Bike Forum > my bike diary / my life diary

กพ 56

<< < (4/6) > >>

O'Pern:
16 กพ 56
   พ่อสนุกสนานกับการขับรถ Isuzu Trooper จนลืมรถคันใหม่ จอดทิ้งไว้นานเกือบสัปดาห์แบบไม่ได้แตะเลย สุดท้ายกลายเป็นหน้าที่ผมที่ต้องนำรถหมุนเวียนไปใช้ มันก็น่าสนุกดีนะ แต่ไม่คุ้นมือสิ ไอ้คันใหม่นี่รถมันทรงกลมมน กะระยะด้านหน้าไม่ถนัด พวงมาลัยก็ตอบสนองแปลกๆ ขับไปสักพักนึกขึ้นได้ ไอ้คันนี้มันรถ FF นี่หว่า
   รถทุกคันในบ้านที่เหลือล้วนเป็น FR ครับ ไอ้น้องใหม่คันนี้คันเดียวที่ FF ยิ่งเจอระบบไฮเทคเยอะจัดยิ่งงงเข้าไปใหญ่ พวงมาลัยไฟฟ้าแบบปรับความหนืดได้ คันเร่งไฟฟ้า ปรับตัวกันสักพักถึงจะไปด้วยกันได้
   วันนี้มิวไม่มีเรียนพิเศษตอนเช้าแล้วครับ เรียนจบแล้ว ผมไม่ได้สมัครให้เขาเรียนต่อ ให้เขาพักบ้าง ไม่อยากให้ตึงจนเกินไป เช้านี้มิวนอนเล่นอยู่บ้านอย่างสบายใจ ปกติจะไม่ชอบตื่นเช้า แต่พอวันนี้ไม่มีเรียน ตื่นตั้งแต่ 0600 แบบไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้
   วันนี้หวยออก แต่ไม่ได้ออกเลขทะเบียนของยิ่งลักษณ์เหมือน 7 งวดที่ผ่านมา แต่เจ๋งกว่านั้นคือออกเลข 09 คือหมายเลขเลือกตั้งของพงศ์พัฒน์ และ 57 ก็คืออายุของเขา
   ตามฟอร์ม กองสลากบอกไม่ได้ล็อค
   ว่าแต่ มีคนเชื่อมันด้วยหรอ

O'Pern:
17 กพ 56
   ออกจากบ้าน 0600 วันนี้เป็นครั้งแรกที่ขี่ทริปทางไกลโดยใช้อุปกรณ์แบบไม่พร้อม คือใส่รองเท้าแตะยางห่วยๆ แบบไม่รัดส้น ใส่กางเกงผ้าขาสั้นธรรมดา (ไม่ใส่กางเกงใน ไม่มีกางเกงจักรยานอยู่ข้างใน) ใส่เสื้อยืดแขนสั้นคอกลมผ้าบางๆ มีตัวช่วยหน่อยก็คือผ้าคลุมหน้าแบบไอ้โม่ง และเสื้อแขนยาวแบบมีฮู๊ดสีขาว
   ด้วยความที่อยากลองของ อยากรู้ว่าหากเรามีความจำเป็นต้องขี่รถในสภาพนี้ เราจะขี่ทริปยาวสัก 100 กม ได้หรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการไม่ได้ใส่รองเท้าจักรยานขี่ 
   ขี่ไปชายทะเลตามฟอร์มครับ แถวบ้านผมมีตรงนี้แหละแจ๋วสุดแล้ว กะจะวนไปวนมาในละแวกนี้ ออกแต่เช้า ซัดเต็มๆ อากาศเย็นสบาย ผมว่าน่าจะเสร็จสิ้นตอน 1100 เรียกว่ากำลังร้อนจัดพอดี
   เอาเข้าจริงมันไม่ใช่ครับ ถนนบางขุนเทียนมีฝนตก ข้างทางในเลนจักรยานมีน้ำท่วมขังเกือบตลอดทาง กำลังสนุกเลย กลายมาเป็นต้องลดความเร็ว กลัวน้ำกระเด็นเข้าหลังเข้าปาก และกลัวโดนตะเข็บถนน (เพราะผมไม่คุ้นเคยเส้นทางนัก) ผมใส่ยางสลิคครับ สูบลมอัดเต็มสเปคมาเลย หากเจอถนนที่ไม่พร้อมนี่มีกลิ้งเอาได้ง่ายๆ
   ขี่แบบประคองมาเรื่อยๆ เจอนักจักรยานหลายกลุ่มเลย เกือบ 100% จะใส่ชุด Cosplay เต็มยศ มีพวกรถ Fixy ก็แต่งตัวสบายๆ หน่อย ดูเหมือนประชาชนทั่วไป ผมชอบแบบเรียบๆ ตอนใส่ชุดจักรยานก็เลือกสีพื้นๆ ไม่ชอบสีสันสดใส พอวันนี้แต่งชุดชาวบ้านธรรมดา ก็ใส่สีขาวดำเรียบๆ เหมือนเดิม
   เจอกลุ่มหนึ่งจอดข้างทาง คงจะยางแตก ก็จอดรอกันทั้งกลุ่ม ผมแซงเขามาอย่างช้าๆ ขี่เร็วได้สักแค่ 15 เอง ขี่ด้วยความไม่สนุกเลย ใส่เสื้อขาวด้วยไง น้ำกระเด็นใส่หลังก็เซ็งสิ หลบน้ำไม่พ้น บางช่วงต้องขี่ลุย ระดับน้ำสูงเท่ากับขอบล้อ พอรถยนต์จะแซงผ่านเราก็ต้องลุ้นว่าน้ำจะกระเด็นสาดเราไหม สาดแล้วจะอย่างไรต่อ ก็คงได้แต่ทนๆ ไป
   ขี่ประคองตัวมาช้าๆ ไม่สนุกเลยว่ะ แดดก็เริ่มแรง กลุ่มจักรยานที่ผมแซงเขามาตอนปะยางก็ขี่แซงผ่านไปแบบไม่กลัวเลอะน้ำเลย (เพราะมันเลอะกันเต็มตัวแล้ว)
   เคยเห็นถนนที่เขาเทลาดยางแบบโปะทับกันเป็นชั้นๆ ไหมครับ ถนนย่านนี้เป็นแบบนั้น และไอ้ตรงผิวถนนที่รถวิ่งมันโปะไว้หนา ส่วนด้านข้างก็จะเป็นพื้นเดิม ต่างระดับกันสัก 2 นิ้ว ไอ้รอยต่อของชั้นผิวถนนนี่แหละครับ ที่มันน่าสนใจ
   ปกติถนนแห้งๆ ก็มีคนล้มกับไอ้รอยต่อตรงนี้กันเยอะแล้ว จังหวะล้อหน้ามาแตะที่ขอบนี่แหละคือไฮไลท์ เพราะถ้าล้อหน้ามันแตะปุ๊บแล้วไต่ขึ้นไปเลย ก็ต้องรอให้ล้อหลังแตะและไต่ตามขึ้นไป ถึงจะผ่าน
   ส่วนจังหวะที่ล้มก็มี 2 จังหวะ คือช่วงล้อหน้าแตะขอบ และล้อหลังแตะขอบ แต่ส่วนใหญ่จะล้มเพราะล้อหน้านี่แหละ คือพอด้านข้างมาปะกับขอบปุ๊บ มันก็จะแถไถล ผู้ขี่ที่ปรับบาลานซ์รถไม่ทัน ส่วนจะเป็นเพราะโน้มหน้ามากเกินไป หรือรถที่เซ็ทติ้งแบบหน้าต่ำ เช่นพวกหมอบ แบบนี้จะล้มง่ายมาก และจะเป็นการล้มแบบแถ ไถล ใครตามหลังไอ้คันนี้มาซวยเลยนะ เผลออาจเหยียบซ้ำ เบรกทันก็ตีลังกา เลี้ยวหลบก็จะไปชนเพื่อน สุดท้ายไม่รู้หนีไปทางไหนดี ล้มตามแม่งเลย
   และแล้วเช้านี้ผมก็เห็นภาพเดิมๆ ครับ รถที่ล้มเป็นหมอบ จังหวะเดียวกับที่ผมเล่าเลย ล้อหน้าแตะปุ๊บก็แถ ไกล ล้มแบบเอาหัวไหล่ลงอย่างแรง ไม่อยากนึกภาพเล้ยยย เขากัดฟันขี่ประคองไปจนถึงร้านกาแฟเพิงไม้ ร้านนี้เป็นจุดศูนย์รวมของชาวจักรยานในยุคแรกๆ ตอนหลังเริ่มมีขายข้าวแกงอย่างเป็นทางการแล้ว
   ผมบอกให้เขาไปล้างแผลที่ห้องน้ำ แต่น้ำมีน้อย เพื่อนเขาเลยซื้อน้ำดื่มมาให้ล้างแผลแทน เป็นความคิดที่ดีครับ ล้างแผลก็ต้องการน้ำสะอาดจริงๆ เท่านั้น และได้น้ำเย็นด้วยจะยิ่งช่วยลดความเจ็บช้ำจากแผลได้ดี
   ผมดูเขาสักพัก เห็นเขาบอกบ้านอยู่แถวนี้ ก็เลยโอเค หมดห่วงไป ผมออกขี่ต่อมุ่งหน้าไปยังมหาชัย เป้าหมายวันนี้ต้องขี่ไปอีก 50 กม ถึงจะวกกลับ โชคดีที่เส้นทางที่จะขี่ต่อไปนี้แห้งสนิทเลย ฝนตกแค่ช่วงที่ผ่านมาหน่อยเดียวเอง
   ขี่ตรงตลอดก็จะเป็นเมืองมหาชัย แต่ข้างทางมีจุดให้แวะเต็มไปหมด ตอนเช้าขี่แบบตามแสง สบายมากครับ ร่างกายยังสด มองหาของกินก็ไม่รู้กินอะไรดี ผมดูจะเรื่องมากด้านการกินนะ คือไม่ได้กินแบบเพื่ออยู่ ผมจะกินเพื่อสุขภาพ แถมขี่มาเหนื่อยๆ แล้ว ต้องกินให้อร่อย เจอพวกเพิงขายของข้างทาง ดูไม่สะอาดก็ไม่เอา หรู หรือแพงจัดก็ไม่เอาอีก (งบน้อย)
   แวะจุดแรกคือจุดชมปลาโลมา วันนี้เป็นครั้งแรกทีหอบเอาไอ้แพดมาด้วย เลยหัดใช้เฟซบุ๊คพวกฟังชั้น Check In พร้อมแนบรูปถ่าย ผมมือใหม่กับ Facebook นะ เพิ่งมาใช้จริงจังไม่ถึงเดือนเลย ทำอะไรไม่ค่อยเป็น
   ช่วงใกล้ทะเลลมแรงมาก เช้านี้ระดับน้ำทะเลขึ้นสูง แดดก็แรง อยู่ได้แป๊บเดียวก็ขี่ออกมาไปยังศูนย์อนุรักษ์ชายฝั่งที่อยู่ใกล้ๆ กัน เดินชมเล่นจนหมดโครงการก็ขี่ไปยังศูนย์ใกล้ๆ กันอีก เรียกว่าเจออะไรก็แวะแม่งหมดเลย มาถึงจุดสุดท้ายที่เพิ่งเจอโดยบังเอิญคือศูนย์แสดงปลาอะไรสักอย่าง คล้ายพิพิทธภัณฑ์น่ะ แต่ไม่ได้เข้าชมนะ ไม่มีใครเฝ้ารถให้ เอาไว้ขับรถพาลูกมาดีกว่า
   ขี่ต่อไปเรื่อยๆ จนถึงริมแม่น้ำท่าจีน จุดนี้ก็กว่า 50 กม มาแล้ว มองรอบข้างหาของกินไม่มีเลย มีแต่ร้านอาหารใหญ่ๆ แบบสวนอาหาร เอาไงดีวะนี่ ขี่ย้อนกลับละกัน ช่วงนี้มองสองข้างทางอย่างละเอียดเลย เริ่มหิวแล้ว 1030 แล้ว
   เจอร้านอาหารตามสั่งแอบหลบมุม โหงวเฮ้งดีครับ มีป้ายเมนูเยอะมาก อาหารพื้นๆ ล่ะนะ แต่มีโต๊ะนั่งแบบม้าหิน 9 ชุดใหญ่ๆ เอาไว้รองรับลูกค้า ผมอ่านปุ๊บ สั่งเมนูแรกของเขาเลย นั่นคือ ผัดคะน้าหมูกรอบราดข้าว
   มาแบบจานเบ้อเริ่ม ผักเป็นกำๆ หมูกรอบก็โอเคไม่เยอะมาก ราว 7-8 ชิ้น ข้าวนี่ถ้วยโตเลย จานนี้แค่ 30 บาท ค่อยๆ กินช้าๆ พักเหนื่อยไปด้วย ใช้เวลาไปราว 20 นาที เติมครีมกันแดดหน่อยหนึ่ง
   จากจุดนี้เป็นต้นไปเริ่มจะไม่สนุกแล้วครับ แดดมันร้อน ลมแรง สองข้างทางก็โล่งๆ ไม่มีต้นไม้เป็นร่มเงา พอเจอป้ายรถเมล์ก็รีบปรี่เช้าไปจอดพักทันที ทำแบบนี้ตลอดทางเลย จนเข้าเขตกรุงเทพฯ มันไม่มีป้ายรถเมล์ให้หลบแล้ว หึหึ เอาแล้วสิมึง
   แดดก็ยิ่งร้อนแรงทวีคูณ ตอนนี้ 1200  แล้ว โห ทำเวลาได้แย่มาก ขี่แบบไม่สนุกแล้ว แต่ดีนะที่ไม่เจ็บหลังเหมือนที่เคยเป็นแล้ว สมัยก่อนตอนขี่กลางแดดจัดๆ จะเจ็บหลังแปล็บจนหมดแรง ก้นก็ไม่เจ็บครับ แม้จะไม่ได้ใส่กางเกงจักรยานก็ไม่เจ็บ เบาะหนั่งนี่มันดีจริงๆ
   ขากลับขี่ย้อนกลับทางเดิมจนมาถึงช่วงกลางของถนนบางขุนเทียนก็แยกใช้ถนนย่อยสายเล็กเพื่อกลับเข้าบ้านโดยเลี่ยงถนนใหญ่ มันก็เลี่ยงได้แค่รถนะ เลี่ยงความร้อนไม่ได้ จอดพักใต้สะพาน เจอร้านขายไอติมกระทิ จัดไป 1 ถ้วย เขาขาย 10 บาท ตักกินคำแรกถึงกับชะงัก น้ำตาไหลพราก
   ไอ้สัตว์เอ๊ยยย รสชาติเหี้ยฉิบหายเลย ใจอยากจะเขวี้ยงแม่งทิ้งไปไกลๆ แต่เกรงใจคนขาย เลยเอาวางไว้ใกล้ๆ ตัว
   สักพักมีเด็กเล็กเดินผ่านมา
   “น้องๆ พี่ยกให้เอาไหม”
   เด็กบอกไม่เอา เดินหนีไป โห เซ็งเลยว่ะ ทำไงดี เดี๋ยวมันละลายแล้วจะยิ่งเสียของ คือผมกินไม่อร่อย ไม่ชอบ แต่กับคนอื่นเขาอาจรับได้ไง เพราะตลอดเวลาที่นั่งดูก็มีคนมาซื้อไอติมเขาตลอดเวลา
   เฮ้ยย แปลกใจว่ะ พวกมันกินกันเข้าไปได้ยังไงวะนี่
   หรือว่าปากผมผิดปกติไปแล้ว เพราะที่กินเข้าไปน่ะ มันไม่ได้รสชาติของไอติมกะทิเลย มันใส่สารปรุงแต่งจนผิดเพี้ยนหมด ใช้นมเกรดต่ำ ไขมันเนยแบบแย่ๆ อยากเรียกว่ามันคือไอติมที่รสชาติแย่สุดที่เคยเจอมาก็แล้วกัน
   เด็กเล็กยังคงเดินผ่านหน้าไปมา ผมบอกว่าช่วยกินหน่อยนะ ช่วยหน่อยนะ พูดแบบขอร้อง พร้อมกับเอาไปวางที่โต๊ะเขานั่ง สักพักเด็กก็ตักกิน
   เอารถออกขี่ต่อ ใกล้บ้านแล้วล่ะ เหลืออีกแค่ 20 กม แต่ปัญหาคือแดดร้อนจัด ทนกัดฟันกัดลิ้นจนมา 10 กม อยากนั่งพัก แต่ไม่มีป้ายรถให้หลบ ข้างหน้ามีร้านอาหารของเพื่อนแม่ ชื่อร้านส้มตำเจ๊เล้ง ผมมากินประจำ แต่นี่เป็นวันแรกที่ขี่จักรยานมา
   สั่งโกโก้เย็น แก้วละ 40 บาทแน่ะ ร้านเป็นห้องแอร์อย่างดี มีแบ่งมุมของร้านมาขายกาแฟและเค๊ก ไม่อยากกินมากครับ กลัวอ้วน ดูดช้าๆ จนโกโก้หมดก็ขี่ต่อ
กลับถึงบ้านเอาตอน 0100 รีบถอดของทุกอย่างที่ติดร่างกายออกทันที ยืนยืดเส้นสักพักก่อนอาบน้ำฝักบัว เวรกรรมนะ อยากได้น้ำเย็นๆ ดันไปเจอน้ำจากท่อที่มันตากแดด ร้อนฉิบหาย ทนไป 3 นาที ถึงจะเป็นน้ำธรรมดา
อาบแต่น้ำเปล่านี่แหละครับ นี่ถ้ามีเครื่องทำน้ำเย็นก็ดีสินะ ตอนนี้ผมอยากลงไปแช่ในอ่างน้ำแข็งเลยด้วยซ้ำไป เพราะน้ำเย็นจะดีต่อร่างกาย ดีต่อผิวอีกด้วย ตอนนี้ตัวผมร้อนจัดจากแดด มันต้องเอาน้ำแข็งมาประคบด้วยซ้ำไป
อาบน้ำเสร็จก็เปิดตู้เย็นหยิบเอามาสค์แบบหน้ากากของภรรยามาใช้ ฉีกซองแล้ววางแผ่นนี้ลงบนหน้าทิ้งไว้ 20-30 นาที (ตามคู่มือระบุไว้ แต่ละรุ่นใช้เวลาไม่เท่ากัน) ช่วงนี้จะรู้สึกสบายตัวมาก คือได้นอนพัก ยกขาสูงไปด้วย เผลอหลับเอาได้ง่ายๆ
มาสค์หน้าเสร็จก็เอาเจลว่านหางจระเข้มาชโลมแขนขาต่อ โอ้ วันนี้จัดหนัก บำรุงทั่วตัวไปเลย
พอตัวหายเหนียวก็มาเล่น Uke ต่อ ช่วงนี้ซ้อม Uke บ่อยเหมือนกัน จนอยากได้คาฮอง (cajon) มาตีเล่นบ้าง ไอ้นี่ตอนแรกผมอ่านเรียกแบบ American English เลยนะ ผมเรียก “เคจั้น” พอหาข้อมูลดูเขาเรียกคาฮองก็เรียกตามเขาไป ติดที่ว่าไอ้คาฮองนี่มันเป็นกลอง คือไม่สามารถเล่นคนเดียวแล้วเป็นเพลงได้ เลยคิดหนัก

O'Pern:
18 กพ 56
   ตื่นแบบไม่อยากลุก นอนไม่ค่อยหลับเลยครับ กระสับกระส่าย ก็น่าสงสัยนะ เพราะขนาดออกกำลังกายมาอย่างโหดเลย ขี่ซัดไป 100 กม กลางดแดดจัดอีกด้วย มันก็น่าจะเพลียและนอนหลับได้อย่างสบาย แต่เปล่าเลย เอ๊ะ หรือว่าเราอายุเริ่มมากแล้ว
   ช่วงนี้กลับมาใช้รถตัวเอง Nissan 180SX ขับสลับกันกับรถพ่อ สรุปแล้วผมชอบรถญี่ปุ่นมากกว่าครับ ขับดูแล้วรถมันตอบสนองมือเท้าผมได้แม่นยำกว่า รถไม่เก็บอาการอะไร เจออะไรไม่ดีก็ฟ้องออกมาหมด ต่างจากพวกรถยุโรปที่มีระบบต่างๆ มากมาย รถมันเก็บอาการเอาไว้หมด ขับสบายก็จริง แต่ไม่สนุกครับ ยิ่งพวกคันเร่งไฟฟ้านี่เหมือนรถไร้วิญญาณเลยล่ะ ขับแล้วไม่ค่อยชอบ
เย็นนี้ว่าจะไม่กินอะไรนะ แต่เจอโจ๊กเก่าๆ ในตู้เย็น เลยเอามาอุ่นกินซะ เพราะถ้าทิ้งก็เสียดายของ ก่อนนอนชั่งน้ำหนัก หึหึ แม่งขึ้นมาหนักกว่าวันอาทิตย์ที่ขี่จักรยานเสียอีก

O'Pern:
19 กพ 56
   นอนหลับไม่สนิทอีกแล้วว่ะ เอ๊ะ ชักจะผิดปกติ สองวันแล้วนะนี่ หรือผมออกกำลังกายหนักเกินไป หรือร่างกายเราไม่คุ้นยังปรับตัวไม่ทัน น่าสงสัย
   เช้านี้เดินออกกำลังกาย แน่นอนเช่นเคย คิดท่าเดินออกกำลังกายใหม่ ลองแล้วเวิร์คดี เดินแป๊บเดียวเหงื่อซึม ผมชอบคิดทำอะไรแปลกใหม่ตลอดเวลา ถ้าตัวเองได้ขลุกอยู่กับสิ่งใดแล้วล่ะก็ รับรอง ผมต้องมีสิ่งแปลกใหม่มาเสนอ
   จักรยานก็เช่นกันครับ ผมขี่ทัวริ่งยังอุตส่าห์หาวิธี “เล่นท่า” ได้เลย ท่าแบบเจ๋งๆ เท่ๆ อีกด้วย แต่ต้องซ้อมเยอะนะ มีสิทธิ์กลิ้งเอาได้ง่ายๆ อีกด้วย (กะจะเอาไว้อวดลูก)
   เช้าไปส่งลูก แล้วก็เลยไปร้านขายของ ชีวิตแบบเดิมสุดๆ ยกแบกของ เข็นของส่งลูกค้า เก็บเงิน รับโทรศัพท์ ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้
   อ้อ วันนี้ท้องเสียรุนแรง เมื่อเช้ากินมะรุมครับ เอาเนื้อมะรุมมาผัดพริกแกง เคยกินแบบนี้ครั้งหนึ่งเมื่อปีที่แล้วก็ท้องเสียเหมือนกัน ผ่านพ้นไป 1 ปี ยังคงออกอาการเดิม รู้สึกแปลกใจ เพราะมะรุมนี่เป็นพืชมีประโยชน์มาก นำมาทำแกงส้มกินได้ปกติ แต่ถ้าเอามาผัด จะกินแล้วท้องเสีย แปลกดีว่ะ
   เข็ดแล้วล่ะครับ ไม่กล้าลองแล้ว กลัวเลย ถ่ายทุกๆ 30 นาที หากเป็นคนอื่นไปหาหมอ ก็คงได้เกลือแร่มากิน แต่ผมไม่ไปหรอก หากอ่อนเพลียก็กินผลไม้นี่แหละ ง่ายสุดๆ แล้ว หายเร็วกว่าอีกด้วย
   หยุดถ่ายเอาตอนบ่ายครับ พอรู้สึกดีขึ้นก็กินสตอเบอรี่กล่องใหญ่ โชคดีแม่บ้านทำน้ำใบบัวบกเอาไว้ในตู้เย็น เลยมีน้ำสมุนไพรแบบไม่ใส่น้ำตาลเอาไว้จิบกินตลอดวัน
   เย็นไปรับมิว นั่งดูเขาเล่นบาสฯทุกวันจนเกือบ 0600 ถึงได้กลับบ้าน ช่วงนี้มิวผอมลงนิดหน่อย แต่ผมสิ มันกลับอ้วนขึ้นว่ะ
   โลกนี้มันไม่ยุติธรรมๆ ๆ ๆ

O'Pern:
20 กพ 56
   เช้านี้อากาศเย็นนิดๆ เหมือนมีฝนตกอยู่ละแวกใกล้เคียง มีลมพัดเบาๆ น่าขี่จักรานเป็นที่สุด แต่เปล่า ผมเดินออกกำลังกายแบบถอยหลัง คิดหาท่าวิธีออกกำลังกายใหม่ๆ จะได้สนุกในสิ่งที่เราทำ
   เช้านี้มีกินอาหารสุขภาพอีกเช่นเคย ผัดยอดมะระ มะเขือเทศย่างโรยกระเทียมสับ เห็ดชุดแป้งทอด ข้าวกล้อง ปกติก็กินแบบเน้นสุขภาพทุกวันล่ะนะ เน้นได้แค่ตอนเช้า กลางวันส่วนใหญ่จะกินผลไม้ วันนี้มีสตอเบอรี่ มะขาม กล้วยน้ำว้า ถั่วอัลมอนด์
   ดูไปก็ไม่น่าเป็นของกินแล้วอ้วน แต่ที่ผมอ้วนก็เพราะกินถั่วเยอะเกินครับ ถั่วแค่ 1 กำมือก็ให้พลังงานเกิน 200 กิโลแคลอรี่แล้ว นี่คือถั่วอบนะ ถ้าถั่วทอดก็บวกเข้าไปอีกสัก 50%
   เข้าเวปจักรยานอ่านพบข่าวนักจักรยานทัวริ่งท่านหนึ่งประกาศว่าจะขี่จักรยานสานต่อเส้นทางของนักจักรยานอังกฤษสามีภรรยาที่โดนรถชนเสียชีวิตในไทย
   เรื่องนี้ละเอียดอ่อน ผมเองก็คิดโปรเจคเหล่านี้เอาไว้บ้าง คืออยากขี่จักรยานทางไกล แต่เรามันโนเนมไง หากอยากทำอะไรเจ๋งๆ เท่ๆ มันก็ต้องน่าจะมีเรื่องราว มีที่มาที่ไปสักหน่อย ภาษาคนเขียนบทละครเรียกว่ามันจะต้องมีสตอรี่
   ที่เห็นบ่อยๆ คนเกร่อจนอ๊วกจะแตกก็คือ ขี่เทิดพระเกียรติ เอะอะ อะไร แม่งก็เทิดพระเกียรติตลอดเลย วิ่งก็เทิดพระเกียรติ เดินก็เทิดพระเกียรติ ผมไม่ได้ลบหลู่อะไรสถาบันนะ แต่ไม่ชอบพวกอ้างสถาบันมาขอสปอนเซอร์หากิน
   หากจะเทิดพระเกียรติ ก็น่าจะสาบานว่าจะไม่ทุจริตคอรัปชั่น ข้อแค่ข้อนี้ข้อเดียว ไทยก็พัฒนาไปไกลแล้ว
   พอละ แสดงความเห็นมากไป จะกลายเป็นค่อนแคะคนขี่จักรยานด้วยกัน ต่างคนต่างที่มา ต่างทรรศนะครับ หลายอย่างที่ผมเริ่มไม่เห็นด้วยกับคนในเวปจักรยานที่เขามาโพส แต่ก็เลี่ยงด้วยการไม่แสดงความคิดเห็นออกไป เลี่ยงการปะทะนั้นซะ
   คือผมไม่ได้มองว่าขี่จักรยานแล้วจะต้องเป็นฝ่ายถูกเสมอไง จะมองภาพรวมในสังคมเป็นหลัก เช่นขี่จักรยานแล้วโดนรถเมล์เบียดในจุดที่เขาจะต้องเข้าจอดป้าย คนก็จะด่ารถเมล์กันหมด แต่ผมขี่จักรยานมานานมาก ไม่เห็นจะเคยโดนรถเมล์เบียดสักครั้ง ทั้งนี้ก็เพราะผมจะชะลอรถ และระวังหลังตอนขี่ผ่านป้ายรถเมล์ หลายอย่าง หลายเหตุการณ์ หากลองคิดทำใจให้เป็นกลางสักนิดจะพบว่า ตัวเราเองก็มีส่วนในการทำให้เกิดอุบัติเหตุนั้น
   ไม่ได้เก่งสักนิดนะครับ แค่รอบคอบกับชีวิต เขาต้องมาจอดของเขาบริเวณนี้อยู่แล้ว เราเองต่างหากที่ผ่านมาในจุดที่เขาจอดมิใช่หรือ หากเจนจัดถนนอีกสักนิด พอเห็นคนข้างถนนโบกรถ เราเองก็เตรียมชะลอรถได้แล้ว
   อีกพวกนี่ขี่แบบรนหาที่ นั่นคือพวกชอบเร่งแข่งกับรถใหญ่ จะมีเหตุผลคลาสสิคคือไม่อยากดมควัน บางคนแมนดี บอกตรงๆ ยอมรับเลยว่าไม่อยากจอด ก็เลยเบนรถออกยืนโยกกะจะแซงขึ้นหน้า ถ้าพ้นก็โอเคดีไป รอดไป แต่ถ้าไม่พ้น มันก็คือโดนเกี่ยวล้ม ทับ มีท่านหนึ่งผมพอจะรู้จัก อายุราว 60 โดนรถเมล์ทับขาเพราะไม่อยากเบรก เหตุการณ์เกิดมาหลายปีแล้ว แต่ทุกวันนี้ยังนั่งรถเข็นอยู่เลย เล่าให้เป็นอุทาหรณ์ครับ
   เรื่องจักรยานมันจะฮอทฮิตไปอีกสักพักใหญ่ ระยะหลังมานี้มันฮิตกันมากขึ้น โดยเฉพาะรถแบบ Fixy ก็ดีครับ จะรถอะไรก็เถิด ประโยชน์ของจักรยานอยู่ที่การใช้งานมันเท่านั้น เว้นเสียแต่ว่าจะเจอคนที่ซื้อมาเก็บ
   เย็นนี้มิวเล่นบาสอยู่นานถึง 2 ชม ผมร่วมเล่นด้วยเป็นช่วงๆ ตอนที่เขาไม่ครบทีม อยู่โรงเรียนจนถึง 0630 ขอผมกินร้านยาโยอิบอกว่าไม่ได้กินมานานแล้ว วันนี้หิวจัด นะ นะ พ่อนะ

Navigation

[0] Message Index

[#] Next page

[*] Previous page

Go to full version