racing-club.net

Bike Forum => my bike diary / my life diary => Topic started by: O'Pern on September 02, 2011, 08:31:05 pm

Title: กย 54
Post by: O'Pern on September 02, 2011, 08:31:05 pm
1 กย 54
   มิวเปิดเทอม 2 วันแรก ภาคเรียนนี้เขาเรียนดนตรีสากลเป็นขลุ่ยแบบรีคอร์ดเดอร์ ซึ่งผมเป่าเป็นครับ แถมมีใช้อยู่แล้วด้วย แต่มันคนละคีย์ ขลุ่ยของผมเป็นคีย์ B แต่ของลูก ทางโรงเรียนเขาอยากให้เป็นคีย์ G ก็ไม่เป็นไร ยังไงก็เป่าเหมือนๆ กัน แน่ล่ะ ระยะต่อไปนี้ผมก็ต้องเอาขลุ่ยออกมาซ้อมเป่าเล่นกับลูกไปด้วย นอกเหนือจากต้องซ้อม Uke แล้ว ยังต้องเล่นขลุ่ยอีก
   บ่ายเข้าไปที่คอนโด ไปเอาชุดว่ายน้ำลูกกลับมาครับ พรุ่งนี้เขามีเรียนว่ายน้ำ อยู่ได้แป๊บเดียวก็ต้องรีบออกไปรับลูกเสียแล้ว
   เย็นไปห้างเซ็นทรัลกับลูก สอบถามราคาขลุ่ยรีคอร์ดเดอร์ของ Yamaha เขาขายอันละ 200 บาท ผมไม่รู้ราคากลางของตลาดหรอก แต่ที่ไม่ซื้อเพราะไม่ชอบสไตล์การพูดของคนขาย เลยถอยออกมาก่อน และโทรเช็คร้านขายเครื่องดนตรีที่ผมซื้อประจำที่หลังกระทรวงกลาโหม ริมคลองหลอด เขาขาย 150-180 บาท ราคาต่างกันแค่นี้เรื่องเล็กน้อยมากจริงๆ แต่อย่างว่า ถ้าเราไม่ชอบคนขายเสียแล้ว อะไรมันก็เกิดขึ้นได้
Title: Re: กย 54
Post by: O'Pern on September 03, 2011, 05:55:43 pm
2 กย 54
   ฝนตกปรอยตลอดคืน เช้ามาเลยอดขี่จักรยาน ไปส่งลูกแล้วจึงเลยไปทำงาน
   บ่ายขี่จักรยานเข้าคลองถม ไปหาซื้อขลุ่ยรีคอร์ดเดอร์ให้ลูกที่เวิ้งนาครเกษม ได้ขลุ่ยมาราคา 100 บาท ถูกกว่าร้านในห้างเซ็นทรัลตั้ง 100 บาทแน่ะ เอารถจักรยานไปนี่สะดวกมากๆ ซื้อเครื่องมือจักรยานชุดใหม่ของ Eight เป็นชุดหกเหลี่ยมครบเซ็ท แวะซื้อแบตฯ สารพัดเบอร์ ซื้ออะไรก็หยิบใส่เป้หลังจนเต็ม ไปกับจักรยานนี่สนุกดีจริงๆ ครับ เว้นอย่างเดียวตอนฝนตกนี่แหละ
   เย็นรับลูกตามปกติ เขานั่งทำการบ้านในห้องคอมพิวเตอร์ ผมรอรับในห้องโถงจนเกือบหลับ เล่นกับเพื่อนของลูกแทนไปพลาง
Title: Re: กย 54
Post by: O'Pern on September 03, 2011, 08:20:15 pm
3 กย 54
   ถ้าไม่ได้ออกไปขี่จักรยาน หรือไปธุระที่ไหน ชีวิตผมก็จะเรียบง่าย มักจะอยู่กับบ้านตลอดเวลา ผมชอบอยู่บ้านเสียด้วยสิ มันมีเวลาให้นั่งคิดงานใหม่ๆ ได้อีกเยอะ ทุกวันนี้อยากแบ่งภาคร่างกายตัวเองออกเป็นหลายๆ ส่วน จะได้สานฝันที่วาดไว้ให้เป็นรูปร่างเสียดี ทั้งงานที่บ้าน งานออกแบบ งานรถยนต์ งานจักรยาน งานเขียนหนังสือ และอีกสารพัดงาน
   น้ำเริ่มมาถึงกรุงเทพฯสองสามวันแล้ว ผมขี่จักรยานไปดูริมเจ้าพระยาบ่อยๆ นึกเห็นใจชาวบ้านต่างจังหวัดในภาคกลางที่ต้องมารับน้ำแทนคนเมือง
Title: Re: กย 54
Post by: O'Pern on September 04, 2011, 08:35:22 pm
4 กย 54
   ไปตลาดน้ำบางน้ำผึ้งอีกแล้ว ถ้ามีบัตรสมาชิกหรือบัตรสะสมแต้ม คงจะแลกรางวัลได้เพียบไปแล้ว ไปมันจนแม่ค้าพ่อค้าหลายคนรู้จักมิว ผู้ใหญ่เขามักจะจำเด็กๆ ได้ดีกว่าผู้ใหญ่ สูตรสำเร็จเดิมๆ ของลูกก็คือ เดินปรี่ไปซื้อไข่นกกระทาทอดในเตาขนมครก 1 กระทง แล้วเดินต่อไปยังร้านก๋วยเตี๋ยวต้มยำที่อยู่เลยถัดไปอีกนิด ระหว่างรอก๋วยเตี๋ยวก็นั่งกินไข่นกกระทาไป พอไข่หมดก๋วยเตี๋ยวก็มาพอดี จบจากก๋วยเตี๋ยวก็จะไปซื้อโกโก้เย็นกิน 1 แก้ว เป็นอันเสร็จพิธี
   กินเสร็จก็เดินซื้อของกินกลับบ้านต่อ ผมมักจะหาอาหารกลางวันกลับมากินที่บ้านสำรองเอาไว้ มักจะชอบพวกผักเยอะๆ และกินได้ง่ายโดยไม่ต้องอุ่น เช่น ยำถั่วพู ข้าวมันส้มตำ สลัดแขก แต่ก็มีขนมที่ผมชอบซื้อประจำอีกนะ เช่น มันทอด เผือกทอด
   ตลอดวันนี้ผมอยู่ที่คอนโดครับ ตอนบ่ายมีรุ่นพี่ที่อยู่ห้องข้างบนเขานัดเลี้ยงกาแฟผม ตอบรับนัดเขาไป ไม่ได้อยากกินกาแฟอะไรสักนิด แต่อยากมีเพื่อนในคอนโดเยอะๆ แถมพี่คนนี้อยู่ห้องใกล้กันมาก ห้องของพี่เมี๊ยวตกแต่งคนละโลกกับห้องผมครับ ของเขาเน้นเรียบง่าย สไตล์ไทย ส่วนของผมเป็นแบบโมเดิร์นเรียบๆ โทนสีขาวเทา ตัดด้วยโซฟาสีสดๆ
แลกห้องกันดูอยู่นาน ตอนแรกนั่งห้องผม คุยกันจนหมดมุข พี่เมี๋ยวขอตัวกลับ ผมเดินไปส่งพร้อมกับยกจานชามไปคืน เลยนั่งคุยห้องพี่เขาต่อจนเย็น
วันนี้หายเหงาไปเยอะเลย
Title: Re: กย 54
Post by: O'Pern on September 05, 2011, 08:34:30 pm
5 กย 54
   มีข่าวหนังสือพิมพ์ลงเกี่ยวกับการขึ้นภาษีรถจดประกอบ แถมยังจะตรวจสอบย้อนหลังให้มาจ่ายภาษีเพิ่มเป็นรายบุคคล ไม่ใช่ว่าของเดิมหนีภาษีนะ แต่การประเมินราคารถจากเศษซากอะไหล่มันราคาต่ำเกินจริง ใครที่จดๆ จ้องๆ ก็เป็นอันได้ข้อสรุปว่า ไปมองรถที่มันมาอย่างถูกต้องขาวสะอาดจะดีกว่า จากเดิมเล็ง Nissan Cube เอาไว้ให้ภรรยาขับ เลยพักเอาไว้ก่อน ส่วนผมก็ขับคันเดิมๆ ต่อไป Nissan 180SX นี่แหละครับ จะว่าไปนี่คือรถที่ผมใช้มานานที่สุด ไม่เคยใช้รถคันไหนนานขนาดนี้เลย เหตุผลเดียว ง่ายๆ สั้นๆ และเดิมๆ ก็คือ ต้องการเก็บเงินเอาไว้ให้ลูก
   กลางวันไปธนาคาร โอนเงินซื้อของเล่นให้ลูก เป็น Solar Toy 6 in 1 ราคา 199 บาท ผมหาเจอในเวป เรียกลูกมาดู เขาชอบมาก ซื้อของเล่นแบบนี้ไม่ค่อยเสียดายเงิน มันเป็นการเรียนรู้ผ่านของเล่น
   เย็นไปรับลูก ผมแวะซื้อสายหูฟังแบบ Small Talk ในร้าน SE-ED ราคา 199 บาท เอามาลองใช้ก็โอเคดี คุณภาพเสียงด้อยกว่าของเดิมที่ผมเคยใช้นิดหน่อย แต่มันดันมีเสียงก็อกๆ แก๊กๆ ที่หูฟังข้างหนึ่งคล้ายสายหลุดหลวม แต่มันยังมีเสียงออกอยู่ กะว่าพรุ่งนี้จะเอาไปขอเปลี่ยนอันใหม่ ซื้อของในห้างก็ดีตรงนี้แหละครับ แค่เก็บใบเสร็จไว้ สัก 7 วันนี่พอคุยกันได้แบบสบายๆ แต่ถ้าซื้อจากร้านในคลองถมล่ะก็ ส่วนใหญ่เขาจะไม่อยากคุยกับเราด้วย มีบ้างที่ให้เปลี่ยนแต่เขาก็จะเอาของเราไปขายให้คนอื่นต่อ และเป็นไปได้สูงว่าของเราที่ขอเปลี่ยนใหม่ก็อาจเป็นของเก่ามาจากคนอื่นอีกทอด
   เย็นมีรุ่นน้องโทรมาคุย บอกช่วยหางานให้หน่อย เอาล่ะสิ หางานอะไรให้ดีล่ะ เราจะไปรู้ไหมล่ะว่าเขาถนัดงานด้านใดบ้าง มีความสามารถพิเศษอะไรบ้าง คุยไปก็นึกไปถึงพรรคพวกทีละคนๆ
Title: Re: กย 54
Post by: O'Pern on September 06, 2011, 07:44:48 pm
6 กย 54
   ตื่นเช้าออกมาขี่จักรยานเล่น แต่วันนี้พิเศษหน่อยตรงที่ผมวอร์มร่างกายและยืดเส้นอยู่นานมากราว 15 นาที ต่างจากปกติที่มักจะบิดเอวแค่สองทีก็ออกขี่แล้ว เพราะอยากขี่นานๆ แค่อยากรู้ว่าถ้าเราวอร์มร่างกายเยอะๆ มันจะแตกต่างจากเดิมไหม อย่างไร
   รุ่นน้องคนเมื่อวานโทรมาบอกว่าจะลงไปทำงานที่สมุย ไปช่วยเพื่อนทำในร้านกาแฟ เบเกอรี่ เขาพอจะมีฝีมือทางด้านนี้ และใจรัก ผมเลยยุส่ง ผมชอบให้คนทำงานที่เรารักครับ รักแล้วเราจะทำมันโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ตอนทำนิตยสารรถยนต์ผมก็เคยรู้สึกแบบนั้นมาก่อน ถึงตอนนี้ใจยังนึกอิจฉาเขาอยู่เลย เขาคงจะมีความสุขเอามากๆ
   อืมม แล้วผมล่ะ
   ผมก็ต้องสุขสิ ไม่ได้สุขจากการทำงานหรอก ต้องอาศัยคิดบวกไปเรื่อยๆ คิดเสียว่าเราได้ช่วยพ่อแม่ทุกวัน ได้ทำความดีตอบแทนคุณ คิดมันแค่นี้แหละ พอแล้ว แต่ว่าหากว่างๆ ก็มีแอบฟั่นถึงธุรกิจของตัวเองบ้างเหมือนกันนะ แค่รอจังหวะเหมาะๆ รอพร้อมลุยสักวัน
   เย็นเอาสายหูฟัง Small Talk ไปเปลี่ยน พนักงานจะเอาอันใหม่มาลองให้ แต่ผมถอดใจแล้วล่ะ กลัวมันจะไม่เวิร์ค เลยบอกขอเป็นเงินสด แต่ร้านค้าเขาไม่มีนโยบายคืนเป็นเงินสด เลยให้ดูเป็นหนังสือแทน ไอ้นโยบายแบบนี้ใช้กันเยอะมากครับ ร้าน Probike ก็เป็นแบบนี้ ผมเคยซื้อสายรัดขากางเกงแบบมีไฟมาใช้ แต่มันไม่เวิร์คเอาเสียเลย แถมแพงอีกด้วย เลยเอาไปคืนซะ แต่ที่ไหนได้ เขาไม่ให้เป็นเงิน จึงต้องเลือกซื้อสินค้าในร้านแทน
Title: Re: กย 54
Post by: O'Pern on September 07, 2011, 07:25:19 pm
7 กย 54
   ตื่นเช้ามาถ้าฝนไม่ตกก็ได้ออกกำลังกาย วันนี้ยืดเส้นวอร์มนานๆ เหมือนเมื่อวาน ผมรู้สึกว่าร่างกายกระฉับกระเฉงกว่านะ แต่ก็ต้องทำใจว่าเวลาช่วงเช้ามีแต่ 30 นาที ถ้าวอร์มนาน ก็จะขี่จักรยานได้น้อย แลกกัน
   วันนี้ค่อนข้างน่าเบื่อ ชีวิตเรียบง่ายแบบไร้สีสันโดยสิ้นเชิง อยู่ร้านจนถึง 0430 ถึงได้ฝ่าฝนไปรับลูก ไม่มีเรื่องสนุกเลยแม้แต่น้อย
Title: Re: กย 54
Post by: O'Pern on September 12, 2011, 03:59:35 pm
8 กย 54
   เช้านี้ลูกมีทัศนะศึกษาไปห้องสมุดแห่งชาติ เด็กๆ ได้ไปเรียนรู้นอกสถานที่แบบนี้ดีจริงๆ ครับ
   Mercedes Benz เชิญผมไปร่วมงานแถลงข่าว ผมไม่ได้รับเชิญจากบริษัทใดๆ เลยมา 12 ปีแล้ว แน่ละ ผมไปแน่ๆ เขานัดกันที่ Centara Central World ผมไม่ได้เหยียบไปย่านนี้ไม่ต่ำกว่า 5 ปี
   ไปถึงานก่อนเวลานัดตามสไตล์ เลยใช้เวลาเดินเล่นในห้าง เปิดหูเปิดตาได้ดีมาก ชอบสไตล์การจัดหน้าร้านค้า ออกแบบได้สวย จัดแสงดี ผมเข้างานก่อนเวลาเล็กน้อย รีบเข้าไปลงทะเบียนเป็นอันดับแรก แปลกใจที่ทำไมเพิ่งมีคนมาแค่ 5 สื่อเท่านั้นเอง
   เจ้าหน้าที่เชิญให้ไปรับอาหารว่างก่อน โอ้โห้ จัดเต็มอย่างกับโรงแรมหรูเลย มีแต่ข้าวของแพงๆ ให้กิน ผัดไทยกับกุ้งลอบสเตอร์ หมูหันแต่ห่อแป้งและผักเหมือนเป็ดปักกิ่ง สลัดอย่างดี ซูชิ และอีกเพียบ ของหวานก็มีมากทั้ง ผลไม้เคลือบช็อคโกแลตแบบ dip (เอาไปจุ่มเอาเอง) ช็อคโกแลตเป็นชิ้นๆ หลากหลายรูปแบบ เค๊ก พาย ฯลฯ
   อยากกิน แต่กลัวอ้วน และอยากทำงานมากกว่า มาวันนี้ในฐานะผู้สื่อข่าว แต่ในใจผมแอบมาในฐานะผู้บริโภคไปด้วยในตัว คือไม่ได้แค่นำเสนอข่าว แต่ต้องการทราบข่าวเชิงลึกที่มีผลกระทบต่อผู้บริโภคอีกด้วย
   ภายในห้องแถลงข่าวจัดในห้องโถงขนาดใหญ่มาก มี Mercedes Benz จอดอยู่ 7 คัน 7 รุ่น ทั้งหมดสีขาว แน่ละ Mercedes Benz ที่ขายในไทยโดยบริษัทแม่ไม่เคยทำรถสีขาวมาก่อนเลย
   ผมเลือกนั่งด้านหน้าสุดตามเคย กำลังจะวางกระเป๋าบนโต๊ะ ก็มีฝรั่งคนหนึ่งใส่ชุดสูทสีดำแบบคอจีน นั่งในโซฟาตัวใหญ่หันหน้ามา ยืนยกมือสวัสดีผม (ทั้งหมดนี้เป็นบทสนทนาภาษาอังกฤษ)
   “สวัสดีครับ ขอบคุณที่มาร่วมงานครับ”
   “สวัสดีครับ ด้วยความยินดีครับ เป็นเกียรติของผมอย่างมากที่ได้มาร่วมงานครับ” ผมตอบพร้อมกับก้มหัว ยกมือไหว้สวัสดี
   “คุณมาจากหนังสือพิมพ์ใดหรือ”
   “ไม่ใช่หนังสือพิมพ์ครับ ผมมาจากนิตยสารรถยนต์ชื่อ Racing Club ครับ” ผมตอบพร้อมกับหยิบนามบัตรยื่นส่งให้ ไอ้นามบัตรของผมเป็นรุ่นภาษาไทยเสียด้วย ช่วงหลังไม่ได้ออกไปผาดโผนที่ไหนอีกแล้ว ผมเลยทำแต่นามบัตรไทย
   “ขอบคุณมากครับ รอเดี๋ยวนะครับ” เขารับนามบัตรผม และหันไปหยิบของในกระเป๋าใกล้ๆ ตัว ยื่นส่งมาให้ผม ซึ่งผมคิดว่าเขาคือเจ้าหน้าที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือไม่ก็เป็นพวกคนจัดงาน
   เห็นนามบัตรแล้วเข่าอ่อน เขาคือ Dr. Alexander Paufler มีตัวหนังสือเล็กๆ เขียนใต้ชื่อว่า President  & CEO
   โอ้โห คนระดับสูงสุดขององค์กรเขามายืนไหว้ผม พูดคุยกับผมอย่างดีมากๆ ขนาดนั่งลงแล้วหัวใจยังเต้นแรงไม่หาย แล้วภาพเมื่อหลายเดือนก่อนที่ผมส่งของริมถนนเจริญนครก็ผุดขึ้นมา
   ผมไปส่งของในร้านแห่งหนึ่งติดกับโชว์รูม Toyota บนถนนเจริญนคร เขามี Toyota Alphard ติดฟิล์มดำจอดอยู่บนทางเท้า ระหว่างรอลูกค้า ผมเดินเข้าไปดูรถใกล้ๆ แต่ฟิล์มดำมืด เลยต้องเอามือป้องแสง และเอาหน้าไปใกล้กระจก ผมอยากดูว่าในรถมีออปชั่นอะไรบ้าง คิดอยากซื้อให้พ่อแม่นั่ง ให้ภรรยาและลูกนั่ง มันคงจะดีกว่าที่ผมเอาเงินไปซื้อรถสปอร์ทขับเล่นคนเดียวเป็นแน่
   เงยหน้ามาอีกที เห็นเจ้าหน้าที่ในโชว์รูมยืนมองแบบจ้องๆ ผ่านกระจกใสบานใหญ่ ผมเลยรีบผละจากจุดนั้นโดยเร็ว
   นึกน้อยใจว่ะ แค่เราแต่งตัวโทรมสกปรก ขับรถกระบะส่งของเก่าๆ เท่านั้นเอง
   แต่ในวันนี้ ผมยังคงเป็นนายเปิ้ลคนเดิม แค่ใส่ชุดสูท แค่มาในฐานะสื่อมวลชน แค่อยู่ในโรงแรมหรู ผู้คนรอบข้างต้อนรับผมราวกับเทพ นั่งอยู่เฉยๆ ยังมีพนักงานมาคอยเสิร์ฟน้ำตลอดเวลา
   คนเรามันก็ดูกันแค่ที่เปลือกล่ะนะ ลองให้เขามาเจอผมในสภาพคนส่งของ คงจะไม่กระทั่งชายสายตา
   ผมคุ้นเคยกับชีวิตแบบนี้แล้วล่ะครับ นั่นคือทำให้ตอนที่ผมอยู่นอกบ้าน หรือตอนขี่จักรยาน ผมจะไม่ละเลยในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่นตอนที่ผมขี่ไปหัวหิน 200 กม ระหว่างทางผมเจอขอทานแบกของพะรุงพะรัง แต่พอพูดคุยกัน ผมกลับคิดว่าเขาเป็นนักเดินทางตัวยง ชื่อ บิด บุญเกิด เดินเท้าจากเชียงราย จุดหมายหาดใหญ่ อุปกรณ์ติดตัวคือคานหาบของ ถังใส่สิ่งของ มีธงชาติผืนใหญ่ และพระบรมฉายาลักษณ์ ไร้ซึ่งอุปกรณ์พิเศษใดๆ เลย
   ถ้าคุณรักการเดินทาง ก็จงอย่าละเลยในรายละเอียดที่คนเดินทางได้สัมผัส แน่ละ ถ้าผมขับรถยนต์มาก็คงไม่ได้แวะคุยกับบิด และเชื่อว่ามีคนอีกมากที่แทบไม่เคยมองคนที่ดูต่ำต้อยกว่าเรา โดยเฉพาะคนที่ต่ำกว่ามากๆ อย่างพวก ขอทาน คนด้อยโอกาส คนพิการ ฯลฯ แต่เขาเหล่านั้นจะเปลี่ยนใจทันทีหากตัวเองต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนั้นบ้าง
   ผมนั่งอยู่ด้านหลังของ Dr. Alexander สักพักมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายจัดงานคนไทย พาสื่อมวลชนคนหนึ่งมาแนะนำให้รู้จัก
   “Hello, nice to meet you” สื่อคนนั่น เปิดจากพูด พร้อมกับยื่นมือไปขอจับ
   “Nice to meet you too” Dr. Alexander ตอบ
   เขาพูดคุยกันแค่นี้แหละ แล้วก็แยกกันไป ที่ผมเอามาเล่าก็เพราะเรื่องของการใช้ภาษาครับ
   คำว่า nice to meet you ตามความคิดของคนที่รู้ภาษาอังกฤษแค่งูๆ ปลาๆ อย่างผมแล้ว ผมคิดว่ามันน่าจะเอาไว้พูดกับคนระดับเดียวกัน คนสนิทกัน อะไรทำนองนี้มากกว่านะ มันเหมือนเป็นบทความที่เราใช้ท่องๆ กันมาตั้งแต่เด็กว่าตอนทักทายฝรั่งน่ะ ให้พูดแบบนี้นะ I’m fine. Thank you. And you? เรียกว่าท่องกันเป็นประโยคหากินเลย เจอหน้าไป เอะอะอะไร เล่นมันตามนี้ตลอดเลย ลองไปคุยกับฝรั่งติดต่อกันสัก 3 คนสิ จะรู้ว่าตัวเองแม่งโคตรจะตลกเลย
   เฮ้ยย ไม่ใช่ มันต้องให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ด้วย คุณคุยกับ President & CEO นะ จะบอกว่าไม่รู้ก็ไม่ได้ เพราะมีคนไทยจูงมือมาแนะนำ ถ้าเป็นผมเจอแล้วพูดแบบนี้ยังไม่เท่าไหร่ เพราะผมไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร โชคดีที่ผมจะพูดอะไรกับใครก็จะใส่ความสุภาพแบบสุดๆ ไปด้วยเสมอ ลงท้ายประโยคของผมจะมี Sir ทุกคำ
   อีกอย่างคือเรื่องการจับมือ ผมไม่รู้ธรรมเนียมฝรั่งหรอก แต่ผมจะจับมือก็ต่อเมือผมอาวุโสกว่า และต้องการความเป็นกันเอง หรือไม่ก็ให้ฝ่ายตรงข้ามยื่นมือออกมาก่อน
   เนื้อหาในการแถลงข่าวเป็นการเปิดสงครามกับรถของ Grey Market อย่างเป็นทางการและเต็มรูปแบบ เอารถสีขาวมาจอดโชว์เพราะสื่อถึงการทำตลาดอย่างขาวสะอาด
   งานเสร็จตอนเย็น ก็ยังอุตส่าห์มีอาหารเย็นเลี้ยงอีกด้วย สุดยอดจริงๆ แต่ผมต้องไปรับลูก แถมตอนนี้ฝนตกหนัก แย่กว่านั้นคือตอนนี้เวลาเกือบจะห้าโมงเย็น ซึ่งลูกผมเขาเลิกเรียนตั้งแต่ 0400 แล้ว รอหน่อยนะลูกพ่อ
   รถติดหนัก หนาแน่น กว่าผมจะไปถึงโรงเรียนลูกก็ตอน 0600 แต่ลูกผมไม่ได้ว่าอะไร เขาก็เล่นกับเพื่อนไปเรื่อยๆ แค่เหลือเพื่อนน้อยหน่อยเท่านั้นเอง
   “พ่อๆ วันนี้มิวขอกินร้านสเต็คหน้าปากซอยเรานะ”
   “ได้สิลูก”
Title: Re: กย 54
Post by: O'Pern on September 12, 2011, 04:00:42 pm
9 กย 54
   ส่งลูกเสร็จต้องรีบมาเฝ้าร้านขายของ เย็นไปรับลูกส่งที่บ้านแล้วก็ต้องออกไปเฝ้าร้านต่อจนจบ
   เมื่อไหร่จะอวสานเสียที

10 กย 54
   อยู่เฝ้าร้านตลอดวัน คนงานขาดตามเคย มีครบๆ ได้ไม่นานเท่าไหร่ก็ต้องมีอันเลิกรากันไป ไม่มีใครชอบทำงานยกของหนักๆ หรอกครับ คนที่มีทางเลือกที่ดีกว่าเขาก็ไปตามทางของเขา ผมเข้าใจ
   มาร้านตอน 0730 อยู่จนถึงปิดร้าน 1130 อีก 30 นาทีจะเที่ยงคืน งานแบบนี้คงไม่มีใครชอบอีกเช่นกัน
   ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น
   แต่ทำไมต้องทำ ทำไมต้องทน

11 กย 54
   ตื่นสายสุดๆ  0630 แน่ะ ไม่เคยตื่นสายแบบนี้มาหลายปี ส่วนลูกเขาตื่นแต่เช้าตามสไตล์วันหยุด (แต่ถ้าวันไปเรียนมักจะตื่นสายนะ) ผมเข้าไปที่คอนโด นอกจากไปทำความสะอาดตามปกติแล้ว ยังมีต้นกระบองเพชรเล็กๆ ให้ดูแลอีก 3 ต้น
   ปัดกวาดเช็ดถูก ทำความสะอาดระเบียง ทำเสร็จนั่งพัก แป๊บเดียว ฝนตก เฮ้ยย ข้าเพิ่งจะถูระเบียงเสร็จเองนะ ผมชอบอยู่ในห้องนี้ตอนฝนตก บรรยากาศดีเหลือเกิน ลมพัดเย็นสบายตลอดวัน ผมอยากจะเปิดแอร์เพื่อให้น้ำยาในระบบมันหมุนเวียนบ้าง ก็ยังหาโอกาสแทบไม่ได้ ลมภายนอกมันพัดจนสบายเสียยิ่งกว่าแอร์เสียอีก จะได้เปิดอย่างจริงจังก็ตอนนอนค้างนี่แหละครับ เสียดายที่วันนี้ไม่ได้ทำแบบนั้น
   ภรรยาและลูกไปกินอาหารข้างนอกกันเอง ส่วนผมแยกตัวมาห้องพักแห่งนี้คนเดียว พกแค่กล้วยน้ำว้ามา 3 ผล กินสลับกับน้ำเปล่านี่แหละครับ แม้ที่คอนโดแห่งนี้มีห้องอาหารอย่างดีมาเปิดแล้ว แต่ฝนมันตก ทำให้ขี้เกียจลงไป
   เย็นภรรยาชวนไปกินส้มตำร้านเก่าแก่แถวบ้าน ชื่อร้านเจ๊เล้ง ร้านนี้เราไม่ค่อยได้ไปกินกันบ่อยนัก ลูกเข้าใจว่าเราจะไปร้านเจ๊ง้อกัน (ร้านเจ๊ง้อ เขาขายอาหารจีน) พอบอกว่าเราไปร้านเจ๊เล้ง เขาก็คิดไปอีกว่าเป็นร้านเจ๊เล้งที่ดอนเมือง เฮ้ยยย ไม่ช่าย คนละเล้งกัน
   ไม่ค่อยได้กินมื้อเย็นหนักๆ มานาน กลับมาบ้านพุงป่อง เล่นข้าวเหนียวส้มตำ ลาบเห็ดสด ไก่ย่าง กินกันไม่หมดจนต้องห่อส้มตำใส่ถุงกลับมากินที่บ้าน ผมเลือกสั่งตำข้าวโพด เพราะชอบลองของใหม่ ส่วนลูกเล่นแบบไม่ใส่พริก ภรรยาชอบใส่ปูม้า มากันคนละทาง เลยเล่นคนละจาน ผลคือ กินไม่หมด
   ก่อนนอนซ้อม Uke ราว 2 ชม ลูกบอกว่ายังไม่เพราะนัก แค่พอฟังได้ แสดงว่าผมยังต้องฝึกอีกมาก
Title: Re: กย 54
Post by: O'Pern on September 12, 2011, 08:13:21 pm
12 กย 54
   สลบสะไหล นอนแล้วไม่อยากตื่น ลุกจากที่นอนเอาตอน 0600 เลยไม่ได้ออกกำลังกายอะไร รีบเดินลงมาดูปลาทองในบ่อ ดูว่าเจ้าตัวเล็กที่มันเพิ่งออกมาเป็นไงบ้าง สุขสบายดีไหม น่าเสียดายที่เห็นมันแค่ตัวเดียว ไม่รู้ตัวอื่นไปไหนหมด หรือว่าไข่ไม่ฟักเป็นตัวก็ไม่รู้ ผมเลี้ยงปลาตามยถากรรม ให้แค่อาหาร และเปลี่ยนถ่ายน้ำตามวาระเหมาะสม
   เช้าไปส่งลูก สายไปทำงานเฝ้าร้าน บ่ายเข้าบ้านมาทำงานส่วนตัว แม้จะมีเวลาแค่วันละ 2 ชม ผมก็ต้องบริหารมันให้ได้ ตกเย็นไปรับลูก หลังจากนี้จนเข้านอน ผมให้เวลาแก่ลูกทั้งหมด
   พ่อแม่ผมไปมาเก๊ามาครับ กลับมาบ้านเมื่อคืนวันอาทิตย์ ซื้อทาร์ตไข่ชื่อดังของมาเก๊ามาด้วย ทาร์ตไข่คือขนมขึ้นชื่อของมาเก๊าครับ เป็นขนมโบราณเก่าแก่ แต่ไม่ได้เป็นขนมจากจีนนะ พื้นเพเป็นของโปรตุเกส คนทั่วไปคิดว่ามาเก๊าเป็นเมืองขึ้นของโปรตุเกส แต่ไม่ใช่นะครับ ผมจะเล่าของจริงให้อ่าน และยังมีเรื่องราวในโลกอีกหลายอย่างที่เราๆ ยังเข้าใจกันผิด เช่นเรื่องคริสโตเฟอร์โคลัมบัสค้นพบอเมริกาคนแรก แต่วันนี้เอาเรื่องมาเก๊าก่อน
   เกาะมาเก๊าเป็นทำเลที่ดีมากๆ ในยุคโบราณ เพราะทุกคนต้องใช้เรือในการคมนาคม มาเก๊าจึงเป็นที่หมายปองของประเทศต่างๆ ในยุคล่าอาณานิคม เริ่มจากอังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน โปรตุเกส ยังไม่นับพวกเรือโจรสลัดไม่ระบุสัญชาติอีกมาก
   ใครจะมาค้าขายก็ต้องผ่านด่านโจรปล้นจี้ บ้างก็โดนยึดเรือ ยิง ฆ่ากันจนเป็นเรื่องปกติ ผู้ว่าของเกาะมาเก๊าก็จนปัญหา ไม่รู้จะทำอย่างไร ตัวเองตั้งหลักอยู่บนเกาะ ไม่มีศักยภาพไปลุยกับใครในทะเล
   จนมาวันหนึ่งชาวโปรตุเกสส่งสารเข้ามาจะเจรจาการค้าขายด้วย ผู้ว่ามาเก๊าตอบไปทำนองว่า ถ้าอยากเข้ามาค้าขาย ก็ช่วยเคลียร์เส้นทางการค้าให้มันปลอดภัยด้วย เพราะในน่านน้ำเต็มไปด้วยเรือนักล่า เรือโจร
   โปรตุเกสตอบตกลง มาพร้อมกับกองทัพแบบจัดเต็มแบบปิดอ่าว งานนี้จึงเป็นทางออกแบบ win win คือโปรตุเกสได้ค้าขายกับมาเก๊าสมใจ มาเก๊าก็ได้เส้นทางการเดินเรือที่ปลอดภัย แต่งานนี้โปรตุเกสวินกว่าเพราะจากการที่ค้าขายกันมาต่อเนื่องนาน ทำให้มีบางส่วนตั้งรกรากถิ่นฐานในเกาะมาเก๊าแห่งนี้ และนำอารยธรรมหลายด้าน เช่นศิลปวัฒนธรรม อาหาร รวมไปถึงสิ่งก่อสร้าง ซึ่งทุกวันนี้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ยังคงได้รับการอนุรักษ์เป็นอย่างดีในมาเก๊า
   น่าแปลกที่ขนมไทยเราที่มาจากโปรตุเกสเช่นฝอยทอง ทองหยิบ ทองหยอด มันช่างต่างจากขนมอบอย่างทาร์ตไข่แบบคนละโลก ไม่น่าเชื่อว่าจะมาจากโปรตุเกสเหมือนกัน
   ผมซัดทาร์ตไข่ไป 1 ชิ้น โห ชิ้นมันใหญ่กว่าของ KFC แบบคนละเรื่องเลย กินไปลูบพุงน้อยๆ ของตัวเองไปด้วย คิดต่ออีกว่า ไอ้ขนมแบบนี้ถ้าได้กินระหว่างทริปจักรยานทางไกลจะประเสริฐมากๆ ไว้คราวหน้าถ้าขี่ผ่าน KFC จะลองไปจัดมาสักชิ้น
   กินเสร็จแล้วหิวต่อ ฮ่าๆ เปิดตู้เย็นเอาส้มตำของเมื่อวานมากินต่อ แกล้มกับผักสด ไม่ค่อยอร่อยหรอก แต่ก็กินจนหมด กินไปนั่งพิมพ์ Diary เล่าเรื่องย้อนหลังไปนี่แหละครับ
   เย็นไปรับลูก ผมชอบบรรยากาศที่โรงเรียนมาก ได้คุยได้เล่นกับเด็กๆ เห็นเขาตั้งแต่เล็กจนโต เห็นพัฒนาการของเขาไปตามลำดับ นึกรักพวกเขาเหมือนลูกตัวเอง
Title: Re: กย 54
Post by: O'Pern on September 13, 2011, 09:13:08 pm
13 กย 54
   อยู่เฝ้าร้านตั้งแต่เช้าจนถึงเย็น ไม่ได้ทำอะไรที่เป็นงานส่วนตัวเลยแม้แต่น้อย อยู่แบบนี้มีแต่สมองจะตายและฝ่อไปเรื่อยๆ ตลอดวันมีแต่เรื่องน่าเบื่อหน่าย เจอแต่ปัญหาเดิมๆ ที่เราควบคุมไม่ได้
   คิดบวกก็แล้ว ยังเอาไม่อยู่ ไม่มีความสุขเลยสักนิด
Title: Re: กย 54
Post by: O'Pern on September 15, 2011, 02:48:55 pm
14 กย 54
   ตอนอยู่ในสภาวะกดดัน ทำให้เราได้คิด ผมจึงคิดบทสรุปของชีวิตได้อีกข้อ นอกจากคนเราจะเกิดมาเพื่อทำความดี และอยู่อย่างมีความสุขแล้ว อีกอย่างที่ต้องการคือ “อิสระ” ไอ้ข้อหลังนี้ผมเพิ่งจะมาเพิ่มเองภายหลัง คนอื่นอาจจะไม่รู้สึกอย่างผมก็เป็นได้ แต่จะว่าไปแล้ว ไอ้อิสระนี่มันก็อยู่รวมในหัวข้อของความสุขนี่แหละครับ
   ตอนสายเอา GPS ส่งคืนไปยังผู้ขาย เครื่องไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอก แต่เขาเมลล์มาแจ้งว่ามีการอัปเดทโปรแกรม ใครมีฝีมือแก่กล้าด้าน GPS ก็สามารถอัปเดทเองได้ทางอินเทอร์เนท แต่ถ้าไม่ใช่ เขาก็มีบริการอัปเดทให้ฟรี แต่ต้องส่งเครื่องไปให้เขา พร้อมจ่ายค่าส่งกลับเองอีก 50 บาทด้วย
   บ่ายเข้ามาบ้าน วันนี้ได้ “อิสระ” ก่อนไปรับลูกราว 2 ชม ถือว่าเป็น 2 ชั่วโมงทอง จะคิดจะทำอะไรก็ต้องรีบทำให้จบให้เสร็จ จึงมีเวลานำข่าวของ Mercedes Benz ที่เขาเปิดงานแถลงเกี่ยวกับกลยุทธเชิงรุกเมื่อสัปดาห์ก่อนมาลงเวป ตอนแรกคิดจะตัดต่อ ย่อความ สรุป แต่เปลี่ยนใจละ นี่มันในเวป ไม่ใช่นิตยสาร อัด ยัด ลงไปแบบเต็มๆ เลยได้สบายมาก
หลังจากไปรับลูกแล้ว ก็จะใช้เวลาทั้งหมดให้แก่ลูก ผมให้ “อิสระ” แก่เขาอย่างเต็มที่ วันนี้อยู่เล่นจนถึงเกือบ 1 ทุ่ม เขานั่งเล่นกับเพื่อนคนที่พ่อแม่ยังไม่ได้มารับ ลูกผมอยู่เล่นกับคนอื่นจนกลับบ้านมืดค่ำเป็นเรื่องปกติ รอจนแม่เพื่อนลูกมารับ เขาพูดขอบคุณผมกับมิวอยู่หลายครั้ง คงจะเกรงใจเราสองคนมากๆ
ก่อนกลับบ้านมิวขอแวะซื้อซูชิ และสลัดทูน่ากินเป็นอาหารเย็น ส่วนผมเล่นกล้วยน้ำว้า ถั่วลิสงคั่ว อัลมอนด์อบ ตอนมิวทำการบ้าน ผมก็ซ้อมเล่น Uke เบาๆ ไปด้วย เล่นเพลงที่เขาชอบ เขาคุ้นเคย และหวังลึกๆ ว่าเขาคงจะชอบดนตรีเข้าบ้างสักวัน
Title: Re: กย 54
Post by: O'Pern on September 15, 2011, 09:03:35 pm
15 กย 54
   พยายามหาสมดุลชีวิตใหม่ด้วยการกินน้อย คนเราพออายุมากขึ้นระบบเผาผลาญก็จะเสื่อมลง ตัวเราเองก็ใช้พลังงานน้อยลงตามไปด้วย แต่นิสัยการกินนี่สิ หลายคนยังคงกินกระหน่ำเหมือนเดิมตอนตัวเองเป็นหนุ่มเป็นสาว
   ตอนสายของวัน ขณะนั่งรับโทรศัพท์ช่วยงานที่บ้าน ก็คิดธุรกิจได้อีกตัวหนึ่ง ไม่รีรอ รีบหยิบเอากระดาษมาจดทันที เขียนร่ายออกมาสดๆ ตอนนั้นได้เต็มหน้ากระดาษ ไอ้ธุรกิจตัวนี้นี่มันแสนจะเจ๋งกว่าที่ผมเคยคิดได้มาอันเก่าๆ เสียอีก ยากนิดหน่อยตรงที่ต้องใช้สายสัมพันธ์อันดีกับค่ายธุรกิจใหญ่ๆ ถ้าใครเส้นใหญ่ พ่อใหญ่ มีอำนาจ บารมี เอาไปทำได้เลย ปิดประตูเจ๊ง ส่วนตัวผมไม่มีอะไรสักนิด เป็นคนโนเนมธรรมดา ก็ต้องขวนขวายหาโอกาสงามๆ ต่อไป
   คิดว่าฝนจะหมดแล้ว ที่ไหนได้ ตอนบ่ายสามเทลงมาอีกแล้ว ฝนชอบตกช่วงเย็นๆ นี่ผมเห็นใจเด็กนักเรียน และคนทำงานจริงๆ ยังดีนะที่ตกไม่หนักมาก และเล่นแบบรวดเดียวจบ ไม่ได้ลากยาวกันข้ามคืนเหมือนตอนมีมรสุม
   เย็นนี้ลูกขอกินข้าวนอกบ้านอีกแล้ว เขาบอกเบื่อข้าวบ้าน ก็จริงล่ะนะ ทำอะไรแปลกใหม่หน่อยเขาก็ไม่ค่อยชอบ ทำแบบเดิมๆ ก็บ่นว่าเบื่อ เอาใจยากจริงๆ
   ลูกนั่งทำการบ้าน ผมก็ซ้อม Uke ไปเบาๆ เล่นบ่อยๆ แล้วชักจะสนุกกว่าคีย์บอร์ดที่ผมคุ้นเคยเสียอีก เพราะมันไม่ต้องใช้ไฟฟ้า ตัวเล็ก เบา เคลื่อนที่สะดวก พกพาไปไหนได้ง่าย
Title: Re: กย 54
Post by: O'Pern on September 17, 2011, 08:11:00 pm
16 กย 54 วันเปลี่ยนชีวิต
   ฟ้าผ่าตอนกลางวัน เจ้าของร้านบอกให้ผมลด ละ เลิก การเดินทางทั้งหมดในอนาคต พูดแกมขอร้องให้เห็นใจ เอ้า.. ไม่เป็นไร ให้กันได้ จัดไปครับ
   ก็ถือว่าเป็นวันเปลี่ยนชีวิตอีกครั้ง มันส่งผลถึงงานเขียน งานหนังสือที่เตรียมไว้ทั้งหมด รวมถึงการเดินทางด้วยจักรยานที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ใช่แล้วครับ ต้องยกเลิกทั้งหมด ทั้งหมด ทั้งหมด 
   เมื่อวานกำลังใจฮึกเหิม เพิ่งคิดธุรกิจใหม่ได้ แต่มาวันนี้ดรรชนีตกฮวบ ลงไปแดนลบ แบบไร้แรงต้าน
   นี่ก็คือส่วนหนึ่งของชีวิตครับ ที่มีขึ้นมีลง ไอ้ขึ้นนี่ผมแทบจะไม่เคยเจอ ทำอะไรแต่ละอย่างล้วนได้มาด้วยความยากเย็น ไม่มีใครช่วย ลุยด้วยตัวเองล้วนๆ ส่วนไอ้ขาลงนี่มีประจำ ลงไปไม่รู้จะถึงไหนแล้ว
   ผมชอบเรื่องรถยนต์ตั้งแต่เด็กเล็ก แต่ฐานะทางบ้านแค่ปานกลาง อยู่บ้านตึกแถวไม้เก่าๆ ห้องนอนเล็กๆ ก็อัดกันเข้าไป 6 คน ทั้งบ้านมีทีวีขาวดำเครื่องเดียว อยู่อย่างประหยัดมาตลอด ไม่เคยใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย ไม่เคยหาเรื่องมาให้ครอบครัว
   การชอบรถยนต์ของผมมันคงเป็นระดับตกผลึกไปเสียแล้ว จึงมองผ่านพวกรถแต่ง รถแข่ง รถซิ่ง มองทะลุไปจนเห็นตัวตนของรถยนต์ นั่นคืองานออกแบบ หากมีรถยนต์ขับผ่าน ผมจะมองมันเห็นแบบแยกเป็นชิ้นๆ เหมือนเห็นของเล่น และผมอยากเล่นกับมันกอย่างมาก
   มันมาติดที่ฐานะทางบ้านไม่เอื้ออำนวย ผู้ใหญ่ไม่ให้การสนับสนุน ครั้งหนึ่งมีโอกาสมาถึงแค่ปลายจมูก แต่ผู้ใหญ่ใกล้ตัวก็ยังปิดกั้นผม
   “นักแข่งทีม Miller ขาดไปคนหนึ่ง เฮียเรียกให้ไอ้เปิ้ลมันมาขับสิ มันชอบรถยนต์ มันขับได้”
   ผมเพิ่งรู้ว่ามีประโยคแบบนี้เกิดขึ้น หลังจากทีมแข่ง Miller ยุบทีมทิ้งไปแล้วสัก 3-4 ปี คนพูดประโยคนี้มาถามผมทีหลังว่าทำไมถึงปฏิเสธ
   อ้าว งงสิ มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นด้วยหรือ ทำไมเขาถึงเลือกผม แล้วใครปฏิเสธแทนผม
   หนทางในชีวิตของผมไม่เคยได้อะไรมาง่ายๆ อยากได้อะไรสักอย่างก็ต้องกัดฟันแลก ต้องอดทน ต้องทนเจ็บ ต้องคิดและใช้สมองอย่างมาก คนไม่มีต้นทุนอย่างผม มีของอย่างเดียวที่ติดตัวมาก็คือสมอง แต่ก็น่าเสียดาย ที่ผมเรียนไม่เก่ง เรื่องการสอบชิงทุน สอบแข่งขัน จึงเป็นเรื่องที่ไม่เคยอยู่ในหัว
   แต่คนเรานะ ถ้ามันด้อยอย่างหนึ่ง มันก็จะเด่นในอีกด้านหนึ่งแทน
   หามันให้เจอ 
17 กย 54   
ลูกเรียนพิเศษจบคอร์สแล้ว วันนี้เขาอยู่บ้าน ตอนเช้าผมขี่จักรยานไปซื้อโจ๊กให้ลูก ความสุขที่สุขของผมขณะนี้ก็คือแค่การขี่จักรยาน แม้จะเพียงเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังดี
เลิกงานตอนบ่ายเข้าไปที่คอนโด ตอนนี้นอกจากจะทำความสะอาดแล้ว ยังมีต้นกระบองเพชรเล็กๆ ให้ดูแลอีก 3 ต้นด้วย
กลับมาบ้านตอนเย็น รีบเตรียมจักรยานออกขี่วันพรุ่งนี้ งาน Car Free Day งานใหญ่ประจำปีของชาวจักรยาน แต่ผมไม่เห็นจะรู้สึกคึกคักเท่าไหร่เลย ใจมันหดหู่อยู่มั้ง
   ดูทีวีช่อง ThaiPBS ตอนเย็น เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความขัดแย้งในครอบครัว แต่ตอนหลังจบลงแบบ Happy Ending พิธีกรหญิงชื่อ “หมวย” สัมภาษณ์ได้ดีมากๆ พิธีกรชายชื่อ “หนุ่ย” ก็ดีไม่แพ้กัน
ผมดูแล้วน้ำตาตกใน ไม่ได้ซาบซึ้งกับครอบครัวของเขา แต่ย้อนกลับมาคิดถึงเรื่องของตัวเองแทน
Title: Re: กย 54
Post by: O'Pern on September 19, 2011, 03:04:09 pm
18 กย 54 Car Free Day
   ตื่นแต่เช้ามืด ขี่ไปจุดนัดพบ สนามกีฬา ศูนย์เยาวชนบางมด ผมลงทะเบียนที่จุดนี้ไปล่วงหน้านานแล้ว ดูจากกำหนดการเขาบอกว่าจะนัดรวมตัวกันแล้วขี่ไปรวมพลกลุ่มใหญ่ที่ลานพระรูปทรงม้า ผมเพิ่งมารู้ทีหลังว่ามีบางกลุ่มนัดกันที่ลานพระบรมรูปทรงม้าเลย อ้าว ผมอยากไปจุดนั้นมากกว่า เพราะว่าผมอยากขี่ผ่านเกาะรัตนโกสินทร์ ตอนเช้ามืดคงจะขี่ผ่าน วัดพระแก้ว สนามหลวง ราชดำเนิน มันคือย่านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม
   ไปกับรถ KHS HT คันเดิมครับ เอา Panniers คู่หลังไปด้วย เผื่อมีข้าวของอะไรติดมือกลับมาจะได้มีที่ใส่ ฝนอาจตกได้ ต้องเตรียมถุงพลาสติกไปใส่กล้อง และมือถือ นอกนั้นไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง อ้อ มีผ้าคลุมเบาะของ Brooks อีกอัน ไอ้เบาะนีมันน่าทะนุถนอมเสียจริงๆ เล้ยยย
   ตื่นตีสี่ครึ่ง เตรียมตัวแบบไม่ต้องเร่งรีบ ออกจากบ้านตอน 0530 ขี่ไป 20 นาทีก็ถึงจุดนัดพบแล้ว เป็นสนามกีฬาศูนย์เยาวชนเฉลิมพระเกียรติ บางมด ใกล้สวนสาธารณะชื่อสวนธนบุรีรมย์
   ไปคนเดียวครับ แต่ก่อนจะถึง เจอพี่จั๊วที่บ้านอยู่พระราม 2 เหมือนกันขี่แซง พอถึงงานก็ต้องรีบไปลงทะเบียนก่อน แต่แปลก หาชื่อไม่เจอ เจ้าหน้าที่บอกให้รอสักครู่ เดินไปเดินมาเจอเพื่อนใกล้บ้านอีกคู่ คือพี่อ้อย และพี่ชัย สองคนนี้เจอกันครั้งแรกตอนไปวังน้ำเขียวครับ
   พักใหญ่เจ้าหน้าที่เรียกไปให้ลงทะเบียนใหม่ ได้รับแจกเสื้อยืดมา 1 ตัว และน้ำดื่ม 1 ขวด ผมได้แค่นี้ แต่คนอื่นเขามีคูปองอาหารแจกด้วย เสื้อยืดสวยดีครับ สีขาวครีม สวยกว่าเสื้อของสตาฟที่ทำเป็นสีเขียวเสียอีก
   ล้อหมุนออกจากจุดนี้ 0630 ขี่ไปพระรูปทรงม้า ใช้เส้นทางอ้อมวกวนหน่อย ผ่านเยาวราชไปโน่นเลย ก็ดีเหมือนกัน ได้ขี่ในเส้นทางที่แปลกใหม่ ชีวิตค่อยมีสีสันหน่อย
   แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกไม่ชอบเอาเสียเลย นั่นคือพวกเราขี่จักรยานกันแบบไม่มีมารยาท ไอ้คำว่าพวกเรานี่ก็คือรวมตัวผมเองด้วย แม้ว่าตัวเองจะขี่ในเลนซ้ายก็เถอะ แต่ถ้ามันอยู่ในกลุ่มเดียวกัน ถ้าคนอื่นเขาขี่กินเลนรถอื่น คนที่พบเห็นเขาก็ต้องด่าว่าเอาแบบเหมารวม
   นอกจากขี่ปิดถนนกันหลายเลนแล้ว ที่รู้สึกว่าตัวเองแย่สุดๆ ก็คือไม่เคารพกฏจราจร โอเค มากันเป็นกลุ่มใหญ่น่ะเข้าใจ แต่การขี่ฝ่าไฟแดง “ทุกอัน” หน้าตาเฉย ผมไม่คุ้นกับพฤติกรรมแบบนี้เป็นอย่างมาก ถ้าให้นับการฝ่าก็น่าจะสัก 10 ไฟแดงได้มั้ง นี่วัน Car Free Day นะ แต่พฤติกรรมแบบนี้มีแต่จะโดนผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่นเขาด่าเอาแน่ๆ
   แถมยังมีพฤติกรรมแบบ “แว้น” นั่นคือแหกปากตะโกนโห่ร้องดีใจ เหมือนกับแสดงพลัง อำนาจ ให้เดาแกคงมีความสุขในการปิดถนนขี่ ลักษณะท่าทางก็ไม่ผิดกับเด็กแว้นซิ่งกลางคืน เพียงแต่กลุ่มนี้เป็นพวกแว้นตีนปลาย
   ไม่รู้สิ ผมไม่ชอบลักษณะท่าทีแบบนี้
   ถ้าผมเป็นผู้นำทริป ก็จะบอกให้เน้นการเคารพกฎจราจรเป็นหลัก บอกเส้นทางที่จะขี่ผ่าน ถ้าขบวนขาดเป็นหลายตอนก็ช่างมัน ไปเจอกันปลายทางที่พระบรมรูปทรงม้าเลย ช้ากว่ากันไม่กี่นาทีไม่เห็นมีผลอะไรเลยสักนิด
มาถึงลานพระบรมรูปทรงม้าเอาตอน 0730 พอมาถึงตรงนี้ตาลายเลยครับ ชาวจักรยานมากันเป็นพันๆ คันแล้ว น่าตกใจที่รถแบบ Fixed Gear นี่มากันเยอะมากๆ จากเดิมเป็นแทรกในทริปราว 5-6 คัน แต่ตอนนี้ขอโทษ มากันเป็นหลักร้อยคันแล้วล่ะครับ
   ตอนสายตั้งขบวนขี่ไปสนามหลวงกัน ในจุดนี้ผมเจอเพื่อนเก่าๆ อีกเยอะ พี่เชอรี่ (เทพแห่งแสงไฟ) พี่นัท พี่หน่อย (วันนี้ฉายเดี่ยว) ตุ๊ก และอีกมาก พอไปถึงสนามหลวงแล้วก็เหมือนต่างคนต่างอยู่ แดดแรงร้อนจัด ล็อครถแล้วก็พากันเดินเล่นตามซุ้ม แต่ผมขอแยกตัวไปเก็บภาพที่ตัวเองอยากได้
   สถานที่จัดงานค่อนข้างคับแคบครับ เพราะมีหลายคนไม่กล้าจอดจักรยาน เลยใช้แบบไปไหนไปกัน ลากจูงจักรยานไปทุกที่ๆ ผ่าน ผลก็คือการจราจรติดขัด แถมพิธีกรภาคสนามยังประกาศย้ำว่า อย่าจอดจักรยานไว้ ระวังหาย เล่นเอาผมที่ล็อครถไว้แล้วยังต้องหันไปดูบ่อยๆ
   คนมีคูปองก็เข้าไปรับแจกอาหาร ส่วนผมไม่มี ไม่เป็นไรหรอก เก็บท้องไว้กินขากลับแทน ผมขี่จักรยานวนรอบสนามหลวงเล่น หามุมเหมาะๆ ลงนอนแผ่กับพื้นหญ้าสีเขียวสด นอนแล้วมองท้องฟ้า ใจก็คิดถึงสิ่งต่างๆ ที่ผ่านมาในชีวิต เราก็เป็นแค่เพียงเศษเสี้ยวหนึ่ง วันนี้ยังมีลมหายใจอยู่ แต่อีกหน่อยก็ต้องลาจากโลกนี้ไป สิ่งที่หลงเหลือทิ้งไว้ให้คนจดจำก็คือแค่ความดี (ถ้ามี)
   บรรยากาศวันนี้มันเหมือน Bike Day เสียมากกว่า Car Free Day ครับ ผู้คนแห่มารวมกันได้พักใหญ่แล้วก็แยกย้ายกันกลับ แดดที่ร้อนแรงยิ่งเป็นตัวเร่งให้กลุ่มคนแตกแยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง ผมขี่วนๆ รอบๆ ได้พักใหญ่ก็แยกตัวกลับกับเขาด้วยเหมือนกัน
   หิวว่ะ กินไรดี ขี่ไปแถวธรรมศาสตร์ โอ้โห คนเยอะมากๆ จอดกินไม่สะดวกเลย ขี่เลาะเลียบวัดมหาธาตุ ไปท่าพระจันทร์ แถวนี้ร้านเก่าแก่เยอะมาก แต่ก็ยังจอดไม่สะดวก ต้องเลยไปต่อถึงท่าช้าง ศิลปากร ท่าเตียน ปากคลองตลาด บ้านหม้อ และขึ้นสะพานพุทธ ขี่กลับบ้านพระราม 2 กลายเป็นว่าร้านเก่าแก่ย่านนี้ จอดจักรยานไม่สะดวกเท่าไหร่นัก
   มาจอดแวะกินบะหมีห้องแถว เป็นร้านอาหารจีนเก่าแก่ชื่อ “กิ๊ดกี่” ก่อนถึงแยกมไหศวรรย์ รสชาติดีมาก ชามละ 30 บาท อร่อยติดใจ ซื้อขนมจีบ และซาลาเปา เอากลับมากินต่อที่บ้านตอนบ่าย
   ถึงบ้านรีบอาบน้ำ ชั่งน้ำหนักดู ดีใจครับ ลดลงไปครึ่งโลกว่า หึหึ ดีใจไปเถอะ เดี๋ยวอีกสัก 2 ชม มันก็จะขึ้นกลับมาเท่าเดิมแล้วล่ะ ไอ้ที่มันลดหายไปน่ะ นั่นคือน้ำล้วนๆ เลย
   ช่วงที่นอนดูท้องฟ้าที่สนามหลวง ผมเห็นพรอาทิตย์ทรงกลด ผมชอบนอนแผ่ดูท้องฟ้าครับ มันปลดปล่อยจิตนาการได้ดีมาก และความคิดเก่าๆ ที่ผมเคยแนะนำคนอื่นก็ผุดขึ้นมา
   ในทุกวิกฤตย่อมมีโอกาส
   ปัญหาไม่ได้อยู่ที่สิงแวดล้อม หากแต่อยู่ที่ตัวผมเองต้องหาโอกาสที่ว่านั้นให้เจอ และนี่คือโจทย์ใหม่ของผม
   ในภาวะคับขันของชีวิต จะมีบางคนที่โทษโน่น นี่ นั่น หนักเข้าพาลโทษโชคท้องฟ้า โทษชะตา หึหึ ไอ้คนที่คิดแบบนั้นน่ะ ไม่ใช่ผมหรอก
Title: Re: กย 54
Post by: O'Pern on September 19, 2011, 07:31:32 pm
19 กย 54
   วันจันทร์ เป็นวันที่คนทำงาน นักเรียน รู้สึกเบื่อหน่ายมากที่สุด แต่ถ้าเป็นวันศุกร์สิ ดูลิงโลดกันใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกคนที่มีวิสัยทัศน์ยังไม่กว้างไกลนัก
   เศร้าใจได้สองวัน ผมหาทางออกชีวิตได้อีกทางแล้ว จากเดิมวางแผนเดินทางไว้เยอะมาก วางเส้นทางเสียอย่างดิบดี คิดฝันเอาไว้คงจะได้ใช้จริงในอีกไม่นาน ที่ไหนได้ ฝันสลาย
   คิดว่าชีวิตที่ลงตัวแล้ว แต่ก็ต้องมาพลิกผันอีกครั้ง วันนี้เหมือนได้เข็มทิศใหม่ มันยังชี้ไปในทิศทางที่เขียนว่าความสุขเหมือนเดิม คืออะไรที่ไม่มีความสุข ผมไม่อยากทำ ส่วนงานหลักที่ทำอยู่ทุกวันนี้ก็ยังคงสุขอยู่นะ แต่เป็นความสุขที่ทำเพื่อผู้อื่น
   ขอหายหัวไปอีกหลายวันหน่อยนะ มีเพื่อนมาจากต่างประเทศ ผมพาเขาไปบ้านที่ระยอง ขอใช้ชีวิตกับจักรยาน ทะเล และตัวตนสักพัก
                เพราะนี่อาจเป็นการเดินทางครั้งสุดท้ายของผมแล้วก็เป็นได้
Title: Re: กย 54
Post by: O'Pern on September 24, 2011, 08:33:05 pm
20 กย 54
   เช้าออกไปทำงานตามปกติ บ่ายไปรับเพื่อนที่สนามบินสุวรรณภูมิ ตอนแรกคิดจะนั่งรถไฟฟ้า Airport Link ไป แต่กลัวฝนตก แถมหาที่จอดรถยนต์ลำบากอีกด้วย ไอ้รถไฟฟ้าแบบนี้ผมว่ามันเหมาะสำหรับคนนั่งแท็กซี่ไปต่างหาก
   ขับไปสนามบินอย่างตื่นเต้น เพราะผมไม่เคยไปรับใครที่สนามบินมาก่อนเลย ไม่รู้กระทั่งว่าจอดรถตรงไหนดี ตึกจอดรถอยู่ตรงไหน จะต้องเดินอีกไกลไหม อย่างไร และเท่าไร เพราะทุกทีไปสนามบินเองและกลับเองด้วยรถโดยสารสาธารณะ ถ้าออกแต่เช้าก็เรียกแท็กซี่ แต่ถ้าเป็นขากลับล่ะก็ ผมใช้บริการรถเมล์สาย 558 มาลงหน้าปากซอยบ้านเป๊ะ ค่าโดยสาร 36 บาท ขึ้นต้นสายในสนามบินสุวรรณภูมิสะดวกดีมากๆ แต่ต้องใช้บริการรถ Shuttle Bus คันสีขาวของสนามบินให้เขาพาไปส่งที่ท่ารถอีกทอดหนึ่งนะ (บริการฟรีครับ)
   ถึงสนามบินก่อนเวลามากมายด้วยความบ้าเห่อ เดินเล่นในสนามบินเป็นครั้งแรก ปกติมาถึงก็ต้องรีบเช็คอิน และรีบเข้าไปผ่านขั้นตอนต่างๆ ด้านในอีกมาก จะนานสุดก็ตอนตรวจคนออกจากเมืองนี่แหละ ถ้าชนกับกรุ๊ปทัวร์ในวันศุกร์เสาร์หรือวันหยุดยาวล่ะก็ ยืนคอยต่อคิว 1 ชม เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ไม่ยาก
   ผมเลือกเดินลงไปดูรถไฟฟ้า Airport Link เป็นอันดับแรก สนใจมากๆ กะว่าจะลองสักวัน มันอยู่ชั้นใต้ดินล่างสุดเลย คนใช้บริการปานกลางนะ (ตอนบ่าย) ผมว่ามันขึ้นอยู่กับจังหวะของเที่ยวบินมากกว่า
   จากนั้นก็เดินไล่ขึ้นมาเรื่อยๆ ชั้น 1 จะมีอาหารราคาถูกบริการ ราคาแบบชาวบ้าน รสชาติแบบกินกันตาย ต่างจากชั้น 3 ที่เป็นร้านแบบแบรนด์เนม ตกแต่งสวยหรู ดูน่ากิน ราคาจานละเป็นร้อย แต่ถ้าเอาแบบสุดๆ ก็ต้องใช้บริการด้านในสุดเลยครับ โดยในส่วนนี้จะเข้าไปได้เฉพาะผู้โดยสารตัวจริงเท่านั้น ไอ้นี่แพงสุดยอด แซนวิชแฮมชีสพื้นๆ ราคา 100 บาท น้ำเปล่าขวดละ 30 บาท (ข้างนอกขายกัน 7 บาท) มีแต่นักท่องเที่ยวระดับเทพกินกันเท่านั้น
   ชั้น 2 เป็นผู้โดยสารขาเข้า ฝั่งหนึ่งจะเป็นผู้โดยสารที่เข้ามาจากต่างประเทศ อีกฟากของอาคารเป็นผู้โดยสารในประเทศ ในส่วนนี้จะมีคนน้อยหน่อย ถ้าเราจะมารับใครก็ต้องรู้เที่ยวบินของเขาก่อน จดและจำให้แม่น พอมาถึงสนามบินแล้วก็ต้องมาดูที่หน้าจอแสดงผลเที่ยวบิน เพราะมันจะเป็นข้อมูลล่าสุดจริงๆ หลายเที่ยวบินอาจดีเลย์ หรืออาจมาถึงก่อนเวลาก็เป็นได้ แต่ถ้าจะเล่นสูตรผม ก็ต้องล้วงข้อมูลเบื้องลึกกว่านั้น คือเดินไปหาประชาสัมพันธ์ แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง สอบถามว่าเที่ยวบินของเพื่อนเรานี้จะเข้ามาถึงตอนไหน พนักงานก็จะกดดูหน้าจอและบอกข้อมูลที่อัปเดทกว่าที่หน้าจอแสดงผลอันใหญ่ที่คนทั่วไปเขาอ่านกัน ข้อมูลในส่วนนี้จะเร็วกว่าจอใหญ่สัก 15 นาที แถมยังมีหน้าจอมอนิเตอร์ให้เราดูด้านในด้วยว่าเพื่อนเราเดินออกมาหรือยัง ถามพนักงานด้วยครับว่าเทียวบินของเพื่อนเรานี้จะต้องดูที่หน้าจออันไหน เพราะมันมี 2 อัน สำหรับทางออกสองทาง (แต่สุดท้ายก็รวมกันมาออกทางเดียว)
   มีบริการฝากกระเป๋าหรือข้าวของชิ้นใหญ่ๆ เช่นกระดานโต้คลื่น หรือจักรยานก็ยังไหว ค่าบริการชิ้นละ 100 บาทต่อวัน แพงใช่เล่นว่ะ
   ชั้น 3 เป็นร้านอาหาร เหมือนเป็นทางผ่าน จุดนี้คนแน่นพอควร คนไม่รู้เรื่อง ไม่มีข้อมูลก็ต้องทนกินแพงๆ ในจุดนี้ไป แต่ถ้าเจอนักเดินทางมืออาชีพล่ะก็ เขาจะเอาอาหารมากินเองครับ ซื้อเตรียมมาจากภายนอกเลยล่ะ แต่ก็ต้องรู้ก่อนนะว่าเจ้าหน้าที่เขาห้ามนำของเหลวเกิน 100 cc เข้าด้านในอาคารสนามบิน และนำขึ้นเครื่องบิน
   ของที่ผมมักซื้อติดตัวไว้กินประจำคือแซนวิช ถั่ว หรือของแห้งที่หยิบกินง่าย ไม่เลอะมือ ไม่ส่งกลิ่น ก่อนเข้าด้านในอาคารก็ดื่มน้ำให้หมดขวด เก็บขวดเปล่าเอาไว้ เข้าไปด้านในแล้วจะมีจุดเติมน้ำอยู่หน้าห้องน้ำ เติมฟรี เติมให้เต็ม นำขึ้นเครื่องได้เลยสบายๆ ถ้าใครบิน Low Cost / Budget Airline ยิ่งต้องเติมน้ำให้เต็ม จะได้ไม่ต้องซื้อแพงๆ กินบนเครื่อง
   ชั้น 4 จะสำหรับผู้โดยสารขาออก อันนี้คนแน่นสุดเลยครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันศุกร์ เสาร์ หรือช่วงเช้า เย็น ถ้าเจอเทศกาลก็เผื่อเวลากันไว้เยอะๆ หน่อย เพราะกรุ๊ปทัวร์เยอะมาก แนะนำให้รีบเช็คอินและรีบเข้าไปด้านในทันที ไม่ต้องโอ้เอ้ ล่ำลากันนาน อันที่จริงเราสามารถล่ำลากันตอนอยู่บ้านก็ได้ ไม่เห็นจะต้องมาแสดงกันที่สนามบินเลย หรือมันจะเป็นนาทีสุดท้ายของแต่ละคนเป็นได้นะ
   สนามบินของเรามีแค่นี้แหละ ไอ้พวกบริการพิเศษเช่นฟรี wifi อินเทอร์เนท ห้องรับรองพิเศษ มุมพักผ่อน ฯลฯ เหล่านี้เขาทำสำหรับผู้โดยสารตัวจริง คือต้องผ่านสารพัดด่านเข้าไปด้านในถึงใช้บริการได้
   เที่ยวบินของเพื่อนผมล่าช้าไป 15 นาที ผมรู้ตั้งแต่ถามประชาสัมพันธ์แล้วล่ะ แต่ตอนนั้นหน้าจอแสดงผลยังแจ้งว่าลงตามกำหนดการอยู่เลย มีเวลาเดินเล่นเยอะ ว่างเยอะ ก็เลยเล่าเยอะ
   แต่ยืนรอนานถึง 1 ชม เพื่อนก็ยังไม่ออกมา เอ๊ะ เกิดอะไรขึ้นวะ หรือว่าเขาออกมาแล้วแต่ผมมองไม่ทัน หรือกระเป๋าเขาหาย เลยยังไม่ออกมา หรือเขามีปัญหาอย่างอื่นข้างใน นำอะไรผิดปกติเข้ามาไทย หรือโดนค้นตัวค้นกระเป๋า ฯลฯ มันสารพัดจะคิดไปเอง คนที่ยืนข้างๆ ผมก็บ่นหาลูกตัวเอง เขาคิดว่าลูกเขาหลงทาง หาทางออกไม่เจอ นั่นๆ คิดไปนั่น
   สาเหตุที่ออกมาช้าก็เพราะด่านตรวจคนเข้าเมืองคิวยาวมาก ไอ้นี้เป็นกันเกือบทุกประเทศ โดยเฉพาะเครื่องบินลำใหญ่ๆ มาลงพร้อมๆ กัน มันจะเอิกเกริกอย่างมาก รับประกันความน่าเบื่อ และความเมื่อย นั่งกันบนกระเป๋าเดินทางของตัวเองได้เลยครับ
   เลทกันแบบสุดยอด เครื่องก็ดีเลย์ แถมใช้เวลาผ่านด่านไปอีก 1 ชม เล่นเอาค่าจอดรถกินไปถึง 80 บาท (ชม แรก 25 / 2 ชม 50 / 3 ชม คิดไป 80 โน่นเลย) เบ็ดเสร็จเล่นเอาเย็นจัด แถมฝนตกพรำ แผนเดิมวางเอาไว้ว่าจะพาไประยอง ก็เลยเปลี่ยนแผน คืนนี้อยู่กรุงเทพฯไปก่อน ผมไม่ชอบขับรถตอนกลางคืน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การขับรถทางไกล
   โทรหาเพื่อนอีกคนไทยที่กรุงเทพฯ นัดเจอและกินข้าวกัน จากนั้นนำเข้าสู่ที่พัก เล่นเอาค่ำไปเยอะเลย
   “อันนี้สำหรับลูกชายคุณ” พูดจบก็ยื่นช็อกโกแลต M&M บรรจุในแท่งสูงยาวมาให้
   “อันนี้สำหรับภรรยาคุณ” ยื่นช็อคโกแลตแมคคาเดเมียให้
   “อันสุดท้ายสำหรับคุณ” เฮ้ย ผมได้ไวน์แดงว่ะ เออ คือว่า ผมกินไม่เป็นน่ะ ทำไงดี
   ก็ได้แต่รับมาแล้วพูดขอบคุณๆ แบบเกรงใจสุดๆ แหม ไม่เห็นต้องน่าลำบากอะไรเลย ซื้อของมาเสียเยอะแยะ ให้เป็นเงินสดก็ได้ เบากว่ากันเยอะ สะดวกทั้งผู้ให้ สบายทั้งผู้รับอีกด้วยเน๊อะ
   อ้อ ตอนเปิดประตูรถเพื่อหยิบของ ไอ้ขวดไวน์แดงนี้ตกลงมากระแทกพื้น โชคดีสุดๆ ที่มันไม่แตกต่อหน้าต่อตาเจ้าของ
Title: Re: กย 54
Post by: O'Pern on September 26, 2011, 11:27:34 pm
21 กย 54
   ออกเดินทางไประยอง แต่แวะเที่ยวสวนสัตว์เปิดเขาเขียวก่อน ดูสัตว์เป็นของแถม จุดประสงค์หลักคือการขี่จักรยานต่างหาก มื้อเช้ากินกันแบบง่ายๆ ที่ร้านอาหารแถวๆ สวนสัตว์
   จอดรถยนต์หน้าประตู เอาจักรยานลงแล้วขี่ทันที ไปช่วงเช้าของวันธรรมดานี่มันบรรยากาศสุดยอดมาก คือแทบจะไม่มีนักท่องเทียวเลย ขี่จักรยานกันแบบสบายดีจริงๆ ถ่ายรูปออกมาก็สวย บางช่วงเป็นเนินก็โยกกันสนุกดี แต่ด้านหลังๆ ของสวนสัตว์นี่สิ เนินสูงชันดีจริงๆ ครับ ไม่แกร่งจริงอาจมีลงเข็นกันได้ง่ายๆ กว่าจะขึ้นกันมากันได้ก็หัวใจแทบจะทะลักออกมานอกหน้าอก เลยนั่งคุยกันถึงเรื่องโรคหัวใจวายเฉียบพลันที่คร่าชีวิตของนักกีฬาไปมาก ไม่เพียงแค่จักรยานนะครับ ทุกกีฬาก็มีคนเสียชีวิตจากโรคดังกล่าว เช่นพวกนักวิ่ง นักฟุตบอลที่แสนจะฟิตก็ยังมีให้เห็น
   วนกลับมาถึงที่จอดรถในสภาพเปียกโทรมเพราะฝนตก นำจักรยานเก็บเข้ารถ และขับมุ่งหน้าสู่หาดแม่รำพึง จังหวัดระยอง ตอนกลางวัน เอาของเก็บเข้าที่พัก ขับรถไปกินอาหารกลางวันแถวๆ ก้นอ่าว เป็นร้านคุ้นตาที่ปรับปรุงใหม่ แต่รสชาติไม่เท่าไหร่เลย ไม่ประทับใจ
   กินไปฝนก็ตกไป เอาไงดีวะ เลยขับรถเล่นต่อไปยังสวนสน ผมชอบจุดนี้มากที่สุดในย่านนี้ ตอนเด็กๆ ชอบขับรถมานั่งเล่นที่นี่ตอนเช้าๆ แวะซื้อหมูย่างข้าวเหนียวจากในตลาด แล้วก็มานั่งกินใต้แนวทิวสนยาวๆ บนรถเปิดประทุน บรรยากาศสุดยอดมากๆ อธิบายไม่ถูกจริงๆ ครับ มันเป็นเรื่องของอารมณ์และความรู้สึกล้วนๆ
   หมดมุข เลยขับรถกลับเข้ามาที่บ้านพัก นั่งเล่น พักผ่อน ฝนก็ยังคงตกหนักบ้าง เบาบ้าง จนเย็นถึงพากันออกไปที่ตลาดบ้านเพ แวะร้านนวดไทย ผมไม่ชอบนวด เลยนั่งอ่านหนังสือเล่นรอ
   ผมบอกเจ้าของร้านว่าเพื่อนผมเป็นสิงคโปร์ ช่วยดูแลให้ด้วย
   “อ้าว คนนี้พูดไทยได้ด้วย เก่งจัง”
   “ผมคนไทยครับ” ผมตอบ
   “แหม ชอบล้อเล่น ต้องเป็นพวกฮ่องกงแน่ๆ เลย”
   อ้าว เล่นเอางง บอกว่าคนไทยก็ยังไม่เชื่อ คงได้ยินผมคุยกับลูกค้าฝรั่งที่เพิ่งนวดเสร็จและเดินออกไป ผมถามเขาว่าเป็นไงบ้าง ดีไหม ฝรั่งตอบว่าดีมาก เยี่ยมมาก สุดยอด
   ตอนนั่งรอผมเอาหนังสือคู่สร้าง-คู่สมมาอ่านเล่น
   “โอ้โห อ่านภาษาไทยได้ด้วยหรอ เก่งมากๆ” พูดไปก็นวดเพื่อนคนสิงคโปร์ไปพลาง
   เอา เอาเข้าไป บอกว่าคนไทยก็ยังไม่เชื่อ ก็เลยต้องตามน้ำ จนกระทั่งเพื่อนนวดเสร็จ
   มื้อค่ำนี้เบาๆ ด้วยบัวลอยงาดำน้ำขิง และปาท่องโก๋คนละ 2 ตัว เข้านอนแบบสลบไสล ผมเพลียจากการขับรถ ส่วนเพื่อนเพลียเพราะโดนนวดแผนไทยโบราณแบบจัดเต็ม 
Title: Re: กย 54
Post by: O'Pern on September 27, 2011, 02:36:34 pm
22 กย 54
   ตื่นแต่เช้า ไปทะเลอย่าพลาดโอกาสดีๆ เอาจักรยานออกขี่จากหาดแม่รำพึงไปยังสวนสน การขี่จักรยานนี่ได้บรรยากาศดีมาก ขี่ไปแวะถ่ายรูปเล่นกันไปด้วย ไม่ได้ทำความเร็วอะไรนักหรอก ดื่มด่ำกับบรรยากาศเสียมากกว่า ที่แห่งนี้ผมมาขับรถยนต์เล่น นั่งเล่นตั้งแต่เด็ก เห็นมันตั้งแต่ยุคที่ธรรมชาติเงียบสงบ จนทุกวันนี้มันมีชาวบ้านมารุกล้ำ ปลูกเพิงขายของกันเยอะมาก ทำไมเจ้าหน้าที่ไม่ควบคุมก็ไม่รู้ แถมบางช่วงของหาดแม่รำพึงนี่มีการปลูกสร้างบ้านพักชาวประมงกันแบบถาวรกันบนชาดหาด ไม่น่าเชื่อว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในประเทศไทย ที่บอกว่าปลูกแบบถาวรก็เพราะมีการลงเสาเข็มปูนครับ มีที่เดียวในประเทศไทยที่ทำได้
   แวะกินอาหารเช้าในตลาด เป็นร้านข้าวแกงเก่าแก่ เปิดแต่เช้า สายๆ ก็ขายหมดแล้ว รสชาติดีมากครับ วิธีเลือกร้านอาหารอร่อยในต่างแดนของผมมีเทคนิคง่ายๆ คือ ดูร้านที่คนท้องถิ่นเขากินกันเยอะๆ ไม่ใช่เลือกที่ร้านที่มีคนเยอะๆ นะ ไอ้พวกนั้นอาจเป็นนักท่องเที่ยวก็เป็นได้ และส่วนใหญ่จะอ่านมาจาก Guide Book หรือไม่ก็อ่านหนังสือ ดูทีวี มาจากแหล่งเดียวกัน ยกตัวอย่างให้ก็ได้ ร้านผัดไทยชื่อดังสุดในระยอง ผัดไทยคุณไกร ผมได้ยินกิติศัพท์มาหลายปี จนวันนี้ตอนบ่ายได้ไปลอง หึหึ ธรรมดามากๆ ครับ คืออร่อยระดับกลางๆ ไม่ได้ถึงขั้นเทพฯ ตรงไหนสักนิด จะดีตรงจอดรถง่าย อาหารมาเร็ว (ใช้ผัดเส้นไว้แล้วในกระทะใบไหญ่)
ขากลับแวะเข้าไปในอุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า ผมพาเดินเข้าไปในทางป่า พาเขาไปดูจุดที่ผมชอบมากที่สุดที่เป็นแหลมยื่นไปในทะเล ลมทะเลพัดแรงมากจนต้นไม้ใหญ่เติบโตไม่ได้ แห้งตายหมด มีแค่ต้นหญ้าเท่านั้นที่พอจะมีชีวิตอยู่ ใช้เวลาอยู่ตรงนี้นานพอควร ฝนตกปรอยๆ แต่ลมพัดแรงจนเล่นเอาหนาว ความรู้สึกเหมือนอยู่ในต่างประเทศแถวยุโรปหนาวๆ ปล่อยจิตนาการให้ล่องลอยไป โอ้ สุดยอดมาก
   ฝนยังคงตกครับ ก็ลุยกันไป สนุกดี แต่เดินป่าตอนฝนตกนี่ยากดีชะมัด พื้นมันลื่น แถมยังต้องจูงจักรยาน ยก แบก ลาก มันส์มากๆ ถ้าไปได้ง่ายๆ ก็คงไม่สนุก
   กลับมาบ้านแบบโทรมๆ อาบน้ำเสร็จก็นั่งพักผ่อน หลบฝนไปในตัว ตอนบ่ายออกไปกินผัดไทยคุณไกร คาดหวังเอาไว้สูง เพราะหาข้อมูลดูก็มีแต่คนพูดถึง รสชาติเขาเป็นแบบธรรมดาครับ คืออร่อยปานกลาง แต่ผมว่าจุดเด่นของเขาที่แท้จริงก็คือการมีอาหารที่หลากหลายมากกว่า ราคาปานกลางครับ ผัดไทย ผัดซีอิ้ว ราคาจานละ 35 บาท
   กินเสร็จขับรถยนต์เล่น เพราะฝนตกหนักมากจนน้ำท่วมขังเป็นระยะ กลับเข้ามาบ้านเอาบ่ายแก่ๆ พักผ่อนกันแบบสบายๆ เล่นเกมบ้าง อ่านหนังสือบ้าง ส่วนผมเอา Uke ไปด้วย เลยได้ซ้อมมือ และมีเพื่อนร่วมร้องเพลง มื้อเย็นวันนี้กินของเบาๆ คือถั่ว และนม เพื่อนเพลียขอไปนอนก่อน ส่วนผมดูทีวีสักพักถึงเข้านอน
Title: Re: กย 54
Post by: O'Pern on September 28, 2011, 08:07:13 pm
23 กย 54
   ตื่นแต่เช้า รีบแพ็คจักรยานขึ้นรถ กินข้าวเช้าที่ตลาดบ้านเพ เสร็จแล้วรีบขับรถเข้ากรุงเทพฯทันที วันนี้ฝนตกแต่เช้า อดขี่จักรยาน เลยงอน กลับกรุงเทพฯมันซะเลย อยู่ในเขตระยองฝนตกตลอด หนักเบาสลับกันไป พอเข้าเขตชลบุรีฝนถึงได้หยุด แต่พอเข้าใกล้กรุงเทพฯเท่านั้นแหละ แดดร้อนจัดเลย
   ระหว่างโทรเพื่อนโทรคุยกับนักจักรยานชาวไทยเพื่อนัดพบกัน ตกลงกันได้ตอนบ่าย แต่ต้องขับรถกลับบ้านก่อนเพื่อไปเอาของฝากให้เพื่อน แวะกินมื้อกลางวันในร้านส้มตำแถวบ้านผมเอง จากนั้นก็เข้าไปที่สมาคมจักรยานเพื่อสุขภาพไทย ไปพบกับเพื่อนๆ ที่นัดรวมตัวกันอยู่ที่นั่น คุยกันอย่างออกรสชาติ คนสิงคโปร์กลุ่มนี้สนิทกับเจ้าหน้าที่ของสมาคมฯอย่างมาก เขามาไทยหลายครั้งแล้ว คุยไปคุยมา พี่หลินพาไปนวดแผนไทย ส่วนผมไม่ชอบนวด เลยนั่งรออยู่ที่สมาคมฯ ไม่มีอะไรทำ เลยช่วยทำธงกับพี่หล่อ เอาไว้ใช้ในงานของ 350 org ในวันรุ่งขึ้น
   0500 พี่วุฒิโทรมาแจ้งว่ามาถึงจุดนัดหมายที่คอนโดผมแล้ว เอาล่ะสิ นัดพี่วุฒิกับพี่ตุ๊กไว้กินมื้อเย็นกัน แต่ทางโน้นยังนวดไม่เสร็จเลย ตอนแรกผมคิดว่าเขาจะนวดแค่ชั่วโมงเดียว แต่ที่ไหนได้ เล่นไป 2 ชม เต็มๆ พี่วุฒิก็รอไปสิ เฮ้อ ทำไงดี ผมเป็นคนกลางเสียด้วย แต่ก็ต้องรับผิดชอบล่ะนะ เพราะพี่เขานัดกับผม
   รีบขับรถบึ่งเต็มที่กลางสายฝนจนมาถึงคอนโด รับพี่วุฒิ พี่ตุ๊ก โดยมีเพื่อนสิงคโปร์และพี่หลินนั่งรถผมมาด้วย ผมพาไปกินที่ร้านอาหารจีนชื่อ Silver Kitchen เป็นร้านอาหารจีนที่ดีที่สุดในย่านนี้ ราคากลางๆ ออกแนวแพงนิดๆ แต่คุ้มค่ากับรสชาติครับ ตอนหลังน้าหมีมาแจมอีกคน คุยไปกินไปจนหมดมุขถึงได้แยกย้ายกันกลับ
   นี่เป็นคืนสุดท้ายที่เพื่อนสิงคโปร์จะพักค้างคืน เขาจะกลับพรุ่งนี้เช้าแล้ว คืนนี้เรานั่งคุยกันที่ระเบียงริมแม่น้ำเจ้าพระยากันจนถึงดึกดื่น อยู่ด้วยกันมา 4 วัน พอเขาจะจากไปก็รู้สึกอาลัยเหมือนกันนะ
Title: Re: กย 54
Post by: O'Pern on September 28, 2011, 09:28:35 pm
24 กย 54
   ตื่นนอนแต่เช้ารีบเก็บข้าวของ แพ็คกระเป๋าเตรียมออกเดินทาง ตอนเช้าผมพาไปเดินตลาดชาวบ้านเล็กๆ ในย่านบางปะกอก มื้อเช้าเป็นน้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ รสชาติงั้นๆ ออกจะไม่อร่อยเสียด้วยซ้ำไป
   กินเสร็จก็เก็บข้าวของออกเดินทาง ออกเดินทางสายไปนิด ทำให้เวลามันพอดีๆ ผมเลยส่งเพื่อนที่สนามบินแล้วลาจากกันตรงนั้น แต่ถ้ามาถึงเร็วกว่านี้ก็จะนำรถยนต์จอดในตึก จะได้มีเวลาร่ำลากันหลังจากที่เขาเช็คอินเรียบร้อยแล้ว
   เพื่อนกลับไปแล้ว ผมขับรถกลับคอนโดคนเดียว เล่นเอาเหงาอย่างเห็นได้ชัด ก็แหม มีเพื่อนนั่งคุยด้วยตลอด 4 วันเต็มๆ ตอนนี้เหลือแค่เครื่อง GPS เท่านั้นที่เป็นเพื่อน ผมขับรถกลับมาเก็บข้าวของและทำความสะอาดห้องคอนโดต่อ อยู่จนถึงบ่ายๆ ถึงได้ขับรถกลับเข้าบ้าน
   เจอหน้าลูก เขาวิ่งเข้ามาโผกอด ผมก็กอดและหอมเขา แต่แป๊บเดียวเขาก็ปรี่ไปเล่นกับเพื่อนข้างๆ บ้านเสียแล้ว แต่สักพักใหญ่ก็วิ่งหน้าตาตื่นมาหา
   “พ่อๆ อาเหล่าโกวตายแล้วนะ” มิวเปิดกระตูโผลง เข้ามาให้ห้องทำงานของผม
   ใจหล่นวูบ น้ำตาซึมคลอ ผมดึงลูกเข้ามากอด
   เหล่าโกว คือญาติห่างๆ ที่มาอยู่แนบสนิทกับครอบครัวของผมตั้งแต่ผมอายุได้สัก 10 ปี จนเพิ่งจะย้ายไปอยู่กับลูกแท้ๆ ของตัวเองเมื่อปี 50 ก็แค่ 4 ปีกว่าๆ เท่านั้น ตอนไปก็ยังสุขภาพแข็งแรงดีอยู่ ไม่มีโรคเบาหวาน หรือโรคประจำตัวใดๆ
   แต่พอย้ายออกไปแล้วกลับเป็นคนละเรื่อง แทนที่จะได้อยู่แบบสบายๆ กลับกลายเป็นต้องอยู่ในฐานะคนรับใช้ของลูก ครอบครัวลูก และหลานตัวเอง อายุราว 70 ปี ก็เลยทำอะไรไม่ได้มาก แต่ก็ยังคงต้องทำ นานเข้าก็ป่วย ไม่มีใครเหลียวแล ปล่อยให้อาการเล็กๆ แค่ฟันผุ ลุกลามกลายเป็นมะเร็งช่องปาก
   หนักกว่านั้นตอนล้มป่วยลูกแท้ๆ เจ้าของบ้านกลับรังเกียจ ผลักไส ขับไล่ออกจากบ้านด้วยสารพัดวิธี ผมได้ยินเรื่องแล้วยังไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีคนเหี้ยขนาดนี้กับแม่ของตัวเอง คือฟังหูไว้หู
   เหล่าโกวสิ้นลมแล้ว ผมน้ำตาไหล อยู่ด้วยกันมาเป็นสิบปี ทำอาหารให้ผม และลูกกิน ช่วยดูแลบ้าน ฯลฯ
   “เก็บรักษาเครื่องบินลำนี้ดีๆ นะลูก” ผมบอกกับมิว เพราะเมื่อสองสัปดาห์ก่อน เหล่าโกวเพิ่งจะให้ลูกคนเล็กนำเครื่องบินมาให้มิว เขาจำได้ว่ามิวชอบเครื่องบินมากๆ
Title: Re: กย 54
Post by: O'Pern on September 28, 2011, 10:32:47 pm
25 กย 54
   เช้านี้พาลูกไปซื้อเสื้อม่อฮ่อมที่บางลำพู ได้ทีเลยแวะกินร้านปาท่องโก๋ที่อยู่ตรงหัวมุมถนน เห็นร้านนี้เขาโฆษณาลงในหลายหนังสือ ผมกะจะพาพวกเพื่อนฝรั่งไปกินตอนขี่รถเล่นในเมือง เลยต้องมาลองชิมดูก่อน แล้วก็ไม่ผิดหวังครับ โชคดีที่มาชิมก่อน เพราะรสชาติแม่งไม่ได้เรื่องเลย ดีนะ ที่ยังไม่ได้พาใครมากิน
   เขาเอาปาท่องโก๋ที่ทอดเสร็จแล้วมาอุ่นใหม่ด้วยการย่าง ใครไม่รู้ก็คงจะคิดว่าเป็นการปรุงด้วยการย่าง ทั้งที่จริงมันต้องทอดมาก่อน ขายตัวละ 10 บาท (ขนาดธรรมดาที่ตามตลาดขายกันตัวละ 2 บาทนี่แหละ) แต่เขามีให้เลือกว่าจะราดหน้าด้วยอะไร นมข้นหวาน สังขยา ช็อคโกแลต สตอเบอรี่ ฯลฯ
   แต่ไอศกรีมเขาค่อนข้างโอเคดีครับ รสชาติดี ลูกเดียว 20 บาท สองลูก 35 บาท สั่งกินกับปาท่องโก๋ ฮ่าๆ ไม่ต้องนึกเลยว่าจะอ้วนเพียงใด พิซซ่าขอบชีสยังต้องชิดซ้าย (เทียบในน้ำหนักเท่ากัน)
   ตอนสายลูกไปเรียนพิเศษต่อ จากนั้นผมกลับเข้ามาบ้าน ทำงานที่คั่งค้างไว้หลายวัน ทำงานไปดูทีวีไป ตอนนี้มีแต่ข่าวน้ำท่วมหนัก ช่อง 3 เพิ่งจะประกาศขอรับบริจาคเสื้อชูชีพ และในอีกไม่กีนาทีต่อมาก็มีคนชื่อ ตัน ภาสกรนที บริจาค 1000 ตัว สุดยอดมากๆ ครับ คนแบบนี้ถึงจะเจริญ มีกินแล้วยังเผื่อแผ่ถึงคนที่เดือดร้อน
   ตอนบ่ายเอารถ Neobike 14 มาปะยาง ดีที่ยางแตกล้อหน้า ถ้าแตกล้อหลังจะวุ่นวายกว่า เพราะใช้ดุมแบบ Coaster Break เป็นรถแบบ Single Speed เลยยิ่งถอดโซ่ยากกว่าปกติ ยางขอบลวดขนาดเล็กแค่ 14 งัดยากมากๆ แข็งจนกลัวก้านงัดจะหัก ใช้ของ Beto อยู่ด้วย ลักษรณะเป็นก้านยาวตามแบบฉบับทั่วไป แต่ผมเห็นของ Park Tools จะเป็นรูปสามเหลี่ยม ดูแข็งแรงดีมาก น่าลอง
   เอา Uke มาซ้อมเล่นต่อ ลองเช็คปรับตั้งเสียงใหม่ พบว่าตั่วตั้งเสียงมันเริ่มรวน มีแววเสียเงินอีกแล้วสินะ ยังดีที่ราคาไม่กี่ร้อยบาท
   เย็นออกไปงานศพเหล่าโกวทีวัด รู้สึกเศร้ามาก แม้จะเป็นญาติห่างๆ แต่อยู่ด้วยกันจนสนิท แถมเลี้ยงดูผมและลูกมาอีกด้วย เหล่าโกวเป็นคนชอบพูดคุยกับชาวบ้านในตลาด ไปซื้อของแต่ละครั้งจะใช้เวลาค่อนข้างนาน เพราะแวะคุยหลายคน เป็นความสุขเล็กๆ น้อยๆ ยามเช้าของเขา
   ผมคิดถึงเหล่าโกวอย่างมาก ขอให้ไปสู่สุขติครับ
Title: Re: กย 54
Post by: O'Pern on September 29, 2011, 01:43:38 pm
26 กย 54
   รถคนงานของบริษัทอื่นเสีย แต่เขากำลังจะมาส่งของที่ร้านผม ก็เลยขี่จักรยานออกไปดูให้ สุดท้ายคือแค่น้ำมันหมด รถมันเก่า มาตรวัดน้ำมันเสีย ทำเอาผมต้องขนถ่ายสินค้ากันกลางถนน ยกแบบขำๆ เล่นเอาหลังตึงๆ ไปตลอดวัน แถมยังต้องขับรถกระบะไปบรรทุกของมาอีก 1 คันรถ ตกเย็นไปรับลูกแล้วก็ต้องมาทำงานเป็นคนงานต่อจนถึงร้านปิด
   ขี่จักรยานฝ่าฝนกลับบ้านเอาตอนสี่ทุ่มครึ่ง เกือบชนมอเตอร์ไซค์ที่ย้อนศรถึง 2 คัน กลับมาบ้านเจอหน้าลูก เขากำลังจะเข้านอนพอดี อยู่บ้านคนเดียวคงจะเหงาน่าดู น่าสงสารจริงๆ
   “ดูพ่อไว้เป็นตัวอย่างนะลูก เรียนไม่เก่งก็ต้องมาทำงานยกของอย่างนี้แหละ”
   “ทำความฝันของลูกให้สำเร็จนะ พ่อเป็นกำลังใจให้”
Title: Re: กย 54
Post by: O'Pern on September 30, 2011, 01:41:56 pm
27 กย 54
   ผมว่าปีนี้น้ำท่วมหนักกว่าปีก่อนอีกนะ บางจุดชาวบ้านบอกว่าน้ำทะลักเข้ามาเร็วมาก เก็บข้าวของไม่ทัน คงนึกไม่ถึงว่าจะโดนน้ำท่วมด้วยน่ะ ดูข่าวแล้วน่าเห็นใจจริงๆ ผมเองอยู่ในเมือง ตอนนี้ยังไม่ได้โดนน้ำท่วม แต่ผมว่าหากกรุงเทพฯเราโดนบ้าง แล้วทำให้ชาวบ้านต่างจังหวัดเขาทุเลาลงได้มันก็น่าจะแบ่งปันความทุกข์ของเขามาบ้าง แต่คงจะไม่มีใครคิดเหมือนผมมากนักหรอก
   วันนี้มืดครึ้มตลอดวัน เช้า สาย กลางวัน บ่าย ยังไม่เห็นดวงอาทิตย์เลยสักนิด พอตกเย็นฝนเทลงมาโครมใหญ่ แต่ไม่ได้ลากยาวจนถึงมืดค่ำ ตกสัก 2 ชม มั้ง เห็นข่าวทีวีเขาบอกว่ามีพายุลูกใหม่เข้ามา ชื่อออกจีนๆ หน่อย ผมจำไม่ได้
   เย็นผมไปรับลูกแล้วรีบไปส่งบ้าน จากนั้นก็ต้องออกไปเฝ้าร้านต่อจนถึงร้านปิด
 
28 กย 54
   วันนี้ฟอร์ดจัดงานให้สื่อมวลชนเข้าชมสายการผลิตรถปิคอัพ ผมล่ะชอบงานแบบนี้อย่างมาก รองลงมาจากงานเปิดตัวรถยนต์ แต่น่าเสียดาย ฟอร์ดเขาไม่ได้เชิญผม เลยอดไป ปิคอัพฟอร์ดนี่เป็นหนึ่งในใจผมมานานหลายปี ผมชอบตัว Wild Track ดูดุดันดี
   สถานการณ์น้ำเริ่มลามไปในหลายจุด เคราะห์ซ้ำที่มาเจอเอาพายุหลายๆ ลูกแบบติดๆ กัน ชาวบ้านทะเลาะวิวาทกันเพราะแนวคันกั้นน้ำ แต่ก็เข้าใจนะว่าใครมันจะมาสู้กับธรรมชาติได้ สภาพเมืองมันแปรเปลี่ยนไปจากเดิมมาก ตัวการสำคัญที่ขวางทางน้ำก็คือถนน และบ้านเรือนของประชาชนเอง
   เย็นไปรับลูก เขาขอซื้อหนังสือสอนวาดการ์ตูน 3 เล่ม จากนั้นจึงเข้าบ้าน พอทำการบ้านเสร็จก็ง่วนอยู่กับเจ้าหนังสือสอนวาดการ์ตูนที่เพิ่งซื้อมาจนถึงดึก
Title: Re: กย 54
Post by: O'Pern on September 30, 2011, 07:21:12 pm
29 กย 54
   ลูกตื่นสาย เมื่อคืนนอนดึก วาดการ์ตูนเล่นจนถึงสี่ทุ่มครึ่ง ส่วนผมตื่นได้เช้าตามปกติ 0530 ตื่นราวๆ นี้ทุกวัน แต่ถ้าต้องการตื่นเช้ากว่านี้ก็สามารถทำได้ แต่ถ้าอยากตื่นสายกลับทำไม่ได้ ไม่รู้ทำไม
   ระยะนี้พายุโหมกระหน่ำทางเอเชียกันแบบติดๆ เช้าวันนี้มีพายุลูกหนึงเข้าฮ่องกง เล่นเอาระส่ำระสาย เพราะฮ่องกงเป็นเกาะ มีทะเลล้อมรอบ พายุเล่นพัดจนเรือที่จอดในทะเลพุ่งเข้ามาชนระเบียงบ้านคนที่อยู่บนฝั่ง
   ไห่ถางไป เนสาท มา (ชื่อพายุ) มันไม่ได้มาไทยโดยตรง แต่ก็มีผลกระทบบ้าง อย่างน้อยก็ตอนนี้ 0730 pm ฝนกำลังตกได้ที่เลย มีฟ้าผ่า ฟ้าร้อง ฟ้าแล่บ เรียกว่ามากันแบบ Full Option
   เออ ไอ้คำว่า Full Option นี่วงการรถยนต์ไทยเราเขาใช้กันมั่วมากเลยนะ เอะอะ อะไรก็ Full Option พวกเซลล์ขายรถจะพูดกันจนเป็นคำติดปาก ทั้งๆ ที่รถคันนั้นมันไม่ได้มี Option อะไรเลยสักนิด เช่น รถเดิมๆ มันมีกระจกไฟฟ้า 4 บาน ล้ออัลลอยด์ เบาะหนัง เบรก ABS พวงมาลัยเพาเวอร์ และอีกสารพัน ไอ้ของเหล่านี้มันคืออุปกรณ์มาตรฐานครับ มันไม่ใช่ Option อะไรสักนิด
   ถ้าเป็น Option จริง มันคือเราต้องเลือกได้ เช่น Parking Sensor กล้องหน้า กล้องหลัง GPS อะไรทำนองนี้ แต่ก็อีกนั่นแหละ พวกรถหรูสุดๆ ก็จะนำพวก Option เหล่านี้เอาไปใส่เป็นอุปกรณ์มาตรฐานของรถตัวเอง แบบนี้เรียกจัดเต็ม
   หยิบแคตาล็อคมาพลิกดูหน้าหลังสุด แล้วดูว่าอุปกรณ์ใดเป็นมาตรฐานบ้าง อะไรเป็น Option บ้าง รถยุคเก่าๆ จะเลือก Option ได้ แต่การตลาดยุคใหม่เขาจะจัดมาให้เป็นแพ็คเก็จ แล้วตั้งชื่อรุ่นให้ต่างกันออกไปเช่น S LX Sport Luxury อะไรทำนองนี้
   เอ๊ะ วันนี้ Isuzu เขาเปิดตัวใหม่แล้วนี่นา (หรือวันอื่นวะ ผมชักไม่แน่ใจเหมือนกัน) แต่ก็ไม่ได้รับเชิญอีกตามเคย คนตกคุยไปแล้วก็แบบนี้แหละครับ
 
30 กย 54
   เช้าครึ้มๆ แต่พอกลางวันแดดแรงจัด ดูข่าวน้ำท่วมแล้วน่าใจหาย เชียงใหม่โดนน้ำเข้ามาอย่างรวดเร็วจนชาวบ้านเก็บข้าวของกันไม่ทัน น้ำล้นจากลำน้ำปิงมา ทำให้ในตัวเมืองเกิดน้ำท่วมขัง
   เนสาทจะเข้าฮาลองที่เวียดนามบ่ายนี้ พอเข้าฝั่งแล้วก็จะอ่อนกำลังลงเหมือนพายุทั่วไป แต่อย่าเพิ่งดีใจ พายุมันก่อตัวเป็นลูกใหม่ได้ไม่ยาก แปลว่ายังมีพายุอีกเยอะ
   ชีวิตที่ไม่ได้ออกไปไหน ผมหมายถึงไม่ได้ออกไปทำงานข้างนอก มันก็เรียบๆ ง่ายๆ ออกแนวเบื่อๆ หน่อย เช้าไปส่งลูก กลางวันทำงานที่บ้าน เย็นไปรับลูก จบ