ที่มา
http://bit.ly/pU709F /
:JFBQ00214070517A:
ใครที่บอกว่าวิกฤติหนี้ยุโรปไม่กระทบไทยเท่าไร กรุณาไตร่ตรองเสียใหม่...
แค่ดูอาการในตลาดหุ้นอย่างเดียว เงินก็หายไปเป็นแสนล้านแล้วในไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับไทย การประเมินการตั้งรับวิกฤติรอบสอง หรือ Double Dip Recession ไม่อาจมองแค่ว่าส่วนไหนของโลกเป็นตลาดส่งออกของเรา และหากเขาไม่ได้ซื้อสินค้าจากเรา ก็ไม่อยู่ในสมการของการวิเคราะห์ นั่นย่อมเป็นการประเมินที่ผิดพลาดแน่นอน
เพราะทุกปัจจัยของเศรษฐกิจย่อมมีส่วนเกี่ยวข้องกันหมดในโลกใบเล็กๆ วันนี้
แค่นักลงทุนสหรัฐ และอเมริกา (เดี๋ยวนี้ต้องรวมถึงจีนและญี่ปุ่นกับอินเดียด้วย) เห็นภาวะน่าเป็นห่วงในวิกฤติหนี้ของกรีซ ทุกคนต่างก็เทขายการลงทุนในต่างประเทศ เพื่อเก็บเงินสดเอาไว้ในบ้านก่อน จะเอาอย่างไรค่อยว่ากันทีหลังเมื่อท้องฟ้าหายมืดครึ้ม
ปัญหาวันนี้ คือ มาตรการอุ้มกรีซของประเทศในยูโรโซน ที่เพิ่งทำไปนั้นสงสัยจะเอาไม่อยู่ และกำลังพูดถึงการจะต้องให้เอกชนที่เป็นเจ้าหนี้ของกรีซ เข้ามายอมให้มีการลดหนี้ที่เรียกว่า hair cut (คนไทยเคยได้ยินคำนี้คุ้นหูช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง) เพราะเชื่อกันว่าแม้รัฐต่อรัฐจะเข้าอุ้มแล้ว ก็ยังไม่พอ เอกชนจะต้องเข้ามาอุ้มต่ออีกชั้นหนึ่ง
เอกชนในที่นี้เขาเรียกว่า PSI (Private Sector Involvement) ซึ่งกำลังถกกันว่าจะยอมให้ hair cut กับหนี้กรีซ ประมาณ 21% เพื่อลดภาระหนี้ให้มาตรการทางการของประเทศยุโรปอื่นมีผลพอที่จะให้ความอุ่นใจกับประชาคมโลกได้หรือไม่
บางคนบอกด้วยซ้ำว่าต้องลดหนี้ให้ถึง 50% จึงจะหลุดจากวิกฤติได้
หมายความว่า "ยาขม" ชุดแรกที่ให้นั้นยังไม่อาจจะเอาคนไข้ออกจากห้องไอซียูได้ จะต้องอัดยาชุดที่สองเข้าไป...และคราวนี้เอกชนที่ให้รัฐบาลกรีซกู้จำนวนมโหฬารก่อนหน้านี้จะต้องยอมลดยอดหนี้ให้ และต้องลดให้เป็นจำนวนมากเสียด้วย
เพราะรัฐบาลกรีซ ออกมายอมรับแล้วว่าไม่สามารถทำตามเป้าหมายของการลดการขาดดุลตามที่ตั้งเอาไว้ปีนี้ แม้จะมีการตัดค่าใช้จ่ายกันถึงกระดูกแล้วก็ตาม (อาจต้องไล่ข้าราชการออกถึง 30,000 คนเป็นอย่างน้อยด้วยซ้ำ)
กรีซเป็นหนี้ทั้งหมด 357,000 ล้านยูโร
รัฐบาลยูโรโซน รวมกัน 17 ชาติประกาศว่าพร้อมจะฉีดเงินก้อนแรกเข้าไป 8 พันล้านยูโร ตามมาด้วยก้อนที่สองอีก 109,000 ล้านยูโร...แต่เมื่อรัฐบาลกรีซ ออกมายอมรับว่าไม่สามารถส่งการบ้านได้ (ลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มรายได้ตามเงื่อนไขของการช่วยเหลือ) ได้ โลกก็อลเวง...ยากี่ชุดก็หวังผลได้ยาก
มิหนำซ้ำ กรีซยังบอกกับเพื่อนพ้องน้องพี่ในยุโรปด้วยว่าเงินที่จะอัดฉีดเข้ามานั้น จะต้องได้ภายในสัปดาห์ที่สองของเดือนพฤศจิกายน มิฉะนั้น ก็จะเกิดปรากฏการณ์ "ชักดาบ" กันซึ่งๆ หน้า และนั่นย่อมหมายถึงการล้มครืนของความน่าเชื่อถือของตลาดการเงินโลก
หนี้ของกรีซวันนี้เท่ากับ 161.8% ของจีดีพี และหากเป็นไปตามการพยากรณ์ของผู้เชี่ยวชาญ ตัวเลขนี้จะพุ่งไปที่ 172.7% ในปีหน้า...ซึ่งย่ำแย่ที่สุดในยุโรปวันนี้
ที่ตลาดหุ้นดิ่งเหวในช่วงสองอาทิตย์ที่ผ่านมา ก็มาจากความกลัวการเบี้ยวหนี้ของกรีซนี่แหละ
เพราะมันจะกระทบต่อไปถึงอิตาลี สเปน โปรตุเกส และอีกหลายประเทศ
ที่กระทบเห็นๆ ก็คือ บรรดาธนาคารในยุโรปและทั่วโลกที่เป็นเจ้าหนี้ของรัฐบาลกรีซ...หากแผนการช่วยเหลือไม่เป็นไปตามที่ตกลงกัน ก็จะพังกันเป็นแถบ
นักวิเคราะห์ที่พูดจาไม่เกรงใจใครพูดสั้นๆ ว่า "กรีซถังแตกแล้ว..."
อย่างนี้จะบอกว่าประเทศไทยเราไม่ต้องเป็นห่วงกังวลเห็นจะไม่ได้แน่นอน
รัฐบาลไทยบอกว่าจะต้อง "วอร์รูม" เพื่อติดตามข่าวสารและวางมาตรการตั้งรับกรณีเกิด "เศรษฐกิจถดถอยสองเด้ง" ก็ย่อมเป็นก้าวเดินที่ถูกต้อง
แต่ผมไม่เชื่อว่าลำพังรัฐบาลจะทำอะไรได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงพอ
ผมอยากเห็นเอกชนของไทยตั้ง "วอร์รูมภาคเอกชน" เพื่อวิเคราะห์ ประเมิน และเสนอมาตรการรับมือกับพายุใหญ่ทางเศรษฐกิจโลกที่กำลังก่อตัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในขณะนี้
ใครบอกว่า "ประชานิยม" สู้ "วิกฤติเศรษฐกิจโลก" ได้ ผมขอยกมือค้านสุดกำลัง
การเผชิญความจริง การวิเคราะห์รอบด้าน การสร้างวินัยการใช้จ่ายอย่างจริงจังและหันกลับยึดหลัก "เศรษฐกิจพอเพียง" และความร่วมมือระหว่างรัฐกับเอกชนอย่างเหนียวแน่น คือ ทางออกที่แท้จริงครับ
ที่สำคัญ คือ จะต้องสร้างความปรองดองในชาติ เพื่อให้ทุกฝ่ายหันมาร่วมมือกันฟันฝ่าภัยใหญ่หลวงที่เห็นอยู่ข้างหน้า
แค่ภัยธรรมชาติที่ถล่มเราก็วิ่งกันวุ่นแล้ว หากเจอพายุเศรษฐกิจโลกถาโถมเข้ามาซ้ำเติมในอีกสามถึงหกเดือนข้างหน้า ใครประมาทมีสิทธิหมดสภาพต่อหน้าต่อตาได้ครับ