ะ (อาจไกลไปนิด แต่ต้องฝันครับ เพราะมันเป็นไปได้)
   มองเห็นแววความรวยกันแล้วหรือยังครับ
Title: Re: กพ 53
Post by: O'Pern on February 07, 2010, 05:35:37 pm
7 กพ 53
   ตืนเช้ามาเดินเล่นในบ้านแบบเหงาๆ ลูกผมยังไม่กลับมาไทยเลยครับ เขากลับคืนนี้ รู้สึกคิดถึงจริงๆ
   เดินดูต้นไม้เล่น สุดท้ายก็มาจบที่การปะยางจักรยาน เมื่อไหร่ที่ผมจับจักรยาน ก็จะมีเรื่องมาเล่า หากวันไหนผมคุยโม้เรื่องอื่น นั้นคือผมไม่ได้ขี่จักรยาน
   ลมยางหน้ารถ KHS HT แบนสนิท มันค่อยๆ รั่วออกตั้งแต่ทริปบางปะกงอาทิตย์ที่แล้ว ผมยังฝืนขี่กลับมาถึงบ้านด้วยลมยางแค่ 20 psi แต่ขี่แล้วมันไม่แบนมากสักนะ เลยขี้เกียจปะ นี่หากมีมาตรวัดติดไปด้วย แล้ววัดดูเห็นตัวเลขแค่ 20 ผมคงจอดปะทันทีเป็นแน่
   รถผมใช้ขาตั้งคู่ จอดรถแล้วหน้าลอย ถอดล้อหน้าออกมาโดยที่รถยังตั้งไว้อยู่ ผมชอบแบบนี้มากครับ เพราะตอนเดินทางเรามีสัมภาระเต็มรถ มันจะสะดวกสบายเป็นที่สุด
   ถอดยางออกมา ตรวจเช็คดูพบรูรั่วเล็กๆ ดูยางนอกเราก็โอเคดี ดอกก็หนาดี เป็นยางของ Kenda Kwest รุ่นยอดฮิต (โหล + ถูก) ดอกยางมีร่องเล็กๆ มันมาโดนตำตรงไอ้ร่องนี้เองแหละครับ นี่ถ้ามาตำตรงหน้ายางหนาๆ จะ ผมว่าทิ่มเข้ายาก ระยะหลังตอนเลือกดอกยางสำหรับออกทริปผมจะเลือกแบบหน้ายางหนาๆ ไว้ก่อน เลยมาลงตัวที่ยางสลิคที่ผมชอบไงล่ะครับ
   ยางวิบากดอกตะปุ่มตะป่ำก็ใช่ว่าจะรอดนะ เห็นมีโดนหนามตำตรงช่องว่างระหว่างดอกยางออกบ่อย ไอ้ช่องว่านี่แหละครับ มันคือจุดอ่อนของยางเลยก็ว่าได้ ยางสลิคเป็นยางเดียวที่ไม่มีช่องว่างของดอกยางครับ หน้ายางจะหนาเท่ากันตลอดทั้งเส้น
   มีข้อดี ก็มีข้อเสีย ก็ชื่อบอกอยู่แล้วว่าสลิค มันลื่น มันเป็นยางไม่มีดอก เห็นบางคนคุยกันเขาใช้ยางมีดอกเป็นเส้นบางๆ เขาเรียกว่ายางสลิค แบบนั้นยังไม่ใช่ครับ ผมเรียกยางแบบ Street หรือ Road เสียมากกว่า 
   นี้เป็นการถอดยางออกจากวงล้อครั้งแรกในรอบหลายเดือน จำวันที่ผมเคยไปลุยโคลนลูกรังมาได้ไหมครับ ที่ทำเอายางหลังผมรั่วจากด้านในอย่างคาดไม่ถึง วันนี้มาถอดยางออกก็พบอาการคล้ายกัน คือมีทรายจากลูกรังมาฝังตัวเกาะกันอยู่ในหัวซี่ลวดด้านใน พอถอด Rim Tape ออกมาเห็นเม็ดทรายเกาะตัวกันแน่นในทุกๆ หัวซี่ลวดเลย
   แล้วก็เกิดข้อสงสัยอีกแล้ว สงสัยทีไร ผมนึกถึงหน้าพี่เจี๊ยบทุกที ไว้จะโทรไปถามว่าพี่เจี๊ยบครับ ไอ้ Rim Tape นี้มันมีอายุการใช้งานหรือไม่ อย่างไรครับ หน้าที่มันคือแค่ปกป้องหัวซี่ลวดให้ไม่มาทิ่มยางใน แค่นั้นใช่ไหม มันมีสาระใดแอบแฝงอยู่อีกไหม
   Rim Tape ของผมเป็นยางยืดบางๆ made in Taiwan เป็นของติดรถมาตั้งเมื่อปี 94 วันนี้ถอดมาทำความสะอาด ตรวจเช็คสภาพดู แล้วใส่กลับเข้าไป พบว่ามันยังรัดวงล้อได้ดีอยู่
   ไล่ทำความสะอาดวงล้อด้านในด้วยครับ จากนั้นก็ปะยาง ใช้กระดาษทรายถูยางในจุดที่รั่วเบาๆ ทากาว รอให้ผิวสัมผัสของกาวแห้งลงหน่อยก็ใช้ยางปะสำเร็จรูปปะลงไป เป็นอันจบ
   ยุคนี้ยังดีนะ มียางปะสำเร็จรูป สมัยผมหนุ่มๆ กาวหลอดเล็กๆ แบบนี้ก็ไม่มี มีแต่กระปุกใหญ่ๆ  แผ่นปะยาง ผมจะใช้ยางในเก่าๆ มาตัดเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมลบมุม ปะแล้วยางหนาชมัดเลย    
   ไม่ได้ปะยางมานาน ทำแล้วมันเก้งก้างครับ ยิ่งตอนใส่ยางเข้ากับล้อก็ยิ่งไม่คุ้นไม่ถนัด เพราะว่าต้องคอยเล็กทิศทางของดอกยาง (หากยางสลิคก็ไม่ต้องเล็ง ใส่ได้สองด้าน) จากนั้นก็ดูทิศทางของวงล้อ ดูว่าแกนปลดอยู่ฝั่งใด แม่เหล็กเซนเซอร์มาตรวัดอยู่ฝั่งใด และสุดท้าย คือ ยางเรานี้ใส่เข้าวงล้อได้ด้วยมือเปล่าไหม
   อันนี้สำคัญนะ ยางขอบพับทั่วไปจะใส่กับล้อได้โดยที่ไม่ต้องใช้เครื่องมือเลย เอามือเปล่าบีบๆ กดๆ ออกแรงนิดหน่อยก็เข้าที่แล้ว
   ยางของผมเป็นขอบลวด แต่ออกแรงมากหน่อยก็ใส่เข้าวงล้อได้โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือเช่นกัน เย้ๆ
   แต่ก่อนนั้นต้องจัดเรียงยางในเข้ายางนอกให้ดีเสียก่อนล่ะ ไม่งั้นต้องเสียเวลาถอดใส่อีกรอบ เชื่อสิ
   ใส่ยางแล้วลองสูบลมด้วย Floor Pump เข้าไปสัก 5 ที ดูว่ามียางในแล่บออกมาด้านนอกไหม ดูให้ดี ให้ถี่ถ้วน ดูว่ายางขึ้นขอบล้อปกติดีไหม มีจุดใดนูนเป่งออกมาเป็นพิเศษไหม หากมีผิดปกติ ให้ปล่อยลมออกแล้วถอดยางออกมา จัดเรียงยางในใหม่อีกที
   ถ้าไม่มีผิดปกติ ก็สูบเข้าไปอีกสัก 10 ที แล้วตรวจเช็คแบบเดิมอีกรอบ ถ้าผ่านก็ใส่กันเต็มที่ได้เลยพี่น้อง
   จัดการล้อหน้าเสร็จก็มาดูล้อหลัง ลมยางจากเดิมก่อนออกทริปผมเติมไป 95 psi มาวันนี้เหลือ 60 psi ระยะเวลาราว 1 สัปดาห์ เอ..มันผิดปกติหรือเปล่าวะนี่ กดบีบยางดูก็ยังตึงๆ มืออยู่เลย แล้วก็อัดลมเข้าไปใหม่ที่ 95 psi พร้อมกับตรวจเช็ครอยฉีกขาดตรงแก้มยางที่ตรวจพบเมื่อหลายเดือนก่อน พอสูบลมแข็งมาก รอยปริก็เห็นชัดมากขึ้น แต่มันก็ไม่ได้ฉีกขาดยาวขึ้นเลย ตอนไปทริปวังน้ำเขียวก็ลุย Off Road มาแล้วด้วย ฉะนั้น ทริปทางเรียบผมเลยรู้สึกไม่ค่อยเป็นกังวลนัก กลับคิดในใจว่าไอ้ยางสลิคเส้นนี้มันช่างทนดีเหลือหลาย แม้หน้ายางจะมีร่องรอยบางแผลจากคมหินที่อุทยานแห่งชาติทับลาน แต่ก็ได้แค่ขีดข่วน มันตำไม่เข้าหน้ายางสลิค เจ๋งดีว่ะ
   เออ คือพี่น้องครับ ไอ้นี้มันไม่ใช่ยางเทพฯ อะไรหรอกนะครับ ยางสลิคมันคงยังกลัวทรายอยู่ดี น้ำน่ะ ผมเฉยๆ เพราะเจอน้ำผมก็เบาอยู่แล้ว ไม่ได้กลัวลื่น แต่กลัวกระเด็นเข้าปากต่างหาก ฮ่าๆ
   
   กลางวันดูข่าวทีวี เขาว่าที่ Washington DC USA เจอพายุหิมะหนักที่สุดในรอบ 90 ปี เห็นเมืองแล้วไม่น่าเชื่อครับ ราวกับอยู่ในนอร์เวย์ยังไงยังงั้น สีขาวโพลนเต็มไปหมด บนท้องถนนไม่มีรถแม้แต่คันเดียว รถที่วิ่งได้ก็ต้องเป็นแบบ 4X4
   ส่วนที่ LA ก็มีข่าวดินถล่ม เพราะฝนตกหนักต่อเนื่อง สาเหตุก็เหมือนๆ กับของไทยครับ คือบุกรุกทำลายป่า ตัดไม้ทำลายป่ามันซะ ก็ไม่มีพื้นที่อุ้มน้ำ พอน้ำมากันเยอะๆ ก็ไหลออกนอกขอบซะ แล้วน้ำก็ล้นเข้ามาในเขตชุมชน งานเข้าสิครับ เล่นกันบ้านเรือนถล่มกันเลย

   ตอนบ่ายภรรยาชวนไปทานอาหารเวียดนาม ผมชอบกินผักอยู่แล้ว ไม่ปฏิเสธแน่ ช่วงเดินเล่นอยู่ ผมเข้าไปดูใน Adidas Shop พบกระติกน้ำถูกใจมาก โดยเดิมผมใช้กระติกน้ำของ Adidas อยู่แล้ว ชอบในดีไซน์ การใช้งาน การทำความสะอาด และความคงทน กระติกน้ำที่ดีในความคิดผมคือ ต้องนิ่มมือ บีบนุ่ม เพราะตอนกินน้ำขณะปั่นผมจะใช้บีบกระติกแล้วอ้าปากรอ ฝากระติกต้องเป็นแบบช่องใหญ่ ยิ่งใหญ่ยิ่งดี เพราะจะเอาแปรงสอดไปทำความสะอาดได้ง่าย ตัวกระติกต้องไม่เป็นเหลี่ยมมุม เพราะเช็ดถูไม่ถึง ฝากระติกต้องปิดแล้วกันน้ำได้ ใส่น้ำแล้วคว่ำดู น้ำไม่หยด
   ทั้งหมดนี้มีอยู่ในกระติกน้ำของ Adidas ครับ ที่ผมใช้อยู่เป็นกระติก made in Italy แต่วันนี้ที่เห็นใน Adidas Shop เป็นรุ่นใหม่ล่าสุด ดีไซน์คล้ายกันมาก เป็นทรงกระบอกตรงๆ เลย ฝาโค้งมนทรงแคปซูล ต่างกันแค่ก้นกระติกแคบกว่ารุ่นเดิมของผมหน่อยหนึ่ง ผมดูรุ่นเก่าแบบผมสวยกว่า แต่การที่ก้นกระติกเรียวเล็กลง จะทำให้สอดกระติกเก็บขณะปั่นได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น
   กระติกอันเก่าผมซื้ออยู่ 150 หรือ 250 นี่แหละ ลืมไปแล้ว นานจัด ส่วนกระติกรุ่นใหม่นี้ราคา 250 บาทสำหรับอันใหญ่ ดูจากขนาดน่าจะสัก 750 CC ส่วนกระติกเล็ก 500 CC (เดา) ผมไม่ได้ดูราคามา ไม่ได้สนใจ แต่ถ้าใครใช้เฟรมขนาดต่ำกว่า 14 นิ้ว ผมแนะนำให้ใช้กระติกเล็กครับ เพราะมันจะไม่ไปชนกับเฟรม ที่ผมยังไม่ซื้อกระติกนี้เพราะเหตุผลกระจิ๋วหลิว คือแถบโลโก้มันเป็นสีเงิน ของเก่ารุ่นผมเป็นสีขาว ผมว่าสีขาวสวยกว่าแค่นั้นเอง
   ยังมีเป้หลังอีกอันที่ผมชอบมาก ผมใช้เป้แบบ Back Pack ประจำครับ แต่เป้เก่าผมยังดีอยู่มาก เลยได้แต่ลูบๆ คล่ำๆ แม้จะอยากได้มาใช้บ้างก็ตามที แต่คิดไปคิดมาก็อยากได้เหมือนกันนะ เอาไงดีวะ คือเห็นของดี ของถูกใจ ก็อยากได้เก็บไว้ เผื่อตอนจะใช้จริงมันหาไม่มี หาไม่ได้นี่สิ จะยิ่งสุดเซ็ง
   คืนนี้ไปรับพ่อกับแม่ผมที่สนามบินสุวรรณภูมิครับ  ลูกผมก็จะกลับมาพร้อมกันด้วย
Title: Re: กพ 53
Post by: O'Pern on February 09, 2010, 02:13:58 pm
8 กพ 53
   เมื่อวานขับรถไปรับพ่อที่สนามบิน ผมหลงทางครับ เพราะผมไม่เคยไปรับใครที่สนามบินสุวรรณภูมิมาก่อนเลย นี้เป็นครั้งแรก ทุกวันนี้หากไปสนามบินผมใช้บริการรถเมล์ครับ สาย 558 ขึ้นจากหน้าบ้าน จอดลงหน้าอาคารผู้โดยสารขาออกเป๊ะเลย ขากลับก็เช่นกัน ใช้บริการรถรับส่งของสนามบิน (Shuttle Bus) ไปลงที่ท่ารถประจำทาง นำกระเป๋าไปวางบนรถแล้วนั่งรอสักพัก รถก็ออกแล้ว ค่าโดยสาร 36 บาท ลงหน้าปากซอยบ้าน เดินเข้าไปนิดเดียว
   มาวันนี้ต้องขับรถไปจอดที่ตึก เผลอแหงนหน้ามองดูเครื่องบินบนฟ้าหน่อยเดียว ก็ขับรถเลยผ่านทางแยกเสียแล้ว ต้องไปอ้อมกลับรถวนมาใหม่อีกรอบ เสียฟอร์มจริงๆ
   ผมเพิ่งรู้ครับว่าค่าจอดรถที่สนามบินสุวรรณภูมิโหดมาก ชั่วโมงละ 25 บาท สองชั่วโมงก็ 50 บาท อันนี้เข้าใจดี แต่พอ 3 ชั่วโมงเขาคิด 80 แล้วก็จะเพิ่มแบบมากกว่านี้อีกหากจอดนานถึง 6-7 ชม
   เครื่องพ่อลงตรงเวลาครับ ผมก็ไปตรงเวลา แม้จะลงมาแล้วแต่ก็ยังออกมาไม่ได้ เพราะสายพานลำเลียงกระเป๋ามันเสีย เลยต้องยืนมองหน้ากัน รอกระเป๋าอีกราว 1 ชม
   เอ๊ะ นี่มันการตลาดของฝ่ายบริการที่จอดรถหรือเปล่าวะ ผมคิดในใจ เพราะยิ่งถ่วงเวลาคนได้มาก เขาก็จะได้ค่าจอดรถยิ่งมากขึ้น อย่างน้อยๆ ผมก็ต้องจ่ายเพิ่มไปอีก 30 บาท แต่มีคนแบบผมอีกเป็นร้อยเป็นพัน ลองคูณดู นี่เพียงแค่หนึ่งครั้ง แล้วถ้าเกิดทำแบบนี้วันละหลายๆ ครั้งล่ะ
   เช้านี้ตื่นแบบขี้เกียจลุกอีกแล้ว เมื่อคืนนอนเกือบเที่ยงคืน ลูกผมชวนคุยชวนเล่น เจ้าตัวเองก็ดันตื่นสาย ทำเอาไปโรงเรียนเกือบไม่ทัน ผมต้องอัดรถอย่างเร็วอย่างแรง ชนิดที่ว่าขับเหมือนอยู่ในสนามแข่ง ไม่ได้แค่เร่งเร็วแล้วมุดไปมา รถผมคันนี้เป็นรถเกียร์ออโต ผมใช้เทคนิคเบรกเท้าซ้ายตลอด คันเร่งเท้าขวากดเกือบมิดแช่ไว้ อันตรายโครตๆ เลย
   พอถึงโรงเรียนลูกผมจอดรถพักเครื่อง ได้กลิ่นเหม็นไหม้ของผ้าเบรกหึ่งมากๆ (อาการนี้พบได้เป็นปกติในสนามแข่งรถ)
   เออ.. สายชาร์จโทรศัพท์มือถือของผมเจ๊งอีกแล้วครับ ถ้าไปเปลี่ยนงวดนี้อีกจะเป็นเส้นที่ 6 แล้วมั้ง จำไม่ได้ แม่งบ่อยจัดจริงๆ ผมรู้สึกละอายที่จะไปเปลี่ยน แต่ก็เอาวะ จะดูว่าคนขายหรือผม คนไหนมันจะอายกว่ากัน วันนี้กลางวันแดดแรงจัด ขี้เกียจขี่จักรยานไปครับ แดดร้อน แรงจัดเหลือเกิน
   ขอทำนายว่าหน้าร้อนปีนี้จะสาหัสแน่นอน ช่วงสงกรานต์นั่นแหละตัวดี ไฮไลท์ของหน้าร้อนเลยล่ะครับ

9 กพ 53
   วันก่อนผมกับภรรยาไปเดินเล่นในห้างเซ็นทรัลพระราม 2 ผมเหลือบเห็นฝรั่งสองคนหนุ่มสาวยืนมองที่บอร์ดแสดงแผนผังของห้าง ผมคิดจะเดินไปเสนอตัวให้ความช่วยเหลือ แต่หันไปเห็นภรรยายืนรอ เลยเดินกลับไปหาภรรยา หันไปมองฝรั่งอีกทีขณะที่ผมอยู่บนบันไดเลื่อน ผมเดาว่าฝรั่งคงจะถามถึง Food Center เพราะเห็นเขาทำท่าทางกินข้าว ผมอยู่บนบันไดเลื่อน ตะโกนดังๆ ลงไปว่า
   “Fouth Floor” ผมพูดพร้อมกับชี้นิ้วขึ้นข้างบน (เขายืนอยู่ชั้น 1)
   ได้ผล ฝรั่งหันมามองแล้วส่งยิ้ม ผมเองยิ้มอยู่นานแล้ว
   ภรรยางงว่าผมทำอะไร เลยบอกว่าเราต้องช่วยเหลือคนอื่นอยู่เสมอ ไม่ต้องรอให้เขาร้องขอหรอก แค่เห็นเขาลังเลก็เข้าไปเสนอตัวช่วยได้เลย ผมบอกกับลูกผมแบบนี้เสมอ แต่วันนี้กลายเป็นว่าผมสอนภรรยาแทน
   เราต้องรู้จักเก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตครับ ตอนขับรถผมก็มักจะหยุดให้คนข้ามถนน ปกติผมขับรถช้า เพราะต้องการประหยัดน้ำมัน ยิ่งช่วงนี้อากาศร้อนจัด เห็นคนข้ามถนนยืนกลางแดดแล้วเห็นใจจริงๆ ครับ ใจเขาใจเราน่ะ ลองคิดถึงหัวอกคนอื่นเสียบ้าง
   ลูกผมกลับมาบ้าน เปิดกระเป๋าเดินทาง หยิบเอาของฝากมาให้ผม มันคือแผนที แผ่นพับรายละเอียดต่างๆ เขาเก็บของจุกจิกมาให้ผมมากมาย รวมถึงน้ำดื่มขวดเล็กที่ได้รับแจกบนเครื่องบิน เขายังซื้อช็อคโกแลตแบบที่เขาชอบที่สุดมาฝากเพื่อนๆ ทุกคนในห้อง รวมถึงครูประจำชั้นอีกด้วย
   ช็อคโกแลตของโปรดของเขานี่แพงมากเลยนะครับ ในไทยขาย 3 ชิ้น 39 บาท นี่เขาซื้อมายกกล่องใหญ่ นับจำนวนลูกแล้วเพียงพอกับเพื่อน 25 คน และครูประจำชั้นอีก 2 คน
   ผมรู้สึกแปลกใจเรื่องที่เขาซื้อของมาฝากคนอื่น ผมไม่ได้สั่งให้เขาทำในเรื่องเหล่านี้ จะบอกก็แค่ว่าให้ดูแลตัวเองให้ดี ดูตัวเองดีแล้วก็ดูแลคนรอบข้างด้วย ดูแลอากง อาม่าด้วย (พ่อกับแม่ของผม)
   “เขาขอซื้อกล่องใหญ่ บอกจะเอาไปฝากเพื่อน ตัวเองหยิบกินไปชิ้นเดียว” แม่ผมเล่า
   มีน้ำใจดีจริงๆ จ๊ะลูกรัก
Title: Re: กพ 53
Post by: O'Pern on February 10, 2010, 03:07:57 pm
10 กพ 53
   เช้านี้ไม่ได้ขี่จักรยานอีกแล้วครับ ตื่นสาย เมื่อคืนดูรายการ So you think you can dance ในเคเบิ้ลทีวี เป็นรายการแข่งเต้นของอเมริกา ให้นั้กเต้นโนเนมเข้าร่วมแข่งเต้นรอบคัดเลือก ใครผ่านก็จะได้ไปแข่งต่อที่ Las Vegas ก็ถือว่าเป็นบันไดให้นักเต้นไต่เต้ากัน เหมือนบ้านเราก็มีประกวด AF นั่นแหละครับ
   แต่ของงานเต้นเขาแปลกหน่อย คือคนที่ได้ผ่านเข้ารอบน่ะ มีงานมารอกันแทบทุกคนเลย ได้เป็นครูสอนเต้นตามสถาบันต่างๆ บ้าง ได้เข้าร่วมงานโชว์ ได้เป็นพรีเซนเตอร์บ้าง ฯลฯ
   ดูไปก็สอนลูกไปด้วยครับ ผมชี้ให้เขาเห็นว่าแต่ละคนเขามีความฝันคือการเป็นนักเต้นอันดับหนึ่ง แต่ละคนก็ต้องฝึกฝนฝึกซ้อม ต้องอดทน มีระเบียบวินัย รักษาสุขภาพร่างกาย ฯลฯ
   ประกาศผลแล้วบางคนตกรอบ บางคนเสียใจ ผมก็สอนลูกว่านี่คือคนที่เขาไม่สามารถผ่านด่านไปได้ เขาก็ต้องตกรอบไป เขามีฝีมือไม่พอ คนตกรอบนี้ไม่มีใครสนใจเขาอีกเลย โลกใบนี้จะไม่จดจำคนธรรมดา หากลูกมีความฝันจะเป็นนักบิน ก็ต้องมีความมุ่งมั่น ต้องตั้งใจจริง มันไม่ง่ายหรอกที่เราจะตามหาความฝันของเราจนเจอ มีคนฝันเยอะ แต่มีน้อยคนที่ทำได้
   สักพักลูกหลับ แต่ผมยังดูต่อ ผมชอบการเต้นครับ ตอนหนุ่มๆ ก็เคยเต้น แหม มันช่างสนุกสะใจดีเหลือเกิน ได้ออกกำลังกาย เสียอย่างเดียวที่พวกเต้นๆ นี้มักจะไปเต้นกันในเธค ผมไม่กินเหล้า ไม่นอนดึก ไม่ชอบไปสถานที่เหล่านี้เลย
   ดูหนัง ดูละคร หรือจะเสพสื่อใดก็แล้วแต่ เราต้องนำมาคิดวิเคราะห์ต่อยอดด้วยถึงจะเกิดประโยชน์สูงสุด
   
   กลางวันเข้าคลองถมอีกแล้วครับ ชักเบื่อแล้ว ไปเปลี่ยนสายชาร์จแบตฯมือถืออีกแล้ว อันนี้เป็นชุดที่ 6 แล้ว แต่วันนี้ไม่เหมือนทุกที เพราะมีการเถียงกับพนักงานเล็กน้อย
   “พี่เอาของแท้ไปเลยไหม”
   “ของแท้เท่าไหร่หรือ”
   “180”
   “อ้าว ไอ้อันที่ผมซื้อนี่ก็ 180 นะ”
   “เป็นไปไม่ได้แน่ๆ”
   “อ้าว แล้วแบบของผมนี่มันเท่าไหร่หรือ”
   “80”
   ผมซื้อมา 150 (ต่อจาก 180 เหลือ 150) สุดท้ายพนักงานหยิบของแท้ออกมาให้ดู โหห พี่น้อง กล่องดีกว่าเดิมหน่อยเดียว หน้าตาก็คล้ายๆ กัน แต่สายไฟเส้นโตกว่าหน่อย พนักงานบอกว่ารุ่นนี้ชาร์จแล้วตัดไฟ ไฟจะเปลี่ยนเป็นสี
   คุยไปคุยมา จะให้ผมเพิ่มเงิน แล้วให้ตัวเกรดดีกว่ามาใช้ ผมชักสงสัย ชักลังเล เริ่มไม่แน่ใจว่ามันเป็นกลยุทธการขายของหรือเปล่าวะนี่ ไอ้ตัวใหม่นี้จะดีกว่าตัวเก่าจริงไหมก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ คือมันไม่ใช่ของแท้ มันไม่มีตรา Motorolla เลยสักนิด
   สุดท้ายคือผมเอาตัวแบบเดิมกลับมา ผมไม่ยอมเสียเงินเพิ่มอีกสัก 1 บาท สำหรับผลิตภัณฑ์ห่วยๆ อีกแล้ว
   บ้านผมอีกหลังอยู่ฝั่งธนฯ แถวสะพานพุทธ ขี่ไปคลองถมไม่ไกลเท่าไหร่ ถือว่าไปขีรถเล่นก็แล้วกันวะ ฮ่าๆ อีกอย่างคือประกันเหลืออยู่อีกเดือนกว่าๆ หมายความว่าหากสายชาร์จชุดนี้ใช้ได้เกินหนึ่งเดือนแล้วมันเสีย แปลว่าหมดประกัน ไม่ต้องไปเจอหน้ากันอีกแล้วชาตินี้
Title: Re: กพ 53
Post by: O'Pern on February 11, 2010, 03:47:04 pm
11 กพ 53
   เช้านี้เอาจักรยานออกขี่ขำขำแถวบ้าน ใช้รถ KHS HT ไม่ได้เอาจริง ไม่ได้ขี่มาหลายวันผมรู้สึกสนุกนะ เสียดายมีเวลาช่วงเช้าเพียงแค่น้อยนิด เช้าๆ อากาศยังไม่ร้อนมาก ผมชอบขี่ตอนเช้ามากที่สุดครับ
   หลายวันมานี้ร่างกายผมผิดปกติ ใบหน้ามีสิวขึ้นหลายเม็ด มีแผลร้อนในด้านในกระพุ้งแก้ม รู้สึกเบื่อหน่ายในชีวิต ขี้เกียจออกกำลังกาย
   สงสัยจะเกิดจากความเครียด ทั้งๆ ผมเองไม่ค่อยจะเครียดอะไรนัก คิดดูแล้วคงจะเครียดเรื่องการเรียนของลูกน่ะครับ เลยมาปรับปรุงคุณภาพชีวิตใหม่ วันไหนผมรีบไปข้างนอกแต่เช้า มักจะไม่ได้ทานอาหารเช้าดีๆ อาหารเช้าแบบดีๆ ของผมไม่ได้แพงนะ หากอยู่บ้านผมจะทำผัดผักรวม และไข่เจียวใส่มะเขือเทศ ใช้น้ำมันมะกอกในการปรุงอาหาร แค่นี้แหละ ผมถือว่าดีมากแล้ว หากอยากกินข้าวด้วย ก็จะเป็นข้าวกล้อง นี่แหละครับ Whole Grain ของไทยแท้ๆ แบบดั้งเดิมเลย ดีกว่าของฝรั่งเขาเยอะครับ อย่างน้อยก็ถูกกว่าล่ะวะ
   Whole Grain นี้ดีครับ ของฝรั่งเองเขาก็มีหลายแบบ จากเมล็ดพันธุ์หลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น Malt, Barley, Rye, Wheat อะไรทำนองนี้ และหากจะซื้อผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปก็ต้องดูข้างกล่องให้ละเอียดนะครับ ไอ้พวกนี้มันชอบหลอก คือเขียนตัวโตๆ ว่า Whole Grain แต่พออ่านรายละเอียดดู พบว่ามี Whole Grain แค่ 10% ที่เหลือเป็นแป้งธรรมดา
   หรืออย่างพวกไขมันทราน์ ฝรั่งเรียก Trans Fat พอเขารู้ว่าคนเริ่มรังเกียจ ก็จะเลี่ยงไปใช้คำอื่น เช่น Shortening, Hydrogenated เช่นนี้แหละ จะซื้อของกินอะไรต้องอ่านให้ละเอียดครับ พวกหมกเม็ดมันเยอะ เราต้องตามให้ทัน
   กลางวันนี่รถคันเล็ก JZ88 ไปทำธุระที่ธนาคาร เกือบล้ม 2 ทีแน่ะครับ ทีแรกโดนรถใหญ่เบียดยังไม่เท่าไหร่ แต่มาเบียดเอาช่วงที่ตอนดึกเป็นร้านขายก๋วยเตี๊ยว ผิวขอบทางบนพื้นถนนชโลมไปด้วยน้ำมัน ไขมัน และของเสียจากร้านก๋วยเตี๋ยว ผมมาเบรกเอาช่วงนี้พอดี แถมรถล้อแค่ 14 นิ้วอีกด้วย หลายอย่างประจวบเหมาะ ทำให้ล้อหน้าลื่นไถล รถผมเบรกหน้าแบบ V เบรกหลังแบบ Coaster รีบปล่อยเบรกแล้วทรงตัวให้ดี รอดครับ ไม่ล้ม
   อีกช่วงที่เกือบล้ม แต่อันนี้เพราะผมประมาทเอง คือจะแซงหน้าจักรยานอีกคันข้างหน้า แต่แซงไปแล้วเจอทางขรุขระ ขาผมหลุดลื่นจากบันได ถ้าเป็นบันไดปกติก็อาจตีหน้าแข้งได้ แต่งานนี้ขาที่อยู่ด้านหน้ามันลื่นครับ ทำให้ขาด้านหลังกดบันไดลงเต็มๆ รถผมเป็น Coaster Brake ไง ล้อหลังล็อคลาก ตัวผมพุ่งโน้มไปด้านหน้าอย่างแรงเหมือนโดนใครมาดึงเอวเอาไว้ พอรู้สึกตัวก็ผ่อนแรงกดเบรกลง รถจึงกลับมามาบาลานซ์เหมือนเดิม รอด ไม่ล้ม
   ช่วงกลางวันอากาศร้อนแดดแรงจัดจนแสบผิวเหลือเกิน แม้จะว่าง ก็ไม่อยากเอาจักรยานออกขี่เหมือนเมื่อก่อนแล้วล่ะ ไม่รู้เพราะร้อน หรือเพราะขี้เกียจกันแน่
   รู้แต่ว่าตัวเองผิดปกติไปจากเดิม 
   หรือว่าแก่แล้ววะนี่
Title: Re: กพ 53
Post by: O'Pern on February 12, 2010, 03:14:26 pm
12 กพ 53
   เช้านี้ออกขี่จักรยานนิดหน่อย อากาศไม่ค่อยเย็นเท่าไหร่แล้ว ขี่นานๆ มันจะยิ่งร้อนเอาๆ
   ในเวปจักรยานมีการคุยเรื่องหนึ่งน่าสนใจมาก มีคนถามว่า “ล้อหนักแล้วจะวิ่งเร็วกว่าเดิมไหม เขาเห็นบางคนเอาแท่งเหล็ก เอาตะกั่วไปผูกถ่วงล้อไว้”
   ตอนแรกผมอ่านแล้วปล่อยผ่านเลยครับ คือมีคนตอบว่าทำแล้ววิ่งดีจริง แต่ผคิดตรงกันข้าม ผมไม่อยากไปสร้างความขัดแย้งกับใครเขา ครั้นพอมาอีกวันผมเปลี่ยนใจ เพราะคิดอีกแง่คือหากผู้ถามเป็นมือใหม่ที่เขาไม่รู้จริงๆ ล่ะ จะให้เขาจำเอาสิ่งผิดๆ ไปปฏิบัติต่ออย่างนั้นหรอกหรือ
   ก็เลยตอบไปตามทรรศนะของผมว่า ล้อมันต้องเบาถึงจะวิ่งดีครับ ยิ่งเบา ยิ่งดีด้วยซ้ำไป เฟรมหนักๆ ผมยังเฉยๆ เพราะมันเป็นน้ำหนักที่นิ่ง คงที่ แต่ถ้าล้อหนักนี่แย่ครับ ล้อเป็นชิ้นส่วนที่เคลื่อนที่แถมต้องหมุนอีกด้วย การออกแรงให้ชิ้นส่วนหนักๆ เคลื่อนที่ต้องใช้แรงเยอะเป็นธรรมดา หลักการเดียวกับรถยนต์แหละครับ
   รถยนต์รถแข่งต้องการล้อที่เบา ล้อยิ่งเบา ยิ่งโครตจะแพงเลย แถมแตกพังแล้วซ่อมไม่ได้อีกด้วย (ล้อแมกนีเซียมในสมัยก่อน) ล้อที่เบาจะทำให้การออกแรงหมุนนั้นใช้แรงน้อยกว่า ทั้งรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ รวมถึงจักรยาน ไล่ไปจนถึงรถเข็นเด็ก
   สมมุติว่าล้อจักรยานหนัก 1 กก แต่พอขี่ไปแล้วบางช่วงบางตอนเราต้องออกแรงมากกว่าปกติเพื่อให้มันขยับเขยื้อนนะครับ บางทีเราต้องใช้แรงเป็น 3 เท่าจากเดิมเพื่อแค่ให้มันหมุน จะเห็นได้ชัดเจนก็ตอนขึ้นเขา และปั่นทวนลมครับ
   ล้อเบาอย่างเดียวไปไม่รอด ต้องได้ยางเบาด้วย เขาถึงมียางชนิดบางออกมาขายไง ไอ้นี่แหละตัวเร็วเลย แต่บางก็ต้องทำใจหน่อยนะว่ามันแตกง่าย โดนอะไรแหลมคมตำเอาหน่อยก็ต้องจอดปะ
   ส่วนพวกรถ Down Hill ที่เห็นล้อเขาหนาๆ หนักๆ นั้นเพราะเขาเน้นไปที่ความแข็งแกร่งมากกว่าครับ หากไม่นับความทนทานแล้ว พวกเขาต่างอยากได้รถเบาๆ ด้วยกันทั้งนั้น
   “อ้าว รถเบาแล้วจะลงเขาดีหรือพี่” เด็กคนหนึ่งถามผม
   “อ้อ หากรถหนักๆ ดีจริง คงจะมีเฟรมเป็นเหล็กตันออกมาขายแล้วล่ะ” ผมย้อนบ้าง คนนี้สนิทกัน ผมไม่กล้าย้อนคนอื่น กลัวโดนตบลืมแบมือ
   ในวงการถยนต์ก็มีเรื่องการถ่วงน้ำหนักเหมือนกันนะครับ คือบางแมทช์มันมีคนขี้แพ้ชอบโวย อะไรที่ตัวเองดูจะด้อยกว่าคนอื่น เป็นต้องโวยไว้ก่อน ทั้งๆ ที่ฝีมือตัวเองนั้นแทบจะหาไม่เจอ (แต่ขอโทษ โวยโคตรจะดัง)
   งานแข่งรถรุ่น 1600 cc ก็จะมี Honda Civic เป็นเจ้าสนาม เพราะรถเบา เครื่องแรง รถอื่นๆ ก็ดูจะเสียเปรียบ บางครั้งกรรมการเลยให้มีการถ่วงน้ำหนักรถเพื่อให้แบกน้ำหนักเท่าๆ กัน อืมม .. ดูโอเคดี ว่าไหม
   แต่ต่อให้ถ่วง ผมก็ยังถือหางฝั่ง Honda ครับ เพราะรถอื่นมันหนักโดยรวมทั้งคัน แต่กับรถ Civic ที่ผมทำ มันเบามาก ครั้นหากจะถ่วงน้ำหนัก ก็ขอถ่วงไว้กลางๆ รถ ยึดกับจุดที่ต่ำที่สุดของรถ
   กรณีเป็นรถจักรยาน หากต้องถ่วงน้ำหนัก ผมก็ขอถ่วงไว้ที่บริเวณกระโหลก ไม่คิดจะไปถ่วงไว้ที่ล้อเป็นแน่ ล้อหนักก็ยิ่งต้องใช้แรงเยอะในการหมุนอยู่แล้ว จะมาบอกว่าพอหมุนแล้วมันหมุนเร็วนะ หมุนแรงนะ หมุนนานนะ เออ เอาเถอะพี่ กว่าพี่จะหมุนได้เร็วแรงนานปานนั้น ผมแซงพี่ไปไกลมากแล้วล่ะ และอีกอย่างคือ ผมสบายขากว่าพี่เยอะเลย 
   บอกก่อนว่าการเล่นทั้งจักรยานและรถยนต์ของผมมาจากการลองผิดลองถูกเอง มาจากประสพการณ์ล้วนๆ มีอ่านหนังสือหาความรู้บ้าง แต่ไม่นิยมจำขี้ปากฝรั่งมาบอกมาเล่าต่อแล้วทำฟอร์มว่ากูเจ๋ง ฝรั่งเก่งก็มี แต่มั่วก็เยอะ จุดอ่อนของไทยเราคือชอบเห็นฝรั่งเป็นพ่อ เขาจะคิด จะพูดอย่างไรก็ต้องถูกไปหมด
บางคนบอกคุยกับเพื่อนฝรั่งมา มันบอกว่า ….
ผมก็อยากจะย้อนถามกลับไปว่า เพื่อนคุณน่ะเป็นคนระดับใด มีความรู้ด้านที่เรากำลังถกเถียงกันสักเพียงไหน
Title: Re: กพ 53
Post by: O'Pern on February 13, 2010, 06:54:45 pm
13 กพ 53
   วันนีเป็นวันไหว้ของวันตรุษจีน คนไทยเชื้อสายจีนมักจะไหว้เจ้าช่วงเช้ากัน มีการจุดประทัดกันดังลั่นเต็มไปหมด ส่วนพรุ่งนี้เป็นวันเที่ยว คนที่เคร่งเขาจะถือ ห้ามทำงานด้วยซ้ำ
   ผมเองไม่ค่อยถือเคร่งครัดนัก เพราะจะว่าไปก็ต้องทำงานทุกวันตลอด และพักผ่อนท่องเที่ยวตลอด ทุกเวลาของผมคือการทำงานและการพักผ่อนไปพร้อมๆ กันนั่นแหละครับ
   ผมทำงานออกแบบ ช่วงหลังๆ มานี้ตั้งแต่มีลูก ผมมีงานออกแบบบ้านเข้ามาพอควร มันมาแบบงงๆ เพราะผมไม่ได้เรียนด้านออกแบบบ้านมาเลย ไม่ได้เรียนสถาปัตย์ ไม่ได้เรียนวิศวะ หรือภูมิสถาปัตย์แต่อย่างใด แต่ในเมื่อมีลูกค้าเข้ามาหาผม แสดงว่าเขาเป็นคนไม่ธรรมดา ไม่ชอบงานพื้นๆ ได้เลยครับพี่ เดี๋ยวผมจัดให้
   เมื่อวานเย็นผมดูสารคดีเกี่ยวกับสิ่งประดิษฐ์โบราณ ก็ดูไปเรื่อยๆ ตามประสา แต่มันมาสะกิดใจผมตรงที่นักประดิษฐ์ท่านนั้นเป็นชาวอิรัก แต่ไปอาศัยอยู่ในประเทศตุรกี พบบันทึกที่ยังอยู่ในสภาพสมบรูณ์ เขียนพิมพ์เขียวเกี่ยวกับสิงประดิษฐ์ที่ผมคิดว่าต้นกำเนิดมาจากชาวยุโรป เช่นกังหันวิดน้ำ ระบบส่งน้ำ เหล่านี้ผมคิดว่ามาจากอาณาจักรโรมัน เพราะยุคโรมันเรืองอำนาจนี้ ในเมืองถึงกับมีโรงอาบน้ำสำหรับประชาชนกันเลย แต่กลายเป็นว่าบันทึกของนักประดิษฐ์ท่านนี้เก่าแก่ก่อนยุคโรมันเสียอีก เสียดายผมจำชื่อเขาไม่ได้ ชื่อไม่คุ้นเลย ไม่ดังเลยสักนิด แต่คนทำสารคดีเป็นฝรั่งชาวอังกฤษเขายอมรับนับถือเลยว่านายคนนี้แหละ คือผู้ยิ่งใหญ่ตัวเอง และเราควรจะมาชำแหละประวัติศาสตร์กันใหม่แบบยกชุด เพราะอารยธรรมที่เจริญรุ่งเรืองครั้งโบราณกาลมันเกิดขึ้นในดินแดนแถวเอเชีย หาใช่ยุโรปไม่
   ยุโรปเป็นเพียงเมืองใหม่ อย่างสหรัฐอเมริกาก็ยังใหม่กว่าไทยเราเยอะมาก ประเทศเขาเพิ่งจะมีมา 200 กว่าปีเอง ยังอ่อนกว่าเมืองกรุงเทพฯของเราเสียด้วยซ้ำไป
   ผมชอบอ่านประวัติศาสตร์ครับ ชอบแนวทางวิธีคิดของคนรุ่นก่อน อ่านแล้วนำมาประยุกต์ใช้กับสถานกาณ์ปัจจุบันได้ดี
   กลางวันรีบกลับมาบ้าน นัดช่างตกแต่งภายในไว้ตอนบ่าย แต่เอาเข้าจริงกลับไม่มา ยังไม่เท่าไหร่ หนักกว่านั้นคือไม่โทรมาบอก รู้สึกไม่ดีเลยครับ คงจะต้องลาจากกันเสียแล้วสิ
   วันนี้อยู่บ้านแบบเบื่อๆ ไล่หาข้อมูลประเทศต่างๆ คิดจะพาภรรยาและลูกไปเที่ยวช่วงสงกรานต์
   เพื่อนอยู่ดูไบก็ชวนไป แต่ยังคิดลังเล เพราะเครื่องออกตอนดึก ทำให้ผมเสียเวลาของวันเดินทางวันแรกไป 1 วัน แต่ไปดูไบนี้ดีตรงผมได้พักฟรี ไม่ใช่บ้านพักแบบธรรมดา
                แต่พักที่สถานทูตไทยครับ นี มันเจ๋งตรงนี้ ไปในฐานะแขกของสถานทูตกันเลยล่ะ
Title: Re: กพ 53
Post by: O'Pern on February 14, 2010, 07:00:11 pm
14 กพ 53
   นานๆ ที่ที่วันวาเลนไทน์ และวันตรุษจีนจะมาชนกัน ผมเฉยๆ กับวาเลนไทน์ ตอนเด็กๆ สมัยนักเรียนก็มีเพื่อนๆ หอบหิ้วดอกกุหลาบมาโรงเรียนกัน ซื้อมาจากแถวปากคลองตลาดนั่นแหละ เอามาแจกๆ กัน พอได้มาก็ใส่กระเป๋าเสื้อเท่ๆ
   1934 / 1953 ก็เป็นปีที่วันตรุษจีนตรงกับวาเลนไทน์มาแล้วครับ แต่คงจะอีกหลายปีกว่ามันจะตรงกันอีกครั้ง
   ผมไม่เคยให้ดอกไม้สาวไหนวันวาเลนไทน์เลย ถ้าให้ก็จะให้วันอื่น ผมว่าให้วันนี้มันโคตรจะเลี่ยนเลยว่ะ เหมือนกับจัดฉาก หรือผักชีโรยหน้า อะไรประมาณนั้น
   ตอนหนุ่มเคยจีบสาวคนหนึ่ง (ปัจจุบันเธอแต่งงานไปแล้ว) ผมเอาดอกจำปีไปให้ทุกวันวันละดอก เป็นจำปีที่ผมซื้อมาปลูกเองที่บ้าน ดูแลเอง พอมีดอกก็เก็บไปฝากเธอ น่ารักมีมะ ฮ่าๆ
   ขั้นตอนการให้ก็ต้องมีเทคนิคหน่อย ยื่นให้เฉยๆ มันไม่สนุก ผมใช้วิธีเอาไปวางไว้ใต้โต๊ะที่เธอเรียนในห้องแลป บ้างก็เอาไปเหน็บไว้ที่รถเขา บางวันเดินมาเจอกันจังๆ ผมก็ส่งยิ้มแล้วหยิบดอกไม้จากเป้ให้ แล้วแต่จังหวะที่เจอกัน บางทีเจอกันกลางห้องโถงคนเพียบๆ ก็มี หรือบางทีก็เจอกันแถวหน้าห้องเรียน 
   ตอนเรียนผมพกกล้องถ่ายรูปติดตัวไว้ตลอด เป็นกล้องฟิล์มหนักมาก (ไม่น่าเชื่อว่าปัจจุบันก็ยังคงพก แต่เป็นกล้องดิจิตอลแทน) ผมแอบถ่ายรูปเธอไว้เยอะแยะ ยังไม่พอ ผมเข้าห้องแลปล้างฟิล์มเอง พรินท์ภาพเองอีกด้วย
   เรียนไม่ค่อยตรงกัน เลยไม่ค่อยได้คุยกัน แต่ชอบแอบมอง มองแล้วมีความสุข ไม่รู้ทำไม
   เจอหน้ากันก็ไม่รู้คุยอะไรนะ ได้แต่ส่งยิ้มอย่างเดียว มีโทรคุยกันบ้าง แต่เกรงใจ ไม่ได้โทรกันถี่ยิบเหมือนวัยรุ่นจีบกัน ยิ่งผมรักใครชอบใคร จะยิ่งเกรงใจ ไม่อยากล่วงล้ำเวลาส่วนตัว
   ยุคผมไม่มีมือถือนะครับ ใช้โทรศัพท์บ้านนานๆ ก็โดนดุ ต้องใช้วิธีแลกเหรียญบาทเป็นกำๆ แล้วขี่จักรยานไปโทรในตู้สาธารณะ แต่ไม่น่าเชื่อ มันมีคนทำแบบผมเยอะเลย ต่อคิวนานแบบ 3-4 คิวก็ยังมี เคยครั้งหนึ่ง ช่วงมหาวิทยาลัย ผมต้องรีบโทรศัพท์ด่วน ตู้เต็มทุกตู้ เลยเลือกต่อคิวในตู้หนึ่งเป็นนักศึกษาหญิง ต่อไปได้สักพัก สงสัยทำไมนานจัง เพราะหากหยอดเหรียญเดียวบาทเดียวก็จะโทรได้ 3 นาที หันไปมองอีกที โอ โห เธอมีเหรียฐบาทอีก 2 ตั้ง วางอยู่บนหลังตู้โทรศัพท์ (ตั้งละ 10 บาท)
   เอาล่ะสิ ทำไงดี เราธุระด่วนด้วย มองหน้าก็แล้ว เธอก็หันบิดหลบไม่สบตา หันหลังให้ผม แล้วก็หยอดเงินคุยต่อ
   สุดท้าย งัดไม้ตาย ผมเคาะตู้ เธอหันมามอง ผมยกมือไหว้
   “พี่ครับ ผมขอเถอะครับ ผมมีธุระด่วนจำเป็นมาก ผมคุยแค่ไม่ถึง 1 นาทีหรอกครับ”
   ได้ผล !!! เธอทำหน้าไม่สบอารมณ์แล้วกวาดเหรียฐที่วางไว้เดินออกจากตู้ไป
   ส่วนสาวคนนั้น ผมจีบไปจีบมา เธอมีแฟนไปแล้ว เซ็งสิพี่น้อง แต่ก็ต้องระงับความเซ็งเอาไว้ เราต้องคิดบวก เพราะหนุ่มคนนั้นมันดูดีกว่าผมทุกๆ ด้าน เราต้องยินดีกับเขาต่างหาก
   พอละ เล่าเยอะ เขิน
   เช้านี้เอาจักรยานออกขี่ไปราว 30 นาที รถคัน KHS HT คันเก่ง ยางหน้าปะเรียบร้อยแล้ว ตรวจสภาพดูก็ยังเก็บลมได้ดีอยู่ ส่วนยางหลังที่เคยมีอาการซึมๆ แต่ถอดยางออกมาแช่น้ำก็มองไม่เห็นรูรั่ว ปัจจุบันมันไม่ค่อยซึมแล้ว แปลกดีว่ะ งง นึกทฤษฎีไม่ออกเลยว่ามันเกิดจากอะไร และหายเองได้อย่างไร หรือปาฏิหาริย์มีจริงก็ไม่รู้
Title: Re: กพ 53
Post by: O'Pern on February 16, 2010, 04:06:06 pm
15 กพ 53
   กลางวันเอารถยนต์ไปเปลี่ยนยางมาครับ ยางเก่าแก่มาก อายุใช้งานก็เกือบจะ 10 ปี (9 ปีเศษ) ดอกยางแข็งมาหลายปีแล้ว แต่นี้ผมใช้จนร่องดอกยางก็สึกแทบจะเสมอกัน ที่ตัดสินใจเปลี่ยนวันนี้ก็เพราะมียางเส้นหนึ่งไปโดนตะปูมา ถ้าไปปะก็จะเสียเงิน 100 บาท ยางเก่าโครตๆ แล้วด้วย ก็เลยเปลี่ยนซะ
   ที่ผมทนใช้มันมานานมากขนาดนี้ก็เพราะต้องการทดสอบยางด้วยน่ะครับ คนอื่นอย่างไปเอาอย่างผม แค่สัก 5 ปีก็เปลี่ยนได้แล้ว แต่ไอ้พวกที่เปลี่ยนทุก 2 – 3 อันนั้นเร็วเกินไปครับ (แต่ถ้าใช้จนมันดอกสึกไปเยอะก็โอเคนะ)
   ตอนช่วงที่ผมยังทำนิตยสารรถยนต์ก็มักจะได้ข้อมูลจากร้านยางว่าควรเปลี่ยนทุก 2 ปี ได้ยินแล้วก็ไม่เชื่อหรอก อะไรมันจะหมดอายุเร็วขนาดนั้น ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็คือยางยี่ห้อนั้นห่วยมากๆ
   ปัจจัยที่ทำให้ยางเสื่อมเร็วมีดังนี้ครับ
1 UV
- แสงแดดเรานี่แหละ พอโดนแดดก็เริ่มนับถอยหลังของชีวิตมันได้เลย และถ้ายิ่งจอดรถตากแดดนานๆ ยางก็จะเสื่อมเร็วกว่ารถที่จอดแต่ในร่ม ถูกเผง.. ที่ว่ารถขับกลางคืนยางจะคงคุณภาพได้ดีกว่ารถที่ขับกลางวันครับ
2 น้ำมัน และสารเคมี
- รวมถึงของเหลวที่ทำปฏิกริยากับยาง ที่ร้ายสุดคือไปจอดทับแอ่งน้ำมัน ยิ่งจอดนาน มันก็จะยิ่งซึมเข้าไปในเนื้อยาง ผลที่ตามมาก็คือการแตก ลอกร่อน ของเนื้อยางด้านใน
3 เบรกจนล้อล็อค
- เบรกแรงๆ จนล้อล็อคลากยาว ทำให้หน้ายางบริเวณนั้นโดนครูดกับผิวถนน จะเกิดความร้อนสูงมาก เรียกกว่า Heat Spot ถ้าถนนเป็นลูกรังก็ไม่รู้สึกอะไร ถนนเปียกลื่นก็ไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นถนนลาดยางแห้งๆ สดๆ ล่ะก็ อีกไม่กี่วันผิวหน้ายางจะบวมเป่งออกมาเหมือนลูกมะนาว นั่นคือยางเสียแล้วครับ ใช้ต่อไปก็ไม่หาย มันจะกระเด้งกระดอนจนคุณรำคาญมาก
4 จอมลุย
- ลุยแหลก ขับไปโดนคมหินบาด ลำพังโดนแค่หน้ายางก็ไม่เท่าไหร่ เพราะมันแข็งแรง แต่ถ้าไปโดนเอาแก้มยางจนเป็นรอยเหมือนคัทเตอร์กรีดล่ะก็ รับรองว่าได้เสียเงินแน่ๆ

คร่าวๆ ก็ราวๆ นี้แหละครับ แต่ก็จะมียางบางล็อตที่ผลิตออกมาไม่ได้มาตรฐาน ก็จะเกิดรอยปริแตก คล้ายกับแตกลายงานั้นแหละ แต่รอยเหล่านี้จะเกิดที่แก้มยาง จะเป็นตลอดรอบแก้มยางเลย ที่แปลกคือมันมักจะเกิดด้านในของยาง คือเราล้างรถก็มองไม่เห็น ต้องเอารถขึ้น Hoist ตอนถ่ายน้ำมันเครื่องนั่นแหละ แล้วขอช่างลงไปสำรวจช่วงล่างด้วยซะเลย
อาการผิดปกติเหล่านี้ส่งเคลมได้ครับ ซื้อของอะไรก็เก็บใบเสร็จไว้ด้วย นานเป็นปีก็เคลมได้ แต่ร้านค้าบางร้านอาจงี่เง่า มีดึงเกม คืออาจไม่เปลี่ยนให้เราครบ 4 ล้อ อาจให้แค่ 2 แล้วบอกว่าเราใช้มานานแล้ว อะไรทำนองนี้
รถคันเก่าของพ่อผม ใช้ยาง Birdgestone Potenza RE711 (ปัจจุบันเลิกผลิตแล้ว มีรุ่นใหม่มาแทน) ใช้ไป 4 ปี เพิ่งจะไปดูยางก็ตกใจ พบรอยแตกรอบแก้มยางทั้ง 4 เส้น เลยกลับไปที่ร้าน Cockpit สาขาวงเวียนใหญ่ (ใกล้แยกตากสิน ฝั่งธน)พอผู้จัดการออกมาเห็นยางก็กล่าวคำขอโทษก่อนเลย
“ขอโทษด้วยครับ เราไม่มียางเบอร์ที่คุณใช้ในสต็อคขณะนี้เลย” เขาพูด กริยานอบน้อมมากๆ จนผมเกรงใจ
แล้วเขาก็พูดต่อ “รบกวนขอเป็นวันพรุ่งนี้ได้ไหมครับ ผมจะสั่งยางมาเตรียมรอไว้ให้”
เป็นไงเล่า ไม่ต้องเอ่ยปากขอเคลมสักคำ ศูนย์บริการแบบนี้ผมต้องขอยกย่องชมเชยครับ
ยางใช้ไปแล้ว 4 ปี เคลมได้ของใหม่อีก 4 เส้นฟรีๆ ไม่ต้องโชว์ใบเสร็จอะไรเลยด้วยซ้ำไป
แต่กับรถผมเองวันนี้ผมเลือกยางราคาถูกมาใช้ครับ ผมเจาะจงว่ามียางรุ่นใด Made in Thailand บ้าง ที่เลือกของไทยเพราะมันเคลมง่ายครับ ผิดปกติ มีปัญหา ก็คือมาจากการผลิต ร้านค้าก็จะส่งเคลมโรงงานอีกที ต่างจากพวกยางนำเข้าแพงๆ ไอ้พวกนี้เคลมไม่ได้เลยครับ เพราะร้านค้าเขารับมาจากผู้นำเข้าอีกทอดหนึ่ง เขาไม่ได้ผลิตเอง
กระทั่งยางจักรยานของผมยังเลือก Made in Thailand เลยครับ จะบอกให้ ก็ด้วยเหตุผลเดียวกันนี่แหละ แล้ววันหนึ่งมันเกิดรอยปริแตก ผมแจ้งอาการกับร้านแสงเพชร (จรัลสนิทวงศ์) เจ้าของร้านรับฟัง แล้วก็ทำหน้าเฉยๆ บอกว่าให้เปลี่ยนเส้นใหม่ ไม่ควรใช้ต่อ
อ้าว ไม่เคลมให้ผมหรอกหรือนี่ หรือว่าชาวจักรยานไม่ค่อยเคลมสินค้ากัน หรืออาจเป็นเพราะยางมันราคาไม่กี่ร้อยบาท คนเลยช่างมัน หยวนๆ ไม่ชอบก็แค่เลือกยี่ห้ออื่นแทน
จะอะไรก็สุดแท้แต่ ผมก็ยังใช้ยางเส้นที่แก้มแตกนั้นอยู่ และยังคงเติมลมเต็มสเปค 95 psi แถมยังเอาไปลุยทาง Off Road ทั้งๆ ที่มันเป็นยางสลิค (ไม่มีดอก) ก็แค่อยากได้ข้อมูลครับ ผมเล่นรถยนต์และจักรยานมาในแนวทางเดียวกัน เดินมาในสายของนักทดสอบรถ ก็เลยมีนิสัยแบบนี้ติดตัวมา ไม่ว่าจะใช้อะไร ของถูกของแพง ก็จะต้องล้วงเอาข้อมูลลึกๆ ออกมาให้ได้
ขากลับบ้านขับรถเข้าโค้งด้วยความเร็วตามปกติ แต่พอรถเลี้ยวก็นึกขึ้นได้ว่า เฮ้ยย เราเพิ่งเปลียนยางใหม่มา หน้ายางมันมีไขเคลือบอยู่ ผิวหน้ายางต้องการการรันอินสักพัก
ฉิบหายครับ มานึกขึ้นได้ที่ความเร็ว 100 ในโค้งแคบๆ
โชคดีที่รถไม่ลื่นไถล ผมยกคันเร่งเหลือครึ่งเดียว ปล่อยให้รถไหลผ่านโค้งออกไป พ้นโค้งออกมาแบบหนาวเย็นวูบ
   อ้อ ถ้าใครจะใช้ยางนานๆ แบบผม แนะนำว่าให้ไปเปลี่ยนวาล์วลมทุก 3 ปีนะครับ จากประสพการณ์พบว่าเกิดการรั่วซึม แต่หารูรั่วไม่เจอ มันไม่ได้รั่วที่หน้ายางไง มองหาตะปูก็ไม่มีสักตัว กระทั่งต้องถอดไปแช่น้ำถึงเห็นฟองอากาศปุดๆ ที่วาล์วลม ถ้าเปลี่ยนก็ยกชุด 4 ตัวเลยครับ ตัวละ 80 บาทหรือไงนี่แหละ เปลี่ยนง่ายๆ ได้ที่ร้านปะยางข้างถนน หรือในปั๊มทุกร้านครับ
Title: Re: กพ 53
Post by: O'Pern on February 16, 2010, 07:21:48 pm
16 กพ 53
   วันนี้ลูกผมไปทรรศนศึกษา ตื่นแต่เช้าเหมือนเดิมแหละครับ ทุกทีตื่นมาแล้วต้องเล่น ต้องดูทีวีก่อน แต่วันนี้รีบวิ่งแจ้นอาบน้ำแต่งตัว แถมยังเร่งให้ผมเร็วๆ
   “พ่ออ่ะ เร็วๆ หน่อยสิ เดี๋ยวก็สายหรอก”
   โห มาเร่งผมตั้งแต่ 0700 โรงเรียนเข้าตอน 0810 แถมขับรถไปโรงเรียนราว 10 นาที รวมเวลารถติดแล้ว
   มิวมันบ้าเห่อครับ วันไหนได้เที่ยวจะลิงโลดมาก เห็นว่าวั้นนี้จะไปศึกษาเรื่องเกี่ยวกับพันธุ์พีช และสมุนไพร
   กลางวันผมขับรถกระบะส่งของ รถติดคาทางแยก รถผมขยับออกมาตอนไฟเหลือง แต่รถหนักเลยขับช้า เลยดูเหมือนฝ่าไฟแดง ขับไปได้อีกนิดเดียวตำรวจรีบวิ่งออกมาจากป้อม รีบโบกรถผมให้หยุด หน้าตายิ้มแย้มมาเชียว
   “สวัสดีครับ คุณฝ่าฝืนสัญญาณไฟออกมาครับ” พูดพร้อมตะเบ๊ะ ใส่แว่นดำ ใส่ผ้าปิดปาก ผมว่าเรื่องกันฝุ่นกันแดดคงเป็นประเด็นรองครับ หลักๆ เลยคือมันอายที่จะโชวหน้าตามากกว่า
   “สวัสดีครับ ผมมาขับรถแทนคนงาน ผมไม่คุ้นเส้นทางเลย ไปส่งของร้านที่อยู่แยกหน้านี้แหละครับ” ผมไม่เถียงเขา คนพวกนี้ไม่ชอบให้เถียง เขามีอำนาจในมือ เลือกปฏิบัติได้ เขาชอบข่มคนงาน ชอบข่มเหงคนอ่อนแอกว่า เจอรถเก๋ง หรือเจอผู้หญิงขับ เขามักจะไม่เรียก แต่ถ้าเป็นรถคนงาน รถบรรทุกนี่รีบปรี่มาเลย ผมก็เลยเออออตามเกมเขาไป
   “พี่ตำรวจช่วยเหลือผมหน่อยเถอะครับ ผมออกมาตัวเปล่าเลย รีบขับออกมา” ผมพูดต่อ
   “จะให้ช่วยเหลือยังไงดี” ตำรวจตอบ หน้าตาแกยิ้มมาก ดูเป็นมิตรฉิบเป๋งเลย พร้อมกับเอามือมาเกาะกระจกรถผม
   “ผมขอเป็นให้พี่ตักเตือนได้ไหมครับ”
   จากหน้ายิ้มๆ เริ่มถอดแว่นดำออกจ้องหน้าผม 
   สอบถามผมว่าร้านอยู่ไหน จะไปส่งของที่ไหน ผมก็ตอบไปตามตรง ผมมาขับรถแทนคนงาน ลูกค้าเร่ง เลยรีบออกมา
   “เอาๆ ได้ๆ คราวนี้ตักเตือน คราวหน้าไม่ได้แล้วนะ”
   “ขอบคุณมากครับ”
   เราจากกันด้วยดี ผมยอมรับว่าเคยให้เงินเจ้าหน้าที่ตำรวจครับ เป็นการให้เพราะเคยเห็นผู้ใหญ่เขาทำ แต่พออายุสัก 20 ปีก็ไม่เคยให้เงินติดสินบนแลกกับการให้เขาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่อีกเลย
   ผมก็ขอกันตรงๆ แบบนี้แหละครับ ถ้าไม่ให้ ก็ขอเป็นใบสั่งมา ก็เท่านั้นเอง ว่างๆ ก็ไปชำระค่าปรับ แล้วเขกหัวตัวเองแรงๆ ว่าอย่าเผลอทำผิดกฏอีก
   เทคนิคของผมคืออย่าไปต่อล้อต่อเถียงเขา อย่าไปพูดจาข่มเขา แม้ผมจะไม่ได้ฝ่าไฟแดงจังๆ ก็ตาม หากเขาว่าผมฝ่า ผมจะไปทำอะไรเขาได้เล่า
   ขับรถกระบะตระเวณส่งสินค้า มีลูกน้องติดท้ายรถไป 2 คน โดยมากมักจะจอดในที่ห้ามจอด ผมต้องคอยนั่งเฝ้าอยู่ในรถ หากมีตำรวจมาก็ต้องคอยเลื่อนรถหนี ชีวิตแบบนี้ไม่เห็นจะมีความสุขตรงไหน แต่ทำไงได้
   ถึงแม้จะมีที่จอด แต่ที่มักจะแคบสุดยอด จอดแล้วเหลือพื้นที่หัวท้ายรถแค่คืบกว่าๆ ผมถือว่าท้าทายฝีมือสุดๆ เพราะผมขึ้นนังขับในรถที่ไม่คุ้นเคยมือเลยแม้แต่น้อย
   นี่แหละครับ ชีวิตคนงานขับรถส่งของ ไปส่งของช้าก็โดนลูกค้าบ่น อยู่บนถนนก็โดนตำรวจเรียกคุยอยู่บ่อยๆ มีครั้งหนึ่งเขาเรียกให้หยุด เดินดูรอบรถ แล้วบอกว่าลูกน้องที่อยู่ในกระบะท้ายด้านหลังนั่งไม่เป็นระเบียบ !!!
Title: Re: กพ 53
Post by: O'Pern on February 17, 2010, 02:37:40 pm
17 กพ 53
   เข้าหน้าร้อนอย่างเป็นทางการแล้วกระมังครับ กลางวันอากาศยิ่งร้อนอบอ้าวมากขึ้นทุกวันๆ เรื่องเอาจักรยานออกปั่นเล่นนี้ไม่อยู่ในความคิดเลย แต่ถ้าไปทำธุระใกล้ๆ ก็พอไหว
   เออ สายชาร์จโทรศัพท์ผมเสียอีกแล้วครับ ถ้าไปเปลี่ยนอีกครั้งก็จะเป็นเส้นที่ 7 มันเสียมาหลายวันแล้วล่ะ ใช้ได้แค่ 2 ครั้งเองมั้ง แรกๆ โมโหนะ แต่หลังๆ นี้แปลกใจครับ ว่าทำไมสินค้าคุณภาพแบบนี้ มันทำออกมาขายกันได้ด้วยหรือนี่
   ผมออกแบบตกแต่งภายในห้องคอนโดเรียบร้อยแล้วครับ เรียกผู้รับเหมามานั่งคุยและกำหนดสเปคเรื่องวัสดุกัน ผมเขียนสเกชมือคร่าวๆ ว่ามุมจะจะไว้อะไรบ้าง ให้ช่างเขาช่วยเขียนแบบและลงสเกล หากมีปัญหาอะไรก็มาว่ากันอีกรอบ
   สำหรับการตกแต่งห้อง ผมจะเน้น 3 อย่าง
1 เรื่องของฟังชั่น คือต้องใช้งานได้สะดวกเป็นหลัก ไอ้แบบสวยจริงแต่ใช้งานไม่ดี แบบนี้ไม่เอา พวกนั้นเป็นแบบบ้านโชว์
2 เรื่องโทนสีของห้อง ไม่จำเป็นต้องสีเดียวกันหมดทุกห้อง แต่ละห้องจะมี Theme ของมันเอง อาจเชื่อมโยงถึงกัน หรือตัดขาดจากกันก็ได้
3 เรื่องแสง ผมเน้นเป็นอันดับ 3 เพราะผมนอนเร็ว เปิดไฟแค่วันละไม่กี่ชั่วโมง แต่ก็อยากให้มันสวยตอนกลางคืนบ้าง
   ห้องคอนโดเล็กๆ ก็เลยเน้นแบบโปร่งโล่ง เน้นแสงธรรมชาติในช่วงกลางวัน และให้ลมพัดผ่านไหลเวียนอากาศได้ดี โชคดีเป็นห้องอยู่ริมแม่น้ำ เลยขอรับลมธรรมชาติสักหน่อยเถอะน่า
   ที่ขาดไม่ได้คือที่แขวนจักรยานครับ แขวนมันหน้าประตูเลยล่ะ เอาไว้เสร็จแล้วจะเอาภาพมาอวด ไม่ใช่เพียงแค่แขวนจักรยานนะ ยังมีที่วางหมวก วางอุปกรณ์ รวมไปถึง Panniers รับประกันความกรี๊ด ออกแบบเองครับ ไม่ได้ก๊อปลอกใครมาจากหนังสือหรือเวป
   กลางวันเข้าบ้านจอดแวะซื้อส้มตำ แต่เปลียนใจกระทันหัน เพราะคิวยาวมาก อากาศก็ร้อนจริงๆ ขี้เกียจยืนรอข้างถนนครับ เลยขับรถกลับมาบ้าน เปิดตู้ดูไม่เห็นมีอะไรกินเลย จะมีก็อากาศสำเร็จรูปที่ผมเตรียมไว้ตอนไปแคมป์ ไอ้พวกนี้เอาไว้กินตอนอดอยากจริงๆ
   ค้นตู้ได้ธัญพืชอบของฝรั่ง เขาใช้ข้าวไรน์ (Rye) อบแห้งอัดเป็นแผ่น รสชาติไม่ดีหรอกครับ จืด เฝื่อนๆ กินก็ฝืดคอ มันแห้ง แต่คุณค่าอาหารเยอะมาก เป็น 100% Whole Grain from Rye เอาเนยถั่วมาทา กินๆ ไปก็พอใช้ได้นะ อร่อยดีเหมือนกัน
   ผมเคยเตือนครั้งหนึ่งแล้วว่า หากจะเลือกผลิตภัณฑ์ที่ทำจาก Whole Grain ก็พิจารณาดูให้ดีว่าเขาใช้ Whole Grain กี่ % ด้วยนะครับ สำคัญมาก ที่พบบ่อยก็คือเขียนข้างกล่องว่า Whole Grain ตัวโตๆ เบ้อเริ่มเลย แต่พออ่านข้างกล่อง เขาบอกว่ามี Whole Grain อยู่ไม่ถึง 10% ที่เหลือคือแป้งขัดขาวด้อยคุณค่าธรรมดาๆ นี่แหละครับ ปัดโธ่
   Whole Grain คือธัญพืชเต็มเมล็ด ของไทยก็มีเยอะแยะไป เช่นข้าวกล้อง ลูกเดือย ถั่วต่างๆ ไม่จำเป็นต้องไปหาของฝรั่งแพงๆ มากินนะครับ ที่ผมกินน่ะก็เพราะผมกิน Whole Grain ของไทยเป็นประจำอยู่แล้ว เลยเปลี่ยนบ้างเท่านั้นเอง
   พวกฝรั่งเขาเป็นประเทศอดอยากครับ พอหน้าหนาวก็หาของกินลำบาก เขาก็จะกินอาหารสำเร็จรูปกัน ไทยเรานี้แสนดีนักหนา ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ไทยเราเด่นเรื่องอาหารการกินเป็นที่สุดครับ นี้คือจุดแข็งของเรา รองจากการท่องเที่ยว
   เรารู้จุดแข็งของตัวเอง แต่กลับทำจุดแข็งให้เด่นไม่ได้ รักษาความดีของจุดแข็งของเราเองไม่ได้ ผู้คนของเรายังไม่มีวินัยพอ เอาง่ายๆ คือเรายังด้อยพัฒนา เรายังมักง่าย
   ไอ้เรื่องมักง่ายนี้เห็นกันบ่อยมาก มักง่ายแบบคนรวยก็คือจอดรถไม่เป็นระเบียบ จอดซ้อนคัน เอาแต่ตัวเองสะดวก จอดแล้วเปิดไฟกระพริบไว้แล้วลงไปซื้อก๋วยเตี๋ยว
   มักง่ายแบบคนเมืองก็คือไม่ต่อคิว ใช้เบียดๆ เอา ใช้ตะโกนแย่งกันซื้อ ขนาดผมต่อคิวซื้อไก่ใน KFC ยังเจอคนมายืนเบียดข้างๆ อยู่ประจำ พนักงานเองก็ทำตัวไม่ถูกว่าจะบริการใครดี มีครั้งหนึ่งผมโดนเบียด แต่พนักงานเขารู้ว่าผมต่อคิว คนเบียดสั่งของ แต่พนักงานมองหน้าผมเพื่อจะรับออเดอร์ผมก่อน
   จ่ายเงินรับของเสร็จ ผมก็ชมเชยเขาว่าคุณทำถูกต้องแล้วที่บริการคนที่ต่อคิวก่อน มิฉะนั้นก็จะไม่มีระเบียบวินัย
   เออ เรื่องแปลกอีกอย่างใน KFC ก็คือ กินแล้วไม่ต้องเก็บถาดเอง อันนี้แปลกมาก วัฒนธรรม Fast Food ไทยเราคือกินแล้วลุกเลย ทิ้งมันไว้บนโต๊ะอย่างนั้น จนทำให้ทางร้านต้องจัดพนักงานมาเก็บกวาด (จากเดิมแรกๆ ไม่มีนะ) ในเมื่อเขามีค่าใช้จ่าย เขาก็มาบวกกับราคาสินค้านั้นแหละ
   เข้าเรื่องมักง่ายต่อ คราวนี้มักง่ายของคนจนก็คือ ทิ้งขยะไม่เลือกที่ ยืนฉี่ข้างถนน กินอะไรเสร็จก็เหวี่ยงทิ้งเฉยเลย เคยขับรถตามรถกระบะ คนงานด้านหลังเขากินเงาะ ก็ทิ้งเปลือง ทิ้งเมล็ดกันนอกรถ ผมตามหลังจึงกดแตรเรียก เขาถึงเกิดความละอายบ้าง
   อย่าว่าอะไรเลยครับ ขนาดในโรงเรียนลูกผม งานวันกิจกรรม เด็กๆ ต่อคิวเล่นเกม ต่อคิวรับขนม ก็ยังมีผู้ปกครองหลายคนไปจูงลูกตัวเองมายืนเบียดเอาข้างหน้า เด็กน่ะเขาใสสะอาด ให้ต่อคิวเขาก็ต่อ เขาไม่แซงคิวสักนิด เขาด่างพร้อยก็เพราะพ่อแม่ตัวเองแท้ๆ
   ด้านนอกที่ลานจอดรถมันเต็ม ผมก็ขับไปจอดนอกโรงเรียน แต่ก็มีผู้ปกครองท่านอื่นใช้วิธีจอดซ้อนคัน ดูเป็นเรื่องธรรมดากันแล้วใช่ไหมครับ แต่ในสังคมโลกมันไม่ธรรมดาหรอกครับ เขาเรียกมักง่าย
   ลองคิดถึงว่าตัวเองเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ต้องมาเข็นรถ SUV 4X4 คันโตๆ สิครับ ยังไม่นับว่ารถสกปรกแล้วมือเราจะเป็นอย่างไร รถจอดกลางแดดร้อนๆ เอามือดันมือก็ร้อนตามไปด้วย แถมบางทียังต้องเข็นถึง 3 คันเพื่อต้องการช่องให้รถเราพอออกได้
   
   ตอนบ่ายมีเด็กรุ่นน้องส่ง msn มา บอกว่าอ่าน UBX จบแล้ว (Ultimate Biking Experience) ชมว่าสนุกมาก อ่านแล้วรู้สึกอยากออกไปขี่จักรยาน
   ดีใจครับที่มีคนชอบ ตอนเล่นรถยนต์ผมก็เขียนเรื่อง Midnight Racing : the untold story ตอนนี้ผมมาขี่จักรยาน ก็เลยเขียนเรื่อง UBX ขึ้นมา
   แต่ UBX มันยังไม่จบหรอกนะครับ มันแค่เกริ่นเริ่มต้นเท่านั้นเอง ผมจะทะยอยลงให้อ่านกัน
Title: Re: กพ 53
Post by: O'Pern on February 18, 2010, 08:11:14 pm
18 กพ 53
   ไม่ได้ออกกำลังกายหลายวัน ร่างกายเริ่มจะอ้วน เช้านี้เอาจักรยานออกปั่นไป 20 นาที ผมปรับเวลาออกจากบ้านไปส่งลูกใหม่ เวลาช่วงเช้าสำหรับออกกำลังกายเลยลดน้อยถอยลง
   ครบรอบการเขียนบันทึก 1 ปีไปหลายวันแล้ว พอๆ กับครบรอบ 1 ปีที่ผมปั่นขึ้นอินทนนท์ เป็นปีที่ผมขี่จักรยานออกทริปมากที่สุด เพราะที่ผ่านมาหลายปีผมขี่แต่แถวบ้าน ขี่คนเดียวเป็นหลัก
    ยิ่งขี่จักรยานเยอะ ก็ยิ่งรู้จักคนเยอะ แรกๆ ก็เริ่มจากคุ้นหน้าคุ้นตา คุ้นมากเข้าก็คุยกันมากขึ้น ผมเจอเพื่อนแถวบ้านจากกลุ่ม TCHA หลายคน เริ่มจาก อากฤษฎา คนนี้อยู่ห่างผมถัดไป 2 ซอย ระยะทางราว 100 เมตร หากข้ามถนนไปก็จะมีคุณชัยณรงค์ และคุณอ้อย
   แต่ตอนไปทริปเรายังไม่เคยเดินทางไปด้วยกันนะ ตอนกลับก็เช่นกัน แยกย้ายกันกลับ ทั้งๆ ที่อยู่ห่างกันแค่นิดเดียวเอง
   ทราบข่าวว่ามีการจัดทำสายรัดข้อมือสีชมพูออกมา เอาอีกแล้ว เอาไอเดียที่มันเอ้าท์ๆ มาเล่นกันอีกแล้ว แถมเล่นเกาะกระแสเบื้องสูงอีกด้วย ที่ผมติน่ะคือไอเดียในการทำสินค้าออกมาครับ ไอ้กำไลแบบนี้มันเอ้าท์มากๆ น่าจะคิดหาอะไรแปลกใหม่ โดดเด่นสักหน่อยมาเล่น ลำพังอิงกระแสในหลวงน่ะ คนก็ตอบรับเปี่ยมล้นอยู่แล้ว ขอของอย่างที่มันมีลูกเล่นทั้งคนคิดคนใส่เสียหน่อยไม่ได้หรือไงครับนี่ ไอเดียใครก็ไม่รู้ โครตจะเชยเลย
   จำเรื่องลวงโลกที่ผมเคยบอกเมื่อหลายเดือนก่อนได้ไหมครับ ที่ผมยกให้เรื่อง Y2K เป็น Joke of the world ในยุคปี 2000 มาปีนี้ 2010 สิบปีให้หลัง มี Joke of the world 2010 อีกแล้วครับ ปีนี้ผมยกให้เป็นเรื่องของ GT200
   ไม่ใช่รหัสรถแข่งของ Toyota หรอกนะครับ แต่เป็นเครื่องมือตรวจสารพัดสิ่งของ จากประเทศอังกฤษ รายละเอียดก็ตามหนังสือพิมพ์เขาลงน่ะครับ ขนาดในบ้านเขายังยอมรับว่ามันลวงโลก ถึงขนาดห้ามขายแล้ว แต่ไทยเรายังมีคนเชื่อ อาจจะมีผลทางจิตใจบ้าง แต่ถ้ามันไม่เวิร์คจริงๆ ก็น่าจะยอมรับ
   ก็แค่โดนเขาหลอกมา ก็แค่เสียค่าโง่ แม้มันอาจจะเสียฟอร์มมากหน่อยก็ถือเป็นบทเรียนไปซะ ทำผิดแล้วยอมรับผิด ผมว่าแมนดีเสียอีก
   หรือกลัวจะโดนสอบสวนย้อนหลัง กลัวโดนทวงค่าปรับค่าโง่ ก็เลยยังทำเป็นชัวร์ว่ามันใช้งานได้อยู่ แบบนี้สำนวนไทยเรียก “เอาสีข้างเข้าถู”
   กลายเป็นว่าตอนนี้ไม่ได้กลัวว่ามันจะใช้ไม่ได้หรอกนะ แต่กลัวตัวเองจะโดนลงโทษในการจัดซื้อจัดจ้างเสียมากกว่า จริงไหมล่ะ
   
   วันนี้ผมขับรถส่งของแทนคนงานอีกแล้ว ขับกันทั้งวันเลยครับ โชคดีได้รถคันที่มีแอร์เลยค่อยสบายหน่อย แต่กลางวันรถติดชมัด ผมน่ะนั่งขับสบายมีแอร์ สงสารลูกน้องด้านท้ายรถที่ต้อนทนทั้งแดดทั้งฝุ่นควัน ซึ่งหากเป็นช่วงขากลับ ผมมักจะเรียกคนงานมานั่งด้วยกันด้านหน้าเสมอ
   เหนื่อยดีครับ ต้องยกของหนักตลอด หนักไม่กลัว เหนื่อยไม่ว่า ผมกลัวหลังเจ็บต่างหาก
   ไม่ใช่อะไรหรอกนะ กลัวขี่จักรยานไม่ได้น่ะสิ
Title: Re: กพ 53
Post by: O'Pern on February 19, 2010, 03:57:31 pm
19 กพ 53
   เช้านี้ได้แค่ปั่นวนเวียนใกล้ๆ บ้าน ผมไม่ได้เหงื่อออกแบบท่วมตัวมานานมากแล้ว รู้สึกไม่ค่อยสบายตัวเท่าไหร่เลย ผมรู้สึกว่าหากเหงื่ออกมากๆ แล้วจะรู้สึกสบายตัว เป็นความรู้สึกของผมเอง ไม่มีหลักวิทยศาสตร์ใดๆ มาอ้างอิง
   ช่วงนี้ผมลงรายละเอียดในการตกแต่งห้องคอนโดของตัวเอง เน้นที่ฟังชั่นการใช้งานหลักของผม คือขอโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ นั่งสบาย รอบตัวมีที่เก็บของที่หยิบฉวยได้ง่ายดาย ผมชอบความโล่งโปร่ง กลางวันเน้นแสงธรรมชาติ อยู่ตอนกลางวันไม่ต้องเปิดไฟ ถ้าหากไม่ร้อนจนเกินไปก็จะไม่เปิดแอร์ด้วยซ้ำ
   ผมมีไอเดียอะไรใหม่ๆ ก็จะโทรบอกช่างให้เขาช่วยดูอีกที วันนี้ก็เช่นกัน ผมออกแบบขาโต๊ะให้เป็นกำแพงเล็กๆ บอกช่างให้ช่วยดูว่าทำแบบนี้แล้วจะอับทึบเกินไปหรือไม่ แลกกับประโยชน์ใช้สอยเพิ่มขึ้น
   “ลองเขียนแบบลงใน 3D แล้วส่งให้ผมดูก่อนนะครับ ถ้ามันบังแสงหรือดูเกะกะก็ไม่เอา” ผมบอกช่างแบบนี้เสมอ หากจะมีอะไรเปลียนแปลงกับแบบห้อง
   กลางวันกลับบ้านมาเช็คเมลล์ ช่างส่งใบเสนอราคามาให้ ผมเปิดดูด้วยความตื่นเต้น แล้วก็เป็นไปตามคาด เปิดไฟล์ออกมาตาโปนทะลักมานอกเบ้า
   แพงฉิบเป๋งเลยยยยยยยย
   อ่านคร่าวๆๆ แล้วเอาแปลนห้องมาดูประกอบไปด้วย หัวใจยังเต้นแรงไม่หาย ต้องค่อยๆ ดูแบบไปแล้วก็คิดคำนวนด้วยใจเป็นกลาง พอคิดราคาออกมาเป็นชิ้นๆ แล้วก็เข้าใจ ที่มันแพงก็เพราะผมเป็นคนที่ชอบออกแบบของให้มันออกมาเข้าชุดกัน ไม่ชอบไปซื้อของสำเร็จรูปมาใส่นั่นเอง
   ห้องมันใหญ่กว่าปกติ ของก็เลยเยอะ มันก็เลยแพง ผมก็เข้าใจและยอมรับนะ แต่มันแพงกว่าที่ผมคิดไปเยอะเลย ทำไงดีวะ ขอพักหายใจก่อน มันเกินที่ผมตั้งเป้าไว้ไปแสนกว่าบาท หึหึ
   จะให้ปรับแบบใหม่ผมไม่เอาหรอก ออกแบบตั้งนานกว่าจะลงตัวได้ ไม่ได้แค่เพียงฟังชั่นนะ รวมถึงระบบแสงอีกด้วย โชคดีที่ผมไม่ได้บ้าเครื่องเสียง ไม่งั้นต้อนโดนอีกหลายแสน
   หรือจะให้ลดสเปคผมก็ไม่เอา เพราะโทนสีและพื้นผิววัสดุจะผิดไปจากเดิม กลายเป็นต้องออกแบบใหม่หมดอีกครั้ง
Title: Re: กพ 53
Post by: O'Pern on February 21, 2010, 11:31:25 am
20 กพ 53
    “คุณเปิ้ล หน้าห้องคุณเปิ้ลมีงูเห่านอนอยู่นะ”
   กลับมาบ้านก็เจอแม่บ้านแจ้งข่าวดี เล่นเอามึนครับ ลำพังแค่งูก็อยู่ไม่เป็นสุขแล้ว นี่เล่นงูเห่าอีกด้วย
   “ตัวโตไหมครับพี่” ผมสอบถามเพิ่มเติม จะได้ประเมินสถานกาณ์ถูก
   “ตัวโตค่ะ”
   ฉิบหายแล้วครับท่านผู้ชม คำว่างานเข้านั้นไม่เพียงพอเสียแล้ว
   ห้องผมเป็นบ้านอีกหลังที่สร้างแยกต่างหากมาจากบ้านหลังใหญ่ ถ้าใครเคยมาบ้านผมคงนึกภาพออก ห้องมันล้อมรอบไปด้วยต้นไม้ แถมปลูกเสียชิดตัวบ้าน เพราะต้องการความร่มรื่น
   ตั้งแต่แม่บ้านบอกข่าว ตอนจะเดินเข้าออกห้องก็ต้องระวังทุกฝีก้าว กลัวจะไปเหยียบงูเข้า สอดสายตามองอย่างไรก็ไม่เคยเห็นตัวมันสักที แต่เห็นมีคราบของงูติดอยู่ตามต้นไม้เป็นประจำ ไม่รู้ว่ามันมีหลายตัวหรืออย่างไรกัน
   ผมเองก็เคยเห็นงูออกบ่อยครับ ไม่เคยตีหรือไล่มันเลย ไม่ชอบทำร้ายสัตว์ แต่แม่บ้านมาบอกว่าเป็นงูเห่านี่สิ มันมาลำบากใจตรงนี้
   ผมเคยปั่นจักรยานที่อ่างเก็บน้ำโป่งดินดำ จ ชลบุรีเมื่อปี 94 แล้วเจองูเห่าครับ (หรือจงอางก็ไม่รู้ เห็นแม่เบี้ยชัดเจน) เจอกลางถนนช่วง Down Hill ลงมาอย่างแรง เบรกไม่ทันแน่ หักหลบผมก็ต้องกลิ้ง เลยดึงรถ Jump ข้ามผ่านไป
   ข้ามงูปุ๊บ ด้านหน้าก็เป็นเนินต่อ แต่รถมาแรง เลยส่งขึ้นถึงยอดเนินได้โดยไม่ต้องชิฟเกียร์ ต่อด้วยทาง Single Track มีต้นไม้รกทึบ มีกิ่งไม้ขวางหน้า ผมก้มหัวหลบแต่ไม่พ้น กิ่งไม้ตีเข้าที่ตาอย่างแรง ผมใส่แว่นเลยไม่เป็นไร แต่ได้ยินเสียงกิ่งไม้ฟาดหน้าดังมากๆ
   แรงของต้นไม้ที่ฟาด ทำให้ผมเบนรถหลบจนออกนอกทางแทร็ค เหลือบมองข้างทางพบว่าตัวเองเกือบจะตกเหวชัน เสียวมากๆ ครับ เรียกว่าหลุดอีกนิดเดียวก็กลิ้งตกมาตายแน่ๆ
   ถึงจุดพักเพื่อนตกใจมาก ใบหน้าผมเลือดออกเต็มโหนกแก้ม ผมไม่รู้ตัวเลย ถอดแว่น ถอดหมวก ล้างหน้าถึงรู้ว่ากิ่งไม้ที่ฟาดโดนหน้าน่ะ มันตีโดนแว่นตาเป็นรอยถลอก และเลื่อนมาฟาดเอาโหนกแก้มเข้าด้วย แก้มเป็นรอยกรีดเหมือนคัทเตอร์เป็นแนว 3 รอย อาจเป็นกิ่งไม้ที่มีหนามก็เป็นได้
   เคยอ่านหนังสือเก่าๆ คนโบราณท่านบอกว่า งูจะมาเตือนเราถึงอันตราย ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ แต่ก็ไม่ได้ลบหลู่ และไม่ได้ฆ่างูอยู่แล้ว
   งานนั้นผมโดดข้ามงู โดนกิ่งไม้ฟาดใบหน้า และเฉียดตกเหว รอดตายจากตกเขา และได้แผลบนโหนกแก้มซ้ายมา
   
   “คุณเปิ้ลๆ มาดูงูเร็ว งูที่เคยบอกน่ะ มันอยู่หน้าห้องคุณเปิ้ลอีกแล้ว”
   แม่บ้านกระหืดกระหอบมาบอก ผมรีบวิ่งไปดู ไม่เคยเห็นงูเห่านอกกรงมานานแล้วครับ ล่าสุดก็ปี 94 บนทางแทร็คในป่านั้นแหละ
   “ไหนๆ ผมมองไม่เห็น” ผมพยายามมองอย่างไรก็ไม่เห็น
   “นี่ไงๆ บนกิ่งไม้ มันนอนนิ่งๆ อยู่”
   ผมพยายามมองหางูสีน้ำตาล หรือสีดำเข้มๆๆ แต่ที่ไหนได้ มันกลายเป็นงูเขียว แถมตัวก็ไม่ได้ใหญ่อะไรเล้ยย มันแค่อ้วนๆ ๆหน่อยเดียว เหมือนเพิ่งจะกินอะไรมานั่นแหละ มันนอนนิ่งเพราะคงจะอิ่ม แต่ที่แน่ มันไม่ใช่งูเห่า
   โล่งอกครับ เพราะหากเป็นงูเห่าจริงนี่ผมทำตัวไม่ถูกเลยนะ มันเป็นสัตว์สงวนอีกด้วย ไอ้เรื่องฆ่าน่ะไม่มีแน่ๆ แต่จะไล่ไปไหนดีล่ะ จับใส่ถุงไปส่งเขาดินหรือ ผมก็จับไม่เป็นเสียด้วย ทางใครทางมันก็แล้วกันครับ ถ้าไม่มากัดอะไรผม เราก็ไม่มีปัญหากัน
   ผ่านพ้นคืน งูตัวนั้นก็หายตัวไป แต่ตอนเดินเข้าออกห้อง เป็นต้องระแวดระวังอยู่เสมอ
   
ผมยังคิดไม่ตกเรื่องห้องคอนโดจริงๆ ครับ นั่งคิดอยู่หลายตลบแล้วก็ยังสรุปไม่ได้สักที คือผมออกแบบห้องลงตัวหมดแล้วไง ทีนี้ไอเดียมันแล่น เลยมีลูกเล่นอะไรเยอะแยะ ซึ่งไอ้พวกนี้แหละคือตัวแพง
   แพงก็เรื่องหนึ่ง และอีกเรื่องคือผมมักจะเอาเงินเก็บไปซื้อพันธบัติออมทรัพย์ไว้ ล่าสุดก็ไปซื้อพันธบัตรเกาหลีไป 1 แสนบาท ฝากไว้ 1 ปี ได้ดอกเบี้ย 1.9% โดยไม่เสียภาษี ได้ไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ล่ะน่า
   เลยสองจิตสองใจไงว่าจะเอาเงินไปทุ่มทำห้องคอนโด หรือจะกลับลำ ทำบ้านแบบเรียบง่าย ถูกๆ หน่อย พออยู่ได้ แล้วเอาเงินที่เหลือไปฝากธนาคาร หรือเก็บไว้ลงทุนด้านอื่นดีกว่ากัน
   ส่วนใจที่อยากทำห้องให้มันสวยๆ ก็คืออยากให้พ่อ แม่ ภรรยา และลูก ได้อยู่ในห้องที่ตกแต่งอย่างสวยงาม เหตุผลง่ายๆ แค่นี้แหละ
   แหม เสียเหลี่ยมเหมือนกันนะครับนี่ อุตส่าห์สู้นั่งคิดนั่งออกแบบเสียอย่างดิบดี จะยอมทำให้ห้องเป็นแบบจืดชืดจริงๆ หรือนี่ ทำใจลำบากจริงๆ นะ
Title: Re: กพ 53
Post by: O'Pern on February 24, 2010, 06:15:10 pm
 
21 กพ 53
   ตั้งใจจะออกไปขี่จักรยาน เตรียมรถ สูบลม เติมน้ำใส่กระติก จัดวางรองเท้า เสื้อผ้าและอุปกรณ์ต่างๆ ไว้ตั้งแต่เมื่อคืน
   พอจะเอารถออกจากบ้านเท่านั้นแหละ ฝนเทลงมาอย่างแรง เลยรีบถอยกลับเข้ามาตั้งหลัก เอาไงดีวะ
   คิดจะไปออกกำลังกายที่ Fitness ที่คอนโดฯ แต่เขายังไม่เปิด สักพักฝนหายตก เลยได้แค่ปั่นเล่นแถวบ้าน แต่วันนี้ว่างเยอะ เลยขี่ไปถึงตลาดที่ตอนเด็กๆ ผมขี่ BMX วนเวียนเล่นอยู่ทุกเย็น
   ผ่านบ้านเพื่อนสมัยเด็ก มองเข้าไปก็เจอแค่คนไม่คุ้นหน้า เจอบางคนรู้จักบางคนผมจำหน้าได้ ส่งยิ้มให้ แต่เขาทำหน้างง ไม่เป็นไรหรอก ผมยิ้ม คือผมทักทายและปรารถนาดี
   “สวัสดีครับหนุ่ม” ผมขี่ไปจอดหน้าชายคนหนึ่ง
   “จำผมได้ไหมครับ” ผมพูดต่อ
   หนุ่มทำหน้างง ผมยังคงมองตาแล้วส่งยิ้ม
   “อ๋อ เฮ้ย หายไปนานเลย” เขาเริ่มจำได้แล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะจำชื่อผมได้ไหม ไม่ได้เจอกันนานกว่า 20 ปี
   “ผมยังอยู่ที่เดิม หนุ่มล่ะ”
   “อยู่ที่เดิมนี่แหละ” พูดจบหนุ่มก็ชี้ไปที่บ้านตัวเองหลังเก่า หลังที่ผมเคยมาขี่จักรยานแล้วหยุดพักคุยเล่นกันที่นี่
   ผมสอบถามถึงเพื่อนเก่าๆ พบว่าบางคนเสียชีวิตไปแล้ว หนึ่งในนั้นคือเพื่อนที่สนิทอีกคนในวัยเด็ก เขาชื่อหนึ่ง เป็นนักเลงพอตัว ตีรันฟันแทงเป็นเรื่องปกติของเขา
   “เปิ้ล ช่วงนี้อย่ามาอยู่ใกล้เรา อย่ามาใกล้เรา เรามีเรื่องกับเด็กในสุเหร่า” หนึ่งมักจะบอกผมในช่วงที่เขาต้องระวังตัว
   ข้ามฟากถนนพระราม 2 ไปอีกด้านจะเป็นสุเหร่าของชาวอิสลาม ผมก็ยังไปขี่จักรยาน BMX เล่น ที่ฝั่งนี้ผมก็รู้จักกับนักเลงเจ้าถิ่น
   “เปิ้ล เรามีเรื่องกับพวกมอญฝั่งโน้น เปิ้ลขี่จักรยานก็ระวังๆ ไว้หน่อยนะ”
   อ้าว กลายเป็นว่าผมดันไปรู้จักทั้งสองฝั่งที่เขามีเรื่องกันเสียนี่
   วัยเด็กของผมคลุกคลีกับแวดวงนักเลงมาตลอดตั้งแต่ช่วงประถม เพื่อนบางคนเล่นไสยศาสตร์ มีของขลัง แต่นักเลงสมัยนั้นมีแต่มีดกับไม้ ถ้าไม่หนักหนาจริงๆ จะไม่ใช้ปืน
   การชกต่อยกัน มีเรื่องตีกัน เป็นธรรมดาของเด็กวัยรุ่นแถวนี้ บางวันผมเห็นเขาเตรียมยุทโธปกรณ์จะออกรบกันเสียด้วยซ้ำ มีผ้ายันต์ มีตะกรุด มีสายสินจ์ พระเครื่องนี่มีห้อยคอกันทุกคน มีรอยสักต่างๆ นานา ของอาจารย์วัดดัง
   จนโตขึ้นมา ผมเองก็มีเรื่องกับคนอื่นเขาบ้าง แต่เป็นการต่อสู้เพียงลำพัง ผมไม่ชอบเล่นพวก ไม่ชอบหมาหมู่ ให้บอกตามตรงก็คือ ผมชอบมือเปล่าด้วยซ้ำไป ผมว่านี่คือนักเลงตัวจริง ซัดกันด้วยมือเปล่านี่สะใจกว่ากันเยอะ ดีกว่าเอามีดไปแทงเขา เอาไม้ไปตีเขา หรือเอาปืนไปยิงเขา
แถมยังทำเขาแล้วก็ต้องวิ่งหนีอีก แบบนี้มันแมนตรงไหนกันวะนี่ นึกภาพไม่ออกจริงๆ
   
   ตอนบ่ายช่วยแม่สอยมะม่วงครับ บ้านผมปลูกมะม่วงหลายต้น ปลูกแบบปล่อยปะละเลย ไม่ได้ดูแลแบบชาวสวน แต่ก็มีใส่ปุ๋ยบ้าง นานๆ ที
   ผมหาข้อมูลในอินเทอร์เนท เขาบอกว่าให้งดน้ำตอนมะม่วงติดลูกแล้ว ก็ลองดูครับ นี่ก็งดมาหลายเดือนแล้ว ผลปรากฏว่าปีนี้มีลูกออกเต็มต้น ปลูกมาเกือบจะ 30 ปี ปีนี้เยอะที่สุด เพราะเป็นปีแรกที่หยุดให้น้ำ
   เอาง่ายๆ คือโง่มาราว 30 ปี แต่ก็ยังดีที่เริ่มฉลาด
   วันนี้สอยเฉพาะลูกโตๆ ได้มาเกินกว่า 30 กก ครับ!!! นี่แค่ต้นเดียวนะ
   

22 กพ 53
   เมื่อคืนมีคนโทรมาขอให้ช่วยประกอบรถแข่งให้เขาหน่อย สอบถามเพิ่มเติมพอจะสรุปได้ว่า ต้องการสร้างรถแข่งวิ่งในเซอร์กิต จะใช้เปลือกนอกของ VW Karmann Ghia Type I
   โอ ตัวรถถูกใจผมมาก ตอนหนุ่มๆ เคยตามหาอยู่พักหนึ่ง เจอในราคา 2 แสนกว่าบาท ในขณะที่โฟล์คเต่าธรรมดาๆ ผมหาได้คันละ 3 หมื่นบาท
ตอนเด็กไม่มีเงินครับ เลยไม่กล้าฝันไกล มาวันนี้ Karmann Ghia Type I ราคาพุ่งไปถึงเลข 7 หลักนานหลายปีแล้ว ส่วนโฟล์คเต่าก็ตีตื้นขึ้นมาได้แถวเลข 6 ตัวบ้างเหมือนกัน (แล้วแต่สภาพ)
   ผมเปิดเรื่องงบประมาณไปก่อนเลย เพราะที่ผ่านมาคุยแล้วเสียเวลาครับ คือผู้ซื้อมีแต่จิตนาการ ไม่มีเงิน ซึ่งมันก็ทำอะไรมากไม่ได้ ก็ปล่อยให้เขาจิตนาการต่อไป
   แต่คนนี้ท่าทางเขาจะเอาจริง ผมเลยสเปคของไปคร่าวๆ เผื่อเขาหาเองได้ถูกกว่าผมก็จะยิ่งเป็นการดี
   
   กลางวันมีอีกคนหนึ่งโทรมาหารือเรื่องรถ Kit Car อีกแล้ว คราวนี้อยากได้ Ferrari F430 คุยดูแล้วท่าทางจะเอาจริง ผมเปิดเรื่องงบไปก่อนเป็นเรื่องแรก เพราะที่ผ่านมาเสียเวลาคุยกันอยู่นาน พอเจอตัวเลขเข้าเป็นหงายหลังกันหมด
   คนนี้เขาบอกรับได้ แต่ของให้เนี๊ยบจริง ผมก็บอกความจริงไปว่า ความเนี้ยบมันขึ้นอยู่กับงบนี่แหละครับ ถ้ามันถึง มันก็เนี๊ยบได้ไม่ยาก
   ตอนแรกเขาบอกจะสั่ง Kit Car ของอังกฤษมาเลย พอผมถามถึง Base Car เขาบอกใช้รถ Toyota MRS
   เฮ้ยย ไอ้ MRS มันฐานล้อสั้นกว่า F430 เป็นฟุตเลยนะนั้น ทำออกมาแล้วจะออกแนวขบขันมากกว่าจะสวยงามนะ เลยรีบเบรกเขาให้ไปเช็คข้อมูลให้ดีเสียก่อน กลัวจะเสียเงินก้อนใหญ่ แถมรถออกมากลายเป็นรถการ์ตูน
   
   วันนี้ผมขับรถส่งของทั้งวันครับ เล่นตั้งแต่เช้ายันมืด กลับบ้านเอาตอนสามทุ่ม เสื้อขึ้นขี้เกลือเลยล่ะครับ

23 กพ 53
   วันนี้ขับรถส่งของอีกแล้วครับ เอ๊ะ มันยังไงกันนะนี่ ปกตินานๆ จะขับเสียที ผมก็ไม่ค่อยคิดอะไรมาก ถือว่าช่วยๆ กันไป
   ผมสละงานประจำทั้งหมด กลายเป็นรับงานฟรีแลนซ์ เพราะอยากมีเวลาดูแลลูกอย่างเต็มที่ ขนาด Mercedes Benz เรียกไปทดสอบรถ ค้าง 2 คืน ขับลงใต้ท่องเที่ยวไปด้วย ทดสอบ E Class ตัวใหม่เอี่ยม ซึ่งผมชอบอยู่แล้ว ผมยังปฏิเสธเขาไปเลย เพราะต้องไปรับส่งลูกที่โรงเรียน
   แต่กลายเป็นว่า หากผมอยู่ (ไม่ได้ไปไหน) คือผมว่าง ก็เลยเรียกให้ผมมาส่งของซะ (บ้างก็ขับรถ บ้างก็เป็นเด็กติดท้ายรถ) สาเหตุเพราะคนงานลาหยุดบ่อย
   ปกติผมไม่ค่อยเชื่อเรื่องดวงอะไรนัก แต่ปีนี้เขาว่าปีวอกเป็นปีชงอย่างจัง ผมเลยชักจะเอนเอียงเสียแล้วครับ มีเรื่องไม่ค่อยดีเกิดกับผมมาตลอดตั้งแต่ต้นปี ผมทำงานยกของจนหลังเจ็บ จักรยานก็ไม่ค่อยได้ขี่ แถมแต่ละวันช่วงนี้ผมต้องทำงานขับรถส่งของ ต้องยกของหนักๆ ยังไม่พอ ต้องยกขึ้นบันไดชั้น 2 อีกด้วย (ยังไม่นับชั้นลอย) เวลาส่วนตัวของผมหายไปหมด ไม่มีเวลาดูแลลูกดังที่ตั้งใจไว้
   ยังจะต้องมีเรื่องเสียเงินก้อนใหญ่ (จากการตกแต่งคอนโดฯ) นี่แค่เดือนกุมภาพันธ์เองนะ ยังเหลืออีก 10 เดือนเต็มๆ จะต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับผมอีกบ้างวะนี่ 
   ก็ต้องคิดบวกเข้าไว้ครับ งานเยอะ งานหนัก ก็คิดว่าทดสอบความอดทน คิดว่าได้ออกกำลังกาย วันไหนที่ส่งของในปากคลองตลาดก็จะเจอนักท่องเที่ยวฝรั่งเยอะ ผมก็มักจะเสนอตัวช่วยเหลือเขา ซึ่ง 90% ของนักท่องเที่ยวจะถามหาถึง Flower Market
   “Oh yes, I’m looking for Flower Market”
   มาแนวนี้กันหมดแหละครับ ผมก็ตอบไปแบบง่ายๆ ว่าแค่เลี้ยวขวาแล้วเดินตรงไป
   มีเด็กเข็นผักทำผักตกหล่น ผมก็เดินไปช่วยเขาเก็บ เขาทำหน้างง คงไม่เคยมีใครช่วยกระมัง พูดขอบคุณผมใหญ่เลย
   พอได้ช่วยเหลือคน แม้จะเพียงเล็กๆ น้อยๆ เราก็สุขใจครับ แม้จะต้องอยู่กลางแดดร้อนๆ แต่ภายในใจแสนจะร่มเย็น

24 กพ 53
   อ่านหนังสือเขาว่าปีวอกเป็นปีชง ให้ไปไหว้พระธาตุพนม จังหวัดนครพนม บ้างก็บอกให้ไปไหว้ศาลเจ้าพ่อเสือ
   ผมชอบกินถั่วครับ กินได้ทุกอย่าง ชอบถั่วหน้าตาประหลาด ชื่อแปลกๆ โดยเฉพาะถั่วที่มีไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น Pecan และ Hezel Nut
   แต่วันนี้เห็นแก่ของถูกครับ ไปเลือกซื้อถั่วยี่ห้อเปเล่ ยี่ห้อนี้เก่าแก่นะ และนี่ไม่ได้กินครั้งแรก แต่วันนี้เพิ่งอ่านฉลากครั้งแรกอย่างเป็นทางการ เจอคำว่า Saturate เขียนอยู่ใต้หมวดหมู่ของ Fat มีเจ้านี่อยู่ 2 กรัม คิดเป็นร้อยละ 13 อ่านไล่ลงมาอีก เจอคำว่า Sat Fat    Less than 20g ผมเดาว่ามันก็คือ Saturated Fat นั่นแหละ พาให้คิดต่อไปอีกว่ามันคืออีกชื่อหนึ่งของ Trans Fat เป็นแน่
   แย่เน๊อะ รอบตัวเรามีแต่ของเหล่านี้ ภัยใกล้ตัวในรูปของกินมีอยู่มากมาย เริ่มตั้งแต่น้ำอัดลม ไอ้นี่ตัวร้าย เพราะกินตั้งแต่เด็กยังแก่ เรื่องน้ำตาล เรื่องอ้วน ยังไม่เท่าไหร่ครับ มันสำคัญที่กรดฟอสฟอริกพอมันเข้าไปในร่างกายเยอะๆ เข้า กลไกในตัวเราก็จะสลายแคลเซี่ยมที่สะสมไว้ในมวลกระดูกออกมา เพื่อป้องกันไม่ให้เลือดเป็นกรดมากเกินไป
   ฉิบหายล่ะสิครับ แคลเซี่ยมสำคัญต่อกระดูกและฟันเป็นที่สุด ใครๆ ก็รู้ ทีนี้หากร่างกายเรามีกลไกสลายแคลเซี่ยมไปบ่อยเข้าจะเกิดอะไรขึ้น
   1 ฟันผุง่าย คนคิดว่าฟันผุเพราะน้ำตาล มันก็ไม่ผิดหรอก แต่การสูญเสียแคลเซี่ยมมันทำให้ฟันไม่แข็งแรงเอาเสียเลย ครั้นพอเจอน้ำตาล และเจอการดูแลฟันอย่างไม่ถูกต้องเข้า เหมือนโดนสองเด้งครับ
   2 มวลกระดูกไม่แข็ง ก็แหงล่ะ เล่นสลายแคลเซี่ยมเอาทุกวันๆ (ตามระยะเวลาที่กินน้ำอัดลม) นี่นา
   3 โรคที่จะตามมาตอนโตตอนแก่ คือกระดูกพรุน หากใครกินน้ำอัดลมประจำ แล้วพอแก่ตัวเข้า ล้มนิด ล้มหน่อย ก็กระดูกหัก สะโพกหัก ก็ไม่ต้องโทษว่าเราแก่หรอกครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนอ้วน คือตัวก็หนักอยู่แล้ว กระดูกก็อ่อนแอ ล้มทีเดียว อาจได้นอนถาวร
   4 สำหรับเด็กที่กำลังเจริญเติบโต ก็จะได้ของแถมคือ ความสูงของคุณจะลดน้อยลง ผมไม่ได้ขู่ ก็เล่นสลายแคลเซี่ยมออกมา กระดูกคุณจะเติบโตแข็งแกร่งได้อย่างไรเล่า มวลกระดูกมันไม่แข็งแรง มันเพิ่มความสูงไม่ได้มากนักหรอกครับ ส่วนคนที่เถียงว่าตัวเองกินน้ำอัดลมแล้วยังสูงได้ ก็คือคุณไม่ได้กินเยอะ และอีกข้อคือคุณโชคดี อ้อ จะบอกให้ว่าถ้าไม่ดื่มน่ะ คุณจะสูงกว่านี้อีกเสียด้วยซ้ำไป 
   
   ใครจะหยุดกินตอนนี้ก็ยังไม่สายเกินแก้นะครับ และหากจะคิดเสริมแคลเซี่ยม ก็อย่าอัดเข้าไปเยอะๆ ร่างกายเรารับไม่ไหว มันจะไปสะสมกลายเป็นนิ่วในกระเพาะปัสสาวะเสียอีกนี่
เสริมแคลเซี่ยมแล้วก็ต้องได้รับวิตามินดีด้วย มันจะทำให้แคลเซี่ยมดูดซึมเข้ากระดูกได้ดีขึ้น ก็แค่ออกกำลังกายกลางแจ้งก็ได้รับวิตามินดีแล้วล่ะครับ อย่างจักรยานน่ะ ใช่เลย ได้ดีเยอะมากๆ ๆ ๆ ๆ
   ดีอย่างเดียวไม่พอ จะให้ดูดซึมแคลเซี่ยมได้ดีกว่านั้นอีก ก็ต้องมีแมกนีเซียมร่วมด้วย จะเลือกเป็นแบบวิตามินรวมก็ได้ หรือกินพวกผักผลไม้หลากหลายเข้าไว้ก็ช่วยได้เหมือนกันครับ

   ตกเย็นผมไปรับลูก บนถนนพระราม 2 ช่องทางขนานมีเจ้าหน้าที่ตั้งด่าน ก็แบบเดิมๆ แหละครับ คอยรีดไถรถกระบะส่งของ รถสิบล้อ และพวกมอเตอร์ไซค์ สไตล์การจับก็ยังคงแบบเดิมๆ พวกนี้ไม่ค่อยมีไอเดียอะไรใหม่ๆ เขาใช้วิธีวิ่งตัดหน้ารถมาโบกเหยื่อ และวันนี้ก็เช่นกัน
   เขาวิ่งตัดหน้ารถคันที่อยู่หน้าผม 3 คัน แน่นอน เป็นใครก็ต้องเหยียบเบรกกระทันหัน ไม่มีใครอยากชนตำรวจหรอก
   เอี๊ยดดด รถคันแรกเบรกทัน แต่คันหลังสอยท้ายเข้าไปเต็มๆ ตูมมม
   ผมอยู่คันถัดมา โชคดีเบรกทัน แต่กลัวคันหลังสอยท้าย เลยรีบหักออกซ้ายแล้วมุดผ่านไป รอดมาได้อย่างเฉียดฉิว
   ตำรวจทำเนียนเลยครับ แม่งวิ่งกลับขึ้นไปบนทางเท้าอีกฝั่ง  ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ปล่อยให้รถที่ชนกันสองคันจัดการกันเอง
   คำว่าเลวยังเบาเกินไปสำหรับการกระทำของตำรวจเหี้ยๆ แบบนี้ 

ปล เหตุเกิดในท้องที่ สน บางมด ครับ

   ข่าวด่วนวันนี้คือ พบสารเร่งเนื้อแดงในฟาร์มหมู จังหวัดนครปฐมถึง 5 แห่ง ตัวใครตัวมันครับพี่น้อง
Title: Re: กพ 53
Post by: O'Pern on February 25, 2010, 06:39:39 pm
25 กพ 53
   เรื่องปีชงนี้งานเข้ายังไม่เลิกครับ อ่านหนังสือพิมพ์ฉบับเมื่อวานเขาลงข่าวดาราชื่อจุ๋ย โดนขโมยขึ้นบ้าน โดนไปหลายหมื่นบาท เจ้าตัวบอกทำใจไว้แล้ว เพราะเกิดปีวอก เป็นปีชงมากที่สุดของปีนี้ (ปีเสือ)
   อีกแล้วครับ วอกเหมือนผมเป๊ะเลย นี่ยังไม่ถึงเดือนเมษายน เหลืออีก 2 เดือน ถึงตอนนั้นจะเข้าปีวอกอย่างเป็นทางการ จะมีเรื่องมหัศจรรย์อะไรเกิดขึ้นกับผมอีกล่ะครับนี่
   วันนี้ก็เช่นเดียวกับเมื่อวานครับ ผมตระเวณขับรถส่งของ แดดร้อนแรงจัดสุดยอดมาก วันนี้ผมต้องเข็นของส่งย่านปากคลองตลาดอีกแล้ว นึกภาพคนเข็นผักส่งของน่ะครับ นั่นแหละ เหมือนผมเป๊ะเลย ชีวิตอิสระนอกกรอบดีจริงๆ
   เอาอุปกรณ์กันแดดของจักรยานมาใช้ด้วยครับ ใส่ปลอกแขน ใส่ผ้าคลุมปิดหน้า ใส่หมวกปีกกว้าง มันก็ได้แค่บรรเทานิดหน่อยครับ เราอยู่กลางแดดแรงๆ มันหนีความร้อนไปไม่พ้นหรอก ต้องคิดบวกครับ คิดว่าได้วิตามินดีฟรีๆ ได้เยอะกว่าใครเขาอีกด้วย กระดูกเราจะยิ่งแข็งแรง (ส่วนเรื่องร้ายจากแสงแดดเราไม่ต้องไปคิดถึงมัน)
   ตั้งแต่มีเรื่องแย่ๆ เกิดขึ้น ผมชักเชื่อเรื่องดวงแล้วล่ะครับ จากเมื่อก่อนนี้ไม่เคยสนใจอะไรเลยสักนิด จำได้ว่าหลายปีก่อน คนเกิดปีเสือจะเป็นปีชง พ่อกับแม่ผมเกิดปีเสือ เขาไปไหว้พระธาตุช่อแฮ จังหวัดแพร่ ผมเป็นคนขับรถพาเขาไปเองแหละ อัดคนเดียวรวดเดียวถึง มันส์เป็นบ้า เพราะไปกับรถคันใหม่เอี่ยม กำลังบ้าเห่อ
   ผมไม่ได้ถามพ่อแม่ว่าไหว้แล้วผลเป็นอย่างไร เพราะอย่างไรแล้วคงได้ความสบายใจขึ้นมาเป็นแน่ ดูๆ ก็น่าจะมีความสุขดี
   ปีนี้ถึงคิวของผมแล้วครับ คนปีวอก ต้องไปไหว้พระธาตุพนม จังหวัดนครพนม เอาไงดีล่ะนี่ วันๆ ยังต้องยกของแบกของ บ้างก็ขับรถส่งของอยู่เลย
   
   กลับเข้าบ้านตอนกลางคืนก็เปิดคอมฯ พิมพ์บันทึกจากเดิมเป็น Bike Diary ตอนนี้มันชักจะกลายเป็น Life Diary เสียแล้ว ไม่ค่อยได้ขี่จักรยาน ก็เลยไม่มีเรื่องจักรยานมาเล่ามาคุยครับ แถมยังไม่ค่อยได้เข้าเวปจักรยานอีกด้วย เลยหมดมุข ไม่มีประเด็นอะไรจะมาต่อยอดหรือเสนอความคิดเห็นกัน
   ใจเริ่มเอนเอียงเชื่อโชคลาง เลยเข้าเวปเช็คชื่อลูกดู ชื่อลูกผมเป็นคนตั้งเองครับ วันนี้มาตรวจสอบอีกรอบ ก็โอเคดี ไม่มีตัวอักษรใดเป็นกาลกีนี ส่วนเรื่องร่ำรวยอะไรนี้ผมเฉยๆ ผมชอบมีความสุขมากกว่า
   จะเข้าห้อง เจองูเขียวตัวเดิมนอนอยู่หน้าห้องอีกแล้วครับ เจอจังๆ ตกใจมาก อยู่ระดับใบหน้าเลยล่ะ ต้องเอาไม้เขี่ยออก กลัวมันมุดเข้าไปในบ้านจริงๆ เลย เพราะจะไล่ลำบากสุดๆ ไม่ชอบฆ่าสัตว์ ไม่ชอบทำร้ายใคร ใจเขาใจเราน่ะนะ แต่ถ้าต่างคนต่างอยู่จะดีกว่านะ คือกลัวเขาจะมาทำร้ายคนอื่นเข้าน่ะสิ แล้วเกิดคนอื่นเขาไม่ใจดีอย่างผมจะเป็นอย่างไร
   กลับมาบ้านตอนเย็นแบบหิวจัด ไม่มีอะไรกิน เลยเอาไข่ไก่มา 2 ฟอง แยกเอาไข่แดงออกเสีย 1 ฟอง หั่นมะเขือเทศเป็นเส้นเล็กๆ เช่นเดียวกับหอมใหญ่ และต้นหอมสัก 2 ต้น ตีให้เข้ากันแล้วเสริมด้วยข้าวสวย (ข้าวกล้อง) สักครึ่งทัพพี คนอีกครั้งให้เมล็ดข้าวกระจายตัว
เทน้ำมันมะกอกลงในกระทะ พอร้อนก็เทส่วนผสมทั้งหมดลงไปทอดเหมือนไข่เจียวนี่แหละ แต่ส่วนผสมเยอะแบบนี้ทำให้ไข่มันไม่เป็นรูปทรง ฝึกฝนสักหน่อยจะทำให้ไข่ออกมากลมได้โดยไม่ยาก พอไข่สุกก็ตักขึ้นมาใส่จาน
เทซอสมะเขือเทศไว้บนไข่ให้กระจายอยู่วงนอก ตรงกลางผมโรยหมูหยอง เหลือบไปเห็นถุงหมี่กรอบเล็กๆ ที่ลูกเขาไม่กิน ไอ้หมี่แบบนี้ได้มาจากร้านโจ๊กครับ เลยหยิบเอามาโรยหน้าไข่ซะ
เบ็ดเสร็จกลายเป็นเมนูไข่อะไรก็ไม่รู้ ไม่มีชื่อ ผมเคยทำไข่สารพัดรูปแบบตอนอยู่ต่างประเทศ ใส่ทั้งข้าวโพด ถั่วลันเตา แครอท ส่วนซอสที่ราดหน้าก็ใช้ได้ทั้งมะเขือเทศ และน้ำพริกเผา อร่อยได้เหมือนๆ กัน
เราสามารถเอาของหลายอย่างมาผสมไข่ได้อีกมากครับ แล้วแต่จิตนาการได้เลย ขอให้เป็นของกินเท่านั้นเป็นพอ

Tech Tips   
- อย่าใส่เครื่องเยอะเกินไป จะทำให้ทอดไข่ยาก
- มะเขือเทศจะมีประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าเดิม หากปรุงด้วยกรรมวิธีผ่านความร้อน
- หากจะใส่ข้าว แนะนำให้ใช้ข้าวที่เหลือจากมื้อก่อนๆ และไม่ต้องอุ่น ข้าวยิ่งแข็ง ยิ่งอร่อย
- น้ำมันมะกอกอาจทอดไข่แล้วไม่อร่อยไม่ฟูเท่าน้ำมันปาล์ม แต่มันมีประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่ากันแบบคนละโลกเลย
Title: Re: กพ 53
Post by: O'Pern on February 26, 2010, 06:15:14 pm
26 กพ 53
   เมื่อคืนปีนไปเปลี่ยนหลอดไฟ ผมลื่นตกเก้าอี้ครับ ต้นขาขวาด้านข้างเป็นรอยครูดที่ผิวหนังกับโต๊ะถลอกยาวเกือบฟุต ดีที่ไม่มีบาดแผลเลือดออกเยอะ (แค่ซิบๆ แต่มันช้ำ) รีบเดินกระเผลกๆ เปิดตู้เย็นเอายาของจีนชื่อบัวหิมะมาทา มันคือยาอเนกประสงค์ ใช้หาผิวหนังภายนอกร่างกายได้หมดทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นแผลสด แผลเก่า กระทั่งสิวบนใบหน้าก็ยังทาได้ แต่ที่เขาทำงานได้ดีสุดก็คือแผลไฟไหม้ และน้ำร้อนลวก
   ทาไปก็เจ็บแสบไปด้วย ก็ต้องทนครับ แน่นอน แว๊บแรกที่เข้ามาในสมองก็คือเรื่องปีชง ทำใจยอมรับครับว่าเราประมาท เรายืนไม่มั่นคงเองแหละ ไม่น่าจะเกี่ยวกับปีชงอะไรหรอก
   นอนหลับแบบไม่สบายตัว เพราะพลิกตะแคงข้างไม่ถนัด นอนแล้วเจ็บขา

   เช้ามารีบดูแผล โชคดีเหลือเกินที่โต๊ะไม่เป็นเหลี่ยมสันคม ไม่งั้นคงได้เลือด และถ้าโชคร้ายกว่านั้น อาจต้องเย็บเป็นสิบๆ เข็ม เพราะมันครูดเสียยาว และกระแทกเป็นรอยช้ำขนาดเท่าฝ่ามือ วันนี้แดงช้ำ พรุ่งนี้อาจเขียว วันต่อไปอาจม่วง
   อาบน้ำเสร็จก็ทายาบัวหิมะเข้าไปอีกรอบครับ เย็นนี้กลับมาก็ต้องทำแบบเดิมอีก ทำแบบนี้จนกว่าแผลจะหาย
   วิตามินอีของผมหมดพอดี ไม่งั้นจะอัดเข้าไปอีกสักเม็ดสองเม็ด
   แต่ยังไม่จบ ตอนเช้าเดินไปเดินมา ยืดเส้นยืนสายรู้สึกว่ามีอาการคล้ายคอเคล็ดแบบตกหมอน แต่มันไม่ใช่ตกหมอนนะ เพราะหากนอนตกหมอนจริงตอนตื่นปุ๊บจะรู้สึกได้ทันทีเลย
   กลายเป็นโดนสองต่อครับ เจ็บต้นขาแล้วยังคอเคล็ดอีกด้วย ขับรถยนต์ไม่เท่าไหร่ แต่ขี่จักรยานแล้วตอนเอี้ยวมองมากๆ จะเจ็บแปล็บจนรถแทบล้ม
   และวันนี้ผมยังต้องไปส่งของเหมือนเดิม ดีกว่าเดิมนิดตรงที่ไม่ต้องขับรถ แต่แย่กว่าหน่อยคือต้องไปเป็นเด็กท้ายรถแทน ก็ส่งของมันทั้งเจ็บๆ นี่แหละครับ ทำไงได้

ตอนกลางวัน
   “คุณพ่อน้องมิว สวัสดีค่ะ”
   เฮ้ย ใครเรียกผมวะ เรียกแบบนี้ มันไม่ใช่เพื่อนหรือคนรู้จักนี่หว่า
   หันไปดูก็ตกใจ กลายเป็นผู้ปกครองของเพื่อนลูกผม เราเจอกันที่โรงเรียนตอนไปรับลูกประจำ ไม่น่าเชื่อจะมาเจอตอนผมกำลังส่งของ
   “บ้านอยู่แถวนี้หรือคะ”
   “ผมมาส่งของน่ะครับ” ผมก็ตอบไปตามนั่นแหละ อย่างที่บอก ผมไม่มีฟอร์ม
   “ขยันจังเลยนะคะ”
   “ครับๆ” ตอบแบบอายๆ ครับ ก้มหน้า ไม่อยากสบตาเล้ยย
   เขาแต่งตัวสวยหรูแบบผู้ดี ส่วนผมใส่ชุดเดียวกับคนงาน คือมอมแมม โทรมๆ สกปรกๆ หน่อย ต้องเลือกเสื้อผ้าโทนสีเข้ม หากใส่เสื้อขาวมันจะกลายเป็นสีเทาภายในไม่ถึง 15 นาที
   เออ แล้วนี่ผมจะอายไปทำไมวะ ไม่ได้ไปโกงใคร ขโมยของใครเขานี่นา ก็อายแบบไม่มีเหตุผลน่ะ บอกไม่ถูกจริงๆ รู้แต่ว่าไม่อยากสบตา ไม่อยากเจอใครในสภาพนี้เล้ยย
   สามีเขาเป็นรุ่นน้องโรงเรียนมัธยมของผมน่ะครับ เราเลยคุยกันบ่อยหน่อย เขาไปรับลูกประจำ เช่นเดียวกับผม ต่างคนต่างมาคนเดียวก็เลยคุย
   ตกเย็นดันมาเจอกันอีกรอบ ทักทายกันอีกครั้ง
   “บ้านพี่อยู่แถวปากคลองตลาดหรือคะ”
   “เออ ครับ ใช่ครับ” เป็นไม่กี่ครั้งในชีวิตที่ผมพูดคุยกับคู่สนทนาแล้วรู้สึกไม่มั่นใจเอาเสียเลย ให้คุยกับฝรั่งด้วยภาษาอังกฤษแบบมั่วๆ ผมยังรู้สึกมั่นใจกว่าด้วยซ้ำไป
   คุยกันได้แป๊บเดียวก็ต้องฉีกหนีไปหาลูกดีกว่า

เฮ้ยย เจองูอีกแล้ว ที่เก่าเวลาเดิมเลย วันนี้เลยไม่ไล่มันละ ช่างมัน ปล่อยให้มันนอนไป แค่เดินๆ ก็มองๆ หน่อย หวังว่าเราคงอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขนะเจ้างูน้อย
   คิดแล้วแปลกนะ ตอนกลางวันก็ด้อมๆ มองๆ ไม่เห็นแม้เงา มันไปหลบอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ แต่พอโพล้เพล้เท่านั้นแหละเป็นต้องได้เจอ แหม แล้วดันมาเจอเอาตอนมืดๆ เสียด้วย เล่นเอาตกอกตกใจ
   เขาไม่ได้ขู่ฟ่อๆ จะทำร้ายอะไรหรอกนะ บางทีอยู่นิ่งๆ ดูเหมือนนอนหลับด้วยซ้ำไป แต่สัญชาติญาณปนุษย์น่ะครับ เรากลัวจะโดนทำร้าย จนบางทีเราก็ไปทำร้ายคนอื่นเขาเสียก่อน
   นิสัยพวกนี้ผมว่าสัตว์มันไม่เป็นนะ มันจะต่อสู้ก็ต่อเมื่อจวนเจียนตัว หรือไม่ก็โดนทำร้ายแล้วเท่านั้น

   ตลอดวันนี้ผมเดินราวกับหุ่นยนต์ ขาก็ก้าวเร็วไม่ได้ คอก็เอียงและหมุนมากไม่ได้ หากจะหันก็ต้องหันไปทั้งลำตัว คือไปเป็นแท่ง เป็นท่าที่ทุเรศมาก
Title: Re: กพ 53
Post by: O'Pern on February 27, 2010, 08:44:58 pm
27 กพ 53
   ช่วงนี้อ่านหนังสือเรื่องปีชงเยอะหน่อย ผมอยากรู้อะไรจริงจังก็จะหาข้อมูลไปเรื่อย วันนี้ก็เช่นกัน ดันไปเจอข้อมูลจากชาวจีน เขาบอกให้ไปไหว้ที่วัดเล่งเน่ยยี่ ถนนเจริญกรุง
   ชักเอะใจ เอ๊ะ ทำไมมันคนละสูตรกันวะ อ่านหนังสือไทยเขาให้ไปไหว้พระธาตุพนม มาวันนี้เจอสูตรจีน ท่านให้ไหว้วัดจีน
   อืม แล้วเกิดผมไปอ่านของทางอิสลามเข้าล่ะ จะให้ผมไปทำละหมาดอะไรที่ไหนหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่คงไม่นะ เพราะผมถือพุทธนี่หว่า ชักงง ชักจะสับสน
   แล้วถ้าเกิดเป็นของศาสนาคริสต์ล่ะ ผมต้องเข้าโบสถ์ไปทำพิธีมิซซากับเขาหรือเปล่าก็ไม่รู้
คิดได้ไปเรื่อย
   
   วันนี้ผมไม่ได้ออกส่งของ พนักงานมากันครบถ้วนดี เลยสบายหน่อย อาการเจ็บตัวก็น่าจะน้อยลงไป ไปเปิดโกดังเก็บสินค้า พบลูกตัวเงินตัวทองตัวเล็กๆ ยาวราว 1 ฟุตนอนตายอยู่ 2 ตัว ขนาดไล่เลี่ยกัน เอ๊ะ มันบอกถึงนัยยะอะไรบางอย่างหรือเปล่าก็ไม่รู้

ไม่ได้ออกไปส่งของ คิดว่าจะรอดจากการเจ็บตัวแล้วนะ แต่ทีไหนได้ กลางวันเดินอยู่ริมถนน ผ่านช่วงปากซอยมีมอเตอร์ไซค์พุ่งออกมาเกือบจะชน มาหยุดรถห่างจากขาผมราวคืบกว่าๆ ผมเดินอ้อมหลังรถเขาไป แต่คนซ้อนท้ายเป็นหญิง เขากำลังกวาดขาลงจากรถพอดี ขาเขามาโดนผมหน่อยเดียว เล่นเอาผมเกือบทรุดลงไปกองกับพื้น เพราะมันมาโดนต้นขาที่ผมเจ็บช้ำจากการตกเก้าอี้
   เขาทำหน้าตกใจ แหม ก็น่าตกใจอยู่หรอก โดนนิดเดียวจริงๆ ด้วย แต่ดันไปโดนเอาจุดสำคัญเข้า
   กลับมาบ้านผมนัดช่างที่คุยกันอย่างสนิทสนม เพราะเขาเป็นผู้อ่านนิตยสาร Racing Club มาก่อน ตอนนี้เลยอัปเกรดมาเป็นเพื่อนกันแล้ว วันนี้คุยกันครั้งสุดท้ายเรื่องรายละเอียดต่างๆ เขาบอกว่าหากทำห้องเสร็จ ขออนุญาติ่ถ่ายห้องลงในนิตยสารเกี่ยวกับบ้านได้ไหม ผมบอกไม่มีปัญหา เชิญตามสบาย เขาเกรงใจกลัวห้องผมจะโดนก๊อป เพราะมีงานไอเดียหลายอย่างที่เขาเองก็ไม่เคยทำมาก่อน เพิ่งจะมาเห็นตอนผมเขียนแบบให้นี่แหละ
   หลังจากตกลงเรื่องราคากันเสร็จ ผมก็ยื่นข้อผูกมัดให้เขารับทราบ นั่นคือ เขามีเวลาราว 1 เดือน ผมต้องการให้ห้องเสร็จเรียบร้อยภายในเดือนมีนาคม เดือนเมษายนช่วงสงกรานต์ผมจะให้พ่อแม่เข้าไปพักแบบเซอร์ไพร์ส
    แต่งานนี้ผมจะทำให้แม่เปลี่ยนใจให้ได้
   
   ตกเย็นจะเดินเข้าบ้าน เจองูน้อยน่ารักตัวเก่าอีกแล้ว ที่เก่าเวลาเดิมจริงๆ เลย ไม่ตกใจแล้วล่ะ หากไม่เจอสิ จะคิดถึงมันอีกด้วย กลัวว่ามันจะโดนคนอื่นเขาทำร้ายน่ะ
Title: Re: กพ 53
Post by: O'Pern on February 28, 2010, 05:03:37 pm
28 กพ 53 วันมาฆะบูชา
   เช้านี้พิเศษ ผมพาภรรยาและลูกไปไหว้ศาลเจ้าพ่อเสือ ถนนตะนาว ใกล้บางลำพู ออกจากบ้านแต่เช้าตอน 0700 เพราะเช็คจากเวปมาแล้วว่าศาลเขาเปิดตอน 0600
   ตอนเช้ารถไม่ติด อากาศดี แต่วันนี้ร้อนหน่อย พอเข้าใกล้ศาลก็แปลกใจ ทำไมรถติด คิดว่ามีอุบัติเหตุ พอถึงศาลเท่านั้นแหละ ถึงกับตกใจ เพราะคนเยอะมากๆ จนล้นมาเดินกันบนถนน ที่จอดรถก็เต็ม กะว่าจะจอดแถวๆ นั้นแล้วเดินไปไหว้ ก็เห็นรถหลายคันโดนล็อคล้อ ขับไปอีกสักพักเห็นตำรวจกำลังเขียนใบสั่ง
   ขับหนีไปเรื่อยจนถึงริมคลองหลอด ตรงนี้แหละจอดได้ แต่กว่าจะถึงตรงนี้ก็ราว 0800 แล้ว แถมตอน 0900 ลูกผมต้องไปเรียนพิเศษ เองไงดี นั่งมองหน้ากัน
   ลูกเสนอไอเดียว่ามาไหว้วันหน้าก็ได้พ่อ มาให้เช้ากว่านี้อีก
   “สงสัยจะตรงกับวันพระใหญ่ของไทยด้วยมั้ง วันนี้เป็นวันมาฆะบูชา” ภรรยาช่วยเสริม
   ผมร้องอ๋อ เข้าใจถึงสาเหตุที่คนแน่น ก็พอจะรู้ล่ะนะว่าคนเยอะ แต่ไม่คิดว่าจะเยอะขนาดนี้นี่หว่า นี่ถ้าผมไปไหว้คนเดียวคงจะง่าย กะจะขี่จักรยานไป ขอเจ้าหน้าที่เขาล็อคไว้แถวๆ เสาในลานจอดรถนี่แหละ ไหว้แค่แป๊บเดียว ไม่น่ามีปัญหาอะไร
   ใจคิดไปถึงคนที่โดนล็อคล้อ โดนใบสั่ง โถ อุตส่าห์มาทำบุญไหว้พระขอพรแท้ๆ พอเสร็จออกมาโดนล็อคล้อเสียนี่ คงจะเซ็งเอามากๆ
   กลายเป็นว่าเสียเที่ยวครับ ยังดีที่ไม่ไกลจากบ้านผมมากนัก เลยพากันไปกินก๋วยเตี๋ยวเนื้อแถวถนนเจริญนครกัน เป็นร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อชื่อดังย่านสาธุประดิษฐ์ ไม่รู้ของจริงหรือของปลอม แต่รสชาติดี และคนแน่นเอามากๆ ขนาดร้านเปิด 0800 ผมมาถึงร้าน 0810 ก็มีคนนั่งอยู่ 2 โต๊ะแล้ว
   วันนี้ผมเป็นเด็กห้างทั้งวัน อยู่จนบ่ายถึงได้กลับบ้าน เลยได้เดินดูของ ปกติไม่ค่อยได้เดินห้างเท่าไหร่ มักจะไปเข็นของ ยกของ ส่งของแทน
   จอรองเท้าของ Pan คู่นี้ผมเล็งเอาไว้ตั้งแต่ปีก่อนโน้น ช่วงแรกขายราคาเต็ม 2200 มั้ง อาจมีโปรลดได้สัก 10% มาวันนี้เขาลดถึง 50% แน่ะ เล่นเอาตาโต
   แปลกใจตัวเองเหมือนกันครับ ปกติผมจะใช้แต่รองเท้าของต่างประเทศ แม้จะทำในจีนแต่มันก็เป็นแบรนด์อินเตอร์ชื่อดัง มาวันนี้นึกถูกใจของไทยขึ้นมาซะงั้น แต่ก็ยังไม่ได้ซื้อครับ ยังอิดออดอยู่นิดหน่อย ทำยังกะว่ามันจะลดอีกอย่างนั้นแหละ
   เดินถึงชั้นบน เจอร้าน SB Furnituer ถูกใจโซฟาตัวหนึ่ง รูปทรงแปลกดี นั่งก็นนุ่มสบาย มันเป็นกำมะหยี่สีดำเงาเหลือบๆ หน่อย แต่ผมชอบแบบเป็นหนังแท้มากกว่า เลยสองจิตสองใจ เพราะรูปทรงน่ะ ได้เลย จำเอาไว้ว่ามีตัวนี้เข้ารอบตัวหนึ่งล่ะ
   กลับมาบ้านเจอแม่ เพิ่งกลับมาจากบ้านสระบุรีเหมือนกัน ได้ข้าวโพดต้มสดๆ มาเต็มเลย มื้อเย็นนี้ผมเลยซัดข้าวโพดเปล่าๆ ซะ แป้งเยอะหน่อยก็เข้าใจและยอมทน แลกกับประโยชน์ของมันมีเยอะมากๆ เลยนะ ไม่แพ้กล้วยน้ำว้าเลยล่ะ