12 เมษ 52
เช้าวันอาทิตย์แสนจะสดชื่น เลยออกไปอัดจักรยานมาซะ 60 กม กลับมาบ้านค่อยโล่ง ปลอดโปร่งหน่อย ช่วงหลังๆ ของการเปั่นเบาะของผมมันทรุดตัวดัง กึก หัวเบาะทิ่มๆ ลงเล็กน้อย กลายเป็นว่าตำแหน่งแบบนี้จะดีสำหรับการก้มตัวลงต่ำลดแรงต้านอากาศ เลยปล่อยให้เบาะมันทิ่มอยู่อย่างนั้นแหละ ดกลับมาบ้านค่อยว่ากันอีกที
เส้นทางที่ผมปั่นประจำจะต้องผ่านหมาหลายตัว ไล่เห่าบ้าง มองดูเฉยๆ บ้าง ผมชินซะแล้ว แต่วันนี้มีตัวหนึ่ง ตัวไม่ใหญ่ ดูเหมือนเป็นหมาเด็กๆ แต่ตัวก็ไม่เล็กมากขนาดลูกหมา มันมีสีสันและรูปทรงคล้ายกับหมาตัวเก่าของผมที่วิ่งออกจาบ้านแล้วหนีหายไป หมาผมชื่อ ไอ้โม่ง ครับ
ผมเจอหมาน้อยตัวนี้ประจำ ทุกทีก็มองเฉยๆ ไม่เห่าไล่ แต่วันนี้มันวิ่งไล่ผม ผมตกใจมาก รีบเบนรถหลบ กลัวมันเข้าประชิดตัว แต่แปลกใจตรงไม่ได้ยินเสียงเห่า ผมชลอรถช้าลง มันก็วิ่งช้าตาม แถมสั่นหางกระดิกๆ
เอ๊ะ ท่าทางมันเป็นมิตรนี่หว่า แปลกมาก ตั้งแต่เกิดมาเพิ่งเจอหมาเป็นมิตรก็วันนี้แหละ เลยกลายเป็นลดความเร็วให้มันวิ่งตาม พอไกลมากเข้ามันก็หยุดวิ่งและเดินกับถิ่นตัวเองไป
ลักษณะเส้นทางของผมจะต้องวนผ่านจุดที่หมาน้อยนี้นอนอยู่หลายครั้ง ทุกครั้งที่ผ่านมันก็จะลุกขึ้นวิ่งตามผมอย่างสนุกสนาน พลอยทำผมรู้สึกสนุกสนานไปด้วย
ช่วงสายผมจอดรถเพื่อปิดไฟและถอดเก็บเข้ากระเป๋า หมาน้อยมันก็มานอนหมอบราบอยู่ข้างรถ หน้าของมันชิดกับวงล้อเลย
ไอ้โม่ง มานี่ๆ ผมทึกทักเอาเอง เรียกมันว่าไอ้โม่ง ชื่อเดียวกับหมาตัวเก่าของผม
เรารู้จักกันแล้วนะ เราเป็นเพื่อนกันนะ ดูแลตัวเองด้วยนะ ผมพูดคุยกับมันพร้อมกับลูบหัว ยื่นแขนให้มันดมกลิ่น มันไม่ตอบอะไรนอกจากสั่นหางอย่างเดียว
ที่จริงน่ะ ยังมีหมาอีกตัวที่ท่าทางเป็นมิตร ตัวมันใหญ่โต ผมเรียกมันว่า เบน มาจากเบนจี้ เป็นชื่อหมาในหนัง ผมเคยดูตอนหนุ่มๆ จำได้ว่าเป็นหมาฉลาด แต่หมาตัวนี้ยังไม่เคยเล่นด้วยกัน มันไม่เคยวิ่งไล่กวดผมเลย เราเจอกันทุกเช้าอยู่เสมอ มันชอบนอนหมอบอยู่บนผิวถนน โชคดีที่เป็นถนนซอยตัน เลยไม่มีรถผ่านมากนัก
เบน กับ ไอ้โม่ง มักจะนอนเล่นอยู่ใกล้ๆ กัน แต่ย่านนั้นมีหมาอีกเป็นสิบตัวเลย
ขาผมหายเจ็บแล้ว มีแค่ตึงนิดๆ ไม่น่าจะถือว่าเป็นอาการเจ็บนะ ผมรู้สึกว่าการปั่นจักรยานช่วยให้ขาผมหายเร็วขึ้น เมื่อหลายปีก่อนตอนผมย่อตัวย่อเข่าจะได้ยินเสียง แก๊ก ที่หัวเข่า แต่ทุกวันนี้ไม่มีเสียงดังกล่าวแล้ว มันเกิดจากการปั่นจักรยานอย่างต่อเนื่องมาทุกเช้านั่นเอง
กลางวันผมไปทำธุระที่เดอะมอลล์ท่าพระ อดใจไม่ไหว ซื้อสลัดบาร์กลับมามา 1 กล่อง อิ่มมาก แต่กลับหยิบช็อคโกแลตดาร์คเข้าปากอีกหลายชิ้นหลังอาหาร บ่ายอากาศร้อนอบอ้าวมากๆ ดูเหมือนฝนจะหายแล้วกระมัง นี่คงเข้าฤดูร้อนสุดๆ อย่างเป็นทางการ
13 เมษ 52 (เกาะช้าง จ ตราด)
ออกเดินทางแต่เช้า เพราะต้องขับรถไกลถึง 350 กม และต้องไปต่อเรือข้ามเกาะอีกสัก 30 นาที ขับสบายๆ ไม่เร่งรีบ แต่ไปภาคตะวันออกทีไรผมเบื่อตรงต้องขับรถย้อนแสงทุกที โดยเฉพาะการออกเดินทางช่วงเช้าๆ พระอาทิตย์กำลังขึ้นไง แดดก็เริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ ช่วง 8 โมงจะแยงตาเอามากๆ ที่บังแดดของรถมันอยู่สูงเกินไป ช่วงนี้ต้องทนเอาเอง แต่อีกสักแป๊บเดียวก็หายแล้ว
ผมเดินทางไปภาคตะวันออกนี้บ่อยที่สุดเลยครับ สมัยหนุ่มๆ ผมเล่นเรือใบที่พัทยาประจำ เล่นจนซื้อบ้านพักไว้บนเขาพระตำหนัก สมัยนั้นพวกคอนโดฯอะไรยังไม่ฮิตกันมากนัก ปัจจุบันขายบ้านพักไปแล้ว เพราะไม่ค่อยได้ไปถี่เหมือนเมื่อก่อน
ตอนสมัยทำงานทดสอบรถยนต์ก็ยิ่งต้องเดินทางไปสนามพีระฯบ่อยๆ เหมือนกัน ภาคตะวันออกอีกแล้ว ผมพอมีประสพการณ์มาบ้าง จึงเลือกที่นั่งเลือกทำเลที่จะโดนแดดน้อยที่สุด แนะนำให้เลือกที่นั่งฝั่งขวาครับ แต่ถ้าชอบความนุ่มนวลของรถยนต์ด้วย ก็ต้องเลือกที่นั่งกลางลำรถ หากใครเมารถแนะนำให้นั่งหน้า มองไปข้างหน้าไกลๆ จะช่วยได้มาก
ผมไปกันแค่ 3 คน มีภรรยาและลูกเท่านั้น กลางวันแวะทานอาหารทะเลร้านดังที่อำเภอ ขลุง จ ตราด ก่อนถึงท่าเรือข้ามฟากสัก 30 นาที ภรรยาชอบอาหารทะเล แต่ผมเฉยๆ ผมแกะไม่ค่อยเป็น หากให้เลือกก็จะเป็นพวกกุ้ง เพราะแกะง่ายสุด
ถึงที่พักชื่อ Dewa เอาตอนบ่าย 2 ระหว่างทางผมสำรวจเส้นทางอย่างละเอียด ถนนบนเกาะช้างแคบมาก หากเป็นช่วงขึ้นเขาแล้วจะไม่มีไหล่ทางให้หลบกันเลย รถสวนกันได้ 2 คันพอดีๆ ขนาดมีมอเตอร์ไซค์ขับช้าอยู่ข้างหน้า เรายังต้องรอจังหวะไม่มีรถสวน ถึงจะแซงเขาได้ ส่วนทางพื้นราบนั้นพอจะมีไหลทางกว้าง แต่ก็กลายเป็นที่จอดรถไปเสียหมด
ถนนแบบนี้ขี่จักรยานยากครับ
1 ยากเพราะทางแคบ อันตราย
2 ยากเพราะไม่คุ้นเคยสภาพเส้นทาง
3 ยากเพราะไม่คุ้นเคยสภาพผิวถนน
ความยากทั้ง 3 อย่างมารวมตัวกันให้เราแก้ไขปัญหาในคราวเดียว
พื้นผิวถนนโดยรวมเป็นทางลาดยาง แต่ไหล่ทางมักจะขรุขระ และบางช่วงเป็นลูกรัง ด้านหลังของเกาะบางช่วงมีน้ำกันเซาะผิวถนน ทำให้ขุรขระเป็นแนวยาว ขับรถยนต์ไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิด แต่มันคือปัญหาใหญ่ของจักรยานเลย
เย็นพากันไปเดินเล่นริมชายหาด โรงแรมที่พักของ Dewa สวยงามมาก สไตล์ Modern ปูนเปลือย สระว่ายน้ำปูกระเบื้องสีดำ เจ้าของชวนผมมาพักนานแล้ว เพิ่งจะมีโอกาสวันนี้เอง
แต่บรรยากาศด้านริมทะเลยังไม่ค่อยประทับใจนัก สู้หาดแม่รำพึง จ ระยอง ไม่ได้ แม่รำพึงเป็นหาดทรายกว้างใหญ่ แถมยาวถึง 12 กม ตอนหนุ่มๆ ผมเอารถยนต์ รถมอเตอต์ไซค์ ลงไปขับเล่นบนพื้นทรายประจำ ปัจจุบันแม่รำพึงอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเสม็ด จึงไม่มีพวกเรือเร็ว เจทสกี หรือพวกเครื่องเล่นต่างๆ รวมถึงบาร์เบียร์ที่ผมสุดแสนจะเกลียด ไชโยๆ ๆ
เป็นอันว่าไม่ได้เล่นน้ำทะเลกัน ได้แค่เดินเล่นเลาะชายฝั่ง จากนั้นก็ไปทานอาหารเย็นร้านท้องถิ่นของชาวบ้านกัน
กลางคืนเปิดแผนที่เกาะ (หยิบฟรีได้บนเรือข้ามฟาก) วางแผนเส้นทางการปั่น ระยะทางรอบเกาะไม่มากนัก แค่ 60 กม แต่ด้านท้ายเกาะเส้นทางยังไม่สมบูรณ์ ผมทราบแค่นี้
14 เมษ 52
คนมันเคยตื่นเช้า ต่อให้เหนื่อยขนาดไหนก็ยังลุกไหว ออกมาปั่นตอนตี 5 แต่มันมืดฉิบเป๋งเลยครับ ลำพังแค่ทางราบน่ะพอไหว แต่ขึ้นเขามืดๆ นีอันตรายมาก ยิ่งลงเขายิ่งสุดยอดใหญ่เลย เพราะมองไม่เห็นทาง ผมไต่ไปได้เนินเดียวก็ถอดใจแล้ว
จึงเปลี่ยนเส้นทางไปยังด้านหน้าเกาะแทน ผมมุ่งหน้าไปยังท่าเรือ ช่วงแรกยังมืดมากๆ ทนปั่นช้าๆ ค่อยๆ ไป จนถึงช่วงเนินเขา แม้ฟ้าจะเริ่มสว่างแล้ว แต่บนเกาะต้นไม้ใหญ่ปกคลุมมาก ผมยังมองไม่ค่อยเห็นทางอยู่ดี ถึงตรงนี้อยากได้ไฟหน้าแบบชนิดโคมส่องกระจาย และแบบพุ่งส่องเป็นลำมาใช้สัก 2 อัน
เนินเขาที่เกาะช้างนี้สูงชันอย่างมากครับ ไม่ค่อยเป็นทางลาดสูงทีละนิดๆ เหมือนเส้นทางในภาคเหนือ จู่ๆ มันก็ตั้งชันขึ้นมาอย่างนั้นแหละ เอาๆ ไม่เป็นไร เรามาเพื่อหาสิ่งนี้มิใช่หรือ
ผมเลือกใช้รถ KHS F20-W ในภารกิจนี้ครับ เพราะพับเก็บใส่รถได้ จานหน้ามี 3 ใบ มีตะแกรงหน้าหลังครบครันพร้อมให้ผมใส่สัมพาระบนจักรยานได้ หากมีการปั่นข้ามเกาะกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เส้นทางที่รถยนต์เข้าไปไม่ถึง
แต่ข้อเสียของรถ F20-W ก็อย่างที่เคยเล่าน่ะครับ มันพับยาก พับแล้วไม่เล็ก พับแล้วเกะกะ
ขึ้นเขาสูงชัน ได้ใช้จานหน้าใบเล็กตลอดทางครับ เฟืองหลังก็เลือกเบอร์ใหญ่สุด ซึ่งรถผมคันนี้ให้เฟือง 32 ฟันมา ผมชอบใจมาก ได้ใช้ตลอดทางเลย
ทางขึ้นสูงชัน ทางลงก็ต้องชันตามครับ ตอนขึ้นก็ปั่นด้วยความอดทน แต่ตอนลง แทนที่จะได้ไหลลงเร็วๆ สบายๆ กลับกลายเป็นว่าต้องกดเบรกกันตลอดทาง เพราะมันชันมาก ลงไปแป๊บเดียวก็หักมุม 90 องศาเลย หากไม่เบรกกันตั้งแต่ยอดเนิน ปล่อยให้รถไหลแรงๆ แล้วมาเบรกกลางทาง ทำให้เราต้องกดเบรกแรง และล้อจะล็อคได้ง่าย การทำให้ล้อล็อคขณะลงเนินนี้คือการฆ่าตัวตายดีๆ นี้เอง เพราะข้างทางนี้ตกลงไปก็เป็นเหวเลยครับ สูงเป็นร้อยๆ เมตรเลย
เสียงเบรกของรถผมดังมากๆ มันดังเหมือนช้างร้อง กลายเป็นว่าเข้ากับบรรยากาศดีแท้ แต่ผมไม่ชอบเบรกดังๆ นี้เลยนะ ไม่รู้จะปรับตั้งอย่างไรดีเหมือนกัน คงต้องถอดรื้อออกมาแล้วประกอบใหม่หมด ตั้งแต่ขี่จักรยานมาเป็นสิบๆ ปี เพิ่งจะมีรถที่เบรกแล้วดังก็คันนี้แหละ
เส้นทางสูงชันยังมีอยู่ต่อเนื่องครับ ขึ้น 10 นาที ลงแค่ 10 วินาที จากนั้นก็ขึ้นอีกแล้ว สลับๆ กันเช่นนี้ ขาขึ้นนั้นเหนื่อย แต่ขาลงก็เสียว และเสี่ยง เบรกใครไม่ดีมีหวังแย่
บางช่วงของเส้นทางมันโหดมากๆ ชันแล้วชันอีก แถมมีเลี้ยวหักคดเคี้ยว โหดเหลือเกินครับ แถมอุปกรณ์ของผมก็ไม่มีความพร้อมเอาเสียเลย ผมใส่เสื้อแขนสั้น กางเกงขาสั้น รองเท้าแตะ มีแค่นี้แหละ เพราะกะจะมาแค่ปั่นเล่นนิดๆ หน่อย ๆไม่คิดว่ามันจะโหดสาหัสขนาดนี้
ยังดีได้แป้นเหยียบอแดปเตอร์มาใส่กับบันได Shimano XT ผมจึงเหยียบบันไดได้เต็มเท้าหน่อย ไม่งั้นแย่กว่านี้อีกเยอะ และคงถึงกับปั่นไม่ได้กันเลย ขอบคุณคุณเจษฎาจาก thaimtb อีกครั้งครับสำหรับอุปกรณ์ชิ้นนี้ที่ส่งมาให้ผม
ปกติผมปั่นแล้วไม่ชอบพักครับ มันดูเสียสถิติยังไงพิกล (ทั้งๆ ที่ไม่ได้แข่งอะไรกับใครเขา) แต่กับเกาะช้างแล้วผมขอพักครับ ทั้งๆ ที่ขาทนไหว ใจเรายังไหว แต่ผ่านจุดชมวิวแล้วมันอดใจไม่ได้ ทิวทัศน์สวยเหลือเกิน ผมยืนอยู่บนยอดหน้าผา มองลงไปเห็นเกาะเล็กเกาะน้อยอีก 2-3 เกาะ ลมพัดเบาๆ กำลังสบาย แดดก็ไม่แรง อากาศก็ดี สูดแรงๆ ไปหลายปืด
ทนปั่นโหดๆ ไปอีกสักพักผมก็มาถึงท่าเรือ เส้นทางโหดเหลือเกิน จนไม่รู้จะพูดอย่างไร ใครเคยขับรถยนต์มาเที่ยงคงจะนึกภาพออก
เนื่องจากเส้นทางคับแคบมาก แถมไม่มีไกลทาง ยังสูงชันอีกด้วย ขามาผมถามเจ้าหน้าที่ท่าเรือเขาไว้ว่าเรือรอบแรกมากี่โมง เขาว่า 0630 นั่นคือราว 0700 ก็จะมีรถยนต์คันแรกมาเหยียบเกาะช้างแล้ว
ผมต้องลงเขาให้เสร็จก่อน 7 โมงครับ ยังดีที่ระยะทางบนเขานั้นมีไม่ไกลมากนัก ไม่กี่กิโล ปัญหาอยู่ที่ความสูงชันต่างหาก
จากที่พักมาถึงตรงนี้ทำระยะทางไปได้แค่ราว 18 กม ใช้เวลาไป 1 ชั่วโมงเศษ เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเส้นทางขึ้นเขา
ขากลับผมทำเวลาได้ดีกว่าเดิม เพราะจำเส้นทางได้บ้าง แต่ก็ยังคงต้องเบรกแรงๆ เลี้ยงรถไว้ขณะลงทางลาดชันอยู่ดี มีอยู่แค่ช่วงสั้นๆ เองมั้ง ที่ปล่อยให้รถไหลได้ไกลหน่อย แต่ไหลเร็วๆ ในเส้นทางแบบนี้มันเสียวมากๆ กลัวจะเบรกไม่อยู่ กลัวจะเบรกแล้วล้ม ล้มแล้วเจ็บอย่างมากแน่นอน รถพังอีกด้วย
ถึงที่พักเอาตอน 0730 ภรรยาและลูกเล่นน้ำกันอยู่ในสระ สักพักเราอาบน้ำกันและทานอาหารเช้าของโรงแรม ไม่น่าเชื่อว่าผมกินไม่ยั้งเลย อะไรที่เคยเลี่ยงไม่กิน มาตอนนี้หยิบกันมันดะ ทั้ง French toast, Waffle, Pancake ราดน้ำเชื่อมเมเปิ้ล แต่ก็ยังเลือกกินของมีประโยชน์และหากินยากอยู่ด้วยล่ะ เช่นพวกขนมปังแบบ Dark Bread, Rye พวก Cereal ก็เลือกกินแบบ Whole Grain, Oat, Barley อะไรพวกนี้ ตบท้ายด้วยสลัดผลไม้ราดด้วยโยเกิร์ต
โรงแรมนี้มีห้องให้นั่งพักผ่อนด้วย เป็นเหมือน Living Room มีโทรทัศน์ให้ดู มี DVD ให้ยืมไปดูส่วนตัวบนห้อง มีหนังสือให้อ่าน มีเกมแบบไม่ใช้ไฟฟ้าให้เล่น เช่นหมากรุก หมากฮอส และโดมิโน อ้อ มี Internet ให้ใช้ด้วย แค่คิดชั่วโมงละ 150 บาทแน่ะ โหดเหลือหลาย ลูกผมชอบเล่นโดมิโนครับ ก็เลยเล่นกันอยู่นานหน่อย
กลางวันพากันไปกินส้มตำไก่ย่าง ร้านี้คนแน่นเลย รสชาติอร่อยดี แต่ยังสู้ร้านแถวบ้านผมในกรุงเทพฯไม่ได้
ผ่านน้ำตกคลองพลู ผมพาภรรยาและลูกเข้าไปเดินป่าเล่นน้ำตกกัน เป็นการเดินแบบ Trekking ของแท้ เดินกันถึง 1 กม ยังดีนะแค่เดินเท้า ไม่ถึงกับปีนป่าย เดินจนเหงื่อชุ่มตัว แดดแรงจัด แต่กลับส่องไม่ถึงตัวผมเลย เพราะความสูงของต้นไม้มันบดบังไปหมด
น้ำตกสวยครับ ผู้คนลงแช่น้ำกันเต็มไปหมด โดยมากจะเป็นผู้ใหญ่ มิวอยากเล่นน้ำด้วย แต่ผมกลัวเขาอันตราย สถานที่ไม่คุ้นเคย เราไม่รู้เลยว่าตรงไหนไม่ปลอดภัยบ้าง เลยแค่พากันลุยๆ แช่เท้าพักผ่อน
บ่ายกลับมาพักผ่อนที่ห้อง ดูทีวีเห็นข่าวความไม่สงบในเมืองหลวงแล้วรู้สึกหดหู่ยังไงพิกล จับไอ้พวกนี้มาปั่นจักรยานแข่งกันคงน่าดูไม่น้อย เอาทีมเสื้อเหลือ มาสู้กับทีมเสื้อแดง ฮ่าๆ
เย็นว่ายน้ำกันอีกรอบ จากนั้นก็ไปกินที่ร้านอาหารทะเล มิวชอบกินปลากระพงทอดราดน้ำปลา ส่วนผมชอบอะไรก็ได้ที่แกะง่ายๆ ถ้าปลาก็ชอบแบบเลาะก้างออกแล้ว ส่วนพวกหอยนี้ไม่ค่อยชอบ จะกินก็เพื่อประโยชน์แก่ร่างกาย เช่นหอยนางรม หอยแมลงภู่
ครอบครัวเรานอนกันแต่หัวค่ำครับ
15 เมษ 52
เมื่อวานผมปั่นไปด้านหน้าเกาะ ซึ่งเป็นท่าเรือ ราว 0700 จะเริ่มมีรถยนต์ทะยอยกันเข้ามาเป็นสาย วันนี้ผมเลือกไปด้านท้ายเกาะแทน แต่ผมออกปั่นตอน 0600 เพราะไม่อยากปั่นในความมืดเลย
ออกไปได้แค่ 1 กม ก็เจอเนินแรกแล้วครับ ยังไม่ทันวอร์มอะไรเลย หากใครมี Heart Rate Monitor ผมแนะนำให้ถอดออกก่อนครับ เพราะเอาแค่เนินแรกผมว่า Heart Rate ของท่านก็พุ่งปรี๊ดแล้ว เสียงเตือนตี๊ดๆ ๆ คงทำให้ปั่นไม่สนุกแน่ๆ
ผ่านเนินแรกไปแป๊บเดียวก็เอาอีกแล้ว มันค่อยๆ สูงขึ้นๆ เรื่อยๆ บางช่วงก็หักตั้งสูงชันโหดไม่แพ้ด้านหน้าเกาะเลย ต่างกันตรงที่ว่าด้านหน้าเกาะนั้นมันมีทางชันเฉพาะช่วงหน้าเกาะ ช่วงท่าเรือ หลังจากนั้นก็จะเป็นพื้นราบ หรือเนินเล็กเนินน้อย แต่ไอ้ด้านท้ายเกาะนี้มันโหดเสียยิ่งกว่าครับ เนินต่อด้วยเนินล้วนๆ ทางลาดลงก็มี แต่ชันสุดๆ ผมปล่อยเบรกให้รถไหลไปสัก 3 วินาที จากจุดหยุดนิ่ง รถมีความเร็วถึง 50 กม/ชม อัตราเร่ง 100 กม/ชม ใน 6 วินาที อัตราเร่งนี้พอๆ กับ Porsche 911 Turbo เลยนะครับ สัมผัสได้โดยแค่ปล่อยรถไหลลงอีกด้วย ไม่ต้องอัดเร่งอะไรเลย อ้อ ถ้าใครใช้เสือหมอบ หรือ MTB ก็จะได้ความเร็วสูงกว่าผมอีกเยอะเลยครับ
ผมใช้เบรกอย่างหนักมากๆ เสียงช้างร้องดังก้องไปทั่ว ผ่านฝูงลิงป่าเขายังตกใจ
ด้านท้ายเกาะนี้ไม่ค่อยมีโรงแรมที่พักแล้วครับ เป็นป่าไปหมด บางช่วงเป็นหน้าผา ผ่านจุดชมวิวทีไร ผมต้องขอจอด วิวสวยเหลือเกิน มองไปไกลสบายตา สูดอากาศลึกๆ ได้อย่างเต็มที่ ไม่มีควันรถ รู้สึกสบายใจ ปลอดโปร่ง นี่ถ้าบ้านผมอยู่แถวนี้ก็ดีสินะ ได้ออกกำลังกายเต็มที่เลย
ยิ่งเข้าไปลึกด้านท้ายเกาะ ผู้คนก็ยิ่งน้อยลง จนไปถึงสุดท้ายของเกาะจริงๆ ถึงขนาดเห็นนกเงือกกันเลย นกเงือกเขาอยู่เฉพาะที่เงียบๆ จริงๆ เท่านั้นครับ หากมีคน มีรถ นกเงือกจะไม่อยู่
ด้านปลายเกาะมีหาดทรายเล็กๆ อยู่สองสามแห่ง เงียบสงบดี สวย มันห่างไกลความเจริญก็จริง แต่นี่แหละ คือเสน่ห์ของแหล่งท่องเที่ยว
เส้นทางยังคงเป็นเนินสูงและทางลาดชันตลอดทางเลยนะครับ มีพื้นราบก็แค่ช่วงสั้นๆ ไม่กี่ร้อยเมตรเอง
ช่วงปลายของเส้นทางด้านท้ายเกาะนี้จะวกเข้าไปในป่าทึบ เป็นป่าจริงๆ เลยนะ ทางแคบขนาดแค่มอเตอร์ไซค์ขี่สวนกัน หากนำรถยนต์ไปก็ต้องถอยหลังออกยาวตลอดสัก 1 กม คนขวัญอ่อนไม่ควรมาคนเดียวครับ เพราะจะได้ยินเสียงแปลกๆ เหมือนเราไม่ได้อยู่คนเดียว
ไม่น่าเชื่อว่าในป่าลึก ผมเจอผู้หยิงคนหนึ่งนั่งยองๆ กับพื้น ข้างๆ มีลูกนั่งเล่นบนพื้นดิน มีมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งจอดอยู่ ผมถามว่าเส้นทางนี้ทะลุไปอีกฟากของเกาะได้ไหม เขาตอบ ไม่รู้ เขาไม่เคยไปถึง
ผมปั่นต่อไปจนสุดเส้นทาง พบว่าเส้นทางโดนน้ำป่าพัดจนขาด ผมปีนลงไปดู มองหาทางจะพาจักรยานข้ามไป แต่มันสูงจากระดับถนนมาก น่าจะมีคนช่วยหย่อนรถผมลงมาให้ จะได้แบกลุยปั่นต่อไปได้
ขากลับที่ผมวกออกมา ผมไม่เจอผู้หญิงและเด็กตัวเล็กแล้ว หากเขาขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปผมต้องได้ยินเสียงเครื่องของรถสิ ป่าเงียบขนาดนี้ เป็นเรื่องแปลกที่ไม่มีข้อสรุป
เป็นอันว่าการปั่นด้านท้ายเกาะผมทำได้แค่นี้ ระยะทางพอๆ กับด้านหน้าเกาะครับ แต่ความโหดของเส้นทาง ผมให้คะแนนมากกว่าเท่าตัว และหากให้เลือกปั่น ผมยังคงเลือกเส้นทางด้านท้ายเกาะ เพราะรถยนต์น้อยกว่า เงียบสงบกว่า
ขากลับผมทำเวลาได้ดีกว่าขามา เพราะต้องเร่งความเร็ว กลัวภรรยาและลูกเขารอนาน น้ำดื่มของผมหมดเกลี้ยงนานแล้ว หาซื้อก็ไม่มี มีแต่ป่า มีแต่ลิง ปั่นไปน้ำตกอันหนึ่งด้านท้ายเกาะ ไปถึงก็เจอแต่น้ำตกแห้งๆ ไม่มีน้ำ
อดทนปั่นจนไปถึงโรงแรมแห่งหนึ่ง เจ้าหน้าที่ด้านหน้ายิ้มให้ ผมเลยเข้าไปขอน้ำ เขาเต็มใจเทให้ ผมขอแค่ครึ่งเดียว แต่เขาเติมให้เต็มกระติกเลย
ได้น้ำแล้วแรงมาทันทีครับ ต้องเร่งแข่งกับแสงแดดด้วย ผมออกปั่นสาย ทำให้เริ่มร้อนแล้ว บางช่วงเห็นมีรถสองแถวขับรับนักท่องเที่ยวมา นั่นคือเริ่มมีรถข้ามฝั่งเข้ามาแล้ว
เนินที่เราลงตอนขามา ขากลับเราต้องปั่นขึ้นครับ ไอ้ที่ว่าลงโหดๆ ลงชันๆ ไอ้นี่แหละตัวดีเลย ผมปั่นแบบนั่งไม่ได้ เพราะว่านั่งแล้วมันจะหงายหลังเอา ต้องยืนโยกและโน้มตัวไปด้านหน้า ตำแหน่งของหัวผมอยู่ราวๆ ดุมล้อหน้าครับ ลองนึกภาพดูว่าปั่นสภาพนี้ไปตลอดเนินเขา
ขึ้นชัน ลงโหด เป็นเรื่องธรรมดา แต่อย่างที่บอกคือลงเร็วไม่ได้ ทางมันแคบ ทางมันหักศอก ข้างทางเป็นหน้าผาสูงชัน ลงทีไรต้องกดเบรกแรงๆ ตลอดทาง พี่ช้างมาแล้วจ้าาา
อัดแบบหอบๆ จนมาถึงที่พักเอาตอน 0830 แดดแรงเหลือหลาย อาบน้ำและทานอาหารเช้ากัน ผมหิวจัดเลยกินเสียหลายอย่าง เลือก Omltee ทานกับไส้กรอก และขนมปังข้าว Rye (มันไม่ค่อยอร่อยเหมือน French Bread หรอกนะ แข็งๆ สากๆ ฝืดคอ แต่ผมกินเพราะว่ามันหายาก ชีวิตประจำวันผมไม่ค่อยได้กิน อยากกินอาหารให้มันหลากหลายเท่านั้นเอง)
กินอย่างละนิด อย่างละหน่อย แป๊บเดียวก็อิ่ม ผมชอบเคาเตอร์หนึ่งเขามีเจ้าหน้าที่ยืนคั้นน้ำส้มสดๆ ให้เลย ผมสั่งมาเสีย 3 แก้ว เผื่อลูกและภรรยาด้วย ดื่มแล้วสดชื่นดีจริงๆ
ทานเสร็จมิวชวนไปเล่นโดมิโนอีกแล้ว เขาคงติดใจ เล่นกันสองเกม จากนั้นเราก็เก็บข้าวของกลับบ้าน มิวบอกคิดถึงบ้านมากๆ
ออกจากโรงแรมสิบโมงกว่า แต่ขึ้นเรือได้ก็เกือบเที่ยง คิวที่ท่าเรือยาวมากๆ ผมเห็นแล้วเบื่อเลย ต้องนั่งรอในรถร้อนๆ อยู่นาน ด้านนอกรถก็ไม่มีที่หลบร้อนเตรียมไว้ กลายเป็นว่าต้องอยู่ในรถแทน
แต่พอขึ้นเรือได้ก็รู้สึกดีใจ อากาศสดชื่นดี ผมมองเกาะช้างค่อยๆ ถอยห่างออกไป มองภาพรวมทั้งเกาะ มองเกาะอีกด้านที่ผมยังไม่เคยปั่นไปสำรวจมันเลย ทั้งสองวันนี้ผมปั่นได้แค่ครึ่งเกาะเท่านั้นเอง เป็นครึ่งเกาะด้านที่มีโรงแรมที่พักอยู่มาก ส่วนอีกด้านเป็นที่เงียบสงบ ซึ่งผมชอบมากกว่า ใช่เลย คราวหน้าผมจะไปอีกด้านของเกาะนี้ให้ได้
แวะทานอาหารกลางวันที่ จ ตราด เป็นต้มเลือดหมู รสชาติอร่อยดีมาก ดีกว่าร้านในกรุงเทพฯอีกหลายร้านเลย ราคาแค่ชามละ 30 บาท
ช่วงขากลับพี่เจี๊ยบโทรมาคุย แต่ผมเป็นคนไม่ชอบคุยขณะขับรถ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนมีผู้อื่นร่วมเดินทางด้วย กลัวเขาจะรำคาญ เลยขอพี่เจี๊ยบว่าเดี๋ยวผมโทรกลับ
แต่เมื่อก่อนนี้ตอนผมยังไม่มีครอบครัว ผมคุยตลอดทางเลยนะ ไม่ได้คุยโทรศัพท์นะ แต่เป็นการคุยวิทยุสื่อสารแบบ VR ผมว่าไอ้นี่แหละตัวแก้ง่วงของจริง เปิดวิทยุทีไร เป็นได้คุย ไม่เคยง่วงเลย สอบถามเส้นทางก็ได้ แต่ส่วนใหญ่ผมจะเอาไว้ถามว่าร้านอาหารร้านไหนอร่อย เจ้าถิ่นแต่ละท้องที่แนะนำไม่ค่อยผิดหวัง
ตอนหนุ่มๆ สมัยผมไปพัทยาบ่อยๆ นี้ นั่งรถเปิดหลังคาจอดริมทะเลคุยวิทยุ โห สบายใจดีเหลือเกิน
กลางทางมีฝนตกหนักด้วยครับ อันตรายมากๆ เจอรถยนต์บางคันแซงกันแบไม่กลัวตาย เห็นรถข้างหน้าสวนมาแท้ๆ ยังกล้าเร่งออกไปอีก ทำไมใจคนเราเป็นอย่างนี้ มิน่า ถึงเกิดอุบัติเหตุได้บ่อยเหลือเกิน
ผมมาถึงบ้านเอาตอนห้าโมงเย็น รู้สึกเหนื่อย รู้สึกล้า แต่พอถึงบ้านแล้วกลับอุ่นใจ แบบนี้กระมังที่ฝรั่งเขาเรียก Home Sweet Home