Author Topic: มีค 53 / 26 - 1 Moscow & Saint Petersburg - Russia  (Read 17703 times)

Offline O'Pern

  • fear is a mind killer
  • Administrator
  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 7411
  • don't let your fear stand in the way of your dream
    • racing club
Re: มีค 53
« Reply #15 on: March 18, 2010, 08:37:01 pm »
18 มีค 53
   เช้าเอารถ Giant Revive ออกปั่นครับ ไม่ได้ขี่มันมานานหลายเดือน คิดจะขายเหมือนกัน แต่ก็เสียดาย เพราะว่ารถของผมเป็นปี 2006 เป็นปีสุดท้ายที่ทาง Giant เขาผลิตรถรุ่นนี้ แถมรถผมเป็นรถรุ่นตัวท๊อป ออปชั่นเต็มรถ เริ่มจากมาตรวัดฝังในแฮนด์ มีฝาครอบล้อแบบ Aero ใช้เกียร์ดุมของ Shimano Nexus 7 Sp เป็นเกียร์ดุมที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยใช้มา (ไม่เคยใช้ของโรลอฟ 14 Sp) ที่สวยสุดก็คือมีการเก็บโซ่ซ่อนในเฟรม ดูเหมือนจักรยานไฟฟ้าไม่มีผิด
   ขี่ไปได้สัก 30 นาที ที่จริงรถคันนี้เหมาะกับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาขี่ เพราะมันใช้แรงเยอะ รถมันหนัก และท่านั่งมันเป็นแบบกึ้งเอนนอน (เป็นรถแบบ Semi Recumbent) แลกกับการที่นั่งสบายแบบสุดยอด ไม่มีคำว่าเจ็บก้นแม้แต่น้อย รับประกันได้เลย
   
   อีก 7 วัน จะถึงวันเดินทางของผม เป็นครั้งแรกที่จะไปประเทศรัสเซีย ผมมีธุระที่เมือง Moscow แต่เสร็จธุระแล้วอยากขอเที่ยวต่อ มีเมืองชื่อ Saint Petersburg เป็นอีกเมืองที่น่าสนใจมาก มีงานศิลปที่ผมชื่นชอบอยู่มาก เมืองนี้ตั้งอยู่ด้านขอบซ้ายเกือบจะสุดของประเทศรัสเซีย เรียกว่าถ้าเข้าประเทศ Estonia (เพิ่งจะแยกตัวออกจากสหภาพโซเวียตเมื่อยุคปี 90) และข้ามช่องแคบที่มีชื่อว่า Gulf of Finland ก็จะถึงประเทศฟินแลนด์แล้ว นั่นคือเข้าเขตย่านสแกนดิเนเวีย ทวีปที่ผมชื่นชอบมากที่สุด สองปีก่อนผมไปเหยียบดินแดนที่อยู่เหนือสุดของทวีปยุโรป ที่ตั้งสูงจนเกือบจะถึงขั้วโลกเหนืออยู่แล้ว
   ที่นั่นคือแหลมเหนือ ภาษาท้องถิ่นของชาวนอร์เวย์จะเรียกว่า Nord Kapp ภาษาสากลเรียก North Cape สวยงามมาก ผมเพิ่งเข้าใจว่าพระอาทิตย์เที่ยงคืนมันเป็นอย่างไรก็ตอนนี้แหละ ระยะทางขึ้นเขาก็เป็นทิวทัศน์ที่สวย ชมธารน้ำแข็งที่ฝรั่งเรียกฟยอด (Fjord) เป็นอ่าวที่น้ำภายในที่บรรจุคือน้ำแข็งน่ะครับ ในช่วงฤดูหนาวบางอ่าวก็สามารถลงไปเดิน ไปเล่นสเกต หรือถ้าพื้นแข็งมากๆ ก็จะสามารถขับรถยนต์ได้สบายๆ
   ระหว่างทางผมเห็นนักขี่จักรยานหลายคน ต่างคนต่างมาจะ ไม่ได้จัดทริปกันมา ณ วินาทีนั้น ผมบอกกับตัวเองว่า ผมจะต้องมาที่นี่อีกครั้งด้วยจักรยานอย่างพวกเขาบ้าง
   แต่เข้าประเทศฟินแลนด์ นอร์เวย์ และประเทศในย่านสแกนดิเนเวียเขาต้องใช้วีซ่านี่หว่า แม้จะเป็นวีซ่าแบบเชงเก้น (วีซ่ารวมที่ใช้เข้าออกได้ทุกประเทศในกลุ่ม EU) แต่มันก็ต้องใช้เวลาในการดำเนินการ ผมเหลือเพียงแค่ 7 วัน แถมวันๆ ช่วงนี้ยังต้องไปเข็นของส่งปากคลองตลาดประจำอีกด้วย
   โถ กรรมของจับกังอย่างผมจริงๆ
   จะได้เข้าสแกนดิเนเวียหรือไม่ ผมไปขอวีซ่าแบบ on arrival จากที่โน่นได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ เอาล่ะโว๊ย งานนี้มีลุ้น
   แต่ก็ต้องคิดแผนสำรองกรณีเข้าไปสแกนดิเนเวียไม่ได้ นั่นคือผมจะตลุยเมือง Saint Petersburg แทน เมืองแห่งศิลปวัฒนธรรม มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน

   “น้องหญิงๆ จะไป Brussels เมื่อไหร่ครับ” ผมโทรหาน้องคนหนึ่งที่จะไปประจำการที่กรุง Brussels ประเทศ Belgium เร็วๆ นี้
   “ไป 14 เมษายน ค่ะพี่”
   “พี่จะเข้ายุโรปหรือ” น้องหญิงถามย้อนกลับมา
   “พี่ไปธุระที่ Moscow แต่อยู่นั่นแค่ 2 คืน แล้วไม่รู้ไปไหนต่อดี” ผมก็ตอบไปตามซื่อ นี่ถ้าผมมีเพื่อนอยู่ใน Moscow หรือในรัสเซียก็ดีสินะ คงไม่ต้องคิดวางแผนอะไรมากมาย
   “ถ้าพี่จะเข้า Brussels ไปก่อนก็ได้ จะโทรบอกเพื่อนให้”
   “อืม จ๊ะ ไม่เอาดีกว่า ไม่รู้จักเขา เกรงใจตายเลย”
   ถามสารทุกข์สุกดิบกันสักพักก็วางสายไป แล้วก็นึกถึงเพื่อนคนอื่นๆ ตามมา ถึงตอนนี้ใครอยู่ประเทศไหน ผมเก็บไว้หมด เพราะเผื่อมีแผนการณ์อะไรใหม่ๆ จะได้ติดต่อกันโดยทันที

   ตลอดวันนี้ทั้งวันยังคงเป็นคนงานขนส่งสินค้าครับ แต่วันนี้เหนื่อยเป็นพิเศษ ต้องไปซื้อของเข้าร้าน คือไปรับของจากร้านอื่น แล้วนำมาเก็บในโกดังของตัวเอง ก็ต้องยกขี้นรถเอง และพอถึงร้านก็ต้องยกลงและจัดเรียงเอง
   ไปส่งของปากคลองตลาด ระหว่างนั่งรอลูกค้าจ่ายเงิน หยิบเอาหนังสือแพรวเดือน กพ มาอ่านเล่น เห็นโฆษณาอันหนึ่ง อ่านแล้วต้องอ่านซ้ำอีกหลายเที่ยว และอ่านกันทุกตัวอักษรอย่างละเอียด
   เขาโฆษณาเกี่ยวกับนิตยสารรถยนต์ชื่อดังของญี่ปุ่นคือ Option จะมีภาคภาษาไทยแล้ว เร็วๆ นี้
   ที่ผมอึ้งก็เพราะ ผมอยากทำนิตยสาร Option ภาคภาษาไทยเป็นอย่างมาก เมื่อปี 2000 ปีที่ผมหยุดพักการผลิตนิตยสาร Racing Club นั้น ผมเองก็คิดถึงการกลับมาอีกครั้งของนิตยสารเล่มนี้ มันจะออกมาแนวไหนดีที่จะอยู่ยั้งยืนยง ขายโฆษณาได้ง่ายๆ หน่อย มีเนื้อหาสาระแบบครอบคลุมรถบ้านและรถแต่ง ซึ่งผมมาลงตัวเอาที่การอยากได้นิตยสาร Option มาแปลเป็นภาษาไทยนี่แหละ
   ช่วงปีต่อมาผมคุยกับเพื่อนญี่ปุ่นสองคนที่อยู่ฮอกไกโด เขาทำธุรกิจรถยนต์มือสอง เรารู้จักกันตอนไปแข่งเรือใบนานาชาติ ผมบอกเขาว่าผมอยากทำนิตยสาร Option เป็นอย่างมาก เขาพอจะช่วยผมได้ไหม จำได้ว่าบอกเขาอยู่หลายครั้งหลายหน
   เขาตอบมาทันทีว่ามันยากมาก ไทยเป็นประเทศเล็กๆ หากทาง Option จะขายลิขสิทธิ์ คงจะต้องเป็นภาษาสากล และจะต้องมองตลาดใหญ่อย่าง USA เป็นที่แรก
   ตอบมาแบบจริงใจ โดนใจจริงๆ ครับ ผมไม่รู้จักใครในญี่ปุ่นมากไปกว่านี้ ก็เลยพับความฝันนั้นเก็บใส่ลิ้นชักไว้
   มาวันนี้ มันมีคนหยิบเอาความฝันของผมไป ผมถึงอึ้ง ถือนิตยสารเล่มนั้นอยู่ในมือนานมาก รู้สึกดีใจกับเด็กไทยที่จะมีนิตยสารดีๆ ให้อ่านกัน
   แต่โดยส่วนตัวแล้วผมเสียใจเหลือเกิน ผมอธิบายไม่ถูกนะ ผมไม่มีศักยภาพพอที่จะทำอย่างเขา ไม่รู้จะไปพูดคุยติดต่ออะไรกับใคร เห็นเขากำลังจะเปิดตัว ก็ได้แต่ทำตาปริบๆ
เหมือนเด็กคนหนึ่งกำลังมองผลไม้ที่อยู่สูงบนต้น หยิบอย่างไรก็ไม่ถึง แต่แล้วจู่ๆ ก็มีคนมาพร้อมกับเก้าอี้และตะกร้อ จัดการสอยผลไม้นั้นไปเสีย
   จะว่าเว่อร์ก็ได้นะ ผมน้ำตาซึมเลยล่ะ
i drive / i race / i test / I drift
I row / I run / I fun / I ride

Offline O'Pern

  • fear is a mind killer
  • Administrator
  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 7411
  • don't let your fear stand in the way of your dream
    • racing club
Re: มีค 53
« Reply #16 on: March 19, 2010, 09:12:40 pm »
19 มีค 53
   
   “พี่ไม่ใส่แม็กหรอ รถรุ่นนี้แต่งขึ้นนะ รถเพื่อนผมยังเอาไปแข่งดริฟท์เลย”
   “ดริฟท์ที่เขาขับแล้วตูดมันปัดไปปัดมาน่ะ”
   “ผมเคยนั่งกับเพื่อน ดริฟท์ทีนะ หญิงมองตรึม”
   ผมปล่อยให้เขาพูดไปเรื่อยๆ ได้แต่ยิ้มแห้งๆ ตอบเขาไป
   บทสนทนาเริ่มต้นขึ้นในโกดัง เขาเป็นคนมาส่งของที่ร้านผม และเผอิญที่รถผมจอดอยู่หน้าโกดังพอดี พนักงานส่งของหนุ่มช่างคุยช่างพูด เขาคงจะชอบรถยนต์เหมือนวัยรุ่นหลายๆ คน โดยเฉพาะเรื่องดริฟท์
   “เพื่อนผมมันลงเครื่องเจพี่ วิ่งเร็วน่าดูเลย” เขาพูพร้อมกับเดินวนเวียนไปมาดูรถผม
   “180 นี่ก็ลงเจได้นะพี่”
   ผมยิ้ม ไม่ได้ตอบอะไรเขาไป กลัวเรื่องยาว สักพักเขาก็ลงของเสร็จแล้วก็ลากลับไป
   ตลอดวันนี้ผมยังคงขับรถส่งของ เข็นของส่งให้ลูกค้า ช่วงนี่ออกส่งของแทบทุกวัน เพราะเมื่อใดที่คนงานขาด ก็มักจะเป็นคิวของผมที่ต้องทำงานแทน จะเรียกว่าชีวิตผมผูกอยู่กับพวกเขาก็ไม่ผิด
   ส่งของที่ปากคลองตลาดอีกแล้ว เจอฝรั่งยืนงงกับแผนที่ ผมปรี่เข้าไปเสนอตัวเหมือนเช่นทุกที แต่คราวนี้ไม่เหมือนทุกที
   “สวัสดีครับ มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ” ผมพอพูดภาษาอังกฤษได้เล็กๆ น้อยๆ
   “No No Thank you” เขาตอบเสียงห้วนๆ พร้อมกับพับแผ่นที่เก็บอย่างเร็ว และรีบเดินหนีผมไป
   เล่นเอาผมหน้าชาไปเลย เขาคงโดนคนไทยหลอก หรือไม่ก็มีข้อมูลมาว่าให้ระวังคนที่มาคุยด้วย มาตีสนิทด้วย
   ก็น่าหรอกนะ พี่ไทยเราเก่งในเรื่องที่คาดไม่ถึงเสมอ โดยเฉพาะเรื่องการโกง เริ่มกันตั้งแต่คนงานระดับล่าง ไปจนถึงนายกรัฐมนตรี
   ตลาดย่านนี้มีฝรั่งเดินกันเยอะมากครับ เห็นคนหนึ่งเดินสูบบุหรี่ แต่สักพักเขาหยุดและก้มลงเอาบุหรี่ถูกับพื้นจนดับ แล้วถือบุหรี่นั้นไว้ ส่วนสายตาก็มองหาถังขยะ
   เฮ้ย ผมไม่เคยเห็นคนไทยทำแบบนี้เลย ของเรามีแต่ทิ้งแล้วใช้เท้าขยี้ แต่ที่มีมากกว่านั้นคือดีดแม่งทิ้งทั้งยังงั้นเลย ไม่ได้ดับไฟก่อนอีกด้วย อันนี้พบได้ตามท้องถนน คนสูบบุหรี่ขณะขับรถทุกคน ล้วนแล้วแต่ใช้ดีดทิ้งทั้งนั้น ย้ำว่าทุกคน
   
ขากลับบ้านแวะตลาดนัดข้างทาง มองหาของกินมื้อเย็นสักหน่อย ตลาดนัดแถวบ้านผมขายของแบบชาวบ้านๆ ครับ ไม่ค่อยมีของหรูหราแพงๆ หรอก มีแต่ของห่วยๆ ของถูกๆ แต่วันนี้เจอของแปลก ไม่คิดว่าจะได้เห็น มันคือมันฝรั่งทอดแบบทอดทั้งหัว
   ผมเคยกินมันฝรั่งทอดหน้าตาแบบที่ที่ตลาด ทงแดมุน โซล เกาหลีใต้ เขาเอามันฝรั่งมาหั่นเป็นแว่น แต่ไม่ได้ตัดขาดจากกันนะ ใช้ใบมีดพิเศษ มันจะเป็นชิ้นเดียวยาวติดต่อกันตลอดลูก เสียบในไม้ยาวๆ ทอดแล้วโรยเกลือ กินร้อนๆ อร่อยดี เขาขายไม้ละ 1000 วอน ประมาณ 40 บาท
   ที่ตลาดบ้านผมทำเหมือนกันเป๊ะ ขายไม้ละ 20 บาท แต่กัดกินแล้วรสชาติยังไม่เหมือนว่ะน้อง ของแท้เขาหั่นหนาหน่อย เคี้ยวแล้วมีเนื้อ ไอ้แถวบ้านผมเขาหั่นบาง แถมทอดนาน กลายเป็นมันฝรั่งกรอบไปฉิบ อืมม จะว่าไปคนอื่นเขาอาจชอบแบบกรอบก็เป็นได้นะ
   กินเสร็จนึกขึ้นได้ เฮ้ย นี่มันอ้วนนี่หว่า
   กลับมาบ้านเจอลูกก็อ้าแขน เขาก็วิ่งมากอด เล่าโน่นนี่ว่าวันนี้เขาเล่นอะไรบ้าง ทำอะไรบ้าง
ผมหอมเขา มองตาแล้วบอกเขาว่าผมรักเขามาก
i drive / i race / i test / I drift
I row / I run / I fun / I ride

Offline O'Pern

  • fear is a mind killer
  • Administrator
  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 7411
  • don't let your fear stand in the way of your dream
    • racing club
Re: มีค 53
« Reply #17 on: March 20, 2010, 11:07:23 pm »
20 มีค 53
   เช้านี้ส่งของที่ตลาดวงเวียนใหญ่ ผมบอกให้คนงานวิ่งลงไปจองที่จอดรถให้ เขาว่าไม่กล้า เขากลัวพวกรถสามล้อต่อย เลยบอกว่าไม่ต้องกลัว เขาไม่ทำอะไรหรอก ให้ไปกับผม ว่าแล้วก็จอดรถไว้ แล้วเดินไปกับคนงาน เดินเข้าไปในดงรถตุ๊กๆ พอรถออกก็ยืนจองที่จอดรถไว้ รถคันไหนจะเข้ามาจอดก็บอกเขาว่าจะมีรถกระบะมาลงของ
   พวกนี้เขาเจ้าถิ่นครับ คือเขาต้องจ่ายเงินค่าจอดให้แก่หัวหน้าคิว ไอ้หัวหน้านี่ก็เอาไปให้กับเจ้านายมาเฟียอีกทอดหนึ่ง
   แต่เจ้าถิ่นก็มักจะเก่งแต่แค่ในถิ่นตัวเอง เหมือนหมาน่ะครับ อยู่ในบ้านเห่าอย่างดังเลย ใครอย่าแหยมเข้ามาข้ากัดแหลก เออ เอ็งเก่ง แต่พออยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง พวกหมาเจ๋งๆ นี้ไปไม่รอดครับ สู้หมาข้างถนนที่ติ๋มๆ ไม่ได้ พวกนี้เขาปรับตัวเก่ง รู้จักโอนอ่อนผ่อนตาม อย่างน้อยก็เรื่องการข้ามถนน หมาบ้านสู้หมาข้างถนนไม่ได้แน่ๆ
   คนนักเลงก็เช่นเดียวกันครับ มักจะเก่งแต่ในถิ่นตัวเอง เก่งตอนรวมตัวรวมกลุ่มกัน พอคนเยอะๆ ไอ้พวกนี้แม่งจะเก่งมาก เก่งฉิบหายเลย เขาถึงเรียกว่าพวกหมาหมู่ไงครับ เพราะถ้าอยู่ตัวคนเดียวมันจะจ๋องมาก เดินก้มหน้าก้มตา น่ารักสิ้นดี
   
   เหลืออีก 5 วัน ผมจะต้องเดินทางไปประเทศรัสเซีย ข้าวของผมไม่มีอะไรมาก ที่เป็นห่วงตอนนี้ก็คือเรื่องกล้องถ่ายวีดีโอ กล้องตัวเก่าแบตฯเริ่มเสื่อมแล้ว แต่ปัญหาใหญ่กว่านั้นคือมันมีอาการเหมือนหัวเทปสกปรก ผมใช้กล้องแบบ Mini DV ครับ เป็นเทปเล็กๆ ข้อดีคือคุณภาพของภาพสูงกว่า DVD ข้อเสียก็คือตัวกล้องมันหนากว่าแบบที่บั้นทึกด้วยแผ่น DVD ยิ่งเจอกล้องรุ่นใหม่ๆ บันทึกด้วย Hard Disk นี่ยิ่งเบาเข้าไปใหญ่ แต่คุณภาพของภาพจะต่ำกว่า เขาถึงออกรุ่น HD ตามมาไง
   ยังดีที่ระบบไฟในรัสเซียเป็นแบบ 220 V เหมือนกัน ผมแค่เตรียมอแดปเตอร์แปลงขาเสียบ จากขาแบนเป็นขากลม เท่านั้นเป็นใช้ได้
   เห็นโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ๆ ของ Sony เขาถ่ายวีดีโอได้ในระดับ HD น่าทึ่งที่มือถือเครื่องเล็กๆ สามารถทำได้ แถมถ่ายได้ถึง 1.30 ชม ก็เลยหาข้อมูลดู การหาข้อมูลของผม มักจะมองหาข้อเสียก่อนครับ ดูรุ่นที่เราชอบไว้ ไม่ต้องไปมองข้อดี มองแต่ข้อเสีย อ่านดูแล้วพิจารณาว่าเรารับได้ไหม มันเกิดขึ้นบ่อยไหม ทางบริษัทเขาแก้ไขปัญหาอย่างไร ฯลฯ
   อ่านไปอ่านมา พบว่าไม่ว่าโทรศัพท์อะไรก็ล้วนมีข้อเสียครับ เลยจนแล้วจนรอดก็ยังสรุปไม่ได้เสียที ไม่แน่อาจต้องซื้อเครื่องถูกๆ มาใช้งานแก้ขัดไปก่อน แต่ไม่แน่เหมือนกันว่าไอ้เครื่องถูกๆ นี่แหละ มันอาจคือตัวจริงก็เป็นได้ เพราะผมเป็นคนที่ใช้อะไรไม่พังจะไม่ยอมเปลี่ยน ไอ้ที่เปลี่ยนนั่นแหละ คือมันพัง ไม่ก็จวนเจียนแล้ว
i drive / i race / i test / I drift
I row / I run / I fun / I ride

Offline O'Pern

  • fear is a mind killer
  • Administrator
  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 7411
  • don't let your fear stand in the way of your dream
    • racing club
Re: มีค 53
« Reply #18 on: March 25, 2010, 11:21:31 pm »
21 มีค 53
   ตื่นเช้ามาก็จริง แต่ก็ได้แต่ขี่จักรยานเล่นแถวบ้าน วันนี้ผมมีธุระ ไปไหนนานไม่ได้
   ตอนสายไปคอนโดไอวี่ วันนี้เขามีประชุมลูกบ้านเป็นครั้งแรก ผมไม่เคยอยู่คอนโดมาก่อน ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรกับเขานัก ก็เลยเข้าประชุมกับเขาดู เป็นการประชุมที่แปลกจากที่เคยพบ เพราะผมไม่รู้จักใครสักคนในห้องนั้นเลย
   ทางคอนโดเขาจัดเรือรับส่งให้ ผมเองก็สนใจ นอกจากฟรีแล้วยังสนุกกว่าขับรถเป็นไหนๆ แต่ลืมไปว่าเรือมันนั่งได้แค่ 20 คนครับ และคนคิดจะดื่มด่ำกับบรรยากาศแบบผมมีเยอะ เอาเข้าจริงคนแน่นครับ เห็นเรือแล่นออกไปพร้อมกับมีคนต่อคิวอีกยาว ผมว่าให้ขับอีกสองหรือสามเที่ยวก็ยังไม่พอ หนำซ้ำผมเป็นห่วงตอนขากลับ เราจะต้องมาแย่งกันขึ้นเรือแบบนี้อีกหรือ ผมไม่ถนัดการเบียดแย่งกับใคร คนไหนมาเบียดก็ให้เขาไปก่อน เขาคงรีบกว่าเรา กลายเป็นว่าตัวเองเลยช้าอยู่คนเดียว
   ตัดสินใจขับรถไปเองครับ เข้าไปลงทะเบียนแบบงงๆ กรอกรายชื่อ เซ็นรับเอกสาร ทำตามขั้นตอนต่างๆ มีเสียงโทรศัพท์เข้ามา
   “พี่เปิ้ล ๆ ไปประชุมกับเขาหรือเปล่า” รุ่นน้องที่คอนโดโทรมาหา เราเพิ่งรู้จักกัน
   “ใช่ครับ ผมอยู่หน้าห้องประชุมนี่แหละครับ”
   “เข้ามาเลยๆ เดี๋ยวเจอกัน” ผมตอบไปก็ดีใจไปที่พอจะมีคนรู้จักอยู่บ้าง
   ผมใส่สเวตเตอร์แขนยาว กางเกงยีน รองเท้าหนังสีดำ คือแต่งให้เรียบร้อยเข้าไว้ ไม่รู้ว่าต้องประชุมอะไรกับใครบ้าง แต่คนอื่นเขาเล่นกันแบบสบายโครตๆ เลย กางเกงขาสั้น รองเท้าแตะ ผู้หญิงนี่เล่นเสื้อกล้าม เสื้อสายเดี่ยว ก็สนุกดีครับ แปลกไปกว่าที่เคยเจอเยอะ
   รุ่นน้องชวนผมนั่งด้วยกัน แต่นึกยังไงไม่รู้ ผมอยากนั่งคนเดียว ก็เลยเข้าห้องประชุมทีหลัง ห้องประชุมบรรยากาศดีครับ อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา
   การประชุมมีหลายวาระ แต่หลักๆ คือเลือกกรรมการ ตอนแรกผมคิดอยากเป็นกับเขาด้วย แต่มาสะดุดตอนกลัวเขาเรียกประชุมแล้วผมไม่ว่าง ผมอาจติดธุระ อาจกำลังเข็นของส่งของอยู่ปากคลองตลาด เอ๊ะ นี่เขารู้ไหมนี่ว่าคนเข็นผักอย่างผมจะไปเป็นกรรมการกับเขาด้วย
   โชคดีมีคนโดดเด่นกว่าผมเยอะ มีทั้งวิศวกรโยธา นักตรวจสอบบัญชี หมอ ฯลฯ เลือกเสร็จก็เฮโลกันไปกินข้าว คนแน่นแบบสุดยอดมาก ก็ต่อคิวกันไปตามธรรมเนียมครับ คนเยอะแบบนี้เลือกอะไรมากไม่ได้ มันเกะกะคนอื่นเขา ได้แต่รีบๆ ตัก รีบๆ กิน
   เดินถือจานไปโต๊ะไหนก็ถูกจองหมด สุดท้ายไปนั่งกับเพื่อนบ้านท่านหนึ่ง เขาคุยกันในกลุ่มเรื่องการเดินทางในต่างประเทศ ผมเลยถือโอกาสแอบฟัง ท่าทางสนุกดี
   กินเสร็จผมเดินไปดูที่ท่าเรือริมน้ำ โอ้โห คนรอเรือกลับคอนโดเพียบเลยโว๊ยย โชคดีที่เราขับรถมา มันดีกว่ารอเรือมารับท่ามกลางแดดแรงจัดตั้งเยอะ แถมรอกันแบบไม่มีคิว คือใครวิ่งลงเรือได้ก่อนเป็นผู้ชนะ เฮ้ยยย แบบนี้ผมไม่ชอบ
   ตกเย็นไปคอนโดไอวี่อีกรอบ พาภรรยาและลูกไปว่ายน้ำ ส่วนผมเล่น Fitness ยืนดูเขาว่ายน้ำอยู่ในห้องกระจกชั้นบน ผมไม่ได้เข้าห้องออกกำลังกายอย่างนี้มาเป็นสิบปีแล้ว วันนี้รู้สึกตื่นเต้นและสนุก เริ่มจากวิ่งเบาๆ ไป 30 นาที จะว่าเบาก็ไม่เชิง เพราะผมปรับให้ทางลาดชัน 12% และตอนวิ่งบนพื้นราบ (0%) ผมถือดัมเบลข้างละ 2 กก วิ่งอยู่สัก 15 นาทีเห็นจะได้ พอลงจากลู่วิ่งมานี้เดินตัวปลิวเลย เหงื่อซ่ก
   จากนั้นก็ไปออกกำลังกายกับเครื่องแบบ Station เล่นมันหมดทุกตัวเลยครับ ใหม่ๆ ไม่คุ้น ปรับไม่ค่อยเป็นก็มี ใช้วิธีอ่านวิธีการใช้ที่เขาติดไว้ แต่ก็ทำแบบเก้ๆ กังๆ ผมใช้เวลากับแถวนี้ไปราว 1 ชม ขับรถกลับบ้านแทบจะไม่มีแรงยกแขนมาจับพวงมาลัยเลยล่ะ ไม่ได้เว่อร์
   ขากลับพากันไปกิน MK สุกี้ สั่งกันเต็มโต๊ะ ผมเน้นผัก เห็ด เต้าหู้ ลูกกินคล้ายๆ กับผม ภรรยาชอบพวกปลาหมึก เซี่ยงจี้
   กลับบ้านผมขออาบน้ำคิวแรก เสร็จแล้วก็ชิงหลับก่อนใครเพื่อนเลย

22 มีค 53
   ขี่จักรยานวอร์มเล่นๆ แถวบ้าน หมู่นี้ไม่ได้ไปไหนไกลเลย
   ตลอดวันนี้ผมทำงานเข็นส่งของเช่นเคย อากาศร้อนจัดจนแสบผิวก็ทนกันไป มีหมวกปีกกว้างเป็นอุปกรณ์ที่ผมใช้ติดตัวประจำ
   ส่งของแบบแทบไม่มีเวลาพัก กลางวันกินแค่น้ำเต้าหู้ และเมล็ดทานตะวัน จวบจนถึงเย็นก็มีแค่เมล็ดทานตะวันให้แทะเล่น งานเยอะครับ ลูกค้าต้องการสินค้าเร็ว ก็ต้องบริการเขาอย่างเต็มที่
   กลับมาบ้านเอาเกือบจะ 4 ทุ่ม เห็นแฮนด์ตรงของรถ KHS ที่ให้เพื่อนยืม เพื่อนคนนี้พบกันใจเวปจักรยาน เขาขี่ผ่านบ้านผม ก็เลยเปิดบ้านต้อนรับ ผมเห็นเขาขี่รถมินิแต่แฮนด์ตัดสั้นเหลือเกิน เขาเป็นคนตัวโตสูงใหญ่ ผมเลยให้แฮนด์ที่ยังไม่ได้ตัดแก่เขาไปลองใช้ ผมว่าน่าจะเหมาะกับสรีระเขามากกว่าแฮนด์สั้นกุด
   เป็นอันว่าเขาขี่แล้วชอบ จะขอซื้อ ผมขายไม่ถูก เลยยกให้ เขาบอกเกรงใจ ไม่กล้ารับ เลยบอกเขาว่าให้เอาไปใช้ เบื่อแล้วค่อยเอามาคืน เจอกันอีกทีที่ทริปบางปะกง เขาไปซื้อแฮนด์ใหม่แล้ว บอกว่าจะเอามาคืนให้ผมที่บ้าน
   มาวันนี้เขาเอามาคืนแล้ว พร้อมกับฝากแคตตาล็อคแร็คของ Thule ปี 09 มาให้ผม 1 เล่ม แหม ถูกใจจริงๆ ครับ เพิ่งรู้ว่า Thule เขาก็มีกล่องใส่จักรยานแบบ Hard Case เสียด้วย
   กลับมาบ้านแบบหมดแรง เข้าห้องไปลูกก็นอนหลับแล้ว ผมเลยหลับตามเขาไป

23 มีค 53
   เช้าเอารถ KHS F20-W ออกขี่ คันนี้จอดมานานเกือบเดือน เอามาให้ล้อมันหมุนบ้าง ให้สายเกียร์สายเบรกมันขยับบ้าง แต่ก็ขี่ไม่นานเท่าไหร่เลย สัก 30 นาทีเห็นจะได้
   ยังคงทำงานส่งของอยู่ตลอดวันครับ คนงานถามผมว่าเหนื่อยไหม ผมยิ้ม บอกเขาว่ายิ่งยกของมากเราก็จะยิ่งแข็งแรง เราได้ออกกำลังกาย เราตากแดดก็ได้วิตามินดี กระดูกและฟันเราจะแข็งแรง เขาทำหน้างง
   มีคนงานบางคนอู้งาน ผมก็เลยบอกเขาไปว่าอย่าสนใจเขาเลย เราทำงานของเรา ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด งานของเราต้องบริการลูกค้า ต้องส่งสินค้าให้รวดเร็ว จัดเรียงจัดวางให้ถูกใจเขา แม้จะเหนื่อยก็ไม่เป็นไร แค่พักก็หายเหนื่อยแล้ว เขาบอกไม่ค่อยมีเจ้าของที่ไหนมายกของกับคนงาน ผมยิ้มไม่ได้ตอบอะไรเขา บอกแค่ว่าช่วยๆ กัน
   การช่วยคนอื่นแม้จะทำให้เราเหนื่อยไปบ้าง แต่เป็นความเหนื่อยที่มีความสุข มันสุขใจที่เราได้ช่วยเหลือเขา แม้เพียงจะเล็กน้อยก็เถอะ ยิ่งช่วย เราก็ยิ่งมีความสุข
   คนเราจะชนะกันด้วยวิธีคิดครับ การคิดดี คิดบวก ทำให้จิตใจเราสงบและสุขสบาย ขนาดรถผมพังกลางถนนผมยังดีใจ เออ โชคดีนะนี่ที่มันพังแค่นี้ มันพังแถวนี้ ดีที่มันไม่ไปพังตอนเราไปเที่ยวต่างจังหวัด อะไรทำนองนี้
   ในขณะที่บางคนจะคิดโมโหรถ ทำไมมันพังบ่อยจัง ทำไมเสือกมาพังตอนนี้ ฯลฯ หารู้ไม่ว่า ต้นเหตุก็คือคนขับนั้นแหละที่ไม่ได้ดูแลรถอย่างดีพอ
   ทุกวันนี้จิตใจผมเป็นสุขและสงบเอามากๆ ขับรถก็ไม่เคยโมโหใครบนท้องถนนอีกเลย (เมื่อก่อนตอนหนุ่มๆ เคยเป็นครับ) ขนาดรถเมล์มาปาดเบียดผมก็ยังเฉยๆ เบรกได้ก็เบรกไป เบรกไม่ทันก็กดคันเร่งแซงให้มันพ้นๆ ไป แค่นี้ก็จบ ไม่เห็นจะต้องมาโมโหในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เลย โกรธเขาไปเราก็ทุกข์ใจเปล่าๆ แถมบางทียั้งเก็บไปคิดเจ็บแค้น บางคนคิดจะแก้แค้น นั่นประไร ไปกันใหญ่แล้ว
   ตอนบ่ายมีโทรศัพท์มา
   “เฮ้ย เปิ้ล มึงจะมางาน Motor Show วันไหน”
   ดูเบอร์ไม่คุ้น แต่ฟังเสียงแล้วคุ้นมากๆ แม้ไม่ได้คุยกันนานหลายเดือน
   เพื่อนสนิทผมเองจากบริษัท Daimler Chrysler โทรมาชวนไปงาน Motor Show ในวันพรุ่งนี้
   “มึงว่างวันไหนก็มา พรุ่งนี้วัน VIP มะรืนวัน Press”
   ปกติผมจะไปงานวัน Press ผมจะพบพรรคพวกในวงการรถยนต์ราวปีละ 1 ครั้งก็งานนี้แหละ เพื่อนๆ ผมคือพวกนักข่าวบ้าง พวกค่าย Pr บ้าง ผู้บริหารค่ายรถยนต์ต่างๆ บ้าง แต่ผมไม่ได้ไปงานนี้มาสัก 2 ปีติดต่อกั้นแล้วเห็นจะได้
   ก็เพราะต้องคอยขับรถส่งของ เข็นรถส่งของนั่นแหละครับ แม้จะอยากไปงาน แต่ก็ตัดสินใจไม่ไป บอกแล้วไงว่ามันอยู่ที่วิธีคิด
   “เอาเป็นว่า หากพรุ่งนี้กูไปได้ก็จะโทรบอกมึงล่วงหน้าละกัน” ผมตอบไปอย่างนั้นจริงๆ ไม่ใช่แค่ให้ความหวัง แต่ผมไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องมาเข็นของส่งอย่างวันนี้อีกหรือไม่
   วันนี้กลับบ้านเร็วหน่อย ราว 1 ทุ่ม กลับมาทันเล่นกับลูก ชวนกันดูทีวี นั่งเล่นด้วยกัน ดูเขาเล่นบ้าง อ่านหนังสือบ้าง เขามานั่งตักผม เลยกอดเขาจากด้านหลัง หอมหัวเขา
   ลูกใคร ใครก็รักเน๊อะ
i drive / i race / i test / I drift
I row / I run / I fun / I ride

Offline O'Pern

  • fear is a mind killer
  • Administrator
  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 7411
  • don't let your fear stand in the way of your dream
    • racing club
Re: มีค 53
« Reply #19 on: March 25, 2010, 11:53:39 pm »
24 – 25 มีค 53
   คนงานขับรถชนแท๊กซี่ หน้ารถพังยับ หม้อน้ำแตก กระจังแตก ฝากระโปรงย่นเป็นรูปจั่ว ปกติผมจะขับรถคันนี้ส่งของ แต่วันนี้คนขับรถเขามาทำงาน ผมเลยเป็นเด็กท้ายรถของรถกระบะอีกคันหนึ่งแทน
   ชักสงสัยว่าทำไมเจ้าคนนี้ถึงมีแต่เรื่องร้ายๆ สอบถามว่าเขาเกิดปีใด ผมคิดว่าเป็นปีวอกเหมือนผมแน่ๆ เป็นปีชง
   “ผมเกิดปีเสือครับ พ่อบอกให้ไปไหว้ศาลเจ้าพ่อเสือเหมือนกัน ผมยังไม่ได้ไปสักที ปีนี้โดนมาเยอะแล้ว”
   เขาโดนเยอะจริงๆ ครับ ตั้งแต่ต้นปีมาเลยนะ มอเตอร์ไซค์ล้ม ตามด้วยพาคนซ้อนท้ายเอาเขาไปชนกับมุมรถตุ๊กๆ จนขาหัก (ตัวเองไม่เป็นไร) หนักหน่อยก็โดนไฟดูดจนสลบไป 1 วันเต็มๆ และล่าสุดมาก็ขับรถชนโดยแท๊กซี่ตัดหน้ากระทันหัน
   
   ยังคงทำหน้าที่ส่งของอย่างขมักเขม้น ยังไม่ได้เตรียมตัวเตรียมของเพื่อไปรัสเซียแม้แต่น้อย ตะลอนอยู่บนถนนแดดร้อนจ้า แต่พรุ่งนี้แล้วสิที่จะต้องไปธุระที่รัสเซีย ที่อุณหภูมิติดลบ (ตอนเย็น หรือตอนไม่มีพระอาทิตย์) แถมอาจมีฝน ซึ่งไอ้ฝนที่ยุโรปนี้มันมักจะเป็นละอองๆ บ้างก็ตกปรอยๆ บางที่อาจมีเทลงมาบ้าง แต่แปลกตรงที่มันไม่ค่อยมีฟ้าร้อง ฟ้าแล่บ ฟ้าผ่า ไม่รู้เหตุผลเหมือนกัน
   กลับมาบ้านเอาตอนเกือบ 2 ทุ่ม เร่งจัดกระเป๋าอย่างทันทีทันใด ผมเอากล้องวีดีโอมาล้างหัวเทปด้วยการใช้สเปรย์ Contact Cleaner ฉีดเข้าไป ปรากฏว่ามันรวนเลยครับ เซ็งฉิบเป๋ง ใส่เทปเข้าไปมันก็กินเทป กลายเป็นว่างานนี้ได้แต่กล้องภาพนิ่งอย่างเดียว
   วุ่นวายกับวีดีโอเทปอยู่นาน เพราะผมชอบถ่ายวีดีโอมากกว่าถ่ายภาพนิ่ง ผมว่ามันมีชีวิตชีวากว่า แม้ภาพจะไม่ค่อยสวยนัก แต่มันได้อารมณ์เต็มที่จริงๆ
   พรุ่งนี้ผมเดินทางแต่เช้า ภรรยาและลูกบอกจะไปส่ง แต่ผมเกรงใจ เพราะขากลับบ้านเขาจะรถติดหนักกันมาก
   “ดูแลบ้านดีๆ นะลูก เล่นของเล่นแล้วเก็บให้เรียบร้อยนะครับ” ผมบอกลูกขณะกอดเขาในอ้อมแขน
   ภรรยาหันมามองแล้วส่งยิ้มให้
   “เดินทางปลอดภัยนะจ๊ะพ่อ”
i drive / i race / i test / I drift
I row / I run / I fun / I ride

Offline O'Pern

  • fear is a mind killer
  • Administrator
  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 7411
  • don't let your fear stand in the way of your dream
    • racing club
Re: มีค 53 / 26 - 1 Moscow & Saint Petersburg - Russia
« Reply #20 on: April 04, 2010, 08:44:36 pm »
26 มีค 53 BKK - Moscow
   วางแผนแรกไว้ว่าจะนั่งรถเมล์ไป เอาเข้าจริงกลัวสายครับ เพราะรถเมล์เขาจอดทุกป้าย เลยไปแท๊กซี่แทน ว้า ไม่เท่เลยว่ะ ผมคงเป็นคนไม่กี่คนที่คิดว่านั่งรถเมล์ไปสนามบินแล้วเท่มั้ง
   หากนั่งรถเมล์จะใช้เวลาราวหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ แต่ถ้าแท๊กซี่ทำได้แค่ 30 นาทีเศษ หมดเงินไป 310 บาท ยังไม่นับค่าทางด่วนสองต่ออีก 45 + 25 หึหึ
   ถึงแล้วรีบเช็คอินก่อนเพื่อนเลยครับ ถ้าไปก่อนนานมาก เคาเตอร์เขายังไม่เปิดก็ต้องรอไป ผมแนะนำให้ยืนรถที่หน้าเคาเตอร์เลย เพราะหากเจ้าหน้าที่เห็นคนมายืนรอแล้ว เขาอาจเปิดทันทีก็เป็นได้ แต่ถ้าเราไปยืนรอที่อื่น คือรอให้มีคิวก่อนแล้วค่อยเข้าไปต่อ แบบนี้จะช้า เราควรเป็นผู้เริมคิวคนแรกจะดีกว่า
   แป๊บเดียวเจ้าหน้าที่ก็มาแล้ว ยกกระเป๋าขึ้นชั่ง ติด Tag เรียบร้อย ผมพูดประโยคคลาสสิค ที่เช็คอินทุกครั้งก็ต้องพูดแบบนี้
   “ขอที่นั่งริมทางเดินนะครับ”
   ถ้าเจ้าหน้าที่คนไทยก็จะคุยง่ายหน่อย แต่ถ้าเป็นต่างชาติก็ต้องพูดภาษาอังกฤษ แต่ไม่ยากอะไรหรอก เขาได้ยินแบบนี้กันจนชิน ที่นั่งริมทางเดิน เรียกว่า aisle seat ครับ ออกเสียงว่า ไอล ซีท ไม่ใช่ ไอเซิ้ล ซีท นะ ได้ยินแบบอันหลังบ่อยมากเลย เหมือนอีกคำว่า Fuel น่ะครับ ต้องเรียก ฟยีล ไม่ใช่ ฟูเอล ผิดมหันต์ถึงขั้นคุยกันไม่รู้เรื่องกันเลย
   ได้รับบัตรโดยสารมา ผมหยิบดูเวลาเครื่องออกเป็นอันดับแรก ตามด้วยหมายเลขประตูขึ้นเครื่อง โออ เหลือเวลาอีกเพียบ ผมวางแผนให้เหลือเวลาไว้เยอะๆ ก็เพราะจะได้เข้าไปในเลาจ์ของ First Class น่ะครับ ในนั้นมีอาหารเพียบ มีเหล้า ไวน์ มีอินเทอร์เนท มีที่นอน มีแม้กระทั่งห้องอาบน้ำ และบริการนวด (นวดจริงๆ)
   ถ้าเป็นสนามบินดอนเมืองแบบเมื่อก่อน เราต้องเสียภาษีสนามบินเอง เขามีตู้ให้กดหน้าทางเข้าตรวจพาสปอร์ท ตั้ง 500 บาทแน่ะ ค่าภาษี ค่าธรรมเนียม จะเรียกอะไรก็สุดแท้แต่ ภาษาไทยมันคือเงินกินเปล่า เงินที่จ่ายไปแบบฟรีๆ เหมือนโดนไถจากนักเลงข้างถนน
   เข้าไปด้านในเพื่อตรวจเอกสารเตรียมตัวออกนอกประเทศ ถึงช่วงนี้จะมีแค่เฉพาะคนเดินทางจริงๆ เท่านั้น คนที่ไปส่ง ญาติ เพื่อน เขาไม่ให้เข้าแล้วครับ
   ก่อนต่อคิวไหนๆ ต้องดูให้ดีนะ ไม่ใช่เห็นหางแถว เห็นคนไทยก็เข้าไปต่อได้เลย มีเยอะที่คนไทยนี่แหละต่อผิดคิว
   ชะเง้อคอดูว่าหน้าเคาเตอร์เขาเขียนว่าอะไรก่อน บางทีสำหรับพาสปอร์ทต่างประเทศ บางทีสำหรับคนไทยเท่านั้น โดยมากหากเป็นคนไทยจะเป็นตัวหนังสือสีเขียว และถ้าสำหรับต่างชาติจะเป็นสีแดง
   ยืนได้พักเดียวก็มีครอบครัวฝรั่งมาต่อหลังผม
   “คุณครับ คิวนี้สำหรับพาสปอร์ทไทยครับ ของคุณต้องใช้คิวด้านโน้นครับ”
   “โอ ขอบคุณมากครับ ขอบคุณครับ”
   คนไทยรอบข้างมองผมกันใหญ่ อ้าว ทำไมเรื่องเล็กๆ แค่นี้ก็ไม่ช่วยเหลือนักท่องเที่ยวกันล่ะครับพี่น้อง ปัดโธ่ ปล่อยให้เขายืนรอฟรีๆ หรอ ต่อผิดคิว เจ้าหน้าที่เขาก็ไล่ให้ไปต่อคิวใหม่ เสียเวลาโครตๆ เสียความรู้สึก แม้ว่าเราจะโง่เองก็ตาม
   หัดรู้จักช่วยเหลือคนอื่นกันบ้างสิครับ ช่วยโดยที่เขาไม่ต้องร้องขอยิ่งดี
   ตรวจเอกสารเสร็จก็เข้าด้านในได้ ผ่านด่านตรวจอาวุธและสิ่งของต้องห้าม เช่นไฟแช็ค ของมีคม ที่ไม่ยกเว้นกระทั่งกรรไกรตัดเล็บ ถ้าหากตรวจเจอก็จะโดนหยิบทิ้งถังขยะหมด ไม่มีการยกเว้น ถ้าเป็นของเหลวก็จะนำเข้าได้ไม่เกิน 100 cc หากใครจะนำของเหล่านี้ไป ก็ขอให้ใส่กระเป๋าโหลดใต้ท้องเครื่องบินแทนได้ครับ เขาแค่ห้ามนำขึ้นเครื่อง เพราะกลัวจะไปก่อวินาศภัยเท่านั้นเอง
   ของไทยเราพัฒนาตรวจเข้มตามระบบสากลแล้วครับ ต้องถอดรองเท้า ต้องถอดเข็มขัด ถอดนาฬิกา เรียกว่าหากใครอยากเดินผ่านซุ้มตรวจแบบรอบเดียวก็ขอให้ถอดทุกอย่างที่ทำด้วยโลหะออก ผมถอดจนเหลือแต่กางเกงกับเสื้อ
   ผ่านได้แล้วก็มาแต่งตัว มามองหน้ากันแบบขำขำ นั่งมองไอ้พวกคนที่ตรวจแล้วไม่ผ่าน มันต้องเดินไปเดินมา หากคิวยาว จะโดนไล่ไปต่อคิวใหม่ เซ็งสัตว์
   พ้นด่านนี้ออกมาก็จะเป็น Duty Free ครับ บอกได้เลยว่าสนามบินสุวรรณภูมิของไทยเราสวยเป็นอันดับต้นๆ ของโลกจริงๆ ครับ (ผมไม่เคยไปทุกประเทศในโลกหรอกนะ แต่ดูจากการที่เขาจัดอันดับ) กว้างใหญ่ โอ่โถง สวยงามด้วยศิลปไทย ที่ผมชอบมากคือยักษ์ และเรื่องราวเกี่ยวกับรามเกียรติ ไอ้นี่แหละไทยแท้ๆ มันต้องพรีเซนต์แบบนี้ ฝรั่งเขาทึ่ง ยืนถ่ายรูปกันเพียบ แต่คนไทยไม่ค่อยสนใจหรอก
   ผมไม่สนใจจะซื้อของใน Duty Free แต่ก็ชอบเดินดูเล่น มันสนุกดี ก็ไม่มีอะไรให้ทำมากกว่านี้นี่หว่า
   เป้าหมายของผมที่รีบเข้ามาก็เพราะจะเข้าไปในเลาจ์ของ First Class ต่างหาก หิวก็หิว แถมต้องรออีกเป็นชั่วโมงกว่าเครื่องจะออก รีบปรี่เดินไปยังเป้าหมายทั้นที
แสดงบัตรขึ้นเครื่อง และเซ็นชื่อเข้ารับบริการ ฟรีครับ
   ว่าแล้วไอ้โลโซอย่างผมที่เมื่อวานเพิ่งจะไปเข็นผักส่งปากคลองตลาด มาวันนี้มันแปลงร่างเป็นไฮโซกับเขาแล้วเฟ้ย คิดแล้วขำนะ ไม่รู้มีคนแบบผมสักกี่คน
   ผมตรงดิ่งไปยังบาร์อาหาร หยิบของที่อยากกินอย่างละนิด แต่ได้มาเต็มจาน เดินตรงดิ่งไปยังโต๊ะอินเทอร์เนทที่แอบอยู่มุมห้องด้านหลัง
   เอ๊ะ เขาปรับปรุงห้องใหม่นี่หว่า เมื่อก่อนไม่ได้จัดห้องแบบนี้ มองดูรอบๆ ตัวด้วยความงง ไม่ค่อยคุ้นเคย เห็นสาวญี่ปุ่น 2 คน ใช้เครื่องอยู่ เหลืออีก 1 เครื่อง ผมตรงดิ่งเข้าไปเสียบ
   ขณะที่ตัวเองกำลังอ่านข่าวสาร พยากรณ์อากาศต่างๆ สาวที่นั่งข้างๆ เขาเปิดเครื่องไม่ได้ หน้าจอมืดตลอด ขยัมเมาส์ หรือกดปุ่มอะไร เครื่องก็ไม่ตอบสนอง ก็เลยสละเครื่องตัวเองให้เขาใช้งาน เขาอาจมีธุระด่วนกว่าผม
   “แล้วคุณไม่ใช้หรือ” เขาถามหน้างงๆ
   “เชิญคุณก่อนได้เลยครับ” ผมตอบพร้อมส่งยิ้มกว้าง ตามสไตล์ ถ้าจะยิ้ม ก็ต้องยิ้มให้เต็มที่
   พูดจบก็หยิบจานอาหารมานั่งกินด้านหลังโต๊ะคอมฯ กินไปก็ถ่ายรูปห้องเล่นไปด้วย ถ่ายมุมอินเทอร์เนทซึ่งมีภาพด้านหลังของ 2 สาวติดมาด้วย ไม่น่าเชื่อว่าภาพนี้จะมีประโยชน์ภายหลัง
   หยิบของกินเข้าปากไปเรื่อย อันไหนอร่อย หรือไม่ค่อยได้กิน ก็หยิบซ้ำมาอีก อาหารหลากหลายดีครับ โดยมากจะเน้นแบบหยิบง่ายกินง่ายไม่เลอะเทอะ เช่นแซนวิช BLT (Bacon / Lettuce / Tomato) (แซนวิชใส่ เบคอน ผักกาดหอม และมะเขือเทศ) เค๊กชิ้นเล็กๆ หลากหลายแบบ พายต่างๆ เครื่องดื่มสารพัดชนิด ไวน์ น้ำอัดลม กาแฟ ฯลฯ ตาลายเลยล่ะครับ ใครหิวจัดๆ มาเจอแบบนี้ อาจหยิบไม่ถูก
   นั่งกินอยู่สักพัก สองสาวชาวญี่ปุ่นก็เดินออกจากห้องไป ผมยังไม่ได้เข้าไปใช้เครื่องต่อทันทีหรอก ยังกินไม่เสร็จดีเลย มีของอร่อยๆ อีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้ชิม
   อีกสัก 10 นาทีถัดมา ผมได้ยินเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ดังทีเครื่องคอมพิวเตอร์ ตอนแรกผมเฉยๆ คิดว่าเครื่องมันตั้งปลุกไว้หรืออย่างไร เห็นดังอยู่สักพัก เลยเดินไปดู
   อ้าว .. สองสาวลืมโทรศัพท์ไว้ ผมหยิบเครื่องมากดรับสาย แต่กดไม่เป็นครับ ภาษาญี่ปุ่นล้วนๆ ขนาดจะมั่วกดยังมั่วผิดเลย ญี่ปุ่นเขาใช้โทรศัพท์ของ Softbank เดาว่าเป็นระบบ CDMA (ไม่รู้ตัวย่อครับ ขออภัย)
   เอาล่ะสิ คุยไม่รู้เรื่อง แต่รู้ว่าเขาลืมโทรศัพท์ไว้
   ผมรีบเปิดกล้องถ่ายรูป ดูภาพที่ผมเพิ่งจะถ่ายไว้ มันเห็นแค่ด้านหลังของสองสาว แต่ยังดีที่เห็นชุดที่เขาใส่อย่างชัดเจน
   “คุณครับ พอจะทราบเที่ยวบินของนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นสองคนนี้ไหมครับ” ผมถามเจ้าหน้าที่เคาเตอร์ เพราะก่อนเข้าห้อง เขาจะจดบันทึกเที่ยวบินเอาไว้
   แต่เขาบอกไม่รู้ จำไม่ได้ คนเยอะ    
   เฮ้ย  ผมงงว่ะ แค่เดินไปเช็คให้หน่อยเดียวก็ไม่ทำ คนอื่นเขาเดือดร้อนมันไม่เห็นจะรับรู้อะไรเลย
   “นักท่องเทียวเขาลืมโทรศัพท์ไว้น่ะครับ ผมจะเอาไปให้เขา เขาโทรเข้ามา แต่คุยกันไม่รู้เรื่อง” ผมขยายความต่อ
   “อ๋อ งั้นฝากไว้ที่นี่ก็ได้ค่ะ”
   อืมม ดูดีนะนี่ ฝากไว้กับมึง มึงก็เอาของเขาไปแดกอ่ะดิ ขนาดแค่เปิดสมุดดูบันทึกเที่ยวบิน มึงยังไม่ทำให้เลย ไอ้สัตว์ กูคงจะเชื่อมึงหรอกนะ
   “เราคุยกันแล้วครับ ผมบอกให้เขารอข้างนอก แต่หาไม่เจอ เลยจะไปให้เขาที่ประตูขึ้นเครื่องเลย” ผมเริ่มอำเขาบ้าง เรียกว่าเกทับ
   “เห็นเขาเดินไปทางออก G ค่ะ”
   ได้ยินแล้วผมรีบวิ่งไปทันที อาหารเยอะแยะยังไม่กินไปได้ไม่เท่าไหร่เลย รีบคว้าเป้สะพายทันที
   เดินหาอยู่นานก็ไม่เจอครับ วนเวียนอยู่สัก 15 นาทีเริ่มกังวลใจ ทีแรกคิดว่าจะหาได้ง่ายๆ สักพักมีโทรศัพท์เข้ามา ผมกดรับไม่เป็น แต่คราวนี้มั่วถูก
   “สวัสดีครับ สวัสดีครับ” สถานการณ์จริงพูดภาษาอังกฤษนะ
   ไม่รู้ว่าทางโน้นเขาไม่ได้ยินหรืออย่างไร ไม่มีเสียงตอบกลับมา แต่ผมได้ยินเสียงเขาพูดเป็นภาษาญี่ปุ่น เป็นเสียงผู้ชาย
   เอาไงดีว้าา ร้อนรนใจฉิบเป๋ง รู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย ตอนนี้หายหิวเป็นปลิดทิ้ง ลืมหมดทุกอาการ
   เดินผ่านจอบอกเที่ยวบิน ผมมองหาเครื่องที่ปลายทางประเทศญี่ปุ่นก็ไม่มีสักอัน มีแต่ประเทศย่านยุโรป และฟิลิปินส์
   เห็นนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นกำลังคุยธุระกัน คิดไปพลางว่าหากผมอยู่ใกล้ๆ หมอนี่ เกิดมีโทรศัพท์เข้ามาอีก ผมจะยื่นให้เขาคุยกันซะเลย จะได้จบๆ กันไป
   แต่เขาคุยกันนานมากจนผมไม่กล้าเข้าไปสอดแทรก เลยวิ่งไปวิ่งมาแถวนั้นอีกรอบ ยังไม่เจอ ก็เลยลงไปที่ห้องเลาจ์ First Class อีกที ในมือกำโทรศัพท์ของเขาแน่น
   มีเจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินของสายการบินมาคุยกับเจ้าหน้าที่คุมห้องเลาจ์ ผมเดินไปพบพอดี เจ้าหน้าที่สายการบินกำลังสอบถามคนคุมห้องเรื่องโทรศัพท์ ผมเลยเข้าไปเสนอตัว
   “ผมเป็นคนพบเครื่องเองครับ กำลังเดินหาเจ้าของเครื่องอยู่เลย”
   “เครื่อง Boarding เรียบร้อยแล้วค่ะ ใกล้จะออกแล้ว เจ้าของเขาอยู่บนเครื่องเรียบร้อยแล้ว” เจ้าหน้าที่ภาคพื้นบอกผม เราสองคนออกเดินสาวเท้าก้าวเร็วพร้อมๆ กันโดยมิได้นัดหมาย
   เดินไปไกลเลยล่ะครับ  กลายเป็นว่าเครื่องนี้บินไปฟิลิปินส์ก่อน แล้วถึงต่อไปยังโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นอีกทอด ปัดโธ่
   ที่ประตูขึ้นเครื่องไม่เหลือใครเลยสักคน อยากส่งให้ถึงมือเจ้าของจริงๆ ก็ทำไม่ได้ แต่ก็รู้สึกดีล่ะน่า แม้จะต้องส่งผ่านเจ้าหน้าที่ก็ตาม ยังไงเจ้าของเขาก็ได้รับเครื่องคืนแน่ๆ
   เดินกลับมาช้าๆ อย่างกระหยิ่มใจ รู้สึกภูมิใจแทนคนไทยทั้งปวง เขาคงจะรู้สึกดีกับประเทศไทย คนไทยแน่ๆ เล่นเอาผมลืมหิวเลยล่ะครับ
   หมดเวลาไปกับตรงนี้ราว 45 นาที ผมเดินไปยิ้มไปตลอดทาง ผ่าน Duty Free ก็มองไปเรื่อย แต่ในใจมันยังคงคิดเรื่องความภูมิใจไม่หาย
   ผมเข้าไปที่ประตูขึ้นเครื่องตามเวลา ผู้คนมากันแน่นครับ เกือบจะหมดลำเป็นชาวรัสเซีย เพราะเครื่องบินตรงดิ่งไปมอสโคว์ โดยมากจะเป็นนักท่องเที่ยวครับ ดูจากมีเด็กเล็กๆ มากมาย ผู้คนของรัสเซียหน้าตาไม่เหมือนชาวอเมริกัน ตาของเขาจะคล้ายๆ แขกนิดๆ แต่ไม่ใช่พวกแขกขาวนะ ยังคงดูเป็นฝรั่งอยู่
   เด็กเล็กวิ่งเล่นกันเยอะ มีคนหนึ่งปีนเก้าอี้สูงแบบสตูล (Stool - ม้านั่งคนเดียว) แล้วเกิดพลาดตกลงมา ผมเอามือไปช้อนรองศีรษะของเขาได้ก่อนที่จะฟาดกับที่พักเท้าพอดีเป๊ะ ไม่งั้น ต้องมีคนเสียเลือด
   คนที่เห็นตกใจกันใหญ่ ไอ้ที่ไม่รู้สึกอะไรเลยคือตัวเด็กเอง พ่อแม่เข้ามาขอบคุณผมกันใหญ่ ผมยิ้ม บอกว่าไม่เป็นไรๆ และลูบหัวเด็กเอ็นดูเขา ผมเห็นเด็กๆ ที่ไหน มักคิดถึงลูกตัวเองเสมอ
   ทุกครั้งที่ได้ช่วยเหลือใคร ผมก็จะรู้สึกดีและภูมิใจ และคิดว่าใครๆ ก็คงรู้สึกเหมือนผม
   สักพักเจ้าหน้าที่ประกาศเรียกขึ้นเครื่อง คนพากันไปต่อคิว ผมไม่รีบร้อน ตั๋วเป็นแบบกำหนดที่นั่ง แถมยังต้องนั่งอีกราว 10 ชม ในที่แคบๆ เรียกว่าได้นั่งกันจนเบื่อไปข้างหนึ่ง
   ถึงตรงนี้เตรียมแค่บัตรขึ้นเครื่องใบเดียวพอครับ ดูแค่ว่านั่งตำแหน่งไหนก็พอแล้ว พาสปอร์ทเก็บไว้ให้ดีๆ ก่อนมาให้ถ่ายเอกสารเก็บไว้ในกระเป๋าเดินทางอีกใบ และถ้าลุยแบบ Backpack เจ๋งๆ ก็ให้สแกนหน้าพาสปอร์ทแล้วส่งเข้าอีเมลล์ตัวเอง เผื่อจะใช้ก็แค่เข้าไปโหลดในอีเมลล์ได้ทันที
   ผมได้ที่นั่งด้านแถวหน้าของผนังกั้นห้อง นั่นคือจะได้ที่ยืดขาแบบกว้างมาก ยืดกันจนสุดยังไม่ถึงผนังเลย สบายสุดเลยเลยล่ะ จุดนี้คือตำแหน่งที่ดีสุดของการเดินทางในชั้นประหยัด ( Y Class) แม้ที่นั่งจะไม่กว้างเท่ากับ Business Class แต่ Leg Room กว้างกว่าเยอะ ฮ่าๆ ดีใจ
   ผู้โดยสารเต็มลำครับ ยังดีที่ไม่ได้นั่งติดกับคนอ้วน คนตัวโต เพราะจะต้องโดนเบียดจากแขนและลำตัวของเขา ก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกนะ แต่ถ้าเจอแบบนี้จะนั่งกันไม่เป็นสุขเลยล่ะครับ อีกพวกคือกลิ่นตัวแรง มักจะเป็นพวกแขก
   ด้านหลังของผมเป็นครอบครัวชาวรัสเซีย มีลูกสาวตัวเล็กน่ารักอายุ 1 ปี 5 เดือน ชื่อ Nasha ผมเล่นกับเขาตลอดทางจนถึงมอสโคว์ แก้เบื่อได้เป็นอย่างดี อยากจับมาอุ้ม แต่เกรงใจพ่อแม่เขา
   บินยุโรปแบบนี้ได้เครื่องดีหน่อยครับ มีหน้าจอดูหนังเล่นเกมแบบส่วนตัว มีหนังและเกม เป็นสิบๆ อันให้เลือก แถมเล่นแข่งกันกับผู้โดยสารท่านอื่นได้อีกด้วย เจ๋งมากๆ มีภาพแสดงการบินให้รู้ว่าตอนนี้อยู่ถึงไหนแล้ว ผมดูแล้วมันผ่านแถวเทือกเขาหิมาลัยด้วย เฮ้ย เจ๋งว่ะ ไม่ได้ไปปีนแบบคนอื่นเขา แต่เราได้เห็นจากเบื้องบน ถ่ายรูปมาด้วยแหละ หิมะเพียบบบบบ
   ภาษาวัยรุ่น เด็กเน็ทเรียก สุโค้ย ผมไม่รู้ว่าว่าอะไร คงจะสุดยอดมั้ง (เดา)
   สักพักเขาปิดไฟให้ผู้โดยสารนอนกัน ผมไม่ค่อยหลับหรอกครับ ได้แค่หลังตา พักสายตา นอกหน้าต่างสว่างโร่เลยนะ ต้องปิดม่านหน้าต่างน่ะ ถึงจะมืด ช่วงนี้พนักงานบนเครื่องบินเขาพักผ่อนกัน ถ้าใครอยากได้อะไรก็เดินไปหา ไปหยิบเอาเองได้ทีท้ายเครื่องเลยนะครับ อยากกินอะไรก็ขอพนักงานเขาได้ อย่ารื้อค้นหาเอง เราหาไม่เจอหรอก แถมยังจะทำของเขาไม่เป็นระเบียบเสียอีก
   โดยมากก็จะเป็นพวกแซนวิช ของขบเคี้ยวถุงเล็กๆ ผลไม้ น้ำดื่ม ถ้าเป็นเครื่องทางยุโรปนี้จะมีเบียร์ ไวน์ ชีส ฯลฯ
   ผมชอบเดินดูเล่น หยิบดูเล่น แต่ไม่ค่อยกินของเหล่านี้

   นี่แหละครับ นั่งกิน นอนกินของแท้ เมื้อยเนื้อตัวฉิบเป๋ง บินนานๆ แบบนี้ ผมชอบนั่งด้านหลังๆ หน่อยครับ ชอบมายืนคุยกันเล่นด้านท้ายเครื่อง เจอใครก็คุยไปหมดแหละ เริ่มจากส่งยิ้ม และทักทายพูดคุยว่าเป็นคนชาติอะไร จะไปไหน ถ้าเป็นประเทศดังๆ ก็จะมีเรื่องถามเขาเยอะแยะ  และถ้าเป็นสาวๆ ด้วยจะยิ่งคุยสนุกมาก ฮ่าๆ จริงๆ นะ
   พอเริ่มเข้ายุโรป หน้าต่างเครื่องบินค่อยๆ มีเกล็ดหิมะจับตัวทีละน้อย สวยดีครับ เห็นเป็นโมเลกุลที่เป็นแฉกๆ ได้อย่างชัดเจน (ถ้าโมเลกุลสมบูรณ์จะมี 6 แฉก)
   เดินไปเดินมาสุดท้ายก็ถึงเสียที เครื่องจอดลงที่สนามบินโดโมเดโดโว อ้อ เวลาที่รัสเซียจะช้ากว่าไทย 4 ชม ครับ งานนี้ผมใส่นาฬิกาตัวลุยของผมไป มันปรับเวลาได้ 2 ประเทศ วัดอุณหภูมิได้ วัดปริมาณรังษี UV ได้ ปลุกได้ เตือนทุกชั่วโมงได้ ที่เด็ดสุดและหาเรือนไหนทำได้ยากคือ บอกเวลาน้ำขึ้นน้ำลงสุงสุดในแต่ละวันได้อีกด้วย (เหมาะแก่การเที่ยวถ้ำริมทะเล)
   อีกชิ้นที่เป็นของติดตัวตอนไปต่างประเทศตลอดทุกทริปก็คือกระเป๋าเป้ของ Victorinox คนอย่างผมไม่บ้ายี่ห้อ แต่ที่เลือกอันนี้เพราะเป็นกระเป๋าเป้อันเดียวที่ผมสามารถใส่เอกสารขนาด A4 ได้โดยไม่ยับ และหยิบใช้ได้สะดวกรวดเร็ว (ใช้ใส่แผนที่) แถมยังใส่กระติกน้ำได้ 2 ใบ และล้วงหยิบของในเป้ได้ถนัดมือมากๆ
   ลงจากเครื่องแบบเร่งรีบ เพราะผมรู้ว่าคิวของการตรวจพาสปอร์ทตรวจคนเข้าเมืองนั้นยาวมาก ยิ่งลำนี้บรรทุกผู้โดยสารมาเต็มลำ
   ผมไม่เคยมาที่นี่มาก่อน ค่อยๆ เดินกลัวหลงเหมือนกัน มองหาป้ายนำทางเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น พบแล้วๆ เขาแยกการตรวจเหมือนของไทยเราเลย ซุ้มสำหรับพาสปอร์ทรัสเซียคิวยาวสุดยอด ส่วนซุ้มของคนต่างประเทศต้องขึ้นชั้น 2 เออ แปลกดีว่ะ ไปก็ได้ ถ้าผิด ถ้าหลงก็ค่อยลงมา ไม่เห็นยากอะไร
   พอมาชั้นนี้เจอแบบนานาชาติเลยครับ ฝรั่งก็มี คนเอเชียก็มี ญี่ปุ่นเพียบ เกาหลีพอมี คนยืนต่อแถวกันพอควร ไม่ยาวเว่อร์เหมือนด้านล่าง แต่มีซุ้มหนึ่งไม่มีคนมาต่อคิวเลย ผมสงสัยเพราะเห็นเจ้าหน้าที่รอตรวจอยู่ เดินไปอ่านใกล้ๆ เขาเขียนว่า “สำหรับหนังสือเดินทางอีเลคโทรนิคเท่านั้น”
   อ่านแล้วสงสัย ก็หนังสือเดินทางของไทยเราปีหลังๆ ก็เป็นอีเลคโทรนิคแล้วนี่นา (จะมีแถบให้สแกนข้อมูลของตัวเราอย่างละเอียด)
   ไม่ต้องคิดอะไรมาก สงสัยก็ถามครับ คนอย่างผมลุยๆ ไม่มีอาย
   “สวัสดีครับ หนังสือเดินทางของผมสามารถใช้ช่องนี้ผ่านได้ไหมครับ” ถามเป็นภาษาอังกฤษนะ ลุยไทยโดดๆ ไปไม่ได้รอดแน่นอน
   “ใช้ได้เลย” เจ้าหน้าที่ตอบ พร้อมกับยื่นมือมารับ พอผมส่งหนังสือเดินทางให้เท่านั้นแหละ คิวอื่นที่ต่อกันยาวๆ ต่างเฮโลมาต่อหลังผมเต็มไปหมด แหม แสดงการเป็นผู้นำเชียวนะครับนี่
   เออ แล้วตั้งนานที่พี่ๆ ต่อคิวกันมานี่ ไม่ได้อ่านป้ายเขากันบ้างเลยหรือวะนี่
   เสร็จแล้วก็มารอกระเป๋า บางสนามบินต้องเสียค่าใช้บริการรถเข็น แต่ที่นี่ฟรี เป็นสนามบินเล็กๆ ครับ ไม่ได้ใหญ่โตอย่างสุวรรณภูมิของไทยเราก็จริง แต่ขอโทษ เขามีสนามบินรายรอบเมืองอยู่ถึง 5 อัน กระจายความหนาแน่นกันไป ไม่ได้แห่กันมาจุดเดียวอย่างไทยเรา นี่คือแนวคิดที่แตกต่างกัน
   ออกมานอกอาคาร สูดอากาศของรัสเซียปืดแรกอย่างเป็นทางการ โอโหห เย็นสะใจดีครับพี่น้อง ตอนนี้ 7 C สบายๆ แต่ถ้าลมพัดมาแรงๆ ล่ะก็ ขอหลบในอาคารจะดีกว่านะ
   ผมไม่ค่อยเตรียมอุปกรณ์กันหนาวไปแบบเต็มพิกัดครับ มีแค่เสื้อแจ๊กเก็ตตัวเดียว ไม่มีชุดแบบ Long John ใส่แค่เสื้อยืดตัวเดียว กับกางเกงยีน หากหนาวก็มีแจ็คเก็ตทับชั้นเดียว แต่ผมมีหมวกคลุมหัวแบบ Hood ครับ ไอ้นี้แหละตัวเจ๋งของผมเลย ยี่ห้อ Adidas ซื้อมาจากญี่ปุ่น ชอบมากๆ แถมด้วยผ้าคลุมหน้าของ HAD (ทรงเดียวกับของยี่ห้อ Buff ที่ชาวจักรยานรู้จักกันดี) ของเยอรมัน หากเจอลมแบบไม่มีที่หลบ ก็คลุมหน้า และคลุมหัว แค่นี้จบ (แต่เอาเข้าจริงมันยังหนาวมือว่ะ อยากได้ถุงมือจริงๆ เลย)
   มาถึงตรงนี้เอาตอนเกือบจะ 6 โมงเย็น แต่แดดแรงจัดเหมือนไทยเราสัก 3-4 โมง ลมพัดแรงตามสไตล์ยุโรปเหนือ แปลกใจที่ลานจอดรถมีแต่หิมะเต็มไปหมด เอ๊ะ มันยังไม่ละลายไปอีกหรือวะนี่ นึกแล้วเท่ดีเหมือนกัน ถ่ายรูปออกมาแล้วเหมือนอยู่เมืองนอก ; )
   รัสเซียยุคเปิดประเทศแล้วรถติดหนักครับ ต้องรีบเข้าตัวเมืองมอสโคว์ เอาของไปเก็บที่พักก่อนแล้วค่อยว่ากัน ผมเอากระเป๋าเดินทางใบใหญ่แบบ Hard Shell ไป เพราะกลัวโดนกรีดเป้ วันนี้ไม่มีธุระอะไร สบายๆ
   เข้าพักที่ Crown Plaza Hotel / Moscow – World Trade Center ขอโทษนะ วันนี้จับกังขอแอบหรูหน่อย นอน รร 5 ดาว ห้องพักกว้างใหญ่ดีครับ ทีวีชัดเจนดีมากทุกช่องเลย ต่างจากโรงแรมของไทยเราที่มักจะชัดแค่ไม่กี่ช่อง ฮ่าๆ
   เฮ้ย 2 ทุ่มกว่าแล้ว ฟ้ายังสว่างอยู่เลย แดดแรงจัด เลยออกไปเดินเล่นที่จตุรัสแดง ก็เป็นจตุรัสกลางเมืองขนาดใหญ่มากๆ กว้างเว่อร์ๆ เหมือนที่อิตาลีก็มีสถานที่แบบนี้เยอะมาก ลานนี้ห้ามนำรถยนต์เข้ามา เลยเดินเล่นอย่างสบายอารมณ์ มีนักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปกันเยอะมากๆ ผมเห็นใครมากันสองคนแล้วผลัดกันถ่ายรูปก็จะอาสาช่วยถ่ายรูปให้เขา เห็นเขามีความสุขกัน ก็พลอยสุขใจไปด้วย ผมไปคนเดียว ภรรยาและลูกไม่ได้มาด้วย พอเจอบรรยากาศสวยๆ ซึ้งๆ แบบนี้ รู้สึกคิดถึงพวกเขาจับใจ
   “เราถ่ายภาพให้คุณบ้างไหม” นักท่องเที่ยวคนหนึ่งอาสาจะถ่ายรูปให้ผมบ้าง หลังจากผมกดให้เขาไปหลายรูป
   “ไม่ครับ ไม่เป็นไร”
   “ทำไมล่ะ ไม่ต้องเกรงใจ” เขาทำหน้าสงสัย
   “หวังไว้สักวันผมจะพาภรรยาและลูกมาถ่ายด้วยกันครับ” ตอบพร้อมกับส่งยิ้มแบบจริงใจ
i drive / i race / i test / I drift
I row / I run / I fun / I ride

Offline O'Pern

  • fear is a mind killer
  • Administrator
  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 7411
  • don't let your fear stand in the way of your dream
    • racing club
Re: มีค 53 / 26 - 1 Moscow & Saint Petersburg - Russia
« Reply #21 on: April 04, 2010, 08:47:20 pm »
27 มีค 53 Moscow
   ตื่นเช้าตรู่ตั้งแต่ 0530 ฟ้าเริ่มสว่างแล้วครับ อากาศหนาวเย็นดีมากราว 3 C โรงแรมอยู่ริมแม่น้ำ มองเห็นน้ำเป็นน้ำแข็ง หึหึ ของจริงว่ะพี่น้อง น่าจะเอาเฮลบลูบอยมาด้วย
   รร ให้น้ำดื่ม 2 ขวด ผมจะดื่มน้ำตอนตื่นนอนเช้าทันทีราว 1 ลิตร บิดเกลียวเปิดขวดซดทีเดียว แทบสำลักครับ เพราะแม่งเสือกเป็นน้ำโซดา วิ่งไปคายแทบไม่ทัน ฟองเต็มปากเลย รีบมองขวดมันเขียนว่า Soda Water วิ่งไปดูอีกขวดเขียนว่า Still Water โถๆ เขาไม่ได้แกล้ง เราน่ะผิดไปเองที่หยิบผิดขวด
   กินอาหารเช้าแบบง่ายๆ ที่โรงแรมครับ อาหารจะดีกว่าย่านสแกนดิเนเวียเยอะ ที่โน่นมีแต่ขนมปังแห้งๆ กรอบๆ กับชีส และเนื้อเย็น และผักหน้าตาประหลาด แต่ที่นี่ก็เหมือนกับยุโรปทั่วไป มีไข่ดาว เบคอน ไส้กรอก ผักสลัด ซีเรียล จะเด่นที่มีขนมปังหลากหลายดีมาก ผมชอบ French Bread เป็นที่สุด แต่เชื่อไหมว่าอร่อยสู้ร้าน Delifrance ที่ถนนสีลมไม่ได้เลย
   เวลาไม่เร่งรีบ ก็จะกินช้าๆ ซึมซับบรรยากาศไปเรื่อยๆ จานแรกไม่ต้องคิดมาก ขอเป็นของหนัก เล่นไข่ดาว 2 ฟอง สั่งทอดสุก เบคอนสัก 5 ชิ้น ไส้กรอกชิ้นเล็กๆ 2 ชิ้น ราดซอสมะเขือเทศ มัสตาร์ด และเหยาะลงอบเชยลงไปด้วย คนที่นี่ชอบเครื่องเทศแบบอบเชยกันมากครับ ผมเองก็ชอบ ชื่อสากลคือ Cinnamon
   หมดจานนี้ก็แทบอิ่มแล้วล่ะครับ ที่เหลือคือกินเล่น เจออันไหนอยากลองก็ขอมาสักอย่างละ 1 ชิ้น แต่หยิบครบทุกอย่างไม่ได้ มั้นจะล้นจานเอา โดยเฉพาะพวกของหวานอย่างขนมปังเดนิช พาย
   ผมมีธุระที่มอสโคว์ 2 วัน มีประชุมเช้าถึงบ่ายในวันนี้และพรุ่งนี้
   วันนี้มาว่างอีกทีเอาตอนบ่ายๆ เย็นๆ เลยไปเดินเที่ยวพิพิธภัณฑ์อาร์เมอรี่ แชมเบอร์ และพระราชวังเครมลิน ได้เห็นประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 850 ปีของสหภาพโซเวียต อีกทั้งยังเป็นสถานที่เก็บสมบัติล้ำค่าของชาติ ของราชวงค์โบราณรัสเซีย ตระการตาครับ
   ก่อนเข้าพิพิธภัณฑ์ที่นี่เขาต้องฝากเสื้อโค้ชไว้ด้านนอก คิดดูสิมีคนเข้าชมวันหนึ่งเป็นพันๆ คน เจ้าหน้าที่ต้องทำงานตลอดเวลา เห็นแล้วเหนื่อยแทนเลยล่ะครับ คนเก่าไป คนใหม่มา ฝากฟรีอีกด้วยครับ ทำงานกันด้วยใจจริงๆ
   เขามีหูฟังให้เช่าฟังคำบรรยายภาษาอังกฤษด้วยนะ ยิ่งถ้าศึกษาประวัติศาสตร์รัสเซียมาก่อนแล้วจะยิ่งฟังสนุก ผมฟังแล้วจับใจความได้บ้างไม่ได้บ้าง เพราะมึนกับชื่อของราชวงค์ เช่น พระเจ้าซาร์นิโคลัส พระนางแคเทอรีนที่ 1 ที่ 2 พระเจ้าอเลกซานเดอร์ที่1 ที่2 ฯลฯ
   ตกเย็นไปเดินเล่นสำผัสวิถีชาวบ้านดีกว่า เลือกไป Arbat Street ลักษณะเป็นถนนคนเดิน เน้นขายของที่ระลึก มีการแสดงดนตรีข้างถนนด้วย ผมสนใจคนหนึ่งแกเล่นกีตาร์คลาสสิค พร้อมขาย CD ก็สักแผ่นละ 300 Ruble (ราวๆ 300 บาท) แต่ดูปก CD แล้วไม่มั่นใจเลย เพราะใช้พรินเตอร์แบบ Ink Jet พิพม์ แถมมีรอยโดนหยดน้ำอีกด้วย ทำให้ตัวหนังสือเลือนหาย ดูไม่ค่อยโปรเท่าไหร่ กลัวโดนหลอก
   เข้าไปร้านหนึ่ง พนักงานชวนคุย
   “คุณมาจากประเทศใดหรือ”
   “ประเทศไทยครับ”
   “ประเทศไทยหรอ ฉันเคยไปภูเก็ต ทะเลสวยมาก น้ำใสสะอาด”
   “ถ้าคุณว่าภูเก็ตสวย ที่จริงมันมีสวยกว่านั้นอีกเยอะมากครับ แต่มันไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว เลยไม่ได้รับการโปรโมท”
   “อ้าวหรอ งั้นเกิดฉันไปประเทศไทยอีก คุณก็พาฉันเที่ยวได้น่ะสิ”
   “ได้แน่นอนครับ ผมขี่จักรยานท่องเที่ยวในไทยมาเยอะ ผมรู้จักสถานที่อีกหลายแห่งที่ไม่มีในแผนที่”
   “หาา มีสถานที่ๆ ไม่มีในแผนที่ด้วยหรือ” เธอทำหน้าสงสัยอย่างมาก
   “มีครับ มีอีกเยอะ โดยเฉพาะเส้นทางที่รถยนต์เข้าไปไม่ถึง และคนยังไม่ค่อยก้าวล่วงเข้าไป”
   ตอบจบก็ส่งยิ้ม เธอยิ้มตอบ ท่าทางจะชอบประเทศไทยจริงๆ
   วิถีอเมริกันเข้ามาสหภาพโซเวียตเยอะแล้วครับ ถนนนี้มีร้านกาแฟ Starbucks มี McDonald มี Pepsi
   ผมเป็นคนมีความรู้ไม่มากนะ แต่ผมเชื่อว่าประชาธิปไตยนั้นดี ก็ต่อเมื่อผู้คนรู้สึกใช้สิทธิของตนเอง
   อย่างเมืองไทยเราในตอนนี้นะ ผมว่าเหมาะแก่ระบอบคอมมิวนิสต์แบบสหภาพโซเวียตยุคก่อนอย่างมากเลยล่ะ

   รัสเซียเขาเด่นด้านศิลปะ และดนตรีอย่างมากครับ ยุคสหภาพโซเวียตที่เป็นระบอบคอมมิวนิสต์ ใครจะออกนอกประเทศได้ก็ต้องเป็๋นเทพระดับสุดยอด ดังนั้น การแสดงกายกรรม ดนตรี บัลเล่ย์ ฯลฯ นักแสดงเหล่านี้แหละครับ ถึงจะมีสิทธิออกนอกประเทศได้
   คืนนี้ผมเข้าชมการแสดงละครสัตว์ของโรงละครที่มอสโคว์ เป็นการแสดงของใคร อะไรก็ไม่รู้นะ คือเขาจะสลับหมุนเวียนกันมาโชว์ตลอดเวลา ช่วงแรกจะโชว์กายกรรม ก็เหมือนที่ดูกันในทีวีแหละครับ แต่พอเห็นของจริงแบบสดๆ แล้วมันน่าทึ่งกว่าเยอะมาก มีช่วงหนึ่งเขาแสดงผาดโผนแล้วพลาดตกลงมาจากที่สูง (มีสลิง) เขาก็เริ่มแสดงซ้ำใหม่ทันที เรียกว่าแสดงจนผ่าน แบบนี้เรียกสปิริตครับ
   แสดงได้สักพักก็มีเบรกเพื่อจัดเวทีใหม่ ช่วงเบรกนี้สนุกมาก คนจะไปเข้าห้องน้ำกัน ไปซื้อน้ำซื้อขนมมากินกัน เด็กๆ ชอบป๊อปคอร์น ผมเลยไปเอามาบ้าง ทำตัวกลมกลืน
   การแสดงช่วงหลังเป็นละครสัตว์ แต่มันไม่เห็นจะน่าตื่นเต้นอะไรเลย คิดว่าจะมีพวกสิงห์โต เสือ แล้วใช้แส้ควบคุม กลายเป็นกอดปล้ำกับงูเหลือม และจรเข้ที่แอบมัดปากเอาไว้ นี่ถ้ามันมาเจอลุงแย้มที่ฟาร์มจรเข้ คงจะเข้ามากราบแทบเท้า เพราะลุงเล่นเอาหัวเข้าไปสอดขณะจรเข้อ้าปาก
   มีทีเด็ดที่ผมชอบมากอันเดียวคือการฝึกแมวน้ำครับ เคยเห็นแบบเลี้ยงลูกบอล และกลิ้งไปกลิ้งมา โบกครีบ งานนี้เขาให้แมวน้ำยืนครับ ยืนตัวตรงแบบคนเลย แถมมีเปิดเพลงแล้วเดินผสมเต้นเป็นจังหวะ เดินท่าเดียวกับผู้ฝึกเป๊ะ น่ารักมากๆ
   เขาห้ามถ่ายภาพขณะแสดงครับ กลัวแสงแฟลชจะรบกวนสมาธินักแสดง และรบกวนสัตว์
   คืนนี้กลับเอาดึกหน่อย เกือบจะ 4 ทุ่ม พออาทิตย์ลับฟ้า ก็เจอกับอากาศหนาวแบบของจริง ไม่มีสลิง ไม่มี่สตั้น ไม่มีสเปเชียลเอฟเฟค หิมะขาวโพลนไปหมด
   ขำขำครับ ราว 0 C เท่านั้นเอง
   กลางคืนเข้าห้อง พบจดหมายสอดเข้ามาใต้ประตู ใจความว่า

Dear Guest
Please do not forget to set your clock 1 hour forward at 2 am on march 28th due to switch to summer time

   อ๋อ เขาให้ผมปรับเวลาร่นขึ้นมา 1 ชม นั่นเอง แหม ไม่ยาก จัดไป
i drive / i race / i test / I drift
I row / I run / I fun / I ride

Offline O'Pern

  • fear is a mind killer
  • Administrator
  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 7411
  • don't let your fear stand in the way of your dream
    • racing club
Re: มีค 53 / 26 - 1 Moscow & Saint Petersburg - Russia
« Reply #22 on: April 04, 2010, 09:01:16 pm »
28 มีค 53 Moscow
   ตื่นเช้ามาเดินเล่นแถวโรงแรม เห็นแม่น้ำเป็นน้ำแข็งอย่างชัดเจน นี่มันเย็นจัดได้ขนาดนี้เชียวหรือ เคยได้ยิน ได้ฟัง แต่ก็เฉยๆ พอมาเห็นด้วยตาตัวเองแล้วจะเข้าใจ นี่ขนาดฤดูใบไม้ร่วงนะครับ คือพ้นฤดูหนาวมาแล้ว ถ้าหนาวจริงๆ จะขนาดไหน
   “ก็ราว -30 C”
   เพื่อนผมตอบมาหน้าตาเฉย ที่ไซบีเรียจะหนาวกว่านี้อีก
   “หนาวแค่ไหน”
   “- 65 C”
   โหห ยิ่งกว่าช่องฟรีซอีกว่ะ มิน่าเล่า มวกของทหารรัสเซียเขาถึงทำด้วยขนสัตว์ครอบปิดมิดหมดทั้งศีรษะ แถมมีช่องเปิดมาปิดหูได้อีกด้วย
   ชักอยากไปเห็นนะ ว่าที่ไซบีเรียนั้นชาวบ้านเขาจะอยู่กันอย่างไร เมืองเป็นอย่างไร นึกไม่ออกจริงๆ
   “มีคนไปเที่ยวไซบีเรี่ยบ้างไหม” ผมถามตามความสงสัย
   “ก็พอมี แต่ยังไม่ค่อยแพร่หลายนัก มันไปลำบาก ไม่ได้ไปสบาย”
   อาหารเช้าในโรงแรมเหมือนเดิม อาหารก็เหมือนเดิม ต่างจากเดิมเล็กน้อยในรายละเอียดปลีกย่อย คือจากเดิมมีเครปสอดไส้เชดดาชีส มาวันนี้เป็นเครปสอดไส้เนื้อสับ
   ผมเปลี่ยนจากไข่ดาวสุกมาเป็นไข่ต้มแทน ลดไขมันได้บ้างนิดหน่อย แอบหยิบเอาซีเรียลใส่กล่องเล็กๆ ไว้กินเล่นระหว่างวัน นี่ยังดีนะที่หยิบออกมานิดหน่อย เพราะถ้าไปลุยแบบ Backpacker และได้พักในโรงแรมหรูล่ะก็
   เริ่มจากหยิบเอาขนมปังที่ชอบมา ผมเลือก French Bread แบบไม่ต้องลังเล เอามาผ่ากลาง หยิบเอาแฮม เบคอน ชีส ผัก มะเขือเทศ หอมใหญ่ เอามาจัดเรียงไว้ เสร็จแล้วก็ห่อด้วยกระดาษทิชชู่ผืนใหญ่ที่หาได้จากแถวนั้นแหละ จะทำสัก 1 หรือ 2 ชิ้น เอาไว้กินตลอดวัน อย่าลืมหยิบซอสมะเขือเทศมาด้วย ถ้าชอบมัสตาร์ดก็เหน็บมาด้วยกัน ส่วนน้ำดื่มก็เติมให้เต็มขวดก่อนออกลุย จะซื้อข้างนอกก็ได้ แต่แพงแบบยอมสะอึกเลยล่ะ ขวดละสัก 40 บาทเห็นจะได้ (น้ำเปล่า 500 cc) ถ้าเป็นน้ำอัดลมก็ราว 70 บาท และถ้าเป็นน้ำอัดลมในสนามบินก็จะพุ่งไปขวดละ 90 บาท
   
   สายๆ ออกไปผจญภัยเล่นในเมือง รัสเซียนี้เด่นเรื่องระบบขนส่งมวลชนอย่างมากครับ เขามีรถไฟใต้ดินมาตั้งแต่ปี 1965 ยุคนั้นไทยเราทำไรอยู่ว้าาา เขาทำสงครามมาตลอด อุโมงค์รถไฟใต้ดินเลยทำไว้เสียลึกมาก เพราะเอาไว้ให้ประชาชนใช้เป็นหลุมหลบภัยได้ด้วย แถมยังมีห้องเสบียง ประชาชนสามารถหลบอยู่และกิน อาศัยอยู่ใต้ดินราว 1 เดือน !!!
   แถมสมัยก่อนความหรูหราวิจิตรตระการตามักจะมีแค่ในวัง บ้านเรือนผู้คนก็จะเป็นแค่ตึกทรงเหลี่ยมๆ หน้าตาเชยๆ สีทึมๆ เขาจึงทำสถานีรถไฟให้สวยราวกับพระราชวัง ตกแต่งสถานีต่างๆ ไม่ซ้ำกัน เลยลองไปใช้บริการดู
เจ๋งดีครับ ราคา 28 Ruble (ราว 28 บาท) จ่ายทีเดียว ขึ้นลงได้ตลอดทั้งวัน เป็นรถไฟรุ่นเก่า แต่เร็วชมัด มาทุกๆ 2 นาที มาแบบตรงเวลาอีกด้วย ที่เด็ดสุดคือเขาออกแบบระบบระบายอากาศได้ดีมากๆ ผมยืนในอุโมงค์ลึกลงไปเกือบ 100 เมตร แต่ยังมีลมเย็นจากด้านบนพัดโชยเข้ามา อากาศเสียมันระบายออกไปทางไหน อากาศดีมันเข้ามาทางไหน อันนี้น่าขบคิด หากภาครัฐจะส่งผมไปดูงานด้านนี้อีกทีคราวหน้า จะจัดการหาข้อมูลมาให้
ลงบันไดเลื่อนในรัสเซียให้ยืนชิดขวานะครับ ให้ทางซ้ายโล่งๆ เข้าไว้ เผื่อคนที่เขาเร่งด่วนจะได้แซงขึ้นไปได้
ผมเลือกไปสถานีที่สวยๆ อยากดูงานศิลปด้านใน แล้วก็ไม่ผิดหวัง แม่งเล่นโคมไฟระย้าเลยครับ ไม่ได้มีแค่โคมเดียว ซัดไปเป็นแนวยาวตลอดทางเลย มีภาพวาดบนผนังอีกด้วย ชื่นชมคนของเขานะ เพราะไม่มีพวกมือบอนมาทำลายงานศิลปโบราณเหล่านี้เลย ทั้งๆ ที่เอามือลูบจับชิ้นงานได้อย่างอิสระ ไม่มีพวกขีดเขียน ไม่มีคุ้ยแคะแกะงัดแผ่นโมเสก สุดยอดว่ะ
ศิลปที่ผมบอกคือโมเสกครับ กระเบื้องชิ้นเล็กๆ มาจัดเรียงกันจนเป็นภาพวาด สวยโครตๆ มองไกลๆ คิดว่าภาพวาด ดูใกล้ๆ แล้วทึ้ง
ชักสนุกครับ เลยนั่งเล่นดู 2- 3 สถานี้ เดินออกแล้วก็เข้าใหม่ รอรถขบวนใหม่ ไม่กล้าไปไกล กลัวหลงทาง จะบอกให้ว่า ในสถานีรถไฟใต้ดินของรัสเซีย ไม่มีภาษาอังกฤษแม้แต่ตัวเดียว ฮ่าๆ ใครใจถึงก็ลองมาดูได้ กระทั่งป้ายทางเข้า ทางออก ป้ายชื่อสถานีต่างๆ ก็เป็นภาษารัสเซีย บางตัวพอเดาได้ แต่เชื่อเถอะว่ามันอ่านออกเสียงกันคนละอย่าง คนละโลก
แต่จะกลัวไปใย ไปกับผม ผมพาลุย หลงประจำอยู่แล้ว นี่คือรสชาติของชีวิต ตอนไปอิตาลี ผมเดินหลงทางบนเกาะ Capri งานนั้นตื่นเต้นและกลัวสุดๆ เพราะมันเป็นเกาะ ถ้าพลาดเรือนี่ไม่รู้จะทำยังไงเลย และผมหลงเข้าไปในย่านบ้านพักคน ไม่มีร้านค้า ไม่มีผู้คน เดินอยู่คนเดียวในซอยแคบๆ ที่ขับรถได้พอดีคัน อากาศก็หนาว ใกล้มืดอีกด้วย ลักษณะคล้ายเขาวงกตคดเคี้ยวไปมา เมืองบ้าอะไรก็ไม่รู้

วันนี้ออกเดินทางไปเมือง Saint Petersburg อยู่เหนือขึ้นไปจากมอสโคว์อีก บินราว 1.30 ชม นั้นคือจะต้องหนาวขึ้นอีกพอควร เพราะมันอยู่ละติจูดเดียวกับพื้นที่ในเขตสแกนดิเนเวีย อยู่บนเส้นขนานเดียวกับเมือง Helsinki ของฟินแลนด์เลยล่ะครับ เรียกว่าหากบินข้าม Gulf of Finland นิดเดียวก็จะเข้าสแกนดิเนเวียแล้ว เสียดายไม่ได้ขอวีซ่าไป เลยอยู่ได้แค่รัสเซีย
   อ้อ รัสเซียยุค 5 ปีหลังมานี้ไม่ต้องใช้วีซ่าแล้วนะครับ ตั้งแต่สหภาพโซเวียตล่มสลาย ปฏิรูปการปกครองใหม่ ก็โดนแบ่งแยกดินแดนไป 15 ประเทศ รัสเซียเองก็เซ็งครับ แต่ทำไงได้ ประเทศมันใหญ่โตเกินจะปกครองได้ ก็เลยโดนแบ่งแยกไป ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สานสัมพันธ์ไทย-รัสเซียก็มาสานต่ออีกครั้ง (ครั้งแรกเมื่อ ร5 ครับ) ไทย-รัสเซียเราสนิทสนมกันมานาน ตั้งแต่รัชกาลที่ 5 ยุคล่าอาณานิคมนั้นแหละครับ อังกฤษ ฝรั่งเศษ โปรตุเกส ต่างล่าหาเมืองขึ้นในแถมเอเชียกันใหญ่ ไทยเรานี่แหละครับที่โดนเล็งอยู่
   ร5 เลยส่งสาสน์ไปเชิญทางรัสเซียให้เสด็จมาเยือนไทย อังกฤษ ฝรั่งเศษ เขากลังรัสเซียครับ เพราะนี่คือขาใหญ่ตัวจริง ยุคนั้นอเมริกายังไม่ได้แจ้งเกิดประเทศเลยนะ พอเขารู้ว่าเราเชิญรัสเซียมาก็แอบส่งจดหมายไปบอกว่าไทยเราเป็นประเทศเล็กๆ มีโรคระบาดเยอะ อย่าไปเลย ทางรัสเซียทราบข่าวก็เลยบอกปฏิเสธ ไม่มาไทย
   ร5 ทราบข่าว เลยส่งขุนนางไปเชิญด้วยตัวเอง ทางรัสเซียเห็นความตั้งใจจริงก็เลยมา ไทยเราต้อนรับอย่างเต็มยศ มีถ่ายภาพคู่กับกษัตริย์รัสเซีย เล่นเอางงกันทั่วโลก ว่า ทำไมรัสเซียกับไทยถึงได้สนิทสนมกัน ทั้งๆ ที่อยู่กันคนละซีกโลก
   อังกฤษ ฝรั่งเศษ ก็จะเอาดินแดนให้ได้ ฮึ่มๆ กันอยู่นาน จน ร5 ท่านส่งลูกไปเรียนด้านการทหารที่รัสเซีย ฝากฝังให้ดูแลลูกให้ด้วย เท่านั้นแหละครับ ทางรัสเซียจึงออกจดหมายไปบอกอังกฤษ ฝรั่งเศษว่า
   “โปรดละเว้นการกระทำใดๆ ในประเทศไทย ดินแดนของลูกบุญธรรมของเรา”
   อึ้งกันไปทั่วหน้า จะรบก็ไม่กล้ารบ กลัวเจอของแข็งอย่างรัสเซีย เพราะประเทศนี้เขารบจริง คนเขาแกร่งจริง แถมอาวุธก็ถึงจริง ไม่ต้องคิดอะไรมาก เขาไปดวงจันทร์ได้เป็นประเทศแรกในโลกก็แล้วกัน
   รัสเซียเองก็เข้าใจอังกฤษ และฝรั่งเศษ ไทยเราจึงต้องยอมเสี่ยดินแดนในมาเลเซียให้แก่อังกฤษไป และเสี่ยดินแดนกัมพูชา ลาว ให้แก่ฝรั่งเศษไป ลองไปดูแผนที่ไทยโบราณครับ จะพบว่าเรายิ่งใหญ่มากๆ
   ขนาดเพลงสรรเสริญพระบารมีที่เปิดกันในโรงหนัง ก็ยังเป็นการแต่งทำนองของทางรัสเซียน่ะครับ คิดดูก็แล้วกันว่าสถาบันกษัตริย์ของเราสนิทกันเพียงใด
   ตอนก่อนมานี้ผมรู้สึกเฉยๆ กับรัสเซียนะ แต่พอมีข้อมูลด้านประวัติศาสต์ และรู้ว่าเขาเคยช่วยเหลือเราขนาดนี้ ทำให้ผมสำนึกถึงบุญคุณของเขานะ กลายเป็นว่าหลังจากวั้นนี้ ผมเริ่มท่องเที่ยวในรัสเซียอย่างละเอียดถี่ถ้วนมากยิ่งขึ้น
   
   ผมมาถึงสนามบินเซเรเมโตโวเอาตอนสายๆ เป็นสนามบินใหม่เอี่ยม เปิดได้ไม่ถึง 6 เดือน สภาพใหม่มากๆ ที่นี่เขาไม่ทำสนามบินใหญ่ๆ อันเดียว อย่างที่บอก เขาทำสนามบินไม่ใหญ่ แต่ทำเยอะๆ แทน ไม่ต้องมีใหญ่ แต่กูมีเยอะ โดนปิด โดนถล่ม โดนอะไรก็ไม่หวั่น เรามีสำรองเฟ้ยย
   แต่สนามบินเล็กก็ยั้งมีหลายเทอมินอลนะครับ ไม่ใช่เล็กแบบกระจิ๋วหริว งานนี้บินสายการบินในประเทศชื่อ รอสซิย่า แอร์ไลน์ เป็นเครื่องบินลำเล็กน้อย กระทัดรัด บนเครื่องเสิร์ฟแบบรัสเซียแท้ๆ คือขนมปังกลมผ่าซีก มีเนยมาให้ 1 แผ่น จบ ฮ่าๆ กินกันแค่นี้แหละ อ้อ มีน้ำให้อีกแก้วหนึ่ง พนักงานชายบนเครื่องตัวโต หน้าตาดุมาก ทำนองว่าใครไม่เชื่อฟัง กูตบฟ่ำ

   เครื่องจอดที่สนามบินพูลโคโว เมืองมหานคร Saint Petersburg อีกเมื่องใหญ่ที่ดังรองจากมอสโคว์
   บินในประเทศไมต้องตรวจเอกสารอะไร ง่ายๆ สบายๆ ออกจากเครื่องบินก็คอยมองดูหน้าจอมอนิเตอร์ว่าจะรับกระเป๋าได้ที่สายพานเบอร์อะไร แต่ที่นี่เป็นเมืองเล็ก ไม่มีงวงช้างมารับ เครื่องบินจอดกลางลาน มีรถคอยรับส่ง
   ออกมานอกอาคาร สูดอากาศปืดแรก โหหห เย็นฉิปเป๋ง น้ำแข็งแม่งเต็มเมืองกว่ามอสโคว์เสียอีก มองไปนอกอาคารเห็นทะเลสาบ โหห มันเป็นน้ำแข็งทั้งแผ่นเลยว่ะ เคยได้ยินคนเล่า พอมาเห็นจริงแล้วทึ่ง สงสัยว่าปลามันจะอยู่ได้อย่างไร
   เมือง Saint Petersburg นี้มีประวัติยาวนานครับ มีพระราชวังโบราณสวยๆ ให้ชม แน่นอน ผมไม่พลาด
   ไปชมหมู่บ้านพุชกิ้น เป็นสถานที่พักอาศัยของเจ้าขุนมูลนาย คนชนชั้นระดับสูง หนึ่งในนั้นคือ อเลกซานเดอร์ พุชกิ้น ซึ่งเป็นยอดนักกวีเอกของรัสเซีย ก็ยิ่งใหญ่อลังการ แต่ดูแล้วผมหวนคิดถึงประชาชนระดับรากหญ้านะ รู้สึกว่ามันจะแตกต่างกันมากไปหน่อย เข้าใจว่ามันคนละระดับกัน แต่หากสังคมเป็นเช่นนี้นานๆ เข้า จะเกิดการลุกฮือ เพราะเสวยสุขบนความทุกข์ประชาชน
   ตามมาด้วยการชมพระราชวังแคทเทอรีนพาเลซ วังที่มีห้องเป็นร้อยๆ ห้อง ตกแต่งแบบคาดไม่ถึงว่าจะวิจิตรพิศดารขนาดนี้ พื้นไม้เป็นปาร์เก้ แต่จัดเรียงเป็นลวดลายกราฟิค ลายดอกไม้ ฯลฯ ก็ขนาดเข้าชมวังน่ะ เขาให้สวมถุงผ้าครอบรองเท้าอีกที ป้องกันทำพื้นเขาเป็นรอย แต่ถ้าเป็นที่ญี่ปุ่น เขาจะให้เราถอดรองเท้า เดินเท้าเปล่า เอารองเท้าใส่ถุงพลาสติคและเดินถือเอาเอง
   มีห้องหนึ่งเว่อร์มากที่สุด คือประดับตกแต่งด้วยอำพัน (Amber) มันคือยางไม้ธรรมชาติ ใช้เวลานับร้อยนับพันปีในการก่อตัว เขาเอามาเรียงตกแต่งจัดวางจนเต็มทั่วห้องไปหมด ทั่วทั้งห้องสีเหลืออำพันไปหมด คนอื่นเขาดูสวยกัน แต่ไม่ใช่สำหรับผม ผมดูแล้วมันแปลกๆ มากกว่า เข้าใจว่าทำยาก ทำนาน แต่ทำแบบนี้แล้วมันจะอยู่สบายจริงๆ หรือ
   พระนางแคทเทอรีนทรงโปรดการกินอย่างมาก กินแต่ละมื้อใช้เวลาราว 4-5 ชม หุ่นก็เลยใหญ่ ผมเลยเข้าใจ อ๋อ ที่ชุดในราชวงค์ของรัสเซียเขาใส่กระโปรงสุ่มกันก็เพื่ออำพรางหุ่นท่อนล่างกันนี่เอง เข้าใจแล้วๆ ๆ ๆ นึกภาพย้อนไปถึงวันแรกๆ ที่เข้าชมพิพิธภัณฑ์ได้เลย ตอนนั้นสงสัยว่าทำไมบัลลังค์ของพระมเหสีถึงได้ใหญ่กว่าของกษัตริย์ ก็เพราะว่ามันออกแบบไว้รองรับสุ่มที่กระโปรงนั่นเอง
   มีห้องหรูๆ มากมาย มีชื่อห้องแบบง่ายๆ คือเรียกตามสีของห้อง เช่น ห้องสีเขียว ห้องสีแดง ห้องสีข้าว ห้องสีฟ้า ก็เข้าใจง่ายดีนะ โดยมากจะประดับตกแต่งด้วยทองคำ ใช้ปิดหรือทาลงบนแผ่นไม้แกะสลัก
มองแล้วนึกถึงพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติของไทยเราเลยครับ ที่ตั้งอยู่ติดกับธรรมศาสตร์ ตรงสนามหลวงนี่แหละ ผมเป็นคนชอบสิงของเหล่านี้ ผมเดินพิพิธภัณฑ์ตั้งแต่เด็กๆ ครับ อายุ 17 ผมก็เข้าชมแล้ว ไปคนเดียวนี่แหละ ค่าเข้าคนละ 10 บาท จอดรถก็ยังฟรีอีก แต่ของเราจัดวางแล้วผมรู้สึกหดหู่นะ วางของเก่าโบราณแบบไร้ค่าเลยน่ะ หอกทำสงครามของสมเด็จพระนเรศวรก็วางแม่งกองๆ ไว้งั้นแหละ มันจะของจริงแบบ Original หรือเปล่าผมไม่รู้หรอกนะ แต่ถ้าจัดเรียงให้หรูๆ จัดแสงไฟเด่นๆ พร้อมมีรายละเอียดที่มาที่ไปอธิบายแก่ผู้เข้าชม ผมว่าแจ๋วว่ะ หอกอันเดียวก็ทำให้คนยืนอึ่งทึ่งดูได้ยาวนาน ยังไม่นับของชิ้นอื่นๆ อีกนะครับ ที่ชิ้นใหญ่สุดก็คือราชรถศึก เฮ้ย ผมว่ามันยิ่งใหญ่นะ แต่ของเราแม่งเอาไว้จอดกองๆ กันไว้ ดูยังกะซาเล้ง เซ็งสัตว์
ออกมาข้างนอกก็เจอฝนโปรยครับ ปกติผมจะพกร่ม แต่วันนี้ขี้เกียจถือ ผมใช้ Hood คลุมแทนไง ภายนอกเป็นสวนสไตล์ฝรั่งเศษครับ แต่เนื่องจากหิมะตกปกคลุมหนัก เขาเลยใช้ผ้าห่อรูปปั่นศิลปต่างๆ เอาไว้จนหมด ต้นไม้สวยๆ ก็ไม่มีใบ เหลือแต่กิ่งก้าน ท้องฟ้ามีดครึ้ม บรรยากาศทึมๆ ผมเลยปรับโหมดการถ่ายภาพเป็นแบบ B&W เสียเลย บ้างก็ลองแบบ Sepia ผมว่าดูดีกว่าภาพสีทึมๆ เยอะ
ก่อนเข้าที่พัก แวะซุปเปอร์ข้างถนน แบบเดียวกับ Lotus / Big C บ้านเรานี่แหละ ของเขาชื่อร้าน Oken นี่แหละครับ ของถูกจริงๆ เรานักท่องเที่ยวแต่ซื้อราคาเดียวกับชาวรัสเซียท้องถิ่น เท่าที่สำรวจดูพบกว่าสินค้านำเข้าจะแพงกว่าไทยเรามากครับ ผมดูจากช็๋อคโกแลตน่ะครับ เพราะกินบ่อย แพงกว่าไทยเราเยอะมากเกือบเท่าตัว เลยเลือกกินแต่สินค้าที่ Made in Russia แทน มีพวกขนมปังกรอบแบบที่กินกับสลัด ช็อคโกแลตดาร์ค และขนมแปลกๆ ของท้องถิ่น ผมอยากลองดู
    อ้อ คืนนี้ผมพักโรงแรมเล็กลงมาหน่อย เหลือระดับ 4 ดาว ชื่อ Sokos Hotel Olympic Garden ห้องเล็กลงมาหน่อย วิวก็ลดเกรดลงมานิด (อันเก่าวิวชมเมืองผ่านแม่น้ำ)
i drive / i race / i test / I drift
I row / I run / I fun / I ride

Offline O'Pern

  • fear is a mind killer
  • Administrator
  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 7411
  • don't let your fear stand in the way of your dream
    • racing club
Re: มีค 53 / 26 - 1 Moscow & Saint Petersburg - Russia
« Reply #23 on: April 04, 2010, 09:04:09 pm »
29 มีค 53 Bomb Moscow
    เช้าวันแรกที่ Saint Petersburg อากาศไม่สดใสครับ ฟ้ามืดครึ้ม อากาศหนาวเย็น ภายนอกอาคารมีแต่หิมะ ต้นไม้ไม่มีใบสักต้น ยิ่งโดนฝนโปรย จะทำให้พื้นยิ่งลื่นมาก ผมเดินก็ยังลื่นเกือบล้มอยู่หลายหน พลางนึกถึงพวกขี่จักรยาน นี่ถ้าผมเอาจักรยานมาขี่จะเป็นอย่างไรวะนี่
   โรงแรมเล็กหน่อย ล็อบบี้เล็กๆ แต่ห้องอาหารใหญ่
   ห้องทานอาหารสวยดีครับ มีเตาผิงด้วย และใช้ไม้ฟืนสุมก่อไฟจริงๆ ด้วย ข้างนอกหนาวนี่หว่า หนาวกว่าที่มอสโคว์อีกครับ เลยได้ผิงไฟอุ่นๆ โห บรรยากาศเหมือนอยู่เมืองนอกอีกแล้ว
   อาหารเช้าโรงแรมก็ยังคงแบบเดิมๆ ครับ ไข่ ขนมปัง เบคอน ไส้กรอก แฮม สลัด ซีเรียล น้ำผลไม้เมืองหนาว เช่น แครนเบอรี่ กีวี แน่นอน ผมซัดแหลกเลย
   เดินเล่นชมเมืองครับ มันเป็นเมืองเก่าที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานไม่แพ้มอสโคว์นะ หากเปรียบกรุงเทพฯ เป็นมอสโคว์ เมือง Saint Petersburg ก็เทียบได้กับเชียงใหม่ หรือเมืองใหญ่ๆ เลยน่ะ เป็นเมืองมีเอกลักษณ์ในตัวเอง เมืองนี้มีหลายชื่อ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาหลายที หนังสือเก่าๆ จะเรียกว่า เลนินกราด (กราด แปลว่าเมือง) เลนินก็คือคนรัสเซียที่มีอิธิพลในยคุสหภาพโซเวียต
ตะลอนไปเรื่อยเลยครับ เขามี Landmark กระจายๆ ทั่วเมือง ชมเสาหินอเลกซานเดอร์ ตั้งอยู่กลางจตุรัส ชมอนุเสาวรีย์พระเจ้าปีเตอร์มหาราช สุดยอดกษัตริย์ของชาวรัสเซีย
ไอ้เรื่อง Landmark นี้สำคัญนะครับ มันทำให้บ้านเมืองสวยงาม กรุงเทพฯเรามี Landmark ไม่เท่าไหร่เลย แถมยังไม่เด่น ไม่สวยอีกด้วย คือมีก็ตั้งไว้งั้นๆ ไม่ได้ชื่นชมกันอย่างจริงจัง
ยกตัวอย่างเช่น อณุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ มีไว้เชิดชูเกียรติทหาร แล้วไงต่อ ไหนที่มาที่ไป ไหนประวัติ มีไว้ให้รถอ้อมเล่น ไอ้ฉิบหาย
อณุเสาวรีย์ประชาธิปไตยก็อีกอัน แต่อันนี้ดูดีหน่อย เพราะได้บารมีของถนนราชดำเนินมาเสริม ถนนสวย ก็ทำให้ Land Mark เด่นไปด้วย
ที่สวยสุดในกรุงเทพฯ ผมว่าคงเป็นพระบรมรูปทรงม้าครับ สวยเพราะมันโล่ง คนเดินได้ สัมผัสได้ อันนี้มันมีไว้ให้รถอ้อมเล่นจริงๆ แต่น่าเสียดาย ดันกลายเป็นที่ประท้วงของตระกูลชินวัตรและลูกสมุนไปเสียนี่ มันเป็นที่ประกอบพระราชพิธีของกษัตริย์มาตั้งแต่สมัยโบราณแท้ๆ แม้กระทั่งปัจจุบันก็ยังคงใช้อยู่เลย
Landmark ของไทยอีกอันที่สวย แต่น่าเสียดายสุดๆ ก็คื่อภูเขาทองครับ คนแทบไม่รู้จักกันแล้ว ลองถามคนรอบตัวคุณดูสิครับว่าเคยขึ้นภูเขาทองไหม คำตอบแทบจะเป็นศูนย์
เมือง Saint Petersburg ประกอบด้วยเกาะมากมายเป็นร้อยเป็นพันเกาะ จึงมีสะพานเชื่อมแต่ละเกาะมากตามไปด้วย จำกันไม่ไหวเลยล่ะครับ สะพานเพียบ หน้าตาก็เหมือนๆ กันอีก มีสะพานหนึ่งกว้างที่สุดในโลก ใช้เป็นฉากภาพยนต์เรื่อง James Bond 007 ผมจำภาคไม่ได้ แต่สวยเอาเรื่องเลยล่ะ
อีกสักพักเดียวก็เจอเรือลาดตระเวณชื่อ Aurora จอดอยู่ริมน้ำ เป็นเรือที่ปลดประจำการแล้ว เป็นอนุสรณ์แห่งการปฎิวัติการเปลี่ยนแปลงการปกครองครั้งสำคัญของรัสเซีย เรือลำนี้เคยใช้เป็นเรือพระที่นั่งของผู้แทนพระเจ้าซาร์ที่ส่งมาร่วมงานพระราชพิธีราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นเป็นกษัตริย์ในรัชการที่ 6
เรือจอดลอยลำในน้ำที่เป็นน้ำแข็ง บนฝั่งก็มีร้านขายของที่ระลึกแก่นักท่องเที่ยว ผมไม่ค่อยสนใจของเหล่านี้ ไม่ชอบตั้งโชว์ ผมชอบพวกของใช้จริงๆ แต่วันนี้มาติดใจหมวกทหารนักบินใบหนึ่ง ไม่คิดว่าจะเป็นหมวกของเก่าโบราณ มีแว่นตานักบิน หมวกมีหูฟังติดไว้ครบครัน พร้อมสายไฟเสียแจ๊คใช้งานได้จริงอีกด้วย
“เท่าไหร่ครับ”
“3000 รูเบิ้ล”
“ของดั้งเดิมในปี 1975 สภาพดี อุปกรณ์พร้อม” เจ้าของคนขายอธิบายต่อ
ผมชอบพวกของทหารครับ มาเจอชิ้นนี้แบบไม่ทั้นตั้งตัว หากรู้ว่ามีของพวกนี้ ผมจะเดินหาร้านขายของแบบนี้โดยเฉพาะเลยน่าจะได้ของที่ดีกว่านี้เยอะ
ใกล้ๆ กันเป็นป้อมปีเตอร์แอนด์พอล ในสมัยก่อนใช้เป็นที่คุมขังนักโทษการเมือง เป็นป้อมปราสาทที่สร้างขึ้นพร้อมๆ กับนคร Saint Petersburg โดยพระบัญชาของกษัตริย์พระเจ้าปีเตอร์มหาราช แต่ปัจจุบันใช้เป็นสุสาน เป็นที่เก็บพระศพของราชวงศ์โรมานอฟทุกพระองค์

กลางวันกินอาหารพื้นเมืองดูครับ เขาสั่งกันเป็นคอร์ส ก็ว่ากันไปครับ จะให้กินอะไรก็จัดมาแล้วกัน เดี๋ยวก็รู้
จานแรกมาเป็นสลัดครับ ผักล้วนๆ เลย ไม่มีเนื้อสัตว์ใดๆ เลย เย็นเจี๊ยบอีกด้วย กินคำแรกแล้วแทบหยุด ฝืนๆ กินไปเรื่อยๆ ก็พอกินได้ เขารอจนเรากินจานแรกหมดแล้วถึงจะเสิร์ฟจานต่อไป
   จานที่สองคือซุป เป็นซุปมะเขือเทศครับ มีหอมใหญ่สับ มันฝรั่ง ก็พอกินได้ ต้องกินให้หมด เขาถึงจะเก็บจานเช่นเคย
   จานที่สามเรียก Main Course มาเป็นแบบไก่อบ เสิร์ฟพร้อมกับข้าวผัดเนยสีเหลืองอ๋อยเลย ข้าวจืดๆ นะ ไม่มีรสชาติ ไก่ก็งั้นๆ เอ๊ะ หรือว่าเราอิ่มสลัด อิ่มซุปเสียแล้ววะนี่ ฮ่าๆ จานนี้กินไม่หมดครับ ให้เขาเก็บไป แล้วรอของหวาน
   จานสุดท้ายมาเป็นไอศครีม ให้มา 3 ลูกเล็กๆ มีมิ้นต์ เชอร์เบท และวนิลา ไอ้ลูกหลังนี้รสชาติเหมือนไอติมรถเข็นโนเนมที่ใส่ขนมปังในบ้านเรามากๆ เลย จานนี้ซัดหมดครับ เกลี้ยงเชียว

   บ่ายชมวังอีกแห่ง ชื่อพระราชวังยูซูปอฟ เป็นวังของเจ้าชายฟิลิกซ์ ยูซูปอฟ ราชนิกูลผู้วางแผนสังหารนักบุญคนบาปที่ชื่อ รัสบูติน
   ในวังงดงามมาก ประดับด้วยเฟอร์นิเจอร์หรูหรานานาชนิด มีโรงละครประจำพระราชวังตกแต่งด้วยกำมะหยี่สีแดงสด ยังคงรักษาสภาพเดิมเอาไว้ได้อย่างดีเยี่ยม แม้จะเป็นโรงละครเล็กๆ แต่ออกแบบได้ดีมาก ที่เวทีด้านหน้าเจาะช่องลึกลงไปด้านล่าง 1 ระดับ เอาไว้ให้นักดนตรีนั่ง ด้านหลังเวทีมีหลายฉากให้เลือกใช้ ที่นั่งคนดูแบ่งเป็นหลายชั้น
   มีห้องหนึ่งที่น่ากลัวมาก เป็นห้องที่รัสปูตินโดนสังหาร สถานที่จริงเลยล่ะครับ ไม่ได้ของจำลอง เดินตามเส้นทางที่เขาใช้ก่อนโดนฆ่า
   รัสปูติน ชื่อเต็มว่า เกร็กกอรี่ เยฟิโมวิช รัสปูติน เกิด 10 มค คศ 1869 ที่หมู่บ้านโปครอฟสกี้ อำเภอยูแมน จังหวัดโตบอลส์ก เมืองไซบีเรีย เขาเป็นเด็กในครอบครัวเกษตรกร วัยเด็กรัสปูตินมีความสามารถพิเศษในการทำนายอนาคตได้อย่างแม่นยำ ในปี 1904 องค์ชายอเล็กไซ โอรสองค์โตในพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซียทรงประสูติ แต่พระองค์มีอาหารประชวรเป็นโรค ฮีโมฟีเลีย หรือ โรคพระโลหิตไหลออกง่ายและหยุดยาก เนื่องจากพระองค์มีพระโลหิตผิดปกติ ในสมัยนั้นโรคนี้สามารถคร่าชีวิตคนได้เลย พระเจ้าซาร์หาหมอฝีมือดีมาหลายคนก็ไม่สามารถรักษาพระอาการได้
ปีถัดมา 1905 รัสปูติน เดินทางเข้ามาในพระราชวังและสามารถรักษาพรอาการป่วยขององค์ชายอเล็กไซได้ จักรพรรดินีอเล็กซานดรา เฟโอโดรอฟนา แห่งรัสเซีย (เจ้าหญิงอเล็กซิสแห่งเฮสส์ และไรน์) พระมารดาขององค์ชายอเลกไซ และพระมเหสีในพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ขอให้รัสปูตินเข้ามาอยู่ในวังเพื่อดูแลองค์ชายอเลกไซต่อ จึงทำให้ชีวิตของรัสปูตินเริ่มมีบทบาทและมีอำนาจขึ้นมา
จนปี คศ 1916 เจ้าชายเฟลิกซ์ ยูซูปอฟ เห็นว่าหากรัสปูตินยังคงอยู่ ในอนาคตอาจเป็นภัยต่อชาติ จึงร่วมมือกับแกรนด์ดยุคดิมิทรี พัฟโลวิช ลอบสังหารรัสปูติน ออกอุบายเชิญรัสปูตินไปงานเลี้ยงในวัง และจะวางยาพิษไซยาไนซ์ในเครื่องดื่มและเค้กที่จะให้รัสปูตินกิน
แต่รัสปูตินกินเค้กจนหมดก็ดูปกติดี ไม่ได้เหมือนถูกวางยาพิษแต่อย่างใด เจ้าชายฟิลิกซ์จึงยิงรัสปูตินไป 4 นัด รัสปูตินล้มลงแต่ยังไม่ตาย เจ้าชายเฟลิกซ์ก้มลงมาดูใกล้ๆ รัสปูตินบีบคอเจ้าชายเฟลิกซ์และพูดว่า “ไอ้สารเลว” กอดปล้ำต่อสู้กันจนออกมานอกวัง กลุ่มข้าราชบริพารที่เตรียมไว้ก็ระดมยิงใส่รัสปูติน แต่ก็ยังไม่เสียชีวิต สุดท้ายจึงพากันจับมัดถ่วงน้ำจนรัสปูตินเสียชีวิตในวันที่ 16 ธันวาคม คศ 1916 รวมอายุของรัสปูตินคือ 47 ปี
แต่เหตุการณ์หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่แพทย์ชันสูตรพลิกศพรัสปูตินพบเพียงว่า รัสปูตินเสียชีวิตเนื่องจากขาดอากาศหายใจเท่านั้น มิได้ถูกวางยาพิษ มิได้ตายเพราะกระสุนปืน
ห้องสังหารนี้เป็นห้องลับ ต้องผ่านทางลัดแคบๆ เล็กๆ มีประตูกล ดูแล้วสุดยอดมากๆ ครับที่คนสมัยโบราณออกแบบได้ดีขนาดนี้ น่ากลัวปนกับน่าสนใจ
ในวังนี้มีห้องหนึ่งน่าสนใจมาก มีโต๊ะบิลเลียดตั้งอยู่ (แสดงว่าเป็นกีฬาเก่าแก่มานานมาก) ที่ผนังกำแพงด้านหัวโต๊ะทำเป็นที่นั่ง แต่พนังทำโค้งเว้าลักษณะเหมือนโดม มีประโยชน์พิเศษคือมันสามารถสะท้อนเสียงได้ดี นั่นคือพระองค์จะได้ยินเวลาที่ใครแอบกระซิบกันในห้องนี้นั่นเอง
อีกห้องที่ผมชอบ และตรงใจมากคือห้องหนังสือที่มีชั้นลอย แต่มองหาบันไดขึ้นไม่เจอ จนเจ้าหน้าที่ต้องเฉลยที่ซ่อนของบันไดถึงได้ร้องอ๋อ สุดยอดในดีไซน์อีกแล้วครับ เป็นบันไดไม้ธรรมดาๆ นี่แหละ แต่สามารถดึงเข้าออกได้ และเก็บได้แนบกับกำแพง แถมมีประตูปิดทับ เห็นทีแรกผมคิดว่าเป็นประตูตู้เก็บของ
ตกเย็นแต่ยังไม่มืด ผ่านโบสถ์ขนาดใหญ่เลยแวะเข้าไปดู ตอนแรกไม่กล้าเข้า เพราะเงียบมากๆ เป็นประตูไม้ 2 ชั้น ด้านในมีบาทหลวงกำลังทำพิธี ผมยืนดูสักพักก็เลยซื้อเทียนจุดทำบุญไป 10 Ruble ของเขาใช้พิธีถวายเทียนแทนครับ ก็ทำไปตามน้ำ แต่ยกมือไหว้อธิษฐานแบบไทย ขอให้เหตุการณ์ในเมืองไทยคลี่คลายโดยเร็ว
รัสเซียยุคเปิดประเทศแล้วเริ่มพัฒนาเยอะครับ มีร้านอาหารต่างชาติมากมาย แต่ผมมองไม่เห็นร้านไทยนะ ถ้าเจอก็อยากจะลองสักหน่อย คืนนี้ขอเป็นอาหารจีนแทน แต่มันไม่ได้จีนแบบฮ่องกงหรอก แค่พอมีเชื้อจีนบ้าง เน้นพวกของง่ายๆ อย่างผัดเปรี้ยวหวาน ไข่เจียว ปลานึ่ง ผัดผัก ฯลฯ จะว่าไปก็อาหารพื้นๆ เรานี่แหละ
แต่ดีกว่าอาหารคอร์สของรัสเซียเยอะเลย
i drive / i race / i test / I drift
I row / I run / I fun / I ride

Offline O'Pern

  • fear is a mind killer
  • Administrator
  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 7411
  • don't let your fear stand in the way of your dream
    • racing club
Re: มีค 53 / 26 - 1 Moscow & Saint Petersburg - Russia
« Reply #24 on: April 04, 2010, 09:19:14 pm »
30 มีค 53 Saint Petersburg
ลงมาทานอาหารเช้าของโรงแรม ไม่ต้องแสดงบัตรอะไร แค่บอกเบอร์ห้อง คงไม่ค่อยมีใครมามั่วดริ๊งค์มั้ง หนาวออกขนาดนี้
   เห็นมีหนังสือพิมพ์วางไว้ เลยหยิบมาดู โอโห ตกใจมาก มีข่าววางระเบิดในสถานีรถไฟใต้ดินกลางมอสโคว์ในชั่วโมงเร่งด่วนตอนเช้า 2 ลูกติดๆ กัน ตายไปทันที 38 เจ็บหนัก 102 ที่น่าตกใจกว่าก็คือมันเฉียดสถานี่ที่ผมไปมาเมื่อวานไปแค่ 2 ป้าย เล่าแล้วยังเสียวสันหลังครับ ผมเพิ่งจะเดินผ่านมันไปเอง
   เป็นระเบิดพลีชีพโดยหญิง 2 คน ผูกระเบิดไว้กับตัวเอง เป็นผู้ก่อการร้ายค่ายใดก็ไม่รู้ หลังๆ มีคนออกมายอมรับว่าตัวเองทำ แต่ไม่รู้เชื่อได้ไหม
   ตลอดวันมีแต่ข่าวการวางระเบิดที่มอสโคว์ครับ ไม่ว่าจะทางทีวีช่องใดๆ ก็ตาม หนังสือพิมพ์ข้างถนนก็ลงแต่ข่าวนี้ เห็นแล้วน่ากลัวครับ เฉียดตัวเองไปแค่วันเดียวเอง
   
   วันนี้ขอไปชมความยิ่งใหญ่สุดยอดของพระราชวังฤดูหนาว ชื่อสากลคือ The Hermitage ที่ภายในมีห้องมากกว่า 1000 ห้อง สถานที่แห่งนี้เคยใช้เป็นที่รับรองการเสด็จเยือนของ ร5 ในการเจริญสัมพันธไมตรีไทยรัสเซียเมื่อครั้งโบราณ และเมื่อราวปี 90 กว่าๆ ครั้งที่สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถเสร็จเยือนรัสเซียอีกครั้ง ทางรัสเซียจัดห้องให้เหมือนเดิมสมัย ร5 ท่านเสด็จเยือนมาเป๊ะ ชนิดที่ว่าถ่ายรูปออกมาดูแล้วแทบไม่แตกต่าง และที่เด็ดสุดยอดก็คือเมนูอาหารค่ำคืนนั้น เป็นเมนูเดียวกันกับคืนที่เสด็จพ่อ ร5 ท่านทรงเสวยอีกด้วย !!! สุดยอดไหมเล่า
   พระราชวังแห่งนี้เป็นที่เก็บของสำคัญ งานศิลปล้ำค่าจากทุกมุมโลก เช่น งานของ ลีโอนาโด ดาวินชี ปีกัสโซ แรมบรันด์ แวนโก ฯลฯ ยังไม่นับของบรรณาการสมัยโบราณอีกมาก

   ตอนบ่ายแวะดูห้างท้องถิ่นในเมืองเล่น ทางเข้าทางออกวนวนครับ ตึกหน้าตาโบราณ แต่ภายในเป็นของใหม่เอี่ยมกันหมด เดินเล่นดูสนุกดี ติดใจชอบหีบเพลงปากอันหนึ่ง แต่ราคาราว 5000 Ruble แน่ะ กลัวโดนฟัน เลยพักไว้ก่อน
   ลงมาด้านล่าง เห็นมีทางเข้ารถไฟใต้ดินด้วย เลยตามผู้คนเขาไป ไม่ได้จะไปไหนหรอก ผมแค่อยากลงไปชมความสวยงามด้านล่าง เข้าไปได้แป๊บเดียวเท่านั้นแหละ มีเจ้าหน้าที่หญิงตัวโตตะโกนโหวกเหวก ผู้คนที่เดินหน้าอยู่ก็พากันหันหลังกลับ มีบางคนเดินต่อบ้าง เอาล่ะสิวะ ผมทำไงดี เกิดอะไรขึ้นกันหว่า ทำตัวไม่ถูกครับ งง เลยตัดสินใจวิ่งกลับออกมาทางเดิม วิ่งคนสุดท้ายเลยล่ะครับ เจ้าหน้าที่มองหน้าผมให้เร่งฝีเท้า พอพ้นประตู เขาก็ปิดล็อคทันที
   คนภายนอกต่างงงเช่นกัน แต่ผมงงกว่าเพื่อน เพราะฟังไม่ออก เลยสอบถามคนที่อยู่รอบข้าง ถามคนแรกเขาตอบไม่ได้ ทำนองว่าพูดอังกฤษไม่เป็น จนมีชายร่างใหญ่อีกคนเข้ามาช่วย

   What happen sir
   It’s close
   Why
   There are a bomb inside
   Bomb?
   Yes, bomb
   Really
   Real bomb
   How can I go back
   Taxi

   บทสนทนาภาษาอังกฤษสั้นๆ ครับ ตอนแรกผมแปลเป็นไทยให้ แต่มันดูไม่ค่อยขำเท่าไหร่ ภาษาอังกฤษขำกว่า แต่ตอนนั้นผมขำไม่ออกสักนิด เพราะทางเดินลอดใต้ดินก็ปิดไปหมด มีข่าวผู้ก่อการร้ายขู่วางระเบิดที่ Saint Petersburg นี้ มันลามมาจากมอสโคว์
   ทำเอาเดินเล่นไม่เป็นสุขเลยล่ะครับ ผู้คนแตกตื่นกันมากมาย รถตำรวจ รถพยาบาล แห่กันมาเต็มถนน ผมเดินสวนกับทหารที่จูงอัลเซเชี่ยนตัวใหญ่อีกด้วย

อาหารเย็นคืนนี้ขอหรูหน่อยครับ กินกันในพระราชวังนิโคลัส พาเลซ เป็นงานเลี้ยงแบบกาลาดินเนอร์ เจ้าหน้าที่แต่งชุดพิธีการตามโบราณ เชิญผมขึ้นบันไดไปยังท้องพระโรง มีคนเล่นเปียโนรออยู่ด้านใน กินกันบนโต๊ะกลมที่มีช้อน ส้อม มีด และแก้ว อย่างละ 3 ใบ เหมือนในหนังเลยล่ะ เสิร์ฟอาหารตามคอร์สอีกแล้ว เริ่มจากผักสลัดเช่นเคย พอผักหมดก็เป็นแพนเค้กและคาเวีย ผมเคยกินแล้วครับ ไม่ชอบเลย ไม่ชอบอย่างมาก คาวฉิบเป๋ง กินครั้งแรกตอนขึ้น North Cape ที่ประเทศนอร์เวย์ตอนไปชมพระอาทิตย์เที่ยงคืน คิดแล้วยังแหวะไม่หาย
มาวันนี้เจออีกแล้ว เป็นคาเวียเกรดต่ำกว่าอีกด้วย เพราะเป็นไข่สีส้ม ของดีๆ แพงๆ จะเป็นสีดำ เป็นไข่ปลาสเตอเจียน คนที่เรียกไข่ปลาคาเวียน่ะ เรียกผิดนะ เพราะคำว่าคาเวียน่ะ มันแปลว่าไข่ปลา ฉะนั้น คำว่า ไข่ปลาคาเวีย ก็คือ ไข่ปลาไข่ปลา ภาษาอะไรของมันวะ
เหมือนเรียกแก๊ส NGV น่ะ มันผิด เพราะ NGV ก็คือ Natural Gas Vehical มันไม่ใช่ชื่อของแก๊ส แต่มันเป็นชื่อเรียกรถยนต์ใช้แก๊สธรรมชาติอัดต่างหาก
คาเวียวันนี้เขาเสิร์ฟพร้อมกับแป้งเครปบางๆ ครับ วิธีกินก็คือคลี่แป้งเครปออก ทาเนยบางๆ แล้วเอาคาเวียใส่เข้าไป จากนั้นก็กินได้เลย ผมใช้วิธีม้วนกลมๆ แล้วกัด คำแรกคำเดียว เลิกเลยครับ คาวฉิบเป๋ง จิบแชมเปญล้างคาวไปนิดหนึ่ง
สักพักเสิร์ฟเมนคอร์สครับ เป็นสเตคหมูกับสลัดมันฝรั่ง รสชาติไม่ค่อยถูกปากครับ กินไม่หมด
หลังจากนี้ก็เดินไปชมการแสดงพื้นบ้านของรัสเซียที่จัดอยู่ในห้องถัดไป เป็นห้องแสดงละครโดยเฉพาะ ก็ดูสนุกดีครับ เป็นละครร้อง ประกอบดนตรีพื้นบ้าน แต่ดูนานๆ จะง่วงหน่อย
วันนี้กลับเข้าโรงแรมดึกที่สุดเลย ราวห้าทุ่มกว่าเห็นจะได้ เริ่มทะยอยเก็บข้าวของลงกระเป๋าครับ พรุ่งนี้กลับไทยแล้ว ผมไม่ใช่พวกขาช็อป แพ็คของสบายมาก ขามาแค่ไหน ขากลับก็เยอะขึ้นอีกแค่หน่อยเดียว
i drive / i race / i test / I drift
I row / I run / I fun / I ride

Offline O'Pern

  • fear is a mind killer
  • Administrator
  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 7411
  • don't let your fear stand in the way of your dream
    • racing club
Re: มีค 53 / 26 - 1 Moscow & Saint Petersburg - Russia
« Reply #25 on: April 04, 2010, 09:23:24 pm »
31 มีค 53 Saint Petersburg
   อาหารเช้าที่โรงแรมเหมือนเดิม แต่นี่วันสุดท้ายแล้วสินะ ตามองไปรอบๆ ตัว ซึมซับบรรยากาศไปเรื่อย ผมชอบเก้าอี้ตัวที่อยู่หน้าเตาผิง ดูบรรยากาศอบอุ่นดี
   เดินเล่นในเมืองเป็นครั้งสุดท้าย ไปที่มหาวิหารคาซานที่ขับรถผ่านไปมาหลายครั้ง เพราะตั้งอยู่บนถนนสายหลักของเมือง Saint Petersburg บนถนน เนฟสกี้
   มหาวิหารคาซานทำการสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าปีเตอร์มหาราช ตรงกับช่วงปี คส 1708 ซึ่งแต่เดิมจัดได้ว่าเป็นเพียงแค่โบสถ์เล็กๆ เท่านั้น โดยภายในมีแค่รูปไอคอนและพระแม่มาเรีย (Our Lady of Kazan) ที่วาดขึ้นในศตวรรษที่ 16 ตรงกับสมัยของพระเจ้าอีวานที่ 4 ในช่วงที่กรุงมอสโคว์ก่อตั้งเป็นเมืองหลวง
   โดยพระเจ้าปีเตอร์มหาราชมีพระราชดำรัสให้นำรูปไอคอนและพระแม่มาเรียมาไว้ที่นี่ ต่อมาในสมัยการปกครองของพระเจ้าปอลด์ที่ 1 ในปี คศ 1800 โปรดให้มีการสร้างวิหารใหม่ที่ใหญ่ขึ้น และสวยงามกว่าเดิม อันเนื่องมาจากที่ว่าหลังจากที่พระองค์เสด็จประพาส ณ กรุงโรม อิตาลีแล้วพระองค์เกิดความประทับใจในรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบอิตาลี จึงนำรูปแบบดังกล่าวมาผสมผสานในการก่อสร้างมหาวิหารหลังใหม่แห่งนี้ สร้างเสร็จสมบูรณ์เมื่อปี คศ 1811 ออกแบบโดยสถาปนิก Charles Camelon, Thomas de Thomon, Pietro Gonzago ออกแบบมาในรูปทรงของ Neo Classic เป็นลักษณะรูปทรงครึ่งวงกลม มีเสาหินวางเรียงแถวยาวอย่างเป็นระเบียบ
   หลังจาก 10 ปีแห่งการก่อสร้าง มหาวิหารคาซานกลายเป็นสถานที่ๆ ผู้คนมักจะมาสักการะบูชา เนื่องจากทำเลที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ทำให้ประชาชน และนักท่องเที่ยวเดินทางไปมาได้ง่าย และด้วยความสวยงามที่มักเป็นที่สะดุดตาของผู้พบเห็น
   แต่ในปี คศ 1812 เกิดสงครามระหว่างรัสเซียและฝรั่งเศษขึ้น จึงนำรูปปั่นของผู้บังคับบัญชาการสูงสุดของกองทัพเรือคือ Mikhail Kutuzov และ Barclay de Tolly มาจัดแสดงไว้เป็นอนุสรณ์ไว้ ณ ที่มหาวิหารคาซานแห่งนี้อีกด้วย
   ปัจจุบันมหาวิหารแห่งนี้จัดได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากของเมือง Saint Petersburg อย่างมาก โดยด้านหน้าของมหาวิหารจะมีสวนสาธารณะไว้สำหรับเป็นที่พักผ่อนของชาวรัสเซีย ซึ่งที่นี่ยังเป็นที่นัดพบของวัยรุ่นชาวรัสเซียอีกด้วย และหากเป็นฤดูร้อนที่มีแสงแดดแรงจัด ก็จะมี่คนรัสเซียพากันออกมาอาบแดด นั่งอ่านหนังสือ และยืนพูดคุย พบปะกันเป็นจำนวนมากเลยทีเดียว

   ผมออกเดินทางกลับเข้าสู่มอสโคว์ช่วงสายๆ และรอต่อเครื่องอีกทอดเพื่อกลับกรุงเทพฯ เป็นการบินรวดเดียวไม่มีหยุดพัก
   นึกแล้วใจหายเหมือนกันนะครับนี่ ที่โลกแห่งความฝันของผมกำลังจะมืดดับลงไปในอีกไม่ช้า
   1230 ผมเดินทางออกจากเมือง Saint Petersburg ไปมอสโคว์ 
   0630 pm ผมเดินทางออกจากประเทศรัสเซีย สุดยอดประเทศที่เคยเจริญสุงสุดในโลกของอดีตที่ผ่านมา
   โชคดี คงได้พบกันอีกครั้ง
i drive / i race / i test / I drift
I row / I run / I fun / I ride