วางแผนไว้หลายวัน แต่เอาเข้าจริง ไปได้แค่ 2 วัน 15-16 กรก 54
15 กรก 54
เป็นการเดินทางแบบไร้แผนที่ชัดเจน เป็นอีกแนวหนึ่งที่ผมลองในทริปนี้ครั้งแรก แน่ล่ะ เกิดความฉุกละหุกขึ้น ถ้าคิดว่ามันคือโอกาสที่ทำให้เราได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ก็จะไม่บ่นอะไร ถ้าคิดบวกก็จะได้ประสบการณ์ใหม่ๆ เหมือนผมในคืนนี้ที่กางเต้นท์นอนริมทะเลในวันเทศกาลที่คนแสนจะพลุกพล่าน ทว่าริมทะเลชะอำที่ผมนอนนั้น มันแสนจะเงียบสนิท มีเพียงเสียงคลื่นที่กล่อมจนหลับ
นอนดึก เลยตื่นสาย ลุกมาตอน 0530 ตกใจมาก ท้องฟ้าสว่างแล้ว สำหรับทริปทางไกลอย่างนี้ มันควรจะออกราวตี4 ตี5 ออกยิ่งเช้าจะยิ่งขี่สบาย ช่วงเวลาที่เราทำความเร็วได้ดีนั้นคือช่วงเช้าและเย็น เพราะแดดไม่ร้อน
ออกจากบ้านหกโมงกว่า ภรรยาและลูกตื่นลงมาพอดี เขาชวนไปใส่บาตร ผมเองก็อยากรีบออกเดินทาง แต่ก็ตัดสินใจไปใส่บาตรด้วย โชคดีพระมาเร็ว เลยเสร็จเร็ว ออกจากบ้านเอาตอน 0630 ใช้เส้นทางที่กลุ่มสวนธนฯ เขาจัดทริปประจำปี กรุงเทพฯ-หัวหิน คือ ออกจากพระราม 2 ตรงตลอดไปจนถึงปั๊ม ปตท ที่คลองโคน จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าบ้านแหลม และไปโผล่ชะอำ ฟังดูดีเน๊อะ ท่าทางรถจะน้อย ขี่สบาย ผมยังไม่เคยไปกับกลุ่มสวนธนฯ เขาหรอก บอกแบบไม่อายคือกลัวขี่ไม่จบ ผมซ้อมน้อย แรงน้อย งานที่ถนัดคือการใช้สมองและจิตนาการ
ท้องฟ้าครึ้มๆ ตั้งแต่เช้า ผมภาวนาในใจขอให้เป็นเช่นนี้ตลอดวั้น ขี่ตอนเช้านี้เพลินมากๆ ร่างกายสดสุดๆ ออกไป 10 กม ผมแวะซื้อข้าวเหนียวหมูย่างร้านประจำใกล้ห้างโลตัสพระราม 2 ผมเห็นคิวยาว ตัดสินใจจะไม่เอา เพราะต้องรีบไปอีกไกล แต่แม่ค้าบอกว่าถ้ารอได้อีก 2 นาทีก็จะได้กิน เขาจะแซงคิวคนอื่นให้ ซึ่งปกติร้านนี้เขาจะต้องตามคิวตลอด ขาใหญ่แค่ไหนก็ต้องรอ
ได้หมูย่างมา 10 ไม้ (ไม้บางๆ เล็กๆ) และข้าวเหนียวอีก 1 ถุง บริเวณนี้เป็นป้ายรถเมล์ เลยขี่ออกไปไกลเรื่อยๆ หาจุดแวะพักนั่งกิน แต่ยิ่งขี่ออกไป มันยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ ผ่านชุมชน ตลาด ท่ารถ ดงสิบล้อชานเมือง ฯลฯ หมดไร้ซึ่งทางคิด แวะเข้าปั๊ม ปตท อีกแล้ว (ผมเลือก ปตท เพราะเป็นปั๊มที่ใหญ่ สวย มีร้านค้ามาก และมีจุดพักรถที่เยอะที่สุด) แต่ปั๊มนี้คนแน่นมากจนหาที่นั่งกินยั้งไม่ได้ เลยได้แค่เติมครีมกันแดดและยืดเส้นนิดหน่อย เจอพนักงานทำความสะอาดห้องน้ำ หน้าจาเธอยิ้มแย้มมาก แต่ไม่เห็นมีใครจะยิ้มให้เธอสักคน ผมเลยยิ้มให้แทน ผมเข้าใจคนทำงานบริการแบบนี้ดี เพราะตอนที่ตัวเองยกของแบกของไปส่งลูกค้า มักจะโดนต่อว่าประจำว่ามาช้าบ้าง จัดเรียงวางสินค้าไม่ถูกใจบ้าง ฯลฯ
ตอนจะออกเดินทางต่อ มีกลุ่มผู้ชายหลายคนในรถตู้ทักทาย ผมยิ้มตอบ โบกมือให้ คิดว่าเป็นพวกคนเดินทางทักทายกันปกติ แต่เปล่า เขาเป็นกลุ่มนักจักรยานจากจังหวัดชลบุรี มาสำรวจเส้นทางไปหัวหิน ผมเลยแนะนำเส้นทางที่ผมกำลังจะไปวันนี้นี่แหละ คุยกันสักพักก็แยกทางกันเดินต่อ เราไปจุดหมายเดียวกัน แต่เขาใช้เวลาไม่เกิน 2 ชม ส่วนผม ยังไม่ทราบชะตากรรม
กว่าจะได้กินมื้อเช้าก็ต้องแวะปั๊มที่เล็กรองลงมาแทน เขามีร้านขาวข้าวแกงไว้บริการ ผมไม่ได้ซื้อข้าวของเขา ไม่กล้านั่งบนโต๊ะในร้าน เลยกินกับพื้นแอบตรงมุมที่จอดรถ กินแป๊บเดียวหมด ข้าวเหนียวนุ่มมาก หมูย่างหอมอร่อย ร้านนี้ซื้อกินมาหลายปีแล้ว ถ้าจะกินเยอะหรือซื้อฝากใครก็จะต้องโทรสั่ง กินเสร็จแล้วก็ออกเดินทางต่อทันที ยิ่งโอ้เอ้จะยิ่งร้อน แต่ตอนนี้ท้องฟ้ายังมืดครึ้มเหมือนเดิม หรือคำร้องขอของผมเป็นใจ
กินเสร็จใหม่ๆ ไม่ควรปั่น แต่ผมเลี่ยงไม่ได้ เลยขี่ช้าๆ แทน อีกสัก 15 นาทีต่อมารู้สึกมีแรงขึ้นมาทันใด ทำความเร็วได้ดีกว่าเดิม เอ๊ะ หรือมีลมพัดช่วยดันหลังก็ไม่รู้นะ มันรู้สึกเหมือนขี่ปกติแต่ความเร็วขึ้นสูงมาก ไอ้ขี่ตามลมนี่ไม่ค่อยคุ้น แต่ถ้าทวนลมล่ะก็ เจอประจำ ก็คงจะเหมือนความสุขที่มันมักจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่พอเรื่องทุกข์มันมักจะทำให้เราคิดว่าช่วงเวลานั่นแสนจะเนิ่นนาน
ข้างหน้าผมมีรถกระบะจอดเสีย มีผู้โดยสารเต็มรถ เป็นเด็กๆ เสียเยอะ ผมจอดเข้าช่วยเหลือ
รถเป็นอะไรหรือครับ
รถมันดับ สตาร์ทไม่ติด สงสัยเติมน้ำมันผิด
อ้าว แล้วพี่ไปเติมอะไรเข้าล่ะ
ไม่รู้เหมือนกัน
อ้าว เจอแบบนี้ยิ่งงง ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ ผมเลยช่วยปั๊มไล่น้ำออกจากน้ำมันดีเซล กดปั๊มอยู่ราว 5 นาที ไล่จนน้ำออกหมด ทิ้งไว้สักพักมันน่าจะติดนะ ผมไม่รู้ว่าเขาไปเติมอะไรมา แต่ถ้าเติมน้ำมันผิดจริง มันวิ่งไม่ได้หรอก อย่างเก่งก็เครื่องติดแล้วดับ เร่งไม่ได้
ลองสตาร์ทดูครับ
บรึนนนๆ ๆ ๆ เย้ๆ ติดแล้วโว๊ย ทุกคนในรถแววตาเป็นประกายมาก ผมเองก็พลอยดีใจไปกับเขาด้วย ก็แหม วันหยุดยาวทั้งทีจะพาเด็กๆ ไปเที่ยวกันเต็มรถ ดันมารถเสียกลางทางจนได้
อ้าว แล้วช่างที่โทรเรียกล่ะ จะทำยังไงดี พี่ผู้หญิงคนหนึงถามคนขับ แต่ยังไม่ทันได้รับคำตอบ รถช่างก็มาจอดเทียบข้างเสียแล้ว อันนี้หมดหน้าที่ของผมแล้วล่ะ ให้เขาไปเจรจากันเอง ผมทำให้เครื่องยนต์มันติดได้แล้ว
ช่วยเหลือคนได้นี่มันช่างเบิกบานใจดีจริงๆ ขี่กลางแดดก็ไม่รู้สึกร้อนอะไร โดนฝนก็เย็นสบายดีออก ความสุขเล็กๆ ที่เราสร้างได้เองด้วยสองมือ
ขี่ไปสักพักเห็นคนจรจัดเดินเก็บขยะอยู่ข้างทาง แต่งตัวมอมแบบสกปรก แต่คนนี้มีบุคลิกที่แปลก คือมีธงเหลืองสลับกับธงชาติขนาดใหญ่ติดไว้บนคานไม้ไผ่ที่เขาใช้หามถังสีหลายใบ (เอาไว้ใส่ของ)
ผมจอดรถข้างหน้า กะจะให้ภาพเขาเป็น Background ของรถผม แต่ผิดคาด พอเขาเห็นกล้องก็หยุดเดินทันที แถมหันหน้าหนี จนผมต้องเดินเข้าไปคุยด้วย
เขาชื่อ บิด บุญเกิด ครับ เดินทางด้วยสองเท้าของตัวเองไปทั่วประเทศไทย ณ วันนี้เขากำลังมุ่งหน้าเดินไปหาดใหญ่ จุดที่เริ่มเดินก็คือจังหวัดเชียงราย เล่นเหนือจรดใต้กันไปเลย นี่แหละครับ นักเดินทางตัวจริง มืออาชีพ ไม่มีเต้นท์ ไม่มีเครื่องทุ่นแรง ไม่มีอุปกรณ์ไฮเทค สุดท้ายคือไม่มีเงิน มีแค่ใจที่อยากไป
จะกินแต่ละครั้งก็ต้องรอคนมาให้ บ้างก็ขอเขา ให้มาบ้าง โดนไล่มาบ้าง จะนอนข้างทาง เจอนักเลงเจ้าถิ่นขาใหญ่ ก็ต้องคอยหลบๆ เขา
เสียดายที่ผมคุยกับเขานิดเดียว ถ้าได้คุยกันนานกว่านี้ผมว่าเขาเป็นคนน่าสนใจมาก นึกถึงรายการ คน ค้น ตน ขึ้นมาทันที อยากให้มาค้นหาคนแบบนี้แหละ เขาคือ บิดคนจร นักเดินทางผู้ทระนง
ก่อนจากกันผมให้เงินเขาไว้ใช้สอย 100 บาท ขี่ออกมาได้สักพักก็คิดไปพลางว่า ผมนี่บ้าจริงๆ เงิน 100 บาท มันจะทำอะไรกันได้มากนัก น่าจะให้สัก 1000 บาท เขาต้องใช้ซื้อข้าวกินอีกเยอะมากๆ รีบจอดรถ หันหลังไปดู มองไม่เห็น เราจากกันมาไกลพอสมควรแล้ว
หลังจากนี้ ทุกครั้งที่ผมเหนื่อยยากลำบากในชีวิต ผมก็จะนึกถึงแต่คนจรนักเดินทางท่านนี้
เจอ ปตท อันไหน ไม่ว่าเล็กใหญ่ เป็นต้องชำเลืองดูซอยข้างๆ ปั๊ม ไปตลอด ในตัวมีแค่แผนที่คร่าวๆ แถมไม่ได้สัดส่วนอีกด้วย เป้าหมายของผมคือปั๊ม ปตท ใหญ่ๆ ที่มีซอยข้างปั๊ม ผมต้องเลี้ยวซ้ายตรงนั้น ผ่านอัมพวาก็แล้ว ชักเอะใจ หรือว่าเราขี่เลยมาแล้ววะ ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็คงต้องใช้เส้นทางหลักแทนสินะ ระยะทางก็ต้องเพิ่มมากขึ้น เฮ้ออ..
ข้างหน้าเป็นโรงงานของร้านเม้ง เฮดเดอร์ ผมรู้จักกับลูกสาวร้านเขา ชื่อเจ้าหงส์ เป็นเด็กดี น่ารัก ขยันทำงานมาก ตอนเขาจะเข้าวงการดริฟท์ใหม่ๆ ตอนเพิ่งได้รถมาเป็น Nissan A31 ก็เอารถมาให้ผมดู ผมจึงแนะนำจุดที่ควรทำเสริม และจุดที่ควรปรับปรุง เช่น การยึดแบตเตอรี่ไว้ด้านหลัง มันไม่เหมาะกับรถดริฟท์เอาเสียเลย ตอนท้ายรถแกว่งไปมา น้ำกรดก็จะหกกระฉอกออกมาตลอดเวลา
อ๊ะ มีร้านก๋วยเตี๋ยวเรือแม่กลองขายอยู่ก่อนถึงร้านเม้งเฮดเดอร์ ต้องลองๆ ขี่มาไกลถึง 70 กม แล้ว ยังไม่ได้เติมเกลือแร่ให้ร่างกายเลย ผมชอบกินก๋วยเตี๋ยวครับ เพราะเป็นหนึ่งในอาหารจานเดียวไม่กี่ชนิดที่หาได้ง่ายข้างๆ ทางที่มีผักเยอะมาก อย่างก๋วยเตี๋ยวเรือก็จะได้ผักบุ้งลวก ถั่วงอกลวก ถั่วงอกสด ใบโหระพา รสชาติดีครับ กินไปสองชาม ชามละ 20 บาท เติมเกลือแร่ให้แก่ร่างกายพร้อมสารอาหารหลักไปด้วยในตัว ไม่รู้จะเพียงพอต่อความต้องการร่างกายหรือไม่ มันจะเอาอะไรมาวัดก็ไม่รู้
ถัดจากร้านเม้งเฮดเดอร์ไปก็จะเจอ ปตท สาขา คลองโคน ปั๊มใหญ่พอควร (ก่อนหน้านี้มีใหญ่สุดๆ เด่นทีมีร้าน McDonald ด้านหน้าอีกด้วย) เลี้ยวซ้ายซอยข้างปั๊มเลยครับ จากบ้านผมมาถึงจุดนี้ระยะทางประมาณ 73 กม ไม่น่าเชื่อ ตอนแรกผมคิดว่าจะแค่สัก 50
ถัดจากนี้ไป คือนรกของแท้ แต่เส้นทางสวยนะ ที่ว่านรกเพราะมันคือด่านลมมรณะ ต้องขี่ทวนลมไปตลอดทางจนถึงชะอำ ระยะทางก็ขำขำครับ 80 กม นี่ถ้ารู้ว่ามันไกลขนาดนี้อาจมีเปลี่ยนใจ เพราะดูจากแผนที่ในภาพมันไม่เห็นไกลเท่าไหร่นี่หว่า
ยอมรับอย่างหนึ่งครับว่าเส้นทางสวยดีมาก ถนนขรุขระแค่ปากทางเข้าราวแค่ไม่กี่ร้อยเมตร หลังจากนั้นก็เรียบกริบ สวยเนียนดีจริงๆ วิวสองข้างทางสวยดีครับ เป็นนาเกลือล้วนๆ นั่นหมายถึงมันจะโล่ง โปร่ง ไม่มีต้นไม้ใหญ่ข้างทางเลย สถานที่แห่งนี้ลมจึงพัดแรงมาก เป็นลมแบบด้านข้าง (Cross wind) แม้ไม่ได้ซัดเข้าหน้าเราเต็มๆ แต่แค่ด้านข้างก็เล่นเอารถเป๋ไปหลายครั้ง เรียกว่าปล่อยมือขี่ไม่ได้เลย ซึ่งปกติผมจะปล่อยมือขี่นั่งหลังตรงตอนพักหลัง
สาหัสอีกอย่างคือหากผ่านพ้นชุมชนมาแล้ว ก็จะไม่มีร้านค้าใดๆ เลย น้ำกินผมหมดช่วงนี้พอดี เลยต้องทนๆ ไปเรื่อยๆ จนถึงสำนักงาน อบต ถึงขอเข้าไปนั่งพัก ขอน้ำกิน ถ้าขี่จนหมดแรงก็อาศัยนั่งพักตามศาลาข้างทาง ถอดหมวก ถอดรองเท้า นอนแผ่อย่างสบายใจ นี่ถ้าฝนตกอาจมีหลับได้ไม่ยาก
โชคดีอย่างเป็นที่สุดที่ท้องฟ้ายังคงมืดครึ้ม มีฝนโปรยบางๆ ไม่ถึงขั้นตัวเปียก แค่พอเย็นๆ ฟ้าฝนเป็นใจให้ผมแล้ว ที่เหลือก็คือร่างกายและจิตใจผมจะไหวหรือไม่
ต้องไหวสิน่า ยังไงก็ต้องไปให้ถึงหัวหินให้ได้ ถ้าคิดว่าไหว มันก็จะไปถึง ในทางตรงกันข้าม ถ้าคิดว่าไม่ มันก็จะเป็นเช่นนั้น ใช้แนวคิดนี้ได้กับทุกเรื่องในชีวิต ธุรกิจ และการงาน
เป้าหมายของคืนแรกนี้ผมจะกางเต้นท์นอนที่เขาหินเหล็กไฟ เป็นเนินเขาเตี่ยๆ แต่เงียบ (เดา) ส่วนวันพรุ่งนี้ ก็เอาไว้คิดกันคืนนี้
ขี่ต่อไปอีกพักเดียวก็เกิดเรื่อง อาการหลังเจ็บจี๊ดขึ้นมาครั้งแรก เล่นเอาแทบหมดแรงไปเลย มันกลับมาหาผมอีกแล้วสินะ แถมบางช่วงมีอาการคล้ายตะคริ้วที่น่อง แก้ด้วยการปั่นแบบยกปลายเท้าขึ้น หายสนิททันที (แต่ถ้าใครไม่ได้ใช้บันไดคลิปเลสต้องระวังลื่นด้วยนะ ท่านี้บันไดจะตีหน้าแข้งได้ง่ายมาก)
อะไรกันนี่ ขี่มาแค่ 100 กม เท่านั้นเอง เจ็บหลังเสียแล้ว แล้วความฝันตั่งยิ่งใหญ่ มันไกลกว่านี้อีกเยอะนะ จะทำอย่างไรกันดี
ผมเป็นคนไม่ชอบกินเครื่องดื่มเกลือแร่ มาถึงจังหวัดเพชรบุรีก็ต้องกินของดีในท้องถิ่นของเขาสิครับ แน่นอน น้ำตาลสดไง จอดกินแล้วนั่งพักในเพิงข้างทางนี่แหละ สดซดๆ แก้วละ 15 บาท อย่าลืมขอแม่ค้าเติมน้ำเปล่าใส่กระติกเราด้วย ข้างหน้าไม่มีร้านค้าเท่าไหร่
ปั่นทวนลมมาเรื่อยๆ ความเร็วเฉลี่ยก็ค่อยๆ ลดต่ำลง ดูระยะทางแล้วเริ่มท้อใจ แผนที่เราวางไว้จะออกมาได้ตามนั้นไหมหนอ อีกราว 50 กม จะถึงชะอำ และขี่ต่อไปอีกราว 25 กม จะถึงหัวหิน ชะอำน่ะพอกัดฟันถึง แต่หัวหินนี่ชักจะเริ่มท้อ เพราะไอ้อาการหลังเจ็บแปล็บนี่แหละ โต้ลมก็แล้ว ยังต้องมาสู้กับอาการในร่างกายตัวเองอีก
ผมแวะพักข้างทาง โทรหาสุขเกษมเกสเฮ้าส์ ที่คุณ เอ๋ บ้านโป่ง แนะนำเอาไว้ โทรถามก็เพราะผมคงจะถึงหัวหินสัก 2 ทุ่ม ยังไม่นับปั่นขึ้นเขาหินเหล็กไฟอีก ไหนยังต้องหาทำเลกางเต้นท์อีก หึหึ สาหัสจริงๆ
ฟ้าไม่เข้าข้าง ผมโทรช้าไป ป้าเจ้าของร้านเพิ่งรับห้องสุดท้ายไปเมื่อ 30 นาทีที่แล้ว จบข่าว
หาใครในหัวหินดีวะ คอนโดเพื่อนพ่อที่เคยไปพักก็หรูจัด ไม่กล้ายืม ที่อื่นๆ ก็ไม่ได้เผื่อเอาไว้เลย นี่คืออีกหนึ่งปัญหาที่ต้องเจอ ถ้าจะเดินทางแบบ No Plan อย่างผม
และแล้วก็เกิดความคิดชั่วร้าย หารถโบกดีกว่า ถนนเส้นนี้มีแต่รถคนที่จะไปหัวหิน ชะอำกันทั้งนั้น ผมรีบจอดข้างทาง ยกมือโบกรถ เลือกเฉพาะรถกระบะเท่านั้น แต่คันแล้วคันเล่า ไม่เห็นมีใครจอดรับสักที บางคันใจดีหน่อยมีชะลอมองหน้าแล้วก็เร่งเครื่องส่งต่อไป โบกอยู่ราว 20 นาที (พักเหนื่อย พักก้น พักหลังไปด้วยในตัว) ไม่มีคันไหนจอดแม้แต่คันเดียว โธ่ๆ ๆ
ไม่จอดก็ไม่ง้อวะ ขี่ไปเองก็ได้ พูดกับตัวเองแบบประชด ทั้งๆ ที่เรียวแรงแทบหมดแล้ว
ปั่นไปก็คิดหาทางออกไป ท้องฟ้าเริ่มมืดทุกทีๆ ช่วงนี้ร่างกายผมอ่อนล้าเป็นที่สุด ไม่ได้กินอะไรมาหลายชั่วโมงแล้ว สองข้างทางมีแต่นาเกลือ และป่าโปร่งชายทะเล และลมพัดแรง กัดฟันจนถึงหาดเจ้าสำราญ ถัดไปเป็นหาดปึกเตียน ตามด้วยชะอำ หาดที่คนพลุกพล่านที่สุดแห่งหนึ่ง
เย้ๆ ได้เห็นทะเลแล้วๆ แต่บรรยากาศมันมั่วๆ เลอะเทอะ คล้ายบางแสนเลยว่ะ ร้านอาหารข้างทางก็เป็นแบบกินกันตาย ไก่ย่างขมิ้น หอยทอด ผัดไทย อาหารตามสั่ง ลูกชิ้นทอด ร้านกาแฟ รถเข็นกาแฟ แต่นี่ชายทะเล เลยมีปลาหมึกย่าง อาหารทะเลอบแห้ง
หิวครับ หิวมาก แต่ถ้าจะกินก็ขอให้อร่อยๆ หน่อย ให้สมกับที่ทนมา เจอร้านอาหารตามสั่งหัวมุมถนน ข้าวของในตู้ดูสดใหม่ แม่ค้ายิ้มแย้ม พุ่งเข้าไปเลย ไม่ต้องลังเล ถอดหมวก ถอดไอ้โม่งคลุมหน้าออก แม่ค้าส่งยิ้มให้
มองของในตู้แล้วตาลาย ผักเยอะแยะไปหมด แต่เลือกไม่ถูก เออ ผมมักจะเลือกผักที่กินก่อนแล้วค่อยมามองเมนูอาหารนะ เว้นแต่ว่าอาหารสดชนิดนั้นน่ากินจริงๆ อย่างวันนี้เห็นหมูกรอบท่อนใหญ่ เลยสั่งหมูกรอบผัดพริกแกง ใส่ถัวฟักยาว แครอท
กินเกลี้ยง ไม่เหลือแม่แต่เม็ดพริก ได้ชมวิวตอนนั่งกินข้าว เห็นของยอดฮิตของหาดนี้คือจักรยานหลายตอน มีมากสุดคือ 5 ตอน นึกถึงตอนตีโค้งกลับรถแล้ววงเลี้ยวของมันคงจะราวๆ รถปิคอัพ
ผมขี่เลาะหาดชะอำตั้งแต่หัวหาดไปจนถึงท้ายหาดทางตัน ไปจนไม่มีถนนให้ไปแล้ว ผมเข็นจักรยานลงไปในหาดทราย สอบถามแม่ค้าพ่อค้าแถวนั้นว่ากางเต้นท์นอนแถวนี้ได้ไหม
ตามสบายเลยครับ คนเขาก็จอดนอนกันเยอะ กางเต้นท์ตรงใกล้ๆ ร้านผมนี่ก็ได้ แต่จะสว่างหน่อยนะ พ่อค้าร้านส้มตำเอ่ยปากชวน
ครับผม ขอบคุณมากครับ ผมขอเดินเข้าไปดูด้านในหน่อยนะ ผมเข็นจักรยานลึกเข้าไปเรื่อยๆ พบว่าเป็นหาดทรายที่น้ำท่วมถึง คือหากน้ำขึ้นสูงสุดก็อาจท่วมเต้นท์เราได้ วิธีดูก็ไม่ยาก ดูจากสภาพทราย ถ้าเป็นทรายน้ำขึ้นถึงจะมีสีเข้ม ทรายแน่น แต่ถ้าเป็นทรายร่วมซุย นั่นคือน้ำขึ้นมาไม่ถึง ผมเลือกทำเลบนผืนทรายนุ่ม ห่างออกมาจากร้านค้าพอควร ผมอยากได้เงียบๆ มืดๆ หน่อย เพราะคืนนี้พระจันทร์เต็มดวง ในชายหาดมันมีแสงช่วยส่องตลอดเวลา ต่อให้เที่ยงคืนก็ยังไม่มืดสนิทหรอก และวันนี้ขึ้น 15 ค่ำอีกด้วย วันอาสาฬหบูชา
ใกล้ๆ กันเจอกับหนุ่มอาชีพรับจ้างสัก เดินทางอิสระด้วยมอเตอร์ไซค์ไปทั่วประเทศ ชื่อพี่อ๊อด คุยกันสักพักก็ขอสำรวจจุดกางเต้นท์เสียก่อน กลัวจะมืดครับ เราควรกางเต้นท์ให้เสร็จก่อนมืด มีหลายเหตุผล เพื่อป้องกันแมลงเข้า เพื่อสำรวจสภาพบรรยากาศโดยรอบว่ามีจุดอันตรายใดๆ หรือไม่ โดยเฉพาะทางผ่านของน้ำ และถ้าเป็นป่า ก็ต้องดูทางผ่านของสัตว์ป่า ที่เรามักจะเห็นรอยเท้าของมันทิ้งไว้
ตัดสินใจกางเต้นท์นอนที่หาดชะอำครับ คิดดูแล้วเหลื่อระยะทางอีก 25 กม กว่าจะถึงหัวหิน ระยะทางแค่นี้ถือว่าเด็กๆ มาก แต่ร่างกายผมสิ มันบอกช้ำมาแล้ว ไปไม่ไหว ไปไม่ถึง ผมก็ไม่ยื้อครับ ขี่แบบ No Plan ก็แบบนี้แหละ ตัดสินใจกันสดๆ ซึ่งๆ หน้า เสี่ยงกับความผิดพลาดกันเอาเอง แต่ถ้าผ่านมาได้ มันก็จะเป็นประสบการณ์ที่ดีอีกรูปแบบหนึ่ง
จัดการทุกอย่างเสร็จสรรพก็เริ่มมืด ยังไม่ได้อาบน้ำเลย ที่ริมหาดมีบริการอาบน้ำครั้งละ 10 บาท แต่ผมกางเต้นท์เสร็จแล้ว ถ้าผมไปอาบน้ำแล้วใครจะเฝ้ารถเฝ้าเต้นท์ให้ผมล่ะ นี่เป็นข้อจำกัดข้อใหญ่ของการเดินทางคนเดียว (Solo)
เหนียวตัว เหนอะหนะ น่ารำคาญอย่างมาก ไม่เคยนอนในสภาพนี้มาก่อน นึกๆ ย้อนหลังดูจะมีคล้ายแบบนี้ก็ตอนเรียน รด ปี3 ตอนไปฝึกภาคสนามที่เขาชนไก่ ผมใส่ชุดเดียวตลอด 7 วัน แต่มันก็ยังได้อาบน้ำวันละ 2 ครั้ง เช้าเย็น
ผมหันหน้าต่างเต้นท์บานเล็กเข้ารับลมทะเล ทางเข้าเล็ก ทางออกใหญ่ หลักการเดียวกันกับ Ram Air ในรถยนต์อีกแล้ว ในทางทฤษฎีถ้าลมระบายออกดี ก็จะรับเข้าได้เร็ว ในทางตรงกันข้าม ถ้าทางเข้าใหญ่แต่ระบายออกไม่ดีก็จะอั้น ลมจะตีกันเองตรงปากทางและไม่เข้ามาด้านใน
เต้นท์ของผมมีจุดเด่นอย่างหนึ่งคือมีหน้าต่างมองทะลุขึ้นไปบนท้องฟ้าได้ นอนมองดูดาวได้สบาย แต่ถ้าคลุมฟลายชีทแล้วก็จะปิดมิดหมดเลย นึกสังหรณ์พิกลว่าคืนนี้ฝนจะตกไหม
สักพักได้ยินเสียงเปาะแปะ ทนอีกสัก 2 นาที เสียงฝนยังไม่หายเลยกางฟลายชีทคลุม ผมเข้าเต้นท์นอนตั้งแต่ทุ่มครึ่ง แต่ก็ต้องลุกเข้า ลุกออกเป็นสิบรอบ เพราะฝนตกๆ หยุดๆ สลับกัน ออกไปนอกเต้นท์บ่อยเพราะไปเปิดฟลายชีทออกให้ลมพัดเข้ามาได้ ขณะนอนก็พลิกตัวไปมาตลอด รำคาญความสกปรกของตัวเองเป็นที่สุดด้วยเหงื่อไคลสะสมมาตลอดวัน คืนนี้ทำได้ดีสุดคือเอาน้ำในกระติกมาล้างหน้าแบบลวกๆ
หลับๆ ตื่นๆ พลิกตัวหันซ้าย ขวา หาท่านอนที่ลงตัวยังไม่เจอ แต่พบว่าการนอนบนพื้นทรายนั่นสบายเอามากๆ ปกติผมจะนอนแต่บนพื้นดินที่แข็ง เจอดินไม่เรียบก็เซ็งแล้ว บางครั้งเจอแบบมานูนตรงหลังเราพอดี แบบนี้เซ็งจัด แต่สำหรับบนพื้นทราย เราไม่ชอบตรงไหนนูนก็กดๆ บดๆ มันลงไป มันจะยุบลงได้
ผมลุกออกจากเต้นท์ครั้งสุดท้ายตอนเที่ยงคืน เอาฟลายชีทออกเพราร้อนมาก ฝนหายตกตอนไหนก็ไม่รู้ แต่ช่างมันละ ตกอีกค่อยว่ากันใหม่ อย่างเก่งก็แค่เปียก มันมีแค่นั้นจริงๆ แถมตัวเองตอนนี้ก็ใช่ว่าจะสะอาดเสียที่ไหน
ช่วงก่อนหลับผมคิดถึงลูกและภรรยาอย่างมาก คิดถึงที่นอนในบ้าน คิดถึงฝักบัวอาบน้ำ คิดถึงความสะดวกสบายที่เราเคยมี มันเป็นความคิดที่เกิดในหัว สลับไปมาระหว่างข้อดีข้อเสียของการเดินทางด้วยจักรยานคนเดียว ที่ผ่านมาน่ะสนุก แต่ตอนนี้ทุกข์จริงๆ
นึกถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมาในชีวิต นี่เป็นอีกช่วงเวลาหนึ่งที่ได้อยู่กับตัวเองแท้ๆ หยิบเอารูปภาพของลูกและภรรยามาดู รู้สึกคิดถึงเขาสองคนเหลือเกิน