11 กพ 52
ปั่นวอร์มเล่นแถวบ้านแค่แป๊บเดียว เน้นออกกำลังกายในบ้านแทน วิดพื้น ซิทอัพ เน้นลำตัวท่อนบน และใช้กำลังขา เย็นไปรับมิวตามปกติ
12 กพ 52
ไป Pro Bike ซื้อ Bar End ยี่ห้อ Pro (ผมเดาว่ามาจาก Pro Gear) แล้วตรงดิ่งไปร้านแสงเพชร จรัลสนิทวงศ์ ซื้อมาตรวัดของ Cat Eye
มาตรวัดติดตั้งง่าย เป็นแบบ Wireless ที่ผมชอบ รุ่นใหม่นี้มีไฟส่องสว่างด้วย ส่วน Bar End นั้นผมจนปัญหาใส่มัน เพราะต้องเลื่อนปลอกมือ มันแน่นเหลือเกิน คงเอาไปทำที่ลำปางแทน
ผมจัดเตรียมอุปกรณ์ไว้ครบครัน ที่มากสุดคือเรื่องของอาหารเสริมระหว่างการปั่นจักรยาน ผมให้ความสำคัญกับการปั่นครั้งนี้มาก เป็นการขึ้นเขาครั้งแรกของผม ผมไม่เคยขึ้นเขาใดมาก่อนเลย มาเขาแรกก็เล่นอันที่สูงสุดในประเทศเสียแล้ว
13 กพ 52
น้าชูจาก คนลำปาง จาก Siam Strida มารับผมที่บ้านตอนเช้า จากนั้นก็ออกเดินทางสู่จังหวัดลำปางทันที ใช้ถนนเส้นหลักที่ขึ้นเหนือ ถึงลำปาง 5 โมงเย็น รีบเอาจักรยานลงจากรถ พบว่าท่อคอแฮนด์มีรอยครูดยาว คงจะกระทบกับของแข็งอะไรสักอย่างขณะอยู่บนรถ น่าเสียดายจริงๆ เลย รถใหม่เอี่ยมแท้ๆ
รถ F20W คันนี้มีข้อหนึ่งที่ผมไม่ชอบเอามากๆ นั้นคือกลไกการพับคอ มันมิได้เป็นแบบบานพับเหมือนรถพับทั่วไป หากแต่ใช้วิธีถอดยกท่อคอแฮนด์ออกมาทั้งก้านเลย แต่ยกออกมาแล้วก็มีสายเกียร์ สายเบรก ระโยงระยาง เกะกะมากๆ เรียกว่าหากจะขนย้ายรถไม่ให้เป็นร้อย จะต้องใช้คนสองคนทำภาระกิจนี้ คือคนหนึ่งจับตัวรถ อีกคนมาช่วยถือท่อคอแฮนด์ชุดนี้
น่าอนาจจริงๆ
ขนของลงจากรถเสร็จก็ปั่นเล่นในตัวเมืองลำปาง น้าชูเป็นคนท้องถิ่นนี้ จึงมีพรรคพวกมากมาย ปั่นตระเวณบ้านคนโน้นที คนนี้ที ผมสนุกมากๆ ความรู้สึกเหมือนตอนเด็กๆ ที่ปั่นจักรยาน BMX ไปหาเพื่อนๆ แถวบ้านเป๊ะเลย ไม่น่าเชื่อ ความรู้สึกนี้กลับมาอีกทีใน 26 ปีให้หลัง อากาศในตัวเมืองเย็นสบายดีมากๆ หากกรุงเทพฯจะเป็นเช่นนี้ได้ ก็คงเฉพาะหน้าหนาวตอนเช้าๆ เท่านั้น
เพื่อนๆ น้าชูให้ความสนใจกับจักรยานพับของ KHS มาก เพราะต่างจังหวัดไม่มีใครเขาปั่นรถพับกัน เส้นทางในท้องถิ่นเหมาะแก่เสือหมอบและจักรยานภูเขาเท่านั้น
น้าชูใช้รถ F3 ซึ่งเป็นรถที่ทำความเร็วได้ดีมาก ยางขนาดเล็กขนาด 20X1.38 แถมมีจานหน้า 3 ใบ เฟืองหลังอีก 9 เฟืองใหญ่สุดคือ 26 ส่วนรถผม F20W จะใช้ยาง 20X1.50 จานหน้า 3 โบเท่ากัน (จำนวนเฟืองเท่ากัน) ส่วนเฟืองหลังผมมี 8 แต่อัตราทดเฟืองใหญ่สุดของผมเป็นเบอร์ 32
น้าชูต้องเซ็ทติ้งรถใหม่ เริ่มจากปลอกแฮนด์ และ Bar End ตอนหลังน้าชูอยากเอาชุดเฟืองท้ายของ MTB ใส่ เพราะต้องการเฟืองใหญ่ๆ ไว้ปั่นขึ้นเขา แต่ทดลองแล้วไม่สำเร็จ เพราะตีนผีขาสั้นเกินไป สับเข้าจานใบใหญ่สุดไม่ได้
เราไปทำรถกันที่ร้านช่างวี ช่างที่น้าชูบอกว่ามีฝีมือที่สุดในจังหวัดลำปาง ช่างวีเป็นคนกรุงเทพฯ แต่มาอยู่ลำปางสิบกว่าปี เป็นร้านเล็กๆ แทบจะไม่มีของขาย หากแต่รับบริการเซ็ทติ้ง ปรับแต่ง และอัปเกรดจักรยาน
รถผมไม่มีปัญหาอะไร แต่มีแค่ข้อกวนใจเล็กๆ น้อย เช่น ก้ามวีเบรกทำงานไม่เท่ากัน และเฟืองจ๊อกกิ้งหมุนแล้วมีสะดุด (เป็นเฉพาะตอนใช้เฟืองใบใหญ่สุด) พอช่างวีทราบปัญหาก็จัดการปรับแต่งให้ ใช้เวลาแค่ 1 นาทีเสร็จ เราไปเจอสุดยอดฝีมือตัวจริงเข้าแล้ว อ้อ
ถึงตอนนี้ผมเองเพิ่งรู้ว่าความแข็งอ่อนของมือเบรกขณะกดนั้น เขาก็ปรับตั้งกันได้ด้วย โง่จริงๆ เลยเรานี่
มื้อเย็นผมทานเปาะเปี๊ยะสดแกล้มกับต้นหอมสดๆ สิบกว่าต้น สมัยเด็กผมไม่ทานผัก แต่ปัจจุบันทานแต่ผักเยอะมากๆ มันเริ่มมาจากเมื่อตอนหนุ่มๆ ที่ผมหันมาสนใจเรื่องสุขภาพ
ผมนอนที่บ้านน้าชู บ้านตั้งอยู่ในซอยใกล้ถนนใหญ่ เสียงรถวิ่งดังพอควร แต่ผมนอนหลับสบายเพราะใส่ Ear Plug อุดหูเอาไว้
14 กพ 52
เช้านี้ผมทานต้มเลือดหมู รสชาติดีพอควร วันนี้ทั้งวันไม่ค่อยได้ทำอะไรต้องพักผ่อนให้มากๆ กลางวันทานข้าวมันไก่ร้าน ข้าวมันไก่สบตุ๋ย ชื่อน่ารักดี เป็นชื่อของตำบลนี้ เจ้าของร้านเป็นนักปั่นในกลุ่มเดียวกันกับที่ผมจะไปแจมกับเขาวันพรุ่งนี้ด้วย
พี่ศักดิ์เจ้าของร้านเคยปั่นขึ้นดอยอินทนนท์มาแล้วด้วย MTB แต่พรุ่งนี้เขาจะปั่นขึ้นด้วยเสือหมอบเดิมๆ
ที่ต้องบอกว่าเดิมๆ ก็เพราะพวกเสือหมอบเขามีลูกเล่นซุกซ่อนกันแพรวพราว เริ่มจากบางคันใช้จานหน้าแบบ 3 ใบ บ้างก็เปลี่ยนเฟืองหลังให้มีขนาดใหญ่ขึ้น จะได้เบาขามากขึ้นขณะไต่ทางลาดชัน
แต่กับพี่ศักดิ์นั้นกลับกัน เขาต้องการพิสูจน์พลังที่แท้จริงของรถและตัวเขาเอง นี้คือความต่างของนักแข่งกับนักปั่นจักรยาน
มื้อเย็นผมทานข้าวถึงสองจาน เป็นข้าวผัดไก่พร้อมไข่ดาว 1 ฟอง และผัดผักคะน้าหมูกรอบอีก 1 จาน เพราะต้องสำรองพลังที่จะใช้ปั่นวันพรุ่งนี้
ก่อนนอนผมยืดเส้นจนทั่วร่างกาย แต่ทำได้ไม่ถนัดเหมือนตอนอยุ่บ้านนัก คืนนี้ผมต้องนอนแต่หัวค่ำ เพราะต้องตื่นแต่เช้าเพื่อออกเดินทางไปอำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ฐานที่ตั้งของทางขึ้นดอยอินทนนท์ พรุ่งนี้เราออกเดินทางกันตอนตี 4 ครับ
ดูทีวีเขาพยากรณ์อากาศ ยอดดอยอุณหภูมิ 2 องศา ส่วนพื้นล่างของดอยอินทนนท์นั้น 6 องศา !!!
ผมมีเสื้อจักรยานสำหรับปั่นตอนอากาศหนาว แต่ผมไม่ได้เตรียมมาด้วย นึกไม่ถึงว่าจะเจอเรื่องเช่นนี้ เพราะในกรุงเทพฯนั้นร้อนจัดทีเดียว
ผมนอนริมหน้าต่าง เปิดบานเกล็ดแง้มๆ ยังหนาวจับใจ ต้องใช้ผ้านวมห่มช่วยตลอดคืน
ก่อนนอนอ่านหนังสือที่ติดมือไปชื่อ Lonely Bike ของคุณสว่าง ทองดี เดินทางด้วยจักรยานได้บ้าเลือดดีมาก อ่านแล้วชักอยากเขียนเรื่องของตัวเองเหมือนกัน
15 กพ 52
น้าชูตะโกนปลุกเรียกผมอยุ่นาน ผมก็ยังไม่ตื่นสักที นั่นเป็นเพราะผมใส่ Ear Plug อุดหูอยู่ครับ
ผมชอบพวกจักรยานตรงที่ทุกคนล้วนตื่นแต่เช้า และมากันตรงเวลาดีมาก เราออกเดินทางจากลำปางไปถึงอำเภอจอมทองก็ใช้เวลาไปชั่วโมงกว่า พอถึงก็ต้องรีบไปลงทะเบียน ผมได้เบอร์ 338 เดาว่าคงเป็นนักแข่งลำดับที่ 338 ของวันนั้น ทราบภายหลังว่ามีคนลงทะเบียนถึง 600 กว่าท่าน และอีกมากมายที่มาร่วมปั่นเฉยๆ ไม่ได้ลงทะเบียนแข่งขัน
ผมลงทะเบียนในรุ่น 50 กม รุ่นนี้จะต้องปั่นกันตั้งแต่พื้นราบ แต่มีอีกรุ่นคือ 16 กม รุ่นนี้จะมีรถพาไปปล่อยด้านบนเกินครึ่งทางไปเยอะมากแล้ว เขาจะปั่นกันตั้งแต่จุดกางเต้นท์ หน้าที่ทำการของอุทยาน
ปล่อยตัวอย่างเป็นทางการก็สัก 7 โมงกว่า ผมรออยุ่ท้ายกลุ่มกับพรรคพวกที่ไปด้วยกันจากลำปาง แต่พอออกตัวแป๊บเดียว เขาก็เร่งฝีเท้ากันใหญ่ ความเร็วราว 20 แต่ผมไม่อยากปั่นขนาดนั้นในตอนออกตัว ร่างกายที่ไม่ได้วอร์มจะหมดแรงได้ง่าย อาหารเช้าก็ทานแค่กล้วยสองลูก ข้าวเหนียวคำเล็กๆ คำเดียว อากาศก็เย็นยะเยือก แถมทราบมาว่าบนยอดดอยจะหนาวกว่านี้อีกเยอะมาก
เปิ้ล เอ็งปั่นขึ้นอินทนนท์น่ะ มีแรงอย่างเดียวยังไม่พอ เอ็งต้องเอาใจมาเยอะๆ ด้วย น้าชูบอกผมแบบนี้อยุ่หลายครั้ง หลายหน
ผมเริ่มทำการเติมกำลังใจให้ตัวเอง ด้วยการดูรูปภรรยาและลูกที่นำติดตัวไปด้วย หากหมดแรง ก็ดูรูปหรืออาจแค่นึกถึงเขาสองคนนั้น
ผมจะเอาใบประกาศนียบัตรและเหรียญไปอวดลูก ทำเช่นเดียวกับตอนที่ลูกแข่งกีฬาชนะและนำเหรียญมาอวดผมเสมอๆ
เผลอแป๊บเดียว ระยะทางแค่ 2 กม ด้านหลังผมมีแค่รถพยาบาลตามมา นั่นหมายถึงว่าผมคือคนสุดท้ายของขบวน
ช่วงนี้เส้นทางค่อนข้างราบเรียบ ค่อยๆ ลาดขึ้นทีละน้อยๆ ใครๆ ก็ปั่นได้สบาย สักพักมาถึงช่วงเนินแรกที่เหมือนออเดิฟ เพราะชันมาก แถมเป็นโค้งเอสเล็กๆ อีกด้วย ถึงตรงนี้ผมแซงไปได้ 3 คน ผ่านแค่เนินแรกขาก็ตึงแล้วครับ ระยะทางที่เหลืออีกยาวไกลเหลือเกิน
ผมเห็นคนยางแตกบ้าง จอดพักดื่มน้ำบ้าง จอดทานอาหารที่เตรียมไปบ้าง แต่ผมยังไม่จอด ไม่อยากเอาเท้าลงพื้น อยากลองวัดใจตัวเองดู กะว่าจะให้ขาแตะพื้นก็เฉพาะจุดให้น้ำเท่านั้น เพราะผมต้องจอดเติมถึงสองกระติกโตๆ
ระหว่างทางต้องจิบน้ำสลับกับเกลือแร่บ่อยๆ สิ่งที่ผมกลัวตอนปั่นจักรยานทางไกลก็คือเรื่องตะคริว เคยเป็นอยู่หนหนึ่งตอนออกทริปที่บางไทรกับกลุ่ม TCC ตอนนั้นยังไม่ค่อยรู้เรื่องโภชนาการอะไรเลย ถึงแม้ร่างกายจะแกร่งสักปานใด แต่ถ้าตะคริวกินก็จบสิ้น จะปั่นต่อก็สามารถทำได้ แต่มันแทบจะเร่งความเร็วอีกไม่ได้เลย นอกจากจะหยุดพักนานๆ
อากาศหนาวเริ่มหายไป กลายเป็นแดดแรงจ้า ร้อนมากๆ ครับ ถ้ายิ่งร้อนจัดก็จะยิ่งเป็นตะคริวได้ง่าย เพราะร่างกายสูญเสียเหงื่อเยอะ เราต้องเติมเกลือแร่และน้ำให้ทัน ถ้าไม่ทันก็เสร็จมัน
ผมเปิดมาตรวัดให้แสดงเวลาแทนที่จะเป็นระยะทางเหมือนที่ตอนปั่นปกติ แต่ก็ไม่ค่อยได้ก้มดูสักเท่าไหร่หรอก มองดูข้างทางบ้าง คิดใจลอยไปโน่นนี่บ้าง แต่ขาก็ยังไม่หยุดปั่น ถึงเนินชันทีไร เป็นได้ใช้เกียร์ 1-1 ตลอดเลย (ใช้จานหน้าใบเล็กสุด จานหลังใบใหญ่สุด)
จะว่าไปแล้วช่วงเวลานี้แหละที่ผมคิดเรื่องธุรกิจได้มากมาย เรื่องใดค้างคาใจมานานก็กลับคิดหาข้อสรุปได้ง่ายๆ เลย อืมม การหลั่งเหงื่อทำให้สมองเราโล่งโปร่งได้เพียงนี้เชียวหรือนี่ ผมปั่นความเร็วราว 15 กม/ชม เพื่อเป็นการวอร์ม ปั่นวอร์มแบบนี้มาสัก 10 กม ผมยังคงเป็นคนในกลุ่มหลังๆ รถพยาบาลเบื่อที่จะตามผมแล้ว เขาใช้วิธีเร่งไปดักรอบนเนินข้างหน้าแทน ผ่านทางลาดชันมาสองสามอัน เห็นบางคนพักเชิงเนินประปราย
พอผมแซงผ่านใคร ก็จะทักทาย สวัสดีครับ ไปเรื่อย ไม่รู้จะคุยอะไรก็ถามว่ามาจากไหนครับ อะไรทำนองนี้ มีพี่คนหนึ่งใช้ Trek สีขาว ปั่นและเข็นสลับกัน ไปพร้อมๆ กับผมตลอดทาง ผมจะมาแซงเขาตอน 3 กม สุดท้ายแค่นั้นเอง
ปั่นมาสัก 30 กม ยังไม่เจอจุดให้น้ำเลย โหห
โหดสมชื่อ รถเซอร์วิสของกลุ่มลุ่มน้ำวังของพรรคพวกผมก็คงอยู่ด้านหน้า ผมประหยัดน้ำด้วยการหยิบของขบเคี้ยวมาทาน หนึ่งในนั้นคือบ๊วยหวานแบบไม่มีเมล็ด อมแล้วเค็มๆ ได้เกลือดี เหมาะมากแก่ร่างกายขณะนี้ อมสักพักค่อยเคี้ยว จะได้รสชาติหวานๆ ชุ่มคอ ประหยัดน้ำดีจริงๆ ผมมีบ๊วยแบบนี้ 1 ถุงใหญ่ แต่แจกพรรคพวกไปเยอะแล้ว เหลือไว้เองแค่สิบกว่าเม็ด ไม่รู้จะเพียงพอหรือไม่
แต่ไม่เป็นไร เพราะยังมีของกินอีกเยอะ มีเซียงจาด้วย เป็นขนมของจีนที่ผมชอบกินตอนเด็กๆ เปรียวๆ หวานๆ
มีอาหารเจล คล้ายพวก Power Gel แต่ไม่ใช่ ของผมเป็นแบบเน้นบำรุงสุขภาพ มิใช่เพื่อนักกีฬา ด้านในบรรจุสารสกัดจากสาหร่ายทะเลน้ำลึก แต่หน้าตาของหลอดคล้ายกันมาก ของผมยี่ห้อ Agel UMI มีสองรส แอ๊ปเปิ้ลและองุ่น
สุดท้ายคือช็อคโกแลตดาร์คของโปรด ผมเตรียมไว้สองชิ้น แต่จะกินตอนเข้าเส้นชัยแล้ว 1 ชิ้น และจะกินตอนขับรถกลับอีก 1 ชิ้น
เป็นการให้รางวัลแก่ตัวเอง
ปั่นแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาวจนมาถึงจุดให้น้ำจุดแรก ผมเติมเสียเต็มสองกระติก อันแรกใส่น้ำเปล่า อีกอันใส่ผงเกลือแร่ ช่วงนี้ผมจอดเพื่อทานแซนวิชที่ภรรยาน้าชูให้ตอนก่อนออกเดินทาง ทานเสร็จก็ปั่นต่อเลย
ทางเริ่มลาดชันมาขึ้นเรื่อยๆ ต่างจากช่วงแรกทีมีลงเนินพอให้เร่งส่งต่อไปเนินหน้ากันได้บ้าง
นับจากจุดนี้ ผมเห็นคนลงเข็นกันมากมาย ผมเองแม้จะปั่นไหว แต่ความเร็วมันก็ไม่ได้มากมายอะไรเลย ตอนช่วงขึ้นเนินชันความเร็วของผมเหลือแค่ 5 กม/ชม เท่านั้นเอง คนเข็นยังแซงผมเลย
ชันมากๆ ขามันก็ล้า มันจะหมดแรงเอา ก็เลยใช้วิธีปั่นซิกแซกตัดขวางถนน ปั่นวิธีนี้จะลดความชันของเนินลงได้ แต่ข้อเสียคือเราต้องปั่นระยะทางไกลกว่าคนอื่น แถมถนนนี้ก็ยังมีรถวิ่งขึ้นลงตลอดเวลาอีกด้วย ทำให้ผมต้องคอยหันหน้าดูตลอดเวลาทุกครั้งที่ปั่นตัดขวางถนน
เนินโหดๆ ผมมักจับบาร์เอนโยกขึ้นบ้าง กดลงบ้าง ทำให้มันเป็นจังหวะกับการกดบันได ใช้ลำตัวท่อนบนกดลงบนแฮนด์ช่วยอีกที
บางช่วงของเส้นทาง เหลือแค่ผมเพียงคนเดียวบนท้องถนน ด้านหน้ามองไปก็ไม่เห็นใคร ส่วนด้านหลังเขาก็ยังเข็นกันขึ้นมาไม่ถึง
เห็นรถคันหนึ่งจอดวางนอนอยู่ข้างทาง ผมตกใจมาก คิดว่าล้มหรือเป็นลมไป เลยรีบหยุดรถดู มองไปก็ไม่เห็นใคร ไม่เห็นร่องรอยเบรกของรถยนต์ จักรยานก็ไม่เสียหาย สุดท้ายก็รู้ อ้อ.. เขาปวดท้องขี้นี่เอง
ถึงช่วงนี้ก็มาได้สักครึ่งทางแล้วครับ ระยะทางเต็มของเขาคือ 50 กม มิใช่ 45 แบบที่ผมได้ข้อมูลมา ครึ่งทางแรกนั้นพอไหว เพราะแม้มีเนินสูงก็จริง แต่มีช่วงให้พักขาเป็นทางราบและมีลงเขาบ้างนิดหน่อย แต่ไอ้ครึ่งหลังนี้สิ มีแต่ขึ้น ขึ้น ขึ้น ขึ้น ไปเรื่อยๆ นานๆ จะมีลงสักอันให้ผมยืนเพื่อพักผ่อนก้นจากแรงกดบนอาน
ปั่นนานๆ ก็มีอาการชาตามเท้าบ้าง ผมแก้ด้วยการยกขาดึงบันไดขึ้น แทนที่จะกดลงเหมือนปกติ การเปลี่ยนอิริยาบทเช่นนี้ แม้ไม่ช่วยในเรื่องสมรรถนะการปั่น แต่ช่วยลดความเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อได้เป็นอย่างดี นี้คืออีกหนึ่งข้อดีของบันไดแบบ Clipless ที่ผมค้นพบตอนปั่นแบบทัวริ่ง
อาการมือชาก็เช่นกัน มันหายได้ง่ายๆ ด้วยการจับ Bar End ดีๆ สักชุด จากเดิมที่ผมมักจะชาบ่อยๆ แปลกที่วันนี้แทบไม่ชาเลยแม้แต่น้อย สุดยอดมากๆ เลย
ตะคริวก็ไม่เป็น มือก็ไม่ชา เท้าก็ไม่ชา ผมไร้ซึ่งอุปสรรคใดๆ แล้ว ที่เหลือก็คือแค่แรงกายและแรงใจของผมเท่านั้นเอง
ใจผมน่ะสู้เสมอครับ ใจผมคิดว่าตัวเองต้องไปไหว ผมมาดอยอินทนนท์เพื่อปั่นจักรยานขึ้นไปยอดดอย ผมจะไม่มีวันนั่งรถเซอร์วิสขึ้นไป มีคนลำปางอีกกลุ่มหนึ่งคอยเฝ้ามองผมอยู่ ผมต้องแสดงฝีมือให้เขาเห็นว่าคนกรุงเทพฯ ที่วันๆ ปั่นแต่ทางเรียบก็สามารถขึ้นเขาได้ ผมต้องการไปบอกลูกผมว่าผมปั่นขึ้นจุดสูงสุดของประเทศไทยมาแล้ว แม้ว่าเขาอาจจะยังไม่รับรู้อะไรนักก็ตามที
ผมสร้างเงื่อนไขในใจขึ้นมาเรื่อยๆ นานๆ เข้าไปใจมันก็แกร่ง เคยเห็นมดแบกซากแมลงกันไหมครับ มดตัวนิดเดียว แต่แบกซากแมลงชิ้นโตๆ ได้ หรือกระทั่งมดรวมพลังกันก็ยังสามารถแบกของหนักกว่าตัวเองเป็นสิบเท่าได้สบาย หรือที่สุดยอดที่สุดคือมดต่อตัวกันทำแพข้ามน้ำผมก็เคยเห็นมาแล้ว
ความท้อแท้ไม่เคยมีอยู่ในยีนของมด
มดตัวนี้กำลังปั่น KHS F20-W ของมันอยู่ มันปั่นต่อไปเรื่อยๆ อย่างกับไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนือย แม้บางช่วงบางตอนความเร็วจะลดลงเหลือแค่ 3-4 กม/ชม เท่านั้น มันก็ยังไม่ยอมลงเข็น แม้ว่าการเข็นจะเร็วกว่าก็ตามที
สักพักใหญ่แต่ห่างไกลกันแค่ไม่กี่กิโลก็มาถึงจุดให้น้ำอีกจุด ขณะนี้เป็นเวลาเที่ยงวัน ผมพักเติมน้ำเต็มสองกระติก เจ้าหน้าที่ชวนทานข้าวกล่อง แถมให้ผมเลือก กล่องหนึ่งเป็นข้าวขาหมู อีกกล่องเป็นข้าวหมูแดง มีไข่ต้มครึ่งฟอง ผมเลือกข้าวหมูแดงแน่ เพราะมีไข่ ยังไงก็ดีกว่ากินข้าวขาหมูมันๆ อยู่แล้ว อาหารรสชาติแย่มาก เย็นชืด หมูก็มีแค่ไม่กี่ชิ้น แถมหั่นเสียบางเป็นกระดาษ น้ำราดยังต้องพัฒนา จะน่าสนใจก็ตรงไข่ครึ่งฟองนั้น เพราะมันคือแหล่งโปรตีนชั้นดี
แต่แล้ว ผมก็ทานข้าวมื้อนั้นจนหมดเกลี้ยงกล่อง เป็นอันว่าผมได้พลังงานช่วงบ่ายแล้ว ต่อไปอีกราว 15 กม ผมจะถึงเส้นชัยที่อยู่บนยอดดอย
แล้วขาผมก็ทำงานต่อ ปั่นซอยไปเรื่อยๆ แต่แรงกดลูกบันไดมันน้อยลงทุกทีๆ จนความเร็วมันเหลือเพียงแค่ 2 กม/ชม เท่านั้น ผมไม่เคยปั่นได้ช้าแบบนี้มาก่อน กว่าจะทำให้บันไดหมุนแต่ละรอบนั้นช่างแสนยากเย็น
ที่ความเร็วต่ำขนาดนั้น รถแทบจะทรงตัวตั้งอยู่ไม่ได้ จึงต้องหักแฮนด์เพื่อปรับสมดุลย์อยู่ตลอดเวลา ใครอยู่แถวนั้นจะเห็นว่าผมปั่นแล้วแฮนด์โยกเยกยึกยัก ยังกะคนขี่รถไม่เป็นเลย
แต่ที่เด็ดสุดก็คือ ปั่นแล้วล้อหน้าลอย เนินมันชันจนผมไม่รู้จะสรรหาคำอะไรมาบรรยายจริงๆ กลัวจะหงายหลังยกล้อ เลยต้องก้มหน้าโน้มตัวจนคางไปวางอยู่บน Stem
เมื่อยก็เมื่อย ล้าก็ล้า แถมต้องออกแรงปั่นท่าก้มๆ แบบนี้อีกด้วย
ปั่นต่อไปอีกชั่วโมงกว่า แต่เดินทางได้ไม่เกิน 3 กม เกลือแร่ของผมหมด ต้องใช้เกลือแร่จากอาหารเสริมแทน ทะยอยกินบ๊วยหวานไปเรื่อยๆ จนถึงจุดให้น้ำอีกครั้ง พบคุณลุงท่านหนึ่งแจกเกลือแร่แก่นักปั่น ลุงแจกผม 1 ซอง ผมเห็นแกมีอีกเยอะ เลยขอมาอีก 1 ซอง เพราะกระติกของผมใบใหญ่ หากจะให้ถูกสเปค ต้องใส่ถึง 3 ซอง
จิบเกลือแร่แก้ตะคริวไปเรื่อยๆ หากหมดแรง ท้อแท้ ก็ดูรูปภรรยาและลูกสลับไปพลาง ทำให้จิตใจฮึกเหิมขึ้นมาบ้าง แต่ตอนนี้ผมเริ่มเจ็บก้นบ้างแล้ว
ผ่านจุดชมวิวที่แสนจะชัน มีช่วงหนึ่งผมเห็นยอดของพระธาตุอยู่ไกลลิบๆ เห็นถนนคดเคี้ยวไต่ระดับขึ้นไปอีกสูงมากๆ มีนักปั่นหลายท่านแวะจอดกันตรงนี้ ถ่ายรูปเล่นกันก็เยอะ จากจุดนี้ไปพระธาตุที่มองเห็นเหมือนลอยอยู่บนฟ้านั้นราว 5 กม และเส้นชัยจะอยู่ถัดไปอีกสัก 5 กม หากเจ้าหน้าที่บอกผมไม่ผิด
หากผมปั่นได้ 5 กม/ชม นั่นคือผมต้องปั่นอีกราวสองชั่วโมง
อีกสองชั่วโมงเท่านั้นเอง
โห อีกตั้งสองชั่วโมงแน่ะ
ยังไงก็หนีสองชั่วโมงไม่พ้น ใจจะคิดแบบใดก็ช่าง ยังไงผมก็ต้องปั่น ผมไม่ลงเข็น ไม่จอดพักบ่อยๆ ไม่ลงมาจูง ผมมีโอกาสมาปั่นไม่ง่ายนัก ผมไม่ใช่คนพื้นที่นี้ที่จะมาเมื่อไหร่ก็ได้ ผมมีแค่เพียงโอกาสเดียว และอาจมีเพียงครั้งเดียวก็เป็นได้
ผมพยายามหาเงื่อนไขมาผูกมัดตัวเองให้มากเข้าไว้ มันทำให้จิตใจแกร่งขึ้นได้นิดหน่อย ใจผมยังสู้ แต่ขามันอ่อนล้าเหลือเกิน กดบันไดแต่ละครั้งรถก็เคลื่อนเป็นระยะทางแค่คืบ
ท้องอิ่มแล้ว ไม่รู้สึกหิว แต่ร้อนจัด และเหนื่อยอ่อนมาก ผมจิบแต่เกลือแร่ และตัดสินใจเอาน้ำเปล่าอีกกระติกมาเทราดหลังให้ชุ่มเย็น ลดอาการเสียน้ำจากแสงแดดที่แผดเผา
กัดฟันปั่นจนถึงพระธาตุ มองย้อนลงมาเห็นเส้นทางที่เราผ่านแล้วมันแสนจะภูมิใจ และจะยิ่งภูมิใจกว่านี้หากผมไปถึงยอดดอย ถึงตอนนี้ผมเหลืออีก 5 กม แต่เส้นทางมันยังคงชันต่อเนื่อง แม้ไม่โหดเท่าที่ผ่านมา แต่ขามันล้าจนอ่อนแรงแล้ว
สุดท้ายเลยต้องสะกดจิตตัวเองบังคับให้ร่างกายระงับความเจ็บปวด เพิ่งสมาธิไปที่การปั่น ช่วงนี้ผมเริ่มปวดหัวเข่าด้านซ้ายนิดๆ (เหตุเกิดเมื่อตอนก่อนออกทริปอัมพวา)
หวังว่าจะปั่นได้ความเร็ว 5 กม/ชม แต่เอาเข้าจริงมันเหลือแค่ 2-3 เท่านั้น ตัดใจหยิบช็อคโกแลตดาร์คที่เตรียมไว้กินฉลองบนยอดดอย เอามาเข้าปากเสียหนึ่งชิ้น เพื่อเติมน้ำตาลบ้าง เผื่อจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น
ปกติแล้วผมไม่ชอบเติมน้ำตาลล้วนๆ เลย ผมชอบแหล่งพลังงานจากผลไม้ และโปรตีนมากกว่า เพราะผมอยากลดน้ำหนักไปด้วยนั่นเอง
ได้ของโปรดเข้าปากแล้วรู้สึกดีเหลือเกิน จะยิ่งรู้สึกผิดมากหากปั่นไม่จบด้วยซ้ำไป
ผ่านจุดให้น้ำอันสุดท้าย จุดนี้ผมไม่ได้พัก ผมไม่เติมน้ำแล้ว น้ำเปล่าผมก็เอามาฉีดราดตัวจนหมดแล้ว เพื่อเพิ่มความเย็น และลดน้ำหนักรถไปด้วย จะได้ไม่ต้องแบกหนัก เทน้ำหมดกระติกทิ้งนี้ก็ลดน้ำหนักไปได้ราว 750 กรัม
ถึงตอนนี้มันรู้สึกหนักหนามากเหลือเกิน ปั่นจนไม่ได้ชมวิวอันสวยงามรอบข้าง ได้สูดแต่กลิ่นป่า ได้ยินแต่เสียงหัวใจตัวเองเต้น และลมหายใจเข้าออกฟืดฟาดๆ
นึกถึงหน้าเพื่อนๆ แต่ละคน นึกถึงเพื่อนฝรั่ง ผมพูดออกมาเสียงดังว่า
Althought Iam a slow cyclist, but I never stop.
ปั่นความเร็วแค่ 2-3 กม/ชม มาตลอดหลายชั่วโมง หัวเข่าเริ่มรู้สึกตึงๆ แต่พอพ้นเนินลูกใหญ่ที่เป็นทางโค้ง ผมก็เห็นซุ้มเส้นชัยอยู่ลิบๆ
สูดลมหายใจเข้าแรงๆ สองสามครั้ง แต่ก็ยังไม่มีแรงกดบันไดให้รถมันวิ่งมากไปกว่าที่ผ่านมาเลย ผมยังคงไต่เนินชันด้วยความเร็วเท่าเดิม
ใกล้เส้นชัย เพื่อนๆ กลุ่มลุ่มน้ำวัง จังหวัดลำปาง วิ่งออกมาปรมมือต้อนรับ บางคนตบหลัง ตบไหล่ จับแขน ทุกคนมาแสดงความยินดีกับผม โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือน้าชู
เพราะน้าชูรู้ว่าผมไม่เคยปั่นขึ้นเนินใดมาก่อนเลย ผมเคยปั่นแต่ทางเรียบ อย่างเก่งก็ปั่นวันละ 200 กม แต่ก็เพียงแค่หนเดียวเท่านั้น ถือว่าเป็นนักปั่นที่พื้นฐานน้อยก็ว่าได้ ต่างจากคนย่านนี้ที่มีดอยมีภูให้ซ้อมปั่นกันทุกเย็น
คุณลุงอาวุโสมามอบดอกไม้ชื่อ คำปู้จู้ ให้ผมที่จุด Finish เพื่อนๆ ผมทุกคนล้วนปั่นกันขึ้นมารอผมหลายชั่วโมงแล้ว ยังมีน้ำใจเหลือข้าวไว้ให้ผมสองห่อ แต่ผมทานไม่ลง
ไม่มีเวลาชื่นชมกับยอดดอยอันสวยงาม ผมต้องรีบกลับลำปาง ต้องขับรถยนต์อีกร้อยกว่ากิโลเมตร
การขึ้นเขาครั้งนี้จะเป็นประสพการณ์ที่ผมจะจำแบบไม่มีวันลืม
ขอบคุณ
- น้าชู และเพื่อนกลุ่มลุ่มน้ำวัง
- Mu youre my inspiration
- Cheri the very best girl behind
16 กพ 52
ตื่นเช้าก็รีบจัดกระเป๋าเพื่อเดินทางกลับ มีโกเงี๊ยบขับรถมาหาตอนเช้า โกเงี๊ยบเป็นนักปั่นฝีเท้าดี ขึ้นยอดดอยแห่งนี้มาหลายหนแล้ว แถมขึ้นด้วยเสือหมอบเดิมๆ สองจานอีกด้วย แต่งานที่ผ่านมาเขาขออาสาเป็นทีมเซอร์วิสให้แก่นักปั่นรุ่นน้อง
สักพักพี่ศักดิ์ก็มาเยี่ยมอีกคน เอาแคบหมูถุงโตมาฝากผม ขอขอบคุณในไมตรีครับ
น้าชูพาไปทานข้าวแกงร้านดังที่สุดในลำปาง รสชาติอร่อยมากๆ กินแล้วไม่เหมือนร้านข้างถนนพวกอาหารตามสั่งเลย รสชาติเหมือนกับทำกินเองที่บ้าน ยอมรับว่าติดใจจริงๆ
จากนั้นก็เริ่มเดินทางกลับกรุงเทพฯ ทันที ระยะทางราว 600 กม แดดแรงตลอดทาง แวะทานกลางวันข้างทางไปสัก 30 นาที ถึงกรุงเทพฯ ราว 1630 น้าชูส่งผมที่สถานีรถไฟฟ้าใตดินลาดพร้าว
ผมกับน้าชูแยกกันตรงนี้ แต่การผจญภัยของผมยังไม่จบ เพราะของผมพะรุงพะรังเอามากๆ
ขาตั้งกลางแบบคู่ของรถรุ่นนี้ใช้ดีจริงๆ เพราะผมขนของหนักมาก หากเป็นขาตั้งข้าง รถคงจะเอียงแอ่น แฮนด์ฟาดพับ และล้มไปหลายครั้งแล้ว ขาตั้งแบบนี้แหละครับที่รถทัวริ่งเขาต้องการ (แต่ถ้าหากทำให้มันสูงขึ้นได้อีกสักนิด ไม่เลียดพื้นแบบที่เป็นอยู่นี้ก็จะดีมาก)
ลงรถไฟใต้ดินที่สถานีลาดพร้าว รถผมพะรุงพะรังมากๆ แบกของหนักเกือบ 10 กก เป็นรถ KHS F20-W มี Pannier หลังสองใบ กระเป๋าตระแกรงท้าย 1 ใบ มีหมวกกันน็อควางอยู่บนกระเป๋าท้ายอีก 1 อัน กระเป๋าบนตะแกรงหน้า 1 ใบ ตัวรถเหน็บกระติกน้ำขนาดใหญ่ 2 ใบผมพับแล้วเข็นลงไปในสถานนี ผ่านการตรวจากเจ้าหน้าที่ด้วยการแค่แง้มๆ ดูพอเป็นพิธี ผมว่าใจจริงเจ้าหน้าที่คงลำบากใจเรื่องการตรวจเป็นแน่ เขาตรวจก็เพราะมันเป็นหน้าที่ของเขาเท่านั้นเอง
ผมพับแล้วเข็นไปเรื่อยๆ อย่างทุลักทุเล จอดซื้อตั๋ว เจ้าหน้าที่ผู้ชายบอกว่า เชิญใช้ช่องทางพิเศษเลยนะครับ พร้อมกับชี้ทางไปลิฟท์ให้ อยุ่ในตัวรถไฟก็จอดตรงมุมตู้ ล็อครถเข้ากับสายล็อคที่เขามีให้สำหรับคนใช้ wheel chair
ขึ้นที่สถานนีสีลม เข็นไปขึ้นลิฟท์ แต่พอจะออก มองหาทางพิเศษไม่เจอ เลยถอด Pannier ออกใบหนึ่ง เพื่อจะเข็นผ่าน gate ไป แต่มันไม่พ้น คนอื่นเห็นผมต่างพากันจะช่วยยกของ แต่มีเจ้าหน้าที่รีบวิ่งมาบอกว่า " ทางพิเศษอยู่ตรงนี้ครับ " เขาชี้ไปยัง gate ด้านทางเข้า แล้วเขาก็เปิดประตูรอให้ผมเข็นผ่าน
เข็นออกมาถึงหน้าดุสิตธานี กางรถและจอดรื้อเอารองเท้า หมวก แว่นตา ถุงมือ แต่งตัวมันตรงนั้นแหละ คนผ่านไปมาเพียบบบ
จากนั้นก็ปั่นต่อจนถึงบ้านที่พระราม 2 ถึงบ้านราวหกโมงกว่า ช่วงเย็นสีลม สาทร รถติดหนักมากๆ ทางจักรยานบนสาทรออกแบบมาดีมาก ทำให้มอเตอร์ไซค์วิ่งกันเป็นระเบียบดี ไม่ต้องคอยมุดซอกแซ่กไปมา ทำทางจักรยานแบบนี้เยอะๆ แหละครับ ท่านมาถูกทางแล้ว จักรยานผมปั่นได้ไม่เร็ว เพราะแบกของหนัก ยังมีมอเตอร์ไซค์บางคันกดแตรไล่อีกด้วย ผมคงจะเกะกะเขาจริงๆ
สิ่งแรกที่ทำเมื่อถึงบ้านก็คือเข้าไปหาลูก ผมอวดเหรียญ และประกาศนียบัตรที่ได้ตอนปั่นถึงยอดดอยอินทนนท์ให้ลูกดู
พ่อได้ที่หนึ่งเลยหรือครับ ถึงได้เหรียญทอง
เปล่าหรอกลูก เหรียญมันสีทองทุกอันแหละ เขาให้เป็นที่ระลึกน่ะ
คืนนั้นผมไม่ได้อ่านหนังสือให้ลูกฟัง แต่ร้องเพลง นิทานหิ่งห้อย เพลงเก่าๆ ของวงเฉลียงแทน
17 กพ 52
ผมยืนมองจักรยาน F20W พลางคิดไปถึงเหตุการณ์เมื่อสองวันก่อนที่ผมปั่นมันขึ้นดอยอินทนนท์ ยืนยิ้มในใจอย่างภาคภูมิ คุ้มค่ากับการอดทนปั่น ไม่ลงเข็น ไม่ขึ้นรถเซอร์วิส เพราะผมสามารถคุยได้อย่างเต็มที่ว่าปั่นมาตลอดทางตั้งแต่พื้นราบ กม 0
การปั่นขึ้นดอยอินทนนท์นั้น เขามีกันหลายระยะทางครับ บางคนไปเริ่มกันที่ด่านเก็บเงินด่านแรก ก็จะย่นระยะทางไปสัก 9 กม ส่วนคนที่ปั่นตั้งแต่ที่ทำการอุทยาน จุดกางเต้นท์ด้านบนโน้น เขาจะปั่นกันแค่ 16 กม
ฉะนั้น หากเห็นคนคุยว่าปั่นขึ้นดอยอินทนนท์มาแล้ว ก็ต้องถามเขาว่าเริ่มปั่นกันตั้งแต่จุดไหน ส่วนตัวผมคงไม่ไปคุยอะไรกับใคร ไม่ชอบโอ้อวด ผมไม่อาจหาญจะเป็นผู้พิชิตดอยอินทนนท์เหมือนคนอื่นเขา ผมขอเป็นเพียงแค่นักปั่นจักรยานธรรมดาๆ เท่านั้นเอง
เหมือนตอนขับรถยนต์ ที่ตอนแข่งเขาจะเรียกผมว่านักแข่งกัน รู้สึกเขินอายจริงๆ เพราะรู้ตัวเองว่าไม่ได้เสี้ยวของนักแข่งรถแม้แต่น้อย ผมเป็นเพียงแค่คนขับรถธรรมดาๆ ครับ
บ่ายผมนั่งพิพม์บันทึกเล่าเรื่องราวที่ผ่านมาจนถึงเย็น ก็ไปรับมิวตามปกติ