บทเรียนจากคำว่า เสียดาย
คนที่กำลังทะเลาะกันมองไม่เห็นหรอกว่าตัวเองถูกหรือผิด
คนที่ไม่เคยลำบากไม่รู้หรอกว่าความลำบากนั้นเป็นอย่างไร
คนที่ไม่เคยเป็นหนี้ไม่รู้หรอกว่าการรอคอยให้หมดหนี้นั้นทรมาณเพียงใด
คนที่ไม่เคยตกงาน ไม่รู้หรอกว่าการได้งานทำนั้นสำคัญแค่ไหน ฯลฯ
เรื่องบางเรื่องในชีวิตนี้เราอาจจะมีโอกาสทดลองหรือสัมผัสได้มากกว่าหนึ่งครั้ง
เรื่องบางเรื่องมีโอกาสแก้ตัวได้ เช่น เคยลำบากมาก่อนเมื่อผ่านชีวิตลำบากมาได้แล้ว
ก็พอจะรู้ว่าทำอย่างไรจึงจะไม่ให้ลำบากอีกครั้ง
วันนี้เรามาดูกันต่อนะครับว่ามนุษย์เงินเดือนรุ่นพี่ๆและอดีตมนุษย์เงินเดือนเขารู้สึกดายอะไรบ้างในชีวิตของการเป็นมนุษย์เงินเดือนที่ผ่านมา.....
เสียดายที่มัวแต่ละเลาะกับเจ้านายและเพื่อนร่วมงาน
มนุษย์เงินเดือนหลายคนเสียเวลาไปกับปัญหาคนเยอะมาก ทั้งปัญหาหัวหน้า ปัญหาเพื่อนร่วมงาน บางคนก็มีปัญหากับลูกน้องอีก
วันๆเสียเวลาของสมองไปกับการคิดถึงปัญหาคนอื่น
ตอนที่เป็นลูกจ้างเรามักจะคิดว่าปัญหาทะเลาะกับคนทำงานเป็นปัญหาใหญ่ เลยใช้เวลากับมันมาก เครียดกับมันบ่อย
แทบจะไม่มีเวลาไปพัฒนาหรือปรับปรุงงานหรือพัฒนาตนเองเลย
ตอนนั้นลืมไปว่าจริงๆแล้วไม่มีใครทำงานอยู่กับเราไปตลอดชีวิต
และเราเองก็ไม่ได้ทำงานอยู่กับคนที่เราไม่ชอบไปตลอดชีวิตเช่นกัน
แต่ตอนนั้นไม่ได้คิดแบบนี้
คิดอย่างเดียวว่าวันนี้เรากับเขาจะมีปัญหากันเรื่องอะไรอีก คิดว่าเรื่องเมื่อวานมันเกิดขึ้นได้อย่างไร
ใครเป็นคนผิด ทำไมเขาจึงเป็นคนแบบนั้น สุดท้ายเราก็จะจมอยู่กับปัญหาคนที่บางครั้งเคยหนีจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งแล้ว
ปัญหาคนเก่าหายไป แต่..ปัญหาคนใหม่ก็เกิดขึ้น
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้
อยากจะคิดเสียว่าปัญหาคนเหมือนกับปัญหารถชนกันบนถนนที่เราไม่ต้องไปสนใจกับให้มากนัก
แต่เราควรจะสนใจว่าเส้นทางที่เรากำลังจะเดินไปนั้นอยู่อีกไกลหรือไม่ เรามีเวลาเหลืออีกนานหรือไม่
ต้องคิดว่าไม่มีใครทำงานกับเราไปตลอดชีวิตและเราเองก็ไม่ได้ทำงานกับใครไปตลอดชีวิตเช่นกัน
และคิดว่าถ้าเรารับปัญหาคนอื่นไม่ได้ เราคงจะก้าวขึ้นไปในตำแหน่งหน้าที่การงานที่สูงขึ้นไปไม่ได้
เพราะยิ่งสูงปัญหาคนยิ่งมากและซับซ้อนมากขึ้น
เสียดายที่เปลี่ยนงานมากไปหน่อย
ถ้าดูประวัติมนุษย์เงินเดือนบางคน
จะเห็นว่าเปลี่ยนงานทุกปีๆละครั้งสองครั้ง ตอนที่เปลี่ยนงานก็มีเหตุผลมาสนับสนุนมากมาย
เช่น เงินเดือนสูงกว่า อยู่ใกล้บ้าน เบื่อที่ทำงานเก่า งานใหม่ท้าทายกว่า อยากทำงานกับบริษัทข้ามชาติ ฯลฯ
แต่เมื่อมาถามตอนนี้ว่าผลการเปลี่ยนงานบ่อยในอดีตสรุปว่าดีหรือไม่ คำตอบที่ได้ก็มีทั้งดีและไม่ดี
แต่หลายคนตอบถ้าพิจารณาถึงผลระยะยาวแล้วอาจจะไม่เป็นผลดีมากนัก
เพราะประสบการณ์ในแต่ละที่นั้นน้อยเกินไป
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้
อยากจะทำงานในแต่ละที่ไม่น้อยกว่า 3 ปี
เพราะน่าจะเป็นเวลาที่เราได้
ครบทั้งการเรียนรู้(Learn) การทำงาน (Perform) และการพัฒนาปรับปรุงงาน(Improve)
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอาจจะต้องขึ้นอยู่กับช่วงชีวิตเพราะบางช่วงอาจจะเปลี่ยนบ่อยเพราะตลาดกำลังโต
ชีวิตกำลังรุ่ง แต่บางช่วงอาจจะต้องอยู่นานเพราะต้องหยุดพักหายใจและสั่งสมประสบการณ์
ก่อนที่จะไต่ระดับขึ้นสู่เพดานบินที่สูงขึ้น
เสียดายที่ไม่ตั้งใจเรียนภาษาต่างประเทศ
เสียดายภาษาอังกฤษไม่ดีเป็นคำพูดที่มักจะได้ยินจากอดีตมนุษย์เงินเดือนที่ไปสัมภาษณ์งานมาใหม่ๆ
ที่มักจะรู้สึกเสียดายบริษัทฝรั่งที่เสนอเงินเดือนให้สูงๆแต่ติดที่ภาษาอังกฤษไม่กระดิกเลย
เพราะไม่ได้จบ(เมือง) นอก
และทำงานแต่บริษัทคนไทยจึงไม่มีโอกาสได้ใช้ภาษาอังกฤษเลย
บางคนจะหันมาเอาดีในการเรียนภาษาก็ต่อเมื่อบินสูงแล้ว
ซึ่งพัฒนาได้ยากแล้วเพราะมีเวลาน้อยและภารกิจทั้งเรื่องงานและเรื่องครอบครัวที่เพิ่มมากขึ้น
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้
จะเรียนภาษาโดยเฉพาะภาษาอังกฤษตั้งแต่เริ่มทำงาน
และจะเลือกทำงานกับบริษัทต่างชาติตั้งแต่ต้น หรือไม่ก็อาจจะหาเงินไปเรียนต่อต่างประเทศ
เสียดายที่หาตัวเองเจอช้าไปหน่อย
มนุษย์เงินเดือนบางคนทำงานมาเป็นสิบปีแล้ว ยังหาตัวเองไม่เจอเลยว่าเป้าหมายชีวิตของตัวเอง คืออะไร
จะทำงานเป็นลูกจ้างไปเรื่อยๆจนเกษียณหรือจะออกไปทำอาชีพอิสระ
ขนาดถามว่างานที่ชอบหรืออยากทำคืองานอะไรยังตอบไม่ได้เลย
อย่างนี้จะก้าวหน้าในอาชีพการงานได้อย่างไรละครับ
พูดง่ายๆคืออดีตมนุษย์เงินเดือนหลายคนทำงานเหมือนกับพายเรืออยู่ในอ่าง
วันๆก็ตื่นขึ้นมาไปทำงาน เสร็จงานกลับบ้าน จันทร์ถึงศุกร์ทำงาน เสาร์อาทิตย์อยู่บ้าน
รูปแบบชีวิตเหมือนเดิมเป็นเดือนเป็นปีบางคนเป็นสิบปี มารู้ตัวอีกทีก็ช้าไปเสียแล้ว
เพื่อนๆรุ่นเดียวกันไปไหนต่อไหนจนมองไม่เห็นหลังกันแล้ว
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้
อยากจะวางแผนชีวิตตัวเองตั้งแต่เริ่มทำงานว่าอีกกี่ปีจะเป็นอะไร
จะทำอะไร จะต้องได้อะไร และแต่ละวันแต่ละเดือน แต่ละปีควรจะทำอะไรบ้างอย่างไร