ออกจากท้องแม่มาได้วันเดียวเค้าก็โดนหมอจับเข้าห้องปลอดเชื้อครับ
หมอบอกว่ามีไข้จึงขอเอาเลือดไปเพาะเชื้อดู เพราะเด็กแรกเกิดที่มีไข้นั้นไม่ปรกติ
ผมมาโรงพยาบาลวันรุ่งขึ้นไม่เจอลูกก็ตาแหกครับ ในหัวงงไปหมดลูกเป็นอะไรว่ะ? จะแย่ไหม?
ลูกผมไม่ได้เข้าตู้อบแสง แต่ผมก็ยังเป็นห่วงอยู่ดี คนไม่ทุกข์ร้อนอะไรอย่างผมก็ถึงคราวน้ำตาคลอเบ้า
วินาทีนั้นเข้าใจขึ้นมานิดๆว่าพ่อรักผมยังไง แต่ที่สุดแล้วนี่มันแค่การเริ่มต้นครับ
พี่ผู้หญิงคนนึงแกเห็นผมทำงานไปรษนีย์เหมือนกันเดินมาปลอบใจผม...
" น้องอย่าเพิ่งใจเสียนะ ลูกพี่เข้ามาอยู่ห้องนี้ได้เดือนกว่าแล้ว " ผมมึนเลยครับ เลยถามไปว่าลูกพี่เป็นอะไร?
" ลูกพี่ติดเชื้อในกระแสเลือด ลิ้นหัวใจมีปัญหา รอการผ่าตัดอยู่ " ผมเข้าใจเลยว่าลูกผมที่ยังไม่รู้เลยว่าเป็นอะไรยังโชคดีกว่าลูกเค้า
เลยมีแรงยิ้มขึ้นมานิดนึง แต่ความรู้สึกของคนเป็นแม่ซิครับเมียผมต้องออกจากโรงบาลโดยที่ไม่มีลูกออกไปพร้อมกัน เค้าก็เสียใจมากกว่าผมแน่นอน
สุดท้ายผมก็ยังโชคดีกว่าพี่ผู้หญิงคนนั้นครับ ลูกผมได้ออกจากโรงบาลในอีกสามวันหลังจากแฟนผมออกมา
พี่ผู้หญิงคนนั้นยังคงต้องเดินทางเอานมแม่มาป้อนลูกทุกวัน จากคลองสองมารามา ผมท้อแทนพี่เค้าครับ
หลังจากลูกผมกลับมาบ้านได้สามวันก็ถึงคราวเมียผมครับ...
เนื่องจากลูกไม่ยอมดูดนมจากเต้าแม่ครับ จึงต้องใช้เครื่องปั้มเอา ปรากฏว่าปั้มจนอยู่ๆก็หนาวสั่นขึ้นมาครับ
เที่ยงคืนกว่าๆผมขับรถไปส่งที่รามา หมอก็ขอเจาะเลือดเพาะเชื้อเช่นเคย.. ต่อมาผลคือไม่มีอะไร ขาดน้ำและอ่อนเพลียเฉยๆ
ยังครับวิบากกรรมมาถึงผมครับ
เย็นวันนึงขณะนั่งรถเมล์มุ่งหน้าไปเสาวรีย์ชัยเพื่อจะต่อรถไปศาลายา อยู่ๆผมก็หายใจไม่ทันครับ
อาการรุนแรงขึ้นจนผมต้องตัดสินใจลงจากรถเมล์ เมื่อลงมาจากรถได้ปรากฎว่าหนักกว่าเก่า ผมล้มลงไปนั่งข้างทาง
คนแถวนั้นได้แต่มองผม ก็เข้าใจนะสังคมเมืองไม่มีใครอยากจะยุ่งเรื่องคนอื่น...
ผมตะเกียกตะกายมองหาตำรวจ ทีอยากเจอดันไม่โผล่ทีเวลาพกกัญชาไม่อยากเจอเสือกจะโผล่มาจัง....
ระหว่างนั้นก็กดโทรสับด้วยสติอันน้อยนิด ผมโทรบอกเมียผมทันที... และโบกแท๊กซี่ได้หนึ่งคันพอดี
ผมเลือกจะไป รามาธิปดี ทำไมน่ะเหรอ? ผมก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าลูกเกิดที่นั้นถ้าจะตายกูไปตายที่นั้นดีกว่า
ขณะนั่งแท๊กซี่ไปอาการเริ่มหนักขึ้นผมชาที่มือและเท้า ร่างกายหนาวเย็น หายใจติดขัดมากกว่าเดิม
" ตาย ตาย แน่ๆ " ผมคิดอยู่เรื่องเดียว เพราะมันจะตายจริงๆ หายใจไม่ออกแล้วจากที่แต่แรกยังหายใจได้บ้าง
รถมาจอดหน้าแผนกฉุกเฉิน ผมกำตังยื่นให้แท๊กซี่ เท่าไรไม่รู้แต่ผมต้องไปแล้ว
ก้าวลงจากแท๊กซี่ ทันทีที่เท้าแตะพื้นผมก็ล้มเฮือกลงไป ใจผมยังสั่งงานแต่ร่างกายผมมันฟังคำสั่งผมแล้ว...
พี่ๆที่โรงบาลนำผมขึ้นรถทันที ... ตรวจความดัน ตรวจชีพจร ได้ยินเค้าพูดประมาณว่าชีพจรผมเต็นเร็วมากๆ
หมอเข้ามาสอบถามอะไรนิดนึง แล้วตวจดูสภาพการรับรู้ของผม เอาเข็มมาจิ้มผมแล้วถามว่า " รู้สึกไหม? "
รู้สึก ผมยังรู้สึก แต่ก็ยังคิดว่าตายแน่ๆ ขณะหมอเดินไปตรวจคนอื่นผมเอาโทรสับมาโทรอีกครั้ง
คราวนี้โทรสั่งเสียเมียครับ ผมสั่งเสียยาวเลย เพราะตอนนั้นผมคิดอย่างเดียวว่ากรูตาย....
หมอเอาหน้ากากอ๊อกซิเย่นมาสวให้คับ แต่ไม่ได้ต่อท่ออะไร ซ้ำยังอุดรูทั้งหมดด้วย..... งงแดกครับ
สรุบคือ... ที่ต้องทำยังงั้นก็เพราะผมหายใจเอาอ๊อกซิเย่นมาเกินไป เพราะหายใจไม่ทันก็เลยบ้าหายใจเข้าไปมาก
การที่อ๊อกซิเย่นมากเกินไปหมอบอกว่าทำให้เกิดปฏิกริยาเคมี ทำให้ผมขาดแคลเซี่ยมกระทันหัน ร่างกายจึงชาขยับไม่ได้
วิธีแก้คือหายใจช้าๆและหายใจเอาคาบอนไดเข้าไปบ้าง.... ผมเริ่มดีขึ้นครับ ผมไม่ตายแล้ว........
สรุบ ผมเป็นยังงี้เพราะ.. ขาดสารอาหาร พักผ่อนน้อย และเครียด.... ยานอนหลับหนึ่งแผงหมอจัดให้มา
ผมเกิดอาการอีกสองวันต่อมา แต่ผมจับทางมันได้แล้ว ผมเลยค่อยๆหายใจ.. มันทำอะไรผมไม่ได้ฮ่าๆๆๆๆๆๆ
ผมรู้เลยครับ ว่าที่กลัวไม่ได้กลัวตายอย่างเดียว ผมกลัวจะไม่ได้เห็นลูกโตด้วย น่ากลัวจริงๆ
แต่ตอนนี้โอเคแล้วลูกก็แข็งแรงดีครับ เดี๋ยวเดือนหน้าไปฉีดวัคซีนครับ
ขอบคุณที่ฟังผมบ่นครับ ;D