Author Topic: Introduction  (Read 8437 times)

Offline O'Pern

  • fear is a mind killer
  • Administrator
  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 7411
  • don't let your fear stand in the way of your dream
    • racing club
Introduction
« on: August 08, 2009, 07:02:30 pm »
1 Introduction

   วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผมออกปั่นจักรยานแต่เช้ามืด หนทางมืดสนิท มีเพียงแสงไฟจากดวงจันทร์และไฟหน้ารถของผมเท่านั้นที่ช่วยส่องทาง ปั่นตอนมืดอันตรายครับ ต้องอาศัยการคุ้นเส้นทางด้วย เพราะจะได้รู้ว่าช่วงใดของถนนมีหลุมบ่อหรือไม่ แต่ก็อีกนั่นแหละ บนถนนมักจะมีเรื่องที่เราไม่คาดฝันเสมอ อย่างไรแล้วก็ต้องระวังตัวกันตลอดเวลา
   ในวันธรรมดาของทุกๆ วัน ผมมักจะพบกับคุณลุงท่านหนึ่งตอนใกล้ฟ้าสว่าง ไม่รู้ว่าบ้านลุงอยู่ไหน ถึงได้มาเจอกันในสวนเปลี่ยวๆ เช่นนี้ โดยมากจะพบลุงกำลังปั่นจักรยาน มีบ้างบางวันที่ลุงใช้วิ่งแทน เห็นแล้วนึกถึงพ่อผมจริงๆ พ่อผมก็ชอบวิ่งออกกำลังกายครับ
   อ้อ นอกจากคุณลุงแล้วผมยังพบนักปั่นจักรยานอีกท่านหนึ่ง เขาปั่นเร็วมากครับ หากเจอแบบสวนกันก็ได้แต่ส่งยิ้มให้ แต่เขามักจะก้มหน้าก้มตาปั่นอย่างเดียว พยักหน้าให้บ้าง บางครั้งก็เจอแบบกำลังปั่นไปทิศทางเดียวกัน เขาก็จะปั่นแซงผมขึ้นไปอย่างรวดเร็ว มีบ้างที่แซงแล้วค่อยโบกมือให้ ผมทำได้แต่ยิ้มในใจ เคยปั่นตามก็เกาะไม่ค่อยจะติด แรงขาสู้เขาไม่ได้จริงๆ
   วันธรรมดาปกติก็มักจะเจอคนมาออกกำลังกายไม่เยอะนักครับ แต่ถ้าเป็นเช้าวันเสาร์ อาทิตย์ หรือวันหยุดนี่สิ จะมีเป็นกลุ่มๆ เลย ตัวผมเองมีเวลาว่างไม่ค่อยจะตรงกับคนอื่นเขา ไม่ค่อยได้ออกไปกับกลุ่มบ่อยนัก นานๆ จะออกทริปใหญ่ๆ สักที จึงได้แต่ปั่นเองคนเดียวประจำอยู่อย่างนี้แหละ
   “สวัสดีครับลุง รถเป็นอะไรหรือครับ” ผมเห็นลุงจอดรถนอนตะแคงข้างทางเลยแวะถาม นี่เป็นครั้งแรกที่ได้พูดคุยกับลุงอย่างเป็นทางการ ทุกทีได้แต่ส่งยิ้ม อย่างเก่งก็พูดทักทายแค่ว่าสวัสดีครับ
   “สงสัยจะยางแตก” ลุงพูดแบบยิ้มๆ ก็จริงล่ะนะ เพราะเรื่องยางแตกกับการปั่นจักรยานนี้มันแยกกันไม่ออกจริงๆ จะว่าไปมันก็ไม่เห็นจะเป็นเรื่องแปลกอะไรสักนิด
   “ลุงมีสูบลมไหมครับ สูบเข้าไปดูก่อน เผื่อปั่นกลับบ้านได้”
   “ลุงไม่ได้เอาอะไรมาสักอย่าง มีเงินติดมาแค่ 200 บาทนี่แหละ ว่าจะหาเรียกรถกลับบ้าน แต่รออยู่นานไม่เห็นมีผ่านมาสักคัน”
   “ผมมีชุดปะครับ ให้ผมช่วยดีกว่าครับ” พูดจบก็จอดรถตัวเองพิ่งเข้ากับกอหญ้าข้างทาง หยิบชุดปะยางออกมา เพิ่งรู้ว่าเห็นลุงแต่งตัวชาวบ้านธรรมดาๆ แต่รถลุงใช้ยางขอบพับแบบเคฟล่าเสียด้วย ทำให้ผมถอดยางนอกออกได้ด้วยมือเปล่า ไม่ต้องใช้ตัวงัดยางเลย
   ทดลองสูบลมเข้าไปเพื่อหารูรั่ว สูบไปแป๊บเดียวก็พบครับ แต่มันมองไม่เห็นรู ท้องฟ้ายังไม่ทันจะสว่างดี เลยหยิบเอายางในมาแนบแก้ม ให้ลมมันพุ่งออกมา เอาแก้มเรานี่แหละสัมผัส จะได้รู้ตำแหน่งรูรั่ว แต่ทำแล้วยังไม่ชัด เลยเลื่อนยางในมาไว้แนบที่ลำคอแทน รู้สึกจะจับตำแหน่งได้ดีกว่า ใช้นิ้วกดจุดนั้นไว้ อีกมือควานหาเศษหญ้าแห้ง เอามาหักแล้วเสียบในรูที่ยางในแตก นี่เป็นการปะยางในที่มืดครั้งแรกของผม แต่พอปะเสร็จก็นึกขึ้นมาได้ว่า เอ.. เราก็มีไฟหน้ารถนี่หว่า
   ลุงขอบคุณผมเป็นการใหญ่ จะหยิบเงินให้เป็นค่าแรง ผมปฏิเสธไป ลุงคะยั้นคะยอ บอกว่าเกรงใจ ผมเลยบอกว่าเราเป็นเพื่อนกัน ลุงยิ้มปากกว้าง ผมเองก็ยิ้มไปด้วย รู้สึกดีใจที่ได้ทำความดี
   ผมหยิบรถขึ้นออกปั่นอย่างอิ่มเอิบใจ การได้ทำความดีแม้เพียงจะน้อยนิด มันทำให้เรามีความสุขถึงเพียงนี้เชียวหรือนี่
   เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อหลายปีมาแล้ว แต่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมอยากทำความดี ช่วยเหลือผู้อื่นทุกๆ ครั้งทีมีโอกาสไม่ว่าจะขณะขับรถยนต์ ปั่นจักรยาน หรือกระทั่งเดินเท้า 
i drive / i race / i test / I drift
I row / I run / I fun / I ride

Offline O'Pern

  • fear is a mind killer
  • Administrator
  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 7411
  • don't let your fear stand in the way of your dream
    • racing club
Re: Introduction
« Reply #1 on: September 21, 2009, 06:32:14 pm »
Chapter 1

   “พ่อ รถเป็นอะไรหรือ ทำไมไม่ขี่กลับล่ะคะ” ลูกสาวสอบถามขณะขับรถอยู่ในซอยแล้วเห็นพ่อกำลังจูงจักรยานเดินสวนทางมา
   “รถพ่อยางแตก แล้วเกิดเสียหลักล้มในสวน” แม้ไม่มีแผลเลือดออก แต่สีหน้าไม่สู้ดีนัก เดินกระเผลกๆ ใช้รถยันพยุงตัวเดินไปเรื่อยๆ
   “ไปเรียนเถอะลูก เดี๋ยวจะสาย พ่อไม่เป็นไรมากหรอก”
   “ค่ะพ่อ”
   กลับถึงบ้านพ่อเอารถพิงเข้ากำแพงไม่ได้ตรวจดูความเสียหายของรถ รีบเข้าบ้านปฐมพยาบาลตัวเอง หากได้รับบาดเจ็บให้รีบประคบด้วยน้ำแข็งโดยเร็ว โดยเฉพาะภายใน 24 ชั่วโมงแรก หลังจากนั้นค่อยประคบด้วยน้ำอุ่น จำง่ายๆ ว่าเย็นก่อนร้อนทีหลัง
   พ่อสีหน้าไม่สู้ดี แม้ไม่ได้บาดเจ็บอะไรมากนัก แต่ใจเป็นกังวล เพราะสุดสัปดาห์นี้จะต้องไปแข่งงานที่จังหวัดกาญแอทเวนเจอร์ที่กาญจนบุรี พบว่าตัวเองมีบาดเจ็บที่ข้อเท้าพลิก เดินแทบไม่ได้ เย็นนี้คงจะต้องบวมอย่างมากแน่ๆ ทำใจไว้ได้เลย
   เดินกระเผลกๆ ตลอดทั้งวัน นึกได้ว่าตัวเองมีไม้เท้าแบบเทรคกิ้งโพลเลยไปหยิบมาเอาไว้ช่วยค้ำยัน แหม กะซื้อไว้ใช้ตอนเดินทาง แต่ดันมาได้ใช้ตอนอยู่บ้านตัวเองเสียนี่ 
   ทำยังดีกันล่ะวะนี่ สมัครลงแข่งไปแล้วด้วย จองที่พักไว้เบ็ดเสร็จ ดันมาเจ็บตัว
   วันทั้งวันได้แต่นั่งเอาน้ำแข็งประคบ นอนยกขาสูงก็พอจะช่วยได้บ้าง แต่ถ้ายกค้างไว้นาน มันก็เมื่อยเหมือนกัน เล่นเอาขาชาไปเลย เอาเป็นว่าอย่าออกเดินบ่อย พักให้เอ็นและกล้ามเนื้อบริเวณนั้นได้พักการใช้งานสักหน่อยคงจะดีขึ้น
   แม้จะเจ็บขา แต่ก็ไม่อยากให้ลูกสาวรู้ กลัวลูกจะเป็นห่วง จึงเข้านอนแต่หัวค่ำ

   ผมเอาจักรยานออกปั่นแต่เช้ามืดเหมือนเดิม แต่แปลกใจที่วันนี้ไม่เจอใครสักคน ออกจากสวนมาเจอศาลาข้างทาง คนขี่มอเตอร์ไซค์เดินลงมาโบกให้ผมหยุดคุยด้วย
   “หนุ่ม ขอโทษทีที่เรียกให้จอดนะ จำลุงได้ไหม”
   “อ้าว สวัสดีครับลุง จำได้สิครับ เมื่อวานเราเพิ่งพบกัน” ผมตอบพร้อมกับส่งยิ้มให้ลุง
   “เสาร์ อาทิตย์นี้ หนุ่มว่างไหม มีธุระอะไรหรือเปล่า” ลุงถามด้วยภาษาธรรมดา แต่ผมสิสงสัยว่าถามทำไม
   “ก็ว่างครับ ลุงจะให้ผมช่วยซ่อมรถให้หรือ” ผมตอบพร้อมกับถามย้อน
   “เปล่าๆ รถลุงไม่ได้เป็นอะไร แต่ลุงอยากให้ช่วยไปแข่งจักรยานที่เมืองกาญจน์ให้ที ลุงสมัครไปเรียบร้อยแล้วล่ะ แต่เมื่อวานรถยางแตกแล้วล้ม จนข้อเท้าพลิก ลุงปั่นจักรยานไม่ไหว”
   “ได้สิครับลุง น่าสนุกดีออก” ผมตอบรับปาก ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้รายละเอียดอะไรสักนิด
   “ขอบใจนะหนุ่ม วันไหนว่างแวะมาหาลุงที่บ้านหน่อย” ลุงยื่นนามบัตรแผ่นเล็กๆ มาให้ ด้านหลังมีแผนที่
   “ได้ครับผม ผมขอออกปั่นต่อนะครับ”
   เก็บนามบัตรของลุงเข้ากระเป๋า ส่วนขาก็ปั่นต่อไป ใจยังไม่ได้คิดอะไรสักนิดเกี่ยวกับเรื่องงานแข่งที่เมืองกาญจน์
   ตกเย็นผมแวะไปหาลุงที่บ้านตามแผนที่ พบว่าเป็นหมู่บ้านใหญ่ มีแต่พวกบ้านคนรวยๆ เขาอยู่กัน แต่ละบ้านมีรถยนต์คันใหญ่โตจอดเรียงราย มียามคอยยืนเฝ้าเป็นระยะตามรายทาง ผมยังคงปั่นจักรยานเก่าๆ ของผมต่อไป นึกเอะใจเหมือนกันนะว่าที่เข้ามาได้นี่เพราะบอกยามหน้าหมู่บ้านว่าจะมาหาลุงแท้ๆ ลำพังตัวเองชาตินี้ทั้งชาติคงไม่ได้มาเหยียบสถานที่หรูหราแบบนี้แน่
   ผมมาหยุดที่บ้านหลังหนึ่ง คิดว่าคงจะใช่หลังนี้นะ แต่สงสัยทำไมบ้านมันถึงหลังใหญ่โตเสียเหลือเกิน คะเนด้วยสายตามันต้องไม่ต่ำกว่า 4-5 ไร่ ทางเข้าเป็นประตูรั้วสูงโปร่ง มี่ต้นไม้ใหญ่ปลูกอย่างสวยงาม บางมุมจัดแต่งเป็นสวนน้ำ สนามหญ้าสีเขียวเรียบเนียนน่ากางเต้นท์นอนเสียจริงๆ
   เอาวะ ลองดู อย่างมากก็โดนด่า ผมตัดสินใจกดกริ่ง แต่ผมหากริ่งไม่เจอครับ มันกลายเป็นปุ่มกดเรียกแบบอินเทอร์คอมแทน เหมือนโทรศัพท์น่ะครับ ผมต้องไปยืนหน้ากล้องพร้อมกับกดปุ่มเรียก จากนั้นก็รอให้คนในบ้านเขาตอบ
   คนระดับอย่างผมไม่เคยเห็นของพวกนี้มาก่อนเลยครับ ยืนมองอุปกรณ์ด้วยความสงสัย สักพักมีเสียงตอบออกมา
   “สวัสดีครับ ติดต่อเรื่องอะไรครับ”
   เฮ้ย ใครตอบมาวะ “เออ คือ ผมมาหาลุงครับ นี่บ้านลุงหรือเปล่าครับ ลุงคนที่ขี่จักรยานน่ะครับ”
   ผมพูดไปก็ก้มมองกล้องไป ไม่รู้จะมีภาพอะไรในนั้นหรือเปล่า พยายามสอดสายตา
   อ้าว เฮ้ย ทำไมเงียบไป “ลุงครับ ลุง” ผมยังคงเรียกคุย ตาก็มองกล้องไปเรื่อย
   สักพักประตูรั้วเปิดออกเอง เฮ้ยย ผมไปโดนปุ่มอะไรของเขาหรือเปล่าวะนี่ ตกใจสิ ตอนแรกจะขี่จักรยานหนีแล้วด้วย
   “เชิญเข้ามาข้างในได้เลยครับ” มีเสียงตอบมาจากไมโครโฟน เขาเรียกผมหรือเปล่าก็ไม่รู้ว่ะ
   ยืนเก้ๆ กังๆ ไม่กล้าเข้า ผมยังไม่รู้เลยว่านี่ใช่บ้านลุงหรือเปล่า
   คิดยังไม่เบ็ดเสร็จดี ผมก็ต้องรีบคว้าจักรยานปั่นหนี มีหมาตัวโตวิ่งจากบ้านมาทางผมครับ ฉิบหายแล้วครับท่านผู้ชม ตัวโตมากด้วย
   โชคดีที่หมาไม่ได้ตามออกมานอกบ้าน ผมไปหยุดรอที่อีกฟากของริมบึง ฝั่งตรงกันข้ามกับบ้านหลังนั้น
   หมู่บ้านใหญ่โต เขียวขจีร่มรื่น แต่กลับดูเงียบเหงา บรรยากาศดูสวยหรูเหมือนในละครทีวีที่เคยผ่านตา ต้นไม้ใหญ่โตเต็มสองข้างทาง มีบึงน้ำกว้างใหญ่ ผมนั่งเล่นใต้ต้นไม้ จะปั่นกลับทางเดิมก็กลัวหมามันจะไล่กัด จะออกทางอื่นก็ไปไม่เป็น กลัวหลงทาง มันกว้างใหญ่เสียเหลือเกิน ต่างจากบ้านผมที่เป็นแค่ห้องแถวไม้เก่าๆ แถมเช่าเขาอยู่ เอนหลังลงนอนบนสนามหญ้าริมบึง ลมเย็นสบายดีเหลือเกิน
   สักพักเจอลุงปั่นจักรยานมา ลุงถามว่ากดกริ่งแล้วปั่นหนีทำไม ผมบอกหนีหมาครับ ผมกลัวหมา
   ลุงพาผมไปที่บ้าน ก็บ้านหลังเดิมที่ผมเพิ่งปั่นหนีมานั่นแหละครับ หมาตัวโตก็ยังคงอยู่ตรงนั้น มันไม่เห่าแล้วแถมกระดิกหางดุ๊กดิ๊กดูน่ารักดีเหมือนกัน แต่มันคงไม่ได้กระดิกหางให้ผมแน่ๆ เลย
   จากรั้วนอกเดินถึงตัวบ้านนี่ผมว่าเป็นร้อยเมตรเลยล่ะครับ ถนนคดเคี้ยวผ่านเนินพัทกอล์ฟ ผ่านสระว่ายน้ำ ห้องยิมฯ ศาลาริมน้ำ สวนผีเสื้อ ฯลฯ โอโห ไม่มาเห็นกับตา ผมไม่เชื่อว่าจะมี่บ้านแบบนี้ ช่วงใกล้ตัวบ้านมีโรงรถขนาดใหญ่ มีรถสวยหรูคันใหญ่โตจอดอยู่หลายคัน รถสปอร์ทก็มี
   ปั่นเข้ามาแล้วเหมือนอยู่ในสวรรค์วิมานเลยล่ะ มองกันตาค้าง อ้าปากหวอ หากคอหมุนได้รอบตัวก็คงจะหมุนไปหลายรอบแล้ว
   ปั่นตามลุงเข้ามาจนถึงตัวบ้าน ลุงเชิญเข้าไปข้างใน แต่ผมเกรงใจ เนื้อตัวสกปรกขอนั่งข้างนอกดีกว่า เดี๋ยวบ้านเขาจะเลอะเทอะ นั่งมันบนม้านั่งหินในสวนนี่แหละ สักพักมีคนเอาน้ำผลไม้มาให้ ผมรับมาดื่มทันที รสชาติเหมือนผลไม้รวม รสชาติแปลกๆ แต่อร่อยดี เหมือนส้มผสมมะม่วง ไม่กล้ากินหมดรวดเดียว ค่อยๆ จิบทีละนิด จะได้กินของอร่อยนานๆ
   ลุงขอบใจผมเรื่องช่วยปะยางให้อีกครั้งแม้จะผ่านไปหลายวันแล้ว ผมได้แต่ยิ้มปนสงสัยว่าลุงเรียกผมมาบ้านแกทำไม
   “จำเรื่องที่รับปากลุงได้ไหมล่ะ”
   ผมทำหน้าสงสัย คิ้วขมวดโดยไม่รู้ตัว
   “ก็เรื่องงานแข่งจักยานที่เมืองกาญจน์ไง” ลุงช่วยฟื้นความจำให้ผม
   “อ๋อ ครับ จำได้ครับ”
   “ขอบใจนะหนุ่มที่ช่วย ลุงเห็นเธอตอนเช้าๆ มานานหลายเดือนแล้ว ดูท่าทางแข็งแรงดี ชอบจักรยานหรือ”
   “ครับผม ใช่ครับ”
   “ลุงจะให้ช่วยลงแข่งกีฬาแทนลุงหน่อย วันที่ยางแตกน่ะ รถมันล้มจนลุงข้อเท้าพลิก ขาติดกับบันได ดึงออกไม่ทัน”
   “อ๋อ ครับผม ได้ครับ ว่าแต่ ไปแข่งแทนลุงแล้วคนอื่นเขาไม่ว่าอะไรหรือครับ” ผมเริ่มสงสัยว่าทำไมมีการแข่งแทนกันด้วย
   “ถ้าเราไม่ชนะ ไม่ได้เข้าอันดับต้นๆ น่ะ ไม่มีใครเขามาว่าอะไรเราหรอกหนุ่ม” ลุงตอบ นี่ลุงคิดว่าผมชื่อหนุ่มจริงๆ หรือนี่ ผมเริ่มสงสัย
   ผมยิ้มไม่ได้ตอบอะไร หยิบน้ำผลไม้จิบไปคุยไป สักพักมีคนมาเรียกลุงไปทานอาหาร ลุงชวนผมไปกินด้วยกัน ผมไม่กล้าหรอก เลยขอตัวกลับบ้าน ลุงคว้าข้อมือไว้ บอกไม่ต้องเกรงใจเราเป็นเพื่อนกัน พร้อมกับยิ้มปากกว้าง ผมเองก็ยิ้มไปด้วย เดินตามไปอย่างว่าง่าย ไม่รู้ทำไม
   พอถึงโต๊ะอาหารนี่ผมแทบจะเป็นลม อาหารอย่างหรูหราเลยครับ เริ่มตั้งแต่ภาชนะ จาน ชามกระเบื้องเคลือบอย่างดี ช้อน ส้อมสีทอง ยังไม่นับโต๊ะ เก้าอี้ การตกแต่งห้อง มีโคมไฟสีทอง สวยงามเหลือเกิน ผมไม่กล้าลงนั่ง ไม่เคยเจอบรรยากาศแบบนี้ ที่บ้านผมนั่งกินกันที่โต๊ะพับแบบร้านก๋วยเตี๋ยวธรรมดาๆ มีโคมไฟนีออน กินไปก็ต้องปัดแมลงไปด้วย กับข้าวไม่เกิน 2 อย่าง และมักจะเป็นของเหลือจากมื้อก่อนๆ ที่เอามาอุ่นกินใหม่
   “เอ้า นั่งลงตามสบายเลยนะ” ลุงพูดพร้อมกับดึงเลื่อนเก้าอี้มานั่ง
   ผมทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะนั่งลงตรงไหนดี จนลุงต้องดึงเก้าอี้ตัวที่ติดกันมาให้
   “ขอบคุณครับลุง” ผมพูดพร้อมกับลงนั่งตัวแข็งเกร็ง กินข้าวไปพลางคุยกันไปพลาง สักพักมีผู้หญิงสาวลงมาทานข้าวด้วย ผมรีบยกมือไหว้สวัสดี ลุงแนะนำให้ผมจึงรู้ว่าคือเขาลูกสาวของลุง
   “นี่ไง หนุ่มคนที่ช่วยพ่อปะยางตอนรถล้ม เออ หนุ่มชื่ออะไรนะ” ลุงมองหน้าผม
   “ผมชื่อเคนครับ”
i drive / i race / i test / I drift
I row / I run / I fun / I ride

Offline O'Pern

  • fear is a mind killer
  • Administrator
  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 7411
  • don't let your fear stand in the way of your dream
    • racing club
Re: Introduction
« Reply #2 on: October 06, 2009, 03:06:37 pm »
Chapter 2

   บรรยากาศในห้องรับประทานอาหารดำเนินไปอย่างกันเอง แต่เป็นแบบเงียบเหงา มีคนร่วมโต๊ะทานกันแค่ 3 คน มีลุงกับลูก และผม ไม่นับคนรับใช้ที่อยู่ห้องข้างๆ สามารถเรียกใช้ได้ทุกเมื่อ
   ผมไม่กล้าชวนคุย ได้แต่ตอบคำถามจากลุงไปเรื่อยๆ และได้ฟังเรื่องราวที่ลุงเล่าบ้างสลับกันไป จึงทราบว่าลุงและครอบครัวชอบเล่นกีฬาและออกกำลังกาย
   “ผมก็ชอบจักรยานครับลุง แต่ผมจะปั่นได้แค่ตอนเช้ามืด”
   “อ้าว ทำไมล่ะ แล้วเวลาอื่นล่ะ อย่างพวกวันหยุดล่ะ” ลุงถามแบบสงสัย
   “เออ คือ ผมต้องช่วยพ่อแม่ทำงานน่ะครับ”
   “อืม เข้าใจๆ”
   บทสนทนาเริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจังก็ตอนมีคนมาเก็บโต๊ะและนำของหวานมาให้ กินไปคุยไป ลุงยังคงเป็นผู้นำ ผมได้แต่ตอบ ส่วนลูกลุงคงจะใกล้สอบ เห็นขอตัวไปอ่านหนังสือ
   “เคนขี่แต่รถแบบนี้ตลอดเลยหรือ” ลุงถามผมด้วยความสงสัย มองไปที่รถจักรยานที่ผมขี่มา
   “ใช่ครับ ผมมีเจ้านี่อยู่คันเดียวนี่แหละครับ จักรยานของพ่อ พ่อยกให้ผม”
   “อืม แต่ที่เขาจะแข่งกันน่ะ มันต้องเป็นจักรยานแบบเสือภูเขานะ”
   ผมนิ่ง เงียบ ไม่ได้ตอบลุงเหมือนที่ผ่านมา แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเศร้าอะไร ก็แค่ผมไม่มีรถอย่างเขา ก็เท่านั้นเอง
   “ตามลุงมานี่สิ” ลุงพูดพร้อมกับลุกขึ้นเดินช้าๆ ใช้ไม้เท้าอย่างดีค้ำยันทรงตัวไปตลอดทาง เดินออกจากตัวบ้านหลังใหญ่ ไปยังโรงรถที่อยู่ใกล้ๆ กัน
   บรรยากาศภายนอกเริ่มมืดลง อากาศท่ามกลางต้นไม้ใหญ่นี่หนาวเย็นดีชมัด ผมชอบหน้าหนาวนะ แต่ก็ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวไหนเหมือนคนอื่นเขาหรอก
   เริ่มพลบค่ำบ้านลุงที่ว่าสวยพอเปิดไฟที่ตกแต่งสวนไว้แล้วยิ่งสวยครับ จัดซะเหมือนพวกรีสอร์ทเลย ผมเคยเห็นตามหนังสือน่ะ ไม่เคยไปกับเขาหรอก ได้ยินมาว่าบางที่คืนละหลายพันบาทเลย มันมีสถานที่พวกนี้อยู่ด้วยจริงๆ หรือ ผมชักสงสัย แล้วใครมันจะไปพักคืนละเป็นพัน เคยคิดนะ แล้วก็ผ่านเลยไป ไม่ได้สนใจจะหาคำตอบหรอก
   “หุ่นอย่างนี้น่าจะขี่คันนี้ได้นะ” ลุงพาผมไปดูจักรยานคันหนึ่ง มันเป็นจักรยานแบบเสือภูเขาเหมือนของลุงเลย ต่างแค่สีที่ดูออกเก่าๆ หน่อย
   ลุงให้ผมลองขี่ดู บ๊ะ ขี่ดีชมัดเลย ดีกว่ารถคันเก่าผมเยอะมาก แถมมีเกียร์อีกด้วย
   “ชอบไหมล่ะหนุ่ม” ลุงท้าวสะเอวยืนดูผมปั่น
   “ก็ชอบครับ ขี่ดีกว่ารถผมเยอะเลย ท่าทางจะแพงนะครับลุง”
   “ถ้าชอบลุงก็ยกให้หนุ่มเลยแล้วกัน”
   ผมตกใจมาก ไม่กล้ารับหรอกครับ ยิ่งของแพงๆ ยิ่งไม่กล้าเข้าไปใหญ่ เกิดมาก็เจอแต่รถแบบกระโหลกกะลา ไม่เคยจับจักรยานแพงๆ แบบนี้มาก่อนเลย
   “ช่วยเอาไปขี่หน่อยเถอะหนุ่ม รถคันนี้ไม่ค่อยได้ใช้ เดี๋ยวมันจะพังเอา”
   “ไม่ดีกว่าครับลุง ผมจะทำมันพังสิไม่ว่า”
   “ลุงอยากให้หนุ่มคุ้นเคยกับรถด้วยน่ะ เพราะงานแข่งเสาร์นี้ หนุ่มต้องใช้รถคันนี้ลงแข่ง”
   พอได้ยินแบบนี้ผมถึงกับนิ่ง รถลุงน่ะผมชอบ แต่ผมกลัวทำของเขาพัง ผมไม่มีเงินมาชดใช้ลุงแน่ๆ
   “ฝากหนุ่มปรับแต่งรถให้ลุงหน่อยก็แล้วกัน ล้างทำความสะอาด เอาให้เกลี้ยงเลยนะ”
   “ผมมาล้างรถให้ลุงที่บ้านนี่ก็แล้วกันครับ ไม่กล้าเอารถลุงไปจริงๆ”
   ดูลุงจะเข้าใจผมดี เลยไม่ได้คะยั้นคะยอต่อ

เย็นวันรุ่งขึ้นผมแวะไปหาลุงอีกครั้ง ติดเอาลูกชิ้นมาด้วย 2 ถุง ถุงหนึงเอามาฝากลุง อีกถุงเอามาฝากเพื่อน 4 ขา
   แปลกดี วันนี้ไม่ต้องกดกริ่งอะไรเลย แค่มายืนหน้าประตู้บ้านมันก็เปิดออกเอง มีเสียงคนพูดผ่านลำโพงออกมาว่าเชิญครับ แน่นอนที่สุด และเป็นไปตามคาด เจ้าหมาตัวโตวิ่งมาหาผมอีกแล้ว
   ผมหยิบลูกชิ้นเปิดถุงรอ เจ้าหมาเก้ๆ กังๆ คงจะงงล่ะสิ ไม่เคยกินลูกชิ้นของดีๆ แบบนี้ เขาขายกันลูกละ 2 บาทเชียวนาเจ้าหมาน้อย
   ผมหยิบลูกแรกส่งให้มันกับมือ เจ้าหมาดมๆ แล้วคว้าหมับเอาไปกิน มันเลียปากแพลบๆ หลังจากลูกแรกหมดไป ผมวางลูกชิ้นที่เหลือไว้บนสนามหญ้าแล้วก็ปั่นผ่านไป หมามันไม่สนใจผมแล้วล่ะ
   ลุงนั่งอยู่บนม้าหินรอ ผมปั่นไปส่งยิ้มไปมาแต่ไกล
   “สวัสดีครับลุง ขาดีขึ้นไหมครับ”
   “เออ สวัสดีๆ ก็ดีขึ้นล่ะนะ พอจะเดินได้นิดหน่อย แต่มันวิ่งไม่ได้หรอก คงยังอีกนาน แก่แล้วน่ะ เจ็บแล้วก็ต้องใช้เวลานานมากกว่าพวกหนุ่มๆ เขา”
   “ผมเอาลูกชิ้นมาฝากลุงครับ”
   “เฮ้ย ไม่ต้องเอาอะไรมาฝากลุง ครั้งนี้ลุงรับไว้ แต่ต่อไปไม่ต้องเอาอะไรมาอีกแล้วนะ” ลุงพูดเชิงดุๆ นิดหน่อย แกคงเกรงใจผม แหม คนแก่ก็มีฟอร์มเหมือนกันนะครับนี่
   ผมได้แต่รับปากรับคำ แต่เชื่อเถอะว่าเจ้า 4 ขา มันไม่ได้คิดแบบลุงแน่ๆ
   ลุงนำเอกสารแผ่นพับรายละเอียดเกี่ยวกับการแข่งออกมาให้ผมดู อึ้ง ตะลึง เพราะเป็นงานแข่งแบบแอทเวนเจอร์ เริ่มจากออกวิ่ง 3 กม ในป่า ไปยังจุดรับจักรยาน ปั่นผ่านป่าจนไปทะลุอีกฝั่งถนนและวนเวียนอยู่อีกราว 20 กม พอถึงลำน้ำก็จอดรถไว้ และลงเรือพายตามน้ำล่องลงมาอีกราว 30 นาที จอดเรือขึ้นมาปั่นจักรยานต่ออีก 20 กม เพื่อเข้าเส้นชัย เป็นการแข่งแบบปล่อยที่ละคู่ ห่างกัน 1 นาที ให้อุปกรณ์ประจำทีมคือแผนที่ละ GPS งานเริ่มกันตั้งแต่เช้า เข้าเส้นชัยกันตอนช่วงบ่ายแก่ๆ ถึงเย็น ต้องเตรียมอุปกรณ์ยังชีพไปเองทุกอย่าง รวมถึงน้ำและอาหารด้วย 
   เฮ้ย มีแข่งแบบนี้ด้วยหรือวะนี่ ไม่เคยรู้มาก่อนเลย อ่านรายละเอียดก็น่าสนุกปนตื่นเต้น เริ่มอยากไปมากๆ แล้ว
   “หนุ่มลงแข่งในชื่อลุงก็แล้วกันนะ” ผมพยักหน้ารับคำ
   “ลงแข่งคู่กับลูกของลุง”
   ลุงพูดจบผมเริ่มช็อค ลูกลุงผู้หญิงนี่นา เขาจะแข่งแบบนี้ไหวหรือ เมื่อคืนเห็นนั่งอ่านหนังสือขมักเขม้นอยู่เลย
   “เราจะออกจากที่นี่กันเย็นวันศุกร์ หนุ่มมาที่บ้านลุงสักบ่าย 3 โมงได้ไหม”
   “ได้ครับลุง แล้วผมต้องเตรียมอะไรไปบ้างครับ” ผมชักสงสัย เพราะกติกามันกว้างเอามากๆ เลย
   “ลุงเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เพิ่งจะสมัครแข่งครั้งนี้เป็นครั้งแรก ลองพิจารณาจากรายละเอียดในแผ่นพับ แล้วตัดสินใจดูเอา”
   ลำพังแค่การแข่งก็กระอักแล้ว นี่ผมยังต้องมาแบกน้ำ เสบียง และอุปกรณ์การเดินทางอีกด้วยหรือนี่ เอาไงดีวะ ถอนตัวตอนนี้ลุงจะฆ่าผมไหมก็ไม่รู้
   “ครับ” ผมตอบรับสั่นๆ แต่ใจมันคิดไปต่างๆ นานา
   
ที่บ้านผม
   ปกติผมจะออกส่งของให้ลูกค้าตอนเช้ามืดของทุกๆ วันครับ โดยทั่วไปก็จะส่งตามเส้นทางเริ่มจากร้านใกล้บ้านแล้วค่อยๆ ไกลไปเรื่อยๆ จนส่งเสร็จผมจึงขี่รถเปล่ากลับบ้าน ก็ที่ผมเจอลุงบ่อยๆ นั่นแหละ ตอนนั้นผมส่งของเสร็จหมดแล้ว
   แต่มาวันนี้พ่อจัดของให้ผมส่งตามรายการใหม่ คือผมต้องปั่นไปจนถึงร้านไกลสุดเป็นร้านแรก แล้วค่อยไล่กลับมาเป็นร้านใกล้บ้านเป็นร้านสุดท้าย ผมไม่ได้ถามอะไร สงสัยลูกค้าจะต้องการด่วน
    วันนี้รถผมต้องบรรทุกหนักกว่าทุกวันอย่างเห็นได้ชัด เพราะนอกจากนมกล่องแล้ว ยังมีน้ำหวานอีกด้วย จากเดิมที่บรรทุกแค่ด้านหลัง มาวันนี้มีของบนตะกร้าหน้ารถเพิ่มขึ้นมาอีก การขี่เป็นไปด้วยความลำบากมาก
   บรรทุกของแบบนี้กับการส่งของอย่างนี้ทำเอาผมกลับบ้านช้ากว่าเดิมไปเกือบ 1 ชม กลับมาก็เจอพ่อนั่งเตรียมของขายอยู่ เป็นแบบนี้ทุกวัน
   “เคนจะไปแข่งแอทเวนเจอร์หรือ” พ่อเอ่ยปากถาม ขณะที่ยังก้มหน้าทำงาน
   “พ่อรู้ได้ยังไงหรือ” ผมนึกสงสัยเองในใจ ไม่ได้เอ่ยปากออกไป หรืออาจเป็นเพราะแผ่นพับที่ผมวางไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือ
   “ครับพ่อ แต่มันแข่งยังไงผมยังไม่รู้เรื่องสักนิด” ผมตอบ พร้อมกับเล่าเรื่องราวที่ผ่านมาของผมและลุงให้พ่อฟังจนจบ
   “โอกาสมาถึงแล้ว คงคว้ามันไว้ และทำให้ดีที่สุด” พ่อพูดจบ ก็ลุกขึ้นเดินหายไปยังหลังบ้าน
i drive / i race / i test / I drift
I row / I run / I fun / I ride

Offline O'Pern

  • fear is a mind killer
  • Administrator
  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 7411
  • don't let your fear stand in the way of your dream
    • racing club
Re: Introduction
« Reply #3 on: October 11, 2009, 02:00:39 pm »
Chapter 3
   ช่วงนี้การส่งของตอนเช้าของผมเริ่มแปลกออกไป ของเริ่มมีมากขึ้นๆ ทุกวัน และมักจะต้องส่งลูกค้าไกลๆ เป็นเจ้าแรกเสมอ แถมยังต้องกลับบ้านมาให้ทันเวลาเดิมอีกด้วย
   แถมหัวค่ำพ่อก็ใช้ให้จัดเรียงสินค้าในร้านใหม่หมด ยกลงมาแล้วก็จัดเรียงใหม่อีกที่หนึ่ง กว่าจะเสร็จก็เล่นเอาเหงื่อชุ่มโชก เหนื่อยนะนี่ ธรรมดาพ่อจะยกของและจัดเรียงเองคนเดียว วันนี้มาเรียกผมช่วย เอ๊ะ หรือพ่อจะไม่ค่อยสบายก็ไม่รู้
   เช้าวันนี้มันแปลกเสียยิ่งกว่าเก่า พ่อเอาจักรยานจากไหนมาให้ผมขี่ก็ไม่รู้ รถเก่าโทรมๆ รูปทรงคล้ายรถของลุงที่เขาเรียกจักยานภูเขา แต่ที่เหมือนกันคือมีเกียร์หลายเกียร์ด้วย เราช่วยกันย้ายตะกร้าหน้ารถมาใส่รถคันใหม่ ส่วนด้านหลังยังคงเป็นตระกร้าหวายขนาดใหญ่แบบเดิมวางอยู่บนตระแกรง
   ผมว่ารถคันใหม่นี่ขี่ง่ายกว่ารถที่ผมเคยใช้อยู่อีกนะ กดบันไดนิดเดียวรถมันก็แล่นแล้ว แต่พอจะขึ้นเนินนี่สิ ผมใช้เกียร์ไม่เป็นเล่นเอาเกือบล้ม เพราะของก็หนัก แถมยังกดบันไดแล้วรถไม่ไปสักนิด เลยต้องลงเข็นช่วงใกล้ยอดเนิน
   ผมชอบใจที่เบรกของรถคันใหม่มันดีกว่าของคันเก่าอย่างมาก กดก็เบามือ แตะนิดเดียวก็เบรกอยู่แล้ว คันเก่าต้องกำทั้งมือจนหมดแรง รถยังทำได้แค่ชะลอตัว
   ผมยังต้องเรียนรู้การใช้เกียร์และเฟืองท้ายในด้านหลัง พ่อสอนผมว่าชุดจานหน้าก็เหมือนกับเกียร์ของรถยนต์ ส่วนชุดฟรีหลังของจักรยานก็จะเหมือนกับชุดเฟืองท้ายในรถยนต์ รถยนต์เรามีแค่เฟืองท้ายชุดเดียว แต่จักรยานคันนี้ผมมีเฟืองท้ายถึง 8 ใบ บ๊ะ แจ๋วจริงๆ
   วันไหนไม่มีเรียนผมมักจะอยู่บ้าน เพื่อนๆ ชวนเที่ยวบ้างเหมือนกัน แต่ผมไม่ค่อยได้ไปไหนกับพวกเขาบ่อยนัก พอเลิกเรียนทีไรเพื่อนชอบไปกินเหล้ากัน ผมเคยไปกับพวกเขา แต่ผมกินเหล้าไม่เป็น เลยดื่มแค่น้ำอัดลม แถมต้องมานั่งดมควันบุหรี่อยู่อีกหลายชั่วโมง พร้อมกับเสียงเพลงดังๆ ระยะหลังผมเลยไปกับเพื่อนพวกนี้น้อยลง ผมไม่มีเงินไปใช้จ่ายฟุ่มเฟือยแบบนั้นหรอกครับ นี่ถ้าพ่อรู้ผมคงโดนตี
   ลุงมักจะเรียกให้ผมไปหาที่บ้านช่วงเย็นๆ และมักจะชวนทานข้าวด้วย ผมล่ะแสนจะเกรงใจ หลังๆ ต้องมีการหนีกลับก่อน คนไหนที่ยิ่งใจดี เราต้องยิ่งเกรงใจครับ พ่อผมสอนไว้แบบนั้น
   ผมทะยอยล้างรถจักรยานให้ลุงจนหมดบ้าน จนลุงไม่มีจักรยานให้ผมล้างแล้ว ช่วงหลังมานี้เลยให้ผมปีนป่ายตัดต้นไม้แทน บางทีก็ซ่อมเปลี่ยนท่อประปา เปลี่ยนหลอดไฟฟ้าบ้างก็มี ทาสีโรงรถก็ด้วย เอาเป็นว่าหากไม่ใช่งานยาก งานละเอียดอะไรนัก ผมทำได้เกือบหมด ลุงเลยติดใจในบริการ ขากลับมักจะให้เงินผมเป็นค่าแรงมาด้วย ลุงใจดีจริงๆ เลยครับ
   
วันต่อมา
   เช้านี้พ่อมาแปลก เอาเสื้อผ้าแบบรัดรูปมาให้ผมใส่ แถมมีถุงมือตัดนิ้วอีกด้วย รถก็มีกระติกน้ำใส่เอาไว้อีกด้วย เออ ดีสิ จะได้ปั่นไปกินไป ทุกทีต้องทนหิวกลับมากินที่บ้าน ยังมีแว่นตาแบบใส และหมวกนิรภัยอีกด้วย แหม แต่งตัวเสียเท่เชียว 
   จากเดิมใส่แต่เสื้อยืดคอกลมกับกางเกงขาสั้นรองเท้านันยาง เปลี่ยนแนวกันขนาดนี้แรกๆ ขี่ไม่ถนัดเอาเสียเลย แต่ชอบตรงถุงมือนะ รู้สึกสบายมือขึ้นมานิดหน่อย แว่นตาก็ช่วยกันแมลงได้เป็นอย่างดีเลย เอ๊ะ ทำไมพ่อเพิ่งจะเอามาให้ผมใส่ล่ะครับนี่
   แต่ที่ไม่ค่อยชอบก็คือหมวกนี่แหละครับ ดูมันเกะกะ หันมองหลังแล้วไม่ค่อยคล่องตัว ใส่แล้วอายด้วยแหละ เคยเห็นแต่ในทีวี ไม่นึกว่าตัวเองจะต้องมาใส่เอง
   ผมยังคงต้องขี่รถที่บรรทุกหนักๆ และส่งของไกลๆ แล้วยังต้องกลับบ้านมาให้ตรงเวลาอีกด้วย เพราะต้องมารับของชุดใหม่ เพื่อไปส่งยังอีกเส้นทางหนึ่ง ยกของหนักๆ ก็เมื่อยตัว ปั่นจักรยานก็เมื่อยขา นานเข้ามันก็ล้าเหมือนกัน

พฤหัสบดี สองวันก่อนการแข่งขัน 
   วันนี้พบกับความประหลาดใจที่ไม่ต้องออกไปส่งของให้ลูกค้า แต่ต้องปั่นไปเก็บเงินแทน แหม ดีสิ ไม่ต้องบรรทุกของหนักๆ วันนี้พ่อบอกให้ผมกลับมาเร็วๆ สงสัยจะใช้ไปทำธุระอย่างอื่นต่อ
   พ่อยกเอาตะกร้าหวายท้ายรถพร้อมตะแกรงหลังออก เอาตะกร้าหน้าออก รถคันนี้ดูเปลี่ยนไปมาก จะว่าไปมันเหมือนกับรถของลุงเลยล่ะ ต่างกันแค่เบรกของลุงเป็นแบบจานดิสก์จับที่ดุม ส่วนของผมเป็นแบบหนีบที่ขอบล้อ
   ใช้เวลาไม่นานนักผมก็กลับมาถึงบ้าน แหม วันนี้เหงื่อไม่ออกเลยสักนิด เอ๊ะ หรือว่ามันออกและแห้งไปแล้วก็ไม่รู้นะ ชุดแบบนี้มันใส่แล้วสบายตัวดีเหมือนกัน ผมเริ่มชอบกับการแต่งตัวแบบนี้แล้ว
   กลับมาบ้านแล้วก็ต้องปั่นไปเก็บเงินอีกแห่งหนึ่ง พ่อยังคงบอกให้รีบกลับมาเร็วๆ แต่ขากลับของเส้นทางนี้มันต้องไปวนกลับรถไกลมาก ผมเลยยกขึ้นสะพานลอย ขาลงก็ปล่อยไหลลงตามขั้นบันไดมาเลย จะมายากตอนถึงชานพักและต้องวนกลับตัวก่อนจะไหลลงมาอีกช่วงนี่แหละ
   เห็นพ่อนั่งอ่านหนังสือพิพม์รออยู่หน้าบ้าน คงรอผมแน่เลย เห็นมองนาฬิกาด้วย ผมเข้าบ้านก็เอารถไปแขวนบนกำแพง พ่อหันหลังมามองตาม แต่ไม่ได้พูดอะไร ผมกลัวจะโดนดุว่าทำชุดขาด เพราะตอนไหลลงมาจากสะพาน ก้นผมนั่งบนยางหลังเลย ชุดจะเป็นอะไรหรือเปล่าก็ไม่รู้ ขออย่าให้ขาดเลยเถอะน้าา
   โชคดีชุดก้นไม่ขาด แต่มีรอยโคลนติดก้นผมเป็นคราบเลย พ่อหันมามองเพราะจุดนี้แน่ๆ ผมรีบถอดชุดซัก เปลี่ยนเสื้อผ้าลงมาใหม่ ยังเห็นพ่อนั่งอยู่ที่เดิม
   “รถคันนี้ขี่แล้วเป็นไงบ้างลูก” เจอหน้ากันพ่อก็ถามผมเลย
   “ดีครับพ่อ ดีกว่าคันเก่าเยอะเลย โดยเฉพาะวันนี้ผมรู้สึกว่าขี่ได้เร็วเป็นพิเศษ”
   “แล้วเกียร์ล่ะ ใช้เป็นหรือยัง”
   “เออ คือผมยังไม่ค่อยถนัดน่ะครับ เลยไม่ได้ใช้มัน”
   ทำให้พ่อหันไปมองที่รถ ผมเองก็หันไปมองตามด้วย พบว่าโซ่มันพาดอยู่ที่จานหน้าใบกลาง ส่วนเฟืองหลังอยู่ที่อันเล็กสุด
   ผมออกไปเรียนช่วงสายๆ และกลับมาบ้านตอนเย็น ช่วยพ่อปัดกวาดทำความสะอาดบ้าน ซักผ้า รีดผ้า
กลางคืนได้ยินเสียงพ่อทำอะไรไม่รู้ยุกยิกๆ อยู่ที่รถจักรยาน ส่วนผมจัดเตรียมอุปกรณ์ที่จะเข้าใช้ในการแข่งขัน ผมหยิบทุกอย่างใส่เป้หลังใบเก่งใบเดียว
           เพราะมีอยู่แค่อันเดียว
   
ศุกร์ วันเดินทาง
   ตื่นแต่เช้าเหมือนเดิม เดินลงมาข้างล่างเตรียมจะไปส่งของให้พ่อ แต่พ่อบอกวันนี้ไม่ต้อง เดี๋ยวพ่อไปส่งเอง ผมยืนเก้ๆ กังๆ ไม่รู้ทำอะไร เพราะทุกเช้าก็ต้องออกไปขี่จักรยานส่งของ แปลกที่วันนี้ไม่ต้องไป สงสัยพ่อจะไปคุยกับลูกค้าด้วยมั้งเลยไปเอง
   ผมหันไปมองเห็นรถคันใหม่จอดอยู่ อ้าว พ่อเอารถคันเก่าไปหรอกหรือ ผมเลยคว้ารถคันใหม่เอาออกไปขี่เล่น คันใหม่แสนจะดีกว่า เบาแรงกว่า เบรกก็ดีกว่า ผมขี่คันนี้ได้เร็วกว่าคันเก่าเยอะเลย
   ทุกทีจะต้องบรรทุกของหนัก วันนี้เล่นรถเปล่า แถมอิสระ ไม่ต้องแวะทำธุระอะไร ไม่ต้องรีบกลับ สบายเลยสิ ผมเลยไปสนามดินที่มีเนินกระโดด เห็นวัยรุ่นเขาเอา BMX มาโดดเล่นกัน มีจักรยานคันใหญ่ๆ ล้อโตๆ หน้าตาเหมือนมอเตอร์ไซค์มาโดดบ้างเหมือนกัน รถแบบนั่นดูเท่ดีนะ ไม่รู้เขาเรียกว่ารถอะไรเหมือนกัน
   ผมปั่นวนในสนามสองรอบสำรวจเส้นทางก่อนที่จะซ้อมโดดเนินเล็กๆ พอคุ้นเคยแล้วก็ค่อยๆ เขยิบไปเล่นเนินใหญ่ขึ้น เล่นโดดเนินนี่สนุกมากครับ แต่รถโทรมและพังเร็วจริงๆ  กลัวพ่อดุจัง พอผมทำรถพังทีไร พ่อต้องถามทุกทีว่าไปทำอะไรมา ไปขี่ที่ไหน ขี่อย่างไรมา แต่ยังดีนะที่ไม่โดนตี
   บ่ายผมไปหาลุงที่บ้านตามเวลานัด ลุงเตรียมพร้อมรออยู่แล้ว ดูลุงแปลกใจหน่อยที่เห็นผมขี่รถคันใหม่ (ใหม่ของผม แต่เก่าของพ่อ) ลุงมองดูรถสักพักก็จับมันวางบนแทนยึดบนหลังคาที่มีรถอยู่บนฐานอยู่ก่อนแล้ว 2 คัน ผมถามว่าใครจะขี่อีกคันหรือ ลุงตอบว่าเป็นรถสำรอง
   เราไปกัน 4 คน มีพี่ชัยเป็นคนขับรถ ผมนั่งข้างหน้ากับพี่ชัย ลุงนั่งกับลูกสาวอยู่เบาะหลัง อ้อ เบาะหลังของเขาปรับเอนนอนได้เหมือนในรถทัวร์ที่ผมเคยนั่งอีกด้วย รถตู้คันนี้สงสัยจะราคาแพงน่าดู ด้านหลังที่ลุงนั่งมีทีวี ส่วนด้านหน้าก็มีจอภาพเล็กๆ พี่ชัยบอกว่าเขาเรียกระบบนำทางผ่านดาวเทียม พี่ชัยเป็นคนขับรถประจำของบ้านนี้ แต่บางทีลุงก็ขับเอง แล้วแต่เส้นทางและสถานที่ๆ จะไป
   ลุงกับลูกปรับเบาะเอนนอนอย่างสบายเลย ผมเองนั่งด้านหน้าก็สบายไม่แพ้กัน รถของลุงแอร์เย็นดีเหลือเกิน ผมคุยกับพี่ชัยไปเรื่อย พอจะคุ้นเคยกันบ้างแล้ว เพราะระยะหลังผมไปทำงานบ้านลุงอยู่หลายครั้ง บางทีก็ช่วยพี่ชัยล้างรถ ดูดฝุ่น ขัดสี
   ถึงเมืองกาญจน์เอาตอนเย็น ลุงไปติดต่อห้องพักที่งานแข่งจองไว้ให้ เขาว่าพรุ่งนี้จะสตาร์ทกันแต่เช้ามืด สองวันก่อนฝนตกหนัก เส้นทางที่สำรวจไว้มันขาด ทำให้การแข่งยากขึ้นกว่าเดิมในช่วงเดินป่า และปั่นจักรยาน
   พอมาถึงโรงแรมก็พบนักแข่งกีฬามารอกันอยู่เยอะแล้ว ระหว่างที่เราทะยอยกันเอาข้าวของลงจากรถก็มีคนมาสบทบอยู่เรื่อยๆ อย่างไม่ขาดสาย งานแข่งท่าทางจะใหญ่ทีเดียว มิน่า ลุงไม่อยากพลาด
   ลุงบอกให้ผมเข้านอนแต่หัวค่ำ เรานัดกันตอน 0500 เพื่อทานอาหาร และจะออกสตาร์ทตอน 0600 ผมนอนกับพี่ชัย ส่วนลุงนอนกับลูก
   ผมรู้สึกตื่นเต้นกับการแข่งขันอย่างมาก ที่นอนแสนสบาย แต่กลับนอนไม่ค่อยหลับเลย
i drive / i race / i test / I drift
I row / I run / I fun / I ride

Offline O'Pern

  • fear is a mind killer
  • Administrator
  • Authentic Drifter
  • *****
  • Posts: 7411
  • don't let your fear stand in the way of your dream
    • racing club
Re: Introduction
« Reply #4 on: November 08, 2009, 06:21:43 pm »
Chapter 4
   
วันแข่งขัน
   เช้ามาลุงมอบถุงยังชีพให้ผมเก็บไว้ มันมีอาหารและสิ่งของที่จำเป็นต้องใช้ในการแข่งขันอยู่ข้างใน ลูกสาวลุงก็มีถุงแบบนี้เหมือนกัน ผมหยิบมันใส่เป้หลัง ลูกสาวลุงก็ทำแบบเดียวกัน ต่างกันที่เป้ของเขามีถุงน้ำพร้อมสายยางดูดน้ำติดมาด้วย ส่วนผมก็ใช้กระติกของจักรยานที่มีอยู่นั่นแหละ
   อาหารเช้าเตรียมไว้อย่างดีโดยผู้จัดงาน หรูหรามากๆ เป็นแบบบุฟเฟ่ ใครอยากกินอะไรก็หยิบได้ตามใจชอบเลย เห็นแล้วตาลายไปหมด โน่นก็อยากกิน นี่ก็อยากกิน บางอย่างน่ากิน แต่ไม่เคยกิน ไม่รู้อร่อยไหม บางอย่างก็ไม่รู้เขากินกันอย่างไร ราดอะไรบ้าง จิ้มอะไร ยังไง ทำไม่เป็น ใช้แอบๆ ดูว่าคนข้างหน้าเราเขาทำอย่างไรก็ทำตามเขาไป แอบหยิบของที่เก็บไว้กินกลางทางได้มาหลายอย่างเลย
   เวลา 0600 เริ่มทะยอยกันปล่อยตัวที่ละ 2 ทีม ที่เห็นคนเยอะๆ เมื่อวานนั่นกลับไม่ใช่นักกีฬาอะไรกับเขาหรกอ กลายเป็นพวกสื้อมวลชน พวกนักข่าว หนังสือพิมพ์ ทีวี มักจะเป็นพวกรายการต่างประเทศ ของไทยผมเห็นแค่เจ้าหน้าที่ของ TV บูรพา ไม่รู้รายการอะไรเหมือนกัน คงไม่ใช่ ฅค ค้น ฅน แน่ๆ
   ผมกับพิม (ลูกสาวลุง) ออกสตาร์ทคู่กับทีมของญี่ปุ่น ดูเขามีความมุ่งมั่นมาก ไม่อยากกดดัน ก็เลยให้เขานำหน้าไป เราตามหลังเขา สบายดีเหมือนกัน แต่พิมบอกให้ผมดูแผนที่ให้ดี เพราะเส้นทางอาจไม่เหมือนกัน แหม รอบคอบเหมือนกันนะนี่
   ช่วงแรกเป็นการวิ่งแบบ Cross Country ครับ เรียกชื่อฝรั่งฟังดูเท่มาก ภาษาไทยก็แปลว่าวิ่งวิบาก แต่ไม่ได้วิบากแบบของเด็กอนุบาลที่มีเป่าแป้ง โดดกินขนมปัง และดูดน้ำอัดลมนะ ของผมวิ่งในป่าของจริง หลงกันจริงๆ และผลจากการที่ตามทีมญี่ปุ่นก็คือเราพบทีมหลงทางที่เขาออกสตาร์ทมาก่อนหน้าเราหลายทีมเลย เอ๊ะ แล้วนี่เรากำลังจะหลงเหมือนเขากันไหมวะ
   จะไม่ให้หลงได้อย่างไร มันเป็นป่าดงดิบของแท้ ฝรั่งเรียก Tropical Rain Forest ผมคุ้นเคยกับการเดินในสถานที่แบบนี้ พ่อพาผมเดินป่าตั้งแคมป์ตั้งแต่เด็กๆ สอนผมให้รู้ว่าอะไรที่จะต้องระวัง รู้ว่าอันไหนคืออันตราย เราเข้าป่า ต้องเคารพป่า ให้เกียรติเจ้าถิ่นผู้พักอาศัย ไม่ตัดต้นไม้เล่น ไม่ฆ่าสัตว์ บุกรุกธรรมชาติให้น้อยที่สุด ทิ้งไว้เพียงแค่รองเท้า และเก็บกลับมาแต่เพียงภาพถ่าย
   สักพักฝนเทลงมาอย่างหนัก การเดินป่ากลางฝนนับเป็นการเพิ่มอุปสรรค์ให้แก่พวกเราเป็นอย่างดี ไม่มีใครสักคนที่เตรียมเสื้อกันฝนมา ที่อยากได้เสื้อกันฝนน่ะ ไม่ได้เอามาคลุมตัวหรอกนะ ผมอยากได้มาคลุมเป้ต่างหาก
   พิมดูแกร่งกว่าที่ผมคิดไว้เยอะครับ ไม่ได้หน่อมแน้มเหมือนเด็กสาววัยรุ่นทั่วไปเลย ผมต่างหากที่ต้องเดินตามหลังพิมอย่างว่าง่าย คือให้เธอเป็นผู้นำ ผมเป็นผู้ตาม คอยสนับสนุน และให้ความคิดเห็นหากถูกถาม แต่ที่ผมทำได้ถนัดสุดคือช่วยออกแรงถือของให้ตอนเธอกำลังปีนป่าย
   พิมใช้เครื่องมือ GPS ได้อย่างคล่องแคล่ว ส่วนผมเป็นแต่ดูแผนที่ แต่มันเป็นแผนที่แบบหยาบ ไม่ได้มีรายละเอียดอะไรมากนัก จะเด่นก็ช่วงข้ามแม่น้ำแควหน่อยเดียว
   จากเดิมเป็นลำน้ำตื้นๆ ฝนตกได้พักเดียวน้ำก็เพิ่มระดับสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว พิมเอาเป้หลังมากอดลอยคอทำเป็นทุ่น โห เป้ของเขาดีจัง ลอยน้ำได้ด้วย  ใช้พยุงตัวได้สบายเลย ส่วนเป้ผมต้องป้องกันน้ำอย่างดี ไม่งั้นมันจะยิ่งหนักกว่าเดิม เลยต้องใช้ยกชูขึ้นเหนือหัวแล้วค่อยๆ เดินสืบเท้าทีละก้าวช้าๆ ส่วนพิมเขาข้ามไปถึงอีกฝั่งเรียบร้อยแล้ว
   ผ่านช่วงข้ามลำน้ำอย่างทุลักทุเล เราก็คลาดจากทีมญี่ปุ่น เขาลงน้ำก่อนเรา แต่ตอนนี้หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ อาจขึ้นนำหน้าไปแล้วก็เป็นได้ นี่ทีมหลังๆ จะต้องยิ่งเพิ่มความลำบากอย่างมากแน่ๆ เพราะน้ำสูงขนาดนี้ แถมเชี่ยวกราก มันคือน้ำป่าดีๆ นี่เอง อันตรายดีแท้
   เวลาผ่านไปแล้ว 2 ชม ยังเดินได้ไม่เท่าไหร่เลย ผมเห็นลำน้ำสวยใส เลยจัดการเติมน้ำเสียเต็มกระติก คิดเอาเองว่ามันคงจะสะอาด พอพิมมาเห็นก็รีบส่งยาฆ่าเชื้อโรคให้ผมทันที บอกว่าน้ำอาจไม่สะอาด เรากำลังแข่งขัน ต้องดูแลร่างกายอย่างดี
   แผนที่นำทางเราอย่างคดเคี้ยว มีการเดินเลาะริมน้ำ ข้ามสันเขา แต่ที่มันลำบากเพราะมากเพราะมันเปียกแฉะ บางช่วงเป็นโคลนเลน หากจมลงไปล่ะก็ งานเข้าแน่เลย คิดยังไม่ทันขาดคำ ผมก็เห็นทีมของอังกฤษจมโคลนลงไปแล้ว 1 คน หากขึ้นมาได้ก็ต้องเดินย้อนไปล้างตัวที่ริมแม่น้ำอีก แสนจะเสียเวลาจริงๆ
   เห็นเขากำลังช่วยเพื่อนด้วยการยื่นไม้ให้จับ แต่ไม้มันสั้น เพื่อนจับไม่ถึง ดึงตัวเองออกจากโคลนได้ยากมาก ผมอยากจะไปช่วยเขา เลยบอกให้พิมหยุดก่อน เธอทำหน้างงทำนองว่าจะไปช่วยเขาทำไม แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรผม ผมส่งแผนที่ให้เธอดูตรวจเช็คเส้นทาง และวิ่งไปหากิ่งไม้ใหญ่ๆ หอบมา 4-5 อันโยนลงไปในกองโคลนใกล้ๆ กับผู้ที่ติดอยู่ ผมพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยเก่ง เลยทำท่าให้เขาเข้าใจว่าพยายามปีนขึ้นมาอยู่บนกิ่งไม้ ให้มันกระจายแรงกดบนโคลนไปในแนวกว้าง
   เพื่อนร่วมทีมของเขาแปลกใจที่ผมมาช่วยทีมเขา พอเพื่อนเขาขึ้นมาได้ ทั้งคู่ขอบใจผมกันใหญ่ ขอจับมือผมด้วย ดูเท่มากๆ 
   ตอนนี้เราแซงทีมอังกฤษได้แล้ว แต่ข้างหน้ายังอีกยาวไกล มีอีกหลายทีมออกเดินทางก่อนหน้าเรา คุ้นๆ ว่าลุงบอกผมว่าทีมจากทาง New Zealand และ USA คือทีมที่แกร่งที่สุด เพราะประเทศเขามีกีฬาผาดโผนเยอะ เขาคุ้นเคยกับเรื่องท้าทายพวกนี้เป็นอย่างมาก แหม ชักอยากเห็นหน้าทีมพวกเขาจัง
   ป่าแถบนี้ ยิ่งเดินยิ่งเละครับ พิมหักกิ่งไม้ทำเป็นไม้เท้าค้ำยัน ผมเลยเอาบ้าง ได้ไม้ขนาดเหมาะมือมาใช้ยันตัวได้สบาย
   พิมส่งซองเกลือแร่มาให้ผมผสมน้ำดื่ม ผมทำตามเธอ ฉีกซองและเทลงในกระติกน้ำ ชิมแล้วเป็นรสส้ม เค็มปะแล่ม อร่อยดีเหมือนกัน
   เดินไปอีกเกือบชั่วโมง เราถึงพักทานอาหารกัน เปิดถุงยังชีพที่ลุงให้มาก่อนออกสตาร์ท พบว่ามีเสื้อคลุมกันฝนมาด้วย โธ่ๆ ๆ เปียกแฉะกันหมดแล้วเพิ่งจะมาเห็นตอนนี้
   พิมกินขนมปังแบบแซนวิช ส่วนผมลูกทุ่งไทยแท้ เป็นข้าวเหนียวกับเนื้อเค็ม ดีเหมือนกันที่กินตอนนี้ เป้หลังจะได้เบาลงหน่อย อีกสักพักเราจะต้องปั่นจักรยานกันแล้ว ผมว่าปั่นจักรยานมันสบายกว่าเดินป่าเยอะเลยนะครับนี่
   เที่ยงแล้ว ฝนยังตกลงมาอย่างหนัก เส้นทางยิ่งเดินลำบากมาก รองเท้าผ้าใบเต็มไปด้วยดินโคลน เจอน้ำเป็นต้องแวะล้าง เรานั่งพักกินข้าวกลางฝนนี่แหละ หลบใต้ร่มไม้ใหญ่ นั่งไปก็ต้องคอยปัดแมลงไป รีบกินรีบเดินทางต่อ เรายังมาไม่ถึงครึ่งทางของการแข่งเลย
   โอ ทำมันมันช่างเป็นการแข่งที่ลำบากอย่างนี้หนอ แม้ผมจะเคยเดินป่ากลางฝน แต่นี่มันเป็นการแข่งขัน ไม่ได้เดินแบบทอดน่องสบายๆ ยังต้องคอยเร่งฝีเท้า จะหยุดพักแทบไม่ได้เลย
   พิมเริ่มแสดงอาหารเหนื่อยอ่อนออกมา เริ่มเห็นเธอก้าวเดินเป๋ ผมเองก็ล้าจากการเดินจมโคลนและการแบกของหนัก นี่ถ้าไม่มีไม้เท้าช่วยพยุงตัวคงล้มไปหลายหนแล้ว
   เดินไปได้อีกพักก็เจอทีมจาก New Zealand เขานั่งพักอยู่ ผมส่งยิ้มให้ ตาเหลือบไปเห็นเขากำลังพันแผลที่ข้อเท้า สอบถามพบว่าเขาจมโคลนและข้อเท้าไปติดในซอกหินใต้โคลน ดึงขาตัวเองไม่ออก เพื่อนช่วยลากขึ้นมา เลยทำให้เกิดบาดแผล
   พิมรีบหยิบเอายาฆ่าเชื้อโรคแก้อักเสบให้เขากิน ส่วนผมหยิบเอากระติกน้ำของตัวเองเทล้างแผลให้เขา พบว่าแม้บาดแผลจะไม่ใหญ่ แต่มันลึก เลือดออกไม่หยุดเลย นึกไม่ออกว่าเขาจะแข่งต่อไปได้อย่างไร ก็ได้แต่บอกให้เขาห้ามเลือดก่อนออกเดินทางต่อ ไม่รู้เขาจะเชื่อผมไหม
   เราแซงได้ 2 ทีมแล้ว มันทำให้เราต้องยิ่งเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น หากพลาดนิดเดียวเจ็บตัวขึ้นมา มีหวังต้องออกจากการแข่งขันเป็นแน่ พิมบอกให้ผมเดินช้าลง เพราะเริ่มไม่มันใจเส้นทาง
   แล้วก็เป็นจริง เดินๆ อยู่ก็เจอทางขาด จากเดิมเป็นทางดินเล็กๆ ตอนนี้โดนน้ำป่าพัดขาดกระเด็น หันมามองหน้ากัน ผมส่งยิ้มให้ ไม่รู้จะพูดอะไร ไม่รู้แนะนำอะไร เพราะเหนื่อยล้าเหลือเกิน
   พิมหยิบเอาแผนที่ออกมาดู เทียบกับพิกัดในเครื่อง GPS แล้วบอกให้ผมรีบเดิน เขาว่าอีกไม่ไกลจะถึงจุดที่จอดจักรยานแล้ว
   ได้ยินแล้วหูผึ่ง รีบลุกขึ้นโดยทันใดราวกับความเหนื่อยล้าจะหายไปหมดสิ้น
   เราว่ายน้ำไปยังทิศทางเดิมตามเส้นทางที่ขาดหาย น้ำเชี่ยวแรงจนต้องคว้ากิ่งไม้ใหญ่ที่ห้อยต่ำลงมา ไม่งั้นปลิวตามแรงน้ำแน่
   ทำไมการแข่งขันมันช่างวิบากอย่างนี้หนอ นี่เขาแข่งกันแบบนี้จริงๆ หรือ ผมเริ่มไม่แน่ใจ เพราะมันไม่เห็นจะสนุกตรงไหนเลย
   ใช้เวลาข้ามลำน้ำอยู่ราว 30 นาที เดินทะลุป่ารกทึบอีกสักพัก ก็มาถึงจุดจอดจักรยาน แปลกมาก ที่ไม่มีใครอยู่สักคน ไม่มีเจ้าหน้าที่คนใดอยู่เลย
   เห็นจักรยานจอดเรียงรายกันอยู่เกือบ 20 คัน มีทีมหนึ่งมาถึงก่อนหน้าเรา เป็นทีมของ USA ที่ทราบเพราะเห็นช่องจอดรถของเขาไม่มีจักรยานจอดอยู่
   พิมกับผมรีบคว้าเอาจักรยานออกปั่นทันที ผมยังคงตามหลังพิมไปติดๆ แต่เว้นระยะไว้สักหนึ่งช่วงคันรถ เผื่อไว้เป็นระยะเบรก ระยะปลอดภัยของตัวผมเอง
   พอขึ้นจักรยานได้นีผมรู้สึกตัวเบาขึ้นเยอะมาก มันมีพลังมาจากไหนก็ไม่รู้ ไม่รู้สิ รู้สึกสบาย ปลอดโปร่งอย่างเป็นที่สุดทั้งๆ ที่อยู่ฝนป่าทึบอันเปียกเฉอะแฉะ
   รถของพลอยเป็นแบบ Full Suspension อย่างดี ส่วนรถผมที่พ่อให้มาเขาเรียกว่า Mountain Bike ชาวบ้านเรียกเสือภูเขา ทำไมต้องเรียกจักรยานว่าเสือด้วยก็ไม่รู้ มีเสือหมอบ เสือภูเขา ไม่รู้ว่าจะมีเสืออะไรอีกตามมา
   รถผมไม่มีช้อคฯหลังครับ ปั่นแล้วมันกระเด้งสะเทือนไปมา แต่มันก็มีข้อดีตรงที่ไม่สูญเสียพลังงานไปกับระบบรองรับแรงสะเทือน จะว่าไปแล้ว รถผมปั่นได้เร็วกว่ารถแบบ Full Suspension เยอะ (หากมีพลังพอ และทนแรงสะเทือนได้)
   ช่วงปั่นขึ้นเนินชันพลอยดูจะไม่ค่อยมีแรงส่ง ไม่รู้เพราะรถด้วยหรือเปล่า พิมบอกให้ผมขึ้นนำหน้าไปก่อน ผมทำตามอย่างว่าง่าย ปั่นฉับๆ ๆ จับบาร์เอนยืนโยก หันไปดูเห็นพิมนั่งปั่นช้าๆ สงสัยจะหมดแรง
   พอถึงยอดเนินผมจอดรถและวิ่งลงมาช่วยเข็น พิมบอกไม่ต้อง ผมบอกไม่เป็นไร เราเป็นเพื่อนกัน
   ผมอยากมีเพื่อนเยอะๆ ครับ ชีวิตจริงผมไม่ค่อยมีเพื่อน อยู่บ้านก็ช่วยพ่อแม่ทำงานส่งของ ไปโรงเรียนก็รีบกลับบ้านมาทำงานต่อ แม่บอกเราเป็นคนจนต้องเก็บเงินไว้เยอะๆ เอาไว้ศึกษาเล่าเรียน ผมเองก็เห็นด้วย แม่ผมทำงานหนักมาก พ่อก็ด้วยเช่นกัน
   ถึงยอดเนินพิมก็ตรวจเช็คทิศทางดูอีกครั้ง ผมให้พิมนำทาง ผมกลัวหลง ยิ่งเป็นทางป่าด้วยยิ่งแล้ว นอกจากต้องดูทางแล้ว ยังต้องดูสภาพผิวพื้นอีกด้วย มีรากไม้ กิ่งไม้ขวางเป็นระยะ
   ลงเนินไปได้พักเดียวก็เจอทีม USA นั่งทำแผลกันอยู่ เขาล้มกลิ้งลงมาจากเนิน เพราะสะดุดเอารากไม้เข้า พอล้อหน้าหยุดนิดเดียวล้อหลังก็ยกลอย ตีลังกากลิ้งกันลงมาทั้ง 2 คน ไม่มีบาดแผลใหญ่ แต่ปัญหาคือมีคนขาหัก
   ผมกับพิมเข้าไปสอบถามอาการ เขาบอกโอเค เขาทำแผลและดามขาเรียบร้อยแล้ว ทีมเขามืออาชีพมาก อุปกรณ์ครบครัน มิน่า การแข่งแบบนี้เขาถึงให้ไปกันเป็นทีม เพราะจะได้ช่วยเหลือกันนี่เอง
   “คุณแซงพวกทีมฝรังขึ้นมาจนทันทีมผมหรือ” ทีม USA ถามผม
   “เราแค่ไปตามเส้นทางที่งานแข่งเขาแจกให้” พิมตอบน้ำเสียงเรียบง่าย
   ผมยื่นส่งน้ำดื่มให้ทีม USA เขาตอบรับด้วยการนำกระติกมารอง เทไปให้เขาเกือบครึ่ง เสียดายเหมือนกัน แต่ผมทนได้ ไว้เจอแหล่งน้ำแล้วค่อยตักใส่ใหม่ หากน้ำดื่มหมดแล้วเราหิวน้ำมาก ก็แค่เอาหมากฝรั่งออกมาเคี้ยว น้ำลายจะออกมามาก ทำให้เราปากแห้งน้อยลง อยู่ได้อีกราว 1 ชม
   ก่อนแซงหน้าเขาไป ผมยื่นส่งไม้เท้าที่เหน็บเอามาด้วยให้เขาเอาไว้ค้ำยันตัว เขาพูดขอบคุณๆ อยู่หลายครั้งเลย
   “ตอนนี้คุณเป็นทีมอันดับหนึ่งแล้วนะ” ทีม USA ตะโกนไล่หลังมาขณะผมปั่นจักรยาน
   มันช่างรู้สึกอิ่มเอิบใจอย่างไรบอกไม่ถูก นี่เราแค่มาปั่นแทนลุงเล่นๆ ทำไมเราขึ้นมานำทีมอื่นได้ นึกสงสัยในโชคชะตาอยู่เหมือนกัน
   ปั่นวกวนเวียนอยู่ในทางป่าจนต้องเอามือปิดบาร์เอนเอาไว้ กลัวมันจะไปเกี่ยวเอาเถาวัลย์เข้า แบบนั้นกลิ้งแน่ๆ และคงจะต้องเจ็บตัวเหมือนพวกทีมที่ผมแซงเขามา
   “อย่าประมาทนะเคน เส้นทางโหดขึ้นแล้ว” พิมตะโกนดัง
   “ครับ” ผมตอบรับทราบ พร้อมกับเว้นระยะปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น ผมขี่ตามหลังพิม เห็นยางเขามีโคลนเคลือบพอกเต็มไปหมด มองที่รถตัวเองกลับไม่ค่อยมี โชคดีรถเขาเป็นเบรกแบบดิสค์ ส่วนรถผมเป็นเบรกแบบ Cantilever
   ยางที่มีโคลนพอกเกาะหนา นอกจากจะทำให้ช้าแล้ว ยังทรงตัวได้ไม่ดีอีกด้วย แถมยังส่งถ่ายพลังไปยังพื้นไม่หมด ปั่นแล้วกินแรงอย่างมาก หากพ้นช่วงโคลนก็ต้องรีบล้างออกทันที ในป่าแบบนี้หาแหล่งน้ำยาก ผมเลยใช้กิ่งไม้เคาะแรงๆ โคลนหลุดออกมาบ้าง แต่ยังไม่หมด ส่วนรถผมแทบไม่ต้องทำอะไรเลย จับรถยกขึ้นแล้วปล่อยลงพื้น 2-3 ครั้ง โคลนกระเด้งหลุดออกมาเองเกือบหมด
   เจอเนินสูงชัน และทางป่าแคบๆ เล่นเอาทำความเร็วไม่ได้กันเลย ถึงยอดเนินก็จอดนั่งพักกัน มองไปข้างหลัง ไม่เห็นมีใครตามมาสักทีม
   “เราต้องปั่นจักรยานอีกนานไหมครับ” ผมถามพิม
   “อีกสัก 10 กม เห็นจะได้นะ”
   “พิมว่าผมปล่อยลมยางออกสักหน่อยจะดีไหม”
   “มันจะทำให้เราปั่นได้ช้าลงนะ”
   “แต่เราจะทรงตัวดีขึ้น ทำให้เราประหยัดแรง ไม่เหนื่อยไปกับการปั่นมากนัก” ผมแย้งบ้าง
   “ปัญหาคือเราไม่รู้สภาพเส้นทางข้างหน้ามากกว่านะ เกิดออกแนวป่าแล้วขึ้นทางลูกรังล่ะ ก็ต้องมาจอดเติมลมอีกหรือ” พิมให้เหตุผล
   อืม ก็จริงของเธอนะ อย่างไรแล้วพิมก็มีประสพการณ์มากกว่าผมแน่ๆ เพราะการสูบลมอัดเข้าล้อขณะเหนื่อยๆ นี่สุดแสนจะทรมานเลยล่ะ แถมยังอยู่ในช่วงการแข่งขันอีกด้วย
   ออกปั่นไปได้อีกสักพัก พิมก็ต้องจอดรถเอาไม้เคาะยางไล่โคลนออก ส่วนรถผมมีโคลนเท่าเดิมเหมือนตอนแรก ไม่รู้ทำไม
   ช่วงพักผมรู้สึกหิว คุ้ยหาในเป้ดูก็ไม่เหลืออะไรกินแล้ว พิมเองก็เช่นกัน เตรียมอาหารมาแค่มื้อกลางวันมื้อเดียว กล้วย ส้ม ก็กินกันหมดแล้ว
   “หิวไหมครับพิม”
   “อืม นิดหน่อย แต่พอทนได้”
   ผมก็หิว อาหารหมดแล้ว เชิงเขาด้านล่างคงพอมีต้นไม้ หากลงไปถึง ผมจะมองหาดูว่าพอมีอะไรกินได้บ้าง
   ช่วงลงเนินเราต้องใช้งานของเบรกอย่างหนัก แต่ก็ไม่ได้ทำให้ขอบล้อร้อนอะไรนัก อยู่ในป่า อากาศเย็น แถมยังไปได้ไม่เร็วเสียอีกนี่
   อีกราว 30 นาทีต่อมา เราลงมาถึงพื้นราบ ผมบอกให้พิมจอดพักขา ส่วนผมจะออกไปหาผลไม้ป่า
   อากาศในป่านี้แปลกๆ ครับ อับ ชื้น ร้อน อบอ้าว แต่ถ้าฝนตกลงมาจะเปลี่ยนเป็นหนาวเย็นยะเยือกทันที อุปสรรคอีกอย่างขณะนั่งพักก็คือแมลงครับ ยุงนี่ตัวโตมากราว 1 ซม ยังมีแมลงหวี่บินตอมใบหน้าอีก
   พิมนั่งปัดยุง ปัดแมลงตลอดเวลา เป็นอันว่าแทบไม่ได้พักผ่อน หากจะไล่ยุงก็ต้องรู้การทำงานของมัน แมลงก็เช่นกัน มักจะตามกลิ่น ส่วนยุงชอบสีดำ ความมืด และกลิ่นของคาร์บอนไดออกไซค์ที่เราหายใจออกมา
   ผมกลับมาพร้อมกับกล้วยป่า 1 หวี หยิบยื่นให้พิม 1 ลูก แม้มันจะยังไม่สุกดี ไม่หอมหวานนัก แต่แก้ท้องหิวได้ก็แล้วกัน
   นี่เราต้องแข่งจนถึงเมื่อไหร่หรือนี่ ฟ้าเริ่มมืดครึ้มมากแล้ว ยังไม่เห็นวี่แววของเส้นชัยเลย
   โอ พระเจ้า ฝนเทลงมาอย่างหนักอีกแล้ว จากเดิมที่ลงปรอยๆ สลับหยุด ตอนนี้เต็มพิกัดเลยครับ ปั่นไม่ได้ เส้นทางแย่ ต้องหาที่พักหลบฝนก่อน
   มองไปรอบตัวก็รกทึบไปหมด เลยเอาจักรยานจอดขนานกันสัก 2 เมตร หากิ่งไม้มาค้ำยันรถไว้ไม่ให้ล้ม ใช้กิ่งไม้วางพาดด้านบนจักรยาน สุมด้วยใบไม้ กันฝนไม่ได้หรอก แต่ลดความรุนแรงของฝนได้บ้าง อย่างน้อยก็หนาวน้อยลง
   ฝนหายตกก็มืดค่ำพอดี แล้วจะยังไงกันต่อดีล่ะครับนี่ มองหน้ากันโดยไม่ตั้งใจ แต่ใจคงคิดเหมือนกันว่า แย่แล้วเรา
   “พักกันที่นี่นะครับ” ผมพูดทำลายความเงียบ
   “ค่ะ” พิมตอบสั้นๆ
   ผมเดินออกหาฟืน แต่หาเจอก็จุดไฟไม่ติดหรอก มันเปียกแฉะไปหมด แล้วทำไงดี ผมไม่เคยนอนในป่า เห็นในสารคดี เขามักจะก่อกองไฟกัน เลยคิดจะทำบ้าง
   เดินไปสักพักจะพบแหล่งน้ำ ผมเติมจนเต็มกระติก และใช้ผ้าขาวม้าตักน้ำมาเผื่อให้พิมล้างหน้าล้างตัว
   พอพิมหายเหนื่อย ผมก็ชวนกันไปริมลำธาร ลงอาบน้ำมันตรงนี้แหละ ผมอาสาเฝ้าเสื้อผ้าให้ และเดินหนีไปไกลๆ คิดว่าเธอคงจะเขินอาย ผมลงอาบน้ำห่างไปสักหน่อย แต่ยังตะโกนถึงกันได้ มองเห็นกันแบบตะคุ่มๆ
   พออาบน้ำเสร็จก็พากันเอาโคลนริมตลิ่งมาทาตัวจนทั่วไม่เว้นกระทั้งหน้าตา มองหน้ากันแล้วฮามาก แต่เพื่อป้องกันยุง ป้องกันแมลง เราจะได้นอนอย่างสงบสุข
   อาหารเย็นวันนี้คือกล้วยป่าปิ้ง ทำโดยใช้เปลือกขุยมะพร้าวมาห่อพันกล้วย แล้วก็จุดไฟเผา พอขุยมะพร้าวไหม้หมด ก็แกะเปลือกกล้วยออกมากิน 1 หวี กินกันสองคนหมดพอดี ทั้งหมดนี้เกิดได้เพราะมีไม้ขีดอยู่ในด้ามมีดผมซ่อนไว้ 3 ก้าน และลูกมะพร้าวแก่ๆ ที่ตกอยู่บนพื้น
   นอนดูดาว กายพอกโคลน คุยกันแต่เรื่องเฮฮา ไม่ทำให้บรรยากาศน่ากลัว ผลอยหลับกันไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

เช้าวันต่อมา
   อยู่บ้านผมตื่นตี 4 ตี 5 อยู่ในป่าผมยิ่งตืนเช้าเข้าไปใหญ่ แม้เมื่อคืนจะนอนสบาย แต่ก็ไม่ได้หลับสนิทเหมือนนอนอยู่บ้านตัวเองหรอก ผมได้แต่หลับๆ ตื่นๆ กลัวพะวงโน่นนี่กับเขาเหมือนกัน บอกตามตรงว่ากลัวสัตว์ป่า โดยเฉพาะพวกที่หากินกลางคืน พวกกินเนื้อนี่แหละครับ ตัวดีเลย ก่อนนอนผมเอาขี้เถ้าขุยมะพร้าวที่ไหม้ไฟหมดแล้วมาโรยไว้รอบๆ ที่นอน คิดเอาเองว่ามันอาจกันแมลงหรือสัตว์ได้ คือกลิ่นของมันอาจกลมกลิ่นตัวของมนุษย์อย่างเราได้ไง
   ไม่รู้คิดผิดหรือถูก แต่รอดมาได้จากการไต่ตอมของแมลง และไม่มีสัตว์ใหญ่ใดๆ มารบกวน อาจฟลุ๊ค
   มองเห็นภาพตัวเองยังกะซากศพ เพราะเลอะเปรอะโคลนเต็มไปหมด มองตัวเองแล้วขำ หันไปเห็นพิมที่เพิ่งตื่นยิ่งขำเข้าไปใหญ่ แว๊บแรกที่เธอหันมา ผมส่งยิ้มปากกว้าง เพราะถ้าไม่ยิ้ม เดี๋ยวเธอคิดว่าผมเป็นผี
   ว่าแล้วก็เดินไปล้างตัวริมน้ำอย่างรวดเร็วโดยมิได้นัดหมาย เช้านี้ท้องฟ้าสดใส แต่ไม่แน่ ตอนบ่ายอาจมีฝนอีกก็เป็นได้
   ผมสอบถามพิมเรื่องการแข่งว่าเขามีให้เราค้างคืนในป่าด้วยหรือ ไม่เห็นบอกรายละเอียดเรื่องนี้เลย พิมเองก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน ผมก็ต้องเออออตามไป ก็มากับเขาแล้วนี่นา
   พากันออกเดินทางโดยไร้อาหารเช้าครับ กล้วยหมดไปตั้งแต่เมื่อคืน มีแต่น้ำในแควเต็มสองกระติกแทน ลงเนินเขาอันนี้คงจะเข้าถนนสายหลักแล้ว พิมบอกเส้นทางผมคร่าวๆ
   ผมให้พิมนำหน้า และเว้นช่วงรถไว้เหมือนแบบเดิม แล้วจู่ๆ รถพิมก็แฉลบล้มลง ขาติดกับบันไดไปด้วย สลัดออกไม่ทัน ทางเป็นเนินลาดลงพอดี เลยกลิ้งลงมาทั้งคนทั้งรถ ผมตกใจกดเบรกในตอนแรกรถท้ายปัด แต่ดึงรถกลับเข้ามาควบคุมได้ เกือบล้มตามไปอีกคน
   โชคดีไม่มีบาดแผล แต่ข้อเท้าเธอพลิก ผมให้พิมรีบถอดรองเท้าออก เพราะอีกสักพักเท้าจะบวม ถอดตอนนั้นจะยิ่งเจ็บปวดกว่าตอนนี้
   สำรวจร่างกายเสร็จพบว่ามีแค่ข้อเท้าอย่างเดียวที่บาดเจ็บ โชคดีขาไม่หักเหมือนทีมของ USA ที่เราเจอ จะว่าไปแล้วทำไมสนามมันช่างโหดสาหัสอย่างนี้หนอ
   งานเข้าแล้วสิเรา ตัวเองก็ยังเอาแทบไม่รอด ตอนนี้พิมเพื่อนร่วมทีมยังเจ็บจนปั่นไม่ได้อีก หรือเราจะต้องออกจากการแข่งขันเสียแล้ว
   ผมบอกให้พิมนั่งพัก ตัวเองเข้าป่าไป ได้ไม่ไผ่ลำยาวมา 1 ท่อน ผมใช้เชือกผูกด้านหนึ่งไว้กับหลักอาน อีกด้านผูกกับเฟรมของรถพิม ผมกะจะลากเธอออกจากป่า ไม่รู้นะ ผมคิดง่ายๆ แบบนี้แหละ
   ตอนนี้ผมได้นำหน้าแล้ว ลากพิมด้วยลำไม้ไผ่ เอาขาที่เจ็บวางพาดบนเฟรม จัดแจงท่าให้พอนั่งได้สบายหน่อยจะทำให้ควบคุมรถได้บ้าง
   โชคดีเหลือเกินที่อีกไม่นานก็เข้าถนนสายหลักแล้ว ไม่น่าจะมี่เนินเขาแล้ว เพราะผมปั่นสภาพแบบนี้ขึ้นเนินไม่ไหวแน่ และถึงแม้จะขึ้นไหว ก็ไม่กล้าขี่ลง กลัวทำรถล้ม พิมจะยิ่งเจ็บเข้าไปอีก
   นึกเอะใจมานาน ทำไมตลอดระยะทางไม่เห็นมีเจ้าหน้าที่ประจำจุดบ้างเลยหรือ หรือเป็นงานแข่งแบบแอทเวนเจอร์ เขาไม่มีเจ้าหน้าที่ก็ไม่รู้
   หมดจากทางโคลนก็เข้าทางดินดำ ออกนอกแนวป่าก็มาเป็นทางลูกรังแดง บางช่วงเละน่าดู ขี่ยาก ต้องระวัง ผมกลัวรถล้มอย่างมาก จนช่วงหนึ่งของเส้นทาง ผมขอจอดพัก เข้าป่าไปหาไม้ไผ่มาอีกท่อน ผูกไว้กับแฮนด์รถผมเพื่อคุมทิศทาง ส่วนตัวผมยืนจับแฮนด์ของรถพิมจูงเดิน หากใครมาเห็นจะพบว่าเป็นการลากจูงที่พิศดารเอามากๆ
   เข็นรถกันมาเรื่อยๆ จนถึงช่วงสายแดดเริ่มแรง เข้าถนนลาดยางก็พักกันทีเพิงร้างข้างถนน
   สักพักก็มีรถกระบะขับรี่เข้ามาจอดเทียบ มีคนวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหาพวกเรา ผมและพิมถึงกับตกใจ
   “พวกคุณปลอดภัยดีใช่ไหมครับ” ชายคนหนึ่งสอบถาม
   ผมพยักหน้าตอบ
   “เราตามหาทีมคุณกันทั้งคืนเลย คุณไปอยู่ไหนกันมาหรือ”
   เออ ผมเองก็ตอบไม่ถูกเหมือนกันว่าไปอยู่ตรงไหนนะ ก็เดินทางไปตามที่แผนที่ระบุไว้ เลยไม่ได้ตอบเขาไป
   “เจ้าหน้าที่ยกเลิกการแข่งขันไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วครับ ปล่อยตัวไปได้ไม่ถึง 10 ทีม ก็ได้รับแจ้งอุบัติเหตุหลายครั้ง”
   “ฝนตกหนักจนทำให้ทางขาดไปหลายช่วงด้วยน่ะครับ เราเกรงจะเกิดอันตราย จึงตัดสินใจยกเลิกการแข่งขันไป” เจ้าหน้าที่อีกคนช่วยเสริม
   พิมหันมามองหน้าผมแล้วส่งยิ้มให้ เหมือนกับจะบอกว่าเรารอดแล้วยังไงยังงั้น ผมพยักหน้ายิ้มตอบ เดินจูงรถทั้ง 2 คันขึ้นรถกระบะที่จอดคอยอยู่เบื้องหน้า
   
   นังอยู่ท้ายรถกระบะอยู่นานเกือบชั่วโมงก็มาถึงที่พัก ลุงนั่งรอคอยอย่างกระวนกระวาย พอเห็นผมเข้า ลุงลุกขึ้นยืนโบกไม้โบกมือ เอ๊ะ เท้าลุงหายเจ็บแล้วหรือนี่ ผมพลอยดีใจกับลุงไปด้วย
   พอรถมาจอดเทียบเท่านั้นแหละครับ ผู้คนต่างมาหุ้มรุมเราเป็นการใหญ่ ผมตกใจไม่รู้ว่าเกิดอะไรกันขึ้น มีทั้งกล้องทีวี กล้องถ่ายรูป กดกันสนั่นเลย ทำยังกับว่าผมเป็นคนดัง
   แม้การแข่งขันจะยกเลิกไปแล้ว แต่คนจัดงานแข่งเขาก็มอบเหรียญที่ระลึกให้นักแข่งกันนะ คนไม่ได้ลงแข่งคงจะเซ็งๆ แต่ก็พาทัวร์นั่งช้างลุยป่า และล่องแพแทน จะมีแค่ไม่กี่ทีมที่ได้ลงแข่งจริงๆ
   ผลการตัดสิน ทีมของ USA ได้อันดับ 1 ทีม New Zealand ได้อันดับ 2 และทีมไทย คือผมกับพิม ได้อันดับที่ 3
   โอ้โห ได้ถ้วยกับเขาด้วยโว๊ย รู้สึกดีใจเป็นบ้า พิมเองก็เช่นกัน
   ไม่ได้ยืนบนแท่นโพเดียมหรอกนะ รับมอบกันบนสนามหญ้าแบบเรียบง่าย เขาให้อันดับที่ 3 ก่อน ตามด้วย 2 และ 1 ปิดท้าย
   แล้วก็มีเซอร์ไพร์สจนได้ ทีม USA พอได้รับมอบถ้วยเสร็จ ก็เรียกผมกับพิมมายืนใกล้ๆ แล้วมอบถ้วยของเขาให้ผมแทน ยังไม่ทันหายตกใจทีม New Zealand ก็ทำบ้าง
   ผู้คนทั้งหมดยืนขึ้นปรบมือดังสนั่น ไฟแฟลชวูบวาบตาลายไปหมด ผมกับพิมถือถ้วยคนละใบและช่วยกันชูถ้วยทองใบใหญ่สุด

   นี่คืองานแข่งแอทเวนเจอร์งานแรกของผม และมันทำให้ผมติดใจรสชาติของการเดินทางด้วยจักรยานและการผจญภัยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
i drive / i race / i test / I drift
I row / I run / I fun / I ride