Author Topic: "มนุษย์เงินเดือน" (อยากให้อ่านแล้วกลับไปคิดดู)  (Read 3679 times)

Offline ToppyRacingClub

  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 1382
บทเรียนจากคำว่า“ เสียดาย”
คนที่กำลังทะเลาะกันมองไม่เห็นหรอกว่าตัวเองถูกหรือผิด
คนที่ไม่เคยลำบากไม่รู้หรอกว่าความลำบากนั้นเป็นอย่างไร
คนที่ไม่เคยเป็นหนี้ไม่รู้หรอกว่าการรอคอยให้หมดหนี้นั้นทรมาณเพียงใด
คนที่ไม่เคยตกงาน ไม่รู้หรอกว่าการได้งานทำนั้นสำคัญแค่ไหน ฯลฯ
     
เรื่องบางเรื่องในชีวิตนี้เราอาจจะมีโอกาสทดลองหรือสัมผัสได้มากกว่าหนึ่งครั้ง
เรื่องบางเรื่องมีโอกาสแก้ตัวได้ เช่น เคยลำบากมาก่อนเมื่อผ่านชีวิตลำบากมาได้แล้ว
ก็พอจะรู้ว่าทำอย่างไรจึงจะไม่ให้ลำบากอีกครั้ง

วันนี้เรามาดูกันต่อนะครับว่ามนุษย์เงินเดือนรุ่นพี่ๆและอดีตมนุษย์เงินเดือนเขารู้สึกดายอะไรบ้างในชีวิตของการเป็นมนุษย์เงินเดือนที่ผ่านมา.....

เสียดายที่มัวแต่ละเลาะกับเจ้านายและเพื่อนร่วมงาน
มนุษย์เงินเดือนหลายคนเสียเวลาไปกับปัญหาคนเยอะมาก ทั้งปัญหาหัวหน้า ปัญหาเพื่อนร่วมงาน บางคนก็มีปัญหากับลูกน้องอีก
วันๆเสียเวลาของสมองไปกับการคิดถึงปัญหาคนอื่น
ตอนที่เป็นลูกจ้างเรามักจะคิดว่าปัญหาทะเลาะกับคนทำงานเป็นปัญหาใหญ่ เลยใช้เวลากับมันมาก เครียดกับมันบ่อย
แทบจะไม่มีเวลาไปพัฒนาหรือปรับปรุงงานหรือพัฒนาตนเองเลย
ตอนนั้นลืมไปว่าจริงๆแล้วไม่มีใครทำงานอยู่กับเราไปตลอดชีวิต
และเราเองก็ไม่ได้ทำงานอยู่กับคนที่เราไม่ชอบไปตลอดชีวิตเช่นกัน
แต่ตอนนั้นไม่ได้คิดแบบนี้
คิดอย่างเดียวว่าวันนี้เรากับเขาจะมีปัญหากันเรื่องอะไรอีก คิดว่าเรื่องเมื่อวานมันเกิดขึ้นได้อย่างไร
ใครเป็นคนผิด ทำไมเขาจึงเป็นคนแบบนั้น สุดท้ายเราก็จะจมอยู่กับปัญหาคนที่บางครั้งเคยหนีจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งแล้ว
ปัญหาคนเก่าหายไป แต่..ปัญหาคนใหม่ก็เกิดขึ้น
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้
อยากจะคิดเสียว่าปัญหาคนเหมือนกับปัญหารถชนกันบนถนนที่เราไม่ต้องไปสนใจกับให้มากนัก
แต่เราควรจะสนใจว่าเส้นทางที่เรากำลังจะเดินไปนั้นอยู่อีกไกลหรือไม่ เรามีเวลาเหลืออีกนานหรือไม่
ต้องคิดว่าไม่มีใครทำงานกับเราไปตลอดชีวิตและเราเองก็ไม่ได้ทำงานกับใครไปตลอดชีวิตเช่นกัน
และคิดว่าถ้าเรารับปัญหาคนอื่นไม่ได้ เราคงจะก้าวขึ้นไปในตำแหน่งหน้าที่การงานที่สูงขึ้นไปไม่ได้
เพราะยิ่งสูงปัญหาคนยิ่งมากและซับซ้อนมากขึ้น

เสียดายที่เปลี่ยนงานมากไปหน่อย
ถ้าดูประวัติมนุษย์เงินเดือนบางคน
จะเห็นว่าเปลี่ยนงานทุกปีๆละครั้งสองครั้ง ตอนที่เปลี่ยนงานก็มีเหตุผลมาสนับสนุนมากมาย
เช่น เงินเดือนสูงกว่า อยู่ใกล้บ้าน เบื่อที่ทำงานเก่า งานใหม่ท้าทายกว่า อยากทำงานกับบริษัทข้ามชาติ ฯลฯ
แต่เมื่อมาถามตอนนี้ว่าผลการเปลี่ยนงานบ่อยในอดีตสรุปว่าดีหรือไม่ คำตอบที่ได้ก็มีทั้งดีและไม่ดี
แต่หลายคนตอบถ้าพิจารณาถึงผลระยะยาวแล้วอาจจะไม่เป็นผลดีมากนัก
เพราะประสบการณ์ในแต่ละที่นั้นน้อยเกินไป
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้
อยากจะทำงานในแต่ละที่ไม่น้อยกว่า 3 ปี
เพราะน่าจะเป็นเวลาที่เราได้
ครบทั้งการเรียนรู้(Learn) การทำงาน (Perform) และการพัฒนาปรับปรุงงาน(Improve)
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอาจจะต้องขึ้นอยู่กับช่วงชีวิตเพราะบางช่วงอาจจะเปลี่ยนบ่อยเพราะตลาดกำลังโต
ชีวิตกำลังรุ่ง แต่บางช่วงอาจจะต้องอยู่นานเพราะต้องหยุดพักหายใจและสั่งสมประสบการณ์
ก่อนที่จะไต่ระดับขึ้นสู่เพดานบินที่สูงขึ้น

เสียดายที่ไม่ตั้งใจเรียนภาษาต่างประเทศ
เสียดายภาษาอังกฤษไม่ดี”เป็นคำพูดที่มักจะได้ยินจากอดีตมนุษย์เงินเดือนที่ไปสัมภาษณ์งานมาใหม่ๆ
ที่มักจะรู้สึกเสียดายบริษัทฝรั่งที่เสนอเงินเดือนให้สูงๆแต่ติดที่ภาษาอังกฤษไม่กระดิกเลย
เพราะไม่ได้จบ(เมือง) นอก
และทำงานแต่บริษัทคนไทยจึงไม่มีโอกาสได้ใช้ภาษาอังกฤษเลย
บางคนจะหันมาเอาดีในการเรียนภาษาก็ต่อเมื่อบินสูงแล้ว
ซึ่งพัฒนาได้ยากแล้วเพราะมีเวลาน้อยและภารกิจทั้งเรื่องงานและเรื่องครอบครัวที่เพิ่มมากขึ้น
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้
จะเรียนภาษาโดยเฉพาะภาษาอังกฤษตั้งแต่เริ่มทำงาน
และจะเลือกทำงานกับบริษัทต่างชาติตั้งแต่ต้น หรือไม่ก็อาจจะหาเงินไปเรียนต่อต่างประเทศ

เสียดายที่หาตัวเองเจอช้าไปหน่อย
มนุษย์เงินเดือนบางคนทำงานมาเป็นสิบปีแล้ว ยังหาตัวเองไม่เจอเลยว่าเป้าหมายชีวิตของตัวเอง คืออะไร
จะทำงานเป็นลูกจ้างไปเรื่อยๆจนเกษียณหรือจะออกไปทำอาชีพอิสระ
ขนาดถามว่างานที่ชอบหรืออยากทำคืองานอะไรยังตอบไม่ได้เลย
อย่างนี้จะก้าวหน้าในอาชีพการงานได้อย่างไรละครับ
พูดง่ายๆคืออดีตมนุษย์เงินเดือนหลายคนทำงานเหมือนกับพายเรืออยู่ในอ่าง
วันๆก็ตื่นขึ้นมาไปทำงาน เสร็จงานกลับบ้าน จันทร์ถึงศุกร์ทำงาน เสาร์อาทิตย์อยู่บ้าน
รูปแบบชีวิตเหมือนเดิมเป็นเดือนเป็นปีบางคนเป็นสิบปี มารู้ตัวอีกทีก็ช้าไปเสียแล้ว
เพื่อนๆรุ่นเดียวกันไปไหนต่อไหนจนมองไม่เห็นหลังกันแล้ว
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้
อยากจะวางแผนชีวิตตัวเองตั้งแต่เริ่มทำงานว่าอีกกี่ปีจะเป็นอะไร
จะทำอะไร จะต้องได้อะไร และแต่ละวันแต่ละเดือน แต่ละปีควรจะทำอะไรบ้างอย่างไร
« Last Edit: October 12, 2006, 05:03:56 pm by Top's »

Offline O'Pern

  • fear is a mind killer
  • Administrator
  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 7411
  • don't let your fear stand in the way of your dream
    • racing club
สิ่งที่ผมคิดว่าสำคัญที่สุดในการวางเป้าหมายในอนาคตคือ ท่านต้องค้นให้พบกว่าตัวเองต้องการอะไรในชีวิต แรกๆ อาจสับสน และเอามันมาปนกับความฝัน ซึ่งบางท่านก็สามารถสานฝันของตัวเองได้ แต่ก็มีอีกมากที่ไม่ และยังคงพยายามต่อไป

ผมมาค้นตัวเองพบตอนอายุ 21 ครับ แล้วก็แน่วแน่มาจนถึงทุกวันนี้

แต่ถ้าย้อนเวลากลับได้ ผมอยากค้นให้พบก่อนนั้นตอนก่อนเข้ามหาวิทยาลัย เพื่อที่จะเลือกเรียนได้ตรงกับแนวที่เราชอบครับ
i drive / i race / i test / I drift
I row / I run / I fun / I ride

Offline buff

  • Amateur Racer
  • *
  • Posts: 44
  • I'm a new man.
ผมก็มนุษย์เงินเดือนอีกคนหนึ่ง เงินเดือนก็ไม่มาก แต่พอมีเหลือเก็บบ้าง(คิดว่าพอใจแล้วคับ)

บางทีก็แอบคิดอิจฉาคนที่รวยมาตั้งแต่บรรพบุรุษ(โคตรพ่อ-โคตรแม่) มันเหมือนกัน

แต่ก็ไม่เคยเสียดายเวลาอย่างบทเรียนข้างบนเพราะวันนี้ผมดีกว่าเดิมมากแล้วคับ ฮะฮะ

Offline mono

  • Sr. Member Professional Driver
  • ****
  • Posts: 381
  • M_mono
 เห็นด้วยกะพี่เปิ้นคับ การเดินตามความฝันนั้นบางครั้งมันราบรื่น แต่บางครั้งมันแสนลำบากจนแทบเป็นไปไม่ได้ ก็ต้องเข้าใจนะคับ ในเมื่อมันไม่ได้ก็คือไม่ได้ อย่าไปฝืนมัน เพราะว่าเราอาจเสียเวลาเปล่าโดยที่ไม่ได้อะไรเลย

                 ปล. ชอบคุณคุณ Top's ด้วยนะคับ  :)
Hi ...........

Offline ToppyRacingClub

  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 1382
เห็นด้วยกะพี่เปิ้นคับ การเดินตามความฝันนั้นบางครั้งมันราบรื่น แต่บางครั้งมันแสนลำบากจนแทบเป็นไปไม่ได้ ก็ต้องเข้าใจนะคับ ในเมื่อมันไม่ได้ก็คือไม่ได้ อย่าไปฝืนมัน เพราะว่าเราอาจเสียเวลาเปล่าโดยที่ไม่ได้อะไรเลย

                 ปล. ชอบคุณคุณ Top's ด้วยนะคับ  :)

ขอบคุณคับ...เขินๆๆๆ :-[ ;D

Offline ToppyRacingClub

  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 1382
ภาคต่อ... ;D ;D ;D

+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:

"วินทร์ เลียววาริณ"

+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:

โอกาสที่สอง

กฎเทอร์โมไดนามิกส์ทางฟิสิกส์ข้อหนึ่งอธิบายว่า
"เมื่อทำชามตกแตก มันจะไม่ย้อนกลับกลายเป็นชามดี"

ถ้าย้อนเวลากลับไปในอดีตได้ หลายคนคงอยากแก้ไขการกระทำหลายอย่างในอดีตของตน
จะไม่เลือกเรียนคณะนี้
จะไม่ทำงานกับบริษัทนั้น
จะไม่แต่งงานกับผู้ชาย (เฮงซวย) คนนั้น
จะไม่จีบหญิงสาว (ซึ่งตอนนี้เป็นอีแก่) คนนี้ ฯลฯ

ความถวิลหา 'โอกาสที่สอง' อาจฝังอยู่ในอนุสติของคนทั่วไปโดยไม่รู้ตัว
เป็นความรู้สึกดีอย่างหนึ่งเมื่อคิดว่า บางทีสิ่งเลวร้ายที่เกิดกับเราในตอนนี้เป็นเพียงความฝันร้าย เมื่อตื่นขึ้นเรื่องร้ายๆ ก็หายไป

ลองคิดดู หากโลกนี้มีเครื่องเดินทางย้อนเวลาจริง
ทุกๆ คนก็พากันไปแก้ไขอดีต จนไม่มีใครก้าวไปข้างหน้า
เพราะมัวแต่ยุ่งกับอดีตโดยหวังว่ามันจะทำให้ชีวิตของตนสมบูรณ์ขึ้น

ความจริงคือ คุณรู้ได้อย่างไรว่าหากคุณสามารถย้อนเวลาและเลือกไม่เดินไปทางซ้าย สามารถไปทางขวาแทน
ผลลัพธ์ที่ตามมาจะดีกว่าเมื่อคุณไปทางซ้าย?
และหากมันไม่ดีกว่า คุณยังจะขอโอกาสที่สาม สี่ ห้า... อีกไหม?

หากเราไม่สามารถยอมรับผลที่ตามมาของแต่ละการตัดสินใจ เราคงร้องหา ‘โอกาสที่สอง’ ตลอดชีวิต ไม่มีที่สิ้นสุด
มนุษย์เราเป็นสัตว์โลกที่ไม่เคยพอ ยากนักที่หาคนที่พอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ง่ายๆ

หากบ้านของเพื่อนบ้านใหญ่กว่าของเรา เราก็อยากจะมีบ้านใหญ่เท่าหรือใหญ่กว่าของเขา
หากเห็นคนอื่นเก่งมาก เราก็อยากเก่งเท่าหรือเก่งกว่าเขา
แต่เราไม่มีทางย้อนกลับไปแก้ไขทุกสิ่งที่ล่วงเลย

'โอกาสที่สอง' นั้นมีจริง แต่มันไม่มาหาเรา เราต้องสร้างขึ้นมาเอง

ความจริงก็คือไม่มีเครื่องเดินทางย้อนเวลา ความจริงก็คือเราเหลือแต่ปัจจุบันกับอนาคต
เราคงต้องทำดีที่สุดจากสิ่งที่เรามี

นักแสดงหญิง ตาลลูลาห์ แบงก์เฮด กล่าวว่า
“ถ้าข้าพเจ้ามีชีวิตอีกสักครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าจะทำความผิดพลาดอย่างเดียวกัน เพียงแต่ว่าเร็วขึ้น”

เอลเบิร์ต ฮับบาร์ด นักเขียน บรรณาธิการ คนพิมพ์หนังสือ อเมริกัน ผู้สร้างตัวจากความยากจน กล่าวว่า
“ความผิดพลาดใหญ่หลวงที่สุดที่คุณทำได้ในชีวิตคือ การกลัวอย่างต่อเนื่องว่าคุณจะทำความผิดพลาด”

ในการเล่นดนตรี ทุกครั้งที่นักดนตรีเล่นผิดโน้ตและหยุดเล่น คนฟังจะจับได้ทันทีว่าเขาพลาด
แต่หากเขาเล่นต่อไป โดยพลิกแพลงโน้ตที่เล่นผิดต่อไป เพลงนั้นนอกจากจะไม่ล่มกลางคัน อาจจะกลายเป็นเพลงที่คนชอบกว่าเดิม

ประติมากรที่มีฝีมือเมื่อพลาดพลั้งทำบางส่วนของรูปสลักหินอ่อนหัก จะพลิกแพลงแบบที่สลักโดยไม่ต้องนับหนึ่งใหม่
ชีวิตก็เช่นรูปสลักที่บางครั้งบิ่นหัก ป่วยการตำหนิความผิดพลาดที่ผ่านพ้นไปแล้ว
ไร้ประโยชน์ที่จะระทมทุกข์กับอดีตที่ไม่สวยงาม ชีวิตที่ผิดพลาดยังดีกว่าชีวิตที่ไม่ทำอะไรเลย
อย่าขับรถไปข้างหน้าด้วยเกียร์ถอยหลัง
ผิดเป็นครู เรียนรู้อดีต ก้าวไปในอนาคต

25 กุมภาพันธ์ 2548