Author Topic: เรื่องทัศนคติครับ  (Read 11026 times)

Offline ToppyRacingClub

  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 1382
เรื่องทัศนคติครับ
« on: September 17, 2009, 01:03:28 pm »
FW Mail :yociexpress09:

ผู้หญิงคนหนึ่งประสบอุบัติเหตุ  ทำให้ต้องตาบอดทั้งสองข้าง
และเธอก็ทุกข์ทรมานกับการสูญเสียการมองเห็น
แต่สามีเธอก็พยายามปลอบใจ และให้กำลังใจเธอตลอด
พยายามสอนให้เธอใช้ประสาทสัมผัสให้มากขึ้น
ที่ทำงานของเธอกับสามีอยู่คนละทางแต่เขาก็ขับรถไปส่งและไปรับอยู่เสมอ
จนวันหนึ่งสามีเธอพูดกับเธอว่า
"ผมรู้สึกเหนื่อย  อยากให้คุณลองพยายามขึ้นรถเมล์ไปทำงานเอง"
โดยที่เขาไม่ต้องไปรับไปส่งได้ใหม
   
นาทีนั้น ?................
เธอรู้สึกเหมือนโดดเดี่ยวและน้อยใจสามีเธอแต่เธอก็พยายามทำตามที่เขาขอ

เธอพยายามขึ้นรถเมล์เอง พยายามไปทำงานด้วยตัวเอง
จนในที่สุดเธอก็สามารถทำได้

วันหนึ่งก่อนที่เธอจะลงรถไปทำงานตามปกติ
คนขับรถเมล์ก็เข้ามาจับแขนเธอและพูดกับเธอว่า "ผมช่างอิจฉาคุณผู้หญิงจริงๆครับ"

เธอก็เลยถามว่า "อิจฉาเธอเรื่องอะไร"
คนขับรถเมล์ก็เลยบอกว่า "สามเดือนที่ผ่านมา ผมจะเห็นสุภาพบุรุษคนหนึ่งเขาจะขึ้นรถเมล์ตอนเช้า มานั่งตรงเบาะหลังคุณ เฝ้ามองดูคุณด้วยความห่วงใยและตามคุณลงรถไป
และเฝ้าดูคุณเดิน....เข้าไปที่ทำงานอย่างห่วงใย
ทุกๆเย็นเขาก็จะมาเฝ้ารอดูคุณขึ้นรถ และคอยดูคุณจนคุณลงรถ"

พอเธอได้ยินดังนั้น เธอก็น้ำตาไหลด้วยความตื้นตัน..และสำนึกผิด

เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาไม่เคยทิ้งเธอไปไหน
เขายังอยู่ดูแลเธออย่างใกล้ชิด
เขาเหนื่อยยิ่งกว่าตอนที่เขาต้องคอยมารับมาส่งเธอซะอีก

เธอหวนนึกถึงคำพูดเขาที่บ่นลอยๆออกมาบ่อยๆว่า
ชีวิตคนไม่แน่นอน อาจตายวันนี้ พรุ่งนี้ ได้ทุกเมื่อเลยนะ..

ดูอย่างคุณสิ...เมื่อวานยังมองเห็น วันนี้ คุณมองไม่เห็นแล้ว....
 
เธอคิดน้อยใจเขามาตลอด 3 เดือน ที่คิดว่าเขาเบื่อรำคาญการเป็นคนตาบอดของเธอ...

ณ.วันนี้เธอรู้แล้วว่า ....เขากลัวว่า วันนี้ พรุ่งนี้ เขาจะตายไป...แล้วเธอจะไม่สามารถ ไปไหนมาไหน
หรือมีชีวิตอยู่เองได้ถ้าขาดเขา

Offline O'Pern

  • fear is a mind killer
  • Administrator
  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 7411
  • don't let your fear stand in the way of your dream
    • racing club
Re: เรื่องทัศนคติครับ
« Reply #1 on: September 17, 2009, 01:44:57 pm »
ท๊อปมาแนวซึ้ง อิอิ
i drive / i race / i test / I drift
I row / I run / I fun / I ride

Offline zpeed

  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 663
  • Gasoline is in my blood
Re: เรื่องทัศนคติครับ
« Reply #2 on: September 19, 2009, 08:00:50 am »
Why I can read TopRacingClub thai font with out changing Encoding?  But have to change everybody else to Thai font?
Good Driver can make slow car go fast but Fast car won't make slow driver fast.

Offline ToppyRacingClub

  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 1382
Re: เรื่องทัศนคติครับ
« Reply #3 on: September 19, 2009, 10:09:31 am »
Why I can read TopRacingClub thai font with out changing Encoding?  But have to change everybody else to Thai font?

ของผม ถ้าไม่ใส่ password อ่านของทุกคนได้เลย แต่ถ้าใส่ password แล้ว อ่านไม่ได้ ต้อง Encoding ตลอดครับ :yocifans009:

Offline zpeed

  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 663
  • Gasoline is in my blood
Re: เรื่องทัศนคติครับ
« Reply #4 on: September 19, 2009, 10:59:15 am »
Aha :JFBQ00224070614A:  Log out to read then log in to reply.
O'pern can you fix the problem?
Good Driver can make slow car go fast but Fast car won't make slow driver fast.

Offline O'Pern

  • fear is a mind killer
  • Administrator
  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 7411
  • don't let your fear stand in the way of your dream
    • racing club
Re: เรื่องทัศนคติครับ
« Reply #5 on: September 23, 2009, 02:15:52 pm »
ขอบคุณที่ช่วยแจ้งปัญหา และวิธีแก้ไขครับ ที่ผ่านมาได้ยินแค่บ่นว่าอ่านไม่ได้ ผมเองก็เลยไม่รู้จะทำอย่างไรดี

รับทราบปัญหาแล้วครับ จะรีบแจ้งให้รุ่นน้องที่ช่วยดูแลเวปจัดการให้ครับ
i drive / i race / i test / I drift
I row / I run / I fun / I ride

Offline ToppyRacingClub

  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 1382
Re: เรื่องทัศนคติครับ
« Reply #6 on: October 03, 2009, 09:34:58 pm »
FW Mail  :yociexpress01:

ลูกชายนักธุรกิจใหญ่มีชื่อเสียงระดับประเทศคนหนึ่ง
เพิ่งสำเร็จการศึกษากลับมาจากเมืองนอก
ยังไม่ทันทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
ก็ถูกผู้เป็นแม่ขอร้องให้บวชเรียนเสียก่อน

เพื่อเห็นแก่แม่..
บัณฑิตใหม่หมาดจากเมืองนอกจึงบวชอย่างเสียไม่ได้
เมื่อบวชที่วัดใหญ่ในกรุงเทพฯแห่งหนึ่งเสร็จแล้ว
ผู้เป็นแม่จึงพาไปฝากให้จำพรรษาอยู่กับ
พระวิปัสสนาจารย์รูปหนึ่งที่วัดป่าแถวภาคอีสาน

พระหนุ่มการศึกษาสูงมาจากตระกูลผู้ดี
มีแต่ความสุขสบายเมื่อมาอยู่วัดป่า
กว่าจะปรับตัวได้จึงใช้เวลานานเป็นแรมเดือน

แต่ก็นั่นแหละกว่าจะ'นิ่ง'
ก็ทำเอาพระร่วมวัดหลายรูปพลอยอิดหนาระอาใจไปตามๆกัน

ปัญหาที่ทำให้พระทั้งวัดเหนื่อยหน่ายจนนึกระอาก็เพราะ
พระใหม่มีนิสัยชอบจับผิดและชอบอวดรู้
ยกหู ชูหางตัวเองอยู่เป็นประจำ

วันแรกที่มาอยู่วัดป่าก็นึกเหยียดพระเจ้าถิ่นทั้งหลายว่า
ไม่ได้รับการศึกษาสูงเหมือนอย่างตน
ออกบิณฑบาตได้อาหารท้องถิ่นมาก็ทำท่าว่าจะฉันไม่ลง
เห็นที่วัดใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าดแทนไฟฟ้า
ก็วิพากษ์วิจารณ์เสียเป็นการใหญ่หาว่า
ล้าสมัยไม่รู้จักใช้เทคโนโลยี

ตอนหัวค่ำมีการทำวัตรสวดมนต์เย็นก็บ่นว่า
ท่านรองเจ้าอาวาสทำวัตรนานเหลือเกิน
กว่าจะสิ้นสุดยุติได้ก็นั่งจนขาเป็นเหน็บชา

ครั้นพอถึงเวรตัวเองล้างห้องน้ำเข้าบ้าง
ก็ทำท่าจะล้างอย่างขอไปที
ล้างไปบ่นไปประเภทตูจบปริญญาโทมาจากเมือง
นอกต้องมาเข้าเวรล้างห้องน้ำร่วมกับใครก็ไม่รู้

โอ้ชีวิต!ความสำรวยหยิบโหย่งทำให้พระใหม่ไม่พอใจสิ่งนั้นสิ่งนี้
ถือดีว่าตัวเองมีชาติตระกูลสูง
มีการศึกษาสูงกว่าใครในวัดนั้น
ผิวพรรณก็ดูสะอาดสะอ้านชวนเจริญศรัทธากว่าพระรูปไหนทั้งหมด

มองตัวเองเปรียบกับพระรูปอื่นแล้วช่างรู้สึกว่า
ตัวเองเหนือกว่าทุกประตู
นึกแล้วก็ยิ้มกระหยิ่มอยู่ในใจกลับเข้ากุฏิเมื่อไหร่
ก็เอาปากกามาขีดเครื่องหมายกากบาทบนปฏิทินนับถอยหลัง
รอวันสึกด้วยใจจดจ่อ

อยู่มาได้พักใหญ่พระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็สังเกตเห็นว่า
ท่านเจ้าอาวาสวัดป่าแห่งนี้ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา
ซ้ำนานๆครั้งจะออกมาให้โอวาทกับลูกศิษย์เสียทีหนึ่ง

วันๆไม่เห็นท่านทำอะไรเอาแต่กวาดใบไม้ เก็บขยะ ซักผ้าเอง
(เณรน้อยก็มีไม่รู้จักใช้) สอนก็ไม่สอน
การบริหารวัดก็มอบให้ท่านรองเจ้าอาวาสเป็นคนจัดการไปเสียทุกอย่าง

เห็นแล้วเลยนึกร้อนวิชาเสนอให้ปรับ
โน่นลดนี่สารพัดที่ตัวเองเห็นว่าไม่เข้าท่าล้าสมัย
รวมทั้งให้เสนอให้วัดใช้ไฟฟ้าแทนตะเกียงด้วย

อีกข้อหนึ่งเพราะตนเห็นว่ายุคสมัยก้าวไกลมามากแล้ว
ไม่ควรจะทำตนเป็นคนหลังเขาให้คนอื่นเขาดูถูก
อีกหนึ่งในข้อวิจารณ์จุดด้อยของวัดทั้งหลายเหล่านั้น
พระใหม่เสนอให้หลวงพ่อเจ้าอาวาส
มีปฏิสัมพันธ์กับพระลูกวัดให้มากขึ้นกว่านี้
สอนให้มากขึ้นเทศน์ให้มากขึ้น

และแนะนำว่าคนระดับผู้บริหารไม่ควรจะทำงาน
อย่างการซักจีวรเองเป็นต้นด้วยตนเอง
ควรจะกระจายอำนาจมอบงานให้คนอื่นทำดีกว่า

เย็นวันนั้นเป็นวันพระสิบห้าค่ำ
หลวงพ่อเจ้าอาวาสมานั่งทำวัตรที่โบสถ์ธรรมชาติกลางลานทราด้วย
ท่านไม่ลืมที่จะหยิบข้อเสนอแนะจากพระใหม่มาอ่าน
ให้พระหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายฟัง
แต่ท่านไม่บอกว่าพระรูปไหนเป็นคนเขียน

อ่านจบแล้วหลวงพ่อก็ยิ้มอย่างมีเมตตาพลางหยิบไมโครโฟนขึ้นมา
แล้วชี้ให้ภิกษุหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลาย ดูหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่ง
ที่นอนอยู่ใต้ม้าหินอ่อนตัวหนึ่งใต้ต้นอโศกที่อยู่ใกล้ๆ

"เธอทั้งหลายเห็นหมาขี้เรือนตัวนั้นหรือไม่
เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันเป็นขี้เรื้อนคันไปทั้งตัว
ฉันเห็นมันวิ่งวุ่นไปมาทั้งวัน เดี๋ยวก็วิ่งไปนอนตรงนั้น
เดี๋ยวก็ย้ายมานอนตรงนี้อยู่ที่ไหนก็อยู่ไม่ได้นานเพราะมันคัน

แต่พวกเธอรู้ไหม
เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันไปนอนที่ไหน
มันก็นึกด่าสถานที่นั้นอยู่ในใจหาว่า
แต่ละที่ไม่ได้ดั่งใจตัวเองสักอย่าง
นอนที่ไหนก็ไม่หายคัน สถานที่เหล่านั้นช่างสกปรกสิ้นดี

คิดอย่างนี้แล้วมันจึงวิ่งหาที่ที่ตัวเองนอนแล้วจะไม่คัน
แต่หาเท่าไหร่มันก็หาไม่พบสักที
เลยต้องวิ่งไปทางนี้ทางโน้นอยู่ทั้ง

วันเจ้าหมาโง่ตัวนั้นมันหารู้สักนิดไม่ว่า
เจ้าสาเหตุแห่งอาการคันนั้น
หาใช่เกิดจากสถานที่เหล่านั้นแต่อย่างใดไม่

แต่สาเหตุแห่งอาการคันอยู่ที่โรคของตัวมันเองนั่นต่างหาก"

พูดจบแล้วหลวงพ่อก็วางไมโครโฟนลงเป็นสัญญาณให้รู้ว่า
ได้เวลาภาวนาหลังการทำวัตรสวดมนต์เย็นแล้ว


ขณะที่ทุกรูปนั่งหลับตาภาวนาอย่างสงบนั้น ในใจของพระใหม่กลับร้อนเร่าผิดปกตินอกสงบแต่ในวุ่นวาย นึกอย่างไรก็มองเห็นตัวเองไม่ต่างไปจากหมาขี้เรื้อนที่หลวงพ่อชี้ให้ดู

ยิ่งนั่งสมาธินานๆ ยิ่งคันคะเยอในหัวใจทั้งอายทั้งสมเพชตัวเอง

นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาพระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน

จากคนพูดมากกลายเป็นคนพูดน้อย

จากคนที่หยิ่งยโสกลายเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน

จากคนที่ชอบจับผิดคนอื่นกลายเป็นคนที่หันมาจับผิดตัวเอง

แม้เมื่อออกพรรษาแล้วโยมแม่มาขอให้ลาสิกขาเพื่อกลับไปสืบต่อธุรกิจจากครอบครัว ท่านก็ยังไม่ยอมสึก

"อาตมาเป็นหมาขี้เรื้อนขออยู่รักษาโรค
จนกว่าจะหายคันกับครูบาอาจารย์ที่นี่อีกสักหนึ่งพรรษา"

โยมแม่ได้ฟังแล้วก็ได้แต่ยกมืออนุโมทนาสาธุการกราบลาพระลูกชาย แล้วก็เดินออกจากวัดไปขึ้นรถพลางนึกถามตัวเองอยู่ในใจว่าคำว่า "หมาขี้เรื้อน" ของพระลูกชายหมายความว่าอย่างไรกันแน่

Offline ToppyRacingClub

  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 1382
Re: เรื่องทัศนคติครับ
« Reply #7 on: October 14, 2009, 08:22:23 am »
FW Mail :yociexpress01:

สิ่งธรรมดาที่แสนพิเศษ

เรื่อง: วนิษา เรซ
ที่มา: Post Today



บางครั้งในชีวิตประจำวัน เรารู้สึกว่ามีหน้าที่หลายอย่างที่เรา "ต้อง" ทำ ทั้งๆ ที่ขี้เกียจแสน ขี้เกียจ หรือเหนื่อยแสนเหนื่อยแล้วจากการทำงาน
เช่น การล้างจาน การท่องหนังสือ การจดจ่ออยู่หน้าคอมพิวเตอร์
แถมพ่อแม่หลายท่านในปัจจุบันนอกจากทำงานเหนื่อยแล้ว
ยังต้องมานั่งรับส่งลูกเรียนพิเศษเสาร์ – อาทิตย์อีก
เวลานั่งรอบางครั้งก็เหนื่อยจนลืมชื่นใจความเก่งความน่ารักของลูก



สิ่งหล่านี้ดูธรรมดาและดูเหมือนเป็น "หน้าที่" ที่เราต้องกระทำ ทั้งๆ ที่บางครั้งทำให้เราหงุดหงิดพอควรเลย



ตัวหนูดีเป็นคนเกลียดการล้างจานมาก
เพราะไม่ชอบความเหนอะของคราบอาหารและความสากมือหลังจากล้างจานเสร็จ
 ถึงขนาดมีกฎประจำใจเลยว่า ผู้ชายคนไหนจะมาขอหนูดีแต่งงาน
หนูดีจะให้ล้างจานให้ดูก่อน แถมอาจมีการเซ็นสัญญากันว่า หนูดียินดีทำอาหารทุกชนิดแต่ฝ่ายชายต้องรับอาสาเป็นผู้ล้างจาน

จนกระทั่งวันหนึ่งหนูดีได้ไปปฏิบัติธรรมในวิถีเซน การไปอยู่วัดครั้งนั้น ทุกคนต้องล้างจานเอง
พระสอนว่า เวลาล้างจานเราต้องการอะไรจากการล้างจาน
คำตอบของพวกหนูดี คือ เราต้องการให้จานสะอาด (แหม ถามอะไรตอบง่ายอย่างนี้ ก็มันชัดเจนอยู่แล้วใช่ไหมคะ)



แต่ท่านบอกว่า ตอบผิดค่ะ

อ้าว ถ้าไม่อยากให้จานสะอาดแล้วจะล้างไปทำไมคะ หนูดีงงมาก

ท่านตอบว่า จากนี้ไป ขอให้ล้างจานเพื่อล้างจานได้ไหม



ทำไมต้อง "ล้างจานเพื่อล้างจาน" กว่าหนูดีจะเข้าใจและทำได้ เวลาก็ผ่านไปนานแสนนาน และทุกวันนี้หนูดีก็ยังฝึกเป็นประจำ
เคล็ดอยู่ตรงนี้เองค่ะ หากเราล้างจานเพื่อต้องการให้จานสะอาด ก็เหมือนกับเราโยนทิ้งปัจจุบัน
แล้วรอให้ความสุขเกิดขึ้นในอนาคต แต่ปัจจุบันคือความทุกข์ที่ต้องอยู่กับจานสกปรก เราจะมีความสุขก็ต่อเมื่อจานสะอาดแล้วเท่านั้น
สรุปว่าใช้ชีวิตแค่กับเป้าหมาย รอให้เป้าหมายเป็นผลแล้วค่อยยอมปล่อยใจให้เป็นสุข
แต่หากเราเปลี่ยนมาเป็นทำใจให้สุขในขณะล้างจานจิตจดจ่ออยู่กับน้ำ ฟองน้ำและจาน เป็นสุขอยู่ตรงนั้น
ซึ่งหลังจากครั้งแรก พระท่านก็สอนที่สูงขึ้นไปอีกว่า จินตนาการดูสิว่า จานเป็นพระพุทธรูปและเรากำลังชำระล้างท่านให้สะอาดอยู่ น่ารักมากเลยค่ะ ไม่เห็นต้องรอวันสงกรานต์แล้วค่อยสรงน้ำพระ ถ้าคิดอย่างนี้ได้ ความสุขเล็กๆ ก็เกิดขึ้นได้ตลอดวัน



ในการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายและมีความสุข หนูดีคิดว่า เราต้องแยกให้ออกระหว่างวิถีและเป้าหมายก่อน
คนส่วนใหญ่มักเอาความสุขไปผูกไว้กับ "เป้าหมาย" แต่หลงลืมว่า เวลาเกือบทั้งหมดในชีวิตอยู่ที่ "วิถี" ในการไปถึงเป้าหมายนั้น
เหมือนเมื่อก่อนหนูดีตั้งเป้าไว้ว่า จะเรียนให้ได้คะแนนดีๆ ให้ได้เกียรตินิยม และระหว่างภาคเรียนจะต้องทนทุกข์ทรมานขนาดไหนหนูดีไม่มีหวั่น
 เพราะเรามีเป้าหมายที่ชัดเจนมาก พอสอบเสร็จโล่งอกสบายใจ ได้เกรดดีๆ ก็ดีใจอยู่แผล็บเดียว เดี๋ยวก็เปิดเทอมอีกแล้ว จะเป็นจะตายต่อไปอีกเทอม พอมาดูจริงๆ แล้วเรียนปริญญาตรี เราจะได้เห็นเกรดตัวเองหลักๆ ก็ 8 ครั้ง โอ้โห เวลา 4 ปี จะยอมให้ตัวเองมีความสุขใหญ่ๆ แค่ 8 ครั้ง ก็ดูเป็นชีวิตที่เศร้าสร้อยไปหน่อยนะคะ



ดังนั้น การกลับมาปรับ "วิถี" ให้เรามีสุขขึ้นในระหว่างทาง กลับทำให้ดัชนีความสุขมวลรวมของชีวิตเราพุ่งสูงขึ้นอีกมาก
เมื่อหารเฉลี่ยแล้วทั้งชีวิตเราน่าจะมีความสุขขึ้นอีกมากนะคะ
เดี๋ยวนี้หนูดีเลยมีกฎในการใช้ชีวิตว่า "วิถีคือเป้าหมาย" พูดง่ายๆ ว่า
การทำใจให้สุขเป็นประจำวันมีสุขในวิถีนั่นแหละคือเป้าหมายของหนูดี ส่วนเป้าหมายใหญ่ๆ ภายนอกก็ยังมีอยู่ค่ะ ไม่ได้ทิ้งหายไปไหน
หนูดียังคงวางแผนชีวิตและมีเป้าหมายที่ชัดเจนอยู่เช่นเดิม อาจจะดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะเป้าหมายเหล่านั้นไม่ได้เป็นประโยชน์เฉพาะตัวหนูดีคนเดียวอีกต่อไปแล้ว
แต่ยังรวมคนอื่นๆ ในสังคมเข้ามาอีกด้วย และหนูดีไม่รอให้ "เป้าหมายสำเร็จ" แล้วค่อยเป็นสุข ไม่มีกฎอะไรกำหนดนี่คะว่าต้องรอ ก็เลยขอเป็นสุขเรื่อยๆ ดีกว่า



ท่าน ติช นัท ฮันท์ พูดเรื่องนี้ไว้ดีมาก หนูดีเอามาเขียนเตือนใจตัวเองในหน้าหนังสือ "ขอบคุณสรรพสิ่ง" ที่เขียนก่อนนอนเลยค่ะ
ว่า "ปาฏิหาริย์ไม่ใช่การเดินบนน้ำ หรือบินอยู่บนอากาศ แต่ "ปาฏิหาริย์คือการเดินอยู่บนผืนดินและมีความสุขในทุกย่างก้าว"
หนูดีเห็นด้วยอย่างมาก เพราะชีวิตเราเต็มไปด้วยเรื่อง "ธรรมดา" เช่น
ตื่นมาอาบน้ำ แปรงฟัน ขับรถไปทำงาน กินอาหารเที่ยงกับเพื่อนในที่เดิมๆ
ตอนเย็นกลับมา ก็เห็นหน้าภรรยาหรือสามีคนเดิมๆ ใส่ชุดธรรมดาๆ หน้าตาเราหรือก็ธรรมดาๆ
ใช่ค่ะ เราส่วนใหญ่แล้วก็เป็นคนธรรมดาๆ มีชีวิตธรรมดาๆ กันทั้งนั้น



แต่ถ้าความ "ธรรมดา" นี้หมดไปล่ะคะ เช่น
อยู่ดีๆ ลูกเราเกิดเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือสามีเราถูกรถชนตาย หรือ
เราถูกไล่ออกจากงานที่เราเบื่อแสนเบื่อ เรื่องก็จะ "ไม่ธรรมดา" ไปในทันที
และในเวลานั้นเอง เราจะหวนมาคิดเสียดายความ "ธรรมดา" จนใจแทบจะขาด



หนูดีไม่ได้พูดเองเออเองนะคะ แต่เพราะหนูดีอยู่ในอาชีพที่ได้เห็นความพลัดพรากสูญเสียในครอบครัวมาเยอะมาก
จนเกิดเป็นกฎประจำใจเลยว่า ให้เรารีบชื่นชมกับความ "ธรรมดา" ที่เรามี
และใช้ชีวิตประหนึ่งว่า สิ่งนั้นคือ สิ่งมหัศจรรย์ของจักรวาล
เพราะสิ่งธรรมดาๆ แท้จริงแล้วคือสิ่งที่พิเศษที่สุดแล้วค่ะ



วันนี้ หนูดีขอชวนแฟนๆ คอลัมน์ลองมองหาสิ่งธรรมดาๆ สักสองสามสิ่งที่เรามองข้ามไป
แล้วลองคิดขอบคุณเขาไหมคะ เช่น วันนี้เราไม่ปวดฟันเลย ขอบคุณฟันที่อยู่อย่างปกติ
หรือวันนี้ลูกของเรายังคงมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า เรามีความสุขจัง
 หรือแม้แต่ วันนี้รถของเรายังไม่ถูกชนโชคดีจังเลย



เรื่องสุดท้ายนี่หนูดีคิดเป็นประจำเลยค่ะ เพราะในโลกนี้ หนูดีเป็นหนึ่งในคนที่รถชอบโดนชนประจำขนาดขับช้าเหมือนเต่าคลาน
ดังนั้น หากวันไหนรถหนูดีอยู่ในสภาพสมบูรณ์
แค่ได้มองเห็น ก็เป็นสุขแล้วค่ะ สุขสันต์วันธรรมดาๆ อีกวันหนึ่งนะคะ ขอให้ทุกท่านทำงานอย่างเป็นสุขค่ะ

Offline ToppyRacingClub

  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 1382
Re: เรื่องทัศนคติครับ
« Reply #8 on: October 14, 2009, 09:24:38 am »
FW Mail :yociexpress01:

คำว่า "เนื้อคู่" หลายคนจะให้ความหมายว่าคือคนที่จะได้แต่งงานออกหน้าออกตาด้วย
(ทั้งจดทะเบียนสมรส หรือไม่จดทะเบียนสมรสก็ตาม)
หรือได้ใช้ชีวิตร่วมกัน หรือเป็นคนที่ส่งเสริมอุปถัมภ์ซึ่งกันและกัน
เคยสังเกตไหมครับว่าช่วงชีวิตหนึ่งของคนเรานั้นมีคนเดินเข้ามาในชีวิตมากมายหลายคน
บางคนเข้ามา 1 ปีแล้วก็เลิกกัน บางคนคบกัน 6 เดือนแล้วเค้าก็จากเราไป บางคนเจอกันแค่อาทิตย์
เดียวแล้วเราก็ทิ้งเค้าไปเอง
บางทีคุณก็คบหาคนรู้ใจในเวลาเดียวกันถึง 3 คน
บางคนแต่งงานกันมาแล้ว 20 ปีก็เลิกกันไป แต่งงานอีกทีตอนอายุ 70 ปีอยู่กินกันกับคนใหม่ได้แค่ 2 ปี
แล้วก็ล้มหายตายจากกันไป
นี่เป็นตัวอย่างคร่าว ๆ ที่อยากให้ลองคิดตามครับ

คิดออกหรือยังครับว่าคำว่าเนื้อคู่มันอยู่ตรงไหน ในมุมมองของผมแล้วคำว่า "เนื้อคู่"
ไม่มีครับ มีแต่คำว่า "กรรม" ทั้งกรรมดีและกรรมไม่ดี
บางคนทำกรรมดีกันมาในอดีต ในภพ ในชาติที่แล้ว
ช่วงประจวบเหมาะได้มาเจอกันในภพในชาตินี้ก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ตามกรรมของตัวเองเป็นตัว
กำหนดว่าจะได้อยู่กันนานแค่ไหน
บางคนอยู่ด้วยกันก็มีแต่เรื่องทะเลาะเบาะแว้ง มีแต่เรื่องเดือดร้อน แต่ทนอยู่กันได้หลายปี
นั่นก็เกิดจากกรรมในอดีตแต่เป็นกรรมไม่ดีต่อกัน ภพนี้ชาตินี้จึงต้องมาชดใช้กรรมซึ่งกันและกัน

ที่เขียนมาทั้งหมดนี้พอจะสรุปคำว่าเนื้อคู่ (ของหนุ่มสาวยุคนี้) ได้ดังนี้ครับ

ความหมายที่ 1 คือ คนที่มีกรรมดีต่อกันในอดีต ภพนี้ ชาตินี้กลับมาเพื่อการอิ่มเอิบใจซึ่งกันและกัน
ดูแล้วน่าจะใกล้เคียงกับคำว่าเนื้อคู่ที่หลาย ๆ คนถามหามากที่สุด
ส่วนจะเจอเมื่อไร ได้อยู่ร่วมกันนานแค่ไหน
ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาของกรรมในอดีตเป็นตัวกำหนด

ความหมายที่ 2 คือ คนที่มีกรรมไม่ดีต่อกันในอดีต ภพนี้ ชาตินี้จึงกลับมาเพื่อทวงคืน เพื่อชำระหนี้
จะสังเกตว่าคู่ประเภทนี้อยู่ด้วยกันแล้วมีแต่เรื่องเดือดร้อน ทำอะไรก็ไม่ขึ้น มีแต่เรื่องเสียเงิน เสียใจ
เสียเวลา เสียความรู้สึก
แต่คนเรามักจะคิดว่าคนประเภทนี้ไม่ใช่คู่เรา เป็นที่มาของคำถามว่า "เมื่อไรจะเจอคู่ซะที"
ซึ่งที่จริงแล้วคนที่เผชิญอยู่ในความหมายที่ 2 นี่แหละก็คือคู่เหมือนกัน แต่เป็นคู่เวรคู่กรรม

ดังนั้นผมบอกได้เลยว่าในช่วงชีวิตหนึ่งของเราทุกคนเราจะได้พบกับเพศตรงข้ามหรือแม้แต่เพศเดียวกัน
ในลักษณะคู่รักไม่น้อยกว่า 1คนในช่วงชีวิตนี้ก่อนสิ้นอายุขัยแน่นอน แล้วจะไปแคร์อะไรละครับ
ถึงเวลาคนดี ๆ ที่เราตามหาเค้าจะมาเอง

ในทำนองเดียวกันไอ้คนที่ไม่ได้เรื่อง ไม่ได้ดั่งใจ แต่ต้องทนคบอยู่ทุกวันนี้
สักวันเมื่อชดใช้กันหมดแล้ว เค้าก็จะไปเอง
ช่วงสูญญากาศที่ยังไม่มีใครมาเชื่อมต่อละมั้งที่ทำให้หลายคนวิตกกังวล
จึงเป็นที่มาของคำถามว่าเมื่อไรจะเจอ

คำแนะนำ

ในยามที่คบหาใครอยู่ ไม่ว่าเค้าจะดีหรือไม่ดี
ขอให้ตัวคุณทำดีต่อเค้าให้มากที่สุด เพราะเค้าจะไม่ได้มาวุ่นวายกับเราตลอดไปหรอกครับ
อย่างน้อยกรรมดีที่มีต่อกันในวันนี้จะส่งผลให้คุณได้อิ่มเอิบในวันข้างหน้าได้
ในทางกลับกัน ถ้าได้เจอใครที่เรารู้สึกดี รู้สึกรัก รู้สึกห่วงใยเค้า รู้สึกคิดถึงเค้าตลอดเวลาแล้วละก็
รักเค้าให้สุดแรงเกิดครับ ไม่ต้องกังวลว่าวันหนึ่ง อาจจะต้องผิดหวัง
เพราะถึงแม้จะไม่มีอะไรมาพรากคุณและเค้าก็ตาม
อย่างน้อยความตายก็เตรียมพลัดพรากคุณและเค้าในวันหนึ่งอยู่แล้ว

ขอให้ทุกท่านฉลาดที่จะใช้ชีวิตคู่และรู้เท่าทันกิเลสตัวเอง
โดยผมจะยกตัวอย่างง่าย ๆ ให้ฟังครับ

ชายคนหนึ่งซื้อล็อตเตอรี่มา 1 คู่ หลังวันหวยออกแล้ว 1 วัน
ชายคนนี้เป็นคนที่มีความสุขที่สุดในชีวิต เพราะเค้าจะมีความหวังและกำลังใจถึง 15 วัน
โดยเค้าจะเสียใจแค่วันเดียวคือวันหวยออก
วันรุ่งขึ้น เค้าก็ไปซื้อลอตเตอรี่มาใหม่อีก 1 คู่
แล้วเค้าก็มีความสุขต่อไปอีก 15 วัน เป็นอย่างนี้เรื่อยไปไม่มีวันจบสิ้น
ชายคนนี้ฉลาดที่จะใช้ชีวิตและรู้เท่าทันกิเลสตัวเองครับ

คบหากับใครก็ตามไม่ต้องกังวลถึงวันหน้าหรอกครับ ตักตวงความสุขให้ได้มากที่สุด ทำดีต่อกันให้มากที่สุด
สมมติคบกันมา 5 ปี ทำดีต่อกันมาตลอด ถึงวันหนึ่งต้องเลิกกัน เต็มที่จะทุกข์สุด ๆ แค่ 1 เดือน
คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้มกับเวลาที่เรามีความสุขต่อกัน
เปรียบเหมือนการซื้อลอตเตอรี่ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้นละครับ
ที่เอาข้อความนี้มาฝากก็เพราะติดตามอ่านตั้งแต่แรกเลยอยากให้ข้อคิดนิดหนึ่ง

Offline ToppyRacingClub

  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 1382
Re: เรื่องทัศนคติครับ
« Reply #9 on: December 08, 2009, 10:22:11 pm »
google :yociexpress01:

"เมื่อฉันแก่ตัวลง" อยากจะมอบเรื่องนี้ให้กับผู้ที่ไม่ค่อยได้อยู่ใกล้ชิดผู้เฒ่าผู้แก่ที่บ้าน ....

เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าของลูกผู้ชายคนหนึ่ง

ที่ตระเวนทั้งเรียนทั้งทำงานไปร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ แม้เขาจะ เติบกล้าเก่งกาจขึ้นเรื่อยๆ ความรู้เพิ่มมากขึ้น โลกใบนี้เริ่มเล็กลง แต่พ่อแม่ที่อยู่บ้านเดิม (ในเมืองจีน) ก็เริ่มแก่ตัวลง ลูกคนนี้ทำงานอยู่ต่างประเทศ ไม่ค่อยได้กลับมาเยี่ยมพ่อแม่ ได้แต่ติดต่อกันทางจดหมาย โชคดีต่อมามีไอพีการ์ด เลยได้คุยสดกันบ้าง ทุกครั้งแม่ก็จะคอยเตือนให้ระวังสุขภาพของตัวเอง ตั้งใจทำงาน ไม่ต้องเป็นห่วงแม่ ไม่ต้องกลับมาเยี่ยมบ่อยๆ เพราะจะสิ้นเปลืองเงินทอง.. ยิ่งพูดก็ยิ่งซ้ำๆซากๆ เขารู้ดีว่าแม่เริ่มคิดถึงเขามาก

จนกระทั่งปีนี้ แม่อายุ 75 เขาจึงตั้งใจจะกลับไปเยี่ยมแม่

โดยตั้งใจว่าจะอยู่สัก 1 เดือน จะไม่ทำอะไรเป็นพิเศษ แต่ขอเป็นเพื่อนแม่เพียงอย่างเดียว พอบอกข่าวนี้ให้แม่ทราบ แม้จะมีเวลาอีกตั้ง 2 เดือนเศษ แม่ก็เริ่มเตรียมตัวในการต้อนรับการกลับมาเยี่ยมบ้านของลูก แม่ดึงเอาสมุดบันทึกมาจดสิ่งที่ต้องตระเตรียม แม่เตรียมรายการอาหารที่ลูกชอบดึงเอาผ้าห่มที่ลูกเคย ชอบห่มมาปะชุนใหม่... สำหรับคนอายุ 75 เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย

พอกลับถึงบ้าน

ตอนอยู่บนเครื่องบิน เคยตั้งใจว่าจะขอกอดแม่ให้ชื่นใจสักครั้งแต่พอมาเห็นแม่ แม่ที่ยืนอยู่ ตรงหน้าผอมแห้ง หน้าตาเหี่่ยวย่น ช่างไม่เหมือนแม่คนก่อนหน้านี้เลย... แม่ใช้เวลาทั้งชั่วโมงเตรียม อาหารที่ลูกเคยชอบ โดยที่หาทราบไม่ว่า เดี๋ยวนี้ลูกไม่ได้ชอบอาหารแบบนั้นแล้วและเพราะแม่ตาไม่ค่อย ดี รสชาติอาหารจึงแย่มากๆ บางจานก็เค็มจัด บางจานก็จืดสนิท ผ้าห่มที่แม่อุตส่าห์เตรียมให้ ทั้งหนาทั้ง หยาบ ไม่สบายกายเลย แม่หารู้ไม่ว่า เดี๋ยวนี้ลูกนอนห้องแอร์และใช้ผ้าห่มขนแกะแล้ว แต่เขาก็ไม่บ่น อะไร เพราะเขาตั้งใจจะกลับมาเป็นเพื่อนแม่จริงๆ

สองสามวันแรก แม่ยุ่งอยู่กับเรื่องจิปาถะ จนไม่มีเวลาพักผ่อน

พอเริ่มได้พัก แม่ก็เริ่มพูดมาก สอนโน่น สอนนี่ พูดแต่ปรัชญาเก่าๆ ซึ่งปรัชญาเหล่านั้น 10 กว่าปีก่อนก็เคยพูดแล้ว พอลูกบอกให้ฟังว่า ปรัชญาเหล่านั้นไม่ทันสมัยแล้ว แม่ก็เริ่มนิ่งเงียบและเศร้าซึม "เหตุการณ์เริ่มแย่ลงเรื่อยๆ ผมพบว่าสุขภาพแม่แย่ลง โดยเฉพาะสายตา อาหารบางจานมีแมลงวันด้วย บางทีอาหารหกบนเตา แม่ก็เก็บใส่จานตามเดิม ครั้นผมพยายามชวนแม่ไป กินนอกบ้าน แม่ก็บอกอาหารข้างนอกไม่สะอาด ของแปลกปลอมเยอะ เมื่อผมบอกแม่ว่าจะหาคนรับใช้มาช่วยแม่สักคน แม่ก็โวยวายว่า แม่เองยังสามารถทำงานเลี้ยงดูเด็กให้ผู้ อื่นได้เลย ผมเลยพูดไม่ออก พอผมจะออกไปช้อปปิ้ง แม่ก็จะตามไปด้วย ทำเอาวันนั้นทั้งวัน พวกเราไม่ได้ไปช้อปปิ้งเลย .."

"พอพวกเราเริ่มคุยกันในเรื่องทันสมัย แม่ก็จะหาว่าพวกเราเพี้ยน

ผมก็เริ่มบอกแม่อย่างไม่ค่อยเกรงใจว่า แม่ นี่มันสมัยใหม่แล้ว แม่ต้องหัดมองโลกในแง่ใหม่ๆบ้าง... ช่วงครึ่งเดือนหลังที่อยู่กับแม่ ผมเริ่มขัดแม่มากขึ้นเรื่อยๆ และรู้สึกรำคาญเพิ่มมากขึ้น แต่เราไม่เคยทะเลาะกันนะ พอผมขัดแม่แม่ก็หยุดกึกลงไม่พูด ไม่จา ในตามีแววเหม่อลอย ? โลกซึมเศร้าแบบคนแก่ของแม่ชักหนักขึ้นเรื่อยๆ"

ได้เวลาที่ผมจะต้องเดินทางกลับ แม่ดึงกล่องกระดาษกล่องหนึ่งออกมา

ในนั้นเป็นข่าวหนังสือพิมพ์ที่แม่ตัดเก็บไว้ในช่วงที่ผมไปอยู่เมืองนอก แม่เริ่มสนใจข่าวต่างประเทศเมื่อผมเดินทางไปนอก ทุกครั้งที่มีข่าวตึงเครียดในประเทศนั้นๆ แม่จะตัดข่าวเก็บไว้ ตั้งใจจะมอบให้ผมตอนที่ผมกลับมา แม่พูดอยู่เสมอว่า อยู่นอกบ้านนอกเมืองต้องระวังตัวให้มากๆ ครั้งหนึ่งมีเรื่องคนญี่ปุ่นต่อต้านและข่มเหงคนจีน มีการปะทะกันด้วยแม่เป็นห่วงมาก ถามเพื่อนบ้านว่าจะส่งข่าวไปเตือนผมที่ญี่ปุ่นได้อย่างไร ตอนนั้นผมสอนอยู่ที่ญี่ปุ่น"

แม่ดึงเอาปึกกระดาษข่าวนั้นออกมาอย่างยากลำบาก วางใส่ในมือผมเหมือนของวิเศษชิ้นหนึ่ง

มันหนักมากผมเริ่มรู้สึกลำบากใจ เพราะผมไม่อยากนำกลับไป มันไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว ผมรู้ว่าแม่เก็บมันด้วยความยากลำบาก แม่สายตาไม่ค่อยดี ต้องใช้แว่นขยาย อ่านได้วันละ 2 หน้าก็เก่งแล้วนี่ยังตัดเก็บได้ขนาดนี้

ทันใดนั้นมีข่าวแผ่นหนึ่ง ปลิวหลุดลงมา

แม่รีบเอื้อมไปหยิบ แต่แทนที่แม่จะเก็บเข้ากองเดิม แม่กลับพับเก็บไว้ในกระเป๋าของตัวเอง ผมรู้สึกเอะใจ เลยถามว่า "แม่ นั่นกระดาษอะไร ขอผมดูหน่อยนะ" แม่ลังเล อยู่ครู่หนึ่ง จึงล้วงออกมาวางบนข่าวปึกนั้น แล้วหุนหันเข้าครัวไปทำกับข้าวทันที

ผมหยิบแผ่นข่าวนั้นขึ้นมาดู มันเป็นบทความบทหนึ่ง

ชื่อว่า "เมื่อฉันแก่ตัวลง"ตัดจากหนังสือพิมพ์เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2004 เป็นช่วงที่ผมเริ่มเถียงกับแม่ถี่มากขึ้นทุกที บทความนั้นคัดมาจากนิตยสารฉบับหนึ่งของเม็กซิโก ฉบับเดือนพฤศจิกายน ผมอ่านบทความนั้นรวดเดียวจบทันที ....

เมื่อฉันแก่ตัวลง ไม่ใช่ฉันที่เคยเป็น ขอโปรดเข้าใจฉัน มีความอดทนต่อฉันเพิ่มขึ้นอีกสักนิด
ตอนฉันทำแกงหกใส่เสื้อตัวเอง ตอนฉันลืมวิธีผูกเชือกรองเท้า ขอให้คิดถึงตอนแรกๆ ที่ฉันใช้มือสอนเธอทำทุกอย่าง

ตอนฉันเริ่มพร่ำบ่นแต่เรื่องเดิมๆที่เธอรู้สึกเบื่อ ขอให้อดทนสักนิด อย่าเพิ่งขัดฉัน ตอนเธอยังเล็กๆ ฉันยัง เคยเล่านิทานซ้ำๆซากๆ จนเธอหลับเลย

ตอนฉันต้องการให้เธอช่วยอาบน้ำให้ อย่าตำหนิฉันเลยนะ ยังจำตอนที่เธอยังเล็กๆฉันต้องทั้งออดทั้งปลอบเพื่อให้เธอยอมอาบน้ำได้ไหม

ตอนฉันงงกับวิทยาการใหม่ๆ อย่าหัวเราะเยาะฉัน จำตอนที่ฉันเฝ้าอดทนตอบคำถาม "ทำไม ทำไม" ทุกครั้งที่เธอถามได้ไหม

ตอนฉันเหนื่อยล้าจนเดินต่อไม่ไหว ขอจงยื่นมือที่แข็งแรงของเธอออกมาช่วยพยุงฉันเหมือนตอนที่ฉันพยุง เธอให้หัดเดินในตอนที่เธอยังเล็กๆ

หากฉันเผอิญลืมหัวข้อที่กำลังสนทนากันอยู่ ให้เวลาฉันคิดสักนิด ที่จริงสำหรับฉันแล้ว กำลังพูดเรื่องอะไร ไม่สำคัญหรอก ขอเพียงมีเธออยู่ฟังฉัน ฉันก็พอใจแล้ว

ตอนเธอเห็นฉันแก่ตัวลง ไม่ต้องเสียใจ ขอให้เข้าใจฉัน สนับสนุนฉัน ให้เหมือนตอนที่ฉันสนับสนุนเธอตอนเธอเพิ่งเรียนรู้ใหม่ๆ

ตอนนั้นฉันนำพาเธอเข้าสู่เส้นทางชีวิต ตอนนี้ขอให้เธอเป็นเพื่อนฉันเดินไปให้สุดเส้นทาง ให้ความรักและอดทนต่อฉัน ฉันจะยิ้มด้วยความขอบใจ ในรอยยิ้มของฉันมีแต่ความรักอันหาที่สิ้นสุดมิได้ของฉันที่มีให้กับเธอ

ผมอ่านบทความนั้นรวดเดียวจบ เกือบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่

ตอนนั้น แม่เดินออกมา ผมแกล้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตอนแรกแม่คงอยากให้ผมได้ อ่านบทความนี้หลังจากผมกลับไปแล้ว จึงคะยั้นคะยอให้ผมนำข่าวปึกนั้นกลับไป ตอนผมจัดกระเป๋าเดินทาง ผมต้องสละไม่เอาสูทกลับไป 1 ตัว จึงยัดเก็บปึกข่าวเหล่านั้นเข้าไปได้ รู้สึกแม่จะดีใจมาก
เหมือนกับว่าหนังสือพิมพ์เหล่านั้นเป็นยันต์โชคลาภสำหรับผม และเหมือนกับว่าการที่ผมยอมรับ หนังสือพิมพ์เหล่านั้น ผมได้กลับมาเป็นเด็กดีของแม่อีกครั้งหนึ่ง แม่ตามมาส่งผมจนถึงรถแท็กซี่เลยที่เดียว หนังสือพิมพ์ที่ผมนำกลับมาเหล่านั้น ไม่ได้ใช้ทำประโยชน์อะไรเลย แต่บทความ "เมื่อฉันแก่ตัวลง" บทนั้น ผมได้ตัดเก็บไว้ในกรอบ เอาไว้ข้างตัวผมตลอดไป

Offline ToppyRacingClub

  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 1382
Re: เรื่องทัศนคติครับ
« Reply #10 on: December 17, 2009, 05:13:33 pm »
FW Mail :yociexpress01:

เพื่อนสมัยเรียนปริญญาตรีด้วยกัน ไปทำนา ........ แล้วรู้ไหมว่าเป็นยังไง     

ไปงานศพ แล้วเจอเพื่อนสมัยเรียนเกือบครบทุกคน ในโอกาสที่ไม่ดีนัก
ก็กลายเป็นว่าได้รวมรุ่น เจอหลายๆคน

เพื่อนที่ไปได้ดิบได้ดี ในบริษัทโฆษณาใหญ่ๆ หรือบริษัทมหาชน
 
ไม่มีใครมางานศพได้ซักคน มันยุ่งไปหมด
แต่ถ้านัดแถวๆ หลังสวน พวกนี้สู้ตาย

ไปเจอเพื่อนคนหนึ่ง ที่ไม่คิดว่าจะเจอ
มันเนื้อตัวดำกร้าน และบอกเพื่อนๆว่ากลับมาทำนา
เพื่อนๆก็อึ้งๆ กันไป ว่าเฮ้ย ปริญญาตรีเนี่ยะนะ

พอนั่งๆคุยไป ก็รู้สึกว่า ชีวิตตามเศรษฐกิจพอเพียงเป็นยังไง
มันหันหลังให้เมืองหลวง และ ดินเนอร์หลังสวนของพวกเรา
มันกลับไปทำนา เพราะคิดว่า น่าจะทำอาชีพเดิมของพ่อ
ที่ดิน ราว 80 ไร่ ของพ่อ
กับความลำบากที่ทำมาแต่เด็ก
เพิ่มเติมความสบายด้วยเทคโนโลยี และความรู้เข้าไป
มันกลายเป ็นชาวนาเทพๆ คนหนึ่ง
และวันนี้ มันมีเงินเก็บ สามล้านกว่า
ใช้เงินวันละ 50 บาท
บ้านไม่ต้องผ่อน รถกระบะซื้อเงินสด
ไม่มีบัตรเครดิต
เสื้อผ้า ตลาดนัด ตัวละ 89 ชุดออกงาน 199
ความสุขคือ ได้อยู่กับพ่อและแม่

และโชคที่เข้าข้างลูกกตัญญูคือ ราคาข้าวดีวันดีคืน
.........
เล่นเอา ผู้จัดการ และ หัวหน้าฝ่ายหลายคนในงาน
ตาร้อนผ่าว
จะกลับไปลาออกมาทำนากันหมดซะแล้ว

บางทีก็ตอบไม่ได้ ว่าที่ทำทุกวันในเมืองหลวง
นี่มันกำไรเหรอเปล่า

รถไฟฟ้าวัน 40 บาท
น้ำมันรถกลับบ้าน 80 บาท
อาหารวันละ 60 กาแฟ 45 บาท
ค่าเสื้อผ้า โทรศัพท์ อินเตอร์เน็ต
ค่าภาษีสังคม เลี้ยงลูกน้อง
 
เรามีเงินเก็บน้อยกว่าเขาอีก

Offline ToppyRacingClub

  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 1382
Re: เรื่องทัศนคติครับ
« Reply #11 on: December 20, 2009, 09:15:32 pm »
FW Mail  :yocifans004:

ปริญญาสองใบ...น่าอ่าน

ที่เมืองไทยปีที่แล้วมีข่าวเกรียวกราวมาก
คือมีดาราคนหนึ่งซึ่งมีชื่อดังมาก   
เป็นคนดำเนินรายการคนค้นคน   
ดร.อภิวัฒน์   วัฒนางกูร   
มาเรียนที่อเมริกา   
เป็นคนเพอร์เฟคชั่นนิส
ทำงานทุกอย่างต้องดูดีที่สุดแม้กระทั้งล้างจาน
ล้างเสร็จแล้วแกต้องเอามาดมดู   
ว่าสะอาดจริงมั้ย   
กลับไปเมืองไทยก็ไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย
มีแฟนก็จีบดาวมหาวิทยาลัยเลย
ต้องให้ดีที่สุด   
เวลาแกไปเสนองานอะไรต่าง ๆ เขียนไว้สามแผน
แผนที่หนึ่งลูกค้าไม่ซื้อ
แกเสนอแผนที่สอง   
แผนที่สองลูกค้าไม่ซื้อแกเสนอแผนที่สาม
ใครไปดีลงานกับแกติดทุกราย   แกมีบ้าน   
มีรถ มีลูก มีภรรยา   มีธุรกิจ
มีชื่อเสียงทุกอย่าง   แกมีทุกอย่าง   
วันหนึ่งแกพักผ่อน
หลังจากที่ทำงานแบบไม่ได้พักเลย   ลุกเมียไปขอพบ   
บอกไปเจอพ่อที่ออฟฟิต
วันหนึ่งแกไปพักที่ปากช่อง   ตื่นขึ้นมากลางวันล้มฟุ๊บลงไป   
ภรรยาพาเข้าโรงบาล   ตรวจพบมะเร็ง
พอพบปุ๊บเป็นระยะสุดท้ายเลย จริง ๆ   
เค้าก็เตือนตลอด
แต่พอไม่มีเวลาไปตรวจมันก็แก้ไม่ได้
แกไปนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล   
แล้วก็สารภาพให้รายการคนค้นคน   บันทึกชีวิตแก
ก่อนจะเสียชีวิต   แกก็ไปนอนให้พ่อแม่เช็ดเนื้อเช็ดตัว   
แกก็บอกว่าสังเวชตัวเองมากแทนที่ลูกจะได้ดูแลพ่อแม่
กลับมาเป็นว่าพ่อแม่ต้องมาดูแลลูก
ก่อนจะเสียชีวิตแกให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์คมชัดลึกบอกว่า
พ่อผมเคยบอกว่าเกิดเป็นคนต้องได้ปริญญาสองใบ   
ปริญญาใบที่หนึ่ง   ' ปริญญาวิชาชีพ ' เราจะต้องทำมาหากินเป็น กินอิ่ม   นอนอุ่น
พูดง่าย ๆ   
ล้วงไปในกระเป๋าแล้วมีเงินใช้   อยากจะนอนมีบ้านเป็นของตัวเอง
แค่นี้คือปริญญาวิชาชีพ   แต่ ' ปริญญาวิชาชีวิต '   
ปริญญาใบที่สอง   ' ปริญญาวิชาชีวิต ' คือวิชาธรรมะ
สำหรับจะดูแลชีวิตให้ดำเนินอยู่ในทางสายกลาง   

ซึ่งเป็นปริญญาใบที่สองที่พ่อแกบอกไว้
แกบอกว่าผมสอบตกโดยสิ้นเชิง   
ผมเป็นดอกเตอร์จากอเมริกาได้ปริญญาวิชาชีพ   
แต่ปริญญาวิชาชีวิตสอบตก   เพราะอะไร
เพราะทำงานจนป่วยตาย
ก่อนที่จะเสียชีวิตแกได้สารภาพว่าผมได้เตรียมทุกอย่าง   
บ้าน รถ     มอบมันให้กับลูกและภรรยา
แต่ในวันที่ผมมีทุกสิ่งทุกอย่าง
ผมกลับลืมมอบหนึ่งอย่างให้กับลูกและภรรยา   
สิ่งนั้นคือสิ่งที่ผมลืมและทำให้ผมล้มเจ็บใหญ่ครั้งนี้   
สิ่งที่ว่านี้คือผมลืมมอบตัวเองเป็นของขวัญให้กับลูกและเมีย
เพราะทำงานหนักจนกระทั่งป่วยตาย
นี่คือปริญญาวิชาชีวิต
ธรรมะเราจะต้องมี ถ้าเราไม่มีธรรมะ   
เราจะกลายเป็นหุ่นยนต์เท่านั้นเอง
ที่ทำงานแทบล้มประดาตายแล้วสุขภาพไม่ดี
ดังนั้นเมื่อเราทุกคนทำงานแล้ว   
อย่าลืมชั่วโมงสุขภาพของตัวเองในแต่ละวันนะ   
แต่ละวันควรจะมี ให้ดูแลตัวเอง
ดูจิต ดูใจตัวเอง   ว่าเราเอ๊ะมันทุกข์   
มันทุกข์มากเกินไปรึเปล่า
แบกเรื่องโน้นเรื่องนี้   เกินไปหรือเปล่า   
พยายามลดลงในแต่ละวัน   ๆ
เพื่อที่ว่าอะไร   
เพื่อที่ว่าเราจะได้ปริญญาสองใบในชีวิต
หนึ่งปริญญาวิชาชีพ
เราทำมาหากินจนประสบความสำเร็จร่ำรวยมั่งคั่ง   
มีเงินมีทองใช้มีบ้านอยู่   
แต่ต้องไม่ลืมปริญญาใบที่สอง
คือวิชาธรรมะ
สำหรับจะดูแลชีวิตให้ดำเนินอยู่ในทางสายกลาง   
ไม่ทุกข์เกินไปไม่เดือนร้อนเกินไป   
ทำอะไรให้พอดี พอดีอยู่ดีมีสุข
อยากเที่ยวให้ได้เที่ยว   อยากพักให้ได้พัก   
อยากทำบุญให้ได้ทำบุญ
ลูกหลานมาหาก็ให้ได้มีเวลากับลูกกับหลานบ้าง
อย่าวิ่งไปจนซ้ายสุด   ขวาสุด   
และมารู้สึกตัวอีกทำจนล้มเจ็บใหญ่ไม่ดี   เพราะอะไร
เพราะว่าสิ่งสูงค่าทีสุดในชีวิตของเรา
เคยมีคนไปทูลถามพระพุทธเจ้า   
ว่าอะไรคือสิ่งสูงค่าที่สุด   บางคนก็ตอบเงิน
บางคนก็ตอบเพชร   บางคนก็ตอบทอง
บางคนก็ตอบอำนาจ   บางคนก็ตอบราชบัลลังก์   
พระพุทธเจ้าบอกไม่ใช่   
 
สิ่งสูงค่าที่สุดในชีวิตของพวกเธอคือสุขภาพและชีวิต   
สุขภาพก็คือการที่เราไม่เจ็บไข้ได้ป่วย
คนที่สุขภาพดีดื่มน้ำธรรมดาก็อร่อยนะและก็ชีวิตของเรา

Offline ToppyRacingClub

  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 1382
Re: เรื่องทัศนคติครับ
« Reply #12 on: January 19, 2010, 12:01:07 pm »
จะมีผู้ชายมีสักกี่คน ที่คิดได้แบบนี้

:yociexp102:

ผมกำลังจะแต่งงาน แต่ ..... เจ้าสาวของผม .... ดัน ....

ผมกับแฟนคบกันมาเกือบๆ 3 ปีแล้วเรากำลังจะแต่งงานกันก่อนหน้านั้นผมก็รู้ว่าแฟนผมเคยมีแฟนมาแล้ว

2 คน แต่ผมก็ไม่คิดอะไรมากจนวันหนึ่งมีคนรู้จักมาพูดคุยกันในวงเหล้าว่ารู้จักแฟน ผม แล้วก็รู้จัก อดีตแฟนผม (คนนี้ไม่รู้ว่าผมเป็นแฟนผู้หญิงที่เขารู้จัก) เมื่อก่อนชอบมาที่คอนโดเค้าบ่อยๆ

เพราะเขาฝากคอนโดให้เพื่อนดูแลตอนทำงาน ตจว เวลากลับมาก็เจอเพื่อนและผู้หญิงคนนี้บ่อยๆ มานอนด้วยกัน ผมฟังแล้วรู้สึกหัวใจมันสลายตัวชาไร้ความรู้สึกไปหมด จากที่ไม่เคยคิดก็คิดถึงว่า

แฟน เรามีอะไรกับคนอื่นมาก่อนและมีบ่อยจนแทบจะเรียกได้ว่าสึกหรอแล้วผมต้อง ทำงานหาสินสอด เพื่อไปขอหญิงคนหนึ่งที่พูดได้ว่าเคยมีสามีมาแล้วงั้นเหรอ แต่ผมรักเธอทำยังไงดี

ผมกลับไปถามแฟน ถึงเรื่องนี้เธอก็อ้ำอึ้งและยอมรับมันแถมบอกว่ายอมรับว่าเคยมีอะไรกับแฟนคนแรก และคนที่สองด้วยซ้ำ

แต่ มันเป็นความเต็มใจของเธอเองตอนนั้น แต่ตอนนี้เธอเสียใจเพราะตั้งแต่คบกันมาผมไม่เคย ล่วงเกินเธอเลย ผมจะทำไงดี ผมจะแต่งกับเธออยู่หรือเปล่าว มันติดตรึงในความคิดผมมากจน ไม่อาจทำใจได้จริงๆ ยิ่งคิดว่าเวลาเธอมีอะไรกับคนอื่นเธอคงทำอะไรบางอย่างแบบนั้นผมแทบจะบ้าตาย

ใครก็ได้ช่วยผมที........

แล้วนี่คือความคิดเห็นที่ 30
เจ้าของกระทู้กรุณาอ่านความเห็นของผมให้จบ ก่อนตัดสินใจ

ผมในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณดี
เพราะความรู้สึกแบบนี้ มันเคยเกิดขึ้นกับผมมาแล้ว

ผมไม่ได้คาดหวังว่า คุณจะต้องผ่านมันไปให้ได้
และผมไม่ได้คาดหวังว่า คุณจะต้องเลือกทางเดินเหมือนผม
แต่ผมอยากให้คุณใช้ ความคิด มากกว่า ความเครียด....

ถ้าคุณตัดสินใจคบเธอต่อ และแต่งงานในที่สุด
ในสายตาของผู้ชายส่วนใหญ่
จะมองว่า คุณคือ คนโง่ คุณคือ ไอ้งั่ง

หรือแม้แต่ความคิดของคุณเองก็เถอะ คุณก็จะคิดว่า
คุณทำงานหนัก ทำทุกอย่าง เก็บเงิน เพื่อไปขอเธอแต่งงาน
ทั้งเหนื่อย ทั้งลำบาก เพื่อที่จะได้ ฟันเธอ อย่างถูกต้องตามประเพณี

แต่แล้ว ก็มีผู้ชายคนหนึ่ง หรืออีกหลายคน งานก็ไม่ต้องทำ
เหนื่อยก็ไม่ต้องเหนื่อย เงินก็ไม่ต้องเก็บ แต่ได้ฟันเธอ ไปฟรี ๆ

คุณก็จะคิดว่า คุณจะทนเหนื่อยทำไม ในเมื่อคนอื่น ไม่ได้ทำอะไรเลย
แต่เขาก็ได้ทำอะไรแฟนคุณไปหมดทุกอย่างแล้ว

ในความคิดของคุณก็มัวแต่คิดและจินตนาการไปว่า
แฟนคุณคงทำอะไรกับแฟนเก่า ท่านั้น ท่านี้ คงร้องครางอย่างมีความสุข
และทำกันบ่อย ๆ ทุกวัน วันละหลายรอบ กอดจูบกัน สารพัด... ฯลฯ

แน่นอนล่ะ ความคิดเหล่านี้ ผมก็เคยวนเวียนอยู่กับมัน พักใหญ่ ๆ
ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ผิดหวัง ท้อแท้ มันก็เคยเกิดขึ้นกับผมเช่นกัน

ผมไม่ได้ห้ามไม่ให้คุณคิดถึงสิ่งเหล่านี้ เพราะมันห้ามไม่ได้อยู่แล้ว
ในฐานะผู้ชาย ที่เรื่องของศักดิ์ศรี ต้องมาเป็นที่หนึ่ง
การที่เราต้องมาเป็นที่สอง ที่สาม ไม่ต้องให้มากกว่านี้
เอาเป็นว่า ถ้าไม่ได้ที่หนึ่ง หรือเป็นคนแรก นอกนั้น จะที่เท่าไหร่ ก็ไม่ต้องการ

ผู้ชายบางคน หลอกฟันผู้หญิงไปเรื่อย หลอกเปิดบริสุทธิ์ไปเรื่อย
และเก็บเป็นความภาคภูมิใจ เอาไว้คุยทับถมกันในวงเหล้า
ว่ากรูคือผู้ยิ่งใหญ่ กรูคือผู้มีความสามารถ กรูคือชายเหนือชาย

ในมุมมองของผม ผู้ชายที่คิดแบบนี้ เขาไม่เรียกผู้ชายหรอก
เขาเรียกแค่เพศผู้ ที่มีอวัยวะเพศชี้ไปข้างหน้า เมื่อมีความต้องการเท่านั้น
และบาปกรรมที่เขาได้กระทำกับผู้หญิงเอาไว้ คงจะตามสนองเขาไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้า

ผมอยากถามคุณว่า คุณอยากแต่งงานกับเธอ ด้วยเหตุผลอะไร
อยากแต่ง เพราะเธอเป็นหญิงสาวบริสุทธิ์
หรืออยากแต่ง เพราะเธอเป็นคนดีและอยู่กับคุณได้

ถ้าอยากแต่งเพราะเธอเป็นสาวบริสุทธิ์ หลังจากจบพิธีงานแต่งแล้ว
ก็เก็บเอาเธอไว้บนหิ้ง ไม่ต้องไปทำอะไรเธอ
เพราะว่า ถ้าทำแล้ว เธอจะกลายเป็นคนไม่บริสุทธิ์ทันที

คนเราเกิดมา ไม่ว่าจะเป็นเพศไหน หญิงหรือชาย
ไม่มีใครสามารถรู้ล่วงหน้าได้หรอกว่า ใครคือคู่แท้ที่จะอยู่กับเรา
ถ้าเราสามารถรู้ล่วงหน้าได้ เราก็คงเก็บเอาความบริสุทธิ์ไว้ให้คู่ของเรา
แต่ในโลกของความเป็นจริง เราไม่สามารถรู้ได้เลย....

คนที่เรากำลังคบอยู่ตอนนี้ ณ เวลานี้ เราอาจบอกว่า คนนี้แหละคือคนที่จะอยู่กับเรา
เราจึงยอมมอบทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อเขา ยอมทำทุกอย่างเพื่อเขา...
แต่เมื่อถึงเวลาหนึ่ง มันกลับไม่ใช่ขึ้นมา และต้องเลิกลากันไป
ถามว่า ใครเป็นคนผิดหรือ หญิงหรือชายล่ะ ที่เป็นคนผิด
ผู้หญิงถูกประณาม แต่ผู้ชาย กับถูกยกย่องว่าสามารถเปิดบริสุทธิ์ได้

แล้วทำไมเราต้องไปโทษฝ่ายหญิงว่า เธอนั่นแหละ คือคนผิด
ผู้หญิงที่พลาดพลั้งมา เธอคือคนผิดหรือ
เธอคือคนไม่ดีอย่างนั้นหรือ
เธอต้องถูกประณามหยามเหยียดอย่างนั้นหรือ
เธอต้องไม่สามารถคบผู้ชายคนไหนได้อีกต่อไปงั้นหรือ
ถ้าเป็นอย่างนั้น ผู้หญิงทั้งโลกนี้ คงตายไปกว่าครึ่ง ด้วยความผิดที่ว่ามาข้างต้น

ผมรักแฟนของผมมาก และเธอก็รักผมมากเช่นกัน
แฟนผมเสียตัวตั้งแต่อยู่ชั้นมัธยมปีที่ 5
เธออยู่กับแฟนเก่าในบ้านโดยไม่ได้แต่งงาน ถึง 7 ปีกว่า ๆ
เคยท้อง และเคยทำแท้งมาแล้ว.....
หลายคนมองว่า ผมคือผู้ชายที่โง่ที่สุดในโลก ที่เลือกเธอ
แต่ผมกลับมองว่า ผมเป็นผู้ชายที่โชคดีที่สุดในโลก ที่ได้อยู่กับเธอ

อดีตเป็นสิ่งที่ผ่านไปแล้ว อนาคตเป็นสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
และปัจจุบันคือวันนี้ วันที่เรากำลังหายใจอยู่ตอนนี้
ผมไม่สามารถบอกได้ว่า ผมจะรักเธอตลอดไป เพราะมันเป็นอนาคต
แต่ผมสามารถบอกได้ว่า ผมรักเธอวันนี้ ตอนนี้ และเวลานี้....

คุณเจ้าของกระทู้ครับ การให้อภัย ถือว่า เป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่
มนุษย์ทุกคน ต้องการได้รับการให้อภัยจากคนอื่นเสมอ
แต่จะมีมนุษย์สักกี่คน ที่หยิบยื่นคำว่า ให้อภัย แก่คนอื่น

มีใครอยากจะทำผิดพลาดมั้ย ไม่มีหรอกครับ คุณก็เช่นกัน
ทำไมคุณไม่นึกถึงจุดนี้บ้างล่ะ

อย่างน้อยเธอก็ไม่ได้ไปสำส่อนอะไร เธอก็ไม่ใช่โสเภณีที่ซ่องไหน
ถึงแม้เธอจะเป็นโสเภณี แต่ถ้าเธอเป็นคนดีของสังคม
จะเป็นภรรยา และแม่ที่ดีของลูก ถึงแม้จะต้องเสียค่าสินสอดเพื่อแต่งงานด้วย
ผมว่า มันก็ยังคุ้มค่ากว่า ที่ไปแต่งงานกับสาวบริสุทธิ์
แต่สุดท้ายก็ไปด้วยกันไม่ได้ ต้องมาจบด้วยการหย่าร้างกันไป

คุณเลิกความคิดที่ว่า ไม่ใช่คนแรกของเธอแล้ว จะต้องเสียหน้า
เสียศักดิ์ศรี ต้องมาล้างจาน รับเศษเดน อย่างที่เขาว่ากัน
คนที่พูดแบบนี้ คือเพศผู้ที่เห็นแก่ตัวบนโลกนี้....
คือชายหนุ่มวัยรุ่น ผู้ที่ยังไม่มีความคิด และมองโลกในมุมมองที่แคบ
เพราะถ้าเป็นลูกผู้ชายแล้ว เขาจะไม่มีวันคิดแบบนี้แน่นอน

ถ้าทุกคนสามารถย้อนกลับไปแก้ไขในอดีตอันเลวร้ายได้
โลกใบนี้ คงมีแต่ความสงบสุข
และคุณก็คงไม่ต้องมานั่งตั้งกระทู้ถามแบบนี้แน่นอน

ทุกอย่าง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
มองให้เป็นสัจธรรมของชีวิต
คุณก็จะใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้ อย่างมีความสุข

ถึงแม้ว่าคุณจะไม่สามารถเป็นชายคนแรกของเธอได้
ถึงแม้ว่าคุณจะไม่ใช่คนดีที่หนึ่งของเธอ
แต่คุณก็สามารถเป็นคนดีที่สุดสำหรับเธอได้ ไม่ใช่หรือ....

ใช้เหตุ และ ผล ในการตัดสินใจ
อย่าใช้ความคิด อคติ อย่างผู้ชายทั่วไป

คุณอยากเป็นแค่คำว่า ผู้ชาย
หรืออยากเป็น ลูกผู้ชาย
คุณเลือกเองได้.... โชคดีครับ

ได้อ่านแล้วเป็นยังไง ยาวหน่อย แต่เป็นบทความที่อาจทำให้ใครหลายคนคิดได้ หรือ ได้คิดกันบ้าง ความรัก ออกแบบได้เสมอ

Offline ToppyRacingClub

  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 1382
Re: เรื่องทัศนคติครับ
« Reply #13 on: May 09, 2011, 10:02:02 am »
FW Mail ^ ^
          /
:yociexp72:

อาจารย์พรหม หรือ พระวิสิทธิสังวรเถร เป็นชาวอังกฤษ 
เป็นลูกศิษฐ์หลวงปู่ชา (เกจิอาจารย์ที่ท่านอาจารย์กมลวัลย์นับถือเป็นอย่างมาก) 
ก่อนจะไปก่อตั้งวัดป่าโพธิญาณใกล้เมืองเพิร์ธ ที่ออสเตรเลีย

ช่วงก่อตั้งวัดป่าโพธิญาณเมื่อปี ๒๕๒๖ พระอาจารย์พรหม เล่าว่า””
หลังจากซื้อที่ดินแล้วเงินก็แทบไม่เหลือ ต้องสร้างวัดด้วยมือของตัวเอง
ตั้งแต่ผสมปูนจนถึงการก่อกำแพงอิฐ..
 
ท่านเล่าว่า.. ตอนที่ลงมือทำก็รู้สึกว่า ได้ทำอย่างประณีตที่สุด 
จนกระทั่งกำแพงอิฐเสร็จสิ้นลง..

แต่พอถอยออกมายืนดู ก็พบว่า ก่ออิฐพลาดไป ๒ ก้อน..!!

อิฐกำแพงเรียงเรียบสวย แต่มีอยู่ ๒ ก้อนที่เอียง ๆ..
พระอาจารย์พรหมขอเจ้าอาวาสทุบกำแพงทิ้งเพื่อก่อใหม่ 
แต่เจ้าอาวาสไม่ยอม..

จากนั้นเป็นต้นมา.. ทุกครั้งที่พระอาจารย์พรหมพาแขกเยี่ยมวัด
ท่านจะพยายามหลีกเลี่ยงไม่พาแขกเดินผ่านกำแพงบริเวณนี้..
เพราะอายที่ก่ออิฐผิดพลาดไป ๒ ก้อน..
จนกระทั่งวันหนึ่ง.. พระอาจารย์พรห?กำลังเดินกับผู้มาเยี่ยมวัดคนหนึ่ง..
เขาเห็นกำแพงอิฐนี้แล้วก็เปรยขึ้นมาว่า "กำแพงนี่สวยดี"..

พระอาจารย์พรหมถามด้วยอารมณ์ขันว่า.. 
"คุณลืมแว่นสายตาไว้ที่รถหรือเปล่า คุณไม่เห็นหรือว่า
มีอิฐ ๒ ก้อนที่ก่อผิดพลาดจนกำแพงดูไม่ดี.."

แต่แล้ว ผู้มาเยี่ยมชมคนนี้ก็เอ่ยประโยคที่ทำให้
พระอาจารย์พรหมเปลี่ยนแปลงทัศนคติทั้งหมดที่เคยมีต่อกำแพงนี้
พร้อมกับเปลี่ยนแง่มุมที่มีต่อชีวิต..
ผู้เยี่ยมชมคนนั้นบอกว่า.. "ผมเห็นอิฐที่วางไม่ดีสองก้อนนั้น 
แต่ผมก็ได้เห็นด้วยว่า.. มีอิฐอีก ๙๙๘ ก้อนที่ก่อไว้อย่างสวยงาม"

"นับเป็นครั้งแรกในรอบ ๓ เดือน ที่อาตมาสามารถมองเห็นอิฐก้อนอื่น ๆ 
บนกำแพงนั้น นอกเหนือจากเจ้า ๒ ก้อนที่เป็นปัญหา..

ไม่ว่าจะเป็นอิฐที่อยู่ด้านบน ด้านล่าง ด้านซ้าย และด้านขวา
ของเจ้าอิฐ ๒ ก้อนนั้นล้วนแต่เป็นอิฐที่ก่อไว้อย่างดีไม่มีที่ติ..

ยิ่งไปกว่านั้นจำนวนอิฐที่ดี มีมากกว่าเจ้าอิฐไม่ดี ๒ ก้อนนั้น"

ช่วง ๓ เดือนที่ผ่านมา.. สายตาของพระอาจารย์พรหมเฝ้ามองแต่อิฐ ๒ ก้อนนั้น 
ท่านยอมรับว่าสายตาของท่าน??ืดบอดต่อสิ่งอื่น ๆ..
ท่านอยากทลายกำแพง เพราะมองเห็นแต่อิฐ ๒ ก้อนที่ผิดพลาด..!!

แต่ทันทีที่ความรู้สึกเปิดกว้าง มองเห็นอิฐก้อนดี ๆ จำนวนมากบนกำแพงนี
กำแพงเดิมที่อยากทลาย ก็กลับงดงามขึ้นมาทันที..

"ใช่ ... กำแพงนี้สวยดี"
พระอาจารย์พรหมหันไปบอกกับผู้มาเยี่ยมคนนั้น

จนถึงวันนี้.. พระอาจารย์พรหมก็นึกไม่ออกแล้วว่า.. 
อิฐก้อนที่ผิดพลาด ๒ ก้อนนั้นอยู่ตรงไหนของกำแพง


“ทัศนคติ” ในการมองโลกที่เปลี่ยนแปลง 
ทำให้อิฐ ๒ ก้อนนั้นเลือนหายจากความทรงจำ
พระอาจารย์พรหมเปรียบเปรยว่า คู่ชีวิตที่ตัดสัมพันธ์ 
หรือหย่าร้างกันก็เพราะทั้งคู่เพ่งมองแต่ "อิฐที่ไม่ดี ๒ ก้อน" 
ในตัวคู่ชีวิตของเขา...

คนที่คิดท้อแท้ อยากฆ่าตัวตายก็เพราะเรามองเห็นแต่ "อิฐ ๒ ก้อน" ในตัวเราเอง

ทั้งที่ในความเป็นจริง นอกจาก "อิฐ ๒ ก้อน" ที่ผิดพลาดแล้ว 
ยังมี "อิฐก้อนที่ดี" และ "อิฐก้อนที่ดีจนไม่มีที่ติ" มากมายอยู่ในตัวเรา
เพียงแต่เรามองไม่เห็นเท่านั้น
ท่านอาจารย์พรหมเตือนสติว่า..

อย่าให้ความผิดพลาดของ "อิฐที่ไม่ดี" เพียง "๒ ก้อน"
 ทำให้เราต้องทำลายกำแพงดี ๆ จนพัง..

Offline ToppyRacingClub

  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 1382
Re: เรื่องทัศนคติครับ
« Reply #14 on: May 10, 2011, 08:30:14 am »
FW Mail ^ ^
          /
:yociexpress01:

ลื๊อมีร่มไม๊...แค่คำนี้ นิสัยผมเปลี่ยนทันที    
   
ปกติไม่ได้เข้าห้องนี้เท่าไหร่ แต่ช่วงนี้ทำงานอยู่ต่างประเทศ แล้วว่างๆ ก็นั่งดูโน่นนี่เล่นไปเรื่อยๆ แล้วเห็นว่าห้องนี้มีวัยรุ่นเยอะดี รวมถึงมีเรื่องรักๆใคร่ๆ ทั้งสมหวังผิดหวัง น่ารักน่าชัง เศร้า สุข ทุกข์ เหงา ครบรส ก็เลยทำให้คิดถึงเมื่อก่อน ตอนเป็นวัยรุ่น...จริงๆตอนนี้ก็ไม่แก่นะครับ แค่ 30 พอดีเอง 555
เห็นเรื่องรักๆแล้ว ก็อยากแชร์เรื่องของตัวเองให้น้องๆ เพื่อนๆ ได้อ่านกันเล่นๆซะหน่อย เผื่อว่าจะได้ข้อคิดอะไรบ้าง
สมัยก่อน ผมเป็นคนที่จริงจังกับความรักมาก ทุ่มเทกับแฟน หรือสาวที่จีบแบบสุดๆ จีบก็จีบทีละคน รักใครรักจริง takecare กระจายไม่ได้กลัวตัวเองเหนื่อย ยอมประหยัดเงินสารพัด ทำงานพิเศษ ได้เงินมาเลี้ยงแฟน อะไรอย่างนั้น ฟังๆดู ก็เหมือนวัยรุ่นทั่วไปอ่ะนะครับ แต่การเรียนก็ไม่ให้เสียนะครับ ผมก็ตั้งใจเรียนด้วย เพราะสัญญากับป๊าและม้า (พ่อกับแม่)ไว้ ว่าจะเอาเกียรตินิยมอันดับหนึ่งมาให้ท่าน ซึ่งสุดท้ายก็ทำได้จริงๆ [เก่งไม๊เล่า ขออวดหน่อย :)]
แต่ยังไงก็แล้วแต่ ด้วยความที่รักแฟนมาก แน่นอน เราย่อมมีเวลาให้แฟนอย่างที่สุด จนลืมนึกถึงคนที่รักเราและดูแลเรามาตลอดทั้งชีวิต อย่างป๊าและม้า หลายๆครั้งท่านทั้งสองก็ห่วงเรา คอยเตือนเรา เพราะคุยโทรศัพท์ก็เสร็จดึก วันธรรมดาเรียนเสร็จก็ต้องไปส่งบ้าน กลับบ้านดึกมาก ข้าวก็กินดึก กับข้าวที่ม้าทำไว้ให้ บางทีก็ไม่ได้กิน เพราะไปกินกับแฟนแล้ว วันเสาร์อาทิตย์ ก็ไปหาแฟน เก็บเงินไว้ซื้อของให้แฟน หายใจเข้าออกเป็นสาวคนนั้นเลยทีเดียว เวลามีให้แฟนมากกว่าที่มีให้ตัวเองและป๊าม้า หลายๆครั้ง ป๊าม้าคอยเตือน เพราะท่านห่วงเราว่าจะไม่ได้พักผ่อน กลัวเหนื่อย กลัวเสียการเรียน แต่เราก็อดที่จะหงุดหงิดไม่ได้ มีปากเสียงกับท่าน ทำให้ท่านเสียใจไปก็คงไม่น้อยหล่ะ (รู้สึกผิดจริงๆ)
ทีนี้ แน่นอนว่า ความรักผม มันไม่ได้ยืนยาวหรอกครับ....และแล้ว มันมาถึงจุดสิ้นสุดของความรัก แต่ก็เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตด้วยเหมือนกัน....
....ช่วงใกล้ๆเลิกกับแฟน เพราะแฟนคนนี้ มีหนุ่มมาจีบใหม่ ซึ่งแน่นอน...ดีกว่าผมทุกอย่าง ยกเว้นหน้าตา 5555 (อันนี้ให้หลายๆคนตัดสินนะนั่น ไม่ได้คิดเองนะคร๊าบบบบบ).....แฟนเริ่มเปลี่ยนไป หงุดหงิดเราง่ายขึ้น ไม่คุยเหมือนเดิม ไม่ได้เที่ยวกันเหมือนเดิม แล้วยังไงดีหล่ะ เราก็เสียใจ หงุดหงิดเหมือนกัน อารมณ์แปรปรวน ว๊ากที่บ้านไปก็มีบ้าง เวลาคนที่บ้าน ป๊าม้า พี่น้องเตือนเรา ก็คนมันหงุดหงิดอ่ะนะ ทำไงได้
แล้ววันที่ทำให้ผมคิดได้ก็มาถึง
วันนั้นผมทำงานที่มหาลัยเสร็จค่ำมาก หน้าฝน แน่นอน ฝนตกหนัก...ระหว่างผมนั่งรถเมล์กลับบ้าน ก็คิดถึงแฟน (ที่กำลังจะเลิกกัน) ก็เลยโทรหา บทสนทนาคร่าวๆ:-

ผม: อยู่ไหนครับ ทำอะไรอยู่ ฝนตกหนักหรือเปล่าตรงนั้น
แฟน: กำลังกลับบ้าน ตก มีอะไรก็รีบๆพูด
ผม: มีร่มไม๊
แฟน: ไม่มี
ผม: แล้วทำยังไง เดี๋ยวตากฝน ไม่สบายนะ
แฟน: ไม่เป็นไร จัดการเองได้ โตแล้ว
ผม: แล้วกินอะไรหรือยัง
แฟน: ยัง ยังไม่หิว
ผม: กลับบ้านดีๆนะ ถ้าฝนตกหนัก หาที่หลบก่อน รอฝนซาแล้วค่อยกลับ ดูแลตัวเองด้วย เป็นห่วง
แฟน: (เริ่มหงุดหงิด) อืม รู้แล้ว ไม่มีอะไรใช่ไม๊ แค่นี้นะ !! ..... แล้วก็วางหูไป

ตอนนั้น ผมอยู่บนรถเมล์แล้วนะครับ หลังจากวางหูไป ผมเสียใจมาก เพราะว่าเราหวังดี ไม่คิดว่าจะทำให้รำคาญ....และแล้ว จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดก็มาแล้ว เสียงโทรศัพท์ดังครับ......

ผม: ฮัลโหล
ป๊า: (เรียกชื่อผม) ลื๊ออยู่ไหนเนี่ย
ผม: อยู่บนรถเมล์ ป๊ามีอะไร กำลังกลับบ้าน
ป๊า: กินข้าวหรือยัง
ผม: ยังอ่ะ
ป๊า: เออๆ ที่บ้านอาม้าทำกับข้าวไว้แล้ว มี (บอกชื่อกับข้าว)
ผม: อืม
ป๊า: แถวบ้านฝนตกหนักนะ ลื๊อเอาร่มไปหรือเปล่าเนี่ย
ผม: ไม่มีอ่ะ ไม่ได้เอามา
ป๊า: อ้าว แล้วเดี๋ยวลงรถ จะทำไง จะตากฝนกลับบ้านเหรอ (จากป้ายรถเมล์ ผมต้องเดินอีกไกลกว่าจะถึงบ้าน)
ผม: อืมๆ ไม่เป็นไร เดี๋ยวลุยกลับบ้านไป แป๊ปเดียว ไม่เป็นไรหรอก
ป๊า: เออๆ เอางี๊ ลื๊อลงรถแล้วโทรหาป๊า เดี๋ยวป๊าเอาร่มไปรับ
ผม: ไม่เป็นไรป๊า เดี๋ยวเค้ากลับเอง (ผมใช้แทนตัวเองว่า “เค้า” กับป๊าและม้ามาตั้งแต่เด็กๆ...ดูเป็นลูกแหง่เนอะ ^^”)
ป๊า: เออๆ ลงรถแล้วโทรมาละกัน แค่นี้แหละ....วางหู

....สังเกตอะไรกันไม๊ครับ...

...บทสนทนาผมกับแฟน แทบจะเหมือนกับที่ป๊าพูดกับผมเลย...นั่นหล่ะครับจุดเปลี่ยน

...ในขณะที่เราห่วงใครบางคน ใครก็ไม่รู้ ผู้หญิงที่รู้จักมาไม่เกิน 2 ปี รัก และพยายามดูแลทุกอย่าง จะโดนด่าให้เจ็บช้ำน้ำใจขนาดไหนก็ทนเหลือเกิน จะห่วงเค้า แล้วเค้าเห็นค่าของเราหรือเปล่าก็ไม่รู้
...แต่มีชายหญิงคู่หนึ่ง รักเรามากกกกกก มากจริงๆ ถึงแม้จะไม่เคยพูดว่ารักเลย แต่การแสดงออก มันใช่ ต้องใช่แน่ๆ มันเป็นอะไรที่พูดยาก.....เอ้ย เริ่มเป็นเพลง...เอาใหม่ๆ
...มีชายหญิงคู่หนึ่ง ก็พ่อแม่เรานี่หล่ะ รักเรามาก ไม่เคยหวังผลตอบแทน ห่วงเราได้ทุกสถานการณ์ ต่อให้เราเคยหงุดหงิด มีปากเสียงกับท่าน ถามว่าท่านโกรธไม๊....แหะๆ ก็คงมีบ้าง แต่ท่านก็ไม่ได้คิดอะไร และสุดท้ายความโกรธนั้นก็หาย และท่านก็ยังรัก หวังดี แล้วก็ห่วงเราเหมือนเดิม
แต่แปลก ทำไมเราต้องไปสนคนอื่น แคร์คนอื่น ไปเสียใจ เพราะคนอื่นไม่รัก โอย ฟูมฟายกันเลยทีเดียว ตอนเลิกกับแฟน
เราเสียใจให้กับคนที่เรารัก แล้วไม่รักแล้ว....แล้วรู้ไม๊ว่า
คนที่รักเราที่สุดในโลก พ่อแม่เรา เค้าเสียใจมากขนาดไหน ที่เห็นเราเสียใจ เห็นเราเป็นทุกข์
เราเคยคิดอย่างนี้กันบ้างหรือเปล่า
กับคนที่เรารัก เราซื้อของให้ มีเวลาให้ ดูแลสารพัด takecare สารพัด
กับคนที่รักเราที่สุดในโลก เราเคยซื้อของดีๆแพงๆให้บ้างไม๊ เคยพาท่านไปดูหนัง เคยเลี้ยงข้าวท่าน เคยดูแลท่านเหมือนนี่ทำกับแฟนไม๊
แปลกดีเนอะ....เราไปรัก แล้วก็ดูแลใครก็ไม่รู้ เพิ่งรู้จักกันแค่ไม่นาน
แต่คนที่เราเห็นหน้ามาตั้งแต่ลืมตาดูโลกครั้งแรก ไม่เคยคิดจะดูแล
....นี่หล่ะครับ ความคิดที่ออกมาทั้งหมด หลังจากแค่ป๊าถามว่า....แล้วลื๊อมีร่มไม๊
ตั้งแต่วันนั้น ผมเปลี่ยนเป็นคนละคนเลยครับ ไม่สนคนอื่นแล้ว ถึงผมจะมีแฟนใหม่ ผมดูแลแฟนผม แต่แน่นอน ไม่เท่ากับที่ผมดูแลคนที่บ้าน
ผมบวชให้ป๊าให้ม้า
ผมเลิกเหล้า เลิกบุหรี่ เพื่อป๊ากับม้า
ผมพาป๊า ม้า ไปกินข้าว กินอาหารในร้านอาหารนอกบ้านบ่อยขึ้น  อยู่บ้านมากขึ้น  (แหงหล่ะสิ ก็ถึงตอนนี้ มันโสดนี่หว่า จะให้ไปเที่ยวที่ไหน) พาป๊าม้าไปทำบุญที่วัดบ่อยเท่าที่มีโอกาสผมซื้อของขวัญเล็กๆน้อยๆให้ป๊ากับม้า ทุกครั้งที่ได้มาทำงานหรือดูงานต่างประเทศ ถึงแม้บางที จะทำเป็นบ่นว่าซื้อมาทำไม แพงเปลืองตังค์ แต่...แหนะ อย่ามาแอ๊บ เห็นนะว่าแอบยิ้ม 
และแน่นอนครับ ผมมีความสุขมากขึ้น มากขึ้นมากๆจริงๆ เพราะว่า
ผมเห็นคนสองคน ที่รักผมมากที่สุด และผมก็รักเค้าทั้งสองคนมากที่สุด มีความสุข
.......จบบริบูรณ์...

ขอขอบคุณทุกท่านที่อดทนอ่าน หวังว่าคงช่วยทำให้น้องๆเพื่อนๆหลายๆคน หันมารักพ่อแม่มากขึ้นนะ แล้วก็ทำใจได้เร็วขึ้น ถ้าผิดหวังจากคนรักมาอ่ะนะ..อย่าลืม พ่อแม่มีไว้ให้รักให้ดูแลนะครับ ไม่ได้มีไว้ให้ขอเงินไปซื้อของ กับกินขนม :)

บุญรักษาครับ
« Last Edit: May 10, 2011, 08:32:22 am by TopRacingClub »