racing-club.net

Bike Forum => my bike diary / my life diary => Topic started by: O'Pern on March 02, 2011, 02:06:56 pm

Title: มีค 54 13 100 กม 21 แนวทางการช่วยเหลือประเทศญี่ปุ่นจากมหัตภัย
Post by: O'Pern on March 02, 2011, 02:06:56 pm
1 มีค 54
   เช้านี้ลูกไม่มีอะไรกิน เลยรีบขี่จักรยานออกไปซื้อโจ๊กให้เขา ไม่ได้ขี่จักรยานออกกำลังกายยามเช้าแล้วล่ะครับ อาศัยตอนขยับตัวนี่แหละให้มันเป็นการออกกำลังกายซะ
   ไม่รีรอในการขี่จักรยาน การได้ขี่แม้เพียงเล็กน้อยก็ทำให้ใจดวงเล็กๆ พอจะมีความสุขกับเขาได้บ้าง ความสุขมันอยู่รอบตัวเราเอง อยู่ที่วิธีคิด มองรอบข้างเราด้วยใจเป็นสุข เราก็จะสุข ในทางตรงกันข้าม ถ้ามองด้วยความทุกข์ เห็นอะไรก็ขวางหูขวางตาไปหมด แบบนี้ขี่ให้ตายก็ไม่มีวันสุขไปได้
   วันนี้น่าแปลกใจมากที่ไม่ต้องยกของแบกของเหมือนทุกวันที่ผ่านมา รู้สึกดีอย่างมาก แขนผมได้พักบ้างแล้ว ทุกวันนี้นี่มันเจ็บถึงขนาดหมุนพวงมาลัยจอดรถในที่แคบๆ ยังเจ็บเลย แต่ถ้าไม่ได้ออกแรง ไม่ได้ยกของหนักๆ ก็ไม่เป็นไรนะ
   
   วันนี้เปิดงานงาน Geneva Motorshow ครับ นี่ถ้ายังทำงานในวงการรถยนต์ คงมีโอกาสไปเยี่ยมชมกับเขาบ้าง แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง ทุกวันนี้ผมเป็นแค่คนงานยกของเท่านั้นเอง
Title: Re: มีค 54
Post by: O'Pern on March 03, 2011, 02:46:15 pm
2 มีค 54
   ดีใจไม่ต้องยกของได้แค่วันเดียวเท่านั้นแหละครับ วันนี้ชีวิตก็กลับไปเป็นแบบเดิมๆ แต่ที่ร้ายกว่านั้นคือวันนี้ยกจนหัวไหล่ขวาเจ็บอีกแล้ว แถมวันนี้เจ็บแบบมีอาการใหม่ นั่นคือเจ็๊บแปล็บๆ แบบนี้มันเป็นเรื่องของเส้นประสาท แต่อาการเจ็บกล้ามเนื้อมันก็ยังคงอยู่ โอ้โห ได้สองเด้งเสียด้วย โชคสองชั้นที่เจ้านายประทานมาให้
   
   ฟังรายการวิทยุเกี่ยวกับรถยนต์ เจอวิทยากรตอบคำถามแล้วผมอึ้งมาก ผู้ถามๆ ว่ายางเดิมติดรถเบอร์หนึ่ง พอจะไปเปลี่ยนยาง ร้านยางบอกว่ายางขนาดนี้หมดแล้ว ไม่มีจำหน่ายแล้ว (ยางขอบ 14 ปัจจุบันหาเริ่มหายากแล้ว) มีแต่แบบหน้าแคบลงนิดหน่อยแทน จากเดิม 195 ของใหม่จะเป็น 185 ผู้ถามเป็นหญิงที่ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องรถยนต์มากนัก
   วิทยากรตอบว่าใส่แทนกันได้ สบายมาก อันนี้ผมก็เห็นด้วย แต่ประโยคต่อไปนี่สิ วิทยากรบอกว่า “หน้ายางแคบลงนิดหน่อย ไม่มีผลต่อระยะเบรก”
   เฮ้ยย มีผลสิครับ แต่ผลของมันแปรผันไปตามความเร็วของรถ และแรงเสียดทานของหน้ายางกับผิวถนนต่างหาก จะบอกว่าไม่มีผลเลยนั้น ผมไม่เห็นด้วยอย่างแรงครับ เราพูดผ่านสื่อ ต้้องระวังคำพูดของตัวเองให้มาก
   ถ้าจะให้ดีก็ต้องเสริมอีกด้วยว่า ในทางกลับกันหากขับรถหน้าฝนแล้วเกิดมีน้ำท่วมขัง ยางหน้าแคบจะขับได้ดีกว่ายางหน้ากว้างครับ มันพุ่งแหวกน้ำได้ดีกว่า ลื่นไถลน้อยกว่า (กรณีเทียบกับยางสเปคเดียวกัน ดอกยางลายเดียวกัน ฯลฯ)
   เย็นรับลูกกลับมาบ้านเร็ว ลูกทำการบ้าน ผมเอาจักรยานออกขี่ไปราว 1 ชม วันนี้ขี่สองคันเลยทั้งรถ Full Size และรถพับ ขี่ติดต่อกันแล้วรู้สึกรถต่างกันโดยสิ้นเชิงครับ รถล้อใหญ่มันไหลดีกว่ารถล้อเล็กมากๆ ทั้งๆ ที่รถล้อเล็กนั้นแสนจะใหม่กว่าสิบกว่าปี ดุม กระโหลกลื่นกว่าเห็นๆ แต่รถคันใหญ่กับทำอัตราการไหลได้ดีกว่า ทั้งนี้ไม่ได้เกี่ยวกับวัสดุเฟรมนะครับ ทั้งสองคันเป็นโครโมลี่เหมือนกัน
   ไม่บ่อยนักที่ผมมีโอกาสขี่จักรยานตอนเย็น อยากรู้ว่าขี่ยาวๆ แล้วจะเจ็บหัวไหล่ไหม
Title: Re: มีค 54
Post by: O'Pern on March 04, 2011, 03:04:22 pm
3 มีค 54
   ตื่นแต่เช้ามืดตั้งแต่ยังไม่ตี 5 ลุกขึ้นมาขี่จักรยาน ถ้าอยากขี่ก็ต้องตื่นเร็วแบบนี้แหละครับ แต่ก็ออกขี่ไปได้ไม่นานนัก ก็ต้องกลับมาบ้านเพื่อเตรียมตัวทำภาระกิจประจำวัน
   ขับรถไปทำงานอย่างเบื่อชีวิต เบื่อจริงๆ คงเป็นเพราะอาการเจ็บหัวไหล่แน่ๆ ยังดีที่ตอนขี่จักรยานแล้วมันไม่เจ็บมากนัก แต่ถ้าลากยาวๆ ก็จะเริ่มมีเจ็บบ้างเหมือนกันนะ
   เช้าไปทำงาน เย็นไปรับลูก แค่นี้แหละ
Title: Re: มีค 54
Post by: O'Pern on March 06, 2011, 12:47:04 pm
4 มีค 54
   วันๆ ผ่านไปอย่างไรจุดหมาย ความมุ่งมัน ความฝัน ความทะเยอทะยานที่สมัยก่อนมีอยู่เต็มตัว ไม่รู้มันหายไปไหนหมด ชีวิตซังกะตาย มีลมหายใจอยู่ไปวันๆ ไม่รู้จะเล่าอะไร ชีวิตตลอดวันก็มีแต่แบบเดิมๆ
   เบื่อ

   เย็นนี้ลูกผมมีการแสดงบนเวทีก่อนปิดภาคเรียน เพื่อนๆ เขาเล่นดนตรีกันเช่น ระนาด ฆ้อง กลอง แต่มิวได้เล่นกรับ อันนี้ผมรู้นานแล้วล่ะครับ เพราะตอนที่คุยกับครูเขาบอกมิวไม่ค่อยสนใจเรียน ชอบเล่น ฟังแล้วก็ละเหี่ยใจ

5 มีค 54
   วันเสาร์ หึหึ ขับรถส่งของอีกแล้วครับ คนงานไม่มาตามเคย เสาร์ที่แล้วก็ใช่ ตารางชีวิตเหมือนกันเป๊ะๆ เลย แต่วันนี้ใช้รถกระบะแบบไม่มีหลังคาขับส่ง มันก็สบายดีตรงขับง่าย ไม่ต้องพะวงว่าจะไปชนกันสาด หรือป้ายของร้านลูกค้า แต่ข้อเสียก็คือ ลงของกลางแดดแล้วจะร้อนเอามากๆ
   ช่วงพักกลางวันก็ต้องรีบกินข้าวเหมือนคนงาน พวกเขากินเสร็จแล้วก็ล้มตัวลงนอนพักเอาแรง ผมอยากทำบ้าง แต่ก็โดนเรียกให้ไปทำอย่างอื่นต่อ พอถึงคิวตัวเองก็ต้องไปขับรถส่งของต่อ ช่วงบ่ายส่งของที่ห้างดิโอลสยาม รถติดอย่างมากจนน่าเบื่อ ขนาดอยู่แค่ปากทางเข้า ยังต้องจอดรถติดอยู่กว่า 15 นาที
   “มาส่งของเหรอลูกพี่” พนักงานแจกบั้ตรเข้าตึกเอ่ยทัก สีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสมาก
   “ครับผม วันนี้ส่งเยอะหน่อย” ผมตอบ ส่งยิ้มไปด้วย พร้อมกับชี้นิ้วไปท้ายรถ
   ยามหน้าประตู ปกติก็จะไม่ค่อยได้คุยกับใคร ไม่ได้คุยกับเจ้าของรถคันไหน มีแค่ยื่นบัตรให้ เขาจะพูดคุยก็กับรถคนงานส่งของนี่แหละ แต่พอคนไหนสนิทๆ มากๆ เข้า ก็กลับขอสิ่งของที่มาส่งซะงั้น ยังดีที่เป็นแค่บางคน แค่ไม่กี่คน
   เย็นไปธุระที่ธนาคาร คนแน่นมากๆ ครับ กว่าจะเสร็จก็เย็นมากแล้ว กลับมาถึงบ้านเจอลูกเล่นตัวต่อโมเดลกระดาษ เศษกระดาษทิ้งเกลื่อนกระจายเลยครับ เห็นแล้วจะเป็นลม
   คืนนี้มีงานจุดพลุของอาซาฮีที่สะพานแขวน ผมนัดเพื่อนๆ ที่คอนโดเอาไว้ บอกว่าจะไปดูด้วยกัน แต่ไม่ได้นัดกันแบบเป๊ะๆ นะ บอกแค่ว่าไว้เจอกัน ผมชอบดูพลุ แถมมาจุดเอาหน้าคอนโดผมเสียด้วย ไม่ต้องเบียดเสียดดูเลยล่ะ นั่งอยู่ในห้องยังมองเห็นชัดด้วยซ้ำไป
   ปีที่แล้วก็จัด แต่ผมไม่ได้ไปดู ปีที่แล้วต้องส่งของจนดึกดื่น มาปีนี้มีเวลาได้ดู แต่ลูกยังเล่นเถลไถล ไม่ยอมเก็บข้าวของเสียที ผมเองก็เหนื่อยมาตลอดวัน ไม่อยากบ่นว่า จากแผนเดิมที่จะพาลูกไปนอนที่คอนโด ก็เลยนอนบ้านเหมือนเดิม
   0800 พลุนัดแรกดังขึ้น ผมอยู่บ้านยังได้ยินเสียงชัดเจน บ้านผมอยู่ไม่ไกลจากคอนโดมากนัก ขึ้นไปบนดาดฟ้า ได้ดูพลุเหมือนกัน แม้จะไม่ค่อยชัดเต็มตานัก
   ก่อนนอนจัดชุดขี่จักรยานเตรียมเอาไว้หน้าห้องน้ำ พรุ่งนี้เช้าจะได้ออกลุยได้เลย
Title: Re: มีค 54
Post by: O'Pern on March 06, 2011, 05:03:45 pm
6 มีค 54
   ตื่นไม่เช้ามาก ท้องฟ้ามีเมฆหนา อาจมีฝนได้ แต่ไม่สนใจแล้วล่ะ ผมสร้างเงื่อนไขให้ตัวเองไว้ก่อนนอนแล้วว่า วันนี้เราจะไปขี่ัจักรยานเพื่อทดสอบกางเกงจักรยานกัน เป็นกางเกงแบบลำลองของ Mongoose ที่ผมซื้อมาจากร้านขายสินค้าส่งออก ราคาแค 260 บาท ถูกมากๆ มีคนเอามาขายในเวป 680 บาท ฮ่าๆ
   อันนี้ไม่ได้เป็นงานของผมนะครับ ผมสร้างเงื่อนไขขึ้นมาเองเพื่อให้ตัวเองอยู่ในสภาพกดดันที่ต้องทดสอบผลิตภัณฑ์ ไม่ได้ขี่เล่นๆ ฉะนั้น จะต้องขี่นานพอควร วันนี้ผมขี่ไปราว 3 ชม และขี่แบบเน้นรอบขาให้หมุนเร็วๆ การขี่แบบนี้่จะทำให้ก้นเสียดสีกับเบาะมากกว่าปกติ ยิ่งรอบขาสูง ก้นจะเสียดสีกับเบาะจนร้อน ถ้านานเข้าจะถึงกับนั่งไม่ได้เลยล่ะ เบาะนั่งของ Brooks ที่ราคาแพง น่าจะมีส่วนช่วยลดความร้อนจากการเสียดสีนี้โดยตรง แต่ผมยังไม่เคยใช้ และยังไม่เคยเห็นคำวิจารณ์ของนักปั่นคนไหนที่เอ่ยถึงความร้อนจากการเสียดสีนี้เลย หรือว่าผมจะคิดมากไปคนเดียวก็ไม่รู้
   ระหว่างทางผมพบนักจักรยานมากมาย คนแรกคือพี่จั๊ว พี่คนนี้รู้จักมานานมาก เพราะใช้วิทยุสื่อสาร แถมบ้านใกล้กันอีกด้วย พี่จั๊วขี่เสือหมอบ ชอบขี่เร็ว ขี่ไกล ทริปหัวหินนี่เขาไม่พลาดแน่ๆ
   ขี่ไปสักพักใหญ่ก็เจอกลุ่มวัยกลางคนหน่อย กลุ่มนี้ขี่ช้า ผมเลยขี่ตามเขาไปด้วย
   “ขอขี่ด้วยคนนะครับ” ผมพูดแบบไม่ต้องการคำตอบ ขี่เกาะท้ายเขาไปเรื่อยๆ แต่เขาขี่กันช้า ความเร็วไม่ถึง 20 เลย
   เอ๊ะ ปกติผมก็ขี่แค่นี้นี่นา มาวันนี้ทำไมผมขี่ได้เร็วมากๆ อัดขึ้นไป 25-30 ได้แบบสบายๆ ไม่เหนื่อยเลย
   หรือเป็นเพราะว่าผมปั่นแบบสร้างรอบขา หรือเป็นเพราะว่าผมลดน้ำหนักตัวลงมา หรือเพราะผมมีไฟ มีเงื่อนไขต้องทดสอบกางเกง ฯลฯ
   คิดไปก็ไม่มีคำตอบ แต่วันนี้ผมขี่แล้วไม่เห็นจะเหนื่อยเลยสักนิด หรือเป็นเพราะว่าผมใส่กางเกงตัวนี้ !!!
   เพราะทุกทีผมขี่โดยไม่ใส่กางเกงจักรยานเลย ทั้งๆ ที่ผมมีกางเกงจักรยานอยู่หลายตัว แบบแนบเนื้อ แบบเป้าชามัวร์ของ Nalini แบบเป้า Coolmax ของ Gasegi กางเกงลำลองก็มีถึง 2 ตัว
   ขี่กับกลุ่มช้า ผมเลยได้เน้นรอบขาสมใจ ใช้เฟืองหลังใหญ่ ทำรอบขาสูงๆ ขี่จนก้นรู้สึกร้อน แต่ใส่กางเกงแล้วมันเย็นลงเร็วครับ แค่รู้สึกอุ่นๆ ไม่ได้ร้อนจนแสบก้น ถ้าเป็นเช่นนั้น อีกสักพักก็จะรู้สึกร้อนก้นจนนั่งไม่ลง
   นักจักรยานกลุ่มนี้เขาอยู่หมู่บ้านเดียวกันครับ ช่วงใกล้ถึงบ้าน แต่ละคนก็ฉีกตัวไปซื้ออาหาร บ้างแวะตลาด บ้างก็ซื้อตามร้านค้าข้างทาง ผมขี่กลับมาบ้านคนเดียวเอาตอน 0900 แดดเริ่มแรงพอดี ไม่ได้ทาครีมกันแดดมาเสียด้วยสิ
   รีบอาบน้ำสระผม แล้วลงมากินอาหาร ผมแวะซื้อสลัดผักมา 1 ถุง กลัวกินผักเปล่าๆ ไม่อร่อย เลยติดหมูย่างมาด้วย นี่ผมไม่ได้กินเนื้อหมูมาหลายวันแล้วนะนี่
   แม่ค้าเชียร์ว่าน้ำสลัดบลูเบอรี่อร่อย ผมชอบลอง ก็หยิบมาแบบไม่คิดมาก ก็รสชาติดีใช้ได้ครับ ผักพร้อมน้ำสลัดถุงละ 25 บาท อาหารสุขภาพที่ราคาแสนถูก แม้อาจไม่ให้พลังงานมากพอสำหรับนักแข่งจักรยานถนน แต่ก็เพียงพอและดีต่อสุขภาพหากคุณขี่แบบทัวริ่งที่ไม่ได้รีดแรงกันแบบเต็มพิกัด
   “อร่อยแล้วมาซื้ออีกนะ ขายตรงนี้ทุกวันค่ะ” แม่ค้าพูดเสียงดังให้หลัง
   ถ้าอร่อยจริงล่ะก็ไม่น่าพลาดแน่ครับ สิ่งที่คนเราต้องทำไปตลอดชีวิตก็คือทำความดี และดูแลสุขภาพ พวกที่ใช้ชีวิตอิสระไร้กรอบในช่วงวัยรุ่น ทำร้ายตัวเองด้วยยาเสพติดถูกกฏหมาย เหล้า บุหรี่ ฯลฯ พอมาช่วงวัยกลางคนก็เริ่มออกอาการ บางคนดวงแข็งอยู่ได้จนแก่ แต่ก็มักจะแก่อย่างไม่มีความสุข เจ็บป่วยออดแอดอยู่เสมอ

   วันนี้อยู่บ้านตลอดวัน พักผ่อนร่างกาย พรุ่งนี้คงจะต้องไปยกของอีกเหมือนเดิม ก็มันวันจันทร์นี่
Title: Re: มีค 54
Post by: O'Pern on March 08, 2011, 02:37:40 pm
7 มีค 54
   เช้านี้ขี่รถคันเล็ก ใช้ Neo Bike 14 ครับ เอารถคันนี้กลับมาบ้านเพื่อเติมลม ต้องเติมอาทิตย์ละครั้ง สเปคยางรับได้ 35 psi แต่ผมอัดเข้าไป 70 psi แหม มันขี่ดีกว่ากันเยอะมาก
   เมื่อวานนี้ผมขี่จักรยานจนลืมเรื่องเจ็บหัวไหล่ไปเสียสนิท ขี่แล้วมันไม่เจ็บ ห่วงแต่เรื่องรอบขาและการทดสอบกางเกง สมาธิมุ่งไปที่เรื่องของการขี่จักรยานเพียงอย่างเดียว
   แสดงว่าการเจ็บหัวไหล่ของผม ไม่มีผลต่อการขี่จักรยานอย่างนั้นหรือ หรือเป็นเพราะว่าผมสนุกจนลืมความเจ็บปวดไปแล้ว
   ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ผมจะขอลองของหนักๆ อีกสักรอบ นี่ถ้าเป็นสมัยเด็กมีเวลาว่างเยอะๆ ก็อยากลองลงแข่งบ้างเหมือนกัน อ๊ะๆ ไม่ได้อยากชนะ ไม่ได้อยากมีชื่อเสียง แต่อยากขี่ในบรรยากาศนั้นดูบ้างครับ ตอนหนุ่มๆ เคยลงแข่ง MTB กับเขาเหมือนกันนะ แต่มักจะไปกับเพื่อนๆ เน้นไปเที่ยว และไปแข่งเล่นกันเองในกลุ่มเสียมากกว่า บรรยากาศงานแข่งน่าสนุกมากๆ ครับ เห็นเด็กตัวเล็กๆ แล้วน่าชื่นใจ เห็นคุณลุง เห็นผู้ใหญ่ ชาย หญิง มากันหมด ยิ่งพวกทีมแข่งที่เอาจริงนี่แทบไม่กล้าเข้าใกล้เลยครับ ออร่าท่านแผ่ซ่านออกมา ยืนอยู่ด้วยกันแล้วเหมือนกับเป็นคนละสปีชี่
   เช้านี้แดดร้อนแรง ไปถึงที่ทำงานก็มีการยกของบ้างแบบขำขำ ถึงจะเหนื่อยอย่างไรก็ต้องขำเข้าไว้
   
   เข้ามาบ้านช่วงบ่าย เข้าเวปจักรยานอ่านเล่น เจอคนขายเฟรม KHS รุ่นปีใกล้เคียงกับเจ้าตัว HT ของผมเลย (รถผมปี 94) แต่คนนี้เขาโฆษณาว่ามัน Made in USA อืมม ก็ไม่ผิดหรอกนะ แต่เขาไม่ได้บอกว่ามัน Made in USA เฉพาะท่อ โรงงาน KHS ที่ไต้หวันนำท่อมาจาก USA แล้วเชื่อมในไต้หวัน แบบนี้จะเรียกว่า Made in ที่ไหนดี เฟรมของเขาติดสติกเกอร์ว่า AVR ส่วนรถของผมติดสติกเกอร์ว่า OX Ultra II มันเป็นรถ KHS รุ่น Team น่ะครับ เกรดก็เลยสูงกว่ารถทั่วไป (ตัวแข่ง)

   AVR คือ โครโมลี่ที่ไม่ได้ผ่านกรรมวิธี Heat-Treated ผมเดาว่าน่าจะเป็นท่อแบบ Single Butt
   ส่วน OX คือโครโมลี่ที่ผ่านกรรมวิธี Heat-Treated
   เฟรมรหัส OX จะมีตัวอักษร I / II / III ต่อท้าย มันบอกถึงเวอร์ชั่นของการ butt ที่เขาทำ นั่นคือ Single Butt / Double Butt และ Triple Butt
   หากเทียบกันแบบง่ายๆ AVR ก็เทียบได้กับ Tange MTB ธรรมดาๆ นี่แหละ เกรดล่างสุดของ Tange 
   เฟรมรหัส OX ก็จะเท่ากับ Tange Prestige สูงขึ้นมาหน่อย ตรงทีมีกรรมวิธี Heat Treatment
   ส่วน OX II ก็เลื่อนมาเป็น Tange Prestige Concept
   OXIII ก็จะคู่กับ Tange Prestige Ultamate หรือไม่ก็อยู่ในเกรด Ultralight
   แต่โครโมลี่ค่าย Tange ยังมีเกรดสูงขึ้นไปอีกหลายระดับ เช่น Ultrastrong / Superlight ค่ายนี้เขาแบ่งเกรดของโครโมลี่ไว้เยอะ แต่โดยมากก็จะเอาไว้ให้ลูกค้าอ่านแล้วเข้าใจได้ง่าย บางเกรดต่างกันนิดเดียว น้ำหนักแทบไม่ต่างเลย แต่ต่างตรงกรรมวิธีการรีดท่อ การตั้งชื่อใหม่มันฟังแล้วดูดี ดูมีเกรด ลูกค้าขี่แล้วภูมิใจ คนขายก็ได้กำไรไป Happy Ending แบบขำขำ
   เล่าแบบพออ่านเข้าใจ รุ่นของ Tange มันมีเยอะมาก หากจำผิด พิมพ์พลาด ขออภัยไว้ด้วยครับ อ้อ คำว่ากรรมวิธี Heat-Treated ก็คือการอบด้วยความร้อน มันจะทำให้เฟรมยิ่งแกร่งมากขึ้นครับ
   ห้องขายของในเวปจักรยานมีพวกมั่วข้อมูลเยอะมาก ๆ โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับรถทัวริ่ง ถ้าเห็นใส่ล้อ 700 ก็จะโพสมาแต่ไกลเลยว่า “ขายรถทั่วริ่ง” ทั้งๆ ที่รถมันเป็น Hybrid แบบ 100% จะว่าพ่อค้าไม่รู้ ไม่มีข้อมูล หรืออย่างไรดี
   
วันนี้มีเรื่องมาเล่า Diary เลยไม่เหงา เย้ๆ
Title: Re: มีค 54
Post by: O'Pern on March 09, 2011, 04:24:56 pm
8 มีค 54
   ณ ที่ทำงานตอนเช้าสัก 0900 ผมมักจะเจอท่านหนึ่งขี่จักรยานพับ แต่งชุด Cosplay เต็มยศ ขีรถพับแฮนด์หมอบ ผมไม่เคยดูว่ารถยี่ห้ออะไร แต่ส่งยิ้มให้ไปหลายต่อหลายครั้ง เขาไม่สนผมเลย ต้องบอกสภาพของตัวผมก่อนครับ ว่าผมขี่รถพับล้อ 14 คันเล็กๆ ใส่หมวกปีกกว้าง เสื้อผ้าเก่าๆ โทรมๆ รองเท้าแตะยางทรง Croc คู่ละ 140 หาซื้อได้ตามตลาดนัด
   แต่วันนี้แปลก ผมส่งยิ้มตามปกติ แต่พี่ท่านนี้หันมาพยักหน้าให้ทำนองทักทาย เหมาเอาเองว่าเรารู้จักกันแล้ว เราเป็นเพื่อนกันแล้ว
   ขี่ไปอีกสักพัก เจอรถ Mazda RX-8 เจ้าของรถกำลังเปิดฝาเช็คเครื่องอยู่หน้าบ้าน ผมสนใจเลยเข้าไปพูดคุยด้วย
   “พี่ครับ รถแบบนี้กินน้ำมันเยอะไหมครับ” ส่งยิ้มให้ปากกว้างแทบจะถึงหู
   เจ้าของรถมีลักษณะแบบชาวจีนที่เรียกเถ้าแก่ อายุไม่น่าจะแก่กว่าผม แต่ดูแล้วเขาไม่แข็งแรงเท่าแน่ๆ เพราะอ้วนพุงโต เขาหันหน้ามามอง ไม่ตอบ คงจะงง แต่อีกสักครู่ก็ตอบมาว่า
   “กิน กินสิ นี่มันเครื่องโรตารี”
   “สัก 7 กม/ล ได้ไหมครับ” ผมถามเพิ่ม หน้าผมยังคงยิ้มค้างเหมือนกดปุ่ม pause ไว้
   “ราว 6-8 นี่แหละ” น้ำเสียงท่านตอบแบบไม่อยากคุยด้วย ผมเลยขี่จักรยานจากไป
   นี่เป็นครั้งที่ 2 ที่ผมรู้สึกเหมือนโดนดูถูก ครั้งแรกเกิดขึั้นหลายเดือนแล้วที่หน้าโชว์รูม Toyota เขาเอารถ Alphard มาจอดโชว์ริมถนน ผมส่งของแถวนั้น เลยเดินเข้าไปดูรถใกล้ๆ ด้านข้างรถติดฟิล์มมืดมาก อยากเห็นข้างในก็ต้องเอามือป้องแสง และเอาหน้าเข้าไปชิดกระจก ลักษณะท่าทางดังกล่าว อาจทำให้เจ้าของร้านคิดไปต่างๆ นานา เลยออกมายืนจ้องมองผมหน้าร้าน
   รู้สึกไม่ค่อยดีเลย แต่ก็เข้าใจเขาทั้งคู่ พวกเขาไม่ผิดหรอก ไม่เคยโกรธสักนิด แค่คิดน้อยใจ คนจนแล้วโดนดูถูกนี่มันเจ็บจริงๆ นะ
   
   เย็นนี้ลูกผมเล่นละคร รับบทเป็นต้นไม้ ผมกำชับลูกว่าถึงแม้เราจะเป็นเพียงแค่ต้นไม้ ก็ขอให้เป็นต้นไม้ที่สมบูรณ์ที่สุด เป็นต้นไม้ที่ดีที่สุด แม้ละครเวทีของเด็กๆ ไม่มีใครซีเรียสกันมาก แต่ผมก็อยากให้ลูกรับผิดชอบหน้าที่ตัวเองอย่างดีที่สุด
Title: Re: มีค 54
Post by: O'Pern on March 10, 2011, 04:49:59 pm
9 มีค 54
   รับบทหนักตลอดวัน ช่วงเช้าผมอยู่ที่ทำงานยกของตามปกติ ตอนบ่ายขับรถไปซื้อของจากร้านอื่นมาลงที่ร้านตัวเอง แต่ขับไปผิดที่ เซ็งอย่างมาก ร้านค้าชื่อร้านเหมือนกัน ร้านหนึงอยู่บางพลัด อีกร้านอยู่บางแค ยังดีที่อยู่ฝั่งธนฯเหมือนกัน ขับรถกลางวันเลยไม่ติดมากนัก
   ขากลับต้องขับรถแข่งกับสายฝน รถที่ผมใช้เป็นกระบะไม่มีหลังคาปิด กลัวสินค้าจะเสียหาย ปวดท้องฉี่ก็จอดไม่ได้ กลัวของหาย กว่าจะถึงร้านก็ราวบ่ายสามโมงเข้าไปแล้ว
   วันนี้ใช้ชีวิตบนท้องถนนนานหน่อย ยังดีที่ไม่ต้องดมควันพิษเหมือนตอนอยู่ท้ายรถกระบะส่งของ คิดๆ แล้วน่าจะย้ายไปอยู่ต่างจังหวัดจริงๆ

10 มีค 54
   ลูกปิดเทอมแล้ว เพิ่งปิดวันนี้เป็นวันแรก ผมเลยขี่จักรยานไปทำงาน ออกแต่เช้าตรู่ ไม่มีแดด ออกจากหน้าปากซอยบ้านได้หน่อยเดียว เจอรถเก๋ง BMW เก่าๆ จอดอยู่ข้างทาง คนขับมุดอยู่ใต้ท้องรถ
   “พี่ครับ มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ” ผมเสนอตัวช่วย ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำอะไรให้เขาได้บ้าง
   “อ้อ ไม่เป็นไรครับ” เจ้าของรถตอบกลับมา พร้อมกับขยับตัวเองออกมาจากใต้ท้องรถ
   “รถพี่เป็นอะไรหรือครับ” ผมถามต่อ เพราะอยากช่วยจริงๆ ยิ่งวันนี้ว่างด้วย
   “ขอบคุณมากครับ มันแค่ท่อไอเสียหลุดน่ะครับ ผมใส่เรียบร้อยแล้ว” เจ้าของรถตัวใหญ่ ท่าทางนักเลง แต่พูดกับผมด้วยท่าทีที่นุ่มนวล นอบน้อมเอามากๆ ก้มหัวขอบคุณอยู่หลายครั้งเลย
   
ผมขี่ไปนั่งเล่นริมแม่น้ำเจ้าพระยา ฟังวิทยุรายการโปรดยามเช้า ช่อง 89.5 ตอน 0730-0800 เป็นรายการพูดคุยประวัติคนมีชื่อเสียงในสังคม อีกเหตุผลที่ต้องฟังช่องนี้ก็เพราะรถยนต์ที่ผมใช้มันฟังได้แค่คลื่น 90.0 MHz เท่านั้น มันเป็นรถนำเข้ามาจากญี่ปุ่น วิทยุก็เลยรับคลื่นได้แค่นี้ ผมไม่อยากเปลี่ยน เพราะปกติก็ขับรถแบบเงียบๆ อยู่แล้ว ไม่ค่อยชอบฟังเพลง ติดฟังเสียงเครื่องยนต์มาตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ
   นั่งเล่นริมเจ้าพระยาให้ความรู้สึกที่ดีเอามากๆ มองสายน้ำ มองเรือ มองสะพาน คิดไปพลางว่าตอนนี้เรากำลังอยู่ที่ต่างประเทศ จิตนาการไปเรื่อย ไม่เดือดร้อนใครก็ทำไปเถิดลูกพี่
   พอถึง 0800 ก็กลับเข้าสู่โลกแห่งความจริง ขี่จักรยานไปจดออเดอร์ลูกค้า ใส่หมวกนิรภัยอย่างดีไปด้วย ลูกค้าบางคนจำไม่ได้
   “แหม เฮีย วันนี้จะไปแข่งที่ไหนหรือ”
   “ไม่ได้ไปแข่งหรอกครับ ผมขี่มาจากบ้าน แล้วยังไม่ได้เข้าที่ร้านน่ะครับ”
   ระหว่างทางเจอคุณลุงขี่จักรยานเก่าๆ แต่สวย ล้อ 700 มีเฟืองหลังราว 7 เฟือง แต่ไม่มีตีนผี จอดอยู่หน้าร้านลูกค้าผม
   “ถ้ารถลุงมีตัวช่วยสลับเฟืองก็แจ๋วไปเลยนะ”
   “ลุงขี่มาจากไหนหรือครับ”
   “อ้อ ไม่ไกลหรอก แค่รามอินทรา”
   โหห นี่สะพานพุทธนะ ลุงยิงมุขแต่เช้า ลุงเข้ามาดูตัวช่วยสลับเฟืองที่รถผม มันคือตีนผีนี่แหละ แต่กลัวว่าเรียกตีนผีแล้วลุงจะไม่เข้าใจ
   “แล้วขี่มาจากไหนล่ะ” ลุงถามผม เป็นประโยคแบบไม่มีประธาน
   “ผมก็ไม่ไกลเหมือนกันครับ มาจากทางพระราม 2”
   “โหห พระราม 2 ไม่ไกลหรอกหรือ”
   อ้าว มันก็ไม่ไกลจริงๆ นะ ผมขี่มาช้าๆ ยังสัก 30 นาทีเอง ไม่ได้ปล่อยมุขสักหน่อย
   ตอนเช้าๆ แทบไม่มีแดด แต่พอสายนี่สิ อย่างร้อนแรงเลยล่ะ ผมขับรถกระบะคนงานไปซ่อมฝาปิดท้าย ยืนรอรถข้างถนน ช่างเชื่อมทำงานเสร็จก็ลืมคีมล็อคเอาไว้ในรถ มาเห็นเอาตอนถึงบ้านแล้ว ขากลับบ้านผมขี่จักรยานเอาคีมล็อคไปคืนเขา
   “พี่ลืมคีมล็อคเอาไว้ในรถผมครับ”
   ช่างหันหน้ามามองแบบงงๆ คิดว่าคงจะลืมอยู่หลายครั้งหลายหน และหลายชิ้น แต่ไม่น่าจะเคยได้คืนสักอันแน่ๆ
   ช่างเปิดหน้าหากไอ้โม่งออกมาพูดกับผม “ขอบคุณมากครับๆ ๆ”
   
   กลางวันยังไม่ได้กินข้าวเลย ตอนนี้ก็ 0200 แล้ว ผมขี่จักรยานบนถนนเจริญนคร ข้างหน้าผมอีกราว 3 กม จะมีร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อเจ้าหนึ่ง อร่อยมากๆ กลางวันคนเยอะจนแน่น แต่นี่ตอนบ่าย ว่างชัวร์ๆ
   จอดกินก๋วยเตี๋ยวหนึ่งชาม ผมสั่งเส้นเล็ก ลูกชิ้น เนื้อสด รสชาติดีมากๆ ครับ เนื้อลวกแบบกำลังดี ไม่เหนียว ไม่แข็งกระด้าง ตัวลูกชิ้นก็ดี แต่ลูกใหญ่ไปหน่อย ผมชอบแบบลูกเล็กๆ พอดีคำมากกว่า ส่วนเส้นนั้นเหนียวนุ่มโอเคเลย
ขี่รถเข้าบ้าน เจอลูกนั่งเล่น แถมยังใส่ชุดนอนอยู่เลย ไม่้ต้องถามก็รู้ว่ายังไม่ได้อาบน้ำแน่นอน
Title: Re: มีค 54
Post by: O'Pern on March 11, 2011, 05:51:06 pm
11 มีค 54
   วันนี้ลูกผมไปโรงเรียน เขาปิดเทอมแล้วล่ะ แต่วันนี้เขาเป็นตัวแทนเพื่อนๆ ในห้องมอบของที่ระลึกให้แก่รุ่นพี่ประถม 6 ที่ใกล้จะจบการศึกษา โรงเรียนลูกผมเขามีแค่ ป6 ครับ
   ตอนเช้าขณะขับรถไปส่งเขา ผมสงสัยว่าทำยังไงลูกถึงได้เป็นตัวแทนของห้อง มิวเล่าว่าครูถามหาอาสาสมัคร แต่ไม่มีใครยกมือเลยสักคน เขาเลยขออาสาเป็นตัวแทนเอง
   เขาเล่าจบ ผมก็นึกถึงเรื่องในอดีตตอนเรียนมัธยม 2 ครูไม่อยู่ เดินไปธุระนอกห้อง ให้หลังแป๊บเดียว เด็กในห้องก็คุยเล่นกันดังลั่น ครูกลับมาโมโหมาก ถามว่าใครคุยให้ยกมือ ไม่มีใครยกสักคน ครูยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่ บอกว่าจะตีทั้งห้อง ให้คนคุยรับสารภาพมา
   เด็กนั่งก้มหน้านิ่งกันหมด ห้องเงียบกริบ แล้วก็มีแขนข้างหนึ่งยกขึ้นมา
   “เธอคุยหรือ”
   “ใช่ครับ”
   “เธอคุยกับใคร”
   “…..” ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี ถามแบบนี้ ตั้งตัวไม่ติดจริงๆ
   “เธอคุยกับใคร บอกมา”
   ผมก็คุยกับไอ้เพื่อนที่นั่งข้างๆ กันนี่แหละครับ ไม่ได้ไปไหนไกลหรอก แต่เพื่อนรอบตัวมันก็นั่งนิ่งเงียบกันหมด ผมจะทำไงได้
   “ผมคุยคนเดียวครับ” ผมทะลึ่งตอบไปแบบนั้นจริงๆ
   งานนั้นผมโดนไปคนเดียว 6 ที โดนไม้เรียวตีก้น เขียว ม่วงคล้ำอยู่เป็นเดือนครับ ประสบการณ์นี้จำฝังใจจริงๆ ไม่ได้เพียงแค่จำเรื่องโดนตีเท่านั้น แต่จำไปถึงเรื่องของจิตใจคน ยามที่เราตกทุกข์ มันก็จะเหลือเพียงตัวเราเองนี่แหละที่ต้องช่วยตัวเอง เพื่อนสนิทที่รอบกายก็เงียบหายกันหมด
   แต่ก็ดี มันทำให้ผมช่วยเหลือคนอื่นทุกคนตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เริ่มจากการช่วยยกของถือของบนรถเมล์ ลุกให้เด็กที่อ่อนกว่านั่ง ลุกให้ผู้หญิง คนแก่นั่ง แล้วก็รู้ต่อไปอีกว่าการเป็นไอ้ลูกผู้ชายนี่มันก็เหนื่อยเป็นเหมือนกัน เรียน รด (รักษาดินแดน) เสร็จเหนื่อยๆ ยังต้องยืนบนรถเมล์ตลอดสาย โหนรถเมล์ตากฝน ฯลฯ
   ตอนเด็กก็ช่วยเหลือผู้อื่นได้ตามกำลัง พอโตขึ้นมาหน่อย ขับรถยนต์ได้ ก็มักจะจอดช่วยเหลือพวกที่รถเสียข้างทาง โดยมากเขาจะยางแตกกัน ก็ช่วยเปลี่ยนกันไป ไม่ยากหรอก ผมทำเรื่องพวกนี้มาตั้งแต่เด็ก ตอนที่ผมขับรถแบบดริฟท์ ผมเปลียนยางสองเส้นหลัง ใช้แม่แรงของเดิมติดรถ ขึ้นแม่แรงสองครั้ง (สองข้าง) ผมใช้เวลาไป 7 นาที

   งานที่โรงเรียนเลิกแค่เที่ยง ขณะกำลังขับรถไปรับ มีเพื่อนของลูกชื่อโหยว (ลูกครึ่งไทย – ไต้หวัน) โทรเข้ามา คนนี้เขาสนิทกัน บ้านอยู่ใกล้กัน เขาขอไปเล่นบ้านเพื่อนคนนี้ และให้ผมไปรับตอนเย็น
   “ถ้าทางบ้านเขาโอเค พ่อก็ไม่ว่าอะไรหรอกลูก” กำชับเขาว่าต้องทำตัวเป็นเด็กดี เล่นแล้วเก็บของให้เรียบร้อย ห้ามนำสิ่งของใดๆ ของเพื่อนกลับมาบ้านเด็ดขาด เขายกให้ก็ห้ามรับ
   สักพักผมโทรหาคุณน้าของโหยว เขาตอบว่าไม่ต้องเกรงใจ สบายมาก ให้เด็กๆ มาเล่นกันได้ ได้ยินแบบนี้ค่อยสบายใจหน่อย แต่ก็ทิ้งท้ายไว้ว่า หากมิวเล่นซนมาก ก็ให้โทรเรียกผม จะไปรับกลับทันที
   
   วันนี้ยกของเยอะ หิวจัด แวะตลาดซื้อก๋วยเตี๋ยว ผมบอกคนขายว่าขอถั่วงอกเยอะๆ แต่เขาได้ยินผิด ฟังเป็นไม่เอาถั่วงอก และขอเส้นเยอะๆ …. ปัดโธ่
   มาถึงบ้านก็คิดธุรกิจใหม่ได้อันหนึ่ง จัดการต่อยอดไปได้อีกนิด น่าจะเป็นธุรกิจที่ไปได้ดีมากๆ ในอนาคต

   ตอนบ่ายได้ข่าวว่ามีสึนามิเข้าประเทศญี่ปุ่น 8.9 ริกเตอร์ ที่เมืองเซนได เกาะฮอนดู ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของโตเกียว (ห่างจากโตเกียว 400 กม) มีคลืนสูง 10 เมตร กวาดบ้านเรือนริมชายฝั่งและรถยนต์ลงทะเล สนามบินเซนไดโดนน้ำซัดเข้ามาจนจมอยู่ใต้น้ำ คลื่นน้ำเข้ามาถึง Tokyo Disneyland ในโตเกียวเสียหายหนัก มีไฟไหม้ราว 6 จุด เสียงไซเรนดังสนั่นตลอดเมือง รถไฟใต้ดินปิดให้บริการทันที
   ตกใจมากครับ ครั้งล่าสุดที่โตเกียวโดนแผ่นดินไหวจนทางด่วนล้ม ถนนขาด มันก็เป็นสิบปีมาแล้ว ฟังข่าวแล้วรู้สึกหดหู่ใจจริงๆ อยากช่วยเหลือคนญี่ปุ่นบ้าง แค่อยากช่วย ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
   0430 ผมดูภาพข่าวทางทีวีช่อง 3 แล้วยืนน้ำตาซึมที่หน้าจอทีวี ละลอกคลื่นน้ำไหลขึ้นฝั่งอย่างต่อเนื่อง เรือโดนพัดจนไถลไปชนสะพาน รถยนต์โดนน้ำพัดจนลอยไปกองรวมๆ กัน แถมยังลากเอาบ้านเรือนไปอีกทั้งแถบ เรียกว่าทุกที่ๆ น้ำผ่านได้ มันจะทำความเสียหายมาให้
   ถอนหายใจหน้าทีวีอยู่หลายหน ผมจะช่วยพวกเขาอย่างไรดี ผมจะช่วยพวกเขาอย่างไรได้บ้าง

   ลูกไปเล่นอยู่บ้านเพื่อน ยังไม่กลับมาเลย
Title: Re: มีค 54
Post by: O'Pern on March 12, 2011, 06:17:30 pm
 12 มีค 54
   ผมเข้าไปตอบกระทู้เรื่องการเซ็ทติ้งจักรยานทัวริ่ง ก็แสดงทรรศนะไปตามประสาผม นั่นคือมุมมองของผมจากใจจริงๆ การแสดงทรรศนะในเวปจักรยานค่อนข้างอิสระมากสำหรับผม ไม่ต้องเกรงใจใคร และไม่ค่อยมีใครมาข่มกัน คนเล่นจักรยานมักจะมีวุฒิภาวะสูง รู้สึกมีความสุขกว่าตอนโพสในเวปรถยนต์เสียอีก เลยยกมาให้อ่านเล่นกันครับ

    ขอตอบตามทรรศนะของผม ซึ่งอาจผิด และมีคนไม่เห็นด้วย

จักรยานเดินทางไกล ในอุดมคติของผม
- รถจะต้องยืดหยุ่น ไปได้ทุกสภาพถนน หรืออีกนัยหนึ่งคือ เจ้าของรถสามารถเซ็ทติ้งได้เหมาะสมกับสภาพเส้นทาง เช่นหากไปขี่ทัวริ่งในสภาพเส้นทาง Off Road ก็น่าจะเป็นรถแบบ Full Suspension ไปกับตัวรถเปล่าๆ และใช้เทรลเลอร์เป็นตัวบรรทุกสัมภาระ ในทางกลับกัน หากขี่ทางเรียบ ขี่ไกล ก็เล่นแบบล้อ 700 ไปเลย ประหยัดแรงกว่าเยอะ ใส่แร็คหน้าหลังตามความเหมาะสม สามารถใช้ยางหน้าแคบลงได้
- ผมชอบรถเหล็ก รถโครโมลี่ ชอบเพราะมันขี่สบาย แต่มันจะหนักกว่ารถอลูมินั่มนิดหน่อย
- ไม่เอาดิสค์เบรก
- มีเฟืองหลังขนาดใหญ่ เอาไว้ขี่ขึ้นเขาโดยเฉพาะ

ทำให้น้ำหนักน้อยที่สุดเท่าที่ทำได้ โดยอยู่บนพื้นฐานของความแข็งแรง ทนทาน
- ยิ่งเบา ยิ่งประหยัดแรง ยิ่งไปได้ไกล ยิ่งเมื่อยล้าน้อย ยิ่งไปได้เร็ว รถเบา ดีกว่ารถหนักทุกกรณีครับ

เซ็ทติ้งรถให้เข้ากับสรีระมากที่สุด
- เซ็ทติ้งที่ถูกต้อง จะทำให้ขี่สบาย ขี่ได้นาน เมื่อยล้าน้อย

อย่าละเลยชิ้นส่วนที่ร่างกายเราต้องสัมผัส
- เริ่มจากแฮนด์ เบาะ บันได ฯลฯ เลือกใช้ของดีๆ เพราะเราจับต้องมันอยู่ตลอดเวลา


เพิ่มเติม
จุดหมุนต้องลื่น ชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหวต้องเบา นี่คือพื้นฐานของการอัปเกรดรถ
รักษาแนวโซ่ให้ตรงเสมอ ถ้าขี่ได้แบบนี้ ใช้เป็นสิบๆ ปีโซ่ก็ไม่ขาด
อย่าออกแรงเค้นหากโซ่เฟืองยังไม่เข้าล็อค โดยเฉพาะบนทางชัน นี่คือการรักษาโซ่ เฟือง ขั้นพื้นฐาน

คร่าวๆ ราวๆ นี้ครับ

   จักรยานสำหรับเดินทางไกลในอุดมคติของผม มันไม่ได้บอกว่าเราต้องมีรถคันเดียวนะครับ อย่างน้อยๆ ก็น่าจะมียางหลากหลายรูปแบบ เริ่มจากยางดอกเรียบ ยางแบบกึ่งวิบาก และถ้าไปลุยล้วนๆ ก็เล่นยาง Off Road ได้เลย
   ถ้าขี้เกียจเปลี่ยนยาง และมีเงินพอ ก็อาจมีวงล้อหลายๆ ชุดเลยก็ได้ ขอให้มีจำนวนเฟืองท้ายเท่ากันเป็นใช้ได้ จะไปทางเรียบก็เล่นล้อของ Road ถ้าจะลุยก็ยกชุดล้อ Off Road มาใส่ เอาแบบซี่ล้อ 36 หรือมากกว่านั้นก็ยังไหว
   ผมให้ความสำคัญกับยางเป็นอันดับ 1 เพราะยางเป็นเพียงชิ้นส่วนเดียวที่สัมผัสกับถนน นอกจากรับน้ำหนักแล้ว ยางยังมีหน้าที่อีกหลายอย่าง เช่น ยึดเกาะผิวถนน รีดน้ำออกจากหน้ายาง และยังมีหน้าที่แผงที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงกัน นั่นคือเรื่องของ Contact Patch และ Slip Angle (แต่ Slip Angle มักจะขึ้นอยู่กับการควบคุมขับขี่เสียมากกว่า)
Slip Angle ผมเคยแปลเป็นภาษาไทยและเขียนบทความในนิตยสารว่า “มุมลื่นไถล” ทั้งๆ ที่น่าจะแปลว่ามุมยึดเกาะ (ถ้าแปลตามความหมาย) ต่อไปนี้จะขอใช้คำย่อว่า SA ส่วน Contact Patch คือหน้าสัมผัส ผมจะย่อว่า CP
CP มีค่่าแปรผันโดยตรงตามความใหญ่ของล้อ ล้อเส้นผ่าศูนย์กลางมากๆ เช่นล้อของรถทัวริ่งขนาด 700 จะมีค่า CP ที่มากกว่าล้อ 26 ของจักรยาน MTB และมากกว่าล้อ 20 ของพวกรถพับเยอะมากๆ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมล้อใหญ่ๆ ถึงทำให้รถทรงตัวดีกว่า หากเทียบล้อ 700 กับ 26 มันอาจยังไม่ชัดเจน มันต่างกันแค่นิดเดียวเอง แต่ถ้าเทียบกับล้อ 20 หรือ 16 ล่ะก็ มันคนละเรื่องเลย
ส่วน SA กับจักรยานมันเขียนให้เห็นภาพยาก แต่ถ้าเป็นรถยนต์ก็จะง่ายหน่อย มักจะเห็นตอนรถหลุดโค้ง ไถลแถแหกโค้งนั่นแหละ ตอนสมัยหนุ่มๆ ผมจัดงาน Track Day เอารถมาขับซ้อมกันเล่น ขับหลุดกันเป็นว่าเล่น เด็กหลายคนชอบรถยนต์ แต่ชอบแค่ขับ ไม่ชอบศึกษา ชอบแต่งรถเหมือนรถแข่ง แต่ไม่ชอบทำตัวเหมือนนักแข่ง นั่นคือมีวินัย ออกกำลังกาย รักษาสุขภาพ ฯลฯ เด็กบ้านเราเน้นอัดรถโชว์หญิงอย่างเดียว น่าอนาถใจจริงๆ
เรื่องพวกนี้มีผลโดยตรงต่อการตอบสนองของรถ (รวมรถยนต์และจักรยาน ต่อให้มอเตอร์ไซค์อีกด้วย) ตราบใดที่ใช้ล้อในการขับเคลื่อน ก็มักจะมีเรื่องพวกนี้เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ โชคดีจริงๆ ที่ผมเล่นรถยนต์และจักรยานมาพร้อมๆ กัน

ช่วงนี้น้ำหนักเริ่มขึ้น ทำเอาเซ็ง เพราะออกกำลังกายน้อยลงน่ะครับ การลดน้ำหนักที่ว่ายากแล้ว การรักษาน้ำหนักที่ลดลงได้ให้คงที่ตลอดไปสิ มันยากเสียยิ่งกว่า มื้อเย็นนี้ผมทำไข่เจียวใส่วุ้นเส้น มะเขือเทศ 2 ลูก และพริกขี้หนูผ่าซีกสัก 4-5 เม็ด แถมเอาสัปปะรดโรยหน้าตบท้าย ออกมาหน้าตายังกะพิซซ่า
Title: Re: มีค 54
Post by: O'Pern on March 13, 2011, 05:48:05 pm
13 มีค 54
   ตื่น 0300 ไม่ได้ตื่นเอง แต่ตื่นตามลูก เมื่อวานเขานอนตอนบ่ายจนถึงหัวค่ำ นอนเต็มอิ่มแล้วกระมังเลยตื่นเช้าขนาดนี้
   กะจะออกขี่จักรยานตอนเช้า แต่ไม่เคยคิดว่าจะเช้าขนาดนี้ ปล่อยเลยตามเลยครับ ยังไงก็ต้องขี่ ออกจากบ้าน 0345 ขี่ไปแบบไร้ทิศทาง แต่ออกมาขี่เช้าขนาดนี้ มันน่าจะทำระยะทางได้เยอะกว่าเดิม ทุกทีขี่ได้อย่างเก่งก็ 50-60 กม มาวันนี้ของสัก 100 เถอะน่า หยิบไวตามิ้ลกิน 1 กล่องแล้วก็ออกลุยทันที
   ไปไหนดีวะ ขี่ไปคิดไป แต่มุ่งหน้าไปยังพระราม 2 ขาออก ปิ๊งๆ ๆ ไปพุทธมณฑลก็แล้วกัน ไปกันเลย
   ใช้ถนนวงแหวนกาญจนาภิเษก เข้าเพชรเกษม จนถึงแยกพุทธมณฑลสาย 4 เส้นทางขี่ง่ายมาก แต่มายากตรงที่ถนนมืดมาก ยิ่งเคยล้มในที่มืดๆ มาแล้ว ยิ่งแหยงเข้าไปใหญ่ ขี่แบบระแวดระวัง มองพื้นตลอดทาง เห็นเงาตะคุ่มๆ พวกถุงขยะ กระดาษ ก็ต้องชะลอรถ ไหนยังต้องหลบฝาท่อ เศษแก้ว ฯลฯ
   เข้าถนนวงแหวน เจอกลุ่มนักซิ่งมอเตอร์ไซคจำนวนมาก เห็นแล้วหดหู่ใจจริงๆ รบกวนชาวบ้านทุกหนแห่งที่มันขี่รถผ่าน มองหน้าแต่ละคนออกไปในแนวคนงานบ้านผมเลย
   พอถึงแยกถนนราชพฤกษ์ก็พ้นกลุ่มนักซิ่งสมองน้อยพวกนี้แล้วครับ ขี่แบบไม่เร็วมาก มีไฟส่องสว่างดับเป็นระยะ เดาว่าโดนขโมยสายไฟ ผมไม่เคยด่าคนลักขโมยสิ่งของพวกนี้นะ ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาด้วยซ้ำไป คนจะขโมยของ เขาก็ต้องเลือกของที่ใกล้ตัว
   รัฐมนตรีจะทุจริตก็ต้องตั้งโครงการขึ้นมา แล้วเอาพรรคพวกตัวเองไปบริหารจัดการ หรือถ้าคนอื่นประมูลได้ ก็ต้องขอใต้โต๊ะ 15%
   แก๊งคอลเซนเตอร์จะโกงเงิน ก็ต้องใช้วิธีที่ตัวเองถนัด กุเรื่อง ปลอมเสียง ปลอมเบอร์ หลอกให้โอนเงิน
   ตำรวจยิ่งง่าย โดยเฉพาะตำรวจไทย ที่ทำได้แค่ จับมอเตอร์ไซค์ ไถต่างด้าว ข่มเหงผู้อ่อนแอกว่า ตำรวจดีๆ ก็พอมีครับ ชื่อสมเพียร เสียชีวิตไปแล้ว
   ทุกอาชีพ มีการโกง มีทุจริต มากน้อยตามจิตใจผู้คน นี่คือโลกมนุษย์ เรียนรู้ที่จะอยู่กับมันอย่างมีความสุข อันไหนไม่ชอบก็หนีให้ไกลซะ
   มาถึงพุทธมณฑลราว 0500 มืดสนิทจริงๆ ไฟส่องสว่างก็ไม่มี เปลี่ยวจนน่ากลัว หันไปเจอถนนอักษะ โอ้โหห สวยสุดยอด เปิดไฟตลอดทาง ทั้งทางด่วนและคู่ขนาน สำคัญคือไม่มีรถยนต์วิ่งสักคัน ไม่ต้องคิดแล้ว นี่คือนาทีทองของผม
   ขี่วนเล่นอยู่หลายรอบเลยครับ รอบละประมาณ 6.5 กม วนมันไปเยอะๆ ทำระยะทางให้ได้มากๆ ถึงจะได้ระยะทาง 100 กม ตามเป้าหมาย ขี่ไปสัก 50 กม เริ่มรู้สึกเจ็บก้นครับ จอดพักแล้วนอนมันข้างถนนนี่แหละ นอนบนแผ่นหินแกรนิต มองท้องฟ้าที่เริ่มสว่างนิดๆ สุขจริงๆ ครับ
   หายเจ็บก้นก็มาขี่ต่อ ถ้าเจ็บก็พักอีก วนเวียนเช่นนี้ไป ทำให้รู้ว่าจุดอ่อนของผมคือก้นเปราะครับ ขามีแรง ใจไหว ร่างกายพร้อม แต่พอหย่อนก้นลงเบาะบุ๊บ มันเจ็บแสบจนแทบขี่ไม่ออก ยิ่งขี่นาน ยิ่งเจ็บ ขี่ไปก็นึกถึงเบาะของ Brooks ไป ทั้งๆ ที่ผมเคยเขียนวิจารณ์ข้อเสียของมันมากมาย
   “เอ แล้วเราจะเลือกรุ่นไหนดีวะ เห็นเขาฮิตรุ่น B17 กัน แต่ B17 ก็มีรุ่น Narrow เพิ่มขึ้นมาอีก”
   “คงจะเลือกรุ่นหมุดทองแดงแน่ๆ เพราะรุ่นหมุดนิเกิ้ลมันจะเป็นตุ่มๆ นูนๆ ขึ้นมา นั่งด้านหลังก้นเราจะไปดันเอาหัวหมุดอันนี้ ใครบอกไม่รู้เรื่องก็ดีไป แต่ก้นผมสัมผัสได้”
   “เบาะสีน้ำตาลสวยนะ แต่มันไม่เข้ากับรถเราเลยว่ะ สำหรับเรามันต้องสีดำ”
   ขี่ไปก็คิดเรื่องพวกนี้ไปตลอดทาง ค้นพบวิธีลดการเจ็บก้นด้วยการโน้มตัวไปด้านหน้าเยอะๆ ผมใช้แฮนด์ผีเสื้อ เลือกตำแหน่งจับไกล ทิ้งน้ำหนักลงไปบนแฮนด์ให้มากขึ้น ก้นก็จะรับภาระน้อยลง
   ช่วงสายๆ เริ่มเจ็บก้นมาก พักเท่าไหร่ก็ไม่หายเจ็บ เลยหยิบกล้องมาถ่ายรูปเล่น ใช้กล้องมือถือธรรมดาๆ แค่พอได้บรรยากาศ เขาปิดไฟถนนเอาตอน 0630 ครับ ปิดแล้วบรรยากาศสดใสหายวับไปทันที ออกแนวมืดไปเลย ผมขี่อีกแค่รอบเดียวก็จะกลับบ้านแล้วดีกว่า
   ขี่ออกไปทางพุทธมณฑล มีรถ Honda City เลี้ยวเข้าพุทธมณฑลตัดหน้า Subaru Impreza ชนกันแบบไม่ได้เบรก รถทั้งสองคันหมุนติ้ว อิมฯ กันชนหน้าหลังหลุด แอร์แบ็กทำงาน คนขับไม่เป็นอะไร ส่วน city เจ็บเยอะครับ คนขับแขนหัก ขาหัก หัวแตก ลุกออกจากรถไม่ได้ ผมเข้าไปดูก็ไม่กล้าช่วย กลัวทำเขาเจ็บหนักกว่าเดิม และต้องคอยบอกชาวบ้านว่าอย่าไปแตะตัวเขา รอให้รถพยาบาลมาก่อน
   สยองมากๆ ครับ เลือดสดๆ ไหลออกมาไม่หยุด ผมจะช่วยยังไงดีวะนี่ คิดไม่ออกจริงๆ สักพักเจ้าหน้าที่ตำรวจมา แต่ก็อย่างที่บอก ตำรวจไทย ทำอะไรไม่ค่อยเป็น ทำได้แค่โบกรถให้เลี่ยงไป เขาทำแค่นี้จริงๆ อ้อ มีช่วยเรียกรถพยาบาลให้หน่อยหนึ่ง
   ยิ่งสาย รถก็ยิ่งมาก บางคันขับมาเร็ว จนผมกลัวจะเกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อน เพราะจุดที่รถชน มันเป็นกลางทางแยกพอดี สุดท้ายรถพยาบาลมา ผมถึงได้ขี่กลับ
   แต่เจ็บก้นไม่หาย เอาวะ พักกินข้าวไปซะเลยดีกว่า เติมพลังด้วย ได้พักก้นไปด้วย เหตุผลหลังสำคัญกว่านะ หน้าพุทธมณฑลด้านถนนอักษะมีร้านอาหารหลายร้าน ใกล้สุดเลย และใหญ่สุดคือร้านต้มเลือดหมู ผมชอบอาหารแนวนี้ เพราะมีผักมาก ไม่มีปิ้ง ย่าง ทอด นี่ถ้าเขามีข้าวกล้องนะ จะสุดยอดจริงๆ
   กินเสร็จจ่ายเงิน โหห ตกใจมาก ต้มเลือดหมูชามละ 40 บาท ข้าวเปล่า 8 บาท รสชาติก็งั้นๆ ร้านแถวบ้านผมอร่อยกว่านี้เยอะมาก และแค่ 30 บาทเท่านั้นเอง ขอผักเป็นกำก็ยังได้ จ่ายเงินออกมาแบบไม่ค่อยประทับใจ ผมขี่จักรยานมาเหนื่อยๆ ก็อยากกินอาหารดีๆ อร่อยๆ หน่อย ถ้าผมไปคนเดียวจะคิดแบบนี้เสมอครับ แต่ถ้าขี่ออกทริปกลุ่มใหญ่ก็จะเน้นแค่กินเอาพลัง
   อยากขี่เส้นทางใหม่ๆ บ้าง เลยคิดขี่กลับทางถนนอักษะ เห็นทางข้างหน้ามีเครนขนาดใหญ่ เลยจอดถามคนกวาดถนน
   “พี่ครับ ข้างหน้ามีทำถนนหรือครับ”
   “ใช่จ๊ะ” จากหน้าเรียบเฉย ก็เผยรอยยิ้มออกมา
   “ทำถนนไกลไหมครับ”
   “ทำยาวไปจนถึงเพชรเกษมโน่นเลย”
   “โหห แบบนี้ก็มีฝุ่นตลอดทางเลยสิ”
   “ใช่ๆ ไม่น่าขี่หรอก รถยนต์ยังไม่อยากขับผ่านเลย”
   “ขอบคุณมากครับ ดีนะที่ผมถามพี่ก่อน”
   สุดท้ายก็มาขี่กลับทางเดิมครับ ขี่ไปก็บิดก้นไป มันเจ็บจริงๆ จับไกลก็แล้ว ช่วยได้หน่อยเดียวเอง
   ร่างกายสู้ไม่ไหว ก็เอาจิตใจเข้าข่ม ทำสมาธิแทนครับ กำหนดจิตใจให้แน่วแน่ กดบันไดตามจังหวะการหายใจ เฮ้ยย เวิร์คๆ ๆ
   ผมเอาน้ำไป 2 กระติก ใส่ไปกระติกละ 500 cc ตอนนี้มันหมดแล้ว ไม่ได้แวะซื้อเติมเพราะขี้เกียจแบกน้ำหนักเพิ่ม ถึงตอนนี้เลยต้องทนเอา แต่น้ำลายในปากยังไม่เหนียว คือยังพอไหว (ผมคะเนเอาเองนะ)
   เข้าพระราม 2 จะมี McDonald แบบ Drive Through ไปแวะกินน้ำที่นั่นดีกว่า ทนไปอีกสัก 5 กม ขี่ไปก็นึกถึงภาพร้าน McDonald ไป แต่พอถึงจริงๆ ผมกลับไม่กิน ขี่วนเข้าไปดูร้านสวยเฉยๆ แหม ก็ยังอิ่มอยู่เลย และของกินในร้านก็มีแต่แบบอ้วนๆ ทั้งนั้น
   ขี่ไปเรื่อยๆ เจอร้านจักรยานมือสองขนาดใหญ่ แวะแบบไม่รีรอ ไม่ได้อยากดูจักรยานเท่าไหร่หรอก แวะเพราะเจ็บก้น จะพักก้นต่างหาก เรื่องดูจักรยานน่ะเป็นเหตุผลรอง
   รถเยอะมาก ราคาก็เว่อร์แบบสุดยอดจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะตั้งราคาขายแบบเกือบจะเท่ารถใหม่ ทั้งๆ ที่สภาพรถมือสองมันสุดจะโทรม
   LG MV1 ขาย 9500 ของใหม่ หมื่นนิดๆ
   NeoBike 16 Single Speed เน่าสนิท คอพับไม่ลง หลักอานเลื่อนแทบไม่ได้ ขาย 3200
   และถ้าเป็นรถแบรนด์เนมดังๆ มันก็จะอัพราคาปรู๊ดแบบสุดเว่อร์ เช่น Canondale เก่าสัตว์ ขาย 32000 รถโนเนม แต่เชื่อมสวย เป็นอลูมินั่ม อะไหล่ก็โนเนม ขาย 20000
   เรียกว่าดูแบบขำขำ เห็นเขามีตู้น้ำเย็น เลยขอเติม เย้ๆ ได้น้ำฟรี
   ขี่ต่อไปอีกสักพัก จอดอีกแล้ว คราวนี้แวะดูรถมือสองนำเข้าจากญี่ปุ่น ที่เขาเรียกกันว่ารถแบบจดประกอบ
   ร้านนี้เขาเน้นรถราคาถูก เป็นรถตู้คันเล็กๆ รถเก๋งเล็กๆ ราคาหลักแสน แต่มีอีกร้านหนึ่งแถวแยกมไหศวรรย์ ฝั่งธนฯ ร้านนี้เน้นรถสปอร์ท Mazda RX-7 / RX-8 Nissan Cube ราคาแรงมาก
   ดูเล่นๆ อีกแหละครับ มันเหมือนเป็นรถในฝัน แม้จะเป็นรถมือสองราคาถูกลงมาแล้วก็จริง แต่ใครจะซื้อก็ต้องทำใจเรื่องอะไหล่กันหน่อย เพราะตัวรถมันไม่มีขายในไทย ไม่ต้องอะไรมาก แค่โดนรถชนท้าย ไฟท้ายแตก แค่นี้ก็หายากแล้ว
   แต่ถ้าไปถามร้านค้า เขาก็จะตอบแบบสบายมาก ไม่มีปัญหา จะซ่อมก็ยังง่าย แหม ดูอะไรมันก็ง่ายดายไปหมด ก็แหงสิ ถ้าบอกว่ามีปัญหา คนจะกล้าซื้อเหรอ
   รถทั้งหมดในร้าน ผมชอบ Nissan Figaro คันเดียว เป็นรถ Retro ของ Nissan ออกแบบได้น่ารักดี แต่รถทุกคันที่เห็น มักจะมีตำหนิที่หลังคาพับ ดูแล้วไม่น่ารอดจากน้ำฝน
   ออกมาจากร้านนี้ก็ตรงดิ่งเข้าบ้านแล้วครับ ไม่แวะไหนแล้ว แดดเริ่มแรง ตอนนี้ก็ราว 1000 แล้วด้วย ขี่ย้อนแสงจนแสบใบหน้า นี่ขนาดทาครีมกันแดด และใส่ผ้าคลุมแบบไอ้โม่งแล้วนะ
   มาถึงบ้านเอาตอน 1030 ขี่แบบ Cool Down ถึงบ้านก็ Strecth เดินไปเดินมาจนเหงื่อหาย หัวใจเต้นช้าลง ถึงได้อาบน้ำ
   เห็นตัวเองในกระจก หน้าแดงก่ำ แต่ก็โอเคนะ ทำระยะทางได้ 108 กม สมใจอยากเขาล่ะ อาบเสร็จกลัวฝ้าขึ้นหน้า เลยเอา Mask หน้าของภรรยามาปิดไว้ 30 นาที หวังว่ามันคงจะช่วยฟื้นฟูผิวได้บ้างนะ

   กลางวันดูข่าวช่อง 3 เขารวมภาพความเสียหายจากสินามิที่ประเทศญี่ปุ่น คราวนี้มีเพลง If we hold on together ของ Diana Ross ประกอบด้วย ดูจนจบเพลง น้ำตาร่วงเลยครับ ใจยิ่งครุ่นคิดว่าจะช่วยเขาได้อย่างไรบ้าง เล่าล่ะ ภาครัฐ และทางช่อง 3 รวมถึงภาคเอกชนหลายองค์กรต่างเปิดบัญชีให้โอนเงินบริจาค กระทรวงการต่างประเทศจะเป็นผู้นำไปมอบให้แก่ทางญี่ปุ่น มันก็ดีล่ะนะ สะดวกดีด้วย แต่ใจด้านลบของผมมันรู้ว่าเงินบริจาคเหล่านี้มันมีรูรั่วไหลเยอะมากครับ บอกตรงๆ ก็คือมันไปถึงมือชาวญี่ปุ่นจริงๆ น้อยมาก
   
   เข้าบ้านมาแบบไม่มีอะไรกินครับ ตลอดสองข้างทางมีแต่ของอ้วนๆ ผมเลยไม่ซื้อมา ลุ้นเอาดาบหน้า เผื่อแม่จะไปตลาดแล้วมีของมาฝากบ้าง แต่ฝันสลาย ไม่มีใครอยู่บ้านสักคน
   หยิบเอาธัญพืชอบแบบจืดมาทาแยมกิน พอได้ว่ะ กินไป 5 ชิ้น ตามด้วยน้ำ เออ อิ่มจริงๆ ด้วย 

   0200 ช่อง Thai PBS ถ่ายทอดสดจักรยาน Down Hill จากจังหวัดสตูล ดูแล้วก็มันดีครับ อิจฉาเด็กสมัยนี้ที่มีทีวีดีๆ ให้ดู ยุคผมวัยเด็กนี่ลองผิดลองถูกกันเองตลอด โดยเฉพาะเรื่อง BMX
   ดูแรกๆ ก็โอเคดีนะ แต่สนามหลังๆ ชักจะจืดละ ผมว่าเขาขาดรายละเอียดไปหลายอย่าง เช่นน่าจะมีสารคดีสั้นๆ ที่ถ่ายเอาไว้ก่อนเกี่ยวกับนักแข่งคนดังๆ ไปดูเขาซ้อมว่าขนาดไหน อย่างไร หรือไม่ก็มีเรื่องราวเกี่ยวกับจักรยานประเภทต่างๆ ว่ารถ Down Hill / Free Ride แตกต่างกันอย่างไร ฯลฯ ทำแบบนี้คนดูจะสนุก และมีความรู้เพิ่มขึ้นไปด้วย คนพากย์ก็มีส่วนครับ ไม่ถึงกับแย่ แต่ไม่ได้สนุกเท่าไหร่นัก โดยรวมแล้วถือว่าพอใช้ได้ 

   บ่ายแม่กลั้บมาบ้านพร้อมกับข้าวเหนียวมะม่วง เย้ๆ ของโปรด แต่ต้องทำใจหน่อยนะว่ามันอ้วนมากๆ
   ถ้าจะให้อ้วนน้อยก็ต้องลดข้าวเหนียว ส่วนมะม่วงถ้าเป็นพันธุ์น้ำดอกไม้ จะให้ประโยชน์แก่ร่างกายมากกว่ามะม่วงอกร่อง มะม่วงสุกมีน้ำตาลมาก ส่วนมะม่วงดิบมีแป้งมาก ทั้งแป้งและน้ำตาลล้วนทำให้อ้วน ฮ่วย…
    กินข้าวเหนียวมะม่วงกับพ่อแม่ และดูแข่งจักรยานไปด้วย แม่ไม่เคยดูกีฬาแบบนี้ แต่ก็เชียร์ลุ้นให้แต่ละคนทำเวลาได้เร็วๆ เรียกไอ้อ้วนบ้าง ไอ้ผอมบ้าง ฮ่าๆ
   กินเสร็จ สำนึกผิด คิดไปพลางว่า เอ ไอ้ที่เราอัดมา 100 กม ตอนเช้านี่มันช่วยอะไรบ้างหรือเปล่าหนอ เพราะเราขี่มาแบบ Burn Fat เต็มที่ และหลังจากนี้ผมต้องเล่นพวกวิทพื้น ซิทอัพ เสริมระหว่างวัน
   เออ เคยอ่านเรื่องซิทอัพในอินเทอร์เนท หลายคนแสดงความคิดเห็นกันว่ามันไม่มีส่วนลดไขมันหน้าท้องเลย มันจะไปสร้างกล้ามเนื้อที่อยู่ใต้ชั้นไขมันมากกว่า คิดไปพลางว่าการซิทอัพนั้น มันไร้ซึ่งประโยชน์
   ไม่จริงๆ ๆ ๆ ขอเถียง ในหลักการแล้วการซิทอัพก็เป็นแบบที่พวกเขาว่าไว้แหละ คือสร้างกล้ามเนื้อใต้ชั้นไขมัน แต่ลืมไปแล้วหรือครับว่าการมีกล้ามเนื้อมากๆ ก็จะช่วยเร่งการเผาผลาญอาหาร หนำซ้ำการมีกล้ามเนื้อมากๆ ก็จะทำให้โกรธฮอร์โมนเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย มันทำให้เรารู้สึกหนุ่มสาวขึ้น แน่นอน ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น เหลือสะสมน้อยลงกว่าคนที่ไม่ได้ออกกำลังกายแบบสร้างกล้ามเนื้อ
   ขี้เกียจวิดพื้่น ซิทอัพ จะเล่นเวทแทนก็ได้ครับ
Title: Re: มีค 54 13 100 กม
Post by: O'Pern on March 14, 2011, 06:16:35 pm
14 มีค 54
   HBD อัลเบิร์ต ไอสไตน์ วันนี้คือวันเกิดของเขา คงไม่ค่อยมีใครรู้หรอก จะมารู้ก็เรื่องทฤษฎีสัมพันธภาพ ที่เป็นต้นกำเนิดของพลังงานนิวเคลียร์เสียมากกว่า
   ดูภาพข่าวของญี่ปุ่นที่คนของเขากำลังอยู่ในภาวะลำบาก แต่ประชาชนของเขาดูนิ่งมากๆ เลย เข้าแถวรอของแจกอย่างเป็นระเบียบมากๆ บ้านเราจะแจกถุงยังชีพ (ที่มีนักการเมืองชอบเอาถุงสกรีนชื่อตัวเองมาสวมทับ) เป็นถุงพลาสติคแบบก๊อปแก๊ป แต่ของญี่ปุ่นเขาแจกเป็นกล่องกระดาษ ดูดีมากๆ จัดเก็บก็ง่าย ขนส่งก็ง่าย แต่เหตุผลที่ของเราเป็นถุงก็เพราะคนของเราอยู่ในสภาพน้ำท่วม ถ้าให้เป็นกล่องกระดาษคงไม่เวิร์ค
   เช้าผมกินไก่ผัดขิง กินกับกระเทียมสดๆ มีไข่ต้มอีกฟอง ก้นผมเจ็บ ระบบจากการนั่งกดทับนานๆ พวกขิง กระเทียม นีมันช่วยลดอาการอักเสบในร่างกาย ผมไม่รู้่ว่าการเจ็บก้นมันอักเสบไหม เดาว่าอาจช่วยได้ และมีประโยชน์ต่อร่างกาย เลยกินเข้าไปไว้ก่อน กลางวันเติมผักสีเขียวเยอะหน่อย ไม่มีอาหารอะไรง่ายไปกว่าก๋วยเตี๋ยวราดหน้า มีผักคะน้าเพียบ
   วันจันทร์ คนงานขาดไป 2 คน ผมอยู่ที่ร้านจนถึงเย็น ขำขำ
   
   เย็น ขับรถกลับเข้าบ้าน ช่วงบนถนนพระราม 2 ใกล้จะถึงบ้านอยู่แล้วล่ะ กำลังจะเข้าทางขนาน เจอรถ BMW 3 Series สีดำ ติดฟิล์มดำ แต่งอย่างสวยเชียว เขาขับอยู่ข้างหลัง พอเข้าทางขนานเขาก็มาตีคู่ด้านซ้ายแล้วกดแตร ผมเบนรถหลบทางขวาทันที คิดว่าไปเบียดเขา แต่แล้วเขาก็กดแตรอีก ผมก็เบนขวาอีกจนชิดขอบทางสุดแล้ว ก็ยังได้ยินเสียงแตร ปิ๊นๆ อีก
   เอาแล้ว เอาอีกแล้ว ผมไปเหยียบตีนใครเข้าแหงเลย หันไปมองด้านซ้าย เห็นคนขับลดกระจกลงรอ พอสบตา เขายกมือไหว้ ปากพูดว่าสวัสดีครับ ผมไม่ได้ยินเสียงหรอก แต่คำพวกนี้พร้อมกับกริยาท่าทางทำให้เราเดาออกง่าย
   โถ เป็นรุ่นน้องในกลุ่ม Racing Club นี่เอง แต่สารภาพนะ ผมจำชื่อเขาไม่ได้ว่ะ น่าจะเป็นรุ่นน้องกลุ่มดริฟท์นะ คุ้นๆ ว่าเคยไปมีทติ้งกันที่บ้านของ “นคร” ด้วย
   นคร เป็นรุ่นน้อง ตอนนี้โด่งดังมากๆ เป็นนักแข่งทีม Good Year อย่างเป็นทางการ น่าอิจฉาจริงๆ
   ส่วนผม ฝีมือหายหมดแล้ว ไม่อยากพูดถึงเรื่องพวกนี้อีกเลย ผมถอยออกมาจากวงการเอง เพราะอยากให้เวลากับลูกในวันหยุด

   อาการเจ็บก้นยังไม่หาย ลองเอามือกดช่วง Sit Bone ดู โอ้โห เจ็บว่ะ นั่งเก้าอี้ที่เป็นไม้ยิ่งเจ็บมาก นั่งขับรถบนเบาะนุ่มๆ จะไม่เจ็บ
   เริ่มมองหาเบาะจักรยานตัวใหม่ แต่อยากรู้ว่าเบาะอันดับ 2 รองจากยีห้อ Brooks คืออะไร

   เข้ามาบ้าน ยังไม่มืดมาก กำลังจะถอยรถไปล้างในสวน หูได้ยินข่าวทีวีพยากรณ์อากาศ บอกว่าพรุ่งนี้มีฝนกระจายทั่วทุกภาค แถมอาจมีลูกเห็บตก
   ไม่ล้ง ไม่ล้าง แม่งละ
Title: Re: มีค 54 13 100 กม
Post by: O'Pern on March 15, 2011, 05:07:35 pm
15 มีค 54
   
   เล่าเรื่องแผ่นดินไหวบ้าง ผมมีประสพการณ์ตรง เคยอยู่ในเหตุการณ์ตอนเรียนที่ Orange County, California USA
   ผมอยู่ในอพาร์ทเมนท์เล็กๆ สองชั้น เขาสร้างเป็นรูปทรงตัว U ห้องผมอยู่ชั้นล่างตรงมุมตัว U พอดี เย็นวันหนึ่ง ผมกำลังนั่งทำการบ้านอยู่ในห้อง โคมไฟเพดานก็แกว่งไปมา สักพักก็แกว่งอีก แล้วเริ่มแรงขึ้น ผมตกใจ ไม่เคยเจอแบบนี้ เลยรีบวิ่งออกมากลางลานของตึก ตรงกลางตัว U นี่แหละครับ ผมเดาว่ามันคือแผ่นดินไหว ที่วิ่งออกมาตรงนีก็เพราะเผื่อตึกถล่ม ผมจะได้วิ่งทัน ไม่โดนทับ
   ด้วยท่าทีที่ตื่นตระหนก ยืนมองฟ้า มองรอบๆ ตัว ผู้พักอาศัยในตึกนี้เป็นฝรั่งทุกคนครับ ไม่มีคนเอเชียอยู่เลย เรียกว่ามีคนหัวดำคือผมคนเดียว พวกที่อยู่ชั้นล่างก็เปิดประตูออกมาดูกัน ส่วนพวกชั้นสองก็ชะโงกหน้ามาดู ผมสบตาผู้คนมากมายรอบตัว พวกเขารีบวิ่งกรูกันมาอยู่รอบๆ ผมเต็มไปหมด
   “เกิดอะไรขึ้นหรือ” ชายคนหนึ่งถามผม
   “แผ่นดินไหว” ผมตอบ
   “อ๋อ ไหวแค่นี้น่ะ เล็กน้อย เป็นเรื่องธรรมดา”
   “ธรรมดา แล้วคุณออกมานอกห้องทำไมกันล่ะ”
   ฮ่าๆ ๆ พวกคนที่ยืนรอบข้างต่างหัวเราะกันร่า เจอมุขสดของผมเข้าอย่างจัง แต่ตอนนั้นผมตกใจจริงๆ นะ เราอยู่คนเดียวในต่างแดน ต้องเป็นทั้งเพื่อนและผู้ปกครองให้แก่ตัวเองอีกด้วย นั่นคือต้่องดูแลตัวเองให้ดีทุกด้าน อาหารการกิน ความเป็นอยู่ การใช้ชีวิต ฯลฯ ทุกสิ่งทุกอย่างมันทำให้เราแกร่งขึ้น โตขึ้นทั้งร่างกายและจิตใจ
   ใครจะไปได้ดีหรือแย่ก็จะแสดงผลในช่วงเวลานี้แหละครับ บางคนรวยมาก อยู่้บ้านพักอย่างดี ขับรถสปอร์ท ปิดเทอมก็เอาแต่เที่ยว วันหยุดก็ขยันจัดปาร์ตี้ ถ้าเรียนได้ดีก็โอเคไปครับ จะทำอะไรเละเทะขนาดไหนพ่อแม่ที่บ้านเขาไม่รู้หรอก แค่จ่ายเงินให้คุณหนักหน่อยเท่านั้นเอง
   ส่วนผมไปแบบงบน้อยครับ ทำงานตลอด 7 วัน จันทร์ – ศุกร์ ทำงานร้าน Photo Fast (ร้านรับอัด ถ่าย ขยายภาพ) เสาร์ – อาทิตย์ ทำงานในร้านอาหารไทย ทำให้ไม่ได้ไปเที่ยวไหน ทำงานเก็บเงินก็ได้ไม่เท่าไหร่ พอแค่ค่ากินไปวันๆ เดินทางไม่สะดวก ไม่มีรถยนต์ใช้เหมือนไม่มีแขนขา เลยกัดฟันซื้อโฟล์คเต่าปี 1964 เก่าๆ มาใช้ อาศัยซ่อมบำรุงเองได้แบบง่ายๆ เป็นเครื่องแบบคาร์บิวเรเตอร์ ระบบไฟง่ายดายมาก
   อ้าว เล่าเรื่องอดีตอีกแล้ว นี่มันพฤติกรรมของคนแก่นี่หว่า

   ข่าวเกี่ยวกับญี่ปุ่นยิ่งวิกฤตเข้าไปทุกที เพราะต้องประสพเหตุถึง 3 อย่างพร้อมๆ กัน อันแรกคือสึนามิ สองแผ่นดินไหว อันที่สามร้ายแรงสุด คือกัมมันตภาพรังสี แถมข่าวล่าสุดวันนี้มีการตรวจพบการแพร่ของสารกัมมันตรังสีในโตเกียวแล้ว แต่เป็นเพียงปริมาณน้อย
   ผมว่าภาครัฐของเขาแมนดีนะ เปิดเผยข่าวตรงไปตรงมา ให้ความช่วยเหลือเร็วมาก ที่เด็ดขาดสุดคือประชากรของเขาที่มีความเข้มแข็งมากๆ แม้จะประสพภัยก็ยังคงยืนต่อคิวยาวเหยียดรับของบริจาคอย่างเป็นระเบียบ โอ้โห อยากปรบมือให้ดังๆ และยิ่งกว่านั้น บอกอย่างเปิดใจ ผมอยากให้ญี่ปุ่นเขามาบริหารประเทศไทยบ้างจัง ไทยเราภูมิใจในความเป็นเอกราช แต่ถ้าผมคิดอยากให้ไทยเราเป็นเมืองขึ้นของญี่ปุ่นบ้าง จะผิดไหม เพราะไทยเราโครตจะเอื่อยเฉื่อยเลย วันๆ มีแต่โกงกิน หาประโยชน์เข้าตัวและพวกพ้อง โดยเฉพาะนักการเมือง ตามมาด้วยข้าราชการที่มีอำนาจ
   
   เช้านี้ฝนตกตามเป้าหมาย ตกหนักตั้งแต่ตี 2 เล่นเอารถติดป่วนไปทั้งเมือง มีน้ำท่วมขังหลายจุด ผมอยู่ร้านจนถึงเย็นอีกแล้ว ช่วงบ่ายนั่งเช็คของขึ้นรถที่ริมถนน โชคดีที่แดดไม่แรง กลับมาบ้านอย่างสุดโทรม ดมควันจนเพลีย และง่วงนอนอย่างมาก
Title: Re: มีค 54 13 100 กม
Post by: O'Pern on March 17, 2011, 09:46:39 pm
16 มีค 53
   ผมมั่นใจว่าหลังจากที่ญี่ปุ่นผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้ เขาจะยิ่งทวีความแข็งแกร่งขึ้นในทุกๆ ด้าน ทำนองยิ่งล้มก็ยิ่งแกร่ง เช้านี้ไปไหว้พระทีศาลเจ้า ขอให้พวกเขาพ้นภัยในเร็ววัน
   เจ็บก้นยังไม่หาย แต่ดีขึ้นนิดหน่อย พอขี่จักรยานได้บ้างแล้ว แต่ถ้าเป็นรถคันที่เบาะหนานุ่มจะสู้สึกสบายกว่าอย่างเห็นได้ชัด ช่วงนี้จึงขี่แต่รถคัน KHS F20-W ไม่ก็รถอีกคันที่เป็นเพื่อนยาก คันไหนขี่แล้วเจ็บปวดร่างกาย เจอคันนี้แก้ปัญหาได้หมด นั่นคือ Giant Revive DX รถแบบ Semi Recumbent ที่เลิกผลิตไปแล้วตั้งแต่ปี 06
   รถที่ขี่สบาย มักจะหนักครับ ทำอัตราเร่งได้ไม่ดี เราก็ขี่ช้าๆ แทน รถหนักก็ดีอย่าง มีข้อดีคือเราได้ออกแรงเยอะ อ้าว .. ก็ขี่จักรยานเพื่อออกกำลังกายไม่ใช่หรือ
   หลังจากไปอัดทางเรียบกริบบนถนนอักษะมา ชักติดใจทางเรียบขึ้นมา แต่ยังไม่ไปถึงเสือหมอบล่ะ ผมมองไปที่รถ Fixed Gear แบบ Track แทนที่จากเดิมผมมองรถแบบ Trick เอาไว้
   ผมชอบรถแนว Retro ครับ รูปทรงองศาต้องเป็นของเก่า ท่อบนต้องขนานกับพื้น หลักๆ มีแค่นี้ แต่มาเล่นรายละเอียดกันในชิ้นส่วนที่ผู้ขี่จับต้อง เช่น เบาะ แฮนด์ บันได
   เมื่อก่อนมองแต่รถแบบ Trick เอาไว้ เพราะเคยขี่ BMX ผาดโผนมาก่อนไง และนึกภาพไม่ออกว่ารถ Fixed Gear แบบ Track ที่มันขี่อย่างเดียว มันจะสนุกตรงไหน อย่างไร จะว่าไปแล้วมันก็คล้ายเสือหมอบ แพงก็แพง แถมไม่มีเกียร์ ไม่มีเบรก สำคัญคือช้ากว่าเสือหมอบอีก
   แต่ถ้าเอารถแบบนี้มาขี่บนถนนอักษะหรือที่เรียบโล่งอัดยาวๆ ได้ ผมว่าก็น่าสนุกเหมือนกัน ปัญหาคือผมจะหาที่ขี่แบบนี้ได้เยอะแค่ไหน ขี่เข้าเมืองก็หวาดหวั่นกับฝาท่อและลอนตะเข็บถนน ล้อยิ่งเล็กๆ อยู่ด้วย เสียบเข้าไปทีเดียว มีหวังได้ไปเกิดใหม่
   ทั้งหลายทั้งปวงก็อาจเป็นเพียงแค่การคิดสนุกๆ จิตนาการไปเรื่อย เหมือนตอนเด็กๆ ที่มองภาพรถสปอร์ท แล้วฝันเอาเองว่าสักวันเราอยากขับรถแบบนั้นบ้าง ไอ้ที่ทำได้จริงก็มีครับ แต่มักจะเป็นพวกที่มีพื้นฐานครอบครัวที่ฐานะดีอยู่ก่อนแล้ว ส่วนไอ้พวกได้แต่ฝันนั้นยิ่งเยอะ ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ไม่ถึงกับฝันหรอกนะ ผมรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ อย่างเก่ง ผมขอแค่เจ้าธนูไฟคันเก่าของผมกลับคืนมา ใช่แล้ว Mazda MX-5 ครับ
   พอมีครอบครัว ก็มองรถใหญ่ขึ้น แถมยังต้องใส่จักรยานได้อีกด้วย และยังคงอยากได้รถอเนกประสงค์ขึ้นไปอีก ถ้าเกิดลูกชอบผจญภัยผาดโผนเหมือนเรา

   เย็นฝนตกหนักมาก ลมพัดแรง เหมือนมีลมหนาวมาผสม บรรยากาศน่านอนดีจริงๆ

17 มีค 54
   หนาววววววว นอนไม่ต้องเปิดแอร์ หลับแบบขดคุดคู้ อากาศแบบนี้เย็นสบายกว่าเปิดแอร์เสียอีก ติดที่เปิดหน้าต่างแล้วจะได้ยินเสียงรบกวนภายนอกค่อนข้างเยอะ ยิ่งถ้าบ้านใครใกล้ถนน แล้วเจอพวกเสียงแตรลมของรถทัวร์หรือพวกมอเตอร์ไซค์ซิ่งล่ะก็ ….
   ไปถึงที่ทำงานแต่เช้า ผมติดเสื้อกันหนาวไปด้วย ไปนั่งเล่นริมเจ้าพระยา อากาศเย็น ลมแรง เหมือนอยู่เมืองนอกเลย คิดแล้วสุขสุดๆ นั่งเล่นพักใหญ่ ใกล้ 0800 ฝนก็เริ่มลงหนาเม็ด จึงขี่เข้าไปทีทำงาน เปลี่ยนเสื้อกันหนาวเป็นเสื้อกันฝน ไอ้เสื้อกันฝนตัวนี้ผมใช้งานน้อยมากๆ เพราะผมไม่ค่อยลุยฝนบ่อยนัก แต่มันเหมาะกับฝนในหน้าหนาวอย่างเช่นวันนี้แหละใช่เลย
   จะว่าเป็นเสื้อกันฝนก็ไม่เชิงนะ เพราะใส่กันลมได้ด้วย เนื้อผ้าบางๆ คล้ายยางผสมพลาสติค ดูแล้วไม่น่าจะใส่สบาย แต่ตรงกันข้าม ใส่แล้วไม่ร้อนเลย เนื้อผ้าของมันถ่ายเทอากาศได้ ในขณะเดียวกันก็กันน้ำฝนจากภายนอกได้ เด่นสุดตรงด้านข้างลำตัว บริเวณรักแร้จะมีช่องซิบเปิดรับลมยาวสัก 1 ฟุต ไอ้ช่องนี้แหละครับ มันเหมาะแก่การขี่จักรยานมากๆ เพราะขณะขี่เราจะยืดแขนไปข้างหน้า เจ้าช่องนี้มันจะรับลมพอดีเป๊ะ สุดยอด
   ฝนตกปรอยๆ ตลอดทั้งวันเลยครับ เหมือนฝนในฤดูหนาว ฟังข่าวพยากรณ์อากาศเขาว่าจะหนาวไปอีกสัก 4-5 วัน แต่พรุ่งนี้จะไม่มีฝน อืมม เชื่อดีหรือเปล่าก็ไม่รู้

   เข้ามาบ้านตอนบ่าย พาลูกไปที่คอนโด เขาขนหนังสือไปเพียบจนเต็มเป้ แหม ทำยังกะจะไปอยู่หลายวันอย่างนั้นแหละ มิวเขาไม่ค่อยได้มาห้องพักแห่งนี้บ่อยนัก ผมเองแม้จะมาบ้าง แต่ก็แค่พักผ่อนชั่วคราว เข้ามาทำความสะอาดเสียมากกว่าครับ ผมยังไม่เคยนอนพักค้างคืนที่ห้องนี้เลยด้วยซ้ำไป
   กลับบ้านกันเอาตอนค่ำๆ โน่นแน่ะ
Title: Re: มีค 54 13 100 กม
Post by: O'Pern on March 18, 2011, 06:35:06 pm
18 มีค 54
   ขี่จักรยานเลาะเลียบฟุตบาทเกือบกลิ้งเพราะคราบของมันๆ ลื่นๆ ที่เจ้าของร้านมักจะเททิ้งไว้ที่ปากท่อระบายน้ำ รถ Neo Bike ล้อเล็กๆ ยางนอกเส้นหลังเริ่มมีรอยปริแตกแล้ว แถมอัดลมยางเข้าไปเกินสเปคถึง 2 เท่าตัว ยางนอกทนแรงดันได้สูงสุด 35 psi ผมอัดเข้าไป 70 อิอิ แหม มันขี่ดีกว่ากันเยอะเลย แต่เจอน้ำแล้วจะลื่นชมัด
   ผมไปถึงทีทำงานแต่เช้าราว 0730 เอาจักรยานล้อเล็กขี่ออกไปนั่งเล่นริมแม่น้ำเจ้าพระยา วันนี้ไม่หนาวเท่าเมื่อวาน เพราะไม่มีฝน ยังคงมีลมเย็นตลอดวัน ลมจะแรงน้อยกว่าเมื่อวานนิดหน่อย วันนี้เริ่มมีแดดบ้างแล้ว คงจะเย็นไปอีก 1-2 วัน แล้วก็ต้องมาร้อนจัดอย่างเป็นทางการ อ้อ เมื่อวานดูข่าวทีวี เขาว่าทางตอนเหนือของเวียตนามมีหิมะตก ผู้คนตื่นเต้นกันใหญ่ นี่ๆ จะบอกอะไรให้ ไม่ต้องไปไหนไกล ทางเหนือของพม่าก็มีหิมะตก แถมตกมานานสะสมนับสิบปี เป็นหนึ่งในยอดเขาที่ผมอยากไป แต่รู้สึกว่าจะเข้าไปยากเหลือเกิน เพราะมีชนกลุ่มน้อยคอยคุมพื้นที่อยู่ เอาเป็นว่าเจ้าหน้าที่รัฐบาลก็ยังเข้าไปได้ยาก
   เรื่องราวของญี่ปุ่นนับวันยิ่งวิกฤต จากเดิมมีปัญหา 3 อย่าง คือสินามิ แผ่นดินไหว และกัมมันตรังษีรั่ว ตอนนี้จะเหลือแค่ปัญหาสุดท้ายที่คนทั่วโลกช่วยลุ้น ประเทศที่มีนิวเคลียร์ให้ ต่างจับตามองพร้อมส่งคนเข้าไปดูแลอย่างใกล้ชิด ทำนอง win win คือหนึ่งได้ช่วย และสองได้ข้อมูลมาอุดจุดบกพร่องของระบบนิวเคลียร์ในบ้านตัวเอง นำทีมโดยอเมริกาตามเคยครับ ประเทศนี้ทำทุกสิ่งทุกอย่างก็เพื่อตัวเอง นโยบายต่างประเทศของเขาเป็นแบบนี้มาตลอด ส่วนคนอเมริกันนั้นส่วนใหญ่จะดีกันหมดครับ
   เข้ามาบ้านตอนบ่าย ลูกนั่งวาดรูปปเล่นอย่างสนุกสนาน เศษกระดาษเกลื่อนกลาด ก็ต้องทำใจครับ เด็กเขากำลังมีจิตนาการสูง ก็ต้องปล่อยเขาไป เล่นแล้วเก็บเข้าที่ด้วยก็แล้วกัน เราต้องปล่อยให้เด็กเขาได้เล่นอย่างอิสระครับ ข้าวของพังเสียหายบ้างก็อย่าเพิ่งโมโห คิดเสียว่ามันคือการเรียนรู้ คือการทดลอง ตอนเด็กตัวเล็กเขาทำโน่นเสีย ทำนี่หัก แต่ถ้าเป็นวัยรุ่นล่ะ ลองคิดดู ก็เริ่มจากทดลองเที่ยว พังรถยนต์ ขอเงินพ่อแม่ไปถลุง ฯลฯ ทุกอย่างล้วนมาจากประสพการณ์ตอนเด็กทั้งสิ้น การสอนให้เขาคิดเองได้ว่าสิ่งใดดี สิ่งใดถูกผิด นั่นคือสุดปรารถนาของผม
   แน่นอน ใครๆ ก็อยากให้ลูกเก่งรอบด้าน แต่ถ้าให้ผมเลือกได้ อยากได้แค่อย่างเดียว คือให้เขาทำความฝันของเขาให้สำเร็จ ไม่ว่าเขาจะคิดฝันอะไรก็ตาม ผมก็จะต้องช่วยเป็นแรงผลักดันเขาอย่างเต็มที ผมว่าหน้าที่พ่อแม่ก็มีอยู่แค่นี้แหละนะ แค่ให้เขาหาจุดเด่นในตัวเองให้เจอ แล้วเราก็ช่วยสนับสนุน เขาจะคิดฝันอะไรอย่างไร เราก็ต้องคอยเป็นแรงใจ
   แม้ทุกวันนี้ผมจะยังทำฝันของตัวเองไม่สำเร็จ แต่ฝันของลูกก็สำคัญไม่แพ้กันครับ
Title: Re: มีค 54 13 100 กม
Post by: O'Pern on March 20, 2011, 05:55:27 pm
19 มีค 54
   อากาศหนาวแบบเฉียบพลันเริ่มอ่อนแรงลง วันนี้ตอนเช้าเย็นไม่มากเหมือนวันก่อนๆ ผมขี่จักรยานโดยไม่สวมเสื้อกันหนาว เช้านี่รีบเอารถยนต์ไปจอดที่ทำงาน แล้วเอา Neo Bike 14 ขี่ออกไปสวนสาธารณะแห่งใหม่ หลังวัดพระแก้ว ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่บริเวณท่าเตียน ผมไม่รู้ชื่อสวน แต่เคยเห็นมีเพื่อนๆ ในเวปจักรยานโพสบอกว่า ห้ามนำจักรยานเข้า แม้กระทั่งเข็นเข้าไปก็ห้าม หึหึ ไม่เชื่อหรอก อยากรู้อยากเห็นกับตา
   ขี่ขึ้นสะพานพุทธ โอ้โห กลางสะพานสกปรกสุดยอด ของกิน ขวดเหล้า ไม้เสียบลูกชิ้น เกลื่อนกลาด ไม่ต้องสงสัย ประชาชนชาวไทยนี่แหละเป็นคนทำ หอบหิ้วจากพื้นราบขึ้นมากินบนสะพานได้ แต่ไม่มีปัญญานำเศษถุงที่กินเสร็จแล้วไปทิ้ง หนึ่งในอเมซิ่งไทยแลนด์
   ขี่เลาะไปทางท่าเตียน น่าจะสัก 1 นาทีก็เจอสวนขนาดย่อมอยู่ริมเจ้าพระยา แรกเห็นพบว่า สวยดีว่ะ
   ทันทีที่ขี่ไปถึง ก็พับครึ่งคันแล้วเข็น ไปนั่งเล่นริมแม่น้ำอย่างสบายอารมณ์ ข้างหน้าเป็นสายน้ำ ด้านหลังเป็นพระบรมมหาราชวัง บรรยากาศจะคล้ายกับสวนสันติชัยปราการที่ถนนพระอาทิตย์ แต่สวนนี้เน้นโปร่งโล่งสบายตา ต้นไม้ไม่หนาแน่น กลางวันแดดจัดๆ คงร้อนน่าดูเลยล่ะ
   พอ 0800 ก็ต้องกลับแล้วล่ะครับ ไปทำงานยกของต่อ วันนี้วันเสาร์ คนงานขาดแน่นอน ขี่ย้อนกลับทางเดิมจนถึงปากคลองตลาด เป็นถนนวันเวย์ ผมเลือกที่เข้าไปในตัวตลาดแทนที่จะขี่ย้อนศร ช่วงเช้าๆ รถในตลาดยังน้อยครับ แต่ถ้าเป็นตอนบ่ายถึงเย็นก็จะแน่น
   วันนี้ผมออกไปส่งของที่ปากคลองตลาด แดดร้อนแรง ผิดกับเมื่อเช้าที่ยังพอจะมีลมพัดเบาๆ แดดแรงจนแสบผิวไปหมด จอดลงของกันกลางแดดนี่แหละครับ เป็นเรื่องธรรมดาของคนงานอย่างเรา ถ้าจอดรถง่าย ก็ลงของง่าย งานก็เสร็จเร็ว ในทางกลับกัน หากตำรวจมาไล่ ก็ต้องขับรถหนี หนีไม่ทันก็โดนใบสั่ง หนักกว่านั้นก็โดนล็อคล้อ บางทีเจอแบบก้ำกึ่ง คือกำลังจะหนี แต่เขาไม่ให้เราหนีก็มี แบบนี้ก็โดนใบสั่งไป
   วันไหนซวย เจอตำรวจไถก็มีออกบ่อย ไม่เรียกไถไม่ได้หรอก เพราะไม่ออกใบสั่งให้ พร้อมกับแจ้งข้อหาแบบปากเปล่าว่า
   “รถคุณไม่มียางอะไหล่”
   เหี้ยดีไหมครับ เมื่อผู้พิทักษ์สันติราษฎร กลายเป็นผู้พิฆาตสันติสุข แผ่นดินนี้ก็ไม่มีวันเจริญหรอกครับ

   กลับมาบ้านตอนบ่าย เก็บข้าวของไปที่คอนโดกับลูก กะว่าคืนนี้จะนอนค้างสักคืน เตรียมแค่ชุดนอนก็พอครับ เช้ามาก็ต้องกลับแล้ว
   นี่จะเป็นคืนแรกที่ผมนอนค้างคืนที่ห้องพักแห่งนี้ ตื่นเต้นดีเหมือนกัน

20 มีค 54
   นอนหลับๆ ตื่นๆ ไม่ได้หลับรวดเดียวจนถึงเช้า นอนเตียงเดียวกับลูก พอเขาพลิกตัวขยับทำเอาผมตื่นไปด้วย ตื่นเช้ามาแบบไม่สดใส ลุกขึ้นตอน 0600 ยืนนอกระเบียงชมวิวสูดอากาศใสๆ
   เช้ากลับมาบ้านอาบน้ำแต่งตัว วันนี้ทางบ้านผมมีงานรวมญาติไหว้บรรพบุรุษ ไม่ได้ไปไหว้ตามฮวงซุ้ยต่างจังหวัด ทางญาติผมเขาเก็บกระดูกไว้ในวัดแถวบ้าน ตอนไหว้ก็ไม่ต้องไปไหนกันไกล แถมไปไหว้ได้บ่อยๆ
   เจอญาติเกือบ 30 คน ญาติใกล้ ญาติไกลมากันเกือบหมด ช่วงเช้าอยู่ที่วัดทำพิธีทางศาสนากัน พอกลางวันชวนกันไปทานอาหาร ช่วงนี้แหละ ถึงได้คุยกันอย่างเป็นทางการ แล้วผมก็รู้ซึ้งถึงชีวิต
   ญาติที่เป็นน้องๆ ผมเห็นมาตั้งแต่เขาเพิ่งเกิดก็มี แต่ตอนนี้พวกเขาเงินเดือนกันเป็นแสน ยิ่งคนไหนได้เรียนต่างประเทศ พวกนี้เงินเดือนคนละ 4-5 แสนบาท ผมนั่งฟังแบบน้ำตาตกใน บอกอย่างไม่อายเลยครับว่าผมโครตจะอิจฉาเขาเลย แค่อิจฉานะ ไม่ได้ริษยา อิจฉาคืออยากได้อย่างเขาบ้าง แต่ริษยาคือคิดร้าย คิดหมั่นไส้คนที่ได้ดีกว่าเรา
   นั่งฟังพวกเขาคุยกันแล้วต้องกำมือแน่นที่ใต้โต๊ะ ผมอยากมีโอกาสไปลุยงานอย่างคนอื่นเขาบ้าง อยากแต่งตัวดีๆ บ้าง ทุกวันนี้มีแต่งานยกของ แบกของ ต้องใส่เสื้่อผ้าเก่าๆ โทรมๆ ชีวิตส่วนใหญ่หมดไปกับการดมควันไอเสีย ซึ่งเงินที่เก็บหอมรอบริมมาทีละน้อยๆ ก็ต้องเอาไว้รักษาโรคปอดของตัวเองตอนแก่อย่างไม่ต้องสงสัย    
   ไม่รู้จะบรรยายเป็นตัวอักษรอย่างไรถึงจะเข้าใจความรู้สึกของผม มันแสนจะอึดอัด ยิ่งเวลาที่ผู้ใหญ่เขาคุยกันถึงลูกๆ ที่ทำงานได้เงินเยอะ ทำงานดีๆ แววตาเขาเปี่ยมไปด้วยความสุข มันทำให้ผมย้อนกลับมาดูตัวเองว่าที่ผ่านมา และวันข้างหน้าชีวิตผมจะเป็นเช่นไร คำตอบคือ แม่งก็คงเหมือนๆ ทุกวันนี้แหละ คือต้องยกของไปจนแก่
   เหตุผลเพียงข้อเดียวที่ผมทนทำอยู่ก็คือ ต้องการตอบแทนพระคุณพ่อแม่ ตอนผมยกของส่งของ แม่จะดูดีใจมาก เอาครับ ดีใจก็จัดให้ ผมอยากทำความดีให้ตอนเรายังมีชีวิตอยู่ด้วยกัน ทั้งๆ ที่รู้ว่าเวลาที่ผมจะออกทำงานส่วนตัวมันก็จะลดน้อยลงเป็นเงาตามตัวไปด้วย
   ยิ่งอายุมาก ก็จะกล้าลุยกล้าเสี่ยงน้อยลง ไฟมันไม่แรงเท่าตอนหนุ่มๆ แล้ว แต่พอหมดแรงทีไร ผมหยิบเอานิตยสาร Racing Club เล่มเก่าๆ ขึ้นมาอ่าน ก้าวแรกของฝันของผม ที่มันล้มไม่เป็นท่า ไปไม่ถึงไหนเลย
   
   สหรัฐ อังกฤษ บุกโจมตีลิเบียแล้ว อาศัยมติของสหประชาติ เอาไว้เป็นกันชน เพื่อไม่ให้โดนใครด่า เรื่องมนุษยธรรมมีไว้เป็นข้ออ้าง หลักๆ เลยมันคืองาน War Show อย่างเป็นทางการ เรื่องธุรกิจและผลประโยชน์ล้วนๆ ครับ เดี๋ยวจะเจอศักยภาพของอาวุธใหม่ๆ ที่เอามาทดลองใช้ จะเจอเครื่องบินไฮเทค เจออาวุธประจำกายแบบใหม่ๆ ยิ่งสงครามยิ่งยืดเยื้อ ก็จะยิ้งเห็นเยอะมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
Title: Re: มีค 54 13 100 กม
Post by: O'Pern on March 21, 2011, 03:28:45 pm
21 มีค 54
   ข่าวหน้าหนึ่งวันนี้คือการยกพลถล่มลิเบีย ส่วนเรื่องกัมมันตรังษีรั่วไหลจากโรงงานพลังไฟฟ้านิวเคลียร์รั่วมีแนวโน้มไปในทางที่ดีขึ้น คือรั่วน้อยลง ส่วนผลกระทบข้างเคียงคือ มันมีบางส่วนรั่วอยู่ และรั่วออกมานานแล้ว นี่สิคือปัญหา
   ผมคิดวิธีการช่วยเหลือญี่ปุ่นออกแล้วครับ คือหากคิดจะให้อะไรใคร หรือช่วยใครก็ต้องช่วยอย่างเต็มที่ ช่วยจากใจ การให้เงินมันก็โอเคดีหรอก แต่อย่างที่บอกคือมันรั่วไหลระหว่างทางเยอะมาก และเป็นไปได้สูงที่จะรั่วในไทยมากกว่าญี่ปุ่น
   แผนการช่วยเหลือหากผมเป็นผู้นำระดับสูงมีอำนาจเต็มือ มีดังนี้
-   แนวคิดให้เงินให้ทองไปก็มีวันใช้หมด กัมมันตรังษีรั่วที่เซนได มันก็ไม่มีใครอยากอยู่ คนที่อยู่ก็อาจรักจริง ไม่มีทางไป ไม่ก็หมดเงิน ผมอยากยกดินแดนในไทยเปิดให้ผู้ลี้ภัยญี่ปุ่นเข้ามาอยู่อาศัยครับ จะใช้พื้นที่แล้วจัดสรรคล้ายนิคมก็ได้ หรือจัดเป็นตำบลเล็กๆ ก็ยังไหว ตั้งชื่อให้เท่โดยต้องมีคำว่าเซนได เมืองเก่าที่พวกเขาเคยอาศัย เช่น Small Sendai / Sendai 2 อะไรทำนองนี้
-   ผลดีสำหรับไทยเราก็คือจะได้ใจชาวญี่ปุ่นไปแบบเต็มๆ ให้เงินให้ทองก็มีวันหมด แต่ไทยเราให้ผืนแผ่นดิน ลองเอาไปคิดดูครับว่ามันจะมีมูลค่าสักเท่าใด
-   การรับผู้ลี้ภัย จะต้องทำเอกสารเข้าเมืองอย่างถูกกฏหมายที่สถานทูตญี่ปุ่น หรือจะจัดทำง่ายๆ แบบการขึ้นทะเบียนต่างด้าวก็ได้ (บ้านเรามีต่างด้าวเป็นแสนๆ คนแล้วครับ มีญี่ปุ่นเข้ามาอีกนิดหน่อย ไม่เป็นไรหรอก)
-   ข้อดีอีกอย่างคือ การให้คนมีระเบียบวินัยเข้ามาพักอาศัย การสร้างชุมชนให้เขาอยู่ด้วยกัน ชุมชนนั้นก็จะเต็มไปด้วยความมีระเบียบวินัย เป็นการทำตัวอย่างให้คนไทยได้เห็นวัฒนธรรมการต่อคิว คนของเขาต่อคิวยาวเหยียดก็ยังทำ ต่อคิวรับของแจกในสภาวะเจ็บปวดแสนสาหัสก็ยืนกันนิ่ง รถยนตก์ต่อต่อคิวเติมน้ำมันกันถึง 3 วัน แถมเติมกันได้คนละนิดละหน่อยเขาก็จอดต่อคิวอย่างมีระเบียบ เรื่องนี้โครตจะเหลือเชื่อ ต้องมาเห็นกับตา (ภาพข่าว) ในขณะที่ไทยเราเมื่อสองสามสัปดาห์ก่อน มีภาพยื้อแย่งกันซื้อน้ำมันปาล์มแบบไม่จำกัดจำนวน ที่ห้างโลตัสพนักงานเข็นใสพาเลทออกมายังไม่ทันจัดวาง ชาวไทยกรูกันเข้าไปยื้อแย่งฉีกลังกระจัดกระจายเหมือนแร้งลง ทั้งๆ ที่ซื้อไปเก็บ ซื้อไปขายต่อกันทั้งนั้น น่าอนาถใจจริงๆ
-   กระจายพื้นที่ให้ชาวญี่ปุ่นเข้าไปอยู่ อยากจัดระเบียบเมืองไหน ก็ให้ชาวญี่ปุ่นนี่แหละครับเป็นคนนำชาวไทย เมืองเชียงใหม่กำลังจะเละ ก็ให้สิทธิคนญี่ปุ่นไปอยู่อาศัย ภูเก็ตกำลังเน่าก็ดูว่าหากมีชาวญี่ปุ่นไปช่วยจัดระเบียบให้ มันจะดีขึ้นมาบ้างไหม
-   คนญี่ปุ่นที่เข้ามาอาจมีทั้งจนและปานกลางบ้างก็พอมีฐานะ การจะมีรายได้ของเขาก็ต้องอาศัยรัฐบาลของเขาช่วยส่งเสริมอาชีพด้วย นี่แหละครับ เราจะรับวัฒนธรรมของเขาเข้ามาทางอ้อม เราอาจได้เห็นการตีดาบซามูไร พิธีชงชา ผมยังไม่อยากฝันถึงออนเซน แต่ถ้าให้เขาไปอยู่ระนอง หรือที่มีบ่อน้ำพุร้อนเยอะๆ ยอมแบ่งพื้นที่ให้เขาบริหารจัดการ ผมว่ามันจะออกมาสวยกว่าบ่อน้ำพุร้อนของไทยที่ทำเป็นปูนซีเมนต์ห่วยๆ เหมือนบ่อน้ำบาดาล มีไว้ต้มไข่ ชาวบ้านก็อาศัยขายไข่ใส่ชะลอม ฮ่วย ห่วยสุดยอด มีของดีๆ อยู่แท้ๆ แต่บริหารจัดการไม่เป็น ลิงได้แก้วจริงๆ

คร่าวๆ ราวๆ นี้ แต่รับรองว่ามันสามารถต่อยอดไปได้อีกเยอะมากๆ งานนี้เป็นแบบ win win win win ที่สุดยอดเหลือเกิน ล่าสุดผมคิดได้ 3 win ก็ว่าเจ๋งแล้ว แต่งานนี้มี 4 win สุดยอดเสียยิ่งกว่า

Win 1 ประเทศไทยได้แสดงความช่วยเหลือญี่ปุ่นแบบสุดยอดหาประเทศใดเปรียบ
Win 2 ประเทศญี่ปุ่นได้ที่พักพิงให้พลเมืองของเขา ซึ่งกำลังจะมีคนแก่ล้นเมือง
Win 3 คนญี่ปุ่นได้สิทธิทางเลือกในการพักอาศัยในดินแดนใหม่ ปลอดกัมมันตรังษี
Win 4 คนไทยจะได้เห็นความมีระเบียบของกลุ่มคนญี่ปุ่นที่เข้ามาพักอาศัย และจะส่งผลให้คนไทยบางส่วนเริ่มมีสำนึกเรื่องระเบียบวินัยขึั้นมาบ้าง

วันนี้อากาศร้อนจัด ตอนบ่ายมีฝนตกหนัก แต่ตกไม่นาน กลับมาบ้านตอนบ่ายแก่ๆ ลูกกำลังแต่งการ์ตูน แน่นอน เขาต้องใช้จิตนาการอย่างมาก ผมเองก็ชอบงานที่ใช้สมองใช้จิตนาการเช่นกัน มันถึงกับเปลี่ยนแปลงโลกได้เลยล่ะ

   นั่งคิดงานอยู่เกิดไอเดียแรง นี่ถ้ารถดริฟท์ผมยังอยู่ ผมจะสมัครไปออกรายการ Thailand got talent อยากจะไปโชว์โดนัทรูปสามเหลี่ยม และวงรี ปิดท้ายด้วยการเบิร์นยางเกียร์ถอย ไม่ก็ดึงเบรกมือเข้าจอดรถ ใครมาอ่านเจอ และพอมีฝีมือ รีบเอาไปทำเลยนะครับ แจ้งเกิดได้ในวงการรถยนต์ 100% อย่าคิดว่าผมเว่อร์ เอารถคันใหญ่ไปขึ้นเวที มันทำได้จริง ถ้าคุณเจ๋งพอ
   
   เย็นนี้มีเปิดตัวรถกระบะ Chevolet Colorado ตัวใหม่นี้ใช้เครื่องยนต์จากอิตาลี ไม่ได้ใช้ของ Isuzu อีกแล้ว เว้นพรุ่งนี้หนึ่งวัน วันถัดไปเปิดตัวรถกระบะ Ford เมื่อสองวันก่อนก็เปิดตัวรถเล็กของ Honda ชื่อ Brio วงการรถยนต์เริ่มร้อนระอุ เพราะอีกไม่กี่วันจะถึงงาน Motor show แล้ว ปีนี้เป็นปีแรกที่จัดที่ Impact เมืองทองธานี
Title: Re: มีค 54 13 100 กม 21 แนวทางการช่วยเหลือประเทศญี่ปุ่นจากมหัตภัย
Post by: O'Pern on March 22, 2011, 06:49:14 pm
22 มีค 54
   ในขณะที่ชาวญี่ปุ่นมีระเบียบวินัยอย่างเหนียวแน่น แสดงให้ชาวโลกประจักษ์ด้วยการต่อคิวเข้ารับบริการทุกอย่าง ไม่มีงัดแงะหรือขโมยของในสภาพบ้านเมืองวิกฤตแต่อย่างใด
   แต่เมือวานนี้ในไทย มีรถบรรทุกปลา 3 หนัก 3 ตัน พลิกคว่ำที่พัทลุง ภาพที่เห็นคือคนผ่านไปมาต่างแย่งกันเก็บปลาที่ตกเกลื่อนกลาด แย่งกันแบบของฟรีเทกระจาด เป็นภาพที่น่าสมเพชอย่างมาก หยิบฉวยกันอย่างสนุกมือ หัวเราะเริงร่า ยิ้มแย้มแจ่มใสไม่มีคำอธิบายประกอบภาพใดจะเหมาะสมไปกว่าคำว่า “ทุเรศ”
   ช่วงนี้ยังอยู่ในภาวะอากาศแปรปรวน จากประเทศร้อนก็จะเริ่มหนาว และประเทศหนาวก็จะเริ่มร้อน ผลัดกันบ้างก็ดีครับ ก่อนโลกจะแตก ก็ขอให้มีอะไรแปลกใหม่กันเสียหน่อย
   แนวคิดเรื่องโลกแตกและอ้างอิงคำทำนายของมหาโหรอย่างนอสตราดามุสมีมานานหลายสิบปี ทำมาเป็นภาพยนต์กินเงินคนดูไปก็เยอะ ผมจำเรื่องแรกได้เลย ชื่อว่า “2525 โลกาวินาศ” และเรื่องล่าสุดตั้งชื่อแบบให้เอ็งคิดเอาเองคือ “2012” แต่ปีนี้ 2011 เกิดเหตุภัยพิบัติไปทั่วโลกโดยเฉพาะประเทศแถบวงแหวนแห่งไฟ (แนวเขตภูเขาไฟที่ซ้อนทับกับเปลือกโลกที่เป็นจุดเกิดแผ่นดินไหวบ่อย)
   มีคนถามผมว่าโลกจะแตกไหม ต้องตอบว่ามีเหตุภัยพิบัติบ่อยจะดีกว่า มันไม่แตกตูมตามเหมือนในหนังหรอก แต่มันจะเกิดเหตุร้ายบ่อยขึ้นเรื่อยๆ คนที่อ่อนแอก็จะล้มตายไป เหลือพวกที่แข็งแรงที่รอด (บ้างก็โชคดีที่ยังไม่โดน) ไทยเราไม่อยู่ในเขตแผ่นดินไหวหลัก แต่ก็พอมีได้รับผลกระทบบ้าง ที่น่าจับตามองก็คือเรื่องน้ำและโคลนถล่ม ถ้าแผ่นดินไหวหนักเข้าจนเขื่อนร้าว (แตก) น้ำก็จะทะลักเข้าสู่ตัวเมืองด้านล่างที่อยู่ถัดลงมา แต่ผมทำนายว่าเรื่องร้ายไม่น่าจะเกิดขึ้นที่ประเทศไทย แต่จะไปตกกับประเทศอื่นแทน ประเทศที่เงียบสงบ ไม่ค่อยมีชื่อเสียงจะเริ่มเป็นที่จับตามอง แต่ถึงอย่างไรก็ต้องกันไว้ดีกว่าแก้ แย่แล้วจะแก้ไม่ทัน ถึงตอนนั้น ยานพาหนะอย่างเดียวที่พอจะพาเราไปไหนมาไหนได้นั่นก็คือจักรยานครับ รถยนต์ เรือ หรือสิ่งอื่นใดต่างล้วนใช้น้ำมัน ไอ้พวกนี้ต้องจอดสนิทแบบไร้ค่า
   ถ้า กทม เราได้รับภัยจากน้ำจริง ภาคกลาง และกรุงเทพฯ ทั้งหมด คงจมน้ำจนมิด แต่ผมไม่เชื่อว่าจะจมแบบถาวร แล้วแต่เขตพื้นที่ด้วยล่ะนะ เตรียมตัวกันไว้ได้ แต่ไม่ต้องถึงกับตื่นตระหนก เอาแค่ตระหนักพอ ให้รู้ว่าหากเกิดเหตุแล้วเราจะต้องทำอย่างไร ติดต่อใคร ที่ไหน สำคัญคือจะไปอยู่ตรงไหน ถ้าจะให้ลงรายละเอียดไปอีกก็ต้องคุยถึงถุงยังชีพว่าภายในควรมีอะไรไว้บ้าง พวกขี่จักรยานทางไกลแบบทัวริ่งคงเข้าใจดี เพราะจะพกเฉพาะของที่จำเป็นต้องใช้จริงๆ

   เช้า กลางวันร้อนจัด เย็นฝนตก ค่อยคลายร้อนไปได้หน่อย สภาพอากาศแบบนี้เริ่มป่วนไปทั่วโลก หรือจะเป็นการแจ้งเหตุเตือนถึงมหันตภัยว่าเริ่มคืบคลานเข้ามาใกล้ตัวเราแล้ว
Title: Re: มีค 54 13 100 กม 21 แนวทางการช่วยเหลือประเทศญี่ปุ่นจากมหัตภัย
Post by: O'Pern on March 23, 2011, 06:00:20 pm
23 มีค 54
   ฝนตกหนักแต่เช้าเลย ตกหนักนานราวชั่วโมงเศษ จากนั้นก็ค่อยซาลง แบบนี้ข้างนอกต้องมีน้ำท่วมขังแน่นอนครับ เป็นโชคดีของชาวฝั่งธนฯ ที่โครงสร้างเป็นแค่ชุมชนเล็กๆ ถึงรถจะติดก็มักจะติดเป็นหย่อมๆ เป็นแค่จุดๆ ผ่านพ้นแล้วก็แล่นได้คล่องตัว เช่นจรัลสนิทวงศ์ วงเวียนใหญ่ ฯลฯ แต่ถ้าเป็นฝั่งพระนครล่ะก็ มั้นจะติดกันแบบวินาศสันตโร เป็นวงแหวนแห่งไฟเลยก็ว่าได้ เรียกว่าอิจฉาคนเดินเลยล่ะ
   ไปถึงที่ทำงาน ฝนยังไม่หาย ผมเอาจักรยานออกขี่จดออเดอร์ลูกค้า ใส่เสื้อฝนตัวเก่ง ไอ้เสื้อตัวนี้แพงมาก ใส่ไม่ค่อยจะคุ้มเลย ดีตรงใส่แล้วสบายตัว ไม่ร้อนอบอ้าว ไม่เหนียวเหนอะหนะติดผิว แปลกดีเหมือนกัน ทั้งๆ ที่เนื้อผ้าของมันคล้ายยางสังเคราะห์ ข้อดีอีกอย่างคือใส่แล้วไม่ต้องซัก แค่ผึ่งๆ ให้น้ำฝนแห้งเป็นอันเสร็จพิธี
   
   ตอนสายผมไปสั่งทำนามบัตรที่โรงพิมพ์ใกล้บ้าน เป็นการพิมพ์แบบเร่งด่วน เพราะพรุ่งนี้ผมจะไปงาน Bangkok International Motorshow เป็นการเปิดตัวของตัวเองครั้งแรกในรอบ 11 ปีหลังจากที่หยุดพักการผลิตนิตยสาร Racing Club ไปในปี 2000
   ปีนี้ผมไปแบบไม่มีบัตรเชิญเหมือนคนอื่นเขา แต่คิดว่าน่าจะขอเขาเข้าไปในงานในฐานะนักข่าวได้ เพราะวันนี้เป็นวันของ VIP หรือแขกผู้มีเกียรติ แต่พรุ่งนี้จะเป็นวันของนักข่าว (Press) และวันถัดไปจะเป็นรอบของประชาชนทั่วไป
   เขินเหมือนกันนะ ไม่ได้ไปงานใหญ่ๆ มานานเป็นสิบปี หยิบเอาสูทมาลองสวม รู้สึกไม่ถนัดเอาเสียเลย เพราะคุ้นเคยกับเสื้อยืดเน่าๆ กางเกงเก่าๆ เสียแล้ว แต่ก็ต้องทำตัวตามน้ำไปครับ เราต้องปรับตัวให้เข้าได้กับทุกสังคม เปิดใจยอมรับสิ่งแปลกใหม่ที่เข้ามาในชีวิตทุกเรื่อง สำคัญอีกอย่างคือ อย่ากลัวการเปลียนแปลง
Title: Re: มีค 54 13 100 กม 21 แนวทางการช่วยเหลือประเทศญี่ปุ่นจากมหัตภัย
Post by: O'Pern on March 26, 2011, 07:15:04 pm
24 มีค 54
   ตื่นแต่เช้า แต่งตัวอย่างหล่อ ใส่สูทลำลองตัวใหม่ที่ไม่เคยใส่ไปไหนมาก่อน แต่ซื้อเก็บเอาไว้นานหลายปีแล้ว ตอนแรกเล่นชุดำทั้งชุด แต่กางเกงผ้าอาจไม่ค่อยคล่องตัวในการก้าวเข้าออกรถ เลยเปลี่ยนเป็นกางเกงยีนส์ในนาทีสุดท้าย เลือกแบบทรงที่ดูเรียบร้อยหน่อย
   ปีนี้เป็นปีแรกที่เขาจัดงานที่ Impact ผมไม่คุ้นที่นี่เลยครับ เข้าไปจอดรถไม่ถูกเลย ขับตามๆ คันหน้าเข้าไป พอถึงจุดรับบัตรก็ตกใจมาก เจอป้ายบอกอัตราค่าจอดรถ 2 ชม แรก 30 บาท จากนั้นก็ชั่วโมงละ 20 บาท
   จ๊ากกก แล้ววันนี้ผมไม่โดนค่าจอดกันเป็นร้อยๆ เชียวหรือวะนี่ เอาวะ ทำใจ มาถึงนี่แล้วนี่หว่า
   เข้าไปงานก็ต้องหาบัตรคล้องคอของ Press กันก่อน ไปจุดลงทะเบียนของสื่อมวลชนทันครับ เจ้าหน้าที่ของ GPI ทำงานดีมากครับ รวดเร็ว ฉับไว มีเอกสารเป็นแผ่นพับ มีเสื้อยืดที่ระลึก และมีการ์ดอะไรก็ไม่รู้ แต่ใส่กล่องโลหะ ดูสวยดี
   จุดนี้เขามีบริการอาหารแบบคอกเทล ให้ลูกไปเลือกกินเอาเอง ให้เขาหัดเข้าสังคมไปด้วยในตัว ส่วนผมนั่งหลบมุมเอาเอกสารมาอ่าน ดูแผนผังของแต่ละบูธ ในงานมีแต่พวกคนใหญ่คนโตในแต่ละวงการเต็มไปหมด หลายคนพูดภาษาอังกฤษกัน ผมก็สอนลูกให้เห็นถึงความสำคัญของภาษาอังกฤษไปด้วย สอนกันนอกสถานที่แบบนี้ เขาถึงจะเห็นความสำคัญอย่างจริงจัง
   ราว 1000 ถึงเปิดงานอย่างเป็นทางการ ผมตรงเข้าบูธของ Mercedes Benz ทันที เพราะมีเพื่อนสนิททำงานอยู่ที่นั่น บูธของ Merc ยังคงสไตล์เดิมๆ คือเป็นบูธสองชั้น ทำหรูหราดีครับ ชั้นบนบริการอาหารอย่างดี อ้อ งานนี้ค่ายรถเกือบจะทุกค่าย จะมีบริการอาหารว่างแบบค็อกเทลกันหมด บริการให้แก่ทุกคนที่มาร่วมงานครับ เรียกว่าเดินถึงซุ้มไหนแล้วหิว หรืออยากกิน ก็หยิบกินได้เลยครับ
   แต่ละค่าย ละคันก็จะมีตัวเด่นของตัวเองอย่างน้อย 1 คัน ชอบแนวไหน สไตล์ใดก็ตรงดิ่งเข้าไปชมอย่างใกล้ชิดได้เลยครับ ค่าย Merc มี SLK ตัวใหม่ น่าตกใจคือภายในสไตล์ Retro ที่ช่องแอร์เป็นวงกลมเหมือน Mazda MX-5 ปี 93 ที่ผมเคยใช้แบบ 100% ผมเห็นแล้วชอบมากนะ ผมชอบสไตล์ของเก่าๆ แบบนี้มาก ไม่น่าเชื่อว่าแนว Retro นี้มันจะฮิตไปได้ ยคุแรกที่ผลิตงานแบบนี้ออกมา ผมยังไม่คิดว่ามันจะฮิต เพราะไอเดียแรกของผมคือกลัวขายไม่ได้ กลัวตลาดไม่รับ เลยออกมาเป็นรถแบบ Limited Edition นั้นคือ Plymouth Plowler เป็นรถแบบ Open Wheel กระแสตอบรับดี เขาเลยออกรุ่น PT Cruizer ที่ชาวบ้านพอจะรับได้ออกมาขาย
   Toyota มีตัวเจ๋งคือ FT-86 ออกแบบมาเอาใจขาดริฟท์ เป็นรถลูกผสมระหว่างรถของทาคุมิ กับรถของบุนตะผู้เป็นพ่อ นั้นคือ เป็นรถขับหลังเหมือน AE86 และใช้เครื่องยนต์ Boxer แนวเดียวกับ Subaru Imperza สุดยอดไหมเล่า ยังไม่ผลิตขายนะครับ แต่รับรอง ออกได้ไม่ถึงเดือนก็ต้องมาจอดในโชว์รูมของ Grey Market ในไทยแล้วแน่นอน
   ไทยรุ่ง ค่ายสร้างรถของไทย ปีนี้เล่นของแรง ทำรถลุยออกมาคล้าย Hummer H1 สะใจดีเหมือนกัน
   BMW มีตัว X1 ที่ผมชอบ ทรงแบบรถ SUV คันไม่ใหญ่นัก ราคาราว 2.1 ล้าน ฝันที่สามารถเอื้อมถึงได้จริง
   Mini มี Country Man เป็นรถแบบ 5 ประตู เบาะหลังกว้างใหญ่ดีครับ เหมาะสำหรับเดินทางไกล เริ่มต้นตั้งแต่ 2.3 ล้านสำหรับรุ่นขับหน้า และ 2.7 ล้านสำหรับรุ่นขับสี่
   Kia มีรุ่น Soul ที่ถูกใจผม รถลักษณะคล้ายกล่องแบบ Nissan Cube แต่รูปทรงดูแมนกว่าเยอะ (ผมว่า Cube เหมาะกับผู้หญิงมากกว่านะ) ราคา 1.38 ล้าน
   Lexus มีตัว Hybrid ชื่อ CT200h เป็นแบบ 5 ประตู คล้าย Mazda 3 วัสดุภายในขั้นดีเลิศ ราคา 2 ล้านกว่าๆ
   Mercedes Benz มีตัวเจ๋งๆ ที่ผมชอบ 2 คัน คันแรกเป็น CLS รถสี่ประตูที่ออกแบบได้สวยที่สุดในงาน เด่นที่กระจกแบบไร้กรอบ ตามมาด้วย SLK ที่หุ่นดีกว่าเดิมเยอะ ดูแมนขึ้นกว่าตัวเก่ามาก
   Chevrolet มีกระบะใหม่ แต่จะขายจริงปลายปี ตอนนี้มีแต่ Cruze ให้เล่นไปก่อน อ้อ อีก 14 เดือน Chevrolet จะเปิดตัวอีก 4 รุ่น ครับ
   Mazda ไม่มีอะไรใหม่ไปกว่า 3 minor change และ กระบะ BT50
   Ford มี Fiesta เป็นตัวชูโรง ตามมาด้วยรถกระบะ ที่ผมขอโวตให้เป็นรถกระบะที่ดูดีที่สุด (เหมาะแก่การขับเอง มากกว่าที่จะซื้อมาให้คนงานใช้ขนส่งของ)
   Suzuki มี Swift เป็นจุดขาย เจ้านี่แหละคือพระเอกของ City Car ตัวจริง สวย ลงตัว ขับดี ราคาประหยัดแค่ 6 แสนกว่าบาท ติดที่ศูนย์บริการน้อยไปหน่อย
   Honda คนแน่นที่สุด เพราะผู้คนอยากสัมผัส Brio ด้วยมือตัวเอง
   Volvo มีรถแวนนำเข้าคันเล็กน่ารัก V50 ราคาล้านต้นๆ
   Nissan จุดพลุด้วยรถไฟฟ้าเต็มรูปแบบชื่อ Leaf เสียบปลั๊กไฟที่บ้านได้เลย วิ่งได้ 200 กม ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง
   Hyundai กระชากใจช่วย Sonata Sport รถสี่ประตูที่หรูเกินกว่าที่จะเป็นรถเกาหลี
   Citroen นำเสนอ DS3 รถ City Car จากฝรั่งเศษ บอกคำเดียวว่าเห็นแล้วต้องเหลียวหลัง
   Audi มี A1 City Car และ Q5 ตัวลุยที่หรูจนไม่กล้าเอาไปลุยลูกรัง
   Benley นำเสนอ Mulsanne รถที่แพงที่สุดในงาน ราคาราว 30 ล้านบาท
   เล่าเท่าที่นึกออกสดๆ นะครับ ในงานของจริงมีรายละเอียดอีกเยอะ ถ้าชอบรถยนต์จริง นี่เป็นงานที่ไม่ควรพลาด ในเอเชีย Motorshow ของไทย เป็นรองแค่ Tokyo Motorshow เท่านั้นเองนะครับ
   
   ขากลับโชคดีไม่ต้องจ่ายเงินค่าจอดรถ ที่ผมคำคำนวนแล้วคงจะต้องจ่ายราว 160 บาท แต่เจ้าหน้าที่ของ GPI เขาให้บัตรจอดฟรีมาตอนลงทะเบียน โชคดีมากๆ
   ขับรถออกจากตึก ก็เลี้ยวขึ้นทางด่วนได้ทันที สุดยอดจริงๆ ถ้าเป็นที่ Bitec ล่ะก็ ต้องมีอีกสัก 30 นาที กว่าจะถึงด่วนบางนา
   ฟันธงได้เลยครับว่า ที่ Impact นี้ดีกว่า Bitec เยอะ

25 มีค 54
   เจอข่าวใหญ่แต่เช้า แผ่นดินไหวที่พม่าใกล้พรมแดนไทยแถวแม่สาย เชียงราย แรงสั่นสะเทือนลงมาไกลถึงกรุงเทพฯ จะรับรู้ได้โดยผู้ที่อยู่ในตึกใหญ่ๆ มันใกล้เข้ามาแล้วหรือนี่
   ไปถึงที่ทำงานแต่เช้า รีบเอาจักรยานออกขี่ไปริมแม่น้ำเจ้าพระยา นั่งฟังเพลงเล่นพร้อมกับมองแม่น้ำไป เห็นชีวิตที่เร่งรีบของคนเมือง ผู้คนอัดแน่นในเรือด่วนเจ้าพระยา มองเขาแล้วก็มองดูตัวเราเองด้วย ชีวิตของเรานี่มันยังไม่ไปถึงไหนเลย เฮ้ออ นึกแล้วไม่ต้องไปโทรใคร ตัวเราเองนี่แหละครับ ที่ยังพยายามไม่มากพอ ยังไม่อดทนมากพอ ความสำเร็จมันเลยยังมาไม่ถึง
   เปิดข่าวทีวีมีแต่เรื่องแผ่นดินไหว
   
   ตลอดบ่ายจนถึงหัวค่ำ ผมใช้เวลาหมดไปกับการอัปโหลดภาพงาน Motor Show ขึ้นเวป เนทผมช้าครับ ออนไลน์จากมือถือ ใช้เวลาไป 6 ชม นานจริงๆ เล่นเอาตาแทบเหล่ ไม่ได้นั่งออนไลน์นานๆ แบบนี้มาหลายปี
Title: Re: มีค 54 13 100 กม 21 แนวทางการช่วยเหลือประเทศญี่ปุ่นจากมหัตภัย
Post by: O'Pern on March 26, 2011, 07:26:21 pm
26 มีค 54
   เช้านี้รีบไปที่ทำงาน จากนั้นก็เอาจักรยานออกขี่ไปสวนสันติชัยปราการที่บางลำพู ขากลับขี่เลียบเลาะคลองหลอดกลับบ้าน ความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่พอจะหาได้เอง ขากลับฝนตก ขี่รถแบบมีลุ้นตลอดทาง เพราะรถล้อเล็กมันลื่นไถลได้่ง่ายมาก
   วันนี้ครบรอบ 1 ปีที่ผมเดินทางไป Moscow ปีที่ผ่านมาผมเดินทางน้อยมากๆ ต่างจากเมื่อหลายปีก่อนลิบลับ งานส่วนตัว เวลาส่วนตัวหดหายไปหมดเกลี้ยง มันเหมือนกับว่าเรายิ่งเดินห่างจากความฝันไกลออกไปทุกทีๆ
   
   ข่าวดังวันนี้คือนักศึกษา ม รังสิต ขับ Porsche ป้ายแดงชนคนร่างขาดสองท่อน แถมท่อนบนมาคาอยู่ในห้องโดยสารตำแหน่งเบาะหน้า เจ้าตัวขับหนีมาจากจุดเกิดเหตุราว 10 กม แล้วทิ้งรถหนี
   และแล้วทางเจ้าหน้าที่ก็แถลงข่าวว่า รถที่ขับมาเป็นรถขโมย ปัดโธ่ แม่งเล่นโครตง่ายเลย ขโมย Porsche ป้ายแดงเนี่ยนะ เจ้าตัวมันยังเป็นนักศึกษา คนเห็นรถมันวิ่งผ่านออกบ่อย
ตำรวจไทย เขาทำได้ทุกอย่าง แถได้ทุกทาง หลบได้ทุกลูก หากผู้ต้องหาเป็นคนมีเงิน

   อีกข่าวคือแผ่นดินไหวที่ลาว ใกล้พรมแดนไทย ไหวราว 4 ริกเตอร์ เรื่องโลกแตกนับวันยิ่งมีกระแสมาแรงขึ้นทุกทีๆ เป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีใครอยากให้เกิด แต่ถ้าเกิด ก็คงเลี่ยงไม่ได้
   แต่อย่าเพิ่งตระหนก มันไม่ได้แตกตูมตามเหมือนในหนัง ในหนังเขาเว่อร์ไปนิด แต่ก็ดีตรงให้เราเห็นภาพที่รุนแรงน่ากลัว เราจะได้เตรียมตัวกันไว้
   เตรียมกระเป๋ายังชีพกันหรือยังครับ
Title: Re: มีค 54 13 100 กม 21 แนวทางการช่วยเหลือประเทศญี่ปุ่นจากมหัตภัย
Post by: O'Pern on March 28, 2011, 06:37:59 pm
27 มีค 54
   ออกจากบ้านแต่เช้า ไปบ้านพี่สาวที่เลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา มีงานทำบุญวันเกิดของพี่เขยผม บ้านนี้เขาชอบจัดงานเลี้ยงพระเช้าครับ ต่างจากบ้านอื่นๆ ที่มักจะเลี้ยงพระเพล
   บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ในชุมชนเมือง ต่างจากบ้านผมที่อยู่ชานเมือง บรรยากาศคนละอย่าง ที่คนแวดล้อมไปด้วยตึก รถติดเช้าติดเย็น แม้จะเดินทางแค่ระยะใกล้ๆ ก็ยังต้องใช้เวลานาน แต่ดีตรงมีทางจักรยานผ่านหน้าบ้าน ขี่สบายดีครับ และมักจะได้เพื่อนร่วมทางเป็นมอเตอร์ไซค์ย้อนศร
   ช่วงสายพาลูกไปงานสัปดาห์หนังสือที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์ บอกตามตรงเลยว่าไม่อยากขับรถไปครับ มันจะต้องติด ต้องจอดยากแน่ๆ แต่วันนี้เราไปกันแต่เช้าเลยพอมีลุ้น
   พูดคุยกับภรรยา และลูกเรื่องการมีวินัยของคนญี่ปุ่นที่เขาเป็นระเบียบกันมากๆ ยังไม่ทันขาดคำ ก็มีรถ Honda CRV ขับมาตีคู่แล้วเบียดเข้าหน้ารถผม จะว่าไปมันก็เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนไทยนะ มันมาแปลกตรงที่ผมเป็นคันเกือบจะสุดท้ายของแถวนี่สิ ทำนองว่า เล็กๆ น้อยๆ กูก็จะเอา ประมาณนั้นแหละครับ
   เอาเข้าจริงก็เป็นไปตามคาดครับ กว่าจะจอดรถได้นี่ไกลมาก ต้องเข้าไปในโรงงานยาสูบและไปจอดเอาไกลมาก แต่ในงานเขามีรถสองแถวใหญ่รับส่งตลอดงาน ยืนรอรถสักพัก คันแรกผ่านมา แน่นมากๆ ผมถามเจ้าหน้าที่ๆ ยืนอยู่ใกล้ๆ ว่ามีรถรับส่งกี่คัน เขาตอบว่า 3 คัน ได้ยินดังนั้น ผมก้าวเท้าเดินเข้างานเองทันที วันนี้อากาศดี เย็นสบาย ไม่มีแดดด้วยล่ะครับ เดินสาวเท้าก้าวเร็วๆ เป็นการออกกำลังกายไปในตัว แต่พอลองเดินแล้วก็พบว่ามันไม่เห็นไกลเท่าไหร่ ราว 500 เมตรได้มั้ง เหงื่อไม่ได้ออกสักหยด
   ขณะกำลังเดินเข้างาน มีคนงานเข็นรถเข็นขึ้นเนิน ผมตรงเข้าไปช่วยเข็น เขาตกใจ แต่ก็หันมาขอบคุณ
   ในงานคราคร่ำไปด้วยผู้คน ไปกับลูก กับภรรยา เลยต้องเดินตามๆ เขาไป กลัวจะคลาดกัน อยู่ในงานไม่นานนัก เป้าหมายของลูกคือหนังสือการ์ตูนเท่านั้น

   กลับมาบ้านตอนบ่าย รีบเปิดทีวี Thai PBS วันนี้มีถ่ายทอดแข่ง BMX จากสระบุรี สนามโครตสวยเลย ทำไมตอนยุคผมเด็กๆ ไม่มีสนามแบบนี้บ้างวะ เป็นคำถามที่ผุดขึ้นมาในใจ แต่ไร้ซึ่งคำตอบ
   เมื่อคืนมีข่าวน้ำท่วมที่นครศรีธรรมราช เกิดจากฝนตกหนักต่อเนื่องนาน ตามมาด้วยดินถล่มตามเคย ไม่ต้องโทษฟ้าดินกลั่นแกล้ง ก็คนเราแม่งไปตัดไม้ไถป่าจนหน้าดินมันอุ้มน้ำไว้ไม่ไหว
   บ้านใครอยู่ในเขตน้ำท่วม ก็เตรียมตัวไว้ได้เลยครับ ท่วมอีกแน่นอน ระบบบ้านป้องกันน้ำท่วมของผมที่ทำไว้ก็มีคนนำไปต่อยอดเรียบร้อยแล้ว เขาใช้ถังน้ำมัน 200 ลิตรวางและใช้เหล็กรัดทำเป็นแพ ก็โอเคดีครับ แต่เขาไม่ได้เอาไอเดียของผมไปอย่างเต็มระบบ คือยังไม่ได้เผื่อตอนแพแตก หากโดนน้ำซัดอย่างแรง

   ฤดูกาลจะไม่ตรงตามวันเวลาอย่างเดิมอีกต่อไปแล้ว เมืองร้อนจะเริ่มเย็น และในทางกลับกันประเทศที่หนาวเย็นก็จะอุ่นขึ้น เตรียมตัวเตรียมใจกันไว้ หิมะตกในเวียดนามก็ยังเกิดขึ้นแล้ว ในไทยเรายังไม่มี ส่วนพม่านั้นมีหิมะมานานมากแล้ว คนส่วนใหญ่อาจจะยังไม่รู้กัน ไปพม่าก็ได้แค่ไหว้พระ แต่ว่าเขาไม่ได้หรอกครับ การการจะไปดูหิมะที่พม่านั้นยังไม่ใช่เรื่องง่าย มันเป็นดินแดนที่อยู่ในเขตปกครองของชนกลุ่มน้อย คือยังมีสงครามกันอยู่ แปลว่าไปแล้วอาจไม่ได้กลับ
   ตลอดวันนี้มีไอเย็นเหมือนฤดูหนาว ในขณะที่ภาคใต้มีน้ำท่วมเนื่องมาจากฝนตกต่อเนื่องาน บ้านใครก็ใกล้เชิงเขาก็จะมีดินถล่มเป็นของแถม จะไปโทษใครได้ ก็คนเรานี่เองที่ไปตัดไม้ทำลายป่า ทำลายหน้าดิน

28 มีค 54
   ไปถึงที่ทำงานแต่เช้า ปกติผมจะขี่จักรยานไปนั่งเล่นริมเจ้าพระยา แต่วันนี้เจ้าของร้านออกมาเปิดร้านเร็ว ก็เลยได้ทำงานเร็ว เริ่มจากยกของจากโกดัง ก็เหมือนปกติทุกๆ วัน แต่วันนี้จะเป็นอีกวันที่ผมต้องจดจำ
   ยกของอยู่คนเดียวขึ้นรถกระบะ ยกก็ไม่เยอะเท่าไหร่ อากาศก็เย็นสบาย เหงื่อซึมนิดๆ ยกจนเหลือสินค้าอีกแค่ 2 ลังเท่านั้นก็เสร็จ แต่ผมเกิดเจ็บหลังจี๊ดขึ้้นมาจนหมดแรงร่างกายแทบทรุดลงไปกองกับพื้น
   อาการเก่ากำเริบอีกแล้วหรือวะนี่ แปลกที่ทำไมยกของแค่นิดเดียวถึงออกอาการเร็วนัก ผมเจ็บหลังครั้งแรกเมื่อราว 3 ปีก่อน เกิดจากการยกของหนักต่อเนื่องนาน 3 เดือน กว่าจะหายก็นานพอดู แล้วหลังจากนั้นก็มีการเจ็บหลังอีกครั้ง เกิดจากการยกของอีกเช่นกัน แต่คราวนี้ยกแค่เดือนเดียว รอจนมันหาย แล้วก็เจ็บอีก ตอนนี้ยกแค่วันเดียวเองก็เจ็บแล้ว จนมาถึงวันนี้แหละครับ ยกของอยู่แค่ 30 นาทีก็ออกอาการ
   เอาล่ะสิกู อาทิตย์นี้มีงานแข่งจักรยานที่โคราชด้วย ตอนแรกก็ลังเล แต่พอหลังเจ็บปุ๊บ เกิดเสือกอยากไปขึ้นมาทันที
   เจ็บหลังคราวนี้มันออกอาการเยอะมาก เดินแทบไม่ไหว ยกของนิดหน่อยก็ยังไม่ได้ ก้มลงถอดรองเท้าตัวเองก็ยังไม่สำเร็จ ขี่จักรยานไม่ต้องพูดถึง สะเทือนนิดเดียว เจ็บจี๊ดถึงดวงใจ
   กลางวันไปธนาคารก็ต้องเดินขึ้นบันไดแบบกระเผลกๆ เพราะบิดตัวนิดเดียวก็เจ็บแทบน้ำตาร่วง
   บ่ายพาลูกไปงานสัปดาห์หนังสืออีกครั้ง เพราะหนังสือที่เขาซื้อมามันพิมพ์กลับหัว เลยนำไปเปลี่ยน พบว่าวันนี้คนหนาแน่น แต่ก็ยังน้อยกว่าเมื่อวานเยอะมาก พอมีเวลาเดินดูหนังสืออ่านส่วนตัว วันนี้เลยจัดมาชุดใหญ่ราว 8 เล่ม กะจะอ่านกันให้อิ่มกันไปเลย ส่วนลูกได้หนังสือมาอีกเพียบ
   เดินกันจนถึงเย็น ลูกขอกินที่ร้าน Black Canyon เพราะเมื่อวานคนแน่นสุดยอด ต้องต่อคิวกันเป็นสิบคิว มิวกินข้าวผัดอเมริกัน ส่วนผมเน้นของอ้วนน้อย กินยำวุ้นเส้น
   ช่วงใกล้ถึงบ้าน ลงทางด่วนแล้วต้องกลับรถ จังหวะเลี้ยวลำตัวจะเอนออก ผมเจ็บวาบทันที แต่ก็ต้องฝืนใจโหนพวงมาลัยเอาไว้ เจ็บจนบรรยายไม่ถูก น้ำตาเล็ด อีกสักพักมาถึงบ้านก็ยังลุกขึ้นจากเบาะนั่งไม่ไหว ต้องค่อยๆ บิดตัวทีละน้อยๆ ใช้เวลาในการออกจากรถราว 2 นาที จากเดิมใช้แค่ 1 วินาที
   นี่ไม่ใช่ครั้งแรก และแน่นอน มันคงไม่ใช่ครั้งสุดท้าย
Title: Re: มีค 54 13 100 กม 21 แนวทางการช่วยเหลือประเทศญี่ปุ่นจากมหัตภัย
Post by: O'Pern on March 29, 2011, 06:16:41 pm
29 มีค 54
   ผมขยับเขยื้อนร่างกายลำบากมาก นั่ง ยืน นานๆ จะเจ็บบริเวณก้นกบ เดินเหินไปไหนไม่คล่องตัว กลางดึกเมื่อคืนอากาศหนาวเย็น ผมยิ่งปวดหลังมากขึ้น จะลุกขึ้นมาหยิบขวดน้ำดื่มก็ยังต้องใช้เวลาอยู่นาน นอนแล้วมันลุกไม่ขึ้นครับ ผมนอนพื้นด้วยกระมัง ถ้านอนเตียงคงจะลุกขึ้นลงได้สะดวกกว่า
   สุดท้ายต้องคลานครับ ใส่ท่อนแขนยันพื้นก็พอจะไปไหนมาได้ได้เร็วหน่อย แต่กลัวคนอื่นมาเห็น ผมไม่สบาย เจ็บป่วยอะไร ไม่ค่อยมีใครรู้หรอก
   แม้จะเจ็บหลังมาหลายครั้ง แต่ผมรู้สึกว่าครั้งนี้มันเจ็บมากกว่าทุกครั้ง บิดตัวแค่นิดเดียวก็เจ็บแปล็บ ใส่กางเกงยังยาก กางเกงในยิ่งยากเข้าไปใหญ่ ผูกเชือกรองเท้านี่ยากที่สุด
   มันเลยทำให้ผมยิ่งไม่ชอบงานแบบใช้แรงงานเข้าไปใหญ่ วันนี้จึงคิดธุรกิจได้อีกอันหนึ่ง นี่ผมคิดมาหลายธุรกิจมากแล้วนะครับนี่ ยังไม่ได้ลงมือทำอะไรสักอย่าง เรียกว่าได้แต่คิด มีคนแบบผมเยอะมากครับที่ได้แต่คิด ไม่กล้าลงมือทำ อ้างสารพัดสาเหตุเข้าข้างตัวเองว่าไม่พร้อมอย่างโน้นอย่างนี้ ความสำเร็จมันเลยยังมาไม่ถึงตัวเองไงครับ สำหรับตัวผมเองแล้ว ไม่มีข้ออ้างแก้ตัวอะไรครับ แค่รอความพร้อม
   
   ภาคใต้ของไทยเราโดนน้ำท่วมมาหลายวันแล้ว มาแนวเดียวกับทางโคราชที่โดนเมื่อกลางปีที่แล้วน่ะครับ คือเกิดจากฝนตกหนักต่อเนื่องนาน สภาพตัวเมืองอยู่ในอ้อมกอดของขุนเขา พอฝนลงมาเยอะ ป่าไม้ในเขาเหลือน้อย มันก็อุ้มน้ำไว้ไม่ไหว ไหลลงเข้ามาตรงกลางแอ่ง ถ้าคิดให้ดี นี่คือเรื่องธรรมดาเสียด้วยซ้ำไป แต่ในใจก็ต้องสงสารประชาชนชาวบ้าน ยังไงก็ต้องช่วยเหลือกันเท่าที่จะทำได้ แต่ก็ต้องเอาผิดคนตัดไม้ทำลายป่าด้วยนะครับ ที่ผ่านมาจับได้แค่คนตัด และยึดกองเศษไม้ไว้ ถ้าเป็นประเทศที่เจริญแล้วเขาจะสงสัยกันอย่างมากว่าทำไมจับนายทุนไม่ได้ แต่ที่นี่เมืองไทย เลยไม่ต้องสงสัยอะไรมาก

   วันนี้ญี่ปุ่นประกาศเตือนภัยนิวเคลียร์ระดับสูงสุดแล้ว น่าตกใจจริงๆ ครับ คิดไม่ถึงว่าจะรั่วไหลออกมาได้มากขนาดนี้

   ผมไปโพสถามเรื่องเจ็บหลังในเวปจักรยาน เพื่อนๆ ทุกคนล้วนไล่ให้ไปหาหมอกันหมด ผมขอบคุณในความหวังดี ในคำแนะนำ แต่ผมไม่อยากไป รู้สึกว่ามันยังไม่หนักหนา ชีวิตผมเจอหนักกว่านี้ยังไหว แค่เจ็บหลัง เรื่องเล็กน้อยมากๆ
   ผมจะรักษาด้วยตัวเอง พอจะมีวิธีที่คิดเอง หากลองแล้วได้ผล หรือมันดีขึ้นเร็ว จะนำมาเล่าครับ
Title: Re: มีค 54 13 100 กม 21 แนวทางการช่วยเหลือประเทศญี่ปุ่นจากมหัตภัย
Post by: O'Pern on March 30, 2011, 05:41:35 pm
30 มีค 54
   อาการเจ็บหลังดีขึ้น ผมไม่ต้องคลานตอนดึกๆ แล้ว แต่ยังคงลุกขึ้นยืนได้ยากอยู่ โดยรวมถือว่าดีกว่าเมื่อวานเยอะมาก แนวโน้มไปได้สวย แสดงว่ามาถูกทางแล้ว
   ไปถึงที่ทำงานเช้า แต่ไม่ได้เอาจักรยานออกขี่ เพราะยกเข้าออกจากรถไม่ได้ ยังเจ็บหลังอยู่ ไม่อยากไปซ้ำเติมมัน รอให้หายดีก่อนค่อยยกจะดีกว่า
   ช่วงเช้าเดินเล่นในสวนสาธารณะเล็กๆ แทนครับ ในสวนมีคนจรจัดมากมาย ตอนเด็กๆ ผมเคยคิดรังเกียจคนเหล่านี้ แต่พอโตขึ้นมาก็เริ่มฉลาดขึ้น เขาก็คนเหมือนเรานี่แหละครับ ต่างกันแค่จนกว่า โอกาสน้อยกว่า แต่ลึกๆ ในใจของเขาหลายๆ คนอาจดีกว่าพวกคนรวยๆ ขับรถหรูหราเสียอีก
   เดินผ่านคนเหล่านี้ ถ้ามีโอกาสสบตากัน ผมก็จะยิ้มให้ บ้างก็มองผมแบบแปลกๆ บ้างก็ยิ้มตอบ คนไทยส่งยิ้มเป็นการทักทาย ไม่นิยมพูดสวัสดีกันเท่าไหร่ ต่างจากประเพณีฝรั่ง ที่มักจะพูด Hello / Hi / Good Morning ให้กันโดยไม่จำเป็นต้องรู้จักกันมาก่อน แต่แปลกที่ฝรั่งเขาไม่ค่อยจะยิ้มให้กันเท่าไหร่ คือแค่พูดทักทายพอเป็นมารยาทเล็กๆ น้อยๆ
   
   กลับมาบ้านตอนบ่าย นั่งอ่านหนังสือเล่นกับกับลูก หยิบเอาหนังสือกองโตที่ซื้อมาจากงานสัปดาห์หนังสือมาไล่อ่าน นี่คือการสอนลูกให้อ่านหนังสือของผมครับ คือเป็นการสอนด้วยวิธีทำให้ดู อยากให้ลูกรักการอ่าน เราก็ต้องอ่านไปด้วย เขาจะดูเราเป็นแบบอย่างครับ
   เห็นเด็กเล่นเกมมือถือ ก็ไม่ต้องไปว่าใครที่ไหน มีสองเหตุผล 1 เขาว่าง ไม่มีอะไรทำที่สนุกกว่าเล่นเกม 2 พ่อแม่เอาแต่กดเกม กดแชท วิธีแก้คือเบนความสนใจ หากิจกรรมที่สนุกกว่าเล่นเกม ยกตัวอย่างลูกผม ช่วงปีก่อนเขาชอบยืมโทรศัพท์ผมเล่นเกม ผมเดินสายกลาง ให้เล่นบ้างนิดหน่อย แต่ถ้าดูแล้วมันชักจะเยอะไป ผมจะชวนเขาเล่นโดมิโน เกมเศรษฐี หมากฮอส ลองถามลูกดูเถอะครับ ผมว่าเกือบจะทุกคนเขาชอบเล่นเกมแบบมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นมากกว่าเล่นเกมกด
   ผมไม่ห้ามลูกเล่นเกมครับ เขาเกิดมาในยุคดิจิตอล เกิดมาก็เจอ Mcintosh แล้ว เจอ ipad นี่ยิ้งชอบเลย เขามองว่าเป็นเครื่องเล่นเกมอันหนึ่ง

   คนใน msn คุยกับผมเรื่องรถ Porsche ว่าชนคนอีท่่าไหนถึงร่างกายขาดสองท่อนได้ แหม ถามตรงเป้า ถามตรงจุด เลยจัดให้สักชุด
   รถชนคนขณะคนยืน จุดแรกที่โดนตัวคนคือกันชนหน้า ถ้าเป็นการชนที่ความเร็วต่ำ ลำตัวคนจะล้มลงบนฝากระโปรง จึงเป็นที่มาของฝากระโปรงแบบอลูมินั่ม มันออกแบบมาแบบนี้เพราะมีกฏของความปลอดภัยในแต่ละประเทศที่เขาบังคับไว้ และกฏข้อนี้เองที่ทำให้รถแบบไฟหน้า pop up สูญพันธุ์ไป เพราะตอนไฟกระดกขึ้นแล้วชนคน คนจะบาดเจ็บอย่างมาก (นี่คืออีกเหตุผลที่ผมเก็บรถ 180SX เอาไว้ ไม่ขายสักที)
   กลับมาที่ Porsche ต่อ รถขับมาด้วยความเร็วสูงมาก ต้องเกิน 200 แน่นอน พอกันชนโดนหัวเข่าเหยื่อปุ๊บ ลำตัวก็จะล้มลงบนรถ (ถ้ารถมาช้า ก็จะล้มลงฝากระโปรง) แต่รถคันนี้มาเร็วมากๆ ลำตัวเลยไปชนเอากระจกหน้าเข้า แรงเหวี่ยงส่งให้ลำตัวชนกับคานบนของกระจกบังลมหน้าจนลำตัวขาดสองท่อน ซ้ำกับกระจกแตก ลำตัวท่อนบนจึงตกเข้าไปอยู่ในรถ ท่อนล่างก็กระเด็นข้ามหลังคารถไป
   ส่วนประเด็นที่ชนแล้วยังขับหนีไปอีก 10 กม ทั้งๆ ที่มีลำตัวท่อนบนของศพอยู่นั้น ผมว่ามันน่าจะเกิดจากความตกใจอย่างมาก เด็กเพิ่งอายุ 19 ไม่น่าจะเคยเจอเรื่องขนาดนี้มาก่อน ชนก็ตกใจแล้ว นี่ยังรถพังกระจกหน้าโบ๋ และด้วยความเร็วขนาดนั้น (เดากว่าเกิน 200 แน่ๆ) ขับแค่ 10 กม นี่ใช้เวลาแป๊บเดียวเองนะครับ มันไม่ได้รถติดแล้วขับเรื่อยเปื่อยเหมือนอยู่ในเมืองนะ

   เข้าเวปจักรยาน รีบอ่านกระทู้ที่ผมโพสถามเรื่องอาการเจ็บหลัง โอ้โห มีคนเป็นแบบผมหลายคนเลย มาเล่าประสพการณ์กันเพียบ รุนแรงกว่าผมก็เยอะ กลายเป็นว่าแบบผมน่ะ คืออาการอ่อนสุด ทุกคนยังตบท้ายคำแนะนำให้ไปหาหมอ แต่วันนี้ผมอาการดีขึ้นแล้ว เลยเอามาเป็นข้ออ้าง สักพักจะเข้าไปช้อนตอบขอบคุณในกระทู้อีกที
Title: Re: มีค 54 13 100 กม 21 แนวทางการช่วยเหลือประเทศญี่ปุ่นจากมหัตภัย
Post by: O'Pern on March 31, 2011, 04:50:08 pm
31 มีค 54
   อาการเจ็บหลังดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เริ่มขึ้นลงจากรถได้ เดินเร็วๆ ได้ ขึ้นบันไดได้โดยไม่รู้สึกเจ็บ จะมีอาการหลงเหลืออยู่คือนอนแล้วลุกขึ้นยาก (นอนพื้น) และอีกอย่างที่ไม่สามารถทำได้นั่นคือยกของ
   เช้านี้ไม่ได้ขี่จักรยานครับ ยกเข้าออกรถไม่ไหว ช่วงเช้าไปนั่งเล่นที่สวนสาธารณะแทน จัดแต่งสวยดีครับ แม้จะเป็นเพียงสวนหย่อมไม่ใหญ่มาก แต่ก็มีคนมาวิ่งออกกำลังกายบ้าง ทำให้ดูไม่น่าเบื่อ
   ตลอดวันนี้ผมทำงานโดยไม่ต้องยกของสักนิด น่าจะเป็นหนึ่งในไม่กี่วันในรอบหลายปี ในเมื่อยกของไม่ได้ ก็ไม่มีประโยชน์อะไร กลับมาบ้านตอนกลางวัน ลูกบอกอยากกินอาหารข้างนอก เบื่อข้าวบ้านแล้ว ก็โอเคครับ ที่บ้านผมมีแต่พวกผัก ปลา สองพ่อลูกพากันไปกินที่ร้าน Terrace ร้านอาหารอย่างเป็นทางการของห้างเซ็นทรัล มิวเลือกสั่งข้าวผัดอเมริกันคุณหนู ผมสั่งยำเห็ด และเปาะเปี๊๊ยะสด สั่งแค่สามอย่าง คิดเงินออกมาสามร้อยกว่าบาท รวมค่าบริการอีก 10%
   
   กลางวันอากาศร้อนอย่างเห็นได้ชัด แดดแรงเปรี๊ยงเลย ยังดีพอมีลมเย็นพัดโชยบ้าง แต่พรุ่งนี้สิ ไอ้ไอเย็นคงจะมลายหายไปหมดแล้ว เอาวะ รออีกสัก 1 สัปดาห์ พยากรณ์อากาศเขาว่าอาทิตย์หน้าจะมีเย็นอีกรอบ
   ไอเย็นน่ะพวกคนเมืองเขาชอบ แต่ก็เห็นในชาวภาคใต้ที่โดนมรสุม โคลนถล่ม น้ำท่วม เลยได้ไอเดียใหม่ ผมออกแบบบ้านสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกไว้แล้ว มีถุงยังชีพเตรียมรับภัยพิบัติแล้ว ก็เอาไอ้ถุงนี้แหละครับ เอาไปใส่เก็บไว้ในแพของบ้าน เรียกว่าถ้าน้ำมา บ้านก็ลอยสูงขึ้น และถึงแม้จะถนนถูกตัดขาด ถ้าแพนี้ยังอยู่ เราก็เปิดช่องอากาศในแพ หยิบของยังชีพออกมาใช้ได้ สำคัญคือเกาะแพให้อยู่ก็แล้วกัน แพนี้จะมีหลายขนาด และสามารถถอดประกอบได้ กรณีแพแตก ก็ยังคงมีสภาพเป็นแพเล็กๆ พอจะขึ้นไปนอน และพักอาศัยอยู่บนแพนั้นได้ ยังไงก็ดีกว่าเกาะอยู่ตามต้นไม้ หรือนอนแช่อยู่ในโคลนล่ะน่า
   แต่ช่วงนี้ชาวบ้านเขาวิกฤตกัน น้ำท่วมจนถนนขาด สะพานขาด การส่งเสบียงและความช่วยเหลือเข้าถึงช้า ก็ต้องทำใจยอมรับและช่วยเหลือตัวเองไปก่อน วิชาลูกเสือที่สอนการยังชีพในป่าตอนเรียนประถมยังจำกันได้ไหมครับ การผูกเชือกเป็นเงื่อนต่างๆ หุงข้าวในกระบอกไม้ไผ่ และอีกสารพัดอย่าง มันใช้ได้จริงในสถานการณ์แบบนี้ครับ
   ผมขี่จักรยานทัวริ่ง นอนเต้นท์ เลยพอเข้าใจการใช้ชีวิตกลางแจ้ง จะเป็นการดีไหมครับที่จะเพิ่มหลักสูตรการยังชีพในป่า ก็ในเมื่อเกิดอุทกภัยแล้วทางการช่วยเหลือช้า พวกเขาจะได้ช่วยเหลือตัวเองได้ สอนกันแบบจริงจังเลยนะครับ ไม่เอาแบบลูกเสือแล้วนะ เอาแบบกินอยู่หลับนอนกันจริงๆ เลย ให้พวกปราชญ์พื้นบ้านมาสอน จะได้เรียนรู้รายละเอียดต่างๆ ได้ดีกว่าพวกนักแคมปิ้ง เพราะพวกนี้ส่วนใหญ่จะพึงพาอุปกรณ์หรูหราเสียเป็นส่วนใหญ่
   อ่านไอเดียผมแล้วคิดว่าอันไหนเข้าท่า นำไปใช้ได้ทันทีเลยครับ ไม่ต้องขอ พวกเรื่องที่เป็นประโยชน์นี้เราต้องช่วยกันคิดช่วยกันทำครับ และยังมีไอเดียเพื่อการพัฒนาบ้านเมืองอีกเยอะ ไทยเรายังมีศักยภาพสูงมากๆ สามารถพัฒนาไปได้แบบก้าวกระโดดภายในไม่กี่ปี
   ประเด็นคืออยากให้เอาไอเดียผมไปใช้เต็มระบบ หรือถ้ามีการปรับปรุงเปลียนแปลง ผมขอมีส่วนร่วมสักนิดครับ ไม่ได้หวังอะไรไปมากกว่าอยากเห็นประเทศไทยพัฒนาขึ้นในยุคที่ผมยังมีชีวิตอยู่
   หรือถ้าเป็นนักเขียนโปรแกรมก็น่าจะสร้างเกมแบบ Simulator ออกมา เป็นเกมสร้างเมือง แต่ไม่ได้แข่งกับการหาเงินนะ ผมคิดเกมนี้เพื่อมาสู้กับภัยพิบัติแทน สร้างแล้วก็ลองสู้กับฝนตกสัก 7 วัน ดูว่าจะมีน้ำท่วมขังตรงไหนอย่างไร มีดินโคลนถล่มด้วยไหม และสุดท้ายถ้าทำได้ก็แข่งกับแผ่นดินไหวด้วยว่า จะต้องสร้างเมืองแบบไหน ถึงจะทนแผ่นดินไหวได้ (จะทนได้สักกี่ริกเตอร์ก็ว่าไป)
   
   ผมยังมั่นใจว่าไทยเราพัฒนาไปได้อีกไกล และไปได้เร็วมากๆ อีกด้วย แต่เราต้องช่วยกันทุกฝ่ายนะครับ