23 ตค 53
วันนี้ผมขี่ผ่านแม่น้ำเจ้าพระยาหลายครั้ง อดไม่ได้ที่จะดูระดับน้ำ มันเริ่มสูงขึ้นมาทุกทีๆ สูงเร็วมากอีกด้วย ชาวบ้านที่อยู่นอกคันกั้นยังไงก็ไม่รอดแน่ๆ
วันนี้ผมต้องอยู่เฝ้าร้านจนดึก กลับมาบ้านเอาตอน 1000 ขากลับรถติดก็พักสายตาจนเกือบจะหลับไปจริงๆ
กลางวันผมขี่จักรยานไปทำธุระที่ดิโอลสยาม แน่นอน ไปกับ JZ88 จะมีเหลือหรือ พับแล้วจูงเข้าไปเลย ยามหน้าประตูไม่ว่าอะไรสักนิด แต่ห้างนี้คนเยอะมากๆ นะ ถ้าไปกันหลายๆ คน หลายๆ คัน อาจโดนห้ามหรือไล่ก็อย่าไปว่าเขาเลยครับ ต้องเข้าใจสถานการณ์รอบข้าง ถ้าเราเกะกะ ก็ต้องยอมรับ ไม่ใช่ว่าขี่จักรยานแล้วจะทำตัวเป็นเทพฯ ใครมาห้ามไม่ได้ ใครมาไล่ไม่ได้ จะต้องเอามาฟ้องในเวป ฯลฯ
เขาให้เข้า ก็เข้า ถ้าเขาไม่ได้ ผมก็ไม่เข้า มันก็เท่านั้น
เจอซุ้มจักรยานของ กทม อันใหม่ด้วยครับ เป็นจักรยานขี่ฟรีเหมือนเดิม แต่เป็นสัมปทานจากค่ายใหม่ รถใหม่ปิ๊ง ขี่ฟรียังไม่พอ คืนที่จุดไหนก็ได้ ยังไม่เท่าไหร่ มันมาเจ๋งตรงที่มีประกันภัยให้ฟรีอีกด้วย เงื่อนไขก็ไม่มีอะไรมาก มายืมรถไปขี่ได้ฟรีตั้งแต่เช้าจรดเย็น ขอแค่บัตรประชาชนใบเดียวจบ เจ้าหน้าที่จะถ่ายรูปเรากับรถไว้ก่อน ส่วนบัตรผมว่าคงจะแค่ถ่ายภาพเก็บไว้ ไม่ได้ยึดบัตรเราไว้หรอก
ได้ทีเลยยืมรถมาขี่เลยครับ ทั้งๆ ที่เขายังไม่ได้เปิดเป็นทางการ รถเป็นลักษณะทรงแม่บ้าน มีตระกร้าเล็กๆ ด้านหน้า ล้อ 26 เกียร์เดียวครับ ขี่ดี นิ่ง แน่น แข็งแรงมากๆ ทรงตัวดี รถใหม่เอี่ยมเลยล่ะ เลยเอาไปลองที่เส้นทางเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา เกรงใจเขา เลยขี่แค่ไม่กี่นาที เอาไว้รอเปิดตัวเต็มๆ จะลองแบบลากยาวๆ สักทริป ผมว่าน่าสนุก
นอกจากให้ยืมจักรยานแล้ว เขายังมีแผ่นพับบอกรายละเอียดเส้นทางและจุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกด้วย แจ๋วจริงๆ เลย
ปัญหาอย่างเดียวคือคนเมืองมักจะไม่คุ้นกับการขี่จักรยานครับ เรื่องนี้ต้องใช้เวลาสักพัก ผมว่าทาง กทม มาถูกทางแล้วนะ เพียงแต่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง คอยกระตุ้นอยู่เสมอๆ พวกเราชาวจักรยานก็มีส่วนช่วยสานงานของ กทม ได้ ด้วยการหมั่นร่วมงานที่เขาจัดบ่อยๆ
เราต้องทำให้ชาวบ้านเห็นว่าจักรยานไม่ใช่เรื่องไกลตัว ใครๆ ก็ขี่ได้ ขี่สบาย ประเด็นคือตรงนี้ ไม่ใช่แค่มาบอกว่าขี่จักรยานดีอย่างโน้น อย่างนี้ ไอ้เรื่องพวกนี้ใครๆ ก็รู้ เขาติดปัญหาคือยังไม่สะดวก ยังไม่คุ้นเคย เท่านั้นเอง ถ้าเห็นคนรอบตัวขี่บ่อยๆ เข้า มันจะเกิดพฤติกรรมเลียนแบบครับ
เช่น เราเห็นคนเดินผ่านศาลเจ้าแล้วยกมือไหว้กันหมด คนส่วนใหญ่ก็จะยกมือไหว้ตาม เห็นคนแหงนมองฟ้ากันหมด เราก็จะแหงนมองตามไปด้วย ทั้งๆ ที่เขามองอะไรกันก็ไม่รู้
จักรยานก็เช่นเดียวกันครับ ปล่อยให้คนนั่งอยู่ในรถที่ติด แล้วภายนอกมีเลนจักรยานสวยๆ มีซุ้มต้นไม้เป็นร่มเงา มีจุดกดน้ำดื่มเป็นระยะ นี่เป็นเรื่องง่ายๆ ที่ทำได้จริง ไม่ใช่เฟ้อฝัน แต่อย่าเพิ่งทำนะ ทำไปตอนนี้ก็เหมือนเลนร้าง แค่วางแผนไว้ก่อน เตรียมการไว้ก่อน ช่วงนี้เราทำแค่กระตุ้นให้คนออกมาขี่จักรยานก่อนครับ ถ้าขี่กันเยอะๆ แล้วค่อยทำเลน พร้อมออกกฏเพื่อความปลอดภัยออกมาด้วย เช่น ต้องมี่มาตรการป้องกันมอเตอร์ไซค์แอบเข้ามาใช้ ผมแนะนำให้ป้องกันด้วยวิศวกรรมการออกแบบครับ เช่น ต้องผ่านบันได หรือทำให้มอเตอร์ไซค์ไม่ได้ขี่เข้ามาง่ายๆ นั่นแหละถึงจะดี
24 ตค 53
ตื่นเองแบบมึนๆ ตอน 0430 มองดูนาฬิกาแล้วก็ปิดตาลงนอนต่อ แต่ใจมันไม่หลับ เพราะเช้านี้มีงานขี่จักรยานของ UN Day Run วันที่ 24 ตุลาคม เป็นวันสหประชาติครับ แถมตรงกับวันอาทิตย์พอดี เรียกว่าจัดงานได้ตรงวัน แต่งานนี้เขาเน้นวิ่งนะ มีพวกเดินบ้าง ส่วนชาวจักรยานนี้ผมเรียกว่าตัวเสริมก็แล้วกัน เพราะมันมาเร็ว ไปเร็ว เคลื่อนที่ได้เร็ว
แต่งานของจักรยานวันนี้รู้สึกแปลกๆ หน่อย เพราะสมาคมจักรยานเพื่อสุขภาพไทยไม่ได้เป็นผู้จัดครับ กลายเป็นกลุ่มทางพระราม 2 เป็นผู้ประสานงาน กลุ่มนี้อยู่แถวบ้านผมเองแหละ แต่ผมไม่เคยขี่กับเขาเลย
ออกจากบ้าน 0530 ขี่เช้าๆ เป็นการวอร์ม แต่ออกจากบ้านไปได้สัก 3 กม ก็เจอกลุ่มจักรยานขี่แซง คนในกลุ่มมีราว 7 คัน แต่มีแค่คนเดียวที่หันมาทักผม
สวัสดีครับ เขาตะโกนขณะขี่เทียบข้าง
สวัสดีครับผม ผมตะโกนตอบ สบตากันแล้วยิ้ม สักพักกลุ่มเขาก็จอดเพื่อสมทบกับนักจักรยานอีกกลุ่มที่รออยู่หน้าบิ๊กซีดาวคะนอง ส่วนผมมาแบบไร้ญาติ ขี่คนเดียวตลอดทางจนถึงสะพานมัฆวาฬ
หน้าเวทีใหญ่มี บอย พระราม 8 มาขี่จักรยาน Trial โชว์ ผมว่าเขาเจ๋งดีว่ะ ไอ้ท่าพวกโดดไปมาผมเฉยๆ นะ ผมชอบท่าหมุนตัว 360 องศามากว่า แม่งแจ๋วว่ะ เห็นแล้วอยากเอารถ Fixed Gear มาขี่บ้าง แต่ว่าท่าของมันคนละสไตล์กันล่ะ ถ้าผมไปร่วมแจมจริงๆ บอยอาจโดนแย่งซีนโดยเปิ้ล พระราม 2 ได้
อ้อ งานวันนี้ไม่ต้องลงทะเบียนครับ มาขี่แล้วก็กลับไปได้เลย ไม่มีพิธีอะไร ง่ายๆ ดี กว่าจะออกขี่กันได้ก็ราว 0700 ครับ ขี่ไม่ไกลมากหรอก ระยะทางแค่ 10 กม ขี่ไปทางวังในหลวง วนอกไปทางสามเสน ตรงตลอดถึงบางลำพู ไปจนถึงราชดำเนิน แล้วก็วกกลับหน้า UN ที่สะพานมัฆวาฬ ไปถึงก็มอหาพรรคพวกก่อนเลย แต่คนเยอะมาก จนหาไม่เจอ ซุ้มอาหารมีเพียบ แต่เขายังไม่แจก มีแค่น้ำเต้าหู้ถ้วยเล็กๆ เลยกินไป 2 รองท้่อง
ผมเจอกับพี่นัท pinklady พี่วิ หนุ่ม Brompton และพี่เชอรี่ เทพแห่งแสงไฟ ส่วนคนจากสมาคมก็มีอาสุวิทย์ ลุงกุล และน้าหมี
พอออกตัวขี่ออกไปแล้วนี่รู้สึกสนุกดีจริงๆ ครับ มีคนปิดถนนให้พวกเราขี่เล่นอย่างสนุกนาน จะขี่บ้าบออะไรก็ได้ (แต่อย่าเว่อร์)
แดดร้อนแรงจริงๆ ครับ กลับมาถึงอีกทีก็ราว 0800 ต้องยืนหันหลังให้แดด สู้ไม่ไหวจริงๆ ครับ แสบผิวเหลือเกิน ช่วงนี้คนเริมทะยอยกลับกันแล้วล่ะครับ ทั้งนักวิ่ง นักจักรยาน ผมยืนคุยกับเพื่อนๆ สักพักก็ขอตัวแยกย้ายเหมือนกัน เดี๋ยวสายๆ แดดจะแรงกว่านี้
แต่ผมยังไม่ได้กลับหรอกนะ ผมขี่ไปลานพระบรมรูปทรงม้า ไปไหว้ท่าน เมื่อวานวันที่ 23 เป็นวันครบรอบ 100 ปีที่ท่านสวรรคต ผู้คนมากราบไหว้มากมายครับ ผมคุ้นชินกับพื้นที่บริเวณนี้ตั้งแต่เด็กๆ พ่อแม่จะพามานั่งเล่นตอนหัวค่ำ กินปลาหมึกบดปิ้ง น้ำมะพร้าว นั่งกันบนเสื่อเช่า ปัจจุบันไม่มีสิ่งเหล่านี้อีกแล้ว
พอช่วงวัยรุ่นผมก็ขี่มอเตอร์ไซค์เก่าๆ มาที่ลานนี้ในคืนวันเสาร์ มีกลุ่มคนเล่นรถโบราณมารวมตัวกันมากมาย ผมเห็นรถคันหนึ่งดูสวยดี เดินเข้าไปจับไฟท้ายเขาหน่อยเดียว
เฮ้ย ไอ้น้อง อย่าจับนะ มีคันเดียวในเมืองไทยนะ ขี้เมาถือกระป๋องเบียร์ชี้มาทางผมและตะโกนเสียงดัง
โหห จี๊ดดดด ทันที ผมแตะรถท่านนิดเดียว แถมรถก็เก่าๆ โทรมๆ ไอ้ที่ผมจับก็เพราะว่ามันรุ่นเดียวกับรถของผม เดินไปใกล้ๆ แล้วพูดกับเขาเบาๆ
ไอ้รถแบบนี้น่ะ ที่บ้านผมมี 2 คัน เสาร์หน้าจะขี่มาให้ดู
โห โครตจะกล้าเลยว่ะ เป็นปัจจุบันผมไม่พูดโต้ตอบแบบนั้นแน่ ไม่ได้กลัวเรื่องชกต่อย แต่ไม่อยากสมาคมด้วย
เสาร์ถัดมาผมเลยขี่รถ Harley Davidson 1945 พร้อม Side Car ขี่ไปวนที่หน้ากลุ่มขี้เมานี้หนึ่งรอบ และผมไปจอดที่ด้านหลังของพระบรมรูป จากนั้นจึงเดินกลับไปที่กลุ่มขี้เมา
พี่ครับ ผมเอารถมาให้พี่ดูครับ ไอ้คันที่พี่บอกว่ามีคันเดียวในเมืองไทยน่ะ ถ้าอยากดูก็เชิญนะครับ
พูดจบผมก็เดินกลับไปที่รถ และไปนั่งคุยกับกลุ่มเล่นรถโฟล์คแทน ช่วงนั้นคนเล่นโฟล์คยังมีแต่โฟล์คเต่า แต่ผมเล่นโฟล์คตู้ครับ ไม่ใช่รถตู้แบบ 23 หน้่าต่างแต่งเต็มยศนะ แต่เป็นรถตู้ทึบ ประตูเปิดแบบสวิงทั้งด้านซ้ายและขวาอีกด้วย กระจกหน้าแบบซาฟารีเปิดได้ เป็นรถปี 1957 ไฟท้ายแบบกลมๆ อันเล็กๆ เท่าลูกซาลาเปา ไฟเลี้ยวแบบก้านกระดก นี่คือสุดยอดของความเท่ หายากโครตๆ
อ้อ พวกขี่มอเตอร์ไซค์ Harley น่ะ ส่วนใหญ่มักจะชอบแต่งตัวตามหนังสือฝรั่งนะ เริ่มจากแจกเก็ตหนังมีพู่ห้อย เสื้อกั๊กหนังหมุดเงิน รองเท้าบูทสูงๆ เข็มขัดประกาศยี่ห้อ Harley หัวโตๆ ฯลฯ
ส่วนผมไปแบบสบายๆ ใส่แจ๊คเก็ตหนัง กางเกงขาสั้น รองเท้าผ้าใบหุ้มข้อ ดูยังไงก็ไม่เหมือนคนขี่ Harley สักนิด
นอกเรื่องเสียเพลิน คนแก่แล้วมันชอบคุยถึงอดีตเน๊อะ แต่ผมว่าอดีตของผมสนุกนะ ผมยังอยู่ในยุคที่มี The Palace มีวิภาวดีเซอร์กิต ยังอัดรถบนถนนสุขุมวิท พระราม 4 ได้ ยุคก่อนนั้นไม่มีมอเตอร์ไซค์เยอะเหมือนทุกวันนี้ครับ เพราะต้องซื้อเงินสดเท่านั้น ไอ้ที่มีมอเตอร์ไซค์เยอะๆ อย่างที่เห็นวันนี้ก็เพราะมันออกรถได้ง่ายเหลือเกิน จ่ายแค่ 500 ก็ซิ่งได้แล้ว ถ้าเป็นรถมือสองก็อาจไม่ต้องจ่ายสักบาท เอารถไปก่อน แล้วค่อยเริ่มผ่อนก็มี
ขี่รถแบบหิวๆ มานาน เจอของข้างทางก็ไม่แน่ใจในความอร่อย สุดท้ายก็ใช้ไม้ตาย คือกลับมากินบ้าน แต่วันนี้บ้านผมไม่มีอะไรกิน เลยแวะร้านก๋วยเตี๋ยวแถวบ้าน ร้านนี้ผมกินบ่อย แต่มักจะซื้อใส่ถุง มาวันนี้แหละที่เพิ่งได้นั่งกินที่ร้านวันแรก โหหห รู้สึกว่ามันอร่อยกว่ากินที่บ้านเยอะเลย ไม่ใช่เพราะผมหิวหรอกนะ รสชาติผิดกันจริงๆ โดยเฉพาะเส้นบะหมี่ เมนูประจำของผมคือบะหมี่แห้งต้มยำครับ
กลับมาบ้านก็รีบอาบน้ำ พบว่าหน้าผมแสบร้อนมากๆ ครับ ทั้งๆ ที่โดดแดดแค่ไม่นาน แถมทาครีมกันแดดอย่างดี กลัวหน้าพังครับ เดือนหน้ามีประชุมที่ฮ่องกงอีกด้วย เป็นงานประชุมปลายปีสรุปงานดีไซน์ อยากหล่อๆ หน่อย พออาบน้ำเสร็จก็เลยใช้เจลว่านหางจรเข้โปะหน้าเข้าไป พอเจลแห้ง ผมก็ทำใหม่อีกรอบ โปะมันเข้าไปอีกที อัดมันเข้าไปเยอะๆ มันจะช่วยสมานผิวจากแดดได้ดีมากๆ ข้อเสียคือทาแล้วหน้าจะมันแผลบ ต้องใช้แป้งฝุ่นทาทับถึงจะดูดีหน่อย
กลางวันมีนัดกับลูกและภรรยา พากันไปงานสัปดาห์หนังสือที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์ ใจผมชอบแค่ร้านหนังสือจากต่างประเทศ หนังสือเก่า ส่วนลูกเน้นหนังสือการ์ตูน ภรรยาชอบพวกสวยๆ งามๆ แต่วันนี้ผมเดินแบบหมดแรง เมื่อคืนก็กลับดึก แถมเช้านี้ตื่น 0430 ปั่นจักรยานกลางแดดแรงจัดทำให้กินแรงได้เยอะมากๆ
ขากลับแวะ Big C ซื้อข้าวของเข้าบ้าน ขากลับเจอป้ายเขียนว่าถ่ายรูปฟรี ขอแค่ใบเสร็จมูลค่าอย่างต่ำ 400 บาท
ผมรีบพาลูกไปที่ซุ้มทันที อยากได้รูปถ่ายสวยๆ มาเก็บไว้บ้าง ธรรมดาลูกเจอแต่ฝีมือห่วยๆ ของผมคนเดียวเลย มาวันนี้เจอโปรครับ รูปออกมาสวยดีมาก หน้าตาน่ารักดี ภรรยาหัวเราะชอบใจจริงๆ
ตอนเย็นดูทีวีเห็นโฆษณานมถั่วเหลืองผงแบบชงน้ำดื่ม ไอ้นี่ไม่แปลกใจ ใครๆ ก็ทำได้ มาสงสัยตรงที่เขาบอกว่าแคลเซี่ยมสูง 60% เพราะนมถั่วเหลืองธรรมชาติหรือเรียกแบบชาวบ้านว่าน้ำเต้าหู้มันมีแคลเซี่ยมน้อยมากๆ ครับ ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายด้วยซ้ำ จำเป็นต้องหาเสริมจากพวกผักเขียวจัดๆ เช่น บรอคโคลี่ คะน้า ไม่ก็กินแคลเซี่ยมเม็ดเสริม
นั่นคือวิธีการเติมแคลเซี่ยมครับ เติมเข้าร่ายกายไป ไม่ได้แปลว่ามันจะดูดซึมเข้ากระดูกคุณทั้งหมดล่ะ การที่จะทำให้แคลเซี่ยมดูดซึมนั้น มันจะต้องมีวิตามินดีมาช่วย วิตามินดีเราได้มาฟรีจากการเล่นกีฬากลางแจ้ง ได้จากแสงแดด ทาครีมกันแดดแบบโครตบล็อคกันแดดกันดำ ก็เท่ากับป้องกันวิตามินดีเข้าร่างกายไปด้วย
นอกจากวิตมินดีแล้ว จะให้เจ๋งเลิศ ต้องมีแมกนีเซี่ยมมาช่วยอีกตัว มี 3 สหายนี้พร้อมกับออกกำลังกายสม่ำเสมอ กินอาหารให้ถูกหลัง รับรองว่ากระดูกและฟันแข็งแรงครับ
อ้อ อย่าไปกินน้ำอัดลมมากๆ ล่ะ มันจะละลายแคลเซี่ยมออกมาจากกระดูกเสียหมด จะพาให้ทำเกิดกระดูกผุ กระดูกพรุนเอาตอนแก่
คืนนี้ผมคงจะเข้านอนเร็ว ส่วนลูกพรุ่งนี้เขาได้หยุดเพิ่มอีกวัน แหม อิจฉามันชมัด