Bike Forum > my bike diary / my life diary

กพ 56

<< < (3/6) > >>

O'Pern:
11 กพ 56
   ขี่จักรยาน 30 นาที เดินวิ่งถอยหลังสลับกับเดินหน้า คิดหาวิธีออกกำลังกายใหม่ๆ จะได้ไม่เบื่อ ใกล้สว่างขี่จักรยานไปซื้อโจ๊กกินกับลูกคนละถุงแล้วก็ไปส่งเขาที่โรงเรียน
   ผมก็ไปร้านขายของต่อ ปกติร้านเราจะหยุดตรุษจีนกัน แต่ปีนี้ไม่หยุด ร้านเปิดปกติ แต่คนงานเขาก็หยุดกันเอง ขาดงานกันไปหลายคน แล้วก็ตามฟอร์ม เขาไม่อยู่ กูก็ต้องทำแทน
   เริ่มด้วยแบกของไปส่งลูกค้าในตลาดที่อยู่ห่างไปสัก 500 เมตร ถ้าให้ผมเลือกก็จะใส่รถเข็นแล้วก็เข็นไป แต่แปลกที่เจ้านายสั่งให้ผมแบกไป ไม่อยากถาม ไม่อยากมีข้อสงสัย ก็เลยทำตามไปด้วยความงง
   ตอนสายก็ไปลงของในโกดัง ช่วยคนงานเขาเข็น และยกของ มาเสร็จเอาใกล้เที่ยง ไปธนาคารต่อ และกลับมาอยู่เฝ้าร้านจนบ่ายแก่ๆ ถึงได้ไปรับมิว
   มิวกำลังเล่นบาสฯ ผมนั่งดูอยู่สักพักใหญ่ ขากลับเขาขอซื้อน้ำชาเขียวโออิชิ ผมไม่อยากให้กินมากเกินไป เลยต่อรองเป็นน้ำสตอเบอรี่ปั่นใน Big C แทน
   กลับมาถึงบ้านมิวเปิดคอมเล่นเกมก่อนเลย บอกว่าโชคดีวันนี้ไม่มีการบ้าน เล่นเกือบ 2 ชม เห็นจะได้ ช่วงนี้มิวเล่นเกมเยอะมาก ผมไม่ชอบเลย ได้แต่บ่นเตือนเขานิดๆ
   หัวค่ำผมเป็นเหี้ยอะไรก็ไม่รู้ มาโวยวายใส่ลูก โมโห ระเบิดอารมณ์ด้วยการชกประตูไป 2 ทีดังๆ เลย ก่อนหน้านั้นก็ขว้างหนังสือการ์ตูนที่กำลังอ่านไป 1 ครั้ง
   ไม่อยากโทษอะไรเด็ก ผมโทษตัวเองที่ควบคุมอารมณ์ได้ไม่ดีพอ กลัวจะทำอะไรไปมากกว่านี้ เลยลงมาเดินเร็วออกกำลังกายที่หน้าบ้านสัก 10 นาที ยืนสูดลมหายใจลึกๆ เต็มปอดสัก 10 ครั้ง ถึงจะสงบอารมณ์ลงได้
   คงเป็นเพราะผมคาดหวังในตัวเขามากเกินไปมั้ง ผมให้ในทุกๆ อย่างที่ผมไม่เคยได้รับในตอนเด็ก ล่าสุดวันก่อนก็สอนเขาเรื่องพ่อแม่รังแกฉัน เพราะกลัวว่าตัวเองจะเป็นแบบนั้น
   ผมผิดเอง ผมคิดไปเอง ผมหวังไปเอง
   ผมผิดเองคนเดียว

O'Pern:
12 กพ 56
   ตื่นมาเจ็บมือ ดีที่เลือดไม่ไหล ชกประตูด้วยสันหมัด เป็นการระบายอารมณ์ที่ไม่ดีเอาเสียเลย ตอนที่เจ็บใจ เสียใจ ผมชอบชกกำแพง แต่ไม่ได้ชกกันพร่ำเพรื่อนะ ตั้งแต่เกิดมาชกแค่ไม่กี่ครั้ง แต่ชกแบบเต็มแรงเลยล่ะ มือแตกก็มี
   อารมณ์ จิตใจ ผมเป็นอะไรก็ไม่รู้ มันเหมือนไม่ใช่ตัวเอง แต่รู้อย่างหนึ่งว่ามันเกิดจากสภาพจิตใจที่ถูกกดดันมาตลอด นานเข้าก็ระเบิด มาเสี่ยใจตรงที่ระเบิดลงกับลูกนี่แหละ เขาเป็นเด็ก เขารู้ว่าผมไม่ชอบงานที่ต้องทำทุกวัน แต่เขาไม่รู้ว่าจิตใจผมมันหดหู่เพียงใด
   ผมเคยหนีออกจากบ้าน 1 คืน ตอนอายุ 15 แอบไปตอนดึก และกลับมาตอนเช้า ไม่มีใครที่บ้านรู้เลย อารมณ์นั้นมันจะกลับมาในอีก 30 ปีให้หลัง แต่คราวนี้ผมไปนานกว่า 1 คืนแน่ๆ ครั้งนั้นไปด้วยความคับแค้นใจ คราวนี้ก็คล้ายๆ กัน แต่มันบอกไม่ถูกจริงๆ เหมือนคับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก
   ไม่รู้สินะ ผมอาจไม่กล้าหนีไปจริงก็เป็นได้ มันเหมือนคิดแก้แค้นให้เจ็บแสบ แบบทำอะไรใครไม่ได้ ก็ทำตัวเองมันซะเลย คล้ายทำประชดชีวิต ประมาณนั้น
   เบื่อโคตรๆ เลยว่ะ ไม่ได้โทษอะไรใครนะ ผมยินดีและเต็มใจที่จะมาอยู่ตรงนี้แบกรับความเบื่อเองด้วยความสมัครใจ เป็นการยอมแบบธรรมชาติ ยอมจากใจจริง แม้ในใจจะไม่ชอบเลยก็ตาม
   ขี่จักรยานตอนเช้าเหมือนเดิม แต่จิตใจต่างออกไปจากวันก่อนๆ เยอะมาก รู้สึกไม่สนุก
   เช้าไปส่งลูกโดยไม่ได้พูดกันสักคำ รู้สึกอึดอัดเหมือนกัน เพราะว่าเราสนิทกันมาก เลี้ยงเองมากับมือตั้งแต่เกิด ตลอดวันทำงานก็แสนจะเบื่อหน่าย เต็มไปด้วยความไม่สบายใจ
   เย็นไปรับลูก นั่งดูเขาเล่นบาสฯ ราว 1 ชม แล้วถึงขึ้นรถกลับ
   “มิว เรื่องเมื่อคืนพ่อขอโทษนะลูก”
   “มิวก็ขอโทษพ่อเหมือนกันครับ”
   พอได้เอ่ยปากออกไป ความสุขความสบายใจก็เข้ามาแทนที่ การที่ผมขอโทษเขาก่อนครั้งนี้ นอกจากจะได้ปลดเปลื้องความไม่สบายใจในตัวเองแล้ว ยังเป็นการสอนให้เขารู้จักคำว่าขอโทษอีกด้วย และที่ดีใจที่สุดก็คือการที่เขาเอ่ยปากขอโทษกลับมาด้วย นั่นคือเขาเข้าใจสิ่งที่ผมต้องการสื่อแล้ว

O'Pern:
13 กพ 56
   ตื่นสายครับ นอนเพลิน ขนาดนอนไม่ดึกแล้วนะนี่ ทำได้แค่เดินไปมาเล็กน้อย
   อยู่ที่ทำงาน หยิบนิตยสารแพรวเล่มเดือน มค 56 มาอ่าน ด้านในมีคอลัมน์พวกคนดัง เจอคนหนึ่งเขาบอกเป็นนักออกแบบรถยนต์คนแรกของประเทศไทย
   พอได้ยินพวกคำว่า คนแรก คนเดียวในไทย ผมจะหูผึ่ง เพราะไม่เชื่อครับ
   ไม่ใช่แน่ๆ นักออกแบบรถยนต์คนแรกในไทยไม่ใช่เขาแน่ และไม่ใช่ผมอีกเช่นกัน
   ก่อนหน้าผมก็ต้องมีคนเคยทำงานด้านนี้มาก่อนแล้ว เพียงแต่เขาไม่อยากจะโด่งดัง เก็บตัว และไม่อยากเป็นข่าว คนไทยเก่งๆ มีเยอะมากนะครับ เจ๋งจริงๆ ล้วนเป็นพวกแบบ Low Profile นามสกุลไม่หรู ดูแล้วไม่ดัง ก็เลยไม่ค่อยเป็นข่าว พวกนักข่าวสายสังคมบันเทิงยิ่งไม่อยากเล่นเข้าไปใหญ่ เพราะเขียนไปก็เท่านั้น มันไม่มีกระแสตามมา แถมพวกเทพระดับนี้ก็ชอบที่จะเป็นคนเงียบๆ อยู่เบื้องหลังของความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ติสต์ตัวจริง
   วงการออกแบบรถยนต์ปัจจุบันนี้มันเปลี่ยนพลิกโฉมไปมากแล้ว ย้อนหลังไป 20 กว่าปี บริษัทรถต่างๆ ยังไม่ได้รวมกันเป็นกระจุก เป็นเหมือนสหกรณ์แบบในปัจจุบัน แต่ละค่ายก็ต่างคนต่างออกแบบกันเอง เรียกว่าหากเป็นเซียนรถตัวจริง แค่เห็นเส้นโครงร่าง ก็รู้ว่าเป็นรถของค่ายใด บางคนเห็นเส้นของเสา A และหลังคานิดเดียวก็ยังรู้ ยกตัวอย่างรถของ Volvo / Saab / BMW / Mercedes Benz / Peugeot ตัวเก่าๆ เลยนะครับ
   ผมโชคดีที่ใช้ชีวิตอยู่ในช่วงของรอยต่อนั้น เจอตั้งแต่บริษัทที่มีฝ่ายวิจัยพัฒนาและออกแบบเอง และบริษัทที่เป็นบริษัทลูก (เน้นขาย และเติมเต็มช่องว่างการตลาด) ยกตัวอย่าง Daihatsu จะเป็นบริษัทลูกของ Toyota พอรุ่นพี่คิดนวัตกรรมอะไรแปลกใหม่ได้ แต่ยังไม่อยากลองกับแบรนด์ตัวเอง (คือยังไม่กล้าเสี่ยง กลัวฟีดแบ็คไม่ดีแล้วโดนด่า) ก็เลยให้บริษัทลูกเอาไปเล่นก่อน ถ้าเวิร์คแล้วก็ค่อยเอามาใส่ในรถของค่ายตัวเอง แต่ถ้าไม่เวิร์คก็ปล่อยให้มันเจ๊งไปกับ Daihatsu นั่นแหละ Toyota ไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลยแม้แต่น้อย เอาง่ายๆ ก็คือให้ลูกเป็นหนูทดลอง เราเลยเห็นรถ Daihatsu มีลูกเล่น หรือรูปทรงแปลกๆ ดูน่ารัก ออกมาให้เห็นบ่อยกว่า ไอ้พวกที่เก็บของกระจุกกระจิกนี่แหละตัวดีเลย รถ Daihatsu มีมาเป็นสิบปีแล้ว ส่วนรถของ Toyota เพิ่งจะเอาเข้ามาใช้บ้าง
   ปัจจุบันแทบจะไม่มีค่ายใดที่เป็นเจ้าของรถยี่ห้อเดียว แม้กระทั่งแบรนด์ดังระดับโลกอย่าง Ferrari ยุคแรกเลยนี่เป็นบริษัทเครือเดียวกับ Fiat (Fiat คือรถแห่งชาติของอิตาลี) หลายชิ้นส่วนในเครื่องยนต์ของ Ferrari ก็ใช้ของ Fiat จนถึงทุกวันนี้ ไม่ต้องอะไรมาก ดูที่หัวรถแข่ง F1 ของ Ferrari ก็มีตรา Fiat ติดอยู่
   อีกตัวอย่างคือ Lamborghini แรง แพง ระดับเทพ ก็ตกเป็นของค่าย Audi มากว่า 5 ปีแล้ว พอ Audi เข้าควบกิจการปุ๊บ ก็เอาเทคโนโลยีเครื่อง V10 มาใส่ใน Audi R8 ของตัวเองซะ แล้วก็ออกตัว Gallardo ที่เป็น Lamborghini ตัวแรกที่เปิดประตูแบบธรรมดา ทั้งๆ ที่เอกลักษณ์ของเขาคือประตูแบบ Scissor Door ฟีดแบ็คดีก็ทำต่อ ถ้าไม่ดีก็โละทำใหม่ ให้ผู้บริโภคตัดสิน แต่ในสายตาผมแล้วประตูแบบ Scissor Door มันคือเอกลักษณ์ของ Lamborghini ไม่น่าจะตัดทิ้งไปนะ
   เล่าคร่าวๆ ให้พอเห็นภาพเรื่องพวกการตลาด แต่ในโลกของงานดีไซน์มันลึกลับกว่านั้นเยอะ เชื่อหรือไม่ว่าค่ายรถสวย หรู ทั้งดังระดับโลก ไม่ได้ออกแบบเอง ไม่มีทีมออกแบบเป็นของตัวเอง !!!
   คุยเรื่องพวกนี้กับผม คุยได้ยาวมากๆ หลายเรื่องพูดคุยเล่าได้ และอีกหลายเรื่องไม่ควรเล่าในบันทึกนี้
   เริ่มแรกผมก็ออกแบบมาเป็นคันๆ เหมือนคนทั่วไปเขาทำ แต่พอทำไปสักพักก็เปลี่ยนแนว กลายเป็นว่าผมถอยออกมา แต่กลับมีคนใหม่เดินตามรอยแทน เปรียบเหมือนผมกำลังเทขายหุ้นทิ้ง แล้วมีคนรีบมาช้อนซื้อน่ะครับ แต่โลกของงานดีไซน์มันไม่แปรผันเร็วเหมือนตลาดหุ้น ดีไซน์เก่าๆ คือเอ้าท์แล้ว ถ้าจะรอให้กลับมาฮิต ก็ต้องใช้เวลาถึง 30 ปี !!!
   รู้ไหมว่าดีไซน์ Retro ฮิตได้อย่างไร ทำไมถึงฮิต รถคันใดคือรถ Retro คันแรกของโลก และฝีมือใคร
   ผมชอบรถยนต์เหมือนกับที่หลายๆ คนเป็น แต่ไม่ได้เล่นมาในแนว ซิ่ง แต่ง แข่ง โม แม้แต่น้อย มีรถคันล่าสุดคันเดียวที่แต่งมันเสียเต็มที่สำหรับดริฟท์ เพราะผมเขียนคอลัมน์ดริฟท์ไปด้วย
   ไอ้คำว่าแต่งเต็มที่ของผมน่ะ มันไม่เหมือนพวกรถวัยรุ่นแต่งซิ่งเขาทำกันนะ ผมทำโดยคำนึงถึงการใช้งานเป็นหลัก ไม่ได้มีมาตรวัดเรียงกันเป็นตับบนแผงคอนโซล ไม่มีมาตรวัดรอบตัวโตๆ บนคอพวงมาลัย ไม่มีอะไรเหมือนที่พวกรถซิ่งเขามี แต่กลับมีในสิ่งที่พวกซิ่งเขาไม่มีแทน เช่น ตัวฉีดน้ำอินเตอร์คูล และการระบายความร้อนออกจากห้องเครื่องยนต์
   อีกแล้วล่ะ ผมขับดริฟท์เป็นคนแรกๆ และเขียนคอลัมน์ดริฟท์เป็นคนแรกในนิตยสาร Automobil Racing Cars ในปี 96 (ยุคแรกชื่อ Automobil Special News)
   นี่คือแนวของผมเลยนะ มันกลายเป็น Signature ไปแล้วว่าหากคิดทำอะไรจะต้องแปลกใหม่ แหวกแนว คิดไม่ถึง เจ๋ง จนปี 99 ก็ทำ Racing Club ออกมาด้วยความซ่า สุดๆ (อยู่ได้แป๊บเดียว เจ๊ง) (แต่ไม่ต้องห่วง ยังไงก็ต้องมีการล้างแค้น)
   วันนี้ว่างเยอะ เล่าเรื่องอดีตอีกแล้ว
   เย็นไปรับลูก ช่วงนี้มิวเล่นบาสทุกวัน ก็ดีครับ จะได้ตัวสูงๆ หน่อย เด็กวัยนี้ต้องพัฒนาร่างกายให้มาก แล้วการพัฒนาสมองมันจะตามมาเอง

O'Pern:
14 กพ 56
   วันขายดอกกุหลาบแห่งชาติเวียนมาอีกครั้ง ปากคลองตลาดรถติดแน่นหนึ่บแบบไม่ขยับ ไปส่งของทีก็หายไป 3 ชม คนงานก็ยังคงขาดงานอย่างสม่ำเสมอ ร้านเลิกงานดึกจึงเป็นเรื่องปกติ
   เข้าเฟซบุ๊คเจอเวปของหนังสือจักรยานแจกฟรี ผมก็สนใจสิ เอ๊ะ มันจะมาแนวไหน แนวเดียวกับเราไหม ยังไงกันแน่ ส่งข้อความคุยกัน เขาบอกแจกฟรีจริง แต่ต้องส่งซองเปล่าติดสแตมป์จ่าหน้าซองถึงตัวเองส่งไปให้เขา อืมม มันก็โอเคนะ ไม่ใช่เรื่องลำบากอะไร แต่ผมไม่มีซองใหญ่ขนาดนั้นที่จะใส่นิตยสารน่ะสิ เลยยังไม่ได้จัดการ
   คิดแล้วเจ็บใจนะ ผมคิดทำหนังสือจักรยานมาหลายปีแล้ว ได้แต่คิด ดีแต่ฟุ้งซ่าน กลายเป็นว่าหากทำตอนนี้ก็ต้องเป็นคนที่ “ก็อป” คนอื่นเขา เซ็งไปเลย แต่ก็สมน้ำหน้าตัวเองที่ดีแต่คิด คิดแล้วไม่ลงมือทำก็แบบนี้แหละ สมน้ำหน้ามึง
   เกลียดการก๊อปมากๆ เลย ผมว่ามันไม่ค่อยแมนว่ะ หรือเป็นเพราะผมมาแนวของ Designer ก็เป็นได้นะ ตอนที่ต้องออกแบบหนักๆนี่ ผมไม่อ่านหนังสืออะไรของใครเลย เดินทางท่องเที่ยวล้วนๆ เพื่อหาแรงบันดาลใจ เหตุผลของผมก็คือ หากผมอ่านหนังสือแล้วชอบงานของใครสักคนเข้า มันจะเมมเข้าสมองทันที แล้วสักวันกลัวที่มันจะหลุดออกมา กลายเป็นว่า ผมก็อปของนักออกแบบท่านนั้น
   แต่ถึงอย่างนั้นนะ ยังคงมีหลายอย่างที่นักออกแบบคิดออกมาแนวทางเดียวกัน ถ้าเป็นแบบนี้ผมจะดีใจครับ คือเรามองตรงกัน โดยมากมักจะเป็นพวกฟังชั่นในการใช้งาน เช่นแผงประตูทำนูนๆ ออกมา ใช้สำหรับเท้าแขนได้
   เย็นไปรับมิว แวะร้าน SE-ED ตาถลน เห็นหนังสือจักรยานชื่อ Crank วางขาย รีบเปิดดู เพิ่งทำออกมาเป็นเล่มที่ 2 ราคา 90 บาท สิ่งแรกที่ผมทำคือดูว่าใครเป็นคนทำ ตามมาด้วยดูหน้าโฆษณาว่าเขามีกี่หน้า เล่มนี้เขามี 8 ตัว แต่ขอโทษ เป็นแอทตัวโตๆ บิ๊กๆ เห็นแล้วโคตรอิจฉาเลย อยากมีแบบนี้บ้าง แนวทางหนังสือก็กลางๆ ครับ เป็นแบบสองภาษา ตรวจปรู๊พกันเหนื่อยมากแน่ ต้องให้คนแตกฉานภาษาอังกฤษมาตรวจทาน
   เป็นไงล่ะมึง ตอกย้ำอีกครั้งว่ามึงเป็นคนดีแต่คิด เป็นพวกฝันเฟื่องไปวันๆ วันนี้วันเดียวเจอไปสองดอกเต็มๆ ทั้งหนังสือแจกฟรี และหนังสือวางแผง
   เดินจ๋อยกลับบ้านไปเลย

O'Pern:
15 กพ 56
   เรื่องหนังสือจักรยานยังไม่จางหายไปจากหัว กลับคิดทวีคูณขึ้นไปอีก เราต้องทำให้เจ๋งกว่าเขาให้ได้
   แต่ดูสภาพร่างกายและจิตใจตัวเองตอนนี้แล้วมันไม่แรงเหมือนตอนหนุ่มๆ สมัยทำ Racing Club เลยว่ะ ตอนนี้จิตใจมันห่อเหี่ยวเพราะโดนดองอยู่ในร้านขายของมาสิบกว่าปี มีโรคปวดหลังเป็นของขวัญจากครอบครัวให้มา กับอายุที่แก่ขึ้น ความใจถึง ความกล้าบ้าบิ่นมันน้อยลงไปมาก สุดท้ายคือเงิน หมดไปเยอะในช่วงสิบกว่าปีมานี้ เพราะทำงานโดยไม่รับเงินเดือนเลย
   ไม่ชอบงานที่ร้านไง ก็เลยไม่รับ ผมเป็นของผมแบบนี้แหละนะ ทำอะไรก็ขอให้ใจรักเป็นอันดับแรก เรื่องเงินเป็นเรื่องท้ายๆ ถ้าไม่เจ็บป่วย ถ้าไม่ฟุ้งเฟ้อ ก็อยู่ได้ไม่ยาก
   ช่วงนี้เลยมีจักรยานเป็นเพื่อนสนิทที่สุด แต่ก็มักจะขี่เองคนเดียวเพราะว่างไม่เหมือนชาวบ้านเขา พอบ่อยเข้าก็กลายเป็นคนสันโดษ เข้ากลุ่มกับใครเขาไม่เป็น
   น้องอัน มือกราฟฟิคส่งภาพการ์ตูนและงานฝีมือมาให้ดูแล้ว ก็โอเคดีครับ ดีกว่าผมวาดเองเยอะ ฝีมือ Drawing ของผมห่วยมากเลยนะ ตอนทำงานนี้ผมจะส่งงานด้วยภาพสเกชต้นแบบ ยังดีที่มีทีมงานคอยช่วยขัดเกลาแบบร่างและลงสเกลให้ ขั้นตอนนี้เหมือนการเจียระไนเพชร เพราะภาพต้นแบบบางทีมันเป็นแค่เส้นร่าง โครงคร่าวๆ เท่านั้นเอง บางคนดูไม่รู้เรื่อง อย่างเก่งก็เขียนไอเดียเพิ่มลงไปอธิบายภาพให้เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร

Navigation

[0] Message Index

[#] Next page

[*] Previous page

Go to full version