Racing Club World > คุยเรื่องทั่วไป

เรื่อง ... ครับ

(1/2) > >>

O'Pern:
เรื่อง….. ภาพถ่ายในกระเป๋าของชายคนนั้น

ปี 1999 แม้จะผ่านมาหลายปีแล้ว
แต่ข้าพเจ้ายังจดจำเรื่องราวเรื่องหนึ่งที่นึกถึงทีไร
ข้าพเจ้าก็อดที่จะชื่นใจ ปลี้มใจ ทุกทั้งที่ข้าพนึกถึง

เพื่อนหญิงของข้าพเจ้าคนหนึ่ง เล่าเรื่องชายลึกลับคนหนึ่งให้ฟังที่เธอพบ
เธอเล่าให้ผมฟังพร้อมๆๆกับรอยยิ้ม และความปลาบปลื้ม ข้าพเจ้าไม่คิดเลยว่า
หลังจากที่ข้าพเจ้าได้ฟังเรื่องของเธออีกประมาณ 1 ปี
ข้าพเจ้าก็ได้พบกับชายลึกลับคนนี้ด้วยตัวเอง

เย็นวันหนึ่งในปี 1999 ที่ประเทศนิวซีแลนด์
วันนั้นเป็นวันที่อากาศค่อนข้างหนาวเย็นและลมแรง วันสุดท้าย
ที่ข้าพเจ้าหมดสัญญาการเช่าหอพัก ข้าพเจ้าต้องขนข้าวของออกจากหอพัก
เพื่อจะย้ายที่อยู่ใหม่ ข้าพเจ้ายืนข้างๆๆสัมภาระ 3-4 กล่อง
ยืนใจจดใจจ่อหารถเพื่อเข้าไปในเมือง วันนั้นเป็นวันที่โชคร้ายมาก
ข้าพเจ้ายืนคอยรถกว่า 2 ชั่วโมง ก็ยังไม่มีรถแท็กซี่ผ่านมา

จนกระทั้งพลบค่ำ มึดสลัวๆๆๆ ก็มีแท็กซี่คันหนึ่งวิ่งผ่านมา
และรับข้าพเจ้าขึ้นรถ ข้าพเจ้าขึ้นรถด้วยความ ว้าวุ่นใจมาก
เพราะชายคนนี้ดูหน้าตาหน้ากลัว ผู้ชายคนนั้นหน้าตาเหมือนคนเอเซีย ผิวคล้ำ
ผมยุ่งรกรุงรังไม่น่าไว้วางใจ ข้าพเจ้าไม่มีทางเลือก ถึงจะกลัวอย่างไร
ถ้าไม่ไปกับเขา ข้าพเจ้าก็ไม่รู้ว่าจะมีรถแท็กผ่านมาอีกหรือเปล่า
ข้าพเจ้าจึงนั่งรถไปด้วยใจกระวนกระวาย

ในระหว่างนั่งในรถ ชายคนนี้ก็สอบถามถึงที่มาที่ไปของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้ามาจากเมืองไทยหรือเปล่า หน้าตาเหมือนคนไทยจังเลย
ข้าพเจ้าแปลกใจมากทำไมเขาจึงสอบถามเรื่องราวบ้านเมืองของข้าพเจ้ามากมายเหลือเกิน
ยิ่งถามข้าพเจ้าก็ยิ่งกลัว

และแล้วแกก็ถามถึงเรื่องส่วนตัวของข้าพเจ้า ซึ่งแกถามเป็นภาษาอังกฤษว่า

"คุณพ่อที่รัก ของคุณเป็นอย่างไรบ้าง ท่านสบายดีไหม "

ข้าพเจ้าก็ตอบไปว่า พ่อสบายดี โทรศัพท์หากันทุกวัน
"สุขภาพท่านเป็นอย่างไรบ้าง ฝากความคิดถึง ฝากความเคารพ
ถึงคุณพ่อคุณด้วยนะครับ ผมคิดถึงท่านครับ"

ข้าพเจ้าก็ตอบไปว่า ได้ครับ แล้วจะบอกให้ กลับถึงบ้านเมื่อไร จะรีบไปบอกเลย 
ข้าพเจ้าตอบไปเพื่อจะให้แกจบๆๆเรื่องที่เราจะต้องคุยกัน
ข้าพเจ้าแปลกใจว่าทำไม    แกถึงคุยกับข้าพเจ้ามากจังเลย
ผิดปกติของคนขับรถแท็กซี่ทั่วไป

ชายคนนี้ขับรถไป นั่งยิ้มไป แกทำไมถึงอารมณ์ดีจังเมื่อแกคุยกับข้าพเจ้า
ในขณะที่    ข้าพเจ้ารู้สึกกลัวแกอย่างบอกไม่ถูก น่าสงสัยเป็นอย่างยิ่ง

และแล้วชายคนนี้ก็จอดรถที่บ้านพักหลังใหม่ของข้าพเจ้า แกลงจากรถ และกุลีกุจอ
  ขนข้าวของลงมาให้ข้าพเจ้าด้วยหน้าตาที่ยิ้มแย้ม

หลังจากขนของเสร็จ ชายคนนี้ เอื้อมมือมาจับที่บ่าของข้าพเจ้า
แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า

"น้องเอ๋ย พี่ดีใจมากที่มีโอกาสพบคนไทย
พี่ไม่ได้พบคนไทยมานานแล้วพี่มาอยู่ที่เมืองนี้กว่า 20 ปี
ไม่ค่อยได้เห็นคนไทยมาที่นี่กัน"

" วันนี้พี่ดีใจมาก
เห็นคนไทยแล้วทำให้พี่รู้สึกอบอุ่นเหมือนได้พบกับญาติคนหนึ่งพี่เป็นชาวกัมพูชา
อพยพมาที่นิวซีแลนด์เมื่อหลายสิบปีก่อน

เพราะด้วยพระบารมีและพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์
ที่ได้ให้ที่พักพิงในยามที่เราหนีตาย มาพักในแผ่นดินไทย
พี่ๆๆและครอบครัวถึงได้มีโอกาสเริ่มต้นชีวิตใหม่ มีความหวังและได้ชีวิตใหม่


ชีวิตของครอบครัวของพี่มีได้มาถึงทุกวันนี้เพราะพระมหากรุณาของในหลวงของประเทศไทย"

หลังจากชายคนนี้พูดจบ แกก็เอามือล้วงเข้าไปหยิบกระเป๋าเงินออกมา พร้อมกับพูดว่า

" แม้จะผ่านมาหลายปี พี่เก็บภาพนี้ในกระเป๋าเงินของพี่ตลอดเวลา
พี่เก็บภาพนี้เพราะพระองค์คือผู้มีพระคุณต่อครอบครัวของเรา
เราซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ครอบครัวของเรา รัก
และเทอดทูลบูชาพระองค์ตลอดเวลา
เพราะพระองค์คือที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของครอบครัวของเรา"


หลังจากพูดเสร็จ แกก็จับมือของข้าพเจ้า และหยิบธนบัตรในมือของข้าพเจ้า
ซึ่งข้าพเจ้าเตีรยมไว้เพื่อจ่ายเป็นค่าโดยสารให้กับเขา
แต่ชายคนนั้นหยิบธนบัตรจากมือของข้าพเจ้าใส่กระเป๋าเสื้อของข้าพเจ้าแทน
และบอกข้าพเจ้าว่า วันนี้พี่ขอมาส่งน้องชายของพี่นะ "

หลังจากแกจากไป ข้าพเจ้าพึ่งเข้าใจคำถาม ของแกที่ถามเกี่ยวกับพ่อของข้าพเจ้า
พ่อที่รักและเคารพของข้าพเจ้า นั้นแกหมายถึงใคร
และข้าพเจ้าก็เข้าใจทันทีเลยว่า
ทำไมชายคนนี้ถึงเก็บภาพในหลวงและพระราชินีขณะทรงชุดพลางทหาร
เดินออกเยี่ยมพสกนิกร
ข้าพเจ้าเข้าใจในความรู้สึกของชายคนนี้ทำไมเก็บภาพนี้ในกระเป๋าเงินของแกมากว่า
20 ปีแม้จะผ่านมาหลายปี
ภาพในกระเป๋าเงินของชายคนนี้ยังอยู่ในความทรงจำของข้าพเจ้านึกถึงทีไรก็อดปลาบปลื้มไม่ได้ว่า

พระองค์ทรงที่รักยิ่งและพระองค์ทรงอยู่ในใจไม่เฉพาะคนไทยเท่านั้นแต่อยู่ในใจของพี่น้องเพื่อนบ้านของเราด้วยครับ

รักในหลวงครับ ขอพระองค์ทรงพระเจริญ


Source - miata club of thailand

O'Pern:
ผมเจอ "พระเทพ" บนรถไฟฟ้าใต้ดิน (เรื่องไม่น่าเชื่อ แต่เป็นจริง)


เมื่อไม่นานมานี้เองครับ มีโอกาสขึ้น กทม. ไปธุระแถวหัวลำโพง นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินไป

ในขณะที่ประตูสถานีสุทธิสารเปิด ก็มีหญิงคนหนึ่งสวมแว่น ใสหมวกแก๊ป ท่าทางคล่องแคล่ว เดินเข้ามายืนตรงหน้าผม

ผมก็ลุกให้ เพราะติดนิสัยจากเด็กต่างจังหวัด ประกอบกับนั่งใกล้สุด

หญิงคนนั้นนั่งลงแล้วถามว่า "ช่วยถือของให้มั้ยค่ะ"
พอดีผมบ้าหอบฟางอยู่ กระเป๋า 2-3 ใบ เลยยื่นกระเป๋ากล้อง+เลนซ์ไปให้

แต่มีชายคนนึงชิงไปถือก่อน ผมก็หันไปมอง เขาก็ยิ้มๆ ขำๆ ผมก็งงๆ เข้าใจว่าเป็นน้องชายหรืออะไรประมาณนั้น

พอกลับหน้ากลับมาดูที่ผู้หญิง
โอ เข่าอ่อนเลย เพราะเพ่งมองกี่ครั้งก็ใช่สมเด็จพระเทพ

พระองค์กำลังเอานิ้วชี้มาจรดที่ปาก พร้อมทำเสียง "จุ๊ ๆ ทำเฉยๆ ไว้ อย่ากระโตกกระตาก"

ผมก็เลยเข่าอ่อน หัวใจตกลงไปตาตุ่ม ดีที่พี่ผู้ชาย (เข้าใจว่าทหารรักษาพระองค์) สะกิด กับรั้งตัวไว้ทันก่อนผมจะลงไปกราบ

แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปร่วมกับพระองค์ ก็เข้าใจเอาเองว่า พระองค์ท่านคงอยากมีความส่วนพระองค์ ถ้าผมถ่ายคนนึง
อีกทั้งขบวนต้องมาถ่ายด้วยแน่


นับได้ว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้า ล้นกระหม่อมของผมทีเดียว ที่ได้เฝ้าพระองค์ท่านใกล้ชิดขนาดนี้
เรื่องดีๆ นำมาเล่าสู่กันฟังครับ

ขอพระองค์ทรงพระเจริญ

จากคุณ : พี่คนใต้ใจดี


source - http://www.pantip.com/cafe/ratchada/topic/V6125528/V6125528.html

RetroDrifter:
การได้เข้าเฝ้าเบื้องพระยุคลบาท ถือเป็นมงคลสุงสุดแห่งชีวิต ครับ

O'Pern:
รู้สึกเป็นมงคลยิ่งนัก ที่กระทู้แรกแห่งปี 51 ของผมเป็นการโพสเรื่องนี้



80 เรื่องของในหลวงที่เรา (อาจ) ไม่เคยรู้

เมื่อทรงพระเยาว์

1. ทรงพระราชสมภพเวลา 08.45น.
2. นายแพทย์ผู้ทำคลอดชื่อ ดับลิว สจ๊วต วิตมอร์ มีน้ำหนักแรกประสูติ 6 ปอนด์

3. พระนาม “ภูมิพล” ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7

4. พระยศเมื่อแรกประสูติ คือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลยเดช

5. ทรงมีชื่อเล่นว่า เล็ก หรือ พระองค์เล็ก
6. ทรงเคยเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนมาแตร์เดอี เพราะช่วงพระชนมายุ 5 พรรษา ทรงเคยเข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ 1 ปี มีพระนามในใบลงทะเบียนว่า “H.H. Bhummibol Mahidol” หมายเลขประจำตัว 449

7. ทรงเรียกสมเด็จพระราชชนนีหรือสมเด็จย่า อย่างธรรมดาว่า “แม่”
8. สมัยทรงพระเยาว์ ทรงได้ค่าขนมอาทิตย์ละครั้ง
9. แม้จะได้เงินค่าขนมทุกอาทิตย์ แต่ยังทรงรับจ้างเก็บผักผลไม้ไปขาย เมื่อได้เงินมาก็นำไปซื้อเมล็ดผักมาปลูกเพิ่ม
10. สมัยพระเยาว์ทรงเลี้ยงสัตว์หลายชนิดทั้งสุนัข กระต่าย ไก่ นกขุนทอง ลิง แม้แต่งูก็เคยเลี้ยง ครั้งหนึ่งงูตายไปก็มีพิธีฝังศพอย่างใหญ่โต
11. สุนัขตัวแรกที่ทรงเลี้ยงสมัยพระเยาว์เป็นสุนัขไทย ทรงตั้งชื่อให้ว่า “บ๊อบบี้”
12. ทรงฉลองพระเนตร (แว่นสายตา) ตั้งแต่พระชันษายังไม่เต็ม 10 ขวบ เพราะครูประจำชั้นสังเกตเห็นว่าเวลาจะทรงจดอะไรจากกระดานดำจะต้องลุกขึ้นบ่อยๆ

13. สมัยพระเยาว์ทรงซนบ้าง หากสมเด็จย่าจะลงโทษ จะเจรจากันก่อนว่าโทษนี้ควรตีกี่ที ในหลวงจะทรงต่อรอง 3 ทีมากเกินไป 2 ทีพอแล้ว
14. ระหว่างประทับอยู่สวิตเซอร์แลนด์ โดยระหว่างพี่น้องจะทรงใช้ภาษาฝรั่งเศส แต่จะใช้ภาษาไทยกับสมเด็จย่าเสมอ
15. ทรงได้รับการอบรมให้รู้จัก “การให้” โดยสมเด็จย่าจะทรงตั้งกระป๋องออมสินเรียกว่า “กระป๋องคนจน” หากทรงนำเงินไปทำกิจกรรมแล้วมีกำไร จะต้องถูก “เก็บภาษี” หยอดใส่กระปุกนี้ 10% ทุกสิ้นเดือนสมเด็จย่าจะเรียกประชุมเพื่อถามว่าจะเอาเงินในกระป๋องนี้ไปทำอะไร เช่น มอบให้โรงเรียนตาบอด มอบให้เด็กกำพร้า หรือทำกิจกรรมเพื่อคนยากจน
16. ครั้งหนึ่ง ในหลวงกราบทูลสมเด็จย่าว่าอยากได้รถจักรยาน เพราะเพื่อนคนอื่นๆ เขามีจักรยานกัน สมเด็จย่าก็ตอบว่า “ลูกอยากได้จักรยาน ลูกก็ต้องเก็บค่าขนมไว้สิ หยอดกระป๋องวันละเหรียญ ได้มากค่อยเอาไปซื้อจักรยาน”

17. กล้องถ่ายรูปกล้องแรกของในหลวง คือ Coconet Midget ทรงซื้อด้วยเงินสะสมส่วนพระองค์ เมื่อพระชนม์เพียง 8 พรรษา
18. ช่วงเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทรงปั่นจักรยานไปโรงเรียนแทนรถพระที่นั่ง

 

พระอัจฉริยภาพ

19. พระอัจฉริยภาพของในหลวง มีพื้นฐานมาจาก “การเล่น” สมัยทรงพระเยาว์ เพราะหากอยากได้ของเล่นอะไร ต้องทรงเก็บสตางค์ซื้อเอง หรือประดิษฐ์เอง ทรงเคยหุ้นค่าขนมกับพระเชษฐา ซื้อชิ้นส่วนวิทยุทีละชิ้นๆ แล้วเอามาประกอบเองเป็นวิทยุ แล้วแบ่งกันฟัง
20. สมเด็จย่าทรงสอนให้ในหลวงรู้จักการใช้แผนที่และภูมิประเทศของไทย โดยโปรดเกล้าฯให้โรงเรียนเพาะช่างทำแผนที่ประเทศไทยเป็นรูปตัวต่อ เลื่อยเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กๆ เพื่อให้ทรงเล่นเป็นจิ๊กซอว์
21. ทรงเครื่องดนตรีได้หลายชนิด เช่น เปียโน กีตาร์ แซกโซโฟน แต่รู้หรือไม่ เครื่องดนตรีชิ้นแรกที่ทรงหัดเล่นคือ หีบเพลง (แอกคอร์เดียน)

22. ทรงสนพระทัยดนตรีอย่างจริงจังราวพระชนม์ 14-15 พรรษา ทรงซื้อแซกโซโฟนมือสองราคา 300 ฟรังก์มาหัดเล่น
โดยใช้เงินสะสมส่วนพระองค์ครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งสมเด็จย่าออกให้
23. ครูสอนดนตรีให้ในหลวง ชื่อ เวย์เบรชท์ เป็นชาว อัลซาส
24. ทรงพระราชนิพนธ์เพลงครั้งแรก เมื่อพระชนมพรรษา 18 พรรษา เพลงพระราชนิพนธ์แรกคือ “แสงเทียน” จนถึงปัจจุบันพระราชนิพนธ์เพลงไว้ทั้งหมด 48 เพลง

25. ทรงพระราชนิพนธ์เพลงได้ทุกแห่ง บางครั้งไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องดนตรีช่วย อย่างครั้งหนึ่งทรงเกิดแรงบันดาลพระทัย ทรงฉวยซองจดหมายตีเส้น 5 เส้นแล้วเขียนโน้ตทำนองเพลงขึ้นเดี๋ยวนั้น กลายเป็นเพลง “เราสู้”
26. รู้ไหม...? ทรงมีพระอุปนิสัยสนใจการถ่ายภาพเหมือนใคร : เหมือนสมเด็จย่า และ รัชกาลที่ 5

27.  - - - -
28. นอกจากทรงโปรดการถ่ายภาพแล้ว ยังสนพระทัยการถ่ายภาพยนตร์ด้วย ทรงเคยนำภาพยนตร์ส่วนพระองค์ออกฉายแล้วนำเงินรายได้มาสร้างอาคารสภากาชาดไทยที่ รพ.จุฬาฯ โรงพยาบาลภูมิพล รวมทั้งใช้ในโครงการโรคโปลิโอและโรคเรื้อนด้วย
29. ทรงพระราชนิพนธ์เรื่อง “นายอินทร์” และ “ติโต” ทรงเขียนด้วยลายพระหัตถ์ แล้วให้เสมียนพิมพ์ แต่พระมหาชนก ทรงพิมพ์ลงในเครื่องคอมพิวเตอร์
30. ทรงเล่นกีฬาได้หลายชนิด แต่กีฬาที่ทรงโปรดเป็นพิเศษได้แก่ แบดมินตัน สกี และเรือใบ ทรงเคยได้เหรียญทองจากการแข่งขันเรือใบประเภทโอเค ในกีฬาแหลมทอง (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น “กีฬาซีเกมส์”) ครั้งที่ 4 ปี พ.ศ.2510

31. ครั้งหนึ่งทรงเรือใบออกจากฝั่งไปได้ไม่นานก็ทรงแล่นกลับฝั่ง ตรัสกับผู้ที่คอยมาเฝ้าฯว่า เสด็จฯกลับเข้าฝั่งเพราะเรือแล่นไปโดนทุ่นเข้า ซึ่งในกติกาการแข่งเรือใบถือว่าฟาวส์ ทั้งๆ ที่ไม่มีใครเห็น แสดงให้เห็นว่าทรงยึดกติกามากแค่ไหน
32. ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของโลกที่ได้รับสิทธิบัตรผลงานประดิษฐ์คิดค้นเครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่นลอย หรือ “กังหันชัยพัฒนา” เมื่อปี 2536

33. ทรงเป็นผู้ริเริ่มการพัฒนาเชื้อเพลิงน้ำมันจากวัสดุการเกษตรเพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทน เช่น แก๊สโซฮอล์ ดีโซฮอลล์ และ น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ ต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว

34. องค์การสหประชาชาติ ได้ถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ แด่ในหลวงเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม
2549 เพื่อสดุดีพระเกียรติคุณพระราชกรณียกิจด้านการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนชาวไทย โดยมี นายโคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติ เดินทางมาถวายรางวัลด้วยตนเอง

เรื่องส่วนพระองค์
35. พระนามเต็มของในหลวง : พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร

36. รักแรกพบของในหลวงและหม่อมสิริกิติ์เกิดขึ้นที่สวิสเซอร์แลนด์ แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นสมเด็จพระบรมราชินีนาถฯทรงให้สัมภาษณ์ว่า “น่าจะเป็น เกลียดแรกพบ มากกว่ารักแรกพบ เนื่องเพราะรับสั่งว่าจะเสด็จถึงเวลาบ่าย 4 โมง แต่จริงๆ แล้วเสด็จมาถึงหนึ่งทุ่ม ช้ากว่าเวลานัดหมายตั้งสามชั่วโมง”

37. ทรงหมั้นกับ ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2492 และจัดพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสที่วังสระปทุม เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2493 โดยทรงจดทะเบียนสมรสเหมือนคนทั่วไป ข้อความในสมุดทะเบียนก็เหมือนคนทั่วไปทุกอย่าง ปิดอากรแสตมป์ 10 สตางค์ เสียค่าธรรมเนียม 10 บาท

38. หลังอภิเษกสมรส ทรง “ฮันนีมูน” ที่หัวหิน
39. ทรงผนวช ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2499 และประทับจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นเวลา 15 วัน

40. ระหว่างทรงผนวช พระอุปัชฌาย์และพระพี่เลี้ยง คือ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช

41. ของใช้ส่วนพระองค์นั้นไม่จำเป็นต้องแพง ไม่ต้องแบรนด์เนม ดังนั้นการถวายของให้ในหลวงจึงไม่จำเป็นจะต้องเป็นของแพง อะไรที่มาจากน้ำใจจะทรงใช้ทั้งนั้น

42. เครื่องประดับ : ในหลวงไม่ทรงโปรดสวมเครื่องประดับ เช่น แหวน สร้อยคอ ของมีค่าต่างๆ ยกเว้นนาฬิกา

43. พระเกศาที่ทรงตัดแล้ว : ส่วนหนึ่งเก็บไว้ที่ธงชัยเฉลิมพลเพื่อมอบแก่ทหาร อีกส่วนหนึ่งเก็บไว้สร้างวัตถุมงคลเพื่อมอบแก่ราษฎรที่ทำคุณงามความดีแก่ประเทศชาติ

44. พลอดยาสีพระทนต์ ทรงใช้จนแบนราบเรียบคล้ายแผ่นกระดาษ โดยเฉพาะบริเวณคอหลอดยังปรากฏรอยบุ๋มลึกลงไปจนถึงเกลียวคอหลอด ซึ่งเป็นผลจากการใช้ด้ามแปรงสีพระทนต์ช่วยรีดและกดเป็นรอยบุ๋ม
45. วันที่ในหลวงเสียใจที่สุด คือวันที่สมเด็จย่าเสด็จสวรรคต มีหนังสือเล่าไว้ว่า วันนั้นในหลวงไปเฝ้าแม่ถึงตีสี่ตีห้า
พอแม่หลับจึงเสด็จฯกลับ ถึงวัง ทางโรงพยาบาลก็โทรศัพท์มาแจ้งว่า สมเด็จย่าสิ้นพระชนม์แล้ว ในหลวงรีบกลับไปที่โรงพยาบาล เห็นแม่นอนหลับตาอยู่บนเตียง ในหลวงคุกเข่าเข้าไปกราบที่อกแม่ ซบหน้านิ่งอยู่นาน ค่อยๆ เงยพระพักตร์ขึ้นมา น้ำพระเนตรไหลนอง

งานของในหลวง
46. โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จนถึงปัจจุบันมีจำนวนกว่า 3,000 โครงการ
47. ทุกครั้งที่เสด็จฯไปยังสถานที่ต่างๆ จะทรงมีสิ่งของประจำพระองค์อยู่ 3 สิ่ง คือ แผนที่ซึ่งทรงทำขึ้นเอง (ตัดต่อเอง ปะกาวเอง) กล้องถ่ายรูป และดินสอที่มียางลบ

48. ในหลวงทรงงานด้วยพระองค์เองทุกอย่างแม้กระทั่งการโรเนียวกระดาษที่จะนำมาให้ข้าราชการที่เข้าเฝ้าฯถวายงาน

49.เก็บร่ม : ครั้งหนึ่งเมื่อในหลวงเสด็จฯเยี่ยมโครงการห้วยสัตว์ใหญ่ เมื่อเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งมาถึง ปรากฏว่าฝนตกลงมาอย่างหนัก ข้าราชการและราษฎรที่เข้าแถวรอรับเปียกฝนกันทุกคน เมื่อทรงเห็นดังนั้นจึงมีรับสั่งให้องครักษ์เก็บร่ม แล้วทรงเยี่ยมข้าราชการและราษฎรทั้งกลางสายฝน
50. ทรงศึกษาลักษณะอากาศทุกวันโดยใช้ข้อมูลที่กรมอุตุนิยมวิทยานำขึ้นทูลเกล้าฯร่วมกับข้อมูลจากต่างประเทศที่หามาเอง เพื่อป้องกันภัยธรรมชาติที่อาจก่อความเสียหายแก่ประชาชน
51. โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา เริ่มต้นขึ้นจากเงินส่วนพระองค์จำนวน 32,866.73 บาท ซึ่งได้จากการขายหนังสือดนตรีที่พระเจนดุริยางค์ จากการขายนมวัวก็ค่อยๆ เติบโตเป็นโครงการพัฒนามาจนเป็นอย่างที่เราเห็นกันทุกวันนี้
52 .เวลามีพระราชอาคันตุกะเสด็จมาเยี่ยมชมโครงการฯสวนจิตรลดา ในหลวงจะเสด็จฯลงมาอธิบายด้วยพระองค์เอง เนื่องจากทรงรู้ทุกรายละเอียด
53. ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช กราบบังคมทูลถามว่า เคยทรงเหนื่อยทรงท้อบ้างหรือไม่ ในหลวงตอบว่า “ความจริงมันน่าท้อถอยอยู่หรอก บางเรื่องมันน่าท้อถอย แต่ว่าฉันท้อไม่ได้ เพราะเดิมพันของเรานั้นสูงเหลือเกิน เดิมพันของเรานั้นคือบ้านเมือง คือความสุขของคนไทยทั่วประเทศ”

54. ทรงนึกถึงแต่ประชาชน แม้กระทั่งวันที่พระองค์ทรงกำลังจะเข้าห้องผ่าตัดกระดูกสันหลังในอีก 5 ชั่วโมง (20 กรกฎาคม 2549) ยังทรงรับสั่งให้ข้าราชบริพารไปติดตั้งคอมพิวเตอร์เดินสายออนไลน์ไว้ เพราะกำลังมีพายุเข้าประเทศ พระองค์จะได้มอนิเตอร์ เผื่อน้ำท่วมจะได้ช่วยเหลือทัน

ของทรงโปรด
55. อาหารทรงโปรด : โปรดผัดผักทุกชนิด เช่น ผัดคะน้า ผัดถั่วงอก ผัดถั่วลันเตา
56. ผักที่ไม่โปรด : ผักชี ต้นหอม และตังช่าย
57. ทรงเสวยข้าวกล้องเป็นพระกระยาหารหลัก
58. ไม่เสวยปลานิล เพราะทรงเป็นผู้เลี้ยงปลานิลคนแรกในประเทศไทย โดยใช้สระว่ายน้ำในพระตำหนักสวนจิตรลดาเป็นบ่อเลี้ยง แล้วแจกจ่ายพันธุ์ไปให้กรมประมง

59. เครื่องดื่มทรงโปรด : โปรดโอวัลตินเป็นพิเศษ เคยเสวยวันหนึ่งหลายครั้ง

60. ทีวีช่องโปรด ทรงโปรดข่าวช่องฝรั่งเศสของยูบีซี เพื่อทรงรับฟังข่าวสารจากทั่วโลก

61. ทรงฟัง จส.100 และเคยโทรศัพท์ไปรายงานสถานการณ์ต่างๆ ใน กทม. ที่ จส.100 ด้วย โดยใช้พระนามแฝง

62. หนังสือที่ในหลวงอ่าน : ตอนเช้าตื่นบรรทม ในหลวงจะเปิดดูหนังสือพิมพ์รายวันทั้งไทยและเทศทุกฉบับ และก่อนเข้านอนจะทรงอ่านนิตยสารไทม์ส นิวสวีก เอเชียวีก ฯลฯ ที่มีข่าวทั่วทุกมุมโลก

63. ร้านตัดเสื้อของในหลวง คือ ร้านยูไลย เจ้าของชื่อ ยูไลย ลาภประเสริฐ ถวายงานตัดเสื้อในหลวงมาตั้งแต่ปี 2501
เมื่อนายยูไลยเสียชีวิต ก็มีลูกชาย นายสมภพ ลาภประเสริฐ มาถวายงานต่อจนถึงตอนนี้ก็เกือบ 50 ปีแล้ว

64. ห้องทรงงานของในหลวง อยู่ใกล้ห้องบรรทม บนชั้น 8 ของตำหนักจิตรลดาฯ เป็นห้องเล็กๆ ขนาด 3x4 เมตร ภายในห้องมีวิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์ โทรสาร คอมพิวเตอร์ เครื่องบันทึกเสียง เครื่องพยากรณ์ แผนที่ ฯลฯ

65. สุนัขทรงเลี้ยง นอกจากคุณทองแดง สุวรรณชาด สุนัขประจำรัชกาลที่ปัจจุบันอยู่ที่พระราชวังไกลกังวลแล้ว ยังมีสุนัขทรงเลี้ยงอีก 33 ตัว

รู้หรือไม่?
66. ในหลวง เกิดจากคำที่ชาวเหนือใช้เรียกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่า “นายหลวง” ภายหลังจึงเปลี่ยนเป็น ในหลวง 67. ทรงเชี่ยวชาญถึง 6 ภาษา คือ ไทย ละติน ฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน และ สเปน

68. อาชีพของในหลวง เมื่อผู้แทนพระองค์ไปติดต่อเอกสารสำคัญใดๆ ทรงโปรดให้กรอกในช่องอาชีพของพระองค์ว่า “ทำราชการ”

69. ในหลวงทรงพระเนตรเทียมข้างขวา เป็นผลจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เมืองโลซานน์ สวิสเซอร์แลนด์ รถพระที่นั่งชนกับรถบรรทุกอย่างแรง ทำให้เศษกระจกเข้าพระเนตรข้างขวา ตอนนั้นมีพระชนมายุเพียง 20 พรรษา และทรงใช้พระเนตรข้างซ้ายข้างเดียวในการทำงานบำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชนชาวไทยมาตลอดกว่า 60 ปี
70. ครั้งหนึ่งหนังสือพิมพ์อเมริกันลงข่าวลือเกี่ยวกับในหลวงว่า แซกโซโฟนที่ทรงอยู่เป็นประจำนั้นเป็นแซกโซโฟนที่ทำด้วยทองคำเนื้อแท้บริสุทธิ์ ซึ่งได้มีพระราชดำรัสว่า “อันนี้ไม่จริงเลย สมมติว่าจริงก็จะหนักมาก ยกไม่ไหวหรอก”

71. ปีหนึ่งๆ ในหลวงทรงเบิกดินสอแค่ 12 แท่ง ใช้เดือนละแท่งจนกระทั่งกุด

72. หัวใจทรงเต้นไม่ปกติ ในหลวงเคยประชวรหนักจนหัวใจเต้นไม่ปกติ เนื่องจากติดเชื้อไมโครพลาสม่าขณะขึ้นเยี่ยมราษฎรที่อำเภอสะเมิงติดต่อกันหลายปี

73. รู้หรือไม่ว่า ในหลวงเป็นคนประดิษฐ์รูปแบบฟอนต์ภาษาในคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้อย่างฟอนต์จิตรลดา ฟอนต์ภูพิงค์
74. ในนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี จัดขึ้นที่อิมแพ็ค มีประชาชนเข้าชมรวม 6 ล้านคน

75. ในหลวงเริ่มพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2493 จน 29 ปีต่อมาจึงมีผู้คำนวณว่าเสด็จพระราชทานปริญญาบัตร 490 ครั้ง ประทับครั้งละ 3 ชม. ทรงยื่นพระหัตถ์พระราชทาน 470,000 ครั้ง น้ำหนักปริญญาบัตรฉบับละ 3 ขีด รวมน้ำหนักทั้งหมด 141 ตัน

76. ดอกไม้ประจำพระองค์ คือ ดอกดาวเรือง
77. สีประจำพระองค์คือ สีเหลือง
78. นั่งรถหารสอง : ทรงรับสั่งกับข้าราชบริพารเสมอว่า การนั่งรถคนละคันเป็นการสิ้นเปลือง ให้นั่งรวมกัน ไม่โปรดให้มีขบวนรถยาวเหยียด

79.  - - - -
80. พระราชประวัติในหลวง ฉบับการ์ตูน

source - fw mail จากน้องนุ่น (สินิทรา)

O'Pern:
คนซื่อสัตย์ คือ สมบัติของพระราชา
ที่มา หนังสือพิมพ์สยามรัฐฉบับวันศุกร์ที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๑


เมื่อหลายปีก่อน (ประมาณสัก ๑๓ปี) มีนักธุรกิจคนหนึ่งไปหาอาตมาที่วัดสุทัศน์ฯ
เป็นนักธุรกิจที่ทำงานอยู่กับคุณเจริญคุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี
เมื่อพบกัน ท่านผู้นี้ก็แจ้งความประสงค์ของการมาพบ และเล่าเรื่องที่เป็นจุดประสงค์ ดังนี้...
"ท่านคงพอจะจำผมได้นะครับ เราเคยพบกันที่บ้านของคุณเจริญคุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี
ผมมีเรื่องอยากจะเล่าให้ท่านฟังดังนี้ว่า
เมื่อก่อนผมเป็นครูสอนวิชาภูมิศาสตร์และวิชาประวัติศาสตร์
ปกติผมต้องไปค้นคว้าข้อมูลในหอสมุดแห่งชาติ
ต่อมา ก็มีนักเรียนหญิงคนหนึ่งผูกเปีย ๒ ข้างเข้าไปค้นข้อมูลอย่างจริงจัง
ว่างก็สนทนากันถึงเรื่องวิชาการ
...อยู่มาวันหนึ่งนักเรียนหญิงคนนั้นก็ชวนผมไปเที่ยวบ้าน
โดยบอกว่าจะให้พ่อเลี้ยงข้าวหนึ่งมื้อ ในฐานะที่ให้ความรู้ด้านวิชาการ
โดยมีการนัดแนะกันที่พระราชวังดุสิต สวนจิตรลดา
โดยเธอบอกว่าเมื่อเข้าประตูที่ ๑
แล้วขอให้บอกแก่คนที่เฝ้าประตูด้วยคำพูดนี้ (เป็นคำเฉพาะ)
...ครั้นถึงวันนัดหมายผมก็เดินทางไปโดยรถแท็กซี่
เมื่อเข้าประตูผมก็มิได้สงสัย คงบอกเจ้าหน้าที่ตามนั้น
ครั้นถึงขั้นที่ ๒ ผมก็บอกตามนั้นอีก เจ้าหน้าที่ก็อัธยาศัยดี ให้ความเคารพผมอย่างยิ่ง
แต่พอถึงขั้นที่๓ ผมก็เริ่มเห็นภาพชัดเจนว่า...แท้ที่จริงเด็กผู้หญิงคนนั้นคือ
"สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี"
ซึ่งตอนนั้นยังมิได้เฉลิมพระยศนี้...
...ท่านครับ พอผมนึกออกก็เริ่มสั่นแล้ว
แต่เหตุที่ผมนึกไม่ออกนั้น เพราะผมไม่เคยคิดเลยว่า
เจ้าฟ้าจะสนพระทัยในวิชาการอย่างจริงจัง
เวลาค้นคว้าก็ทรงสืบค้นด้วยพระองค์เองทุกอย่าง
ทรงค้นคว้าและจดจำอย่างขมีขมัน
โดยมิได้มีข้าราชบริพารเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพระองค์
และเวลาที่ทรงสนทนาก็ให้ความนับถือคู่สนทนา
ยิ่งรู้ว่าผมเป็นครูสอนวิชาดังกล่าว
...เมื่อผมรู้ว่านักเรียนหญิงคนนั้นคือสมเด็จพระเทพฯ ผมก็ประหม่า
และแล้วรถแท็กซี่ก็ถึงที่นัดพบ
สักครู่พระองค์ก็เสด็จออกมาแล้วตรัสปฏิสันถาร
ถึงตอนนี้ผมก็ก้มลงกราบกับพื้น
และที่ทำให้ผมสั่นยิ่งขึ้นก็คือ
ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าคุณพ่อของเด็กผู้หญิงคนนี้คือ
"พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว"
...ท่านครับ
สักครู่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เสด็จออกมา
ทรงมีพระพักตร์ที่ยิ้มแย้มแล้วตรัสว่า
"เ ห็นลูกสาวบอกว่าเป็นเพื่อนกัน"
เมื่อพระองค์ตรัสดังนี้
ผมก็ก้มลงกราบด้วยความประหม่าเป็นที่สุด แล้วกราบบังคมทูลว่า
"มิเป็นการบังอาจ พระพุทธเจ้าข้า"
...พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระมหากรุณาธิคุณตรัสว่า
ขอให้ทำตัวตามปกติไม่ต้องประหม่าหรือกลัวแต่อย่างใด
พระองค์ตรัสขอบใจที่ได้เป็นเพื่อนสนทนาในวิชาการดังกล่าว
จากนั้นพระองค์ก็ตรัสว่า
"อันที่จริงก็มีผู้อยากขอเข้าเฝ้าฯ เป็นจำนวนมาก
บางรายก็ขอนำเงินขึ้นทูลเกล้าถวาย แต่เราก็ไม่สามารถจะรับเงินของบางคนได้
เราจะรับเงินของเขาได้อย่างไร ในเมื่อเงินที่เขานำมาถวายเรานั้น
เป็นเงินที่เกิดจากการขายแผ่นดินของเรา
เราจึงรับเงินนั้นไม่ได้
...ถ้าจะถามพระราชาอย่างเราว่าพระราชาอย่างเราต้องการอะไร
เราก็ขอตอบว่า...พระราชาอย่างเราต้องการคนที่ซื่อสัตย์
เพราะคนที่ซื่อสัตย์ คือ สมบัติของพระราชาอย่างเรา"
...ท่านครับ
ผมก้มลงกราบถวายบังคมพระองค์อีกครั้ง ด้วยความซาบซึ้งน้ำตาไหล
ในพระมหากรุณาธิคุณ ที่พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้แก่ครูสอนหนังสือเล็กๆ คนหนึ่ง
พระราชดำรัสของพระองค์มีคุณค่ายิ่งต่อชีวิตของผม
จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็พระราชทานเลี้ยงก๋วยเตี๋ยว
เป็นอาหารที่ผมรับประทานแล้วอิ่มตลอดชีวิต.......
...ท่านครับ จากวันนั้นมา
ชีวิตผมก็เปลี่ยนแปลงไป โดยที่ผมเองก็มิได้รู้ว่าทำไม
ชีวิตของผมซึ่งเป็นครูต้องเปลี่ยนแปลงงานที่ทำโดยมิได้ตั้งใจ
ชีวิตเจริญก้าวหน้าขึ้นตามลำดับ
แต่พระราชดำรัสที่พระองค์ตรัสไว้นั้นจารึกอยู่ในใจผมเสมอ
...ผมอยากจะเรียนท่านให้ทราบเพียงเท่านี้แหละครับ
ถ้าท่านจะกรุณานำไปเล่าให้คนทั้งหลายได้รับทราบ
ก็จะเป็นลาภของคนที่ฟัง
เขาจะได้รู้ว่าพวกเขาควรทำอย่าง ไรจึงจะได้ชื่อว่าเป็นคนของพระราชา
อาจารย์ท่านนี้เมื่อเล่าจบก็ลากลับด้วยสีหน้าที่อิ่มสุขและน้ำตาที่คลอเบ้าตา
มิใช่เพียงอาจารย์ท่านนี้ที่อิ่มสุขเท่านั้น
อาตมาเองซึ่งเป็นผู้ฟังก็อิ่มสุขน้ำตาคลอเบ้าเช่นเดียวกัน

บทความของ พระราชวิจิตรปฏิภาณ วัดสุทัศน์


Source - Fw mail

Navigation

[0] Message Index

[#] Next page

Go to full version