1 เมษ 53 BKK on the air
ตื่นเช้ามาแบบยังไม่รู้ว่าตัวเองได้นอนตอนไหน ตื่นเพราะเครื่องบินเขาเปิดไฟพร้อมมีเจ้าหน้าที่เดินแจกผ้าอุ่น อาหารเช้าผมเลือกแพนเค๊กไส้ไข่กวน ทานกับเห็ดผัดเนย มันฝรั่งอบ และมะเขือเทศย่าง มีครัวซองให้อีก 1 ชิ้น และผลไม้อีกหยิบมือหนึ่ง
เขามาเสิร์ฟตอน 0530 หลายคนกินไม่ลง ผมเองก็กินเท่าที่จะกินได้ ไม่อยากยัดเข้าไป กลัวมันย้อนศร อีกสักพักเครื่องบินลงจอดตรงตามเวลา 0630 เบ็ดเสร็จรอกระเป๋าออกมาก็ราวเจ็ดโมงกว่า
ผมสงสัยอย่างหนึ่งคือเรื่อง Tag ที่ติดกระเป๋าเดินทาง ผมไม่เคยเห็นเจ้าหน้าที่เขาตรวจนับกระเป๋าตอนผมเข็นออกผ่านช่องเขียวเลยสักครั้งเดียว แปลกดี
ออกมาจากสนามบินวูบแรกที่สัมผัสลมร้อนแล้วมันช่างแตกต่างจาก 7 วันที่ผ่านมาเหลือเกิน ผมนั่งรถ Shuttle Bus ขึ้นที่ชั้น 2 (ผู้โดยสารขาเข้า) ใช้ประตูแรกที่อยู่ตรงหน้าได้เลยครับ รถจอดรถผมอยู่แล้ว สอบถามพนักงานขับรถให้แน่ใจว่าเขาผ่านท่ารถเมล์ที่ผมจะไปไหม มั่นใจแล้วจึงขึ้น
ทั้งรถมีแค่ 2 คนเองครับ รอสัก 10 นาทีก็ออก แต่เขาวนกลับไปชั้น 4 (ผู้โดยสารขาออก) เพื่อรับผู้โดยสารด้านบน จุดนี้คนแห่กรูกันมาขึ้นรถจนแน่น ผมตกใจ ไม่คิดว่าคนจะแน่นขนาดนี้ ดูแล้วส่วนใหญ่จะเป็นคนทำงานในสนามบินนี่แหละ มีผู้หญิงคนหนึ่งมายืนใกล้ๆ ผมเลยลุกให้เธอนั่ง แต่เธอปฏิเสธ
พี่นั่งเถอะ หนูแค่แป๊บเดียวก็ลงแล้ว
เอ๊ะ หรือพี่เขาจะเอื้อเฟื้อต่อ เด็ก สตรี และคนชราอย่างเธอ เพื่อนเธอแซวกันเอง
เขาคงจะกลัววัตถุโบราณผุพังมั้ง เจ้าตัวช่วยแซวตัวเองเข้าไปอีกแรง จนผมขำยิ้ม
วิถีชาวบ้านแบบนี้แหละครับคือคนไทยแท้ๆ ลุกให้นั่งแล้วก็กลับมานั่งต่อได้อย่างไม่ขัดเขิน ต่างกับตอนที่ผมใช้รถไฟฟ้าแล้วเจอผู้หญิง ผมก็ลุกให้นั่ง แต่เธอไม่นั่ง แถมมองผมด้วยสายตาประหลาด
อายแบบทำตัวไม่ถูก แรกๆ ถึงกับเดินหนีไปยืนไกลๆ เลย จนหลังๆ นี้ผมไม่นั่งแล้ว ขึ้นรถไฟฟ้าทีไร ใช้ยืนมันซะเลยจะดีกว่า
พอรถออกจากตึกผู้โดยสาร ผมก็ลงป้ายแรกเลยครับ เขามาจอดทีท่ารถเมล์ มองหารถเบอร์ 558 สายนี้จอดหน้าปากซอยบ้านผมเป๊ะ ค่าโดยสาร 34 บาท ต่างกันลิบลับกับขามาที่เสียค่าแท๊กซี่ไป 310 ยังไม่รวมค่าทางด่วน 2 ต่ออีก 45 และ 25 บาท เสียตรงรถเมล์จะถึงช้าหน่อย เพราะจอดกันทุกป้ายเลย
ออกจากสุวรรณภูมิ 0730 มาถึงบ้านเอาตอน 0900 พอดี เจอพ่อมาเปิดประตูให้ก็ยกมือสวัสดีพ่อ สิ่งแรกที่ผมทำคืออาบน้ำ และอยากนอน
เปิดน้ำเย็นๆ อาบในอากาศร้อนๆ รู้สึกสบายตัวมากกว่าอาบน้ำอุ่นในอากาศเย็นอย่างมากครับ ผิวก็ไม่เสียอีกด้วย เพลียแบบหมดแรง ล้มตัวลงนอน ได้แค่หลับตาครับ มันนอนไม่หลับ ไม่คุ้นเคยกับการนอนตอนกลางวัน เลยลุกขึ้นมาทำธุระสำคัญต่อ
ผมโทรหาช่างตกแต่งคอนโดสอบถามความคืบหน้า มันจวนจะถึงกำหนดเสร็จแล้ว แต่ห้องยังดูไม่ค่อยคืบหน้า ผมชักเป็นกังวล รู้สึกคล้ายตอนที่รถตัวเองถูกจอดดองไว้ในอู่
คุณเปิ้ลสบายใจได้ เราขึ้นโครงแบบ และพ่นสีจากโรงงานเสร็จเกือบจะหมดแล้ว พรุ่งนี้เราจะนำตู้และชิ้นส่วนต่างๆ เข้าไปประกอบที่ห้องค่ะ
เออ ได้ฟังแบบนี้ค่อยโล่งใจ สงกรานต์นี้ผมคงไม่ไปไหน จะได้พักผ่อนที่ห้องพักนี่แหละ
ชั่งน้ำหนักก่อนนอน พบว่าขึ้นมาแค่ครึ่ง กก เออ ค่อยยังชั่วหน่อย
2 เมษ 53
วงจรชีวิตกลับมาเป็นเหมือนเดิม กลับเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริงแล้วครับ ที่ผ่านมา 7 วันนั้นคือโลกแห่งความฝัน ต้องไปทำงานยกของส่งของอีกแล้ว สบายๆ ครับ ผมเป็นคนที่ปรับตัวเข้าได้กับทุกสถานการณ์ หรูเสียดฟ้านั่งกินอาหารหรูหราในพระราชวัง จิบไวน์อย่างดี พร้อมคาเวีย (ไข่ปลาสเตอเจียน) จนกระทั่งเข็นของส่งให้ลูกค้าในปากคลองตลาด
แล้วคุณไม่เบื่อบ้างหรือ เพื่อนผมคนหนึ่งที่เจอกันที่มอสโคว์ถาม
มันก็อยู่ที่วิธีคิดน่ะครับ ถ้าคิดว่าเราต้องมาทำงานแบบคนงาน คิดแบบนั้นผมทำได้แค่ไม่กี่วันก็ท้อใจแล้ว แต่ผมคิดว่าผมมาช่วยพ่อแม่ ถ้าเขาอยากให้ผมทำ ผมก็จัดให้ได้ สบายมาก เขาเลี้ยงผมมาจนโต เขาลำบากเพื่อผมมาเยอะ แค่นี้ไม่เท่าไหร่หรอก
เพื่อนได้ยินก็ยิ้มแห้งๆ ทำหน้างงๆ
แล้วความฝันของคุณล่ะ เขาถามต่อ
ฝันของผมก็ย่อมต้องเล็กลงเป็นธรรมดา แต่ผมก็จะขอฝันของผมคนเดียวต่อไป แต่เชื่อเถอะ ผมไม่เลิกฝันหรอก ตอบแบบมั่นใจสุดๆ แต่พูดไปแล้วกลับคิดในใจต่อว่า นี่เราจะทำได้จริงๆ หรือนี่
วันนี้ผมเหนื่อยมาก กลับเข้าบ้านเอาตอนห้าทุ่มกว่า เข้านอนเกือบจะเที่ยงคืน เนื้อตัวร้าวระบม
แต่ถ้าคิดบวกก็จะพบว่า เป็นคืนที่ผมนอนหลับสบายดีจริงๆ ครับ
3 เมษ 53
ตลอดวันเห็นม็อบที่ชินวัตรจ้างมาขับรถผ่านหน้าร้านผมไปเป็นระยะ ตะโกนโห่ร้องแบบคึกมาก นี่เขาคงไม่รู้กระมังว่าชินวัตรกำลังจะงัดข้อกับราชวงศ์จักรีของไทยเราอยู่
น่าอนาถใจจริงๆ ระวังนรกจะกินกบาลพวกมึงทุกตัว
ตอนบ่ายมีธุระที่ธนาคาร เข้าไปใช้บริการในห้าง เลยเดินดูแผงหนังสือสักหน่อย มองหานิตยสาร Option Thai Edition ดันไปเจอหัวหนังสือก๊อปปี้ ชื่อว่า OPT แหม ดันเขียนอีกนะว่า Option Thailand โถพี่ ขนาดแค่ชื่อหนังสือพี่ยังก๊อปญี่ปุ่นเขามาเลยน่ะ แล้วชีวิตนี่พี่จะทำอะไรสร้างสรรค์ได้บ้างวะนี่ คุ้นๆ ว่าเมื่อก่อนเขาใช้ชื่อ Auto Option นี่นา ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อแล้วหรือ ถ้าจำผิดผมขออภัยด้วยนะครับ
สรุปแล้วหาไม่เจอครับ คือยังไม่ออก หรือไม่ก็ขายหมดแล้ว ไว้เจอแผงอื่นค่อยมองหาใหม่ แต่เห็นนิตยสารรถยนต์หน้าใหม่ๆ แจ้งเกิดกันเพียบเลยนะ ยุคที่ผมทำ Racing Club ผมว่าเยอะแล้วนะ มาวันนี้ มันเยอะกว่าเดิมอีก แต่ลองพลิกหยิบมาดูแล้วรู้สึกเฉยๆ มาก ไม่ได้สร้างสรรค์อะไรให้กับวงการรถเลยแม้แต่น้อย ยังคงวนเวียนในวังวนเดิมๆ ที่เทิดทูนเหล่าบรรดาคนมีเงินแต่งรถแพงๆ เชิดชูของแต่งทรงพลัง ที่ฮามากก็คือยังคงเอารถซิ่งโบราณที่อายุเกือบจะ 20 ปีมาลงอยู่เสมอๆ เช่น Toyota Supra / Mazda RX-7
ก็ไทยเราไม่มีรถใหม่ๆ มาน่ะสิพี่ รุ่นน้องเล่นรถคนหนึ่งบอกผม ซึ่งผมเองก็รู้คำตอบนั้นดีอยู่แล้ว ไทยเราไม่ได้เป็นประเทศผู้ผลิต เป็นแต่คนนำเข้า ทั้งนี้หากเศรษฐกิจไม่ดี รถใหม่ๆ เจ๋งๆ ก็ขายได้น้อย น้ำมันยิ่งแพงมากอีกด้วย คนซิ่งก็เลยน้อยลงเข้าไปใหญ่ ไอ้พวกรถเก่าๆ ที่ยกตัวอย่างก็เลยยังคงดังเป็นเทพค้างฟ้า
4 เมษ 53
ปกติผมจะตื่นเช้ามาก โดยเฉพาะเช้าวันหยุดแบบนี้ แต่วันนี้ไม่ใช่ ลืมตามาเอาตอน 0600 ท้องฟ้าสว่างมากแล้ว อยากจะเอาจักรยานออกขี่แต่ไม่มีแรง โห.. ผมไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย ว่าแล้วก็นอนต่อ แต่ไม่ได้หลับ แค่นอนพักบนที่นอน
ลุกขึ้นอาบน้ำ 0700 ลงมาชงน้ำ Apple Cider Vinegar (ACV) กินกับน้ำผึ้ง ผสมมะนาว 1 แก้ว เดินไปเดินมาในบ้านแบบเลื่อนลอย มองดูต้นไม้ใบหญ้า นั่งเล่นบนม้านั่ง
ตลอดวันนี้ผมนั่งพิมพ์บันทึกไดอารี่ย้อนหลังตอนไปรัสเซีย นั่งบนโต๊ะคอมฯตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ไม่ได้ออกไปไหนเลย ทั้งๆ มีที่อยากไปเยอะมาก เช่น มีงานของภูมิสถาปัตย์จัดที่ Crystal Design Center เลียบทางด่วนรามอินทรา / งาน Motor Show ที่ไบเทค (น่าจะวันสุดท้ายนะ) / ไปสวนจตุจักร
เอาเข้าจริงได้แต่อยู่บ้านนี่แหละครับ พิมพ์เล่าเรื่องกันแบบทรหดอดทนอย่างมาก ทริปนี้ผมถ่ายรูปตัวเองแบบ Self Portrait คือถ่ายตัวเอง แต่ไม่ใช่แค่ยืดแขน หันกล้องมาแล้วกดแชะๆ นะ แบบนั้นมันเด็กๆ เกินไป
Self Portrait เป็นการถ่ายภาพตัวเองที่ผมใช้เรียกการถ่ายรูปสไตล์นี้ เริ่มจากต้องรู้เทคนิคและช่วงจังหวะการกดชัตเตอร์ ถ้าได้เลนส์แบบ Wide Angle จะแจ๋วมาก กล้องผมเลนส์กว้าง 24 มม ครับ เลยพอไปได้ดี ไม่งั้นจะเล็งยากกว่านี้
มันใช้ความรู้สึกมากกว่าการเล็งภาพนะ เพราะเรามองไม่เห็นภาพตัวเองในหน้าจอ บางช่วงต้องถ่ายแบบกดชัตเตอร์ 2 จังหวะ คือครึ่งแรกกดเพื่อล็อคโฟกัสที่ใบหน้าเรา และหันกล้องเลื่อนไปนิดเพื่อจับภาพบรรยากาศ และกดชัตเตอร์ลงไปอีกครึ่งหนึ่งได้เลย
อย่างช่วงหนึ่งผมเข้าไปในโบสถ์ หลังคายอดโดมสวยมากๆ ผู้คนต่างยกกล้องแหงนหน้าขึ้นถ่ายกันหมด มีผมคนเดียวที่เปิดระบบหน่วงเวลา 10 วิ จับกล้องวางบนพื้นราบ แล้วกดชัตเตอร์ ในขณะที่ตัวเองยืนอยู่ข้างๆ กล้อง โน้มตัวลงมานิดหนึ่ง ชี้นิ้วขึ้นบนยอดโดม
แชะ ภาพออกมาสวยฉิบเป๋งเลยล่ะครับ
อย่าลืมปรับ White Balance ด้วยก็แล้วกัน
ผมเล่นกล้อง เล่นจักรยาน เหมือนกับการเล่นรถยนต์ครับ คือไม่บ้าของแต่ง แต่มุ่งเน้นพัฒนาการของเราเป็นหลัก ใช้ความสามารถของกล้องที่เรามีอย่างเต็มที่ เต็มพิกัด รีดสมรรถนะออกมาจนถึงจุดสูงสุด ผมไปไหนมาไหนกับกล้องตัวเดียว กล้องคอมแพคอีกด้วย มิใช่แบบ Digital SLR อย่างพวกมือโปรเขา ผมขอเล่นแบบเงียบๆ คนเดียวนี่แหละ
วันนี้ผมพิมพ์ไดอารีต่อเนื่องกันถึง 12 ชม นั่งตรงนี้ตั้งแต่ 0700 เช้า จนถึง 0700 หัวค่ำ พิมพ์เล่าเรื่องตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม จนถึงล่าสุดวันนี้ 4 เมษายน
เป็นการพิมพ์ไดอารี่ที่ยาวนานที่สุดเท่าที่ผมเคยทำมา