Author Topic: จุดเริ่มต้นของการเดินทาง  (Read 49764 times)

Offline O'Pern

  • fear is a mind killer
  • Administrator
  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 7411
  • don't let your fear stand in the way of your dream
    • racing club
จุดเริ่มต้นของการเดินทาง

Chapter 5

หลังจากงานแข่งครั้งนั้น ทำให้ความสนิทสนมของผมกับพิมและลุงมีมากขึ้น พ่อบอกให้ผมเจียมเนื้อเจียมตัว อย่าไปตีตนเสมอท่าน เขาให้ความเมตตาเอ็นดูก็เพราะความสุภาพอ่อนน้อมของเรา จงทำตัวเหมือนวันแรกที่ได้เจอเขาอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
ผมยังคงเจอลุงตอนเช้าอย่างสม่ำเสมอ บางวันลุงวิ่ง บางวันลุงปั่นจักรยาน ผมดีใจที่เห็นลุงออกกำลังกายได้ เท้าคงหายเจ็บดีแล้ว
เช้านี้ก็อีกเช่นกัน ผมตะโกนทักลุงก่อน
“สวัสดีครับลุง”
“เออ สวัสดีๆ เออ หนุ่ม เย็นนี้ไปหาลุงที่บ้านหน่อยนะ”
“ได้ครับลุง” ผมตอบพร้อมกับโบกมือให้ ขณะปั่นนำหน้าขึ้นไป
ผมแซงลุงประจำแหละครับ ลุงแกปั่นช้า แต่ก็ดีแล้วล่ะ เพราะถ้าปั่นเร็วมากเกินไปร่างกายจะยิ่งถูกใช้งานหนักมาก ถ้ายังปั่นหนักต่อเนื่อง อัดหนักๆ ไม่ยอมหยุด ร่างกายก็จะเข้าสู่สภาวะเก็บกักไขมัน และหันไปเผาผลาญกล้ามเนื้อแทน นี่คือเหตุผลว่าทำไมพวกที่ชอบคุยว่าปั่นโหดๆ ถึงมีแต่พวกคนตัวอ้วน ปั่นแบบนี้ยังไม่ก็ไม่ผอมครับ แถมตอนจอดพักนี่กินกันกระหน่ำเลย ชนิดที่เห็นแล้วทึ่ง
รักจะออกกำลังกายต้องเดินสายกลาง เพราะออกแรงน้อยไป เบาเกินไปก็แทบไม่เป็นประโยชน์ต่อการบริหารกล้ามเนื้อหัวใจ ได้แค่ขยับแขนขา แต่ก็อีกนั่นแหละ ยังไงก็ดีกว่าคนที่ไม่ได้ออกกำลังกายเลย

ผมไปหาลุงตอนเย็น ไปตามนัด หากลุงไม่เรียก ผมไม่กล้าเข้ามา
   ตอนนี้กดกริ่งทีเดียวประตูรั้วก็เปิดให้ผมเข้าแล้ว เจ้าตูบตัวโตก็ไม่เห่าไล่แล้ว กลับจะวิ่งเข้ามาเล่นด้วย ก็แหม ได้ขนมไปเยอะ แถมผมยังจับมันอาบน้ำให้อีกด้วย ทางแป้งเสียหอมเชียว
   ลุงยืนท้าวสะเอวรอผม พอเห็นรถที่ผมขี่ ลุงทำหน้าสงสัย ขอดูใกล้ๆ
   “หนุ่มไปเอายางแบบนี้มาจากไหน” ลุงขมวดคิ้วถาม เสียงเครียดเชียว
   ผมทำหน้าสงสัยในคำถาม ผมตอบไม่ถูก ตั้งตัวไม่ทัน รถคันนี้พ่อเอามาให้ผมใช้ลงแข่ง
   “เออ ก็ พ่อผมให้มาน่ะครับ มาทั้งคันเลยครับ”
   “ยางมันเป็นยังไงหรือครับลุง” ผมชักอยากรู้บ้าง เพราะดูๆ มันก็คือยางวิบากธรรมดาๆ นี่แหละ ร้านค้ามีขายเยอะแยะไป
   “ไม่ใช่ มันไม่ธรรมดา ยางแบบนี้ไม่มีขายหรอก มันเป็นยางสลิคแกะดอก”
   “หาา ยางสลิคแกะดอก มันเป็นยังไงหรือครับ”
   “มันก็เป็นยางผิวเรียบคล้ายยางสลิค แต่ผู้ขี่ต้องใช้เครื่องมือมาแกะเป็นร่องดอกยางเอาเอง ออกแบบลายดอกยางได้เอง”
   ผมตะลึง อึ้ง ไม่คิดว่ามียางแบบนี้ในโลก ไม่เคยรู้จักหรือได้ยินมาก่อนเลย พ่อก็ไม่เคยพูดถึง
   “รถคันนี้เป็นของพ่อของหนุ่มหรือ” ลุงถามต่อ
   “ใช่ครับ พ่อเอามาให้ผมได้สัก 3 วันก่อนงานแข่ง”
   “มิน่าเล่า เล่นใช้ยางแบบนี้นี่เอง ถึงเอาตัวรอดออกมาจากป่าฝนที่เส้นทางโหดแบบนั้นได้” ลุงพูดพึมพำ
   “ดูรถของพิมสิ โคลนพอกยางเสียเต็มจนหนัก และไม่มีผิวให้ยึดเกาะถนนจนล้มในที่สุด” พูดจบลุงก็ชี้ไปยังจักรยานของพิมที่จอดพิงในโรงรถ สภาพเหมือนกันวันล่าสุดที่งานแข่งเลย คือยังไม่ได้ล้าง
   “พ่อของหนุ่มเป็นนักขี่จักรยานหรือ” ลุงถามเพิ่ม
   “ไม่ใช่แน่ๆ ครับ พ่อผมช่วยแม่ขายของที่บ้านครับ มีขี่จักรยานนิดหน่อยก็แค่ออกกำลังกาย บ้างก็วิ่ง”
   “อืม แปลกมากๆ ที่เซ็ทรถได้ถึงขนาดนี้ ไหนๆ เอารถมานี่ ลุงขอดูอะไรสักหน่อย”
   ลุงหยิบเอาเครื่องวัดแรงดันลมยางออกมากดดูทั้งล้อหน้าและหลัง มือก็กดๆ เกียร์ไปด้วย บางก็ลองกดเบรก
   “เลือกรถได้ถูกต้อง รถโครโมลีไปได้ดีกับเส้นทางในป่า ดอกยางทรงหัวธนูเหมาะกับถนนโคลน สลัดโคลนออกได้อย่างรวดเร็ว อัตราทดเฟืองหลังขนาดใหญ่พิเศษ นี่มันรถสำหรับขี่ในป่าชัดๆ”
   “ที่เขาไม่ใช้รถ Full Suspension ก็คงเพราะต้องการลดน้ำหนักเป็นแน่ ใช้เบรกแบบ Cantilever ก็เพราะป้องกันโคลนพอกติด พ่อเขาเป็นใครกันนะ ที่ทำรถได้ดีเพียงนี้” ลุงพึมพำอยู่ในใจ
   “แล้วพิมเป็นอย่างไรบ้างครับ เท้าหายดีหรือยัง” ผมเอ่ยปากถามบ้าง
   “อืม ก็ดีขึ้นตามสภาพแหละ ยังวัยรุ่น ร่างกายเลยฟื้นเร็ว แต่หมอบอกให้หยุดพักการออกกำลังกายที่ใช้เท้า” ลุงพูดตอบ แต่ตาก็ยังจับจ้องที่รถของผมอยู่ตลอดเวลา
   “ไหนๆ ขอลุงดูยางเบรกหน่อยซิ” พูดจบลุงก็เดินมาก้มดูที่รถผม
   ปลดตัวล็อคเบรกหน้าออก ลุงง้างก้ามเบรกออกมาดูยางเบรก ผมแสนจะสงสัยว่ามันมีอะไรพิเศษให้ลุงสนใจนักหนา เบรกก็แสนจะโบราณ เชยๆ สู้พวก V Brake รุ่นใหม่ๆ ก็ไม่ได้
   “โอ เซาะร่องยางเบรกอีกด้วย” เสียงลุงอุทานออกมา
   “เซาะร่อง แล้วยังไงหรือครับลุง” ผมชักสงสัย เลยถาม
   “มันเป็นการแต่งผิวสัมผัสของยางเบรกให้รีดน้ำออกได้ดีกว่าเดิม”
   “ละเอียดแม้กระทั่งยางเบรกและลมยาง พ่อเด็กคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดาแน่” ลุงคิดในใจ ตาก็มองรถ มือก็ลูบไล้สัมผัสรถไปเรื่อย ใจนึกถึงเรื่องหนึ่งในอดีตที่แว่บเข้ามาในใจ
   ผมเห็นรถพิมยังไม่ได้ล้าง เลยอาสาจัดการให้ ลุงบอกว่าว่างวันไหนก็เข้ามาทำได้เลย 

   ผมขี่รถกลับบ้าน เจอพ่อนั่งอยู่ เลยถามพ่อหลายอย่างโดยเฉพาะเรื่องยาง เรื่องเบรกที่ลุงดูสนใจ แต่ก็ไม่เห็นพ่อพูดอะไร พ่อบอกว่ามันเป็นของธรรมดาๆ ไม่ใช่เรื่องพิเศษอะไร ใครๆ ก็ทำได้ อย่าไปสนใจอะไรกับมันเลย
   “เคน ขี่รถคันนี้แล้วเป็นไงบ้างล่ะลูก” พ่อเอ่ยถาม ขณะที่ก้มหน้าทำงานไปด้วย
   “ก็ดีครับ แต่ผมชอบยางเส้นเก่ามากกว่า เส้นนี้มันขี่แล้วสะเทือนไปหน่อย” พูดจบก็หันไปดูที่ยางรถตัวเองที่เป็นยางวิบาก ผมชอบเส้นเก่ามากกว่าทั้งๆ ที่ไม่รู้เลยว่ายางเส้นเก่าผมหน้าตาเป็นอย่างไร ผมรู้แค่ว่ามันนุ่มนวลกว่า
   “พ่อครับ ผมเอายางเส้นเก่ามาใส่ได้ไหมครับ”
   “เอาสิลูก” วางอยู่ในตู้หลังบ้านนั่นแหละ
   ผมเดินไปหลังบ้าน เปิดตู้ออกมาดู แต่ไม่เห็นยางที่พ่อบอกเลย เห็นมีแต่ยางไม่มีดอกผิวเกลี้ยงๆ สอบถามดูอีกที พบว่าไอ้ที่ผมใช้ขี่อยู่ทุกวันนี่แหละ คือยางเส้นเก่าที่พ่อเอาไปแกะดอกเรียบร้อยแล้ว หากชอบแบบเก่า ก็ต้องใช้ยางเส้นใหม่
   “โหห ต้องซื้อใหม่เลยหรอพ่อ แบบนี้ไม่ต้องหรอก ผมขี่ของเก่าก็ได้ สะเทือนหน่อยก็ช่างมัน ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็ชิน”
   เอ แล้วหน้าตายางเส้นเก่าที่เราเคยใช้มันเป็นแบบเรียบๆ เกลี้ยงๆ อย่างนี้หรอกหรือนี่ เอาแต่ขี่จนไม่ได้สนใจอะไรกับรถมันเลย
   “ไม่เป็นไรหรอกลูก เอายางเส้นใหม่นั่นแหละดีแล้ว เราไม่ได้ใช้ขี่ในป่าอีกแล้ว” พ่อพูดบอกให้ผมเปลี่ยนยาง แล้วเอายางเก่าทำความสะอาดแล้วแขวนเก็บไว้ในตู้มืด
   “ยางโล้นๆ ไม่มีดอกแบบนี้จะเกาะถนนดีหรือครับพ่อ” ผมชักจะสงสัย ถามไปพลางถอดยางเก่าออกไปด้วย
   รถจักรยานน่ะ มันจะเกาะถนนดีหรือไม่นั้นอยู่ที่การทรงตัวเป็นหลัก เพราะจักรยานมันความเร็วต่ำ ต่างจากรถยนต์ที่มีความเร็วสูง ดอกยางมีหน้าที่ช่วยเสริมการยึดผิวถนนก็จริงอยู่ แต่ยางไม่มีดอกแบบนี้จะใช้เนื้อยางของตัวเองทำหน้าที่แทนดอกยาง เขาเรียกว่ายางสลิค (Slick) บางคนเรียกยางดอกเรียบ
   จุดเด่นของยางแบบนี้คือมีแรงต้านอากาศน้อยแอโร่ไดนามิคดีมาก ทำให้มีอัตราเร่งดี ขี่ทวนลมก็จะมีแรงต้านน้อยกว่ายางมีดอกหนา
   มีดีก็มีเสีย มันไม่ได้เกิดมาเพื่อทางวิบาก โดยเฉพาะโคลน เลน และทราย คนส่วนใหญ่คิดว่ามันโดนน้ำแล้วจะลื่น ซึงก็ไม่ผิด แต่ที่หนักกว่านั้นคือถ้าไปเจอทรายในทางโค้งนี่สิ ไม่อยากนึกภาพเลย ลูกต้องระวังจุดนี้ให้มากนะ
   พ่อพูดไป ผมก็ฟังไป เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง แต่ก็ไม่ได้ซักถามอะไร ผมไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรกับจักรยานมากนัก รู้อย่างเดียวคือผมชอบขี่จักรยาน ขี่แล้วมีความสุข รู้สึกถึงความอิสระอย่างบอกไม่ถูก
   ผมเปลี่ยนจากยางเก่าเป็นยางสลิคของใหม่ทั้งด้านหน้าและหลัง สูบลมเต็มพิกัดเท่าที่ยางนอกจะทนได้ ค่าแรงดันสูงสุดจะระบุไว้บนแก้มยาง ยางเส้นนี้เต็มที่อัดได้ 95 psi แน่นอน ผมอัดเข้าไป 95 เป๊ะ
   “เอ๊ะพ่อ ผมควรเติมลมยางสักเท่าไหร่ดีครับ แก้มยางระบุไว้ว่าทนได้ถึง 95 psi”
   “ก็ลองอัดเข้าไปเต็มที่แล้วลองขี่ดู หากไม่ชอบใจก็ค่อยๆ ปล่อยออกทีละนิด หรือหากปล่อยออกมากเกินไปก็เติมมันเข้าไปใหม่ การเติมลมยางไม่มีเกณฑ์อะไรตายตัวหรอกลูก มันอยู่ที่น้ำหนักบรรทุก พื้นผิวถนน เราจะพิจารณาเรื่องพวกนี้เป็นหลัก”
   “แล้วกับยางเส้นเก่าพ่อเติมให้ผมเท่าไหร่หรือครับ”
   “ก็เติมไปเต็มที่นั่นแหละ 95 psi เผื่อลูกบ่นว่าแข็งก็จะปล่อยลมออก แต่ก็ไม่เห็นบ่นอะไรไม่ใช่หรือ หรือว่าแอบไปปล่อยลมออกเองบ้างแล้วพ่อก็ไม่รู้ด้วยนะ”
   
   ผมรีบเข้านอนแต่หัวค่ำ พรุ่งนี้เช้าผมต้องช่วยพ่อไปส่งของ แต่พ่อยังไม่นอน ผมแอบเห็นพ่อเอายางเส้นเก่าที่ผมเปลี่ยน หยิบมาล้างทำความสะอาด ตากแห้ง โรยแป้งฝุ่นแล้วพับเก็บใส่ถุงสีดำ
“เออ พ่อครับ อาทิตย์หน้าผมปิดเทอม ขอไปเที่ยวบ้านเพื่อนที่ต่างจังหวัดนะครับ”
   ผมหันไปมองพ่อ เขาก็ยังก้มหน้าทำอะไรของเขาอยู่นั่นแหละ แต่ก็พยักหน้าหงึกๆ ตอบรับ ผมเดาเอาเองว่าคงรับรู้ที่ผมบอกแล้ว
i drive / i race / i test / I drift
I row / I run / I fun / I ride

Offline O'Pern

  • fear is a mind killer
  • Administrator
  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 7411
  • don't let your fear stand in the way of your dream
    • racing club
Chapter 6
   
   ผมเอาจักรยานออกปั่นตอนเช้า ทุกๆ วันหยุดผมจะพบกับกลุ่มนักปั่นจักรยานกลุ่มหนึ่ง เขานัดเจอกันที่ปั๊มน้ำมันแถวบ้าน ผมเลยไปนั่งรอ ขอเขาเข้ากลุ่มปั่นด้วย รถส่วนใหญ่ในกลุ่มจะเป็นจักรยานแบบเสือหมอบ มีรถผมคันเดียวที่เป็นจักรยานภูเขา
   ผมไม่รู้จักเส้นทาง เลยปั่นตามเขาไปเรื่อยๆ พอตามนานเข้าคนอยู่ข้างหน้าหันมาบอกให้ผมอย่าตาม ไม่รู้ทำไม ไล่ให้ไปปั่นข้างหน้าแทน ผมกลัวหลง แต่ก็ขึ้นไปอยู่หัวขบวนอย่างว่าง่าย โดยมีรุ่นพี่คอยบอกทางหากจะต้องมีการเลี้ยว เออ แบบนี้ค่อยยังชั่ว
   รู้สึกว่ารุ่นพี่กลุ่มนี้เขาชอบให้ผมนำอยู่ด้านหน้ากันครับ เขาบอกว่าจะได้ช่วยดูว่าท่าทางการปั่นของผมถูกต้องดีไหม อืม ผมว่าพวกเขาใจดีนะ มีน้ำใจจะช่วยสอนการปั่นให้อีกด้วย
   แต่บางทีผมก็หมดแรงครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนปั่นทวนลม มันก็จะช้าลงไปเอง โดนพี่ๆ เขาขึ้นแซงนำกันไปลิ่วเลยครับ ทิ้งผมหาย ยืดระยะกันยาวมาก ผมก็ต้องเร่งเท้า กลัวตามเขาไม่ทัน จนบางครั้งก็ตามไม่ทันจริงๆ ครับ นำผมแบบทิ้งหายเลย ไม่เห็นกระทั่งหลัง มาเจออีกทีตอนเขาจอดพักกินน้ำในปั๊มน้ำมัน เล่นเอาหอบแฮ่กๆ เป็นหมาหอบแดด
   ช่วงพักนี้พวกพี่ๆ เขามักจอดซื้อน้ำหวานดื่ม บางคนก็ดื่มน้ำเก๊กฮวยในกระติกของตัวเอง ผมเห็นสีเหลืองๆ เลยรู้ บางคนก็ซื้อสปอนเซอร์ ซื้อน้ำอัดลมจากร้านข้างทางที่แวะจอด ส่วนผมมีแค่น้ำเปล่าในกระติกนี่แหละครับ ต้องค่อยๆ จิบ กินเยอะมันจะหมดเร็ว หาที่เติมลำบาก พอพวกพี่ๆ เขาแวะกินข้าวกัน ผมถึงได้มีโอกาสหยิบเอาน้ำบนโต๊ะมารินใส่กระติกตัวเอง เจ้าของร้านเขาคงไม่ว่าผมนะ 
   บางวันเขาปั่นกันสั้น ผมก็ตามเขากลับมาด้วย วันไหนเขาปั่นกันไกล ไปกันตั้งแต่เช้ากลับเย็นเลย แบบนี้ผมมักจะขอกลับก่อน เพราะต้องมาช่วยแม่ทำงานบ้าน ผมมักจะปั่นกลับมาคนเดียว ขากลับนี้ขี่ง่ายครับ ผมจำเส้นทางได้ก็ไม่มีอะไรต้องห่วงอีกแล้ว
   ปั่นคนเดียวก็เลยเร่งใหญ่ ปั่นกลางแดดนานเข้าก็เมื่อยล้า แถมไม่ค่อยได้จอดพัก นานเข้าก็เลยเป็นตะคริวเข้า นี่เป็นครั้งแรกของผมที่เป็นเลย รู้สึกกลัวขึ้นมาเสียแล้วสิ เพราะกล้ามเนื้อขาจะเกร็งจนเจ็บ ใช้งานขาข้างนั้นไม่ได้เลย กระทั่งยันพื้นทรงตัว
   พอถึงบ้านก็เลยถามพ่อถึงวิธีแก้ตะคริว แต่พ่อกลับบอกว่าให้ป้องกันไม่ให้เกิดจะดีกว่าการแก้ไข แล้วก็ถามผมเป็นชุดถึงการขี่อย่างละเอียด เส้นทาง ความเร็ว กินอะไรบ้าง กินน้ำบ่อยแค่ไหน ฯลฯ
   ทำไมพ่ออยากรู้อะไรนักนะ ธรรมดาพ่อไม่เคยสนใจผมเลยว่าจะกินอะไร หรือไปไหนมานี่นา วันนี้มาแปลกจริงๆ
   “ผมก็กินข้าวเช้าจากที่บ้านเราไปแค่นี้แหละครับ ตลอดทางก็จิบแต่น้ำเปล่าอย่างเดียว ไม่ได้จอดซื้อขนม หรือน้ำหวาน น้ำอัดลมเหมือนคนอื่นเขา การปั่นก็ค่อนข้างเร็วครับ กลางแดดร้อนจัด ผมเลยอยากกลับบ้านเร็วๆ ขาไปมีทวนลมเยอะ แต่ขากลับสบายหน่อย แต่ผมเป็นตะคริวตอนขากลับนะครับ” ผมเล่าเสียละเอียดยิบเลยล่ะ
   และนี่คือคำตอบของพ่อผม พ่อจัดมาให้แบบชุดใหญ่
   “ลูกฝืนร่างกายมากเกินไปในช่วงขากลับ หากร่างกายเราแข็งแกร่งดี เราซ้อมมาดีแล้วยังเกิดตะคริวก็คือร่างกายเราขาดเกลือแร่ ที่เห็นน้ำในกระติกสีเหลือๆ น่ะ เขาผสมผงเกลือแร่ไว้ หรือจะใช้วิธีจอดซื้อกินตามร้านก็ได้ แต่ลูกจงอย่าไปกินน้ำอัดลม มันหวานมีน้ำตาลมาก และที่สำคัญคือมีกรดคาร์บอนิค กรดฟอสฟอริก ที่มีฟอสฟอรัสเป็นส่วนประกอบ
โดยปกติแล้ว ฟอสฟอรัสจะต้องทำงานร่วมกับแคลเซี่ยม และร่างกายเราต้องพยายามรักษาสัดส่วนของฟอสฟอรัสและแคลเซี่ยมในเลือดให้เท่ากับ 1:2 เพื่อเป็นกลไกที่จะป้องกันไม่ให้เลือดเรามีสภาพเป็นกรด และเมื่อใดที่ร่างกายได้รับฟอสฟอรัสมากเกินไป ร่างกายจึงจำเป็นต้องสลายแคลเซี่ยมในกระดูกมาใช้ในการปรับกลไกให้สมดุล
หากดื่มน้ำอัดลมมากเกินไป  กินต่อเนื่องนานๆ เป็นประจำจะให้กระดูกที่มีส่วนประกอบของแคลเซี่ยมเป็นหลักนั้นเกิดการคดงอ และผุกร่อนได้ง่าย และถ้าเป็นเด็กอย่างลูกที่แม้ร่างกายยังแข็งแรงดีอยู่ ก็สามารถนำไปสู่ภาวะร่างกายพร่องแคลเซี่ยมได้เมื่อลูกเข้าสู่วัยผู้ใหญ่
ถึงตอนนั้น จะแม้จะเติมแคลเซี่ยมก็ช่วยไม่ได้แล้ว ตรงกันข้ามหากกินเสริมมากเกินไปก็จะเกิดนิ่วในกระเพาะปัสสาวะหรือไตได้อีกด้วย 
อีกทั้งน้ำอัดลมยังมีกรดคาร์บอนิก มันคือกรดที่เกิดขึ้นจากการทำปฏิกริยาเคมีระหว่างน้ำกับคาร์บอนไดออกไซด์ และด้วยคุณสมบัติเฉพาะตัวของกรดทั่วไปที่มักจะทำปฏิกริยาได้ดีกับหินปูน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่กรดคาร์บอนิกจะทำลายแคลเซี่ยมที่เป็นส่วนประกอบของกระดูกและฟัน และนั่นคือที่มาของโรคกระดูกพรุน และฟันผุง่าย
พวกผู้ใหญ่ที่พอแก่ตัวแล้วมีปัญหาเรื่องกระดูกก็เพราะส่วนหนึ่งมาจากช่วงชีวิตวัยหนุ่มสาวเขากินน้ำอัดลมเยอะ ออกกำลังกายน้อย กินอาหารไม่ถูกสุขลักษณะนี่แหละ”
ผมนั่งฟังพ่ออธิบายแบบอ้าปากหวอไปเลย
“น้ำอัดลม 1 กระป๋อง จะมีน้ำตาลประมาณ 8 ช้อนชา” พ่อพูดประโยคสุดท้าย ก่อนเงยหน้ามาสบตาผม
“เรากินดูมันซ่า มันสดชื่น ลิ้นเราถูกกดไว้ไม่ให้รับรู้ความหวาน หากลูกอยากรู้ว่ามันหวานเพียงใด ก็จงเปิดขวดทิ้งไว้ รอให้แก๊สมันระเหยออกจนหมดแล้วดื่มดู”
“ขอบคุณครับพ่อที่ช่วยสั่งสอนผม ผมจะไม่ดื่มน้ำอัดลมอีกแล้วครับ” ผมพูดแบบสำนึกผิดจริงๆ ดีที่ผมรู้วันนี้ แล้วคนที่เขาไม่รู้ล่ะ พวกเด็กๆ ที่ยังคงดื่มน้ำอัดลมอยู่ล่ะ รวมถึงนักขี่จักรยานที่ซดน้ำอัดลมกันเป็นว่าเล่นล่ะ
กลายเป็นว่าดื่มน้ำอัดลม จะทำให้เด็กมีความสูงลดลง แถมพออายุมากเข้าก็จะมีอาการกระดูกพรุนอีกด้วย ยังมีเรื่องอ้วนตามมาจากน้ำตาลตบท้ายเป็นของแถม
“พ่อครับ แล้วผมควรจะกินหรือดื่มอะไรบ้างล่ะครับ”
“ถ้าเป็นพวกนักแข่ง เขาก็มักจะดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่กัน”
“แต่สำหรับลูก เราไม่ได้แข่งขัน เราไม่ต้องไปทำอย่างเขาหรอก หากอยากได้เกลือแร่ก็แค่จอดซื้อผลไม้สดสักชิ้น จะเป็นสัปปะรด แตงโม มะพร้าว ก็แล้วแต่ชอบได้ทั้งแร่ธาตุและไฟเบอร์จากผลไม้สดนั้นดีกว่าสิ่งอื่นใด”
“และถ้ากระหายแบบคอแห้งขณะขี่จริงๆ การได้ดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ สดชื่นนั้นดีแน่ จงเลือกเกเตอร์เรทก็แล้วกัน เพราะมันหาซื้อได้ง่ายที่สุด มันมีเกลือแร่จำเป็นครบถ้วนกว่าเครื่องดื่มเกลือแร่ขวดละ 10 บาทของไทย” พ่อพูดปิดท้าย
ผมยืนฟังแบบจำขึ้นใจ ตอนนี้ผมรู้แล้วครับว่าต่อไปควรกินดื่มอะไรตอนขี่จักรยาน
“อ้าว แล้วนี่ขากลับลูกขี่มาโดยไม่ได้กินข้าวกลางวันหรอกหรือ” พ่อผมถามอีกรอบ
“พวกพี่ๆ เขากินครับ ผมไม่ได้ไปขี่ต่อกับเขา ก็เลยไม่ได้กิน ผมขี่ย้อนกลับมาเลย”
“อืม นั่นประไร ถ้าลูกกินอะไรเสียหน่อย ร่างกายก็จะมีพลังงานเพียงพอ และคงไม่เกิดตะคริวแน่ๆ”
“แต่ลูกก็ไม่เคยเป็นตะคริวมาก่อนมิใช่หรือ”
“ครับ นี่เป็นครั้งแรกเลยล่ะครับ” ผมตอบแบบรู้สึกผิดจริงๆ
“เอาล่ะ จำเอาไว้ให้ขึ้นใจว่าจักรยานมันขับเคลื่อนด้วยแรงคน ซึ่งคนเราก็ต้องการพลังงานจากอาหารและน้ำดื่ม ถ้าขี่ทางใกล้ก็ไม่เท่าไหร่ เราใช้พลังงานสะสมในร่างกายได้ แต่ถ้าลากยาวๆ กลางแดดร้อนจัด หรือขึ้นเขาสูงชันล่ะก็ อย่าละเลยเรื่อง อาหาร น้ำดื่ม และโภชนาการเป็นอันขาด”
“อีกเรื่องที่สำคัญมาก คืออย่าไปฝืนร่างกาย หากไม่ไหวจริงๆ ก็ผ่อนขาหรือพักซะ ร่างกายเราจะส่งสัญญาณเตือนบางอย่างถึงความผิดปกติออกมา เราต้องจับอาการนั้นให้ได้ พร้อมกับประเมินสภาพร่างกายเราไปด้วย มีคนล้มและตายจากการขี่จักรยานก็เพราะเหตุนี้แหละ”
“ครับพ่อ” ไม่รู้จะพูดอะไร ก็ตอบรับง่ายๆ อย่างนี้แหละ

คืนนั้นผมทบทวนสิ่งต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตหลัง รู้สึกว่าระยะหลังที่ขี่จักรยานมากเข้าๆ มันทำให้ผมเรียนรู้สิ่งต่างๆ เพิ่มขึ้นอีกหลายอย่างเลย ต่างจากเพื่อนผมอีกกลุ่มที่ยังคงนิยมเที่ยวกลางคืน ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เผาผลาญเงินที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนหามาสักบาท
ตอนเป็นเด็กวัยรุ่นก็เสียเงินซื้อบุหรี่สูบ ซื้อเหล้าเสพ พอตอนแก่ตัวก็ต้องมาเสียเงินอีกรอบเพื่อรักษาโรคจากบุหรี่และเหล้าที่ตัวเองทำร้ายร่างกายตัวเองแท้ๆ  เสียเงินซ้ำซากถึงสองรอบ แถมไอ้รอบสองนี่มันทำได้แค่ประคองอาการให้ดีขึ้น มันไม่สามารถทำให้ปอด ตับของเราสดใสเหมือนใหม่นะ มันไม่ได้ช่วยให้หลอดเลือดอ่อนนุ่มยืดหยุ่นได้เหมือนตอนหนุ่มสาวนะ
กลายเป็นว่าเสียเงินไปแล้ว แถมสุขภาพก็ยังไม่ได้ดีกลับมา เป็นการลงทุนที่สูญเปล่าจริงๆ สู้อุตส่าห์อัพเกรดจักรยาน แต่ดันมาดาวน์เกรดร่างกายตัวเอง
i drive / i race / i test / I drift
I row / I run / I fun / I ride

Offline O'Pern

  • fear is a mind killer
  • Administrator
  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 7411
  • don't let your fear stand in the way of your dream
    • racing club
Chapter 7

   วันหยุด วันว่าง ผมมักจะออกขี่จักรยานกับกลุ่มรุ่นพี่เสือหมอบที่เจอแถวบ้าน นักขี่จักรยานกลุ่มใหญ่ กลุ่มเดิมที่เคยเล่านั่นแหละครับ แต่มีแค่เพียงพี่เอกคนเดียวที่คุยกับผม นอกนั้นเขาอัดกันตลอด มาเจอกันอีกทีตอนพักดื่มน้ำและทานอาหาร พี่เอกมักจะอยู่รั้งท้ายอยู่กับผม
   นักจักรยานกลุ่มนี้ใช้รถราคาแพงมากๆ ครับ ยี่ห้อประหลาดๆ แบบไม่เคยเห็นในท้องตลาด บางคันชื่อยี่ห้อรถยังอ่านยาก ออกเสียงลำบาก เอาเป็นว่าไม่รู้ว่าเรียกว่ารถยี่ห้ออะไร ส่วนผู้ขี่ก็คละๆ กันไป หุ่นดีบ้าง อ้วนบ้าง แก่ๆ ก็พอมี แต่หนุ่มๆ นี้จะเยอะกว่า อ้อ มีพี่ผู้หญิงมาบ้าง 2-3 คน สงสัยมากับแฟน
   วันนี้ผมติดกระติกน้ำไป 2 ใบแล้วครับ ใบหนึงใส่น้ำเปล่า อีกใบใส่ผงเกลือแร่ ซื้อเอาตามร้านขายยานี่แหละครับ อันเดียวกันกับที่ผู้ป่วยท้องเสียเขากิน ร้านขายยาทุกร้านมีขาย ซองละ 5 บาท แค่เทลงกระติกแล้วกรอกน้ำตามเข้าไป เขย่าสักนิดก็ใช้ได้แล้ว แต่ถ้ากระติกใหญ่ต้องใช้เกลือแร่ 2 ซองนะ ไม่งั้นมันจะเจือจางเกินไป
   พี่ๆ เขานัดเจอกันในปั๊มน้ำมัน Jet ครับ ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น PTT กันหมดแล้ว เขา Take Over ปั๊ม Jet ไปจนหมดแล้ว ปั๊มแบบนี้ดีตรงจอดรถง่าย มีมินิมาร์ทอย่างดี ข้าวของขายเยอะ แต่แพงครับ ถ้าผมมาคนเดียว ผมจะแวะกินพวกข้าวแกง ไม่ก็ต้มเลือดหมูที่ขายข้างทางมากกว่า เลือกเอาที่มีรถแท๊กซี่ รถรับจ้างจอดกินกันเยอะๆ นั่นแหละครับจะดีมาก เพราะขายถูกที่สุดแล้ว ข้าวราดแกงจานละ 15 บาทยังพอหาได้ในละแวกบ้านผมฝั่งธนฯ
   ผมมักจะมาก่อนใครทุกที ผมตื่นเช้าเป็นนิสัยแล้วครับ ให้ตื่นสายก็ทำไม่เป็น ไม่ว่าจะนอนดึกอย่างไร หากขอบฟ้าสว่างเป็นต้องลุกทันที
   นี่เป็นอาทิตย์สุดท้ายในช่วงระยะนี้ที่ผมจะขี่กับพี่ๆ กลุ่มนี้ อาทิตย์หน้าผมจะไปบ้านเพื่อนที่ต่างจังหวัด ถือว่าเป็นการซ้อมใหญ่ก็แล้วกัน วันนี้ผมว่างทั้งวันอยู่แล้ว
   “เฮ้ย ไอ้หนู วันนี้เขาขี่กันไกลนะ เอ็งจะตามไหวหรือ” ลุงคนหนึ่งพูด มองหน้าผม แล้วก็มองลงมาดูที่รถจักรยานที่ผมขี่
   “สวัสดีครับลุง ผมก็ขอตามๆ ไปแล้วกันครับ” ยกมือสวัสดีลุง แต่ลุงคนนี้ผมไม่ค่อยคุ้นหน้า
   ลุงขี่รถวนไปมา รถแกเท่มาก ล้อมีซี่ลวดแค่ไม่มีเส้นเอง คิดสงสัยไปเหมือนกันนะว่ามันจะพัง จะคดง่ายหรือเปล่าหนอ
   นักจักรยานค่อยๆ ทะยอยกันมาสมทบ ใครอยู่ไกลก็จะเอาจักรยานใส่รถยนต์มาร่วมขี่ด้วย
   0700 ได้เวลาออกเดินทาง ผมชอบชาวจักรยานก็ตรงนี้แหละครับ คือการตรงต่อเวลา แม้จะเพียงเล็กๆ น้อยๆ แต่มันคือระเบียบง่ายๆ ในชีวิตที่ทุกคนทำได้ เรื่องพวกนี้ต้องฝึกกันตั้งแต่เด็กนะครับ โตขึ้นจะได้เป็นผู้ใหญ่ที่มีระเบียบ
   วันนี้เราไปกันเกือบสิบคัน ผมอยู่รั่งท้ายเหมือนเดิม ถ้าพี่เอกไม่มา ผมก็ไม่มีเพื่อนคุย วันนี้พี่เอกไม่มาครับ
   ขี่แบบเหงาๆ แตใจไม่เคยเหงา ตราบใดที่ยังอยู่บนจักรยาน ทุกนาทีคือความสนุกสำหรับผม ความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่หาได้ง่ายใกล้ๆ ตัว ไม่ต้องไปมองที่ไหนไกลหรอกครับ อยู่ที่ใจเราเองต่างหาก มันอยู่ที่วิธีคิด
   ขี่จักรยานตามหลังรั้งท้าย ทำให้ผมเห็นสไตล์การปั่น และการใช้เกียร์ของแต่ละคนที่แตกต่างกัน บางคนเน้นปั่นรอบขาเร็วๆ ใช้เกียร์เบาๆ บางคนชอบกดบัดไดแรงๆ อัดหนักๆ ใช้เกียร์หนัก อ้อ ยังมีอีกหลายคนที่ใช้รถแพงๆ แต่ยังรักษาแนวโซ่ได้ไม่ดีนัก ลักษณะแนวโซ่ที่เฉียงจะเกิดแรงดึงด้านข้างที่หมุดโซ่ นานๆ เข้าโซ่ก็จะเสื่อมคลอนได้ง่าย และมักจะมาออกอาการตอนปั่นขึ้นเขาที่เค้นพลังกันนี่แหละครับ
   “รอบขา เสมือนรอบเครื่องยนต์” พ่อผมสอนไว้ พ่อชอบพูดสอนเรื่องรถยนต์ตอนขับรถกระบะส่งของ รถก็เก่าแสนจะโทรม
   “แต่เราเร่งรอบขาได้ไม่เหมือนรอบเครื่องยนต์นะครับพ่อ” ผมแย้งพ่อ
   “ก็ถูก มันเหมือนกันแค่ในหลักการ ไม่ได้เหมือนกันเป๊ะๆ หรอกลูก” พ่ออธิบายเพิ่ม ผมถึงกระจ่าง คิดว่าเราสามารถเร่งรอบขาได้เหมือนรอบเครื่องยนต์เสียอีก
   “แล้วอย่างนี้ชุดเกียร์ของจักรยานก็คือเฟืองท้ายของรถยนต์หรือครับพ่อ”
   “ก็ไม่เชิงนะ ถ้าจะให้พ่อเปรียบ ก็อยากให้ชุดเกียร์ของจักรยานน่ะ คือชุดเกียร์ของรถยนต์ แล้วชุดจานหน้า 3 ใบของจักรยานเราน่ะ ให้เปรียบเป็นชุดเฟืองท้ายแทน”
   ผมฟังแล้วนำไปคิดต่อ ตอนขับรถยนต์ผมก็คิดถึงเรื่องจักรยาน พอขี่จักรยานผมก็คิดถึงเรื่องรถยนต์ จักรยานกับรถยนต์มันต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่มันก็มีแง่มุมหลายอย่างที่พอจะเหมือนกันได้นะ
   “การขับขี่น่ะมันไม่ยากหรอกลูก จะมายากเอาตอนที่ลูกเค้นสมรรถนะของมันทุกด้านออกมา ขับขี่ให้ทะลุขีดจำกัดของมัน ถึงจุดนั้นลูกจะค้นพบบางอย่างที่แอบแฝงอยู่ทั้งในรถยนต์ และจักรยาน”
   “ทุกอย่างมันเริ่มต้นจากร่างกายที่แข็งแกร่ง จิตใจที่แน่วแน่ มีความอดทน มีสมาธิ”
   “เหมือนตอนเราจะขี่ขึ้นเขาน่ะลูก คนส่วนใหญ่จะพากันเตรียมรถเสียอย่างดิบดี นั้นก็ไม่ผิดหรอกนะ แต่จะดีกว่านั้นหากฝึกซ้อมเตรียมตัวให้ดีเท่าๆ กับเตรียมรถ อย่าลืมว่าจักรยานขับเคลื่อนด้วยแรงคนนะ รถจะห่วย จะแย่ จะหนักอย่างไร ก็สามารถไปถึงได้ ถ้าเรามีแรงปั่น ในทางกลับกัน หากมีแต่รถดีๆ เบาๆ แพงๆ แต่คนขี่ไม่มีแรงล่ะ”
   คำพูดของพ่อค่อยๆ หลุดออกมาจากความทรงจำทีละนิดๆ ไม่ว่าผมจะมองเห็นภาพอะไร เรื่องอะไรเกียวกับจักรยาน พ่อมักจะให้คำตอบผมได้เสมอ แถมคำตอบของพ่อจะแปลก คือตอบมาแค่ครึ่งเดียว ที่เหลือให้ผมไปคิดต่อเอาเอง
   การขี่จักรยานรั้งท้าย นอกจากผมจะเห็นเรื่องราวต่างๆ ดังที่บอกมาแล้ว ผมยังเห็นว่ามีคนอีกไม่น้อยที่ปั่นผิดท่า เริ่มตั้งแต่วางเท้าบนบันไดผิด มักจะวางกันกลางฝ่าเท้า บางคนก็ปลายเท้าเฉียงออก ขี่แล้วหัวเข่ากางๆ บ้างก็ปรับตั้งเบาะสูงหรือต่ำเกินไป และอีกไม่น้อยที่ใช้รถแบบ Full Suspension แล้วชอบขี่ไปขย่มรถไป
   ดูเขาแล้วก็ต้องหั้นมาดูตัวเราเองด้วยครับว่าทำถูกต้องหรือไม่ รักษาแนวโซ่ได้ดีเพียงใด เซ็ทติ้งรถถูกต้องไหม นั่งขี่ถูกไหม ฯลฯ กว่ารถผมจะลงตัวได้ขนาดนี้พ่อมาช่วยปรับให้เป็นเดือนเลยครับ จำได้ว่าชิ้นล่าสุดที่ปรับเปลี่ยนไปก็คือ Stem นี่แหละ เจ้านี่เซ็ทได้ลงตัวยากจริงๆ ช่วงแรกพ่อให้ใช้ Stem แบบปรับระดับได้ พอหาระดับที่ลงตัวได้ก็ค่อยหาแบบ Stem ตายตัวธรรมดามาใช้
   ถ้าเป็นการขี่ทางไกล อากาศร้อน ผมจิบน้ำเกลือแร่ตลอดทาง มันก็สดชื่นดีนะ หวานๆ มีเค็มนิดๆ ติดมาหน่อย จะว่าเหมือนน้ำผลไม้ก็ไม่เชิง แต่มันอร่อยกว่าน้ำเปล่าเยอะเลยล่ะ
   ถ้าเป็นกลุ่มใหญ่ เขาจะไม่ขี่กันเร็วมากนัก ทำให้ผมยังพอเกาะติด แต่ถ้าเจอกลุ่มเล็กๆ สัก 4-5 คันแบบครั้งก่อนๆ โน่นล่ะก็ ไม่ต้องพูดถึงเลยครับ เร่งยังไงก็ตามพี่ๆ เขาไม่ทันเลย
   คุณลุงคนที่รถสวยๆ ตอนแรกขี่อยู่หัวแถว พอมาสักกลางทางแกมาขี่ตามท้ายผม ตอนแรกผมคิดว่าแกจะมาคุยด้วย แต่เปล่า ทั้งๆ ที่ผมขี่รั้งท้ายอยู่คนเดียว ผมไม่คุ้นชินกับการที่มีใครมาขี่จ่อท้ายติดๆ เลยครับ แถมบางจังหวะลุงแกเอาล้อหน้ามาปาดกับยางหลังผมเล่นเอาเกือบกลิ้งกันทั้งคู่ ไม่รู้ว่าเขาทำอย่างนั้นทำไม จะบอกก็ไม่กล้าครับ เลยค่อยๆ หนีห่างออกมาขึ้นไปอยู่กลุ่มกลางๆ
   สักพักใหญ่กลุ่มหลังที่ผมเพิ่งจะฉีกตัวขึ้นมาก็กลิ้งครับ ล้มกันไป 4 คัน เกิดจากการเปลี่ยนเลนกระทันหันของคุณลุงแล้วล้อหลังไปปาดโดนล้อหน้าของคันหลัง ล้มกันทั้งคู่ แถมพาเพื่อนที่ตามมาล้มไปด้วย แผลถลอกกันเต็มตัว รถตีลังกาล้อคด ว่าแล้ว ไอ้ล้อแบบนี้เจอหนักๆ ไม่น่ารอดจริงๆ ด้วย
   กลุ่มผู้นำแกนำไปไกลมากแล้ว จะเรียกก็ไม่ทัน ผมเลยชะลอรถช่วยเหลือกลุ่มหลังที่คนเจ็บมากกว่าคนสภาพดีเสียอีก
   “เย็นก่อน ร้อนทีหลัง” จำประโยคของพ่อได้ขึ้นใจ เป็นการใช้น้ำแข็งประคบแผลปวดบวมในระยะแรก และวันถัดไปให้ใช้ประคบร้อนแทน
   แต่ถ้ามีแผลก็ต้องทำแผลและรักษาตามอาการก่อนนะครับ ส่วนเรื่องบวมใช้น้ำแข็งช่วย จะหายเร็วมากๆ ระวังให้ดีเรื่องการติดเชื้อ ถ้ามีแผลก็ต้องกินยาแก้อักเสบร่วมด้วย
   วิธีการก็ไม่มีอะไรมาก ทำความสะอาดแผลก่อนอันดับแรก ใช้น้ำเปล่าในกระติกเรานี่แหละครับ เทราดลงไปได้เลย เอามือลูบผิวหนังเพื่อเอาเศษทราย กรวดออกจากแผล ต้องรีบทำ ช่วงนี้ยังเกิดอาการชาอยู่ ยังไม่เจ็บมาก อีกสักพักจะเจ็บกว่านี้เยอะ ล้างเสร็จก็ซับให้แผลแห้งเร็วที่สุด ผมใช้กระดาษเช็ดมือแบบ Paper Towel แผ่นใหญ่ๆ หนาๆ ซับลงไปบนแผล มีเลือด มีน้ำเหลืองติดออกมา เป็นธรรมดาครับ ระวังไม่ให้โดนเนื้อเยื่อของเราก็พอ สุดท้ายปิดด้วยการทาเบตาดีน และถ้าจะให้ดีก็ปิดด้วยผ้าก็อซ แต่ผมไม่ชอบปิด เพราะขี่จักรยานแล้วมันหลุด
   รถผมมีอุปกรณ์ปฐมพยาบาลติดไว้ ไม่ใช่ชุดใหญ่อะไรหรอกครับ พกเอาไว้หลายปีแต่ไม่เคยได้ใช้เองสักครั้ง มีแต่หยิบเอามาช่วยเหลือคนอื่น
   จากเดิมที่ไม่ค่อยมีใครอยากจะคุยด้วย กระทั่งขอขี่ตามหลังก็ยังโดนไล่ แต่ผมก็ให้ความช่วยเหลือทุกคนด้วยความเต็มใจครับ ความสุขของผมคือการได้ช่วยเหลือคนอื่น
   มันอยู่ที่วิธีคิด คิดดีตัวเองก็มีสุข แต่ถ้าคิดทุกข์ความสุขก็จะหายไป ทุกอย่างกำหนดได้ด้วยจิตใจของตัวเราเองครับ
i drive / i race / i test / I drift
I row / I run / I fun / I ride