racing-club.net

Bike Forum => my bike diary / my life diary => Topic started by: O'Pern on April 01, 2011, 07:32:09 pm

Title: เมษ 54 14-16 หัวหิน
Post by: O'Pern on April 01, 2011, 07:32:09 pm
1 เมษ 54
   อาการหลังเจ็บดีขึ้นทีละน้อยๆ แต่ยังไม่หายสนิท ยังก้มไม่ได้ เลยยิ่งออกกำลังกายน้อยลงตามไปด้วย จักรยานก็ขี่น้อยลง อ้าว แบบนี้น้ำหนักก็ขึ้นสิ

    มหันตภัยในญี่ปุ่นนับวันยิ่งทวีความรุนแรง ล่าสุดได้ข่าวว่ามีเงินบริจาคช่วยผู้ประสพภัยก้อนใหญ่ส่งมาจากคนๆ หนึ่ง ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม หน่วยงานสงสัยสอบถาม เขาตอบว่า เป็นยากูซ่า
   ยากูซ่า คือมาเฟียของญี่ปุ่น ผู้ทำธุรกิจผิดกฏหมายทุกรูปแบบ เก็บค่าคุ้มครอง รีดไถ ค้ายาเสพติด ค้าผู้หญิง ฯลฯ แต่พอเกิดเรื่องร้ายๆ กับประเทศตัวเอง เขาเอาเงินสกปรกเหล่านี้แหละ เอามาช่วยผู้ประสพภัย เรียกว่าโจรยังมีใจคิดถึงคุณความดี 
   ทีนี้เรามาดูประเทศไทยเราที่ประสพภัยพิบัติจากอุทกภัยน้ำท่วมกัน
   มีเหตุดินโคลนถล่ม มีคนบริจาคเงินและสิ่งของกันมากมาย สส ในพื้นที่มันรอจังหวะ ทำแค่ถุงสกรีนชื่อตัวเองและสอดนามบัตรเตรียมไว้ พอได้ถุงบริจาค มันก็เอาถุงที่มันเตรียมไว้มาสวมทับเสีย ทำนองว่าไอ้ของในถุงที่เอ็งกินน่ะ เงินของข้านะเฟ้ย
   อีกหนึ่งในอเมซิ่งไทยแลนด์ที่น่าออกข่าวไปทั่วโลกจริงๆ
   เรื่องอะเมซิ่งในด้านเลวๆ นี้ยังมีอีกเยอะ เมื่อคืนดูข่าวเจ้าหน้าที่รัฐรับสินบนออกบัตรประชาชนให้คนต่างด้าว เก็บเงินรายละหลายหมื่นถึงหลักแสนบาท เห็นแล้วบอกไม่ถูก ไม่น่าเชื่อว่าจะเลวได้ขนาดนี้ เข้าขั้นขายประเทศบ้านเกิดเมืองนอนกินกันแล้ว น่ายกย่องให้เป็นบุคคลแห่งปีด้านความชั่ว
   แต่ชั่วกว่านี้ยังมีอีกเยอะนะ นี่ยังไม่ใช่ที่สุด ไอ้พวกนักการเมืองมันยิ่งกว่านี้ แต่ทำภาพออกมาดูดี ทำทุกอย่างเพื่อตัวเองและพวกพ้อง แต่ถ้าพูดจะพูดเพื่อประเทศชาติและส่วนรวมเท่านั้น นี่ .. มันต้องอย่างนี้  ไม่งั้น ไม่ใช่ประเทศไทย
   เย็นศิระเพราะพระบริบาล

   เข้าเรื่องการช่วยผู้ประสพภัยทางใต้กันต่อ เอาแบบไอเดียผม คนที่ไม่เคยบริหารบ้านเมือง
   กระทรวงสาธารณะสุข น่าจะคิดสูตรอาหารอะไรสักอย่าง ทีทำง่าย เก็บง่าย ไม่ต้องหุงหาให้วุ่นวาย ต้องมีสารอาหารครบ รสชาติดี ต้องออกมาในรูปแบบฉีกซองแล้วกินได้เลย แต่อย่าลืมว่าต้องกินได้ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ ทุกวัยอีกด้วย อาจคิดแล้วไม่เสร็จในทันทีหรอก เราค่อยๆ พัฒนากันไป ให้โจทย์แก่นักโภชนาการเขาไปสิ บอกว่าเป็นวาระแห่งชาติ อาจารย์ยิ่งศักดิ์ หมึกแดง เชฟฯ ดังๆ ผมว่าเขาทำได้แบบหมูมากๆ จากนั้น
   ถ้าทางภาครัฐคิดเองไม่ได้ หน่วยงานเอกชนก็ลุยเองได้เลยครับ ยิ่งใครมีร้านอาหารแล้วคิดเมนูนี้ออกมาได้ ร้านท่านจะดังแบบไม่รู้เรื่อง เพราะจะดังไกลไปทั่วโลก
   ให้ผมคิดสดๆ เดี๋ยวนี้ ก็คงจะเอาพวกข้าวกล้อง ถั่ว หรือธัญพืชต่างๆ มาบดแล้วอัดขึ้นรูป แต่ไม่ได้ออกมาหน้าตาเหมือนพวก Cereal Bar นะ เราเน้นกินกันอิ่มจริงๆ จะมีพวกผลไม้อบแห้งชนิดเก็บได้นานแนบไปด้วยก็ดีครับ เช่นกล้วยตาก
   อีกวิธีที่ตัวเราเอง (ผู้ประสพภัย) ต้องฝึก นั่นคือการกินน้อย วิธีการกินน้อยแต่อิ่มที่ผมใช้ก็คือ กินช้าๆ ใส่ปากคำเล็กๆ เคี้ยวนานๆ เริ่มจากเคี้ยวสัก 30 คำดูก่อน อาหารมันจะละเอียดจนไหลลงคอไปเอง เราต้องฝืนหน่อยครับ อย่าเพิ่งกลืน แรกๆ ทำยาก ฝึกสักพักจะทำได้ ถ้าทำ 30 ได้ ก็ลองไปที่ 50 ดูครับ
   กินอาหารแบบนี้จะกินน้อย อิ่มเร็ว และมีสุขภาพดี เห็นไหม มันเอาไว้ใช้เป็นประโยชน์ตอนเราอยู่ในภาวะลำบากได้อีกด้วย ทำควบคู่ไปกับการฝึกสมาธิ การออกกำลังกายก็น่าจะเป็นโยคะ (ถ้ามีสถานที่พอ)
   ที่ต้องฝึกกินน้อยก็เพราะว่าเราไม่รู้จะมีอาหารมื้อต่อไปเมื่อไหร่ และเผื่อกรณีแบ่งปันให้แก่คนรอบข้าง ถ้าติดอยู่ในที่แคบ เคลื่อนไหวไม่สะดวก รอความช่วยเหลือ ก็ฝึกจิตด้วยการทำสมาธิไปด้วยครับ
Title: Re: เมษ 54
Post by: O'Pern on April 03, 2011, 10:40:34 am
2 เมษ 54
   วันนี้แต่งตัวหล่อหน่อย ช่วงบ่ายมีงานเลี้ยงรุ่นที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ผมจบมาหลายปีมาก ยังไม่เคยไปร่วมงานสักครั้ง คงเป็นเพราะไม่ค่อยรู้จักใครในรุ่นมากนัก ตอนเรียนมัธยมปลาย ม4 – ม6 นี่เรียนแบบไม่เคยแยกห้องกันเลย ทุกคนอยู่รวมกันตลอด 3 ปี ทำให้ไม่ค่อยรู้จักนักเรียนในห้องอื่นๆ
   งานเลี้ยงวันนี้แปลกดีครับ จัดเลี้ยงกันในโรงเรียน ได้บรรยากาศดีมากๆ เหมือนงานคืนสู่เหย้า
   เช้าไปถึงที่ทำงานก็เอาจักรยานออกขี่จดออเดอร์ลูกค้า อาการเจ็บหลังก็ค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังไม่อยากยกของ กลัวจะยิ่งหายช้า ยั้งดีที่ขี่จักรยานแล้วไม่เจ็บ
   บ่ายไปทำธุระให้แม่ที่ธนาคาร วันนี้เป็นเสาร์ต้นเดือน คนแน่นมากๆ กว่าจะเสร็จธุระก็บ่ายแก่ๆ ยังไม่ได้กินมื้อกลางวันเลย หิวมากๆ มองรอบๆ ตัวเจอแต่ของไม่อยากกิน
   กลับเข้าบ้าน ชวนลูกไปนอนค้างที่คอนโดแทน จะไปงานเลี้ยงรุ่นก็พอทันครับ ทันแค่กินเลี้ยวตอนเย็น แต่ไม่ทันช่วงทำกิจกรรมถ่ายรูปหมู่ แหม น่าเสียดายจริงๆ ปีก่อนๆ ไม่ว่างไป ปีนี้เตรียมตัวจะไป แต่แล้วก็อด
   ลูกชอบคอนโดห้องนี้มาก เขาบอกกลิ่นเหมือนโรงแรม มันเป็นห้องที่ไม่ค่อยได้ใช้พักอาศัย และยังใหม่น่ะครับ ผมก็สอนเขาว่า ถ้าอยากให้ห้องเราดีอยู่แบบนี้ ก็ต้่องช่วยกันรักษาความสะอาด
   หัวค่ำเขาขอลงไปซื้อนมที่ 7-11 กิน ต้องลงจากตึก และเดินออกไปนอกถนนใหญ่ ขั้นตอนการผ่านประตูทุกบาน รวมถึงการกดลิฟท์ ล้วนต้องใช้ระบบคีย์การ์ด เขาไม่เคยเดินลงไปเอง แต่วันนี้เขาขอ ก็เลยลองให้เขาไปดูครับ ไม่น่าจะยากอะไร เขาเคยทำอะไรยากๆ กว่านี้มาแล้ว
   หายไปสัก 15 นาที เขาก็กลับขึ้นมา คุยอย่างภูมิใจว่าเขาทำความดีสองอย่าง อย่างแรกคือช่วยคุณลุงเก็บเงินเหรียญทีทำหล่น สองคือช่วยเปิดประตูให้ผู้ใหญ่
   เห็นไหมๆ จะให้เด็กทำความดีไม่ต้องไปสอน แค่ทำให้เขาดู พอเขามีโอกาส เขาก็จะดึงข้อมูลที่เคยเห็นในสมองออกมาใช้งาน
   ก่อนนอน อ่านหนังสือกันคนละมุมเตียง เช่นเคยครับ อยากสอนให้เขารักการอ่าน เราก็ต้องอ่านหนั้งสือให้เขาเห็น
Title: Re: เมษ 54
Post by: O'Pern on April 03, 2011, 05:09:24 pm
3 เมษ 54
   ตื่นอย่างไม่เต็มใจตั้งแต่ตี 4 ห้องนอนสว่างมากๆ ครับ ไม่มีม่าน ยังเลือกไม่ได้ ยังไม่ได้เลือกนั่นเอง ห้องผมอยู่หัวมุม เลยมีกระจกเยอะ แสงจากท่าเรือริมแม่น้ำเจ้าพระยาสาดเข้ามาอย่างแรง ไม่คุ้นกับการนอนในที่สว่าง ตื่นปุ๊บ เลยนอนต่อไม่ได้
   ห้องนอนนี้เป็นเตียงครับ เลยลุกขึ้นยืนง่ายกว่าเกา แต่ยังคงเจ็บหลังอยู่บ้างนิดหน่อย
   เช้าไปตลาดน้ำบางน้ำผึ้งกันพ่อแม่ลูก ไม่ได้ไปมาเกือบเดือน พ่อค้่าแม่ค้ายังคงจำลูกผมได้ ทักทายอย่างสนิทสนม เพราะอุดหนุนร้านเขาเป็นประจำ
   สายๆ ลูกไปเรียนศิลปะ ส่วนผมกลับเข้าไปที่คอนโดเหมือนเดิม ซื้อของกินกลับมาเยอะเลย กะว่าอยู่ได้ถึงเย็น ไม่ต้องออกไปหากินข้างนอก
   พอตกบ่ายง่วงครับ แต่นอนไม่หลับ ได้แค่เอนหลังแล้วหลับตา ไม่เคยนอนกลางวัน แต่ถ้าตอนเป็นคนงานยกของนี่จะเพลียมาก
   แล้วชีวิตแบบไร้่ค่าวันนี้ก็ผ่านพ้นไป
Title: Re: เมษ 54
Post by: O'Pern on April 04, 2011, 07:11:54 pm
4 เมษ 54
   อาการเจ็บหลังที่ดูว่าดีขึ้นทุกวันๆ แต่ทำไมวันนี้มันรู้สึกเจ็บๆ อยู่เลย มันดีขึ้นช้าลงกว่าที่ผ่านมามาก จากเดิมดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มาวันนี้อาการมันคงทรงๆ เหมือนเดิม ผมไม่ได้ไปทำอะไรทารุณหลังเลย ไม่ได้ยกของ ไม่ได้ขี่จักรยานเยอะๆ ไม่ได้เดินไกลๆ หรือว่าเริ่มอายุมากแล้ว ระบบซ่อมแซมตัวเองในร่างกายมันไม่ฉับไวเหมือนสมัยก่อนอีกแล้ว
   วันนี้ลูกเรียนพิเศษภาคฤดูร้อนเป็นวันแรก เขาเลือกเรียนกลุ่มวิทยาศาสตร์ มีการประดิษฐ์ของเล่นง่ายๆ เรียนแบบนี้เด็กๆ ชอบครับ จะเรียนว่าเรียนผ่านการเล่นก็ไม่ผิด เห็นเขาเรียนแล้วนึกอิจฉา สมัยเด็กผมไม่เห็นมีแบบนี้สักนิด
   เช้านี้ผมกินเห็ดหอมสดผัดกระเพรา ใส่ถั่วฝักยาวลงไปด้วย เพิ่มเนื้อไฟเบอร์ กินกับไข่ดาวทอดในน้ำมันมะกอก และข้าวกล้อง ส่วนมิวกินโจ๊กใส่ไข่ 1 ฟอง
   ไปถึงที่ทำงานก็เอาจักรยานออกขี่จดออเดอร์ลูกค้า ยกของไม่ไหว ก็ทำหน้าที่เดินส่งเอกสารตามโต๊ะต่างๆ แทน ช่วงสายมีเพื่อนจากเวปจักรยานโทรมาหารือ เขาสนใจ Dahon Speed P8 และ Strida พอสอบถามไลฟ์สไตล์ของเขาแล้ว ผมก็เลือก Strida พร้อมบอกข้อจำกัดของมันอย่างละเอียดให้ แต่สุดท้ายเปลียนใจ แนะนำ Speed P8 แทน เพราะเขาสูง 180 ตัวสูงเบ้อเริ่ม หุ่นดีอย่างนี้ เล่น Dahon ไปเลยครับพี่น้อง ขี่ดีกว่า Strida เยอะ แลกกับการยก แบก เข็น ที่ลำบากมากกว่านะ ถ้ารับได้ ก็ลุยเลย
Title: Re: เมษ 54
Post by: O'Pern on April 05, 2011, 07:31:12 pm
5 เมษ 54
   อากาศร้อนอบอ้าว หมดโปรลมหนาวไปหลายวันแล้ว หลายคนคงคิดถึงอากาศหนาวเย็นเมื่อหลายวันก่อนเหมือนผม เราคนเมืองร้อน ยังไงก็ต้องชอบหนาวมากกว่าร้อนเป็นแน่
   หลังที่เจ็บก็ไม่เห็นจะดีขึ้นอีกเลย นี่ผมเจ็บหลังมาครบ 7 วันแล้วนะ เป็นเมื่อก่อนแป๊บเดียวก็หายแล้ว มันทำให้ผมคิดถึงการขี่จักรยานที่ผมวางแผนไว้ กลัวว่าหากทิ้งไว้เนิ่นนานมากเข้า มันจะขี่ไม่ไหวเอาน่ะสิ
   เส้นทางที่ว่าคือ กรุงเทพฯ – ดอยอินทนนน์ เรื่องของเรื่องคืออยากขี่หลักพัน กม ครับ เส้นทางนี้ยาวราว 1100 กม เป็นเส้นทางที่จะแบ่งคุณออกระหว่างผู้ชายกับลูกผู้ชาย
   ขี่หลักร้อย กม มาแล้ว หลัก 200 กม ก็แล้ว ล่าสุดเมื่อสองปีก่อนลองทริปแบบแบกของเยอะๆ ขนไป 15 กก ขี่ไป 280 กม (เกือบจะ 300 กม แล้ว) แต่ไปติดตรงขี่หน้าฝน เจอฝนจนเปียกและแห้งไป 3 รอบ ถึงจุดหมายเอาตอนสี่ทุ่ม ท่ามกลางลมพายุริมทะเล นี่คือสาหัสที่สุดของผมที่เคยเจอ ลองของมาเยอะ ก็เลยอยากเล่นหลักพันโลดูบ้าง
   แต่ขี่หลักพัน มันต้องไปกันหลายวันมากครับ ยังสรุปรูปแบบการเดินทางไม่ได้ว่าจะเอาเต้นท์ไปด้วยดีไหม ไอ้เจ้านี่คือตัวหนักเลยนะ ต้องมีเต้นท์ ถุงนอน อุปกรณ์การนอน แผ่นปูรองนอน ฯลฯ ถ้าขี่สั้นจะไม่คิดมากเลย แต่ทริปนี้่ต้องมีมากกว่า 10 วัน ทำใจลำบากในการพกพาอุปกรณ์การนอนครับ เนื่องจาก 50 กม สุดท้าย คือการขี่ขึ้นอินทนนน์ ยอดเขาที่สูงสุดในประเทศไทย ใครขึ้นได้สำเร็จก็เอาไปคุยได้ตลอดชีวิต ช่วง 5 กม สุดท้ายของเส้นทาง จะต้องขี่ไต่ความสูงราว 1000 เมตร !!! ไฮไลท์มันอยู่ตรงนี้ อยู่ตรงยอดดอยนี้ ใครเข็นขึ้นล่ะก็ หมดรสชาติชีวิตไปเยอะเลยล่ะ ถึงแม้จะเข็นจูงขึ้นมาจนสำเร็จ แต่ก็นะ ชาวจักรยานต่างรู้ดีอยู่แก่ใจว่าการเข็นขึ้นเขานั้น มันเป็นภาพที่เสียฟอร์มจริงๆ
   แต่ก็เข้าใจนะครับ บางคนเขาไม่ไหวจริงๆ สุขภาพไม่เอื้ออำนวย เจ็บป่วย ตะคริว ฯลฯ เอาเป็นว่า ถ้ากัดฟันไหวนะ ผมขอให้สู้ครับ ไหนๆ ก็มาถึงยอดเขาที่สูงสุดในไทยแล้วนี่นา
   
   กลับเข้าบ้านตอนเย็น ไปรับลูกแล้วเถลไถลกันต่อที่ห้างเซ็นทรัล ซื้อข้าวของกลับมาเยอะเลย พอว่างเข้าเวปจักรยานก็เจอคำถามแบบส่งมาถามส่วนตัว เกี่ยวกับจักรยานของ Dahon ที่มีทั้งแบบ China Domestic Market – CDM และ China International Market – CIM ความต่างที่เห็นด้วยตาจะมีราว 3 จุด 1 รอยเชื่อมของเฟรมในบางรุ่น 2 จาหน้าจะใช้ของเกรดต่ำกว่า 3 วงล้อจะใช้ของเกรดต่ำกว่า แต่ก็แลกมากับราคาที่ถูกกว่าหลายพันบาท ไม่แน่ อาจเป็นรถทางเลือก และถูกใจสำหรับใครบางคน 
Title: Re: เมษ 54
Post by: O'Pern on April 06, 2011, 06:09:46 pm
6 เมษ 54
   อาการเจ็บหลังยังทรง ไม่ดีขึ้นกว่าเก่า ไม่ทรุดลงกว่าเดิม
   
   กลางวันผมไปธนาคารกรุงเทพฯ สาขา คาร์ฟูอิสระภาพ ใกล้วงเวียนใหญ่ เข้าไปถึงก็เจอท้ายแถวยืนต่อกัน 3 คน ผมเป็นคนที่ 4 เหลือบมองไปข้างๆ เห็นตู้กดบัตรคิว จึงเดินเข้าไปกด แต่เครื่องไม่ตอบสนองอะไร ไม่มีไฟบอกสถานะ กดสองสามครั้งมันเงียบสนิท ผมเดาว่ามันเสีย คนเลยมาต่อคิวกัน
   พอท้ายแถวยาวมากเข้า มีคนมาต่อจากผมอีกเยอะ พนักงานจึงหยิบเอาม้วนกระดาษมาใส่เครื่อง อ้าว ไม่ได้เสียหรอก แค่กระดาษหมด
   พอเจ้าหน้าที่ใส่กระดาษเสร็จเท่านั้นแหละครับ เกิดอาการแร้งลงทันที ใครมาจากไหนไม่รู้ หุ้มรุมตู้กดบัตรคิวกันยกใหญ่ ผมยืนอยู่ใกล้กว่าใคร กำลังจะเอื้อมมือกด ก็มีมืออีกข้างของคนที่เขาต่อคิวอยู่หลังผมมาชิงกดตัดหน้า โหห สุดยอด นี่แค่การกดบัตรคิวเองนะ แย่งกันขนาดนี้เลย หากกรุงเทพฯ เราเกิดภัยพิบัติล่ะก็ ไม่ต้องนึกภาพเลยครับ เกิดจลาจล เกิดโจรขโมยทุกหัวระแหงแน่นอน
   ในลานจอดรถก็มีเรื่องแปลกๆ ครับ ด้านหน้าใกล้ประตูทางเข้า มีป้ายบอกว่าที่จอดรถสำหรับคนพิการ มีรั้วเหล็กกัั้นอย่างดี สักพักมีรถ Toyota Fortuner สีดำมาจอดใกล้ๆ คนขับเป็นผู้ชาย ที่ประตูอีกฝั่งมีผู้หญิงลงมาเข็นรั้วเหล็กกั้นออก ให้ผู้ชายขับเข้ามาจอด เขาไม่ได้พิการอะไรหรอกครับ แต่ผมสงสัยอย่างมากว่าใจของพวกเขาทำด้วยอะไร
   การขับรถในลานก็ไม่มีการเคารพลูกศรบนพื้นเลย รถผมมาถูกทาง ก็มาเจอกับรถที่ย้อนศร ไม่อยากบ่นว่าอะไรเราก็หลบเขาไปจะได้จบๆ แต่ยังไม่ทันหายหงุดหงิดดี ก็เจอแบบนี้อีกสองสามคัน เฮ้ยย พี่น้องชาวฝั่งธนฯ ของผม ทำไมขับรถกันโครตเอาแต่ใจเลยวะ
   ผมมาห้างคาร์ฟูสาขานี้ไม่บ่อยเลย มาครั้้งล่าสุดก็ปีที่แล้ว ไม่คุ้นพฤติกรรมคนใช้รถอย่างแรง ขาดวินัย เอาแต่ใจ เห็นแก่ตัว มักง่าย ฯลฯ
   เล่ามาทัั้งหมดยังแย่ไม่พอ มาเจอเด็ดสุดตอนที่ผมเจอช่องจอดรถอยู่ข้างหน้า มีคนกำลังจะออก ผมจอดรถ แต่ไม่คาดฝัน รถที่อยู่ข้างหน้าผมเบรกทันที และรีบถอยหลังเอาท้ายรถแหย่กันไว้ ทำเอารถคันที่จะออกเขาขับไม่ถนัด ต้องตีวงกว้างขึ้น และเลี้ยวยากขึ้น เผลอๆ จะเลี้ยวไม่ได้เอา
   เห็นแล้วละเหี่ยใจจริงๆ ขนาดที่จอดรถยังแย่งกันขนาดนี้ นี่ขนาดห้างโนเนมเล็กๆ แถวบ้าน และเป็นกลางวันนะครับ มันไม่ได้จอดยากอะไรนักหนาเลย แถมที่จอดก็อยู่ในร่มกันทุกคัน แย่สุดก็แค่เดินไกลหน่อยเท่านั้นเอง
   อดคิดถึงอนาคตของไทยเราไม่ได้จริงๆ ครับ
   ออกจากห้างมาก็เจออีกแล้ว รถติดหน้าปากซอย เป็นเส้นทแยงเหลือง รถผมอยู่คันหน้าสุด แน่นอน ผมเว้นไว้ 100% เผื่อคนอื่นเขาจะเข้าออก เผื่อรถเข็น เผื่อรถฉุกเฉิน และแล้วก็เจอรถสี่ล้อเล็กเจ้าถิ่นขับแซงย้อนศรเอาเปรียบรถคันอื่นที่เขาต่อคิว แซงมาแล้วไม่มีที่หลบรถที่ตัวเองสวนมา ก็มาเสียบเอาไอ้ช่องว่างๆ ที่ผมเว้นไว้นี่และ บ๊ะ มันดูเหมือนว่าออกแบบมาเพื่อพวกเขาเลยนะเนี่ย 
Title: Re: เมษ 54
Post by: O'Pern on April 08, 2011, 01:36:06 pm
7 เมษ 54
    นี่เป็นอีกช่วงหนึ่งของชีวิตที่ผมเบื่อและเซ็งมาก คิดถึงอนาคตแล้วมันมืดมนจริงๆ หลายสิ่งที่คิดฝันไว้ แต่มันไม่เป็นไปตามแผนเสียที ผิดจังหวะ ผิดช่วงเวลา แถมยิ่งตัวเองมาเจ็บหลังอีกด้วย ทำอะไรได้ไม่คล่องตัวเลย

   รัฐบาลประกาศให้ขึ้นราคาน้ำมันถั่วเหลืองขวดละ 9 บาท หึหึ รัฐบาลเล่นเกมอะไรอีกแล้ว เดือนก่อนโน้นก็เล่นน้ำมันปาล์มไปแล้ว ผมไม่รู้กลไกการตลาดมากนัก แต่ถ้าให้เดา นั่นคือการระดมเงินทุนเข้ากระเป๋าตัวเองเตรียมซื้อเสียงงวดหน้าครับ ไม่กล้าฟันธง แต่ค่อนข้างจะมั่นใจมาก
   แล้วก็เจอแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์มืด เมื่อมีข่าวว่า ปุระชัย จะลงสมัครเลือกตั้ง อีกสักพักจะเกิดปรากฎการณ์ “ไม่เอามาร์ค – ไม่เอาแม้ว” ในสังคมคนเมืองหลวง ส่วนต่างจังหวัด ก็ยังคงอยู่ในวังวนเดิมๆ คือใช้เงินซื้อเสียง
   แต่การซื้อเสียงไม่ใช่วิธีเดียวที่พวกมันทำกันนะครับ บางคนอยู่มานาน เห็นถึงช่องทางการขายตัว ลำพังเมื่อก่อนขายเฉพาะตัวเอง ก็จะได้แค่รายหัว ความโลภเข้าครอบงำ ปากก็บอกว่าทำเพื่อประเทศชาติ แต่สันดานมันทำเพื่อตัวเองล้วนๆ ไอ้พวกนี้จะออกไปตั้งพรรคใหม่ พอได้เลือกเข้ามา ก็จะติดเอาชื่อพรรคมาด้วย ทีนี้มันขายตัวกันแบบยกพรรคเลย และนี่คืออีกหนึ่งเหตุผลในการแยกตัวไปตั้งพรรคใหม่
   อ้อ คนที่ตั้งพรรคใหม่เพื่ออุดมการณ์จริงๆ ก็น่าจะพอมีนะครับ แต่ในไทย พรรคเล็กมันอยู่ได้ไม่นาน ทางออกแบบง่ายๆ ก็คือการยุบรวมพรรค ปากมักจะพูดว่ารวมกันเพื่ออุดมการณ์ ทั้งๆ ที่ภาพมันฟ้องออกมาชัดๆ ว่ารวมกันเพื่อความอยู่รอดของตัวเองล้วนๆ
   ประเทศไทยจงเจริญ
Title: Re: เมษ 54
Post by: O'Pern on April 08, 2011, 06:33:22 pm
8 เมษ 54
เช้าขี่จักรยานคันเล็กล้อ 14 ออกจดออเดอร์ลูกค้า หลังยังไม่หายสนิทดี แต่ขี่จักรยานแล้วมันไม่รู้สึกเจ็บอะไร กลางทางขี่ไปเจอลูกระนาดเข้า พอล้อหลังข้ามปุ๊บก็รู้สึกเจ็บแปล็บที่หลังทันที เล่นเอาเกือบร่วงเลยครับ น้ำตาแทบเล็ด และจากนั้นตลอดวันทำอะไรนิดหน่อยก็รู้สึกเจ็บหลังอีกแล้ว อาการกลายเป็นว่ากลับทรุด เซ็งจัด
   ผมคงจะไม่มีเรื่องเกี่ยวกับจักรยานจะเล่าอีกสักพักใหญ่ อาทิตย์นี้ก็มีทริปขี่แถวบ้าน บางขุนเทียนชายทะเล คงจะไม่ได้ไปแน่นอน

   ตอนเย็นที่โรงเรียนลูกจัดงานเล่นสงกรานต์ สาดน้ำกันอย่างสนุกสนาน แต่โรงเรียนนี้ดีครับ ไม่ให้เด็กเอาปืนฉีดน้ำไปเล่น ให้ใช้ขันใบเล็กๆ อย่างเดียว เด็กๆ จะรู้สึกสนุกเท่าเทียมกัน มิฉะนั้น พอคนหนึ่งเอาปืนมาฉีด อีกคนก็อยากได้บ้าง และเป็นเช่นนี้อีกหลายๆ ทอด
   ตอนเช้าลูกบอกไม่อยากเล่นน้ำ ไม่ชอบ แต่พอไปรับตอนเย็น โอ้โห เละเทะไปทั้งตัว ดีที่ทางโรงเรียนให้นำชุดไปเปลียน ไม่งั้นขึ้นรถลำบากแน่
   ไม่ใช่แค่เด็กที่มอมแมมนะครับ ครูก็พอๆ กัน เห็นสภาพแล้วน่าสนุกมากๆ เล่นกันแบบนี้ สนุกกว่าเล่นข้างนอกเยอะ ปลอดภัยกว่าอีกด้วย

   อาการเจ็บหลังทำให้ผมอยู่ในอิริยาบถเดิมๆ ได้ไม่นาน นั่น ยืน เดิน นานๆ ก็จะเริ่มเจ็บ แม้จะนั่งบนเก้าอี้สบายๆ ก็ยังรู้สึกเจ็บ คงจะเป็นแบบนี้ไปอีกสักพักใหญ่
Title: Re: เมษ 54
Post by: O'Pern on April 09, 2011, 06:08:59 pm
9 เมษ 54
   โดนไวรัส msn เล่นงานอย่างจัง เผลอไปกดลิงค์ที่เพื่อนส่งให้ ปกติตัวไวรัสทั่วไปก็จะเป็นภาษาอังกฤษ เขียนทำนองว่า Click / Check this out อะไรทำนองนี้ และตามด้วยลิงค์ชื่อแปลกๆ และมักจะส่งมาจากคนที่เราไม่ได้คุยกับเขา แบบนี้เดาง่าย
   แต่ไอ้ที่ผมโดนนี่แสบมาก มันเขียนภาษาไทยเลยว่า “ดูรูปนี่” แล้วตามด้วยลิงค์แถมมีลงท้าย .jpg อีกด้วย แถมมันเด้งขึ้นมาขณะที่เรากำลังคุยกันเรื่องท่องเที่ยวสงกรานต์ ผมเลยคิดว่าเขาจะส่งภาพสถานที่ท่องเที่ยวมาให้ดู กดปุ๊บได้เรื่องเลยครับ มีหน้าต่างใหม่เด้งขึ้นมาให้โหลดภาพ แน่นอน เป็นใครก็ต้องกดรับ
   เรียบร้อย .. หลังจากนั้นสัก 5 นาที เครื่องผมก็จะส่งไอ้ไฟล์ชื่อนี่ไปให้แก่ทุกคนที่ออนไลน์ msn อยู่ ผมแก้ไขอะไรไม่ทัน ที่นึกได้เดี๋ยวนี้ก็คือเปลี่ยนชื่อตัวเองที่ออนไลน์เป็นว่า “อย่าคลิกไฟล์ที่ผมส่งไป มันคือไวรัส”
   หลังจากนั้นก็ตามไล่ลบ แต่ไม่รู้หรอกว่ามันไปหลบอยู่ตรงไหน แอนตี้ไวรัสเครื่องผมมันหมดอายุไปปีกว่าแล้ว ทุกวันนี้ใช้อานิสงฆ์ของ window update และหวังว่าทีมงานของ Bill Gate จะทำอะไรดีๆ ออกมาสู้กับไวรัสบ้าง
   หมดหนทางจะสู้ เลยใช้วิธี Restore ย้อนเวลากลับ ไม่รู้จะช่วยได้ไหม
   ลองเปิด msn ใช้งาน ก็ไม่เห็นมีไฟล์บ้าๆ บอๆ โผล่ขึ้นมา เดาเอาเองว่าเครื่องหายไม่สบายดีแล้ว เย้ๆ (หวังว่าคงจะเย้ได้นานนะ)

   เช้านี้ขี่จักรยานจดออเดอร์ลูกค้าอย่างระวังมาก เจอหลุม บ่อ ฝาท่อ คันกั้นรถ ฯลฯ ก็้ต้องผ่านอย่างช้าๆ กลัวจะเจ็บหลังอย่างเมื่อวานอีก ยังจี๊ดไม่หายเลย ตลอดวันก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน นั่งหายใจอย่างเปลืองอ๊อกซิเจนไปวันๆ กลับมาบ้านคิดจะวางแผนงานหัวก็ไม่แล่นเอาเสียเลย
Title: Re: เมษ 54
Post by: O'Pern on April 11, 2011, 07:35:36 pm
10 เมษ 54
   เมื่อคืนฝนตกหนัก ลมแรงมาก แต่ตกไม่นาน ลูกตื่นเช้ามาบอกว่า มิน่า นอนหลับสบาย
   ไปกินอาหารเช้ากันที่ Food Land สาขาใกล้บ้านผมมากที่สุดคือจรัลสนิทวงศ์ ขับรถไปตอนเช้าๆ รถโล่งดี แต่จะมาเริ่มติดช่วงบริเวณสามแยกไฟฉาย น่าจะเป็นการสร้างอุโมงค์ข้ามแยก แต่เอ๊ะ แยกนี้เขาเวนคืนทำถนนขยายจากสามแยกเป็นสี่แยกนานกว่า 30 ปีแล้วนะ อ้อ ลืมไป ที่นี่ประเทศไทย
   จำช่วงจีนตอนเป็นเจ้าภาพโอลิมปิคปี 2008 ได้ไหมครับ จีนมีโครงการจะสร้างถนนเข้าไปในฑิเบตระยะทางราว 200 หรือ 2000 กม นี่แหละ ผมจำได้ไม่ชัด แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา ถนนสายสี้อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลราว 5000 เมตร (ยอดดอยอินทนน์ของไทยเราสูงราว 2400 เมตร) ทางการจีนบอกว่าน่าจะใช้ระยะเวลาก่อสร้างราว 2 ปี !!!
   2 ปี เอง กับโปรเจคขนาดนี้ น่ายกดินแดนไทยให้เขามาช่วยบริหารไหมครับ ไล่ไอ้พวกนักการเมืองออกไปให้หมด เอาเหมา เจ๋อ ตุง กลับคืนมา ผมว่าไทยช่วงนี้เหมาะกับระบบคอมมิวนิสต์มากๆ

   กลับมาบ้านตอนสาย ผมนั่งรถเมล์กลับมาเอง ภรรยาพาลูกไปเรียนศิลปะ มาถึงบ้านก็ล้างบ่อปลา ล้างระบบไส้กรองทั้งหมด กว่าจะเสร็จก็ตอนเที่ยง หลังยังเจ็บ ก้มเงยมากๆ ไม่ได้ ก็ค่อยๆ ทำไป
   วันนี้อยู่บ้านทั้งวัน ไม่ได้ออกไปไหน เจ็บหลังยังไม่หาย แถมได้แผลตอนลงจากรถเมล์อีก ข้อมือไปเกี่ยวกับขอบประตูตอนลงรถเข้า หนังถลอกได้เลือดมานิดหน่อย ยังดีที่แผลไม่ใหญ่ ห่างเหินการขึ้นรถเมล์มาหลายเดือนจนกลายเป็นมือใหม่เสียแล้ว
Title: Re: เมษ 54
Post by: O'Pern on April 11, 2011, 07:44:06 pm
11 เมษ 54
   เป็นเช้าวันจันทร์ที่ถนนโล่งผิดปกติ ทั้งๆ ที่เป็นวันทำงาน นานๆ กรุงเทพฯจะมีบรรยากาศแบบนี้สักที ผู้คนทะยอยกันออกต่างจังหวัดกันบ้างแล้ว ถนนหนทางเลยโล่งผิดตา ขออีกสองวัน จะโล่งยิ่งกว่านี้อีก
   ชีวิตเหงาๆ เพราะเจ็บหลัง ยิ่งขี่จักรยานทางไกลไม่ได้ด้วยแล้ว ยิ่งไปกันใหญ่
Title: Re: เมษ 54
Post by: O'Pern on April 12, 2011, 07:20:10 pm
12 เมษ 54
   ท้องถนนยามเช้าโล่งขึ้นทุกวันๆ พรุ่งนี้ทำงานอีกวันเดียวก็จะได้หยุดแล้ว นี่เป็นอีกปีที่ผมไม่ได้พาคนที่บ้านไปเที่ยว ต่างจากปีก่อนๆ โน้นที่มักจะไปประเทศในเอเชียที่เดินทางด้วยเครื่องบินโดยไม่ต้องนั่งนาน
   ไม่ได้ขี่จักรยาน ไม่ได้ไปไหน หลังเจ็บ สมองเลยไม่ค่อยแล่น ไม่มีไอเดียอะไรใหม่ๆ มาพัฒนาประเทศเลย
Title: Re: เมษ 54
Post by: O'Pern on April 13, 2011, 06:15:07 pm
13 เมษ 54
   ถนนโล่งสุดๆ เลย ออกจากหน้าปากซอยบ้าน ไม่เห็นมีรถยนต์ขับมาสักคัน แต่ไอ้โล่งๆ แบบนี้แหละครับที่ต้องระวังให้มาก อย่าเผลอ
   วันนี้ร้านผมเปิดทำงานครับ ชีวิตก็วนเวียนแบบเดิมๆ ขี่จักรยานจดออเดอร์ แล้วก็นำสินค้ามาส่ง แต่ช่วงนี้เจ็บหลัง ยกของไม่ได้ ยังดีที่คนงานใหม่มาช่วย
   เช้านี้เปียกแต่เช้า ไม่ใช่เพราะโดนสาดน้ำ แต่เป็นเพราะฝนตก ชีวิตคนทำงานใช้แรงงาน ร้อน ฝน หนาว เราบ่นกันไม่ได้ครับ ยังไงก็ต้องทำงานต่อไป
   
   ขากลับเกือบโดนจนได้ เด็กย้อมผมสีทอง หน้าตายังคงมัธยมต้น ขี่มาสองคัน เจอตำรวจยืนอยู่ข้างหน้า มันเบรกจนรถหยุดทันทีแล้วกลับรถขี่ย้อนทาง ผมขับมาซ้าย มาแบบช้าๆ ถ้าไม่เบรกก็ชนกลางลำแล้วคงทับซ้ำไปด้วย แต่ที่นี่เมืองไทย คนไหนชน คนนั้นผิด ถ้าเป็นที่ USA ไอ้มอเตอร์ไซค์คันนี้ตายฟรี แถมยังต้องชดใช้ค่าเสียหายให้รถผมอีกด้วย
   ก็เพราะวิธีคิดต่างกัน มองกันไปคนละทาง กฏหมายเก่ายังไม่ใช่ประเด็น เรื่องของเรื่องคือ ถ้ารู้ว่ามันเก่าทำไมไม่แก้ให้ใหม่เสียล่ะครับ
   ขี่รถย้อนศร ผิดทุกกรณี ไม่ว่าประชาชนหรือเจ้าหน้าที่ ถ้าโดนชนก็ต้องยอมรับสภาพ และชดใช้ค่าเสียหายให้แก่รถที่เขาขับมาถูกทางด้วย
   แต่ประเทศไทยเราตอนนี้มันเละมากแล้วน่ะครับ ปล่อยให้มอเตอร์ไซค์รับจ้างเกลื่อนกลาดไปหมด ถ้าจะถามว่าคนกลุ่มไหนขี่รถย้อนศรเยอะสุด ก็ต้องยกให้เขานี่แหละครับเป็นเบอร์หนึ่ง แถมไม่มีใครกล้ามาจับ เขาขี่ย้อนศรเฉพาะในเขตถิ่นตัวเอง สวนกับตำรวจ ตำรวจยังต้องหลบทางให้
   ประเทศไทยเรายังไปได้ไกลอีกเยอะ ยังพัฒนาได้อีกมาก แต่ต้องเปลี่ยนระบบความคิดของผู้บริหารใหม่ทั้งหมด คิดแบบองค์รวม มองทิศทางของประเทศเราออก มิใช่แค่อยู่ไปวันๆ กินเงินภาษีประชาชนไปเรื่อยๆ จนหมดลมหายใจเหมือนอย่างทุกวันนี้
   ที่นี่ ประเทศไทยครับ

   Toyota FJ ที่ผมชอบมาหลายปีมีคนนำเข้ามาขายแล้วนะ ผมชอบรถสไตล์ Retro มากครับ เพราะการออกแบบมันเริ่มถึงทางตันตั้งแต่ปี 90 แล้ว จะว่าตันก็ไม่เชิง แต่มันไม่มีอะไรแปลกใหม่มากกว่า ยุคนั้นรถของ Mclaren ไฮเทคที่สุดแล้ว คอนเสปดีเลิศ ผมชอบมากๆ ไม่ได้ชอบรถนะ ชอบคอนเสปของเขา ตอนเรียนผมก็นำคอนเสปนี้มาขยายความต่อ แล้วก็ได้ออกมาเป็น 2 สไตล์ คือ 1 รถที่มีเส้นสายเหลี่ยมๆ คล้ายเรือ และ 2 คือแนว Retro นี่แหละครับ
   รถแนว Retro จะต่อยอดได้อีกเยอะ แต่ถ้าจะให้ดัง ก็ต้องเป็นรถที่มีบุคลิกโดดเด่นถึงจะเปิดตัวแล้วดัง รถคันแรกที่ผมนึกถึงตอนนั้นก็คือ VW Beetle มันเป็นรถที่มียอดขายมากสุดในโลก น่าจะดังฮอทฮิตที่สุดแล้ว
   แต่พอมันออกมาจริง ผมเอามือกุมหัวเลย ผิดคอนเสปไปมาก เพราะ VW Beetle มันเด่นที่ระบบ Air Cooled วางท้าย แต่รถจริงเป็นเครื่องยนต์แบบ Water Cooled แถววางหน้า กลับกันแบบคนละเรื่อง สำคัญกว่านั้นคือทำออกมาราคาแพงมากๆ ผิดคอนเสป VW ที่แปลว่ารถของประชาชน ซึ่งมันต้องราคาถูก
   แต่ VW ทำรถผิดคอนเสปยังแย่ไม่พอ ยังมีรถ VW Golf ออกมาในสายการผลิตซ้ำซ้อนกันกับ Beetle อีก คือ Beetle ใช้เครื่องยนต์ Water Cooled ตัวเดียวกับ Golf ซึ่งเจ้า Golf มันกินจุดเด่นของ Beetle ไปหมดทุกด้าน ทั้งด้านการขับขี่ ความประหยัด การซ่อมบำรุง และราคา เรียกว่าออกรถผิดคอนเสป แถมซ้ำไลน์กับตลาดตัวเอง
   แล้วผลก็เป็นไปตามคาด ดับ สนิท
   จน BMW ซื้อ mini ไปต่อยอดนั่นแหละครับ กระแสรถ retro ถึงกลับมาเข้าตาบรรดาค่่ายรถยนต์อีกครั้ง ซึ่งการกลับมาครั้งนี้มันแรง จนลุกลามไปถึงงานออกแบบด้านอื่นๆ อีกด้วย

   กลับมาบ้านตอนเย็น ล้างรถครับ เมื่อเช้าฝนตก เลยยังบ้าเห่อ ทั้งๆ ที่รถอายุเก่าแก่มากแล้ว ล้างขัดถูไปก็คิดถึงวันแรกที่มันมาจอดอยู่ตรงนี้ เป็นความรู้สึกดีเล็กๆ น้อยๆ ที่ใจเราสร้างได้เองโดยไม่ต้องพึ่งพาใคร
   ว่าแล้วก็มองเจ้ารถ Nissan 180SX ที่อยู่ตรงหน้า ให้ออกมาในแนวของรถ Retro ทีผมชอบ บ๊ะ เป็นไปได้นะนี่
Title: Re: เมษ 54
Post by: O'Pern on April 16, 2011, 09:29:37 am
14 เมษ 54
   วันนี้ไปหัวหินครับ ไปกันทั้งครอบครัว ขนาดออกวันนี้ยังเจอรถติด งง แล้วในใจเราก็เดาถูก รถติดเพราะมีอุบัตเหตุครับ รถเก๋งชนท้ายกัน 6 คัน เหลือแค่เลนเดียวให้รถแล่นได้ ไม่ติดสิแปลก
   จากบ้านผมขับรถไปหัวหินสะดวกและง่ายมาก ไม่ต้องขึ้นทางด่วนอะไรเลย แวะกินอาหารเที่ยงแถวเพชรบุรี เป็นร้านส้มตำ รสชาติใช้ได้ครับ
   ถึงหัวหินแล้ว เย้ๆ
   เข้าห้องพักสุดหรูของเพื่อนพ่อ ห้องนี้ผมเคยมาแล้วครั้งหนึ่ง หลายปีมาแล้ว งานนี้มาได้ก็เพราะเจ้าของห้องชื่อ “วิรัช” ผมเรียกว่าลุงวิรัช เขาไปต่างประเทศ และถามพ่อผมว่าถ้าไม่ได้ไปไหน ก็ให้ไปหัวหิน และพักห้องพักของเขาได้
   คนไหนใจดี เราต้องยิ่งเกรงใจครับ ห้องของเขามันใหญ่โตหรูจนผมคิดว่าชาตินี้ตัวเองคงไม่มีปัญญาซื้อห้องพักขนาดนี้ ทำเลแบบนี้เป็นแน่ ห้องใหญ่ราว 280 ตรม มีระเบียงรอบ 3 ด้าน วิวทะเลแน่นอนอยู่แล้ว คอนโดนี้เด็ดตรงที่มีห้องพักของพนักงานขับรถด้วยครับ
   ภายในห้องตกแต่งด้วยวัสดุอย่างดี เครื่องเสียงของ Bose ที่ผมได้แต่นั่งฟังในโชว์รูม มาวันนี้ได้ฟังอย่างอิ่มหู เครื่องครัวใช้ของ Smeg สุดแพง ดีไซน์หรู ทีวีทุกเครื่องในห้อง เจาะยึดกับกำแพงเป็นของ Sony แอร์ทั้ง 5 ตัวของ Mitsubishi เป็นแบบฝังฝ้า ม่่านด้านวิวทะเลทั้่งแผงยาวกว่า 20 เมตร เป็นม่านไฟฟ้า ควบคุมด้วยรีโมทคอนโทรล

   บ่ายลงไปเล่นน้ำสระกัน ยังไม่เย็นมากก็ต้องรีบออกไปหาของกิน เพราะกลัวคนแน่น คืนนี้ภรรยาผมเลือกร้านลาแมร์ บนเขาตะเกียบ ร้านที่มีจุดชมวิวสวยที่สุดในหัวหิน
   รสชาติอาหารก็พอใช้ครับ วิวสวยจริง แต่บรรยากาศยังไม่ประทับใจ ไอ้วิวก็ส่วนวิว บรรยากาศก็ส่วนบรรยากาศ คนละเรื่องกันนะครับ วิวสร้างกันไม่ได้ ส่วนบรรยากาศสร้างกันได้
   กินเสร็จก็รีบกลับทันที รถติดมากๆ แวะชม “เพลินวาน” กันหน่อย ทางผ่านพอดี สถานที่นี้แนะนำให้มากลางคืนนะครับ กลางวันร้อนตายห่าเลย มันเหมาะสำหรับหนุ่มสาว หรือคนที่ว่างๆ แล้วอยากชื่นชมอารมณ์ย้อนยุค ภายในจัดแสดงร้านค้าจำลองบรรยากาศเก่าๆ คล้ายอัมพวาในบางจุด เข้าฟรีครับ แต่จอดรถเสียเงินคันละ 40 บาท ภายในมีอาหารขายหลายอย่าง ที่กินแล้วประทับใจคือโกโก้เย็น แก้วละ 40 และไอศครีมโบราณ ถ้วยละ 35 บาท นั่งกินในร้านนะ ถ่ายรูปออกมาอย่างสวยเลย ภายในเขาจัดแสงไว้อย่างดี ถ่ายออกมาแสงสวยทุกมุม

   กลับมาบ้านเอาตอน 0830 แม่ชอบดูละคร ภรรยาชอบฟังเพลง ใครชอบอย่างไรก็ตามอัธยาศัย เข้าห้องใครห้องมัน ส่วนผมดูรายการ Spunge กับลูกจนเข้านอน
   
15 เมษ 54
   ลูกตื่นตั้งแต่ตี 5 เลยพากันนั่งเล่นริมระเบียง ดูพระอาทิตย์ขึ้น เป็นวิวดีสวยมาก แต่ดูได้แป๊บเดียวแดดก็แรงเสียแล้ว
   เช้าพากันไปกินอาหารง่ายๆ ในตลาด คนผู้คนเยอะมาก ผมไม่คุ้นเคยกับหัวหิน มาไม่บ่อย แต่เห็นคนยืนต่อคิวหน้าร้านอาหารเป็นนักท่องเที่ยวทั้่งนั้น ซึงพวกนี้เขาเน้นกินง่าย กินสะดวก หรือไม่ก็อ่านมาจาก Guide Book ที่ขายตามร้านหนังสือ ในเวปบ้าง
   แต่พ่อแม่หิว อยากกินเร็วๆ เลยรีบเข้าร้านหนึ่งแถวๆ นั้น กินโจ๊กกัน ส่วนผมเลือกต้มเลือดหมู รสชาติกลางๆ ไม่ถึงกับอร่อยมากจนติดใจหรือบอกต่อ
   “วิธีหาร้านอร่อย เราต้องดูร้านที่คนท้องถิ่นเขากินกันครับ” ผมมีวิธีคิดแบบนี้ แม้จะไม่ถูกไปเสียทั้งหมด แต่เชื่อเถอะ ไม่ผิดหวังหรอก
   ร้านค้าในตลาดขายดีจนถึงขนาดร้านปาท่องโก๋ยังต้องต่อคิวกันซื้อ ขายตัวละ 2 บาท ผมพาขับรถตระเวณรอบๆ ตลาด เจอร้านหนึ่งแถวสถานีรถไฟ มีชาวบ้านมายืนต่อคิวซื้อ ที่รู้ว่าชาวบ้านเพราะเขาขี่มอเตอร์ไซค์แบบผู้หญิงเก่าๆ แต่งตัวแบบชาวบ้านจริงๆ
   “ร้านนี้แหละครับ อร่อย แต่จะชอบกินกันไหมไม่รู้นะ” ผมพูดขึ้นมาลอยๆ เพราะยังมองไม่ออกว่าเป็นร้านขายอะไร ไม่มีป้ายบอก เป็นแค่เพิงข้างทางใต้ต้นไม้หัวมุมถนน
   “ร้านขายปาท่องโก๋พ่อ”
   “จอดๆ ๆ ๆ”
   ผมเบนซ้ายจอดหลบข้างทาง ภรรยาและลูกผมลงไปซื้อ สักพักกลับมาพร้อมถุงใหญ่ ร้านนี้ขายปาท่องโก๋ตัวละ 1 บาท ตัวขนาดกลางๆ ไม่เล็กจิ๋ว แถมรสชาติดีอีกด้วย ต้องจำไว้ในเมมโมรี่
   กินอิ่มกลับบ้าน ลูกกับภรรยานอนหลับ กลางวันออกหากินอีกแล้ว เลือกร้านอาหารไทยเก่าแก่ตามใจแม่ผม แต่กว่าจะจอดรถได้ก็นาน แถมไปที่ร้านแล้วเจอคิวยาวเหยียด แม่ถอดใจ ตามใจลูกผมที่เขาเลือกกินพิซ่า
   ถ้าจะกินพิซ่าก็ไปร้านเฉพาะทางดีกว่า แถวหัวหินมีร้าน Pizza Pizza by ญานี อยู่ในวิลล่าซูเปอร์มาเก็ต กินกันแบบไม่เยอะมาก พิซซ่าขนาดกลางถาดเดียว แซลมอนรมควัน ปลาหมึกทอด 2 จาน สปาเก็ตตี้เบคอน ขนมปังกระเทียม และน้ำเปล่า คิดเงินออกมา 1500 บาท จ่ายไปแบบงงงง กลับมาบ้านยังงงต่อเลย เข็ดอีกด้วย ถ้ารวยก็ไม่คิดอะไรมาก รสชาติดีใช้ได้ครับ ใครเงินถึง หรือเลี้่ยงแขกล่ะก็ แนะนำไปเลย
   
   บ่ายแก่ๆ มีคนเล่น Kite Surfing เป็นกีฬาผาดโผนที่ฮิตมาเป็นสิบปีแล้ว แต่ผมไม่เคยได้สัมผัส ตั้งแต่มีลูกมานี่ ชีวิตผมเปลี่ยนไปเยอะมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการงาน และจะมาหนักหนาที่สุดในเรื่องเวลาส่วนตัว
   นั่งดูเขาไป เราก็อยากเล่นไปด้วย นี่ถ้ายังโสดล่ะก็ กีฬาผาดโผนที่เล่นคนเดียวมักจะเสร็จผมหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกีฬาทางน้ำ แต่ลึกๆ ในใจ ผมยังฝังตรึงกับเรือใบอยู่ โดยเฉพาะเรือแบบ Catamaran
   
   อ้าวเย็นอีกแล้ว ต้องออกหากินอีกแล้ว ยังอิ่มอยู่เลย ทำไงดี ถ้าไม่รีบออกไปคนก็จะแน่น ต้องรอดึกๆ ไปเลย นี่ถ้าอยู่เอาจักรยานมาก็ดีสินะ คงจะขี่ร่อนตลุยรอบเมือง
   ไปกินอาหารทะเลกันที่ร้านปูเป็น เชิงเขาตะเกียบ ดูภายนอกบรรยากาศโอเค รถจอดกินกันเยอะ ไม่น่าผิดหวัง แต่เราคิดผิด
   ร้านชื่อปูเป็น เขียนตัวโปรยใต้ชื่อร้านทำนองว่าเป็นสวรรค์ของคนรักปู บ๊ะ ได้ใจ
   สั่งปูม้ามา 1 กก ราว 4 ตัว แต่พอมาเสริ์ฟ เฮ้ยย ปูเย็น
   แบบนี้มันหลอกกันนี่หว่า เอาปูเก่ามาอุ่นให้เรา แถมคิดราคาปูเป็นๆ คือ กก ละ 550 บาท ไล่ให้ไปเอามาใหม่ ใจเราคิดว่าเขาจะสำนึกผิด เอาปูเป็นๆ มานึ่งให้ แต่เปล่า เขาเอาจานเก่าของเรา ไปอุ่น บ๊ะ สุดยอดดดด (แย่)
   มาเสิร์ฟปู แต่ไม่เอาน้ำจิ้มมาให้ ต้องเรียกขออยู่ 3 ครั้ง 3 คน พอได้น้ำจิ้มมาก็ตกใจอีกรอบ มันเป็นน้ำจิ้มเก่าๆ คงไม่ได้เอาน้ำจิ้มที่เหลือของคนอื่นมาให้หรอก แต่เป็นน้ำจิ้มที่เขาทำเก็บไว้นานแล้ว แถมใส่ผงชูรสในน้ำจิ้มเยอะ ดูได้จากมีฟองสีขาวผสมปนอยู่
   เอาเป็นว่าโดนหลอก เอาปูเก่ามาให้ เสียความรู้สึก
   แต่อาหารที่อร่อยก็คือปลาหมึกแดดเดียว เขาเอาปลาหมึกไปตากแดด แล้วนำมาทอด ชอบตรงที่เป็นปลาหมึกที่เนื้อไม่เหนียวเลย นุ่มมากๆ ผมกินคนเดียวเกือบหมดจาน
   ขากลับผ่านตัวเมือง กะจะเดินเล่นที่ตลาดกลางคืน แต่ไม่มีที่จอดรถ เลยอด นี่คือข้อเสียของการขับรถยนต์มาครับ ถ้าเป็นจักรยานล่ะก็สบายบรื๋อ นึกจะจอดไหนก็ล็อคมันไว้หน้าร้านได้เลย
Title: Re: เมษ 54
Post by: O'Pern on April 18, 2011, 04:29:40 pm
16 เมษ 54
   ผมบอกให้ทุกคนเตรียมออกไปกินอาหารแต่เช้า จะได้เลือกร้านได้ง่าย จอดรถสบาย แดดก็ไม่ร้อน คนก็ยังไม่เยอะ นั่งกินสะดวก ทุกคนเห็นด้วย เลยได้กินต้มเลือดหมู ขากลับซื้อปาท่องโก๋มากินกับน้ำเต้าหู้กันอีก
   วันนี้จะกลับกรุงเทพฯ แล้วครับ ไม่อยากกลับเลย ฮือๆ ๆ ๆ ๆ ชีวิตไฮโซสุดหรูของเราจะสิ้นสุดลงแล้วหรือนี่ โอ ไม่นะ ไม่ ไม่ ไม่
   
   กลับมาสู่โลกแห่งความจริงครับ ออกจากหัวหินตอนสายๆ เหตุผลเดียวคือหนีรถติด แวะ Premium Outlet ให้พ่อแม่เดินเล่น ผู้ใหญ่เขาไม่ค่อยรู้จักร้านพวกนี้กัน แต่ถ้าเป็นเรื่องอาหารการกินล่ะก็ของโปรด ร้านไหนอะไรเด็ด ถามมาได้ จัดให้เลย
   พ่อซื้อรองเท้า แม่ซื้อเสื้อ ส่วนผมไม่มองร้านพวกนี้หรอกครับ ไม่เคยอยู่ในสายตา เพราะมันแพง ต่อให้ลดราคาแล้ว 30% ก็ยั้งไม่กล้าสู้
   
   แวะกินอาหารกลางวันที่มหาชัย ร้านคุณตุ่ม กินแก้เผ็ดร้านปูเป็นที่เสียความรู้สึก ร้านคุณตุ่มนี้โด่งดังมาก ถึงขนาดต้องโทรมาจองโต๊ะ ยังไม่พอครับ ต้องโทรจองปู และปลาอีกด้วย ไม่งั้นมาแล้วต้องคอยลุ้นว่าของสดยังมีเหลือไหม
   พ่อสั่งปูผัดพริกขี้หนูมาให้ลองกินกัน ผมเพิ่งเคยกิน รสชาติอร่อยดีมากๆ จะเลือกปูเป็นมาผัดก็ได้ (จ่ายหลายร้อยหน่อย) หรือจะเลือกให้เขาเอาเนื่อปูล้วนๆ มาผัดก็ได้ จานละ 200 บาท ของกินเต็มโต๊ะ แต่ผมติดใจจานนี้จานเดียว
   กลับมาถึงบ้านเอาตอน 0230 ลงจากรถมาปุ๊บก็เจอไอร้อนพัดวูบ ทำให้คิดถึงลมหนาวหวนคืนเมื่อสามสัปดาห์ก่อน พอเข้าบ้านได้ก็รีบอาบน้ำทันที ลองชั่งน้ำหนักดูะเสียหน่อย เพราะกินเยอะมา 3 วัน 9 มื้อเต็มๆ แถมไม่ได้ออกกำลังกายสักนิด
   โอ้ ไม่นะ น้ำหนักขึ้นมา 2 กก ถ้าเป็นการ์ตูน ก็จะมีภาพผมตาเหลือก และมีเหงื่อเม็ดโตๆ หยดลงมา
   เปิดคอมพิวเตอร์ออนไลน์ทำงาน พบว่าความเร็วของที่กรุงเทพฯ กับที่หัวหินที่เป็นเครือข่าย 3G มันเร็วพอๆ กันเลยว่ะ แหม เห็นสัญญาณขึ้นตัวหนังสือ 3G ขึ้นมา เราแสนจะดีใจไฮเทค คิดว่ามันจะส่งถ่ายออนไลน์รับส่งข้อมูลได้อย่างรวดเร็วเหมือนที่เขาโฆษณา
   
เข้าเวปจักรยาน มีการพูดถึงการใช้งานของจักรยานในชีวิตประจำวัน แล้วมีบางคนช่างเปรียบเทียบกับรถยนต์ ทำนองว่า ขี่จักรยานแทนรถยนต์ประหยัดเงินได้วันละเท่านั้นเท่านี้บาท แรกๆ อ่านดูก็เฉยๆ พอนานเข้า หลายคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นมากขึ้น ผมเริ่มคิดแปลกๆ ไปอีกแง่
   แน่นอน ขี่จักรยานประหยัดกว่าขับรถยนต์เห็นๆ อันนี้เราคิดง่ายๆ เลยนะ ลองนึกภาพขี่จักรยานไปตลาดแถวบ้าน กับขับรถยนต์ไป เทียบแบบนี้เห็นภาพชัด แม้ระยะทางไม่ไกล แต่การเอารถยนต์ออกขับ มันคือการสิ้นเปลืองอย่างมาก
   เอาเป็นว่า ถ้าระยะทางสั้นๆ ผมเห็นด้วยในแง่การประหยัดเงิน
   แต่พอมีการเปรีบบเทียบเข้า บางคนเล่าว่าขี่ปีละ 5000 กม ประหยัดได้เป็นหมื่นบาท ใช้รถคุ้มแล้ว (ฟังดูดีเน๊อะ)
   ประเด็นที่ผมคิด แต่ไม่กล้าโพส ก็คือ คุณคิดคำนวนค่าความเสี่ยงชีวิตของตัวเองขณะอยู่บนท้องถนนบ้างหรือเปล่า
   ประหยัดเงินค่าน้ำมัน ค่าเดินทางต่างๆ แถมได้ออกกำลังกายร่างกายแข็งแรงอีกด้วย มันก็จริงอยู่ แล้วคิดถึงเรื่องปอดของเราที่สูดเอาสารตะกั่ว ควันพิษ เข้าไปในร่างกายกันสักแค่ไหน แถมยังต้องคิดเรื่องอุบัติเหตุเฉี่ยวชน ล้ม และการเสี่ยงตายในอีกสารพัดรูปแบบ
   ติงให้คิดเฉยๆ ครับ ผมเองก็มีชีวิตขี่จักรยานบนท้องถนนเหมือนกันนี่แหละ ไม่ได้ต่อต้านการขี่จักรยานแต่อย่างใด เหรียญมีสองด้าน อีกทั้งลักษณะงานส่วนตัวของผมมักจะต้องใช้สมองคิดกลับไปกลับมา มิได้จะมาต่อต้านการขี่จักรยานแต่อย่างใดครับ

17 เมษ 54
   เทศกาลไดเอทกลับมาอีกครั้ง ทั้งๆ ที่ว่ายากอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้ยากเสียยิ่งกว่า เพราะผมหลังเจ็บ ขี่จักยานทางไกลไม่ได้ ยกของไม่ได้ ออกแรงที่ต้องใช้หลังไม่ได้เลยสักนิด แต่แทนที่จะคิดลบ เราต้องคิดบวกสินะ บ๊ะ มันท้าทายดีว่ะ
   ต้องลดน้ำหนัก ลดพุง ในขณะที่ตัวเรายังออกกำลังกายมากนักไม่ได้ นี่คือโจทย์ใหม่ของผมครับ

   ตื่นแต่เช้าก็จริง แต่ไม่ได้เอาจักรยานออกขี่ อาการเจ็บหลังดีขึ้น แต่มันเหมือนกับว่าดีขึ้นแค่วันละสัก 1% เท่านั้นเอง ลูกอยากไปกินก๋วยเตี๋ยวที่ตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง ยกขบวนกันไป แต่ก็ไปเจอพ่อกับแม่ของผมที่นั่นโดยบังเอิญ
   ซัดก๋วยเตี๋ยวต้มยำคนละ 2 ชาม อย่าตกใจ มันชามเล็กๆ เหมือนก๋วยเตี๋ยวเรือ เมื่อก่อนชามละ 12 บาท ตอนนี้ขึ้นเป็น 15 บาทแล้ว
   ลูกไปเรียนพิเศษต่อ กลางวันกินกันที่ร้าน Sizzler เพราะจะได้กินสลัดผักเยอะๆ ผมเลือกสั่งเมนูที่ราคาถูกสุด 189 บาท เป็นสเต็กไก่พริกไทยดำ ต้องลอกหนังออกก่อนกิน ลดไขมันไปได้นิดหน่อย แต่มื้อนี้คงจะไม่ได้ช่วยลดน้ำหนักเท่าไหร่ เพราะมีการกินของหวานตบท้าย
   แดดแรงจัดเลยครับ เดินออกนอกอาคารหน่อยเดียวก็แสบผิวไปหมด นึกถึงว่าถ้าเราขี่จักรยานแล้วเจอบรรยากาศแบบนี้อาจมีการถอดใจกันได้ง่ายๆ แสงแดดแรงๆ มันทำให้ร่างกายและสายตาเราอ่อนล้าได้ง่ายจริงๆ แถมยิ่งเสียเหงื่อมากอีกด้วย ถ้าเจอในสถานการณ์ขึ้นเขาด้วยแล้ว ผมถือว่าสาหัส แต่ถ้าผ่านมาได้ มันจะเป็นความทรงจำไปตลอดชีวิต เหมือนขี่ขึ้นดอยอินทนนน์นั่นแหละครับ ขึ้นได้ครั้งเดียว เก็บเอาไปคุยได้ตลอดชีวิต
   
   มื้อเย็นยังไม่เต็มอิ่มกับอาหารทะเล ไปหาซื้อปูทะเลสดๆ (แถวบ้านผมมีขายเยอะ) มานึ่งเอง ทำน้ำจิ้มกันเองที่บ้าน กินกันสั่งลาทะเลไปเลย ผมหยิบเอาเนื้อปูผัดพริกขี้หนูที่กินเหลือจากร้านคุณตุ่มที่มหาชัยมาอุ่น ให้แม่บ้านที่ชื่อ “ดี” ทดลองชิม เขาพิจารณาสักครู่ แล้วตอบมาว่า พอทำได้ค่ะ บ๊ะ แจ๋วจริง
Title: Re: เมษ 54
Post by: O'Pern on April 18, 2011, 06:17:14 pm
18 เมษ 54
   เช้านี้ใครไม่บ่นรถติด ก็คงเป็นคนทีทำงานโดยไม่ต้องขับรถยนต์ หรือไม่ก็แอบออกแต่เช้าตรู่ไปแล้ว
   อย่างที่เคยบอก วันที่รถติดกันทั่วเมือง ฝั่งธนฯดูจะไม่ค่อยจะมีปัญหาเหมือนฝั่งพระนคร เพราะชุมชนมันเล็กกว่ากันเยอะ มีถนนสายใหญ่ๆ ให้รถติดไม่กี่สาย จรัลสนิทวงศ์ เพชรเกษม นอกนั้นจะเป็นแค่สี่แยก
   แดดแรงจัดแต่เช้า น่าเบื่อจริงๆ โดดแดดเผาทีไร ผมอดคิดถึงตัวเองตอนขี่จักรยานทางไกลไม่ได้ คิดไปพลางว่า เราเองจะถอดใจหรือไม่ จะทนขี่กลางแดดจัดๆ ได้ตลอดเช้าจรดเย็นไปสักกี่วันกันเชียว
   เปิดงานวันแรกหลังจากหยุดยาว คนงานขาดไป 2 คน นี่ถ้าผมไม่เจ็บหลัง ก็คงต้องออกไปติดรถส่งของแน่นอน เปิดร้านมาสินค้าก็ขาดสต็อคไปมาก ต้องไปเบิกสินค้าจากในโกดังมาไว้ที่หน้าร้าน นี่แหละ หน้าที่ของผม ขนสินค้าจากโกดังไปหน้าร้านอยู่หลายเที่ยวจนถึงบ่ายแก่ๆ จึงไปรับลูก
   แม้ตอนเช้าจะเพิ่งไปส่งมาหยกๆ แต่พอเจอหน้าเขาตอนบ่าย ผมแสนจะดีใจ ทำยังกะไม่ได้เจอกันเป็นเดือนเป็นปี เว่อร์จริงๆ
   มาถึงบ้าน ลูกชวนเล่น Lego กัน แหม ได้สิ Lego นี่คือของเล่นชิ้นโปรดของผมตอนเด็ก ผมมีของเล่นอยู่อย่างเดียวคือเจ้า Lego นี่แหละครับ ต่อแล้วต่ออีก แรกๆ ก็ต่อตามแบบข้างกล่อง หลังๆ พอฝีมือแตกฉานก็เล่นต่อตามจิตนาการ ไม่รู้มันมีส่วนเกื้อกูลกันไหมที่ทำให้ทุกวันนี้ผมทำงานด้วยการใช้สมองและจิตนาการได้อย่างคล่องแคล่วมากๆ ยิ่งได้โจทย์ยากๆ ยิ่งชอบ ยิ่งงานไหนใครไม่อยากทำ ไม่กล้าทำ ผมขอวิ่งเข้าใส่เลย
   คนที่มาหาผมแต่ละคนมักจะได้ไอเดียแปลกประหลาดกลับไป ยอมรับนะว่าบ้างก็ชอบ บ้างก็บอกว่าบ้า ใจใครใจมันครับ บางคนก็ชอบสุดใจ บ้างก็เกลียดกันไปข้างหนึ่งเลยก็มี โดยเฉพาะมาเจอแบบบ้านสองชั้นไม่มีบันได ห้องน้ำสองชั้น หรือบ้านสองชั้นที่มีชั้นลอยแบบปรับระดับได้
   งานในไทยช่วง มีแต่พวกงานบ้านเป็นหลัก ถ้าเป็นเมื่อก่อนล่ะก็รถยนต์ล้วนๆ เลยครับ
Title: Re: เมษ 54
Post by: O'Pern on April 19, 2011, 06:00:32 pm
19 เมษ 54
   ผมซ้อมแพ็คของ สเปคของใช้ตอนออกขี่จักรยานทัวริ่งทริปใหญ่ที่ผมวางเอง ทีต้องสเปคของใช้ใหม่หมด เพราะจะให้มันใช้ของน้อยลงกว่าเดิมอย่างน้อย 30% จากเดิมที่จัดข้าวของอย่างดีแล้ว ก็ต้องมาคิดอีกรอบ สนุกดีเหมือนกันครับ จำลองบรรยากาศคล้ายกับว่าจะออกเดินทางจริงๆ อย่างนั้นแหละ
   เช้านี้ผมต้องยกของอีกแล้วครับ หยุดพักได้แค่ไม่กี่วัน หลังยังไม่ทันหายเจ็บดีเลย ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะแก้ปัญหาอย่างไรดี คิดง่ายๆ คิดตื่นๆ แบบผมก็คงต้่องเปลี่ยนงานใหม่ แล้วหลังผมมันจะได้หายดีหรือไม่วะนี่ คงจะได้หยุดพักจริงจังก็ต่อเมื่อเข้าโรงพยาลแน่ๆ
   คนงานขาดไป 3 คน เล่นเอาผมอ่วมเลย สาบานได้เลยว่างานต่อไปที่ผมทำ จะต้องไม่เป็นงานที่พึ่งพาแรงงานจากใคร
   ฝนตกหนักตอนสาย ผมขี่จักรยานจดออเดอร์ลูกค้าท่ามกลางสายฝน กลับมาถึงร้านอย่างเปียกโชก ต้องยืนหน้าบ้านให้น้ำหยดจนเกือบหมด ถึงจะเดินเข้ามาข้างใน
   ไม่ได้นำชุดมาเปลี่ยนครับ ผมเปียกฝนเป็นประจำ แต่ไม่เคยถึงกับเปียกโชกขนาดนี้มาก่อน ทำได้แค่ถอดเสื้อและกางเกงออกมาผึ่ง โชคดีค้นเจอกางเกงขาสั้นเก่าๆ ตัวหนึ่ง ก็ใส่มันแค่นี้แหละครับ ท่อนบนเปลือยอก
   บ่ายไปรับลูก รีบกลับบ้านมาเล่น Lego กันต่อจากเมื่อวาน ต่อค้างกันไว้เยอะเลย ผมต่อเป็นสถานีอวกาศ มียานรบต่างๆ คอยปกป้อง ลูกเห็นก็เอาบ้าง อย่างที่บอกไว้เสมอ ว่าเด็กเขาชอบทำเลียนแบบ ถ้าได้ตัวอย่างดีเด็กก็จะดี แต่ถ้าได้ตัวอย่างแย่ๆ เด็กก็จะเป็นไปตามนั้น
   เพราะฉะนั้น การปล่อยให้เด็กดูทีวี ดู CD / DVD เล่นเกมส์ หรือใช้คอมพิวเตอร์โดยลำพังเป็นเวลานานๆ นั้นไม่เป็นประโยชน์ใดๆ เลยแม้แต่น้อย เสียทั้งการเรียนรู้ เสียทั้งสายตา และทำให้เป็นคนมีสมาธิสั้นได้อีกด้วย
   แต่นั่งเล่นได้ไม่นาน ผมปวดหลัง นั่งท่าเดิมๆ นานๆ ไม่ได้เลย ต้องเปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ เซ็งเหี้ยๆ

   วันนี้ทองคำขึ้นไปทำสถิติสูงสุดถึง 21000 บาท ตกแตกตื่นกันใหญ่ แต่ไม่ต้องห่วง ถ้าใครเล่นทองคำก็ยังช้อนซื้อได้ เพราะมันจะขึ้นไปอีกจนถึง 22000 ครับ
Title: Re: เมษ 54 14-16 หัวหิน
Post by: O'Pern on April 21, 2011, 04:43:29 am
20 เมษ 54
   ท่ามกลางอากาศร้อนจัด จู่ๆ ก็มีหย่อมความกดอากาศสูงลงมาจากจีน พอปะทะกับไอร้อนที่อยู่ในไทย ก็กลายเป็นพายุฝนฟ้าคะนอง และพายุ ที่ไหนร้อนจัด มาเจอไอเย็นจัด ก็จะรุนแรงหน่อย ดังเช่นในภาคเหนือ ภาคอีสาน
   เมือวานก็ยกของไปแล้ว จึงไมใช่เรื่องแปลกที่วันนี้ต้องมายกกันอีก แต่แล้วก็เจอเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ตอนบ่ายผมถูกส่งไปช่วยงานยกของกับอีกร้านหนึ่ง เป็นร้านในเครือเดียวกัน ร้านนี้ใหญ่โตเสียด้วยสิ แน่นอน ผมต้องยกของอีกเยอะมาก
   รีบไปรับลูก แล้วบอกเขาว่าพ่อต้องไปทำงานยกของที่ร้านอีกแห่งหนึ่งนะ ลูกอยู่บ้านเล่นคนเดียวได้ไหม เขาทำหน้างง เพราะปกติผมจะอยู่กับเขาตลอดเวลา แต่ก็รับคำอย่างว่าง่าย
   “ลูกรับปากพ่ออย่างหนึ่งได้ไหม” พูดขณะผมกุมมือเขา ขณะขับรถ
   มิวหันมามอง ทำหน้าสงสัย
   “จงอย่าละทิ้งความฝันของตัวเองนะ ต้องพยายามให้มากนะ ยากลำบากก็ต้องอดทนนะลูก”
   “ครับ” เขาตอบสั้นๆ ผมไม่รู้ว่าเด็กอายุ 9 ปี จะมีความคิดลึกซึ้งเพียงใด ผมแค่อยากให้เวลาที่อยู่กับลูกให้คุ้มค่ามากที่สุด ผมไม่อยากเสียดายเวลาย้อนหลัง

   ส่งลูกถึงบ้านแล้ว ผมก็ไปยังร้านค้าอีกแห่งทันที
   ร้านนี้ใช้รถบรรทุกสิบล้อ ท้ายรถของมันสูงราวหน้าอก จะของของขึ้นใส่ มันก็ใช้แรงมากกว่ายกใส่รถกระบะทั่วไป ยกสูงก็แย่แล้ว ยังต้องยกเยอะอีก เพราะกว่าจะเต็มรถ มันยกกันอยู่นานในสภาพที่หลังเจ็บอยู่
   เจ็บก็พัก อย่างที่บอกไป พอรถคันใหม่มาก็ยกต่อ ชีวิตคนงานมีง่ายๆ แค่นี้ ไม่ต้องคิด ไม่ต้องใช้สมอง ใช้แรงอย่างเดียว จะว่าไปก็ดีเหมือนกัน (ถ้าชอบ)
   ปกติถ้าอยู่ร้านแรก ผมจะมีห้องแอร์ให้นั่งตอนทำงานเอกสาร แต่มาร้านนี้ มายกของอย่างเดียว โน่นเลย ไปนั่งโน่น ที่กองสินค้าโน่น
   ตกบ่ายหิวจัด แต่ไม่มีอะไรกิน ข้าวกลางวันก็ไม่ได้กินมา ทนไปจนถึงเย็นค่ำนั่นแหละ
   วันนี้วันแรก อยู่ตั้งแต่ 0330 จนถึงทุ่มกว่า กลับเข้าบ้านแบบไม่สุขใจสักนิด

เป็นอีกหนึ่งวันชีวิตผมไม่มีความสุขเลยแม้แต่น้อยครับ
Title: Re: เมษ 54 14-16 หัวหิน
Post by: O'Pern on April 21, 2011, 06:55:19 pm
21 เมษ 54
   ลืมตาโพลงขึ้นมาตอนตี 3 จิตใจว้าวุ่น มันเลยนอนไม่หลับทั้งๆ ที่ผมเข้านอนตามปกติ
   ใจมันคิดกลัวไปล่วงหน้าแล้วว่าวันนี้เราจะต้องเจอกับอะไรบ้าง ลำพังร้านแรกที่เราไปช่วยงานก็แย่แล้ว นี่ตอนบ่ายต้องมาช่วยยกของให้อีกร้านหนึ่งอีกในขณะที่หลังก็ยังเจ็บอยู่
   ทางเลือกมีแค่จะทำ หรือเลิกทำ
   ถ้าทำต่อก็ทำไป ไม่ต้องบ่น ยกมันไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก จบ
   แต่ถ้าไม่ทำ ก็ต้องปรับชีวิตกันใหม่หมด คือหางานใหม่ ลำพังส่วนตัวผมไม่เคยกลัวการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะการลิขิตชีวิตตัวเอง ที่ทนอยู่ทุกวันนี้เพราะเหตุผลเดียวคือ ต้องการช่วยพ่อแม่ในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่ด้วยกัน ผมรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองยังไม่ค่อยทำประโยชน์อะไรให้แก่ครอบครัวที่เลี้ยงดูผมมาเลย
   จะว่าไปแล้ว มันคือการทดแทนบุญคุณดีๆ นี่แหละครับ สิ่งง่ายๆ ที่ลูกทุกคนทำได้
   แล้วความฝันของผมล่ะ อนาคตของผมล่ะ ใจอีกด้านหนึ่งของผมที่อยู่เงียบๆ มันเรียกร้องขึ้นมาบ้าง
   หรือจะต้องสละความฝันตัวเอง เพื่อช่วยเหลือครอบครัว ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ฝันของตัวเอง ทำไปก็มีความสุขเองคนเดียว แต่ถ้าไปช่วยครอบครัว พ่อ แม่ ภรรยา ดูเขาจะมีความสุขมากกว่า
   เอา ได้ครับ การทำให้คนรอบข้างมีความสุข ก็ถือว่าทำตัวเป็นประโยชน์อีกอย่างหนึง ทั้งๆ ที่รู้ว่า การทำแบบนี้ มันยิ่งทำให้เดินห่างฝันของตัวเองไปทุกทีๆ รู้สึกเหมือนเดินมาผิดทาง ไม่ใช่หลงทางนะ แต่เป็นการเดินทางผิดโดยที่ตัวเองรู้เป็นอย่างดี

   เช้าไปส่งลูก ออกไปทำงานร้าน 1 จนถึงบ่าย ขากลับแวะซื้อเต้าฮวยมากินที่บ้าน มีเวลาส่วนตัวเล็กน้อยราว 1 ชม แล้วก็ไปรับลูก มาส่งบ้าน ออกไปทำงานร้าน 2 จนถึงร้านปิด นี่คือชีวิตวันนี้ครับ
   
   อาการเดิมมันออก นั่ง นอน ยืน เดิน หรือทำอิริยาบถใดๆ นานๆ ก็จะเจ็บหลัง จะเจ็บมากตอนยกของ เจ้าของร้านก็รู้ บอกให้ผมไม่ต้องยกของ แค่ให้ยืนดูคนงานยกอย่างเดียว แค่เช็คของก็พอ
   มันก็ทำได้เฉพาะแค่ตอนคนงานมานั่นแหละครับ  ถ้าคนงานอู้ เดินไปเดินมา เข้าห้องน้ำ กินข้าว ฯลฯ หรือคนงานขาดงาน มันก็ไม่มีใครมายก สินค้ากองอยู่ท้ายรถตรงหน้า ถ้าไม่ทำ มันก็ไม่เสร็จ ไม่เสร็จ ก็ยังไม่เลิกงาน ก็ยังกลับบ้านไม่ได้    
   แต่งานยกของหนักนี่มันก็ไม่ได้ถึงกับยกกันตลอดเวลาหรอกนะ ยกเฉพาะตอนนำสินค้าส่ง ช่วงว่างก็มี วันนี้แก้เบื่อด้วยการนำหนังสือมานั่งอ่านเล่นตอนว่าง ก็ช่วยได้ดีทีเดียว ติดที่ตอนหัวค่ำยุงเยอะไปหน่อย พรุ่งนี้อาจต้องมีสเปรย์กันยุงติดมาด้วย
Title: Re: เมษ 54 14-16 หัวหิน
Post by: O'Pern on April 22, 2011, 06:33:47 pm
22 เมษ 54
   เช้าวันศุกร์ แต่ผมไม่เห็นจะสุขตรงไหน ไม่ได้ขี่จักรยานตอนเช้ามานานมาก ดีที่ทักษะการขี่จักรยานของเรามันติดตัวไปตลอดชีวิต ไม่งั้นคงมีการลืมกันบ้าง
   ตอนสาย เพื่อนชื่อ “กลม” เอ๊ะ ชื่อมันเขียนว่าอย่างไรวะ “กรม” หรือ “กม” ผมไม่รู้ ไม่เคยถาม รู้จักกัน เจอหน้ากันครั้งแรกเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ตอนนั้นกลมทำงานที่ Ford ส่วนผมทำนิตยสาร Racing Club เจอกันหนเดียวนี่แหละ แต่คุยกันจนถึงวันนี้
   กลมอ่าน Diary ที่ผมเล่าเรื่องราว รู้ว่าผมปวดหลัง โทรมาแนะนำหมอจับเส้นของจีน แต่ตัวหมอเป็นคนไทย ผมขอบใจเขาไป บอกว่าตัวเองอาการดีขึ้นพอควรแล้ว ถึงขั้นกลับมายกของหนักได้แบบเดิมแล้ว เพียงแต่ถ้ายกนานๆ มันจะเจ็บ
   ปิดท้ายด้วยการชวนผมไปขี่จักรยานที่สิงคโปร์ บ๊ะ เข้าท่าฉิบเป๋ง ผมตอบตกลงไปโดยที่ไม่ได้ดูตารางงานล่วงหน้าเลยด้วยซ้ำ
   “เราไปกันเดือนสิงหานะเปิ้ล ถ้ามาได้ก็มานะ มาแจมแค่ไม่กี่วันก็ได้นะ”
   กลม เพื่อนเก่าแก่ เราไม่เคยขี่จักยานด้วยกันสักครั้ง นี่อาจเป็นครั้งแรก
   “ผมไปกับกลมได้ไหม จะได้โหลดจักรยานพร้อมกัน จะได้มีเพื่อน”
   “กลุ่มเราจองตั๋วไว้เรียบร้อยตั้งแต่ที่แล้ว และเราไม่ได้เอาจักรยานไป เปิ้ลไม่ต้องห่วง รถที่โน่นมีเพียบ คุ้นๆว่ามี Trek คันเล็กหน่อยเหลืออยู่”
   “เฮ้ย มีรถให้ด้วยหรอ แจ๋วว่ะ แบบนี้ไม่ต้องขนไปเองหรอก เอาสิทธิในการขนของ 20 กก ไปหิ้วของใช้ยังจะดีเสียกว่า”
   อันที่จริงกลมเขาชวนผมมาหลายปีแล้วล่ะครับ ผมเองต่างหากที่เคลียร์ตัวเองไม่ทัน มาปีนี้ไม่น่าจะพลาดแล้วนะ
   
   กลางวันไปทำธุระที่สำนักงานเขตพระนคร ผมไม่เคยไปมาก่อน กลัวจอดรถยาก เห็นบอกว่าอยู่แถวบางลำภูด้วย ยิ่งไม่กล้าเสี่ยง เลยขี่จักรยานไป พอไปถึง โอ้โห จอดรถยนต์สะดวกมากๆ เป็นสำนักงานเขตที่ใหญ่โตพอควร (แต่แพ้เขตจอมทองแถวบ้านผม จอดรถได้แล้ว ยังเตะฟุตบอลได้อีกหลายวง รวมถึงเต้นแอโรบิคด้วย) ลองมาเทียบกับเขตคลองสานแล้วคนละเรื่อง เขตคลองสานเล็กมากๆ ไปทำธุระต้องขี่จักรยานไปเท่านั้น
   ขากลับแวะร้าน VeloThailand สามเสนซอย 4 ผมเล็งเอาไว้นานแล้ว แต่ร้านนี้อยู่ในซอย ถ้าไม่มีธุระแถวนั้นคงเข้าไปยาก จอดรถยนต์ก็ไม่สะดวก ดูจากหน้าเวปผมคิดว่าร้านใหญ่ เขาเป็นร้านแค่ห้องเดียวเอง แต่มีจักรานเช่าวางไว้เรียงรายเป็นสิบคัน ดูเหมือนร้านจักรยานเช่าเสียมากกว่าร้านขายจักรยาน คงใกล้ถนนข้าวสาร แถวนั้นฝรั่งเยอะ
   แดดแรงจัดครับ ผมใส่ถุงแขน ผ้าคลุมปิดหน้า มีหมวกปีกกว้างอีกใบ ใส่แว่นตาดำด้วย เจอแดดขนาดนี้ ผมคิดอยากได้แว่นใหม่ เป็นสไตล์แว่นแบบ Goggle แต่ไม่มีสายรัดนะ เขาใช้เป็นขาแว่นปกติแทน ผมเคยเห็นแต่มันนานมากแล้วเป็นสิบปี ไม่รู้ว่าทุกวันนี้จะหาได้อีกหรือไม่ เลนส์ใหญ่ๆ ปิดหน้า น่าจะกันแสงแดดได้ดีกว่าแว่นธรรมดา งานนี้ไม่หล่อช่างมันวะ เกรงใจใบหน้า อายุมากแล้ว กระ ฝ้า มาเยือนแล้วมันชอบอยู่ทนนาน
   
   ไปรับลูก แล้วก็กลับมาทำงานที่ร้าน 2 ต่อ เบื่อครับ แต่ต้องอย่าคิดเบื่อ มันจะทำให้เรายิ่งเบื่อ ต้องคิดให้มันสนุกเข้าไว้ คิดบวกให้มาก แล้วใจเราจะเป็นสุขเอง
Title: Re: เมษ 54 14-16 หัวหิน
Post by: O'Pern on April 23, 2011, 08:31:27 pm
23 เมษ 54
   มีเป้าหมายชีวิตแล้ว มีทริปแล้ว ที่เหลือก็คือการฟิตซ้อมร่างกาย นี่แหละ ที่ผมรอคอยมานาน ชีวิตที่ไร้เป้าหมาย ก็คือชีวิตที่ไร้วิญญาณ วันเวลาจะผ่านไปแบบไร้ค่า อยู่แบบเปลืองลมหายใจ ลองคิดดู จะสูดลมหายใจ ยังต้องเกรงใจต้นไม้ ชีวิตแบบนี้มันไร้ค่าจริงๆ
   หลังที่เจ็บอยู่ก็จริง แต่ผมก็ต้องออกกำลังกายเสริมสร้างกล้ามเนื้อส่วนอื่นๆ ไปด้วย เป็นท่าออกกำลังกายที่ผมคิดขึ้นเอง หวังว่ามันคงจะช่วยพัฒนาร่างกายได้บ้าง หลังเราเจ็บ ก็ต้องทำให้กล้ามเนื้อหลังแข็งแรงครับ มันจะได้เจ็บน้อยลง ที่หลังเราเจ็บ เพราะหลังเราไม่แข็งแรง ผมคิดแบบนี้ ไม่รู้ถูกหรือผิด
   การที่จะทำให้หลังแข็งแรง มันน่าจะต้องมีกล้ามเนื้อหน้าท้องมาช่วยรับแรงด้านหน้าด้วย ปล่อยให้กล้ามเนื้อด้านหลังทำงานอย่างเดียวมันก็รับไม่ไหว
   ตรรกะแบบคิดเอง เออเอง ในขณะที่ผมยังเดินเหินไม่เต็มร้อย ทำให้ผมคิดถึงโยคะ
   ยังไม่เคยทำโยคะเลยครับ ว่าจะลองดู

   อยู่ๆ ไป หลังมันก็ค่อยๆ ดีขึ้นเอง เริ่มจากสูบลมรถจักรยานได้ ขี่จักรยานได้ สุดท้ายยกของหนักๆ พอได้บ้าง มีแนวโน้มไปในทางที่ดีครับ ถ้าไม่โดนจัดหนักซ้ำนะ
   
   เช้านี่ขี่ไปทำธุระแถวปากคลองตลาด ไปแบบเร่งด่วน ขี่เร็วมาก แต่กับไอ้รถล้อ 14 Single Speed มันทำความเร็วอย่างเก่งก็แค่ 20 กม/ชม เท่านั้นเอง รอบขาหมุนจี๋ รถแทบไม่วิ่งเลย ฮ่าๆ
   มารู้สึกเริ่มเจ็บตึงด้านหลังเอาตอนบ่ายๆ นึกขึ้นได้ อ้อ เมื่อวานเราขี่จักรยานไปบางลำภูนี่หว่า มาวันนี้โดนซ้ำเข้า หลังเลยออกอาการ มันไม่ถึงกับเจ็บแปล็บ แต่รู้สึกเหมือนจะเกือบจะเจ็บ เป็นอาการที่อธิบายไม่ถูก
   
   กลางวันไปเก็บเงินลูกค้า โดนผลัดผ่อนมาหลายรอบ ตอนสั่งของเขาก็เร่งจะเอาเร็วๆ แต่ตอนจ่ายเงินให้เรา ทำไมมันยากเย็นนัก ตอนจะไปเก็บเงินนี่รู้สึกเหมือนเราไปขอเงินเขากิน วันก่อนเขานัดวันนี้ พอไปวันนี้ นัดวันหน้า นี่แหละครับ ชีวิตเจ้าของกิจการ ที่คนอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเองทุกคนต้องเจอ
   ยังมีวิบากกรรมของคนเป็นเจ้าของกิจการอีกเยอะ คนกินเงินเดือนมาหลายปีก็เบื่อ อยากมีธุรกิจเป็นของตนเองบ้าง ก็ไม่ไดว่าอะไร คนเป็นเจ้าของกิจการหลายคนก็อยากเป็นมนุษย์เงินเดือนกับเขาบ้างเหมือนกัน และนี่คือทางออกของผม เลยเลือกรับงานแบบอิสระ ได้เงินจากลูกค้า จากการว่างจ้าง แบบอิสระ ได้ไม่เยอะ ได้ไม่มาก แต่มีความสุขอย่างเหลือล้น น่าเสียดายที่ผมทำแบบนั้นได้เพียงแค่ไม่กีปี
   
   บ่ายผมเข้าไปที่คอนโดฯ หลักๆ ที่เข้าไปก็คือแค่การทำความสะอาด เปิดระบบปรับอากาศให้น้ำยาแอร์ไหลหมุนเวียนบ้าง วันนี้เจอฝนตกหนัก เลยถือโอกาสขัดพื้นระเบียง เปลียนชุดเป็นกางเกงบ็อกเซอร์ตัวเดียว นั่งขัดเช็ดถูระเบียงตอนฝนตกหนัก อารมณ์เหมือนตอนเด็กเล่นน้ำฝนเลยครับ สนุกดี คราวหน้าฝนตกหนักๆ จะออกไปขัดอีก มันส์มากๆ ขัดจนฝนหายตก เลยแถมเช็ดแห้งด้วยเสียเลย ระเบียงสะอาดเอี่ยม
   
   กลับมาบ้านตอนเย็น หิวจัด หาอะไรกินไม่ได้ แต่มีผลไม้สารพัดอย่าง แตงโม ฝรั่ง กล้วย สตอเบอรี่ ซัดเสียหมดทุกอย่าง ก่อนนอน ถ้ายังหิว ก็มีน้ำเต้าหู้อีก 1 ถุงรออยู่
Title: Re: เมษ 54 14-16 หัวหิน
Post by: O'Pern on April 25, 2011, 05:56:15 pm
24 เมษ 54
   วันนี้ที่รอคอย มีวันหยุดแค่วันเดียวในรอบสัปดาห์ ต้องใช้วันหยุดนี้ให้คุ้มค่าด้วยการตื่นแต่เช้า แต่ตื่นมาก็ไม่มีอะไรทำนะ อืม ไม่เชิงไม่มีอะไรทำ แต่ไม่อยากจะทำอะไรเสียมากกว่า
   ท้องฟ้ามืดครึ้มแต่เช้า เอาไงดีล่ะนี่ ถ้าออกขี่จักรยานแบบลากยาวทั้งวัน ออกทริป เดินทางไกล อะไรพวกนี้ผมไม่กลัวฝนหรอก ชอบด้วยซ้ำ แต่ถ้าออกไปขี่แป๊บเดียวแล้วเข้าบ้านนี่สิ จะไม่ชอบฝนเอาเสียเลย
   เดินไปเดินมาในบ้าน ทำได้แค่ยืดเส้นยืดสาย วันนี้มันดูเงียบเหงา ไม่ได้ทำอะไร ไม่ได้ไปไหน ไม่ได้ทำตัวให้เป็นประโยขน์อะไรสักนิด ดูเหมือนใช้ชีวิตเพียงแค่ผ่านไปวันๆ
   
   นักโทษการเมืองชื่อทักษิณประกาศนโยบายของพรรคหลายอย่าง มีเด่นอยู่หลายข้อ แต่ที่ผมจับตามองเพราะคิดตรงกันคือการสร้างเขื่อนในอ่าวไทย
   คิดเหมือนกันเรื่องเขื่อน แต่เหตุผลต่างกัน อ้าว ทำไมอย่างนั้นล่ะ
   ทักษิณบอกทำเขื่อนกันน้ำท่วม กทม
   ผม บอกทำเขื่อนเพราะป้องกันน้ำทะเลกัดเซาะชายฝั่ง ไล่กันตั้งแต่บางปู มาทางฝั่งธนฯ มหาชัย สมุทรสาคร สมุทรสงคราม
   และถ้าเห็นด้วยกับไอเดียผม ก็ต้องทำเป็นเขื่อนขนาดใหญ่มากๆ ป้องกันเขื่อนพัง แถมยังใช้สันเขื่อนเป็นสถานที่ท่องเทียว
   แน่นอน มันต้องมีปัญหาตามมาเยอะ ต้องศึกษากันในรายละเอียด ชาวประมงค์พื้นบ้านเอาเรือออกได้ยากกว่าเก่าแน่ อันนี้ต้องมาหาวิธีแก้ไขปัญหากัน จะทำเป็นประตูน้ำเปิดให้เรือผ่านได้หรืออย่างไรก็ว่ากันไป
   หรือถ้าจะทำกันแบบไม่อยากให้กระทบกับวิถีชาวบ้าน ก็ต้องขยายถนนออกไปในทะเลไกลๆ ยิ่งขึ้น วาดภาพออกมาแล้วก็จะได้ถนนตรงดิ่งจากสัตหีบไปหัวหิน !!! ถ้าทำได้จริงล่ะก็ ผมไม่อยากนึกภาพของการขยายตัวทางเศรฐกิจเลยครับว่าจะมหาศาลขนาดไหน
   เราจะได้ถนนตรงยาวราว 200 กม สามารถสร้างเมือง สร้างชุมชนได้ในระหว่างทางด้วยซ้ำไป
   ผมนึกถึงภาพทางจักรยานเรียบสนิทยาว 200 กม เคียงข้างถนน 4 เลน (ไปกลับรวม 8 ช่องทาง) มีปั๊มน้ำมัน มีร้านอาหาร จุดพักรถ ซ่อมรถ เผลอๆ อาจมีโรงแรมจอดพักนอนได้อีกด้วย
   ไหนๆ ก็สร้างโปรเจคขนาดนี้แล้ว ด้านใต้ล่างสะพานผมขอเป็นรถไฟฟ้าความเร็วสูงด้วยนะครับ ชุมชนเมืองต่างๆ ก็อาศัยอยู่ด้านใต้ล่างนี่แหละครับ จะเอาให้มันสูงกว่าระดับน้ำทะเลสักแค่ไหนก็ว่ากันไป ต้องบอกไว้ก่อนครับว่า หากเกิดสึนามิ การอยู่ในทะเลนั้น ปลอดภัยกว่าอยู่บนชายฝั่งเยอะมากครับ
   ที่เล่ามานี่มันเป็นไปได้นะครับ ไม่ใช่เรื่องเฟ้อฝัน ถนนแค่นี้มันเป็นไปได้จริง ดูโครงการแต่ละอย่างของประเทศสหรัฐอารับเอมิเรท มันยากกว่าทำถนนตัดทะเลของเราหลายเท่า
   จะให้วิ่งฟรีหรือเก็บเงินก็ว่ากันไป แต่เก็บเท่าไหร่คนก็มาใช้ครับ

   ประเทศไทยเราเหมือนกับโดนกดปุ่มให้หยุดนิ่งมานานมากแล้วครับ ถึงวันนี้เราควรพัฒนาแบบก้าวกระโดดได้แล้ว
   ปัญหาเดียว ปัญหาใหญ่ของไทยเราก็คือ เรามีปัญหาเรื่องคน และวิธีคิดของคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สมองของนักการเมือง ที่เห็นชัดๆ ในทุกวันนี้คือวิธีการบริหารงานของพรรคประชาธิปัตย์ น่าเสียดายที่สามารถโค่นทักษิณลงมาได้ แต่พอตัวเองได้มีโอกาสโชว์ฝีมือบ้าง กลับทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง แถมยังก่อปัญหาแปลกๆ ที่มีจุดมุ่งหมายเอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง กรณีน้ำมันปาล์มแพง และขาดแคลน ปัดโธ่ ไทยปลูกปาล์มน้ำมันมากเป็นอันดับสองของโลกนะครับ
   ถ้าเลือกตั้งคราวนี้คนเมืองหลวงไม่เลือกประชาธิปัตย์ก็ไม่ต้องไปโทษทักษิณเขาอีกล่ะ ได้เรื่องโยนความผิดให้คนอื่นนี้ พวกนักการเมืองเขาทำได้เก่งมากๆ ราวกับว่าเกิดมาเพื่อสิ่งนี้
   
   คุยเรื่องการเมือง แล้วเดี๋ยวไหลไปอีกไกล ทักษิณนั้นเก่งครับ ใช้คนเป็นอีกด้วย แต่ก็มีปัญหาเรื่องคนรอบข้างที่จ้องจะดูดเงินอยู่เรื่อย เลยเป็นที่มาของการจัดสารพัดม็อบเสื้อแดง ก็เพราะการจัด Event แต่ละครั้ง มันคือใบเสร็จที่เอาไปโชว์เจ้าของเงินได้
พูดเพื่อประชาชน แต่ทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้องเท่านั้น

พอประชาธิปัตย์ได้ฟังโครงการของทักษิณ แทนที่จะคิดหาโครงการใหม่ๆ หรือรีบทำโครงการเก่าที่คุยโม้เอาไว้ให้สำเร็จโดยเร็ว เขากลับออกข่าวโต้ว่า ทักษิณต่างหากที่เป็นฝ่ายก๊อปโครงการของประชาธิปัตย์
ปัดโธ่ ทำงานด้วยปากกันนี่หว่า
   
วันนี้มีการเปิดตัว VW Beetle ตัวใหม่ จะเรียกว่า Look 2 ก็ไม่ผิด แต่ไม่รู้ว่าเขาใช้ภาษาทางการว่าอะไร หาอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ตามนิตยสารรถยนต์ครับ


   
25 เมษ 54
   ฝนตกอย่างหนักตั้งแต่ตี 3 เช้าแล้วฝนก็ยังไม่หาย ยังคงตกปรอยๆ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพวกที่อยู่ในเมืองรถเจอกับรถติดเพียงใด น้ำคงท่วมขังหลายจุด แถมเป็นวันจันทร์เช้าอีกด้วย ดีนะที่เป็นช่วงปิดเทอม ไม่งั้นจะถือว่าครบสูตร
   ผมให้แม่บ้านทำอาหารเช้าสูตรใหม่ ปกติจะกินพวกผักเป็นประจำอยู่แล้ว มาวันนี้แทนที่จะผัดแล้วใส่น้ำมันหอยเฉยๆ ก็เปลี่ยนมาเป็นใส่พริก ใส่ใบกระเพรา ใส่เห็ด ทำเหมือนผัดกระเพรานั่นแหละ แต่ใส่ผักและเห็ดแทน รสชาติดีครับ กินแล้วติดใจ กินกับข้าวกล้องโรยด้วยงาดำคั่วเองอีก 1 ช้อนโต๊ะ
   ถ้าอยู่บ้าน ผมจะควบคุมคุณภาพของอาหารได้ แต่ถ้าอยู่นอกบ้านแล้วหมดสิทธิ์ ทำได้แค่เลือกอาหารที่มีผักเป็นส่วนประกอบเยอะๆ เช่น ส้มตำ ก๋วยเตี๋ยวใส่ถัวงอกเยอะๆ เส้นหมี่ราดหน้าใส่ผักคะน้ำเพียบๆ ไม่ก็เปาะเปี๊ยะสด
   ออกไปทำธุระที่เขตจอมทองแต่เช้า แต่เดี๋ยวนี้เขตเขาทำงานรวดเร็วมากกว่าสมัยผมหนุ่มๆ เยอะครับ ผมยังเคยอยู่ในยุคที่ทำบัตรประชาชนใช้เวลาครึ่งวัน ทำใบขับขี่รถยนต์สาหัสกว่านั้น ต้องใช้เวลาถึง 1 วันเต็มๆ ใช่เลย ถ้าสอบไม่ผ่าน ก็ต้องมาใหม่ ใช้อีก 1 วันเช่นกัน
   เตรียมเอกสารมาให้พร้อม ใช้เวลาไม่ถึง 30 นาทีเสร็จ จะมานานก็ตอนรอคิวเรียก แล้วแต่ว่าช่วงเวลานั้นจะมีคนมากันเยอะหรือน้อย

   เสร็จแล้วก็ไปทำงานที่ร้าน 1 จนถึงบ่าย รับลูกเสร็จมาอยู่ที่ร้าน 2 ลักษณะงานก็คล้ายกัน แต่ร้าน 2 มีคนงานเยอะกว่า ผมช่วยยกของแค่เพียงเล็กน้อย เน้นหนักไปที่การเช็คสินค้าเข้าออก
   ตอนบ่ายโทรหา “กลม” ถามเขาว่าจะไปสิงคโปร์กันวันไหน เห็นเขาไปกันสองครอบครัวใหญ่ แล้วถ้ามีผมไปร่วมด้วยอีกคน มันจะคับแคบมากขึ้นกว่าเดิมไหม แถมเจ้าบ้านที่โน่นก็ยังไม่รู้จักผมอีกด้วย ง่ายๆ คือกลัวว่าตัวเองจะเป็นส่วนเกิน ผมเกรงใจทุกๆ คนครับ แต่ก็ยอมรับเต็มปากว่าอยากไปด้วยจริงๆ
   “เฮ้ย เปิ้ล ไม่เป็นไร มากับเราได้ เพื่อนๆ สนิทกันจริงๆ”
   ได้ยินกลมบอกแบบนี้หลายรอบแล้ว เจ้าบ้านน่าจะเป็นคนใจดีสุดๆ นะ ยิ่งคิด ยิ่งเกรงใจว่ะ
   “เปิ้ลมาวันที่ครอบครัวผมเขากลับกันก็ได้ มาอยู่ต่อกันอีก 2 วัน ขี่รถแม่งให้บ้าเลือดไปเลย” น้ำเสียงของกลมมันพูดออกมาแบบมีพลังมากๆ เล่นเอาไฟในกายผมลุกโชนบ้าง
   ปกติไปต่างประเทศ ผมก็จะรู้จุดที่ผมเข้าพักอยู่แล้ว มักจะเรียกแท๊กซี่ บ้างก็รถไฟฟ้าเข้าเมือง แต่งานนี้ผมไม่รู้ที่อยู่ของเจ้าบ้าน แม้สิงคโปร์จะไม่ใหญ่ แต่มันไปไม่เป็น
   “เอาน่า ไม่ต้องห่วง มาถึงแล้ว ผมขับรถไปรับเอง”
   เอาวะ ยังไงก็ต้องไปแน่ๆ แล้วล่ะ อย่างแย่ที่สุด ถ้าเกรงใจเขามากๆ ผมก็จะหา Guest House พักอยู่เอง คืออยากไปหลายวันน่ะครับ อยากลองเขียนหนังสือดูบ้าง ไม่รู้ฝีมือที่พอมี มันยังจะเฉียบคมอยู่หรือเปล่า
   
   เลิกงานจากร้าน 2 ตอนหกโมงเย็น ร้านขายตั๋วเครื่องบินที่ผมซื้อประจำปิดเสียแล้ว พรุ่งนี้จะลองโทรแต่เช้า หวังว่าคงจะได้ตั๋วถูกๆ กับเขาบ้าง ส่วนกลมเขาลอยตัวไปแล้ว เล่นจองโปร 0 บาท ของ Air Asia ไปตั้งแต่ปีที่แล้ว หึหึ อิจฉาว่ะ ปีหน้าฝากจองด้วยคนสิ
Title: Re: เมษ 54 14-16 หัวหิน
Post by: O'Pern on April 29, 2011, 07:27:34 am
26 เมษ 54

   สองวันก่อนราคาทองคำในไทยทำ New High อีกแล้ว อย่างที่บอก อย่าตกใจ มันจะขึ้นไปมากกว่านี้อีก แตะที่ 22000 บาทได้แบบขำขำ เช่นเดียวกับ US Dollar ที่จะตกลงมาต่ำกว่า 30 บาทอย่างแน่นอน 100% (ใจผมลุ้นให้มันตกมาถึง 26 บาทนะ แต่ว่าคงยาก อาจได้แค่ 27-28 เพราะหากต่ำกว่านี้ อาจมีกลุ่มทุนโยกย้ายฐานเงิน ทำให้เงิน US มันพุ่งตีกลับขึ้นไปอีก

กลางวันกินข้าวหมูแดง ร้านเก่าแก่ รสชาติอร่อยมากๆ เป็นข้าวหมูแดงที่อร่อยสุดเท่าที่เคยกินมา
   “ข้าวหมูกรอบอย่างเดียวครับ”
   “มีแต่แบบผสมนะ” แม่ค้าตอบเสียงห้วนๆ หน่อย
   “ได้ครับ”
   แม่ค้าจับหมูมาเรียงบนข้าว สุดท้ายเอาไข่ต้มครึ่งฟองโปะหน้า แหม ยุคนี้ไข่แพงสุดยอดเลย ไข่ดิบฟองละ 4.50 บาทครับ
   “ไม่เอาไข่ครับพี่”
   เขาหยิบไข่ต้มครึ่งฟองออก เอาหมูกรอบ 1 ชิ้น และผักชี 1 ใบ มาใส่ให้
   “…. อืม รู้งี้กูเอาไข่ดีกว่านะ….”
   
   บ่ายไปทำธุระที่เขตพระนคร วันก่อนขี่จักรยานไปสำรวจเส้นทาง ผบว่าภายในเขตกว้างขวางดี จอดรถสะดวก วันนี้เลยขับรถยนต์ไป แต่ที่ไหนได้ กลายเป็นคนแน่นเต็มไปหมด ไม่มีที่จอดรถเลย วนเวียนไปมาจนต้องไปจอดในซอยข้างๆ เดินไกลหน่อย
   มาเสร็จเอาตอนบ่ายแก่ๆ กลับมาร้านหมายเลข 1 และอยู่ต่อจนถึงปิดร้าน ทุ่มกว่าๆ จากนั้นก็ต้องไปเฝ้าร้านหมายเลข 2 ต่อจนถึงปิดร้านอีกเช่นกัน นั่นแหละ ถึงจะกลับบ้านได้ 

27 เมษ 54
   เหงื่อไม่ได้ออกหนักๆ มาเป็นเดือนแล้ว ตั้งแต่ไม่ได้ขี่จักรยานตอนเช้าๆ และยกของหนักๆ ไม่ได้ ทำได้แค่เดินไปเดินมา น้ำหนักที่ลดลงมาได้ระดับหนึ่งแล้ว มันค่อยๆ ขึ้นทีละนิดๆ
   เรื่องเขมรยิงไทย มันไม่มีอะไรมากไปกว่าเรื่องการเมืองล้วนๆ โดยฮุนเซนได้รับคำสั่งจากเจ้านายคนไทยให้มายุแหย่ ด้วยหวังผลทางการเมืองทั้งฝั่งไทย และฝั่งเขมร – ผมวิเคราะห์เองนะครับ อาจไม่ถูกต้องก็เป็นได้

   ชีวิตประจำวันซับซ้อนมากยิ่งขึ้น มีงานที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้เข้ามาให้ปรับผิดชอบ เช้าอยู่ร้าน 1 บ่ายอยู่ร้าน 2 กลับบ้านทุ่มกว่า
   ร้าน 1 ทีว่าน่าเบื่อ กลายเป็นแสนจะสบาย เพราะว่าร้าน 2 นี้ ผมไม่มีกระทั่งเก้าอี้ให้นั่ง วันนี้เดิน ยืน ตลอดเวลาตั้งแต่ 0400 – 0700 ถึงบ้านเพลีย หลับ

28 เมษ 54
   ลูกมีงานปิดภาคเรียนฤดูร้อน เป็นการสรุปกระบวนความคิดที่เขาเรียนมาในรอบ 1 เดือน เป็นกิจกรรมเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์แบบเด็กๆ เขาเรียนเรื่องมอเตอร์ไฟฟ้า และพลังงานแม่เหล็ก
   เลยถือโอกาสโดดงานร้าน 1 ไปโรงเรียนลูกแต่เช้า เห็นเขาเป็นคนเชิญธงชาติขึ้นเสา ผมแอบไปถ่ายรูป เจอคุณแม่ท่านหนึ่งเข้ามาคุยด้วย
   “เคยเห็นน้องมิวนำสวดมนต์ไหมคะ”
   “ไม่เคยครับ”
   “เขานำสวดได้ดี ร้องเพลงชาติอีกด้วย”
   ผมไม่เคยอยู่ทันดูลูกเข้าแถวตอนเช้าสักครั้ง เพราะต้องรีบไปทำงานยกของที่ร้าน 1 ทุกวัน แถมผมยังปล่อยให้ลูกเดินเข้ามาในโรงเรียนเองระยะทางราว 300 เมตร มีสองเหตุผล หนึ่งคือฝึกให้เขาเดินเข้ามาโรงเรียนเอง ให้คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม และสองคือผมจะได้ไม่ต้องไปวนกลับรถไกล แบบนี้เรียก win – win
   
   ขณะอยู่ที่งานกิจกรรมที่โรงเรียน มีผู้ปกครองเด็กท่านหนึ่งเข้ามาทักผม แนะนำตัวว่าเขาชื่อ “ตั้ม” เป็นผู้ติดตามอ่าน Life Diary อันนี้อยู่ ผมยังทำหน้างงไม่หาย ต้องสืบลึกเข้าไปสักหน่อย อยากรู้ว่าเป็นผู้อ่านสายไหน ผมจะได้คุยถูก จะได้วางตัวถูก
   สรุปว่าเขาติดตามมาจากเวปจักรยาน เพิ่งขี่ MTB ได้ราว 2 ปี ใช้ Trek MTB แต่อยากจะอัปเกรดเป็นรถทัวริ่ง ผมเลยแนะนำไปแค่ตระแกรงหลังอันเดียวพอ นอกนั้นใช้ของ MTB เดิมๆ นี่แหละ ลองขี่แบบนี้ดูไปก่อน มันอาจจะจบแค่ตรงนี้ก็เป็นได้ เอาเงินไว้ใช้จ่ายด้านอื่นดีกว่า
   อยู่ที่โรงเรียนลูกจนถึงเที่ยง ทางโรงเรียนอนุญาตให้รับเด็กกลับได้ มิวขอไปกินข้าวที่ร้าน Terrace ที่ห้างเซ็นทรัลใกล้ๆ โรงเรียน
   “อ้าว ตะกี้ลูกเพิ่งกินข้าวมาเองนี่”
   “มิวกินมักโรนีมาแค่ 3 คำ อยากกินข้างนอกมากกว่า”
   โห มีงี้ด้วย เล่นของแพงๆ ตลอดเลย นี่พ่ออยู่คนเดียวถ้าหิวก็แค่ก๋วยเตี๋ยวข้างทาง 30 บาท น้ำไม่ต้องซื้อ เพราะพกติดตัวไปตลอด
   ตามใจลูกมากๆ ก็กลัวจะติดนิสัยเสียเหมือนกัน แต่ก็มีใจอ่อนกับเขาบ่อยๆ บางทีทำงานมาเหนื่อยๆ การตามใจลูกก็เหมือนกับการปลดปล่อย เห็นเขามีความสุข เราก็มีความสุข แต่ไอ้สุขแบบนี้ อาจจะเป็นทุกข์ในระยะหลัง เพราะการตามใจเด็กมากเกินไปจนไร้ขอบเขต จะทำให้เขาเป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง
   ฉะนั้น ทุกครั้งที่ผมตามใจเขา ก็จะอธิบายถึงเหตุผลว่าทำไมถึงตามใจ และข้อเสียของการตามใจเด็กมากเกินไป ไม่รู้ว่าเขาจะเข้าใจไหม แต่ก็ต้องบอกกันเอาไว้ก่อน
   กลับมาบ้านตอนบ่าย ผมต้องไปร้าน 1 ต่อ ไม่อยากไปเลยว่ะ ร้านโครตจะน่าเบื่อเลย แถมการปล่อยให้ลูกเล่นอยู่คนเดียวแบบนี้ เขาก็เอาแต่เล่นเกม ดู DVD ฯลฯ ต่างจากตอนที่เขาอยู่กับผม เรามักจะเล่นเกมที่มีทักษะการใช้สมอง เช่น Lego โดมิโน เกมเศรษฐี ที่แย่สุดคือหลังจากที่ผมเลิกงานกลับมาแล้ว มักจะรู้สึกหงุดหงิด อ่อนเพลีย ง่วงนอน
   ชีวิตแบบนี้ เป็นชีวิตที่ไม่สมดุลย์เอาเสียเลย ผมฝืนใจทำอย่างมาก แต่ลึกๆ ก็พอจะมีความสุขอยู่บ้างเหมือนกัน ตรงที่ได้ทำอะไรเพื่อครอบครัวที่เขาเลี้ยงดูเรามาบ้าง ทำดีต่อกันขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่ ผมคิดแบบง่ายๆ คิดสั้น ๆ อย่างนี้แหละครับ
   
   กลางคืนมีเรื่องน่าเศร้าใจ ผมเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เข้ามาในห้องนอน ลูกกำลังทำการบ้านคณิตศาสตร์ ผมหายใจเสียงดังเพราะเหนื่อย เขาหันมาตวาดผม พูดว่า “อะไร” ลากเสียงยาว พูดเสียงดัง ผมหันไปมองหน้าแล้วเดินออกไปจากห้องนอนทันที
Title: Re: เมษ 54 14-16 หัวหิน
Post by: O'Pern on April 29, 2011, 05:49:12 pm
29 เมษ 54
   เจองานรุมทั้งภาคเช้าและบ่าย เล่นเอาสมองไม่แล่น คิดงานอะไรตอบสนองช้ามาก ใจโลเล คิดหน้าพะวงหลัง ผมไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน นี่มันคนละคนกับผมที่เคยเป็นมา คิดบวกมาหลายวันแล้วยังไม่พอ คงต้องคิดคูณ และถ้ายังไม่สำเร็จ ก็ต้องเปลี่ยนเป็นทวีคูณ
   ไม่ได้ออนไลน์มาหลายวัน ใช้เวลาระหว่างรอลูกช่วงเช้าเข้าเวปส่ง Diary ขึ้นไป พิมพ์ทุกวัน วันละนิดละหน่อย แล้วแต่เวลาจะว่าง นี่ค้างมา 3 วันแล้ว ตั้งแต่ต้องเข้าไปช่วยที่ร้าน 2 นี่ เวลาของผมหายไปอีกเยอะมากๆ
   
   ที่ผมรู้สึกว่าไม่มีความสุขในช่วงนี้ ก็เป็นเพราะวิธีคิดของผมเองแหละครับ มัวแต่คิดว่ามันทุกข์ ใจมันก็เลยเป็นไปตามนั้น มาวันนี้ ผมคิดแต่ความสุข จะให้ทำอะไร ก็สุขไปหมด ไล่ไปยกของ ก็คิดว่าดีโว๊ย ได้ออกกำลังกาย แม้หลังจะยังคงเจ็บอยู่ก็ไม่เห็นเป็นไร ยกน้อยๆ ก็ได้นี่หว่า
   ยามว่างที่น่าเบื่อ ก็ใช้เดินสมาธิเอา กำหนดลมหายใจตามจังหวะย่างก้าว ในใจก็คิดถึงเรื่องทริปจักรยานไปด้วยในตัว ใจไม่ได้นิ่งสงบหรอกนะ มีแต่จักรยานเดินทางไกลล้วนๆ เลยล่ะ คิดไปถึงทริปสารพัดรูปแบบ ทริปพันโลบ้าง ทริป 0 บาทบ้าง คืออยากให้แต่ละทริปมันมีคอนเสปในการเดินทาง แค่ขี่เฉยๆ ผมรู้สึกว่ามันยังไม่เท่าไหร่ ใครมีเวลาว่างก็ขี่ได้
   
   วันนี้ไปรับลูกเป็นวันสุดท้ายของการปิดภาคฤดูร้อน จะมาเรียนอีกทีก็วันเปิดเทอม 23 พฤษภาคม เลย ได้หยุดอีก 24 วันเต็มๆ นี่ถ้าเป็นผมได้มีเวลาว่างขนาดนี้ คงมีทริปแบบมโหฬารเป็นแน่
   ยามว่างขณะอยู่ที่ร้าน 2 อันแสนน่าเบื่อ ผมนั่งจดอุปกรณ์ทีใช้ในภาระกิจทัวริ่ง มีโจทย์จะต้องลดน้ำหนักบรรทุกลง 30% ไม่ใช่แค่เอาของออกนะ เอาของไปเหมือนเดิมนั่นแหละ แต่เลือกใช้ของน้ำหนักเบาแทน เล่น ช้อน ส้อม มีด ผมใช้ของแจกฟรีในร้าน McDonald ทั้งชุด มีดของเขานี่คมมากๆ ครับ หั่นเนื้อได้สบาย ช้อน ส้อม ก็จับถนัดมือดี ชามใช้ถ้วยโฟมเลยครับ เบาสุดยอด แต่ต้องระวังบุบแตกหัก อันนี้เลยยังไม่สรุปว่าเวิร์คหรือไม่ ไล่ไปเรื่อยๆ จนถึงรองเท้า ว่าจะลองใช้รองเท้าแตะรัดส้นออกขี่ดูครับ ไม่เคยเหมือนกัน ทุกทีไปกับรองเท้าจักรยานตลอดเลย ถ้าขี่ด้วยรองเท้าแตะได้นี่ผมจะลดน้ำหนักได้อีกเกือบ 2 กก เลยทีเดียว เพราะผมใช้รองเท้ายางของจีนทรงเดียวกับยี่ห้อ Croc  มันเบามากๆ และถ้าจะลดน้ำหนักเสื้อ ก็มีเสื้อของ Northface รุ่น Flight Series เล็ก บาง เบา เสียอย่างเดียว โคตรแพงเลย
   ขี่ทัวริ่งในไทยดีอย่างครับ คือไม่ต้องเตรียมอุปกรณ์ครัวเหมือนพวกฝรั่งเขา ในไทยหาของกินง่ายมากๆ ทุรกันดารขนาดไหนก็หาของกินได้ ต่อให้เข้าป่าก็เถอะ ป่าของไทยเรายังมีของให้ยังชีพได้มากกว่าป่าของฝรั่งเยอะ (ยกเว้นป่าเสื่อมโทรม) แต่ก็นั่นแหละนะ ถ้ารู้ว่าจะเข้าป่า ก็ขอข้าวเหนียวหมูเค็ม หรืออาหารกินง่าย กินไว ไม่ต้องปรุง เช่นข้าวต้มมัด กล้วย มาม่า ฯลฯ เตรียมไปให้เพียงพอก็อยู่ได้สบายๆ กฏเหล็กสำหรับนักเดินทางก็คือ ไม่ทิ้งขยะเรี่ยราดนะครับ ขนอะไรเข้าไป กินเสร็จแล้วก็นำมาทิ้งข้างนอกด้วย
จงเก็บมาแค่เพียงภาพถ่าย เหลือทิ้งไว้เพียงแค่รอยยาง
Title: Re: เมษ 54 14-16 หัวหิน
Post by: O'Pern on May 01, 2011, 07:45:04 pm
30 เมษ 54
รถ Fixed Gear ที่ผมจับตามอง และรอคอยมาถึงไทยแล้ว ยี่ห้อ RH+O รุ่น Katana 3 หรือ K3 เสียดายตรงขนาดเล็กสุดของเฟรมเขาอาจจะยังใหญ่เกินกว่าที่ผมจะขี่ได้ ผมไม่รู้เหมือนกันครับว่าการเลือกขนาดเฟรมของรถ Fixed Gear มันเหมือนกับการเลือกรถเสือหมอบไหม ถ้าใช่ก็ยังพอมีลุ้น แต่เฟรมใหญ่ยังไม่เท่าไหร่นะ ไอ้ตัวใหม่ K3 มันดันหนักกว่าตัวเก่า K2 อยู่ถึง 1 กก !!!
โหหห หนักกว่า 1 กก ถือว่าเยอะมากๆ ๆ ๆ เขาอาจจะอ้างว่า แข็งแกร่งขึ้นก็เถอะ หนักกว่าตัวเก่าสัก 200 – 300 กรัมยังพอรับได้ ผมเดาว่ามันเกิดจากเรื่องของวัสดุครับ ตัวเก่า K2 เขาใชอลูมินั่ม 6061 แต่ตัวใหม่ K3 ใช้โครโมลี่ 4130 แถมดามเพิ่มความแข็งแกร่งหลายจุด โดยเฉพาะ Chain Stay ช่วงติดกับกระโหลก ทำออกมาสวยมากๆ
   แต่ดูรูปแล้วก็พอได้นะ ผมชอบรถแนว Retro ท่อบนมันต้องขนานกับพื้น เจ้าคันนี้ท่อบนมันลาดลงนิดหนึ่ง แหม นี่ถ้าได้ขนานพื้นเป๊ะๆ จะสุดยอดมาก เอ๊ะ หรือว่ารูปทรงรถที่ผมชอบมันเป็นรถสไตล์ Track ก็ไม่รู้ แต่ผมจะเอามาขี่สไตล์ Trick อย่าเพิ่งตกใจ ไม่ได้เล่นโหดโดดเด้งไปมาเหมือนพวกเด็กๆ เขาหรอก ผมอยากแค่เอามาฝึกทักษะด้านการควบคุมรถ การทรงตัว และผลที่ตามมาคือเรื่องของจิตนาการ
   สำหรับผมแล้ว ขี่จักรยานต้องใช้จิตนาการนะครับ ไม่ใช่แค่ขี่ไปเรื่อยๆ ตามๆ กันไป จิตนาการมันขึ้นอยู่กับสภาวะแวดล้อมของเราด้วย เช่น หากขี่รถทัวริ่ง จิตนาการก็คือเรื่องของเส้นทาง การเดินทาง การผจญภัย หากขี่รถ Fixed Gear / Trick จิตนาการก็คือความคิดพลิกแพลง ผาดแผลง แถมยังต้องฝึกความอดทน ต้องมุ่งมั่น มุมานะ และต้องเตรียมพร้อมต่อการบาดเจ็บอีกด้วย
   ผมเล่นกีฬาผาดโผนมาตลอด เบื่อเต็มทีต่อการบาดเจ็บและได้แผล กีฬาผาดโผนที่ได้แผลน้อยๆ หรือแทบไม่มีก็คือกีฬาทางน้ำครับ ผมคุ้นเคยกับเรือใบและวินเซิร์ฟมาตั้งแต่เด็กๆ ถือว่าเป็นประสพการณ์ที่ดีมากๆ เพราะมันติดตัวผมมาตลอดจนถึงทุกวันนี้ เล่นอยู่หนัก เล่นอยู่นานหลายปี เล่นจนซื้อวินเซิร์ฟเป็นของตัวเอง เล่นจนเกือบจะติดทีมชาติ
   ไม่ได้เก่งอะไรหรอกนะ แต่กีฬาพวกนี้คนมันเล่นกันน้อย ถ้าเราขยันซ้อม ไปเล่นบ่อยๆ นานเข้า ผู้ใหญ่ก็จะมาชักชวนให้ลองไปคัดตัว ถ้าเข้ารอบ ก็ลงแข่งขัน เส้นทางเดินของมันมีง่ายๆ แค่นี้ หลักๆ คือต้องขยันซ้อม เก่งไม่เก่ง ไม่เป็นไร
   ฉะนั้น ใครอยากให้ลูกแจ้งเกิดด้านกีฬา ก็หาสิ่งที่เขาชอบได้เลยครับ พาลูกไปดู ไปทดลองเล่นให้หมด อันไหนไม่ชอบก็ถือว่าเป็นการเรียนรู้และประสพการณ์ อันไหนชอบก็เดินหน้าลุย เล่นเป็นงานอดิเรกต่อไปเรื่อยๆ
   ช่วงมัธยม 4-6 ผมใช้เวลาช่วงบ่ายวันอาทิตย์ขลุกอยู่ที่บึงตะโก้ บางนา กม 13 ระหว่างวันธรรมดาก็ขี่จักรยาน BMX ทุกเย็นจนถึงค่ำ และเอารถยนต์ออกฝึกขับหากมีเวลาว่าง ทำทุกสิ่งนี้่พร้อมๆ กัน แต่มีแนวทางเดียวกัน นั่นคือเรียนรู้ด้วยตนเอง และคิดค้นสไตล์การขับขี่ควบคุมในรูปแบบของเราเอง
   จากจุดนั้นเอง มันจึงหล่อหลอมทุกสิ่งทุกอย่างรวมกันไว้เป็นหนึ่งเดียว