racing-club.net
Racing Club World => Drifting Center => Topic started by: FlukY on August 25, 2004, 11:16:48 am
-
คือว่า อยากทราบว่า เครื่อง sr20det อ่ะครับ
จะเอามา drift นี่ เทอร์โบเดิมๆ หรือว่า เปลี่ยนเทอร์โบ ใหญ่กว่าเดิม
แบบไหน จะเหมาะ สำหรับการ drift มากกว่ากันอ่ะครับ
เคย drift ทั้งสองแบบแล้ว แต่ ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
ว่ามันต่างกันยังไง ผมว่า ในการ drift เรื่องความแรง ไม่ค่อยมี บทบาท ซักเท่าไหร่
แต่ เห็น พวก ญี่ปุ่น มันทำกันแรงๆ ทั้งนั้นเลยแต่ รถ เครื่อง เดิมๆ ก็ drift ได้
เลย อยากทราบอ่ะครับ
อีกเรื่องคือ เป็นคำถาม ที่เหมือนจะไม่น่าถามเลยอ่ะครับ
แต่ อยากทราบเหมือนกัน การ drift มีหลายแบบ
ฝึก drift แรกๆ ที่ควรจะฝึกโดนัทก่อน แล้วก็ เลข 8 ใช่ป่ะครับ
แต่ถ้าเราลงสนามแล้ว วิธี drift วิธีไหน ที่ควรจะเป็นเป็น วิธีแรก
หรือว่า มันไม่ตายตัว แล้วแต่ ความถนัดของคนขับ หรือ วิธีการ drift ของ โค้งนั้น
ขอบคุณมากๆ ครับ
-
แล้วก็มีอีกอย่างที่จะให้ช่วยแนะนำอ่ะครับ
วิธี drift ให้ถูกวิธี คือต้อง set รถให้พร้อมก่อน
แต่ วิธี ซ้อมที่ถูกวิธี ควรจะทำอย่างไร
แล้ว ครวจะเริ่มจากที่ไหน วิธีไหน
เพราะผมคิดว่า ที่ผม ทำอยู่ทุกวันนี้ มันไม่ถูกวิธีอ่ะครับ
ขอบคุณอีกครั้งครับ
-
ขอโทษคร้าบ ที่ต้อง โพส บ่อยๆ เพราะ คำถามที่อยากรู้มันค่อยๆ ออกมาทีหล่ะคำถามอ่ะครับ
อีกคำถามนะครับ แล้วจะรู้ได้อย่างไร ว่า สิ่งที่เราทำอยู่ มันถูก หรือ มันผิด
ควรจะทำอย่างไร แล้วแก้ไข ได้อย่างไร จะเช๊คได้ยังไง
แล้วที่เค้าพูดกานว่า drift แต่หล่ะคนไม่เหมือนกัน มันแล้วแต่ style ของแต่หล่ะคน
style แต่หล่ะคน มันต่างกันที่ตรงไหน อ่ะครับ
ถ้ามีคำถามอีก จะเอามาถามเรื่อยๆ นะครับ
ขอบคุณคร้าบ
-
คือว่า อยากทราบว่า เครื่อง sr20det อ่ะครับ
จะเอามา drift นี่ เทอร์โบเดิมๆ หรือว่า เปลี่ยนเทอร์โบ ใหญ่กว่าเดิม
แบบไหน จะเหมาะ สำหรับการ drift มากกว่ากันอ่ะครับ
เคย drift ทั้งสองแบบแล้ว แต่ ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
ว่ามันต่างกันยังไง ผมว่า ในการ drift เรื่องความแรง ไม่ค่อยมี บทบาท ซักเท่าไหร่
แต่ เห็น พวก ญี่ปุ่น มันทำกันแรงๆ ทั้งนั้นเลยแต่ รถ เครื่อง เดิมๆ ก็ drift ได้
เลย อยากทราบอ่ะครับ
อีกเรื่องคือ เป็นคำถาม ที่เหมือนจะไม่น่าถามเลยอ่ะครับ
แต่ อยากทราบเหมือนกัน การ drift มีหลายแบบ
ฝึก drift แรกๆ ที่ควรจะฝึกโดนัทก่อน แล้วก็ เลข 8 ใช่ป่ะครับ
แต่ถ้าเราลงสนามแล้ว วิธี drift วิธีไหน ที่ควรจะเป็นเป็น วิธีแรก
หรือว่า มันไม่ตายตัว แล้วแต่ ความถนัดของคนขับ หรือ วิธีการ drift ของ โค้งนั้น
ขอบคุณมากๆ ครับ
โห ถามเข้าทางผมแบบนี้ถ้าเป็นนิตยสารรับรองว่าฝอยได้เป็นสิบหน้า !!! จริงๆ นะ ไม่ได้โม้
เป็นคำถามที่ดีมากครับ เชื่อว่าหลายคนเองก็อยากรู้เหมือนกัน ไม่ได้จำกัดวงเฉพาะแต่พวกดริฟท์หรอกเชื่อผมสิ เข้าเรื่องเลยดีกว่า
เรื่องเทอร์โบ และความเร็ว
- ถามตัวเองก่อนครับว่าจะเล่นกันที่ความเร็วสูงหรือต่ำ กะเอาง่ายๆ ว่าขณะดริฟท์ส่วนใหญ่คุณใช้เกียร์ไหนกัน ถ้าเป็นเกียร์ 2 ก็ถือว่าความเร็วต่ำ แต่ถ้าเป็นเกียร์ 3 อันนี้ผมเรียกความเร็วสูง ผมกะแบบง่ายๆ สไตล์ผมเองนะ ไม่ได้อิงมาตรฐานหรือก๊อปลอกขี้ปากใครเขามาบอกต่อ
- สำหรับตัวผมแล้วส่วนใหญ่ผมดริฟท์ที่เกียร์ 2 ครับ ทั้งที่สนาม BRC และ Thailand Circuit ต่างก็ใช้เกียร์ 2 เหมือนกัน แต่ถ้าสนามไหนมีทางตรงยาวให้ส่งมาแรงๆ ได้แบบนี้สนุกครับ ผู้ขับสามารถสร้างโมเมนตัมตุนไว้ได้เยอะ โยนเข้าโค้งแรงๆ แล้วสามารถทำ Zero Countersteer แบบลากยาวได้ อันนี้สุดยอดมากเลย
- แต่จะเกียร์ไหนก็เถอะ ถ้าอยากได้แรงเราก็สามารถปรับบูสท์จากเทอร์โบเดิมได้นี่หว่า ขออินเตอร์คูลสักใบ ท่ออีกเส้น นี่ถ้าได้กล่องโมฯแบบปรับตั้งโปรแกรมได้ล่ะก็ ผมว่าจะเอาเพิ่มอีกสัก 100 ม้าก็ยังไหว อ้อ ขอหัวฉีดใหญ่ๆ อีกชุดนะ หึหึ
- สมัยก่อนผมก็เล่นแบบขับช้าครับ แต่รถมันไม่อำนวย ก็เลยต้องขับเร็วแทน คือขับช้าแล้วมันดริฟท์ไม่ได้ครับ รถคันเก่าผมแค่ 92 ม้า (ที่ล้อ) เท่านั้นเอง ดีตรงรถเบาก็เลยเหนื่อยน้อยหน่อย รถคันปัจจุบันมีประมาณ 170 ม้า (ที่ล้อ) ก็เล่นสบายไปเลย แค่นี้มันก็แรงมากสำหรับผมที่จะดริฟท์ใน BRC แล้วล่ะ
เรื่องพื้นฐานก่อนการดริฟท์
- เริ่มจากโดนัท แล้วตามด้วยเลขแปด อันนี้ถูกต้องแล้วครับ บอกซะก่อนว่าอันนี้เป็นการฝึกสไตล์ผมล่ะ ไม่ได้เลียนแบบมาจากดริฟท์ไบเบิ้ลที่เขาฮิตดูกัน คนละแบบกัน
- ส่วนถ้าลงสนามแล้วจะเล่นแบบไหนเป็นวิธีแรกดี อันนี้ตอบยากครับ ขึ้นอยู่กับโค้งมากกว่า ถ้าเจอหักศอกขวางหน้าก็ต้องหัดกันไปตามนั้น เช่นเดียวกับเจอโค้งยูที่เราก็ต้องปรับแต่งไลน์ของเราเองน่ะแหละ ใช้พื้นฐานทักษะที่เราฝึกจากโดนัทและเลขแปดมาประยุกต์ซะ
- มันจะมาสำคัญเอาตอนว่าจะทำให้รถดริฟท์ด้วยวิธีใดต่างหาก อันนี้ไม่ได้ถาม แต่ผมต้องบอก เช่นเดียวกับที่ผมเขียนไว้ในนิตยสาร Automobil Racing Cars เมื่อราวปี 96 ว่า วิธีการดริฟท์นั้นมี 6 วิธี
1 กระแทกคันเร่ง
2 เบรก
3 ลดเกียร์
4 ดึงเบรกมือ
5 ย้ำคลัตช์
6 โยนรถเข้าแรงๆ
* แถมยังมีเทคนิคพิเศษคือสามารถนำข้อใดข้อหนึ่งมารวมกันได้อีกเสียด้วย เช่นทางตรงยาวส่งมาแรงๆ พอโค้งก็เบรกเต็มๆ แล้วชิฟเกียร์ลง จากนั้นก็ดริฟท์เข้าซะ / หรือสถานการณ์โค้งเดียวกันนี้แหละ แต่พอถึงจุดเบรก ผมกลับโยนรถให้มันสไลด์เป๋ไปข้างหนึ่ง พอเข้าใกล้โค้งก็สะบัดรถกลับอีกด้าน แล้วก็กดส่งดริฟท์เข้าโค้งไปเลย
- เทคนิค ทักษะ มันไปควบคู่กันตลอดเลย แต่เล่นนานๆ ก็มึนเหมือนกัน เคยทำผิดด้วยคือชิฟเกียร์ผิดจังหวะ ส่งผลให้รถตั้งลำผิดไป คุมไม่อยู่ สไตล์ตกถนนไปเลย ฮ่าๆ
-
แล้วก็มีอีกอย่างที่จะให้ช่วยแนะนำอ่ะครับ
วิธี drift ให้ถูกวิธี คือต้อง set รถให้พร้อมก่อน
แต่ วิธี ซ้อมที่ถูกวิธี ควรจะทำอย่างไร
แล้ว ครวจะเริ่มจากที่ไหน วิธีไหน
เพราะผมคิดว่า ที่ผม ทำอยู่ทุกวันนี้ มันไม่ถูกวิธีอ่ะครับ
ขอบคุณอีกครั้งครับ
อย่าเพิ่งกังวลไป ตราบใดที่คุณมิได้คาดหวังผลจากการซ้อมแล้วล่ะก็ ไม่มีการซ้อมใดไม่ถูกต้องครับ
แต่การซ้อมที่ดีควรกำหนดเป้าหมาย และวิธีการไว้ล่วงหน้า ผมเองก็ทำแบบนี้ทุกครั้ง เพราะการซ้อมแบบเลื่อนลอยนั้นทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันและยางโดยได้แค่ความสนุกกลับคืนมา
มันจะมาสำคัญตรงที่โค้งแบบใดควรใช้เทคนิคแบบใดดริฟท์เข้า (ถึงตอนนี้ให้ย้อนขึ้นไปดู 6 วิธีในการทำให้รถเกิดอาการดริฟท์ข้างต้นอีกรอบ) และถ้าเราเล่นไปสักพักก็จะเริ่มรู้อีกว่าถ้าเราพอจะขับดริฟท์ได้แล้ว เราก็สามารถทำทั้ง 6 วิธีในโค้งๆ เดียวกันก็ยังไหว (ทำที่ละวิธีล่ะ) แต่วิธีไหน รูปแบบใดนั้นจะเหมาะก็เป็นอีกเรื่อง อันนี้อยู่ที่สภาพยางและการเซ็ทรถเป็นหลัก
ยกตัวอย่าง งานซ้อม สถานการณ์ตัวผมเอง ขับเข้าโค้งหักศอกแคบ
- ผมชอบเริ่มต้นด้วยการขับเข้าแรงๆ สุดทางตรงก็เบรกแรงๆ พร้อมทำ Down Shift แล้วก็ดริฟท์เข้าโค้งไป
- พอเล่นไปสักพักก็อาจเปลี่ยนวิธีเป็นโยนรถเข้าแรงๆ แล้วไปลดเกียร์ตอนใกล้ๆ โค้ง อันนี้สำคัญที่จัวหวะปล่อยคลัตช์ รถกระตุกแรงๆ จะทำให้หมุน 180 องศาได้ง่ายๆ ต้องเลี้ยงคันเร่งช่วย
- แต่ที่มันสุดก็คือการดริฟท์สองจังหวะ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าฝรั่งเขาเรียกอะไร คุ้นๆ ว่า Faint Drift นะ แต่ไม่ชัวร์ แต่พวกแรลลี่เรียก Scandinavian Figuration คนไทยเอาง่ายเลย เรียก "ฟิก" ซะดื้อๆ ได้ยินครั้งแรกงงไปเลย งงอยู่เป็นเดือนเลยแหละ อิอิ วิธีการทำก็คือถ้าเป็นโค้งซ้ายผู้ขับก็จะดริฟท์ให้หัวรถเบนออกขวามาแต่ไกลเลย พอใกล้โค้งค่อยดริฟท์เข้าไลน์ซ้ายตามปกติ วิธีนี้มันจริงๆ เพราะรถจะสไลด์ได้ยาวมากๆ แน่นอนว่าเปลืองยางน่าดูชม
-
ขอโทษคร้าบ ที่ต้อง โพส บ่อยๆ เพราะ คำถามที่อยากรู้มันค่อยๆ ออกมาทีหล่ะคำถามอ่ะครับ
อีกคำถามนะครับ แล้วจะรู้ได้อย่างไร ว่า สิ่งที่เราทำอยู่ มันถูก หรือ มันผิด
ควรจะทำอย่างไร แล้วแก้ไข ได้อย่างไร จะเช๊คได้ยังไง
แล้วที่เค้าพูดกานว่า drift แต่หล่ะคนไม่เหมือนกัน มันแล้วแต่ style ของแต่หล่ะคน
style แต่หล่ะคน มันต่างกันที่ตรงไหน อ่ะครับ
ถ้ามีคำถามอีก จะเอามาถามเรื่อยๆ นะครับ
ขอบคุณคร้าบ
ฮ่าๆ อันนี้ง่ายมากครับ เพราะถ้าเราขับผิด รถก็จะตอบสนองแบบผิดๆ ส่งผลให้อาการรถติงต๊องไป ที่พบเห็นบ่อยๆ ก็คืออาการ "ม้วน" ผมเองก็ม้วนประจำครับ มีทั้งลองผิดลองถูกจนม้วน และม้วนแบบผมพลาดเอง คือไม่ตั้งใจ แต่มันเสือกม้วน เฮ้ออ เซ็งจริงๆ เล้ยยยย
- วิธีแก้ไขก็คือขณะขับเราต้องตั้งใจ ต้องรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ คือต้องมีสติ ไม่ได้จะเอามันอย่างเดียว ต้องรู้จักคิด วิเคราะห์ ถ้ายังไม่รู้ เราก็จะประเมินตัวเองไม่ได้ คนอื่นก็ยิ่งประเมินเรายากเข้าไปใหญ่ ก็ขนาดตัวเอ็งเองยังไม่รู้ แล้วเทวดาจากไหนจะมารู้กับท่านล่ะจ๊ะ
สไตล์ของแต่ละคนต่างกัน
- ต่างกันจริงๆ ครับ ยกตัวอย่างตัวผมเองอีกรอบ ผมชอบขับเร็วมากๆ พุ่งส่งเข้าโค้งแรงๆ ไปเลย ส่วนจะใช้เบรก หรือลดเกียร์ก็ค่อยมาว่ากัน แต่มีรุ่นน้องอีกมากที่เล่นแบบ Play Safe คือขับมาปานกลาง แล้วใกล้โค้งก็เร่งส่งแรงๆ ดริฟท์เข้า / วิธีของผมดุดัน แต่อันตราย พลาดง่ายด้วย แต่วิธีอีกอันนี้เน้นปลอดภัย ไม่ค่อยพลาด แต่ถ้าพลาดก็แค่ยกคันเร่งหน่อยก็จบ เอาเข้าจริงผมแนะนำวิธีหลังมากกว่าครับ สบายใจด้วย แต่ถ้าขับแบบนี้ขอเครือ่งแรงหน่อยก็ดีครับ กันพลาด
ถามมาได้ตลอด ถามทุกวัน ผมก็ไล่ตอบให้ทุกวันครับ
-
ขอบคุณคร้าบพี่เปิ้ล แต่ มีอีกคำถามอ่ะครับ
เกี่ยวกับ heel and toe
ถ้าเราทำไม่คล่อง จะมีผลกระทบไดๆ ต่อการ drift หรือเปล่าครับ
แล้วมันจำเป็นมากมั้ยในการ drift แต่ผมว่าถ้าทำไม่เป็นก็ยัง drift ได้นะครับ
แล้วทำอย่างไรถึงจะถูกวิธี แล้วควรจะทำ ณ เวลา ขณะไหน
แนะนำด้วยคร้าบ เพราะผมเองก็ทำไม่คล่องเหมือนกัน เลยไม่ทำ อ่ะครับ
อ๋อ มีอีกอย่าง สงสัยมานานมากๆ แล้ว เกี่ยวกับล้อ
ล้อหน้ายางกว้าง กับ ล้อหน้ายางแคบ ต่างกันอย่างไร
แล้วแบบไหน ดีกว่าอ่ะครับ
ขอบคุณมากๆ ครับ
-
Heel & Toe ทำตอนลดเกียร์ลง ผลที่ได้คือรถจะสมูธธธธ นุ่ม ราบรื่น ไม่กระตุก ไม่กระชาก ถ้าใครทำแล้วรถกระตุกก็คือยังไม่สมบูรณ์ เรียกว่าถ้าทำแล้วผิดก็อย่าทำดีกว่า ทำนองได้ไม่คุ้มเสีย
Heel & Toe ไม่ได้ถึงขั้นว่าจำเป็นสำหรับการดริฟท์ครับ มีนักขับนักแข่งอีกมากที่ไม่ได้ใช้ Heel & Toe เลย แต่ตัวผมถนัดที่จะทำ Heel & Toe เพราะฝึกมาแบบนี้ประจำครับ เรียกว่าติดเป็นนิสัย หากเข้าโค้งเต็มคันเร่งเมื่อไหร่เป็นได้เรื่อง แต่ถ้าเข้าแบบไหลๆ หรือย่องเข้า อันนี้ไม่ค่อยทำ Heel & Toe สักเท่าไร
ช่วงเวลาที่ทำ Heel & Toe ก็คือช่วง Down Shift ครับ ทำตอนสุดทางตรงน่ะแหละ ถ้าทำไม่คล่องก็ไม่ต้องทำครับ ไม่ผิด
ล้อ ยาง หน้ากว้าง / หน้าแคบ
- โห ถามอะไรของมันวะ ช่วงแรกๆ ถามละเอียดดีตลอด มาดูคำถามนี้ดิ หึหึ
เอาๆ จะลองตอบดู หวังว่าคงจะเดากันถูกทาง ถ้าไม่ถูกทางก็ถามมาใหม่ละกัน ตอบกันอีกรอบก็ไม่ใช่ปัญหา
ยางหลังหน้าแคบ
ข้อดี
- สไลด์ง่าย
- ราคาถูก
ข้อเสีย
- ยึดเกาะไม่ดีพอ
- บางครั้งรู้สึกลื่นมากเกินไป คุมท้ายลำบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเครื่องแรงๆ
ยกตัวอย่างตัวผมเอง (อีกแล้วๆ )
- ถ้ารถไม่แรงพอ ผมก็ต้องใช้ยางหลังเล็กๆ หน่อย จะได้ไม่กินแรงเครื่องมาก
- แต่ถ้ารถมีแรงพอ ผมขอยางหลังใหญ่นิดหน่อย เพราะผมขับเร็ว ไม่ได้ย่องเข้า
- ถ้ารถแรงเหลือๆ อย่างคันเก่า Supra ธนูไฟ นี้ผมเล่นยางหลังกว้าง 10 นิ้วเลยด้วยซ้ำไป ดริฟท์มันมากๆ เข้าไลน์แล้วไม่หลุดเลย คือสไลด์ได้ราวกับจับวาง สามารถคุมให้ท้ายส่ายมากขนาดไหนก็ได้ ถ้าเซ็ทรถได้แบบนี้ล่ะก็ โค้งแคบๆ หรือถนนโหดๆ ก็กล้าเล่นครับ
* ในภาพกำลังขับถอยหลังหมุนรถกลับ 180 องศา ที่สนาม BRC
ปล. คิดถึง Supra ธนูไฟ มากๆ ครับ
-
:) คำถามดีครับอยากรู้อะไรต้องถาม :o คำตอบน่าจะตอบให้ครบสิบหน้าพร้อมภาพประกอบนะ ดีครับชอบ :P
-
:) คำถามดีครับอยากรู้อะไรต้องถาม :o คำตอบน่าจะตอบให้ครบสิบหน้าพร้อมภาพประกอบนะ ดีครับชอบ :P
!!! ตอบกันสิบหน้านิตยสารนี้พอไหวครับพี่ เพราะมีรูปแทรกประกอบด้วย แต่ถ้าตอบกันสิบหน้าเวป หึหึ ไม่ไหวๆ นิ้วหงิกแหงเลยอ่ะ :)
-
มีคำถาม มาถามอีกแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเป็นคำถามงี่เง่าเปล่า แต่ ผมอยากรู้อ่ะครับ
ช่วงนี้ ที่ออส ฝนตกบ่อยๆ ถนนก็ลื่น สนุกสนานกันใหญ่ แล้ว เมื่อ เสาร์ อาทิตย์ที่ผ่านมา
มี ลูกเห็บ ตกมาด้วย ปนๆ หิมะนิดหน่อย ไม่คิดว่า จะเกิดขึ้นใน sydney
ช่วงนี้ ก็ ขับรถ ตอน ฝน ตกออกบ่อย เลย ได้เล่นบ้างนิดๆ หน่อยๆ ระหว่างที่ ถนนเปียกๆ
ข้อที่สงสัยมีอยู่ว่า เวลา ฝนตก ถนนลื่น เวลาเรา drift เนี่ย ต่างจาก การ drift ในถนน ปรกติ
แรงที่ใช้ก็ต่างกัน แต่การควบคุมรถเนี่ยก็ ต่างไปด้วย ถนนลื่น ฝนตก จะคุมยากกว่าหน่อย
แต่ อยากทราบ ข้อแตกต่างทั้งหมด ของ ถนนแห้ง แระ ถนนลื่น ฝนตก และ ฝนไม่ตก
มีผลกระทบต่อการ drift อะไรบ้าง แล้ว รถควรจะ set up ต่างกัน หรือว่า เหมือนกัน
ผมไม่รู้ว่า ผมจะตั้งคำถามที่ตรงกับที่อยากรู้ได้อย่างไรอ่ะครับ
หวังว่าพี่เปิ้ล คงจะเข้าใจนะครับ ว่าผมอยากรู้อารายอ่ะครับ
อีกเรื่องคือ ความร้อน ของ ยาง วันที่ หนาวมากๆ ลูกเห็บตกอ่ะครับ
ผมก็ลอง drift ดู ตอนที่กำลังขับกลับบ้าน เล่นอยู่นานเหมือนกัน
ผมรู้สึกว่า เวลา อากาศ มันหนาวๆ อ่ะ ยางรถยนต์ มันให้อีกความรู้สึกนึง
ซึ่งต่างจากเวลา ปรกติ เลย อยากจะรู้ว่า ความเปลี่ยนแปลง ของความร้อนของยาง
หรือ ความเย็น ของยาง มัน ส่งผล อะไรใน การ drift บ้างอ่ะ
ผม พวก ขับๆๆๆๆ ไม่ค่อย รู้ ข้อมูล อะไรซักเท่าไหร่ เวลาเจออะไรแปลกๆ
ก็ สงสัยๆ แต่ไม่ก็ไม่เข้าใจอ่ะครับ อย่างเวลา ถนนลื่นๆ รถคุมยากกว่า
ลื่นกว่า ท้ายออกง่ายกว่า ผมก็แก้ โดยการคุม รถให้มันอยู่ๆ เหมือนในสภาพปรกติ
แต่ ผม พลาด บ่อยมาก เวลา ฝนตก หมุ่นมาหลายครั้ง ยังไงก็ช่วยแนะนำด้วยคร้าบบ
เรื่อง ฝนตก กับ ความร้อนเย็น ของ ยาง
-
ไม่มีคำถามใดงี่เง่าหรอก ขอให้ถามเพราะสงสัย เพราะอยากรู้จริง ผมยินดีตอบตามภูมิ
แหม ...เจ้าหมอนี่ถามได้สุดยอดจริงๆ นี่แหละครับ ตัวอย่างของคนที่เล่นดริฟท์อย่างจริงจัง ผมว่าถ้าฟลุ๊คมาอยู่ไทยเมื่อไหร่รับรองได้เรื่องแน่ๆ เลย
คำถามมีสองประเด็น ผมขอสรุปคำถามให้คนที่ติดตามอ่านจะได้เข้าใจ
1 เรื่องฝนตก ควรขับอย่างไร แตกต่างจากตอนฝนไม่ตกอย่างไร และต้องเซ็ทรถต่างกันไหม
2 เรื่องยาง ความเปลี่ยนแปลง ของความร้อนของยางหรือ ความเย็นของยางมันส่งผลอะไรในการ drift บ้าง
1 เรื่องฝนตก
ยิ่งเล่นก็ยิ่งอยากรู้เป็นเหมือนผมไหมครับ ผมเองก็เคยอยากรู้ในคำถามแบบที่ฟลุ๊คถามมาเช่นกัน โดยเฉพาะเรื่องการดริฟท์ขณะผิวถนนลื่นหรือฝนตก เล่นตอนถนนเปียกลื่นนี้ก็สนุกไปอีกแบบครับ ข้อควรระวังอย่างเดียวก็คือ "ห้ามพลาด" เพราะเดี๋ยวจะไม่สนุกแน่ๆ
- ผมเคยดริฟท์ตอนฝนตกอยู่หลายครั้ง ตอนถนนเปียกชื้นมากๆ หลังฝนตกก็เคยบ้างเหมือนกัน แต่เซ็ทติ้งของผมไม่ได้ต่างกันเลยนะ เล่นพื้นแห้งหรือพื้นเปียกก็เซ็ทเหมือนกันหมด
สิ่งที่จะได้สัมผัสหากดริฟท์ขณะฝนตกหรือผิวถนนเปียก
- โมเมนตัมของรถสำคัญอย่างมาก (ปกติก็สำคัญมากอยู่แล้ว)
- กริปของยางจะลดลงอย่างน่าใจหาย
- การตอบสนองของรถจะแปลกไป ผู้ขับจะจับอาการรถได้ยากขึ้น
แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ
ก็ไม่ต้องทำอะไรครับ ขับมันแบบเดิมเหมือนตอนถนนแห้งนี้แหละ แต่มีสิ่งที่อยากให้เพิ่มเข้าไปดังนี้
- ทำอะไรก็มีการเผื่อเอาไว้บ้าง เช่นกดคันเร่งเผื่อไว้ หักพวงมาลัยเผื่อไว้ อะไรทำนองนี้ คำว่าเผื่อนี้ ผมหมายถึง "ก่อน" เช่น หากอยากจะให้ล้อฟรีตรงจุดนี้ ก็ทำให้มันฟรีก่อนล่วงหน้านิดหน่อย หรืออยากจะเลี้ยวตรงจุดนี้ ก็เลี้ยว "ก่อน" จุดจะเลี้ยวจริงนิดหนึ่ง แต่ต้องไม่ลืมด้วยนะครับว่าโมเมนตัมของรถสำคัญมากๆ จะเลี้ยว เร่ง หรือเบรก ก็ต้องดูโมเมนตัมของรถเราในขณะนั้นด้วย ให้ความสำคัญของโมเมนตัมเป็นอันดับหนึ่งครับ
2 เรื่องยาง
บุคลิกของยางขณะร้อน
- กริปดี
- ร้อนมากเกินไปก็จะเสื่อม อาการเสื่อมนี้แสดงออกได้หลายอย่าง เช่น หลุดเป็นเกล็ด เป็นเม็ด เป็นเส้น บวม ปูด หลุด ร่อน ฯลฯ และหากยังไม่เลิกยางก็จะระเบิดในไม่ช้า
บุคลิกของยางขณะเย็น
- กริปน้อย
- เล่นแล้วยางไม่ค่อยสึก
- ลื่นมาก สไลด์แล้วคุมยาก ทางแก้คือทำอะไรแบบ "เผื่อ" เข้าไว้ (ทำเหมือนตอนขับถนนเปียก)
ที่นี้มาดูกันว่าปัญหาของเราคืออะไร
- สไลด์แล้วคุมยากใช่ไหม
- พลาดบ่อยใช่ไหม
- เราขับดริฟท์ด้วยความเร็วที่ลดลงกว่าปกติมากเกินไปด้วยไหม
ถ้าคำตอบว่า "ใช่" ทั้งหมด
- แปลว่าเรายังไม่คุ้นกับการเล่นขณะยางเย็น ไม่ต้องตกใจ แต่เล่นไปสักพักก็จะจับอาการได้เอง
ถ้าคำตอบว่า "ใช่" สักข้อหรือสองข้อ
- แปลว่าฝีมือเราพอใช้ได้ ที่เหลือก็คือเรื่องของการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า หัดจับอาการตอบสนองของรถให้ดีกว่านี้ รับรองอนาคตไกล
-
วันนี้ จะมาถามเรื่อง LSD หล่ะครับ
คือ มันมี 1 , 1.5 , 2 ways ใช่ป่ะครับ
ผมรู้การทำงานของมัน แต่ ผมขับประจำ คือ 1 way
แล้วผมเคยไปขับ 2 ways ผมว่า มันขับยากนะ แบบว่า แปลกๆ มันไม่เหมือนกัน
รถที่มาจาก โรงงาน มันก็มากับ 1 way ใช่ป่ะ ผมว่า มันเป็นอะไรที่ ขับง่าย สบาย ที่สุดแล้วอ่ะ
แล้วทำไม มันต้องมี 1.5 and 2 ways ออกมาด้วย มันช่วยให้ drift ง่ายขึ้นหรอครับ
แต่ถ้าคำตอบคือว่า ใช่ มันทำให้ ง่ายขึ้น ผมไม่เห็นด้วยอ่ะ ผมว่า ยากมากกว่า
เพราะจังหวะ และ วิธีการคุมตัวรถ ที่มี LSD ต่างกัน ผมว่ามันต่างกันออกไป
แล้ว basic ที่สุดคงเป็น 1 way เพราะว่า 2 ways มันยากมากอ่ะ ผมพูดได้เลย ว่า ผมขับไม่ได้อ่ะ
แล้วคนที่เค้าใส่ LSD ที่ต่างกันไป เค้าใช้ งานต่างกันหรอครับ หมายถึงคนขับนะ ไม่ใช่ LSD
เพราะว่า LSD มันทำงานต่างกันอยู่แล้วอ่ะ แล้ว LSD ประเภทไหนดีที่สุด เพราะที่ผมเล่นๆ มา
ผมใช้ แต่ 1 way หรือว่า ไม่เกี่ยวกัน ตัวไหนก็ได้ แล้วแต่ ความถนัด
เพื่อนผม จาก ของเดิม โรงงาน แล้วเค้าเปลี่ยนไปเป็น 2 ways ความคิดเห็นของผมคือ
มันขับแย่ลงกว่าเดิม ไม่เหมือนตอนก่อนเปลี่ยน การขับ เปลี่ยนไป ซึ่งไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม
ผมถามมัน มันบอกว่า แปลกๆ แต่ ซักพักคงชิน นี่ก็ จะสามอาทิตย์แล้ว ไปนั่งรถมันมา
ก็ยังขับไม่ดี เท่ากับของเก่า มันใช้เวลาการปรับตัวนานขนาดนี้เลยหรอ แค่ LSD อย่างเดียว
ผมอยากจะลองเปลี่ยน ลองเล่น แบบ อื่นดูบ้าง ที่ไม่ใช่ 1 way แต่พอเห็นแบบนี้แล้วกลัว
เลย มาลองถามก่อนดีกว่า เพราะอย่างที่บอก เคยลองแล้ว สองสามครั้ง แต่ไม่ได้ ลองแบบจริงๆจังๆ
เพราะไม่ใช่ รถของเราเอง กลัวพลาดแล้ว มันจะไม่ดี ผิดใจกับเพื่อน
แล้วผมขอคำแนะนำด้วยคร้าบ ถ้าผมจะเปลี่ยน LSD ผมควรจะเปลี่ยนใช้ แบบไหน
ขอบคุณคร้าบบบ
-
ฟลุ๊คมาแต่ละครั้งก็มาพร้อมกับปัญหาที่โดนใจผมจริงๆ ด้วยเหตุนี้ถึงยกกระทู้ไว้บนสุดให้เลย มีประโยชน์สำหรับผู้สนใจและกำลังจะศึกษาอีกด้วย
โดยส่วนตัวผมเริ่มเล่นจาก Viscous LSD ซึ่งไอ้พวกนี้มันเป็นแบบ 1 way ทิ้งระยะไปหลายปีก็เล่นแบบ Torsen LSD ซึ่งมันก็เป็นแบบ 1 way อีกเช่นกัน
จนกระทั่งคันล่าสุดนี้ผมทำไปเยอะ ใช้ Nismo 2 way LSD
- แต่ก่อนหน้านั้นตอนที่ผมยังไม่รู้จักคำว่าดริฟท์ ผมเล่นสาดโค้งแบบแรลลี่ (ขับบนทางเรียบ) แบบ No LSD มาก่อน เริ่มหัดสาดโค้งแบบนี้ตรงจุดกลับรถใต้สะพานลอยสุทธิสาร (ปัจจุบันทุบทิ้งไปแล้ว) ผมสาดจนรถสไลด์เช่นนี้ทุกเช้าตอนขับรถไปเรียน ขับอยู่นานก็ยังไม่รู้ว่าเรียกว่าดริฟท์
ฟลุ๊คเข้าใจถูกต้องแล้วครับว่า 1 way LSD ขับง่ายสุด ขับบนท้องถนนแบบเจอที่ไหนก็เล่นได้เลย แถมยังไม่ต้องขับเร็วพุ่งส่งรถเข้าโค้งให้เสียวอีกด้วย คือขับมาเรื่อยๆ ย่องๆ เข้า พอโค้งก็กระแทกคันเร่งแรงๆ ถ้าเครือ่งมีแรงบิดมากพอก็สามารถทำดริฟท์ได้แล้ว
- อีกทั้งยังแก้อาการรถได้ง่าย สมมุติว่าขณะดริฟท์แล้วเริ่มหลุดไลน์ ผู้ขับก็แค่ยกคันเร่ง แล้วประคองรถ จะเบรกเพิ่มไหมก็สุดแท้แต่สถานการณ์
- แต่ถ้าเป็น 2 way LSD แล้ว ตอนเราถอนคันเร่งรถก็จะยังคงมีแรงส่งมาอยู่อีกนิดหน่อย (อันนี้มากน้อยตามความเร็วและโมเมนตัมของรถ) จุดนี้เองที่ทำให้ผู้ขับประคองรถได้ยาก จะเลี้ยว จะเบรก หรือทำอะไรดูมันจะลนลานไปเสียหมด เพราะคุมรถไม่ได้ดั่งใจ เผลอๆ รถจะแกว่ง สะบัดแบบคุมไม่ได้ เอาเสียด้วย
ถ้าเป็นเช่นนี้ก็แสดงว่าฟลุ๊คถนัดที่จะใช้ LSD แบบ 1 way ครับ สำหรับการดริฟท์แล้วมันไม่มีกฏเกณฑ์ในการเลือกใช้ของ ไม่มีกฏเกณฑ์ในการแต่ง กระทั่งไม่มีกฏในการเซ็ทรถใดๆ
- ทำอย่างไรก็ได้ ขอให้เราขับมันให้ดริฟท์ผ่านโค้งๆ นี้ไปได้ตามที่ใจเรานึกภาพไว้
ส่วนคนอื่นที่เขาเลือกใช้แบบ 1.5 way หรือ 2 way นั้นมันเป็นกระแสด้วยครับ คือแต่งรถตามกันไง ผมเองก็ยอมรับว่าแต่งตามเขาในจุดนี้ แต่ผมเป็นคนชอบลอง เห็นโปรเขาเล่น 2 way ก็เอาบ้าง อิอิ
- แต่ก็ทำใจไว้แล้วนะว่า ถ้าเล่นแล้วไปไม่รอดก็จะถอดขายเหมือนกัน และเตรียมหาแบบ 1.5 way มาเล่นต่อ โชคดีที่ผมเข้ากับมันได้ดีมาก เลยใช้อยู่จนถึงทุกวันนี้
- มันก็ต้องมีคนไม่ถนัดบ้างแหละ แบบนี้ก็ต้องใช้เวลาปรับตัวกันหน่อย ปรับได้เร็วก็ดีไป ปรับได้ช้าก็ต้องลุ้นว่าอันไหนจะพังก่อนกัน คนหรือรถ ฮ่าๆ อันนี้ไม่เกี่ยวกับ LSD อิอิ ผมถึงบอกเสมอไงครับว่า "อย่าแต่งรถตามกัน"
LSD ที่ดีสุด ก็คือ LSD ที่เราพอใจครับ
- ความพอใจของเรามันระดับไหนกันล่ะ ขับช้าๆ ไหลเข้าโค้ง แล้วก็กระแทกคันเร่ง ถ้าแบบนี้เล่น LSD แบบใดก็ได้ ของเดิมติดรถก็รับไหว
- หากเพิ่มความเร็วอีกนิด ส่งรถเข้าแรงหน่อย แบบนี้เลือก 1 way
- แต่ถ้าชอบขับเร็วมากๆ โยนรถเข้าแรงๆ หลุดเป็นหลุด ไม่กลัวตาย ขับแบบนี้แนะนำ 2 way
สำหรับฟลุ๊ค ควรเลือกใช้ 1 way LSD ครับ
- ก่อนซื้อต้องพิจารณาดูว่ามันจะต้องใช้หน้าแปลนเพลาข้างแบบใด (โดยมากจะใช้กับหน้าแปลนเพลาข้างของเดิมติดรถได้เลย) มีบางยี่ห้อเขาต้องใช้หน้าแปลนของเขาด้วย ซึ่งเขาจะมีแถมมาให้ อย่าลืมทวงถามมาด้วย
- เล่นโหดๆ ก็ต้องหมั่นเช็คน้ำมันในเฟืองท้ายด้วย อันนี้สำคัญมาก เปลี่ยนถ่ายปีละหน
- เลือกได้สารพัดยี่ห้อ ราคาพอๆ กัน ดูบริการหลังการขาย และเรื่องอะไหล่ ชุดรีบิวท์เป็นสำคัญครับ ถ้าเป็นใจผม จะเลือก Tomei
-
มีวิธีดริฟท์สำหรับรถที่ไม่ค่อยมีกำลังไหมครับ แบบประมาณ 40 - 50 ม้าที่ล้ออะครับ
-
รถแรงน้อยก็ต้องใช้โมเมนตัมช่วยครับ
โยนรถเข้าไปแรงๆ เลย ถ้าผ่านทะลุถึงกลางโค้งได้ก็พอมีลุ้นครับ แต่มีข้อแม้นะว่ารถต้องไม่หนักจนเกินไป และบาลานซ์ดีพอควร ไม่งั้นมีม้วน อิอิ
-
พี่เปิ้ลครับ มี คำถามเรื่อง BMW 318is เกียร์ธรรมดา อ่ะครับ
ช่วงนี้ขับอยู่ มัน drift ยากจังเลยอ่ะ ตูดออกยากมากๆ
แต่ เกาะโค้งดีมากๆ พอโยนเข้าไป มันดันกลายเป็น เข้าโค้ง เนียร์ๆ อ่ะ
แต่พอถนนลื่น ตูดออกง่ายมาก แต่ ยัง drift ไม่ได้อยู่ดี ตูดมันดึงกลับมาอ่ะครับ
พอโยนแรงขึ้นไปอีก ดัน หมุ่นติ๊วเลย อยากจะทราบว่าเพราะอะไรมันถึง drift ยากขนาดนี้ครับ
รถพวกนี้ มัน drift ไม่ได้เลยหรอครับ ถ้าขับ พวก M3 ก็คงเป็นเหมือนกันใช่เปล่าครับ
ช่วงนี้ เอาคันนี้ มาขับเล่นๆ ก่อน ระหว่างรอ s14 เพราะ s14 ทำอยู่ คันนี้เป็นรถของอู่อ่ะครับ
ผมเคยขับ 320i สองประตู เคย drift ง่ายกว่านี้อ่ะครับ ตอนนั้นขับรถเพื่อน
แล้วพวก BMW เนี่ยมัน มากับ LSD เปล่าครับ ผมรู้สึกว่ามันเกาะโค้งดีมากๆ เลย
แล้วพวก BENZ หรือพวกรถ หรูๆ ต่างๆ เนี่ย มัน Drift ได้เปล่าครับ แล้วทำไมมันยากกว่ารถ ญี่ปุ่นอ่ะครับ
อีกเรื่องคือ พี่พอจะรู้เรื่องพวก Holden กับ Ford เปล่าครับ ผมเห็นพวก aussie มันเอามาเล่น drift กัน
เครื่องก็ใหญ่มากๆ พวก v8 supercharge อ่ะครับ แล้วก็เห็นพวก FORD XR6 Turbo
ไม่ก็พวก v6 ธรรมดา ผมเคยลองขับรถเพื่อนอ่ะครับ พวกนี้ มันไม่มีทางเอามา drift ได้เลยอ่ะ
เพราะว่า แค่ ถนนลื่นๆ เข้าโค้งแรงๆมันก็ หมุ่นติ๊วแล้วอ่ะ ไม่รู้ว่าพวกมัน เอามา drift กันได้ไง
พอดีสงสัยๆ อ่ะครับ สำหรับ พวก BMW Benz และอื่นๆ อีกมากมาย
รถขับหลังเหมือนกัน แต่ทำไม ระบบมันต่างกัน แล้วระบบมันต่างกันยังไง
มันถึงทำให้รถแต่งต่างกันขนาดนี้ ขอบคุณคร้าบบ
-
นี้เป็นเรือ่งของ กริป และ ดริฟท์ ประเด็นนี้น่าสนใจดีไม่น้อย
BMW กริปดีมากในทุกๆ รุ่นครับ หากเอารถกริปมาเล่นดริฟท์ก็ต้องเข้าใจธรรมชาติของรถกริปให้ดีเสียก่อน
- อย่างแรกคือต้องรู้ลิมิทรถ อันนี้สำคัญสุดครับ รู้ว่าโค้งนี้ไอ้คันนี้มันเข้าได้ที่ความเร็วเท่าไร รอบเท่าไร ในเกียร์ไหน จากนั้นหากจะดริฟท์เราก็เข้าด้วยความเร็วเดียวกับที่ใช้ตอนกริปนี่แหละ แต่เราจะพุ่งส่งเข้าโค้งไปเลย เราจะเบรกเลทไปอีกนิดจากจุดเบรกเดิม จากเดิมที่เบรกแล้วค่อยเลี้ยว แต่ตอนดริฟท์เราอาจเบรกแล้วเลี้ยวพร้อมๆ กันเลยได้ (แต่ต้องใช้รอบสูงพอที่ล้อหลังจะฟรีทิ้งได้ด้วยล่ะ)
วิธีดริฟท์กับรถกริปนี้ต้องฝึกเยอะครับ ฝึกให้ดีจะทำความเร็วได้ดีมากอีกด้วย อาจดริฟท์ไม่ถูกใจวัยรุ่น ไม่สไลด์ยาว ไม่เอี๊ยดลั่นควันขโมง แต่ผมชอบ เพราะเร็ว
จะดูว่ารถคันไหนดริฟท์ได้ไหม ก็ลองง่ายๆ ด้วยการทำโดนัทดูครับ หากรถหมุนพอได้ เราคุมรถได้ นั้นแหละ เราก็จับมันดริฟท์ได้
การเกาะหนึบเหนียวดีของ BMW และรถยุโรปนั้นมาจากการออกแบบช่วงล่างครับ น้ำหนักตัวรถก็มีผลด้วย รถใหญ่และหนักก็จะเด่นเรือ่งความมั่นคง ความนุ่มนวล ความนิ่ง ลองไปดูล้อคู่หน้าของ Mercedes Benz ตอนหักเลี้ยวสุดๆ ดูครับ ล้อคู่หน้าจะเอนเหมือนมอไซกำลังจะเทโค้งเลย
รถใหญ่ยิ่งบุคลิกต่าง ยิ่งดริฟท์ไม่ถนัดครับ ตรงนี้เองที่หลายคนตีความว่ามันยาก มันเล่นไม่ได้
- แต่จะว่ายากผมก็เห็นด้วยนะ เพราะตอนโยนเข้าโค้งแรงๆ แล้วรถหนักๆ นี้คุมยากฉิบเป๋งเลย ยิ่งรถหนักแล้วไม่แรงด้วยนะ เลิกเลย พาลจะดริฟท์ไม่ได้เอา คือโยนแล้วคุมไม่อยู่ หมุนติ้วไปเลย กดคันเร่งล้อก็ไม่ฟรี เฮ้อออ เสียว เสี่ยง แถมไม่สนุกด้วย
ดริฟท์เหมาะกับรถที่เบาและมีอัตราเร่งดีครับ
-
ทำเท่าไหร่ล้อก็ไม่ยอมฟรีสักที่จะมีทางดริฟท์ได้ไหมครับ รถผมตอนออกจากโรงงานเมื่อปี 1969 มี 40 แรงม้าที่ล้อ ตอนนี้เอามาติดแอร์เข้าไป + กาลเวลาน่าจะหดหายไปเยอะ แต่เครื่องวางหลังครับ น่าจะมีส่วนให้ท้ายออกง่าย เท่าที่ทำได้ผมเข้าโค้งไปเร็วๆ จนเกือบๆ จะหลุดแล้วก็เบิ้ลคันเร่ง + กระชากคลัตช์ ท้ายมันก็ออกครับ แต่ปัดไปเฉยๆ ไม่สไลด์ ล้อมันไม่ฟรี มีวิธีไหนพอจะแนะนำให้ดริฟท์ได้มั่งไหมครับ
-
ปล. เคยสไลด์ได้ครั้งนึงครับ เกิดจากความผิดพลาด + ฟลุ้ค เลี้ยวที่ 4 แยก ด้วยความรีบ + คึก ใส่เข้าไป 60 กระตุกเบรคมือเล็กน้อยหลังจากเลี้ยวไปแล้ว แล้วท้ายมันก็ออกครับ จากนั้นก็หักพวงมาลัยกลับมันก็ไปได้สุดทางครับ แต่ล้อมันก็ไม่ฟรีอยู่ดี มันปัดท้ายเข้าไปเหมือนจักรยานอะครับ ทำไงดี อยากดริฟท์มากๆ เลย
-
ลองเอาไปทำโดนัทดูครับ ถ้าหมุนได้ คุมได้ ก็ดริฟท์ได้
แต่รถเก่าปี 1969 แล้ว ผมว่าอนุรักษ์ไว้ขับสวยๆ จะดีกว่า
-
ครับ ขอบคุณครับ แล้วจะพยายามครับ ไว้ลงเครื่องใหม่ก่อน ค่อยลองใหม่ มีโครงการ 200 ม้าอยู่ :)
-
หวัดดีคับพี่เปิ้น ผมต๋องนะคับ กระทู้นี้ดีจังพี่ ชอบมากๆ
ขอเเจมด้วยนะคับ คำถามก็มีอยู่บ้างอ่ะคับพี่
คือตอนนี้ผมสงสัยเรื่องการ spot ตัวถังอ่ะคับพี่
อยากทราบว่ามันมีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหนอะคับ สำหรับการดริฟท์
คือตอนนี้รถผมมีรอยเเตกตรงตะเข็บรอยต่อในฝากระโปรงหน้ารถอ่ะคับ
กำลังจะเข้าอู่สีด้วยคับ ก็เลยขอคำปรึกษาพี่เปิ้นก่อน ขอบคุณล่วงหน้าคับพี่ ;D
-
สปอตตัวถังน่ะดีแน่ครับ หากทำได้แนะนำให้ทำเลย แต่มาดูข้อเสียกันก่อนจะทำ
- ตะเข็บเละมากเลย
- ร่องรอยดูราวกับว่ารถชนยับแล้วดึงกลับมาใหม่ แถมเชื่อมห่วยๆ อะไรทำนองนั้น
- ขายเต้นท์ราคาหล่นแบบไม่เกรงใจเลย แต่ถ้าขายพรรคพวกได้และคนซื้อรับสภาพได้ก็โอเค
- ค่าใช้จ่ายในการสปอตทั้งคันไม่ถูก ลองเช็คดู
หากเป็นผมจะทำดังนี้
- ใส่ Rollcage แบบ 6 จุดเป็นอย่างน้อย
- ใส่ค้ำช้อคฯหน้า หลัง หรือมีค้ำจุดอื่นได้ยิ่งดี
แม้ว่าการค้ำอาจไม่แน่นเปรี๊ยบเท่ากับการสปอต แต่มันทำง่าย ถอดง่าย ไม่เสียของ ไว้รอได้สปอนเซอร์แบบเต็มคันแล้วค่อยสปอตจะดีกว่าครับ
เรื่องรอยแตกก็ซ่อมไปตามอาการ เก็บแผลให้เนียน แล้วดริฟท์ต่อไป ให้ทำแผ่นเหล็กเสริมบริเวณใต้รอยแผลแตกนี้ด้วย เชื่อมพอกให้เนียนหนา และพ่นกันสนิมไว้ด้วยครับ
-
ขอบคุณคับพี่เปิ้น พอดูข้อเสียเเล้วไม่อยากทำเลยง่ะ
เเล้วอยากทราบเรื่อง camber ของล้อหลังอ่ะคับพี่ ผมฟังมาหลายอย่าง เเต่ละคนพูดไม่ค่อยเหมือนกันเลย บางคนบอกศูนย์ บางคนบอกลบ1 อ่ะคับพี่ เเล้วผม ลองสังเกต spec รถเเข่ง D1 เนี่ย เห็นบางคัน camber ล้อหลังเป็นลบ 3-4 เเน่ะคับ เป็นเพราะเขาใช้ความเร็วสูงกว่าเรามากหรือเปล่าคับ
-
พอดีเลยคับ ถามเรื่องแคมเบอร์แล้ว ผมถามเรื่องมุมโทต่อเลยละกันคับ คืออยากรู้ว่ามุมโทหน้า-หลังที่เขาตั้งกันเนี่ย ถ้าตั้งให้เป็น+รถจะมีอาการยังไง ตั้งเป้น- รถจะมีอาการยังไง แล้วส่วนใหญ่รถที่เขาดริฟกัน เขาตั้งมุนโทหน้าหลังเท่าไหร่อ่ะคับ
-
Miester S13 / Thep7709
ผมตอบท่านสองคนพร้อมๆ กันเลย
แคมเบอร์และโทสามารถปรับตั้งตามสบายครับ คือเลือกได้ตามความชอบใจ แต่ละคนไม่จำเป็นต้องชอบเหมือนกัน ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ต๋องถามแต่ละคนเขาก็ตอบกันคนละแบบ กระทั่งถามผมก็เถอะ
ยกตัวอย่างเช่น สนามล่าสุดที่ผ่านมา ผมปรับแคมเบอร์หลัง 0 แต่สนามหน้า ผมจะปรับใหม่เป็น -1 มันขึ้นอยู่กับยางด้วยนะ (อันนี้ความคิดผมเองล่ะ อย่าเอาไปเป็นมาตรฐาน)
มุมโทมันมี in กับ out ครับ ผมไม่เรียกบวกหรือลบนะ กลัวจะสับสนกัน
- มุมโทจะช่วยตอบสนองความไวของรถครับ ไม่มีมาตรฐานเช่นกัน ลองได้ตามใจชอบเลย หากไม่มีข้อมูล ผมแนะนำให้ตั้งแบบเป็นกลางปกติเข้าไว้ก่อน
- ส่วนใหญ่เขาตั้งกันแบบไหนผมก็ไม่รู้ครับ แต่รถผมหน้า in 1 หลัง out 1
เพิ่มเติม
- การเซ็ทรถดริฟท์สำหรับผู้หัดเล่นมือใหม่ กับผู้ที่เล่นแบบแรงๆ นั้นแตกต่างกัน
- เซ็ทรถดริฟท์ ไม่จำเป็นต้องเซ็ทรถให้ท้ายไวเสมอไป
-
พี่เปิ้ลครับ มี คำถามอีกแล้ว เรื่องเบรคอ่ะครับ
ระหว่าง ABS กับไม่มี ABS ในเวลา drift อ่ะ ผมว่ามันต่างกันอ่ะครับ
พี่ว่ามีหรือไม่มีดีกว่ากัน แต่ ผมชอบแบบไม่มี ABS มากกว่า
เพราะว่าตอนที่ผมขับ s14 คันนู้นอ่ะครับไม่มี abs ผมว่ามัน drift นุ่มกว่า
ตอนที่ขับ s15 อ่ะครับ เพราะว่า s15 มันมี ABS พอกระทืบเบรคแรงๆ ปุ๊บ มันแบบว่า ไม่ค่อยเนียร์เลยอ่ะ
พี่โอเปิ้ลมีความคิดว่ายังไงบ้างครับ อันนี้ เป็นความรู้สึกของผมเองนะครับ
ABS ผมว่ามันทำมาเพื่อความปลอดภัย แต่ สำหรับ drift ผมว่ามันไม่จำเป็นอ่ะ
แล้ว abs มันมี ส่วนช่วย หรือผลดี ผลเสีย ยังไงบ้าง ขณะ drift อ่ะครับ
ไหนๆ พูดเรื่องเบรคแล้ว พอดีเห็นด้านบน พี่ เปิ้ล เขียนว่า เบรกให้เป็นจะดีกว่ามีเบรกราคาแพง
เลยอยากจะให้พี่เปิ้ล แนะนำ วิธีใช้เบรก ที่ถูกวิธี ครับ แล้วเรื่อง อุปกรณ์ ควรจะเลือกใช้ยังไง
บางที เบรกดีเกินไป เราก็ใช้มันไม่คุ้มค่า เปลืองเงินเปล่าๆ พี่เปิ้ลมีวิธีการเลือกใช้ยังไง
ทั้ง ผ้าเบรก จานเบรก และอื่นๆ อีกมากมาย
ขอบคุณคร้าบ พี่เปิ้ล
-
เรื่อง ABS
รถดริฟท์ไม่ต้องการ ABS ครับ ไม่ต้องการนี้คือไม่ค่อยได้ใช้ ไม่จำเป็น อะไรทำนองนี้ แต่ถ้ามี ABS ก็ต้องปรับสไตล์การขับกันใหม่ หากเป็นคนที่ชอบทำ Braking Drift (คือดริฟท์ที่เกิดจากการเบรกแรงๆ ที่สุดทางตรงก่อนเข้าโค้ง)
- ที่ผมว่าไม่ต้องการ ABS ก็เพราะผมชอบส่งรถพุ่งเข้าโค้งแรงๆ คือใช้จังหวะที่รถเป๋หรือขวางนี้คือการลดความเร็วแทน แต่อย่าทำตามเลย เล่นแบบผมต้องทำรถเยอะ ต้องการตัวรถที่แน่นปึ๊ก ยางสดๆ กริปดีๆ
- แต่ ABS ก็มีข้อดีเช่นกันในกรณีที่ดริฟท์แบบแข่งความเร็วและไปเจอถนนลื่นจัด รถที่มี ABS ก็จะทำให้ผู้ขับดึงรถกลับมาควบคุมได้ง่ายกว่านิดหน่อย ที่ว่านิดหน่อยก็เพราะคุณมีเพียงเสี้ยวเวลานิดเดียวที่จะดึงรถกลับมาก่อนที่มันจะแถไปมากกว่านี้ เสี้ยวเวลาเล็กๆ นี้แหละ ตัวบ่งชี้ว่าจะรอดหรือหลุด กรณีนี้จะเกิดต่อเมื่อคุณขับรถถึงลิมิทเท่านั้นครับ
- หากอยากเอา ABS ออก ก็แค่ลองถอดฟิวส์ดู อ่านคู่มือดูว่าฟิวส์ ABS ของท่านอยู่ตรงไหน ถอดแล้วลองเบรกแรงๆ ดูได้เลย ถ้าล้อล็อคไถลยาวก็โอเค การถอดฟิวส์เป็นผลสำเร็จ อย่าลืมใส่ฟิวส์กลับเข้าที่ตอนที่เราไม่ได้ดริฟท์ด้วย เพราะขับบนท้องถนนปกติ ผมแนะนำให้ใช้ ABS และควบคุ่กับการเบรกแบบมี ABS ให้เป็นด้วย
วิธีใช้เบรกให้ถึงลิมิท
- เบรกให้ถึง Thread Hold คือใช้สมรรถนะของดอกยางจนสุดความสามารถด้วย ไม่ได้ใช้แค่ผ้าเบรก คาลิเปอร์ส หรือจานเบรก เหมือนพวกเด็กเพิ่งจะคิดซิ่งเขาทำกัน
- วิธีทำก็คือกดเบรกจนกระทั่งล้อเกือบจะล็อค พูดง่าย ทำไม่ง่าย ลองหัดเอาเอง
วิธีการอับเกรดระบบเบรก
- เริ่มจากเบรกให้เป็นก่อน หากเบรกเป็นแล้วก็ค่อยมาว่ากันในสเตปต่อไป อย่าโมฯเบรกในขณะที่ยังเบรกไม่เป็น มิฉะนั้นท่านจะได้ใช้ของที่ไม่คุ้มค่า แถมยังขับรถได้ห่วยเท่าเดิม
- หากอยากปรับปรุงระบบ ก็เริ่มต้นที่ผ้าเบรกเป็นอันดับแรก ตามด้วยสายอ่อนเบรก และปิดท้ายด้วยคาลิเปอร์ส+จาน อย่าลืมว่าข้อเสียของคาลิเปอร์สหลายพอท และจานเบรกโตๆ ก็คือน้ำหนักที่เพิ่มมากขึ้น แถมเป็นน้ำหนักของ Unsprung Weight อีกด้วย ไม่ควรเพิ่มน้ำหนักในจุดนี้เด็ดขาด (Unsprung Weight คือน้ำหนักที่อยู่ใต้ส่วนล่างของระบบสั่นสะเทือน)
- น้ำมันเบรกอยู่ในระบบปิด ไม่ค่อยเสียหาย แต่มันไม่แพง ก็เลยเปลี่ยนถ่ายกันได้บ่อย เปลี่ยนปีละครั้งก็ถือว่าเพียงพอมากแล้ว อย่ารอให้น้ำมันเบรกเปลี่ยนสีและอย่าเติมข้ามยี่ห้อ
-
เฮ้อ.................ไม่มีปัญญาหารถมาศึกษาแบบ practical..............ได้แต่ทฤษฎี
-
พี่เปิ้ลครับ เรื่องขนาดความกว้างของหน้ายางล่ะครับ มีผลแค่ไหน อย่างไรบ้าง
(เช่นหน้ายางแคบอาการรถเป็นเช่นไรกว้างเป็นเช่นไร) รบกวนหน่อยนะครับ ความรู้น่ะครับ ;D
-
ยางกว้าง - เพิ่มกริป
ยางแคบ - ลดกริป
ยางแคบ
เหมาะกับการเริ่มต้นฝึกหัดดริฟท์
เหมาะกับการเล่นทำโดนัท (เพราะไม่เปลือง)
เหมาะกับการเล่นกับสนามที่ความเร็วต่ำ
ยางกว้าง
เหมาะกับการดริฟท์ที่ความเร็วสูง
ยางแคบ
รถจะสไลด์ง่าย แต่คุมยาก
ยางกว้างรถจะสไลด์ยากหน่อย แต่คุมได้ง่ายกว่า
-
โอว....ขอบคุณครับ ง่ายๆแต่เข้าใจง่ายฮะ ;D
-
อ่าพี่อีกนิดนะ...
ผมเคยถามพี่เกี่ยวกับเรื่องเอาช่วงล่างแหนบมาดริฟอ่ะ พี่ช่วยเจาะเสป็คลงไปได้ไหมครับว่าต้อง-
ใช้แหนบกี่K ช็อคแข็งแค่ไหน ไรเงี้ยครับ รบกวนอีกที(และอีกหลายๆที)ครับ
ความรู้ไม่ใช่แกงไก่ เก็บไว้ได้..ไม่บูด ;D
-
เรื่องแหนบนี้ผมเจาะจงไม่ได้หรอกครับ ไม่มีข้อมูลเลยแม้แต่น้อย บอกไปก็เป็นแค่การคาดเดาแบบเลื่อนลอย ภาษาชาวบ้านแบบผมเรียก "มั่ว" มีบางคนมั่วเพราะกลัวเสียฟอร์ม แต่ผมเป็นคนไม่มีฟอร์ม ไม่ชอบมั่ว ไม่รู้ก็ตอบ "ไม่รู้" ไม่เคยอาย
แต่ขอแนะนำดังนี้
- ไปร้านดัดแหนบ ขอให้เขาทำแหนบแบบใส่แทนของเดิม แต่ทำให้แข็งกว่าเดิม อืม แข็งกว่าแค่ไหนดีก็ไม่รู้นะว่าคนทำแหนบเขาคิดเขาวัดกันอย่างไร
- ได้แหนบมาแล้วก็ไปหาร้านทำช้อคฯ บอกให้อัดน้ำมันให้แข็งพอสู้กับไอ้แหนบตัวนี้ได้
ปล อย่าลืมนะ ว่าผมมั่ว ผมไม่เคยเล่นดริฟท์กับรถใช้แหนบเลย ไม่เคยแต่งรถใช้แหนบด้วย รู้แต่ว่าแหนบมันไม่ได้เลวร้ายอะไรนักหนา แค่หาของแต่งยากเท่านั้นเอง
-
ขอบคุณครับ ;D
-
กันโคลงแบบปรับได้ คือปรับแข็ง อ่อน ได้ใช่มั้ยครับพี่เปิ้น
แล้วมันปรับยังไง (ที่คิดเอง คือ เอาอะไรซักอย่างไปดันให้มัน แข็งขึ้นอะไรประมาณนั้นรึเปล่าครับ)
-
จะเรียกว่าปรับแข็งอ่อนก็ไม่ผิดครับ แต่การปรับของมันไม่ได้หมุนกันง่ายๆ เหมือนกับการปรับช้อคฯ ปรับเหล็กกันโคลงมันวุ่นวายกว่ากันเยอะ ยกเว้นแต่มีระบบที่สามารถปรับตั้งได้จากในห้องโดยสาร
เหล็กกันโคลงแบบปรับได้นี้เขาใช้ปรับเลื่อนกันที่ตรงขายึดครับ ไม่ได้เอาอะไรไปดันมันหรอก แค่เลื่อนจุดยึดใหม่ก็แค่นั้น
- สังเกตเหล็กกันโคลงแบบปรับตั้งได้นี้ บริเวณปลายจะมีรูเจาะเผื่อมาสัก 3 รูเห็นจะได้ ส่วนของเดิมติดรถเรานี้เป็นแบบตายตัวครับ ขามันมีแค่รูเดียว
แต่เหล็กกันโคลงแบบปรับได้นี้มันจะต้องมาพร้อมกับขายึดแบบปรับตั้งได้ด้วยนะครับ เขาเรียก Stabilizer Link มีจุดยึดเป็นแบบ Ball Joint อีกด้วย
-
ขอบคุณครับพี่
ถามต่อแล้วกันน้ะครับ :P
ปุจฉา
การเสริม สเปเซอร์ล้อหน้า เพื่อให้มันกว้างขึ้น จะช่วยเหลือในการ เกาะของข้างหน้ามากขึ้นมั้ยครับ
และอีกข้อนึงครับ
ขอถามในนี้แล้วกันครับ
เรื่องการชุบแข็งของเหล็ก
ที่หนวดกุ้งผมขาดไปหนะครับ ทีนี้ผมจะเอาไปกลึง เพราะมันขาดแค่ตรงปลายที่เป็นที่ใส่น้อตยึด(ที่มี 2 รู) พอกลึงมาแล้วว่าจะเอาไปชุบแข็งหนะครับ จำเป็นมั้ยครับ หรือว่าเหล็กเดิมๆก็โอเคอยู่แล้ว (กะชุบแข็.นี่คิดว่ามันคงช่วยกันสนิมด้วยหนะครับ)
รบกวนครับผม
-
เสริมสเปเซอร์ล้อ ก็เท่ากับเป็นการเพิ่มแทร็คให้กว้างขึ้น ส่งผลให้เกาะถนนขึ้นแน่นอนครับ
- การใช้ล้อที่มีออฟเซตเป็นบวกน้อยๆ หน่อย ก็เป็นการเพิ่มแทร็คเช่นกัน ให้ผลออกมาเหมือนกัน
- แทร็ค คือระยะห่างระหว่างดุมของล้อด้านซ้ายและขวา
เรื่องการชุบโลหะ ขอติดไว้ก่อน ผมไม่แม่น
-
แล้วเกี่ยวไหมอ่ะครับ ว่าล้อหลังต้องเล็กกว่าล้อหน้า ???
-
อาจเกี่ยว หรือไม่เกี่ยวก็ได้ เพราะอยู่ที่ความต้องการของผู้ขับว่าอยากให้รถตอบสนองเช่นไร
-
อาจเกี่ยว หรือไม่เกี่ยวก็ได้ เพราะอยู่ที่ความต้องการของผู้ขับว่าอยากให้รถตอบสนองเช่นไร
เออ...โทดนะครับพี่เปิ้ล รบกวนอีกแล้ว.....
พี่ตอบมาแบบนี้อ่ะครับ ก็เลยกระตุ้นต่อม"ลูกอีช่างถาม"ของผมอีกครับ
แล้ว ขนาดเล็กใหญ่...มันตอบสองต่างกันยังไงครับ....
ขอบคุณครับ :'(
-
เรื่องชุบโลหะ เดี่ยวผมไปถามแม่ผมมาให้แต่ว่า
ใช้อะไรชุบอ่ะ คือเอาอะไรไปกระทำกับเหล็ก ชุบแบบใช้ไฟฟ้าหรืออะไรอ่ะ
ick osk121
-
ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเค้าชุบด้วยอะไรครับ เคยอ่านเจอในนักเลงรถนานแล้ว จำไม่ได้
แต่ที่ชุบก็เพื่อเพิ่มความแข็งแรง มั้งครับ เพราะที่ได้ยินเค้าเรียกกันก็เรียกกันว่าชุบแข็งหนะครับ
-
อาจเกี่ยว หรือไม่เกี่ยวก็ได้ เพราะอยู่ที่ความต้องการของผู้ขับว่าอยากให้รถตอบสนองเช่นไร
เออ...โทดนะครับพี่เปิ้ล รบกวนอีกแล้ว.....
พี่ตอบมาแบบนี้อ่ะครับ ก็เลยกระตุ้นต่อม"ลูกอีช่างถาม"ของผมอีกครับ
แล้ว ขนาดเล็กใหญ่...มันตอบสองต่างกันยังไงครับ....
ขอบคุณครับ :'(
ย้อนไปอ่าน #31 ที่ผมตอบไปแล้วอีกรอบครับ
กริปมาก ก็มีแรงยึดเกาะมาก แรงเสียดทานมาก
กริปน้อย ยึดเกาะน้อย แรงเสียดทานน้อย
ผมยินดีตอบทุกข้อ ขอแต่ถามให้ชัดเจนสักนิดครับ
-
เออ...โทดนะครับพี่เปิ้ล รบกวนอีกแล้ว.....
พี่ตอบมาแบบนี้อ่ะครับ ก็เลยกระตุ้นต่อม"ลูกอีช่างถาม"ของผมอีกครับ
แล้ว ขนาดเล็กใหญ่...มันตอบสองต่างกันยังไงครับ....
ขอบคุณครับ
Basic concept: Slip Angle ;D
http://www.geocities.com/gkurka2001/CarTech/tech_handling_4.htm#Neutral (http://www.geocities.com/gkurka2001/CarTech/tech_handling_4.htm#Neutral)
-
ขอบคุณครับพี่เปิ้ล กับพี่อีกคนนึง ;D
-
การชุบแข็งไม่ได้ทำให้เหล็กเหนียวขึ้นนะครับ ไม่ว่าจะ Carburizing รึ Induction รึอะไรก้อแล้วแต่ การชุบแข็งนั้นทำให้ผิวงานนั้นแข็งขึ้น ซึ่งความหนาเราพุดกันแค่ไมครอน อย่างเช่นลูกเบี้ยวแคม รึ juornal ข้อเหวี่ยง บางครั้งชุบแข็งหนักๆเข้าเหล็กกลายเป็นเปราะแล้วหักง่ายไปเลย ถ้างานของคุณคือใช้สำหรับหนวดกุ้ง เหล็กชิ้นนั้นต้องการความเหนียว จึงไม่ควรจะชุบ ที่มันขาดนั้นหาสาเหตุที่แท้จริงเสียก่อนว่าขาดเพราะอะไร ส่วนมากที่ขาดในลักษณะนี้แสดงว่ามี stress riser อยู่บนชิ้นส่วน อาจจะเป็นที่ รูน๊อต หรือ ตรงตำแหน่งที่ถูกทุบแบน(จากโรงงาน) ถ้าคุณเปลี่ยนใช้เหล็กมากลึงให้ได้ขนาดเดิมใส่แทนแล้วใช้ milling ไสปลายให้แบนแล้วเจาะรู มันก้อจะขาดอีกตรงที่โดนไสแบนเพราะตรงนั้นเป็น weak point ยกเว้นว่าคุณจะทำให้มันใหญ่และหนาขึ้นกว่าเดิม
-
ขอบคุณมากครับ คุณ Mokan
ที่มันขาด เพราะพลาดตก Track ไปจมปลักหนะครับ จมแบบ นน รถทั้งคัน ถ่ายลงที่ล้อข้างนั้นข้างเดียว
คือล้อหน้าขวาตกลงไปตรงหลุมพอดี แล้วหยุดกึก ไม่มีไถลอะไรทั้งสิ้น ก้มไปดู หนวดกุ้งหักเลยครับ ตรงช่วงที่ใส่น้อตพอดี (หักข้างเดียว)
ทีนี้ ถ้าจะกลึงเฉพาะช่วงตรงนั้นมาใช้งานมีข้อแนะนำอะไรบ้างครับ เพราะผมไม่อยากซื้อใหม่ เสียดาย jioint มันยังแน่นอยู่เลยครับ
-
ก่อนจะตอบคุณ Joe ขอถามก่อนว่า เราพุดถึงรถอะไรกันอยู่เนี่ย เพราะสงสัยเนื่องจากบอกว่า"หนวดกุ้ง"ซึ่งส่วนมากหลายๆยี่ห้อจะยึดติดปีกนกด้วยน็อตแล้วอีกปลายร้อยผ่านลูกยางบนคานด้านหน้า แต่ทีนี้เห็นพูดถึง ่Joint ด้วยเลย เอ่อ มี joint ตรงปลายไหนด้วยเหรอหนวดกุ้งเนี่ย? ???
-
หนวดกุ้งแต่ง ของ Cefiro ครับ
ตรงลูกยางมันเป็น Ball Joint แทนที่จะเป็นลูกยางหนะครับ
แล้วที่หัก มันหัก ตรงน้อตที่ยึดปีกนกหนะครับ
-
อันนี้แม่ผมตอบมาทาง email ไม่รู่ว่าช่วยได้หรือเปล่าว
first mail: ชุบแข็งก็คือ Hardenning หรืออาจทำ Heat treatment ได้ น่าจะเปิดไปที่ web ของ Iron and Steel อะไรทำนองนี้
เมืองไทยมีโรงงานแบบนี้สำหรับอะหลั่ยรถและเครื่องจักรกล ใหญ่มาก เพราะเราไม่ได้ผลิตเหล้กเอง แต่นำเข้ามาขึ้นรูป หลังขึ้นรูปต้องทำทั้ง Heat treatment และ Surface treatment จ้า
Second mail :
การชุบแข็งนี่ก็เพื่อทำให้ผิวมันแข็งเฉพาะที่ผิวบาง ๆ เช่น เครื่องยนต์ที่เป็นเหล็กหล่อ หรือ ใบมีดที่ต้องคมเพราะแข็ง อีกอย่างก็ทำให้เนื้อโลหะมันเคลื่อนย้ายภายในเกรนให้มีความเป็นเนื้อเดียวกันสูงขึ้น บางวิธีก็ใช้จุ่มในสารเคมี เช่น ทำให้เป็นเหล็กคาร์ไบด์ที่ผิว เพราะฉะนั้น แค่หนวดกุ้งที่ไม่ได้ไปรับแรงอะไร ไม่ต้องการความคม ก็ไม่ต้องทำ ถ้าต้องการกันสนิม ก็ขัดกระดาษทรายให้ผิวสะอาด ทิ้งให้แห้งแล้วพ่นสีโครเมียมก็พอ ว่าแต่เป็นวัสดุอะไร
ติดต่อได้เลยครับทีนี่ http://www.mtec.or.th/th/index.asp (http://www.mtec.or.th/th/index.asp)ผมว่ามี dr. หลายๆคนที่จะตอบคำถามเรื่องวัสดุ
แม่ผมไม่ค่อยมีเวลาอ่ะ แบบว่าเค้าตอบเมลล์ผม อาทิดให้หลังฮ่าๆๆ
-
อ่อ ขอแต่งนั่นเอง ที่มันหักก้อเพราะเอาไปตกถนนมานี่นา นึกว่าขับเลี้ยวไปเลี้ยวมาแล้วหัก ถ้าเป็นของแต่งก้อลอกแบบแล้วกลึงออกมาใหม่ใส่กลับเข้าไปอย่างเดิมก้อจบแล้วล่ะครับ มีตังค์นิดจะเปลี่ยนเป็นกลึงด้วย Chromoly ก้อได้นะ 4140 รึจะเอา 4340 เลยก้อตามใจ
-
ไอ้ "Chromoly ก้อได้นะ 4140 รึจะเอา 4340"
คืออะไรหรอคับ ไอ้ 4140 กับ 4340 เนี่ยอ่าคับ
-
ตอนนี้มีปัญหาใหม่ครับ เกี่ยวกับการทำรถ ของ โดเรตุลย์ กับ ความสงสัยว่าความคิดถูกรึเปล่าของผม
ของตุลย์
ตุลย์เอารถไปใส่โรลบาร์มาหนะครับ เมื่อวานโทรมาร้องห่มร้องไห้ กับผม บอกว่าอู่เจาะที่เท้าแขนหลังเพื่อเอาขาโรลบาร์ใส่เข้าไปตรงซุ้มล้อหลัง ใหญ่เท่าหม้อ!!! (จริงๆแค่ฝ่ามือครับ ผมเว่อร์เอง อิ อิ) นั่นคือเครียดหนึ่งของมัน (เสียงสั่นเครือ) แล้วทีนี้ ตอนแรก ตุลย์ได้ไปดูโรลบาร์ของแต่งจากนอกของรถมิก(200 สีน้ำเงิน) มีมูนรูฟเหมือนมัน เวลามิกใส่ ไอ้ตัวกลาง(ที่เป็นโค้งอันกลางรถเลยหนะครับ) มันจะติดตรงที่เปิดมูนรูฟพอดี ทำให้ มิกต้องเคาะโรลบาร์มาให้แอ่นลงเพื่อจะได้เปิดมูนรูฟได้
แต่ทีนี้ของตุลย์ ได้ของนอกมา แต่รู้สึกว่าจะเป็นของ OTOP (เห็นว่าน้ะครับ ผมยังไม่เห็นของเลย) แต่มาจากยุ่น
พอใส่เข้าไปปรากฎว่า ไม่ติดครับ !!! ของมันเปิดมูนรูฟได้ ตอนหัวค่ำโทรมาเสียงดีใจกะผมว่า ของมันไม่ติดใช้มูนรูฟได้ดีจัง พอเริ่ม ดึกมากขึ้นหน่อยโทรมาอีก เสียงเครียดแล้วก็เล่าให้ผมฟังอย่างที่ บอกไปข้างต้นว่าโดนเจาะรูใหญ่ แล้วก็หายไป ซักพักโทรมาอีก เสียงสั่นเครือ เริ่มเข้าคำถามเลยครับ
1. ขาโรลบาร์ที่ลงซุ้มล้อหลังเนี่ย ที่อู่ เข้าเอาลงตรงประมาณ ตรงส่วนบนของโค้งเลย เหมือนกดลง แต่ตุลย์คิดว่า น่าจะลงตรงประมาณ ช่วงระหว่าง ส่วนล่างของโค้งกับส่วนบนของโค้ง คือไม่ได้กดบนส่วนบนของซุ้มล้อตรงๆหนะครับ แล้วจริงๆแล้วเนี่ย มันต้องลงตรงไหนของซุ้มล้อครับ ซุ้มหลังครับ (แถมซุ้มหน้าก็ได้น้ะครับทีเดียวเลย)
2. ไอ้โรลบาร์ตัวกลางที่ตุลย์ดีใจตอนแรกว่าไม่ติดมูนรูฟ ได้ความว่า อู่ทำให้มันเอียงจะได้ไม่ติดที่เปิดมูนรูฟ (เอียงไปข้างหลัง) จริงๆแล้วมันต้องตรงรึเปล่าครับ หรือว่ามันเอียงนิดๆได้ (ไม่รู้นิดแค่ไหนของตุลย์หนะครับ) หลังจากเล่าจบ ก็ฟูมฟายออกมา
เท่านี้ครับพี่เปิ้น รบกวนหน่อยครับ หรือทั่นอื่นจะให้ความคิดเห็นก็เชิญครับ สงสาร หมู เอ๊ย แมวน้อยๆซักตัว ครับ ;D
อันนี้เรื่องของผมครับ :)
เวลาดูชาวญี่ปุ่นที่เค้าดริฟท์ใน VCD แล้วควันท่วมทุ่งขนาดนั้น เพราะปัจจัยเหล่านี้ใช่มั้ยครับ
1.ความเร็วที่เข้า
2.รอบที่ใช้ในการปั่น
3.ขนาดของยาง ยิ่งใหญ่ยิ่งออกมาก
4.ความสดของเนือยาง
คืออันสุดท้ายเนี่ย เรื่องความสดของเนื้อยางหนะครับ ถ้ายางยังใหม่ก็จะท่วมกว่ายางเก่าใช่มั้ยครับ
อันนี้ เกิดความสงสัยจึงมาปุจฉาหนะครับ :)
หมดคำถามสำหรับวันนี้ครับ
ขอบคุณที่อ่านคร้าบบบ (ยาวไปมั้ย)
-
เรื่องแรก เจาะแผงข้างให้โรลบาร์ทะลุไม่สวย
- เจาะไปแล้วนี่หว่า ถ้าเจาะแล้วก็แก้ไขอะไรไม่ได้ครับ ของมันก็ต้องโบ๋อยู่อย่างนั้นแหละ แต่.. เราสามารถหาวัสดุมาปิดรูโบ๋นี้ได้ ง่ายๆ ก็คือใช้แผ่นอลูมิเนียมครับ ปิดทับรูแล้วให้โรลบาร์โผล่มา หรือจะใช้แผ่นคาร์บอนของยอดฮิตของวัยรุ่นก็ได้ ส่วนการยึดกับแผงก็ใช้ได้ทั้งกาวสองหน้า ไม่ก็ยิงรีเวท (ทำนองเพิ่มความโหด)
- หรือถ้ายังไม่เจาะแผง แล้วไม่อยากเจาะแผงด้วย ก็ต้องรื้อแผงข้างนี้ออกอย่างเดียวเลยครับ จบ
เรื่องสอง โรลบาร์ไปติดกับตัวเปิดมูนรูฟ
- ของแต่งของนอกส่วนใหญ่ทำมาสำหรับรถไม่มีมูนรูฟครับ ถ้าติดตั้งตามสเปคก็จะไปติดตัวมือเปิดนี้แหละ ทางแก้ก็คือเคาะหลบ ไม่ก็ติดตั้งให้เอนหลบ อีกทางคือเอามือเปิดมูนรูฟออก !!!
- ติดตั้งเอนก็พอใช้ได้ครับ อย่าให้เอนจนเกินองศาของเสา B จะได้ไม่น่าเกลียด แต่ต้องทำหน้าแปลนขายึดใหม่ให้มันเอนตามไปด้วย แต่ต้องจำไว้ว่า ติดตั้งเอนแล้ว ขาจุดยึดด้านหลังก็จะยิ่งเอนลงไปมากกว่าเดิมอีก คงต้องมีการดัดแปลงหน้าแปลนขายึดของจุดหลังกันอีกด้วย
- จุดยึดซุ้มนี้ดูเอาจุดที่มันแข็งแรงได้เลยครับ บริเวณช่วงโค้งของซุ้มล้อน่ะแหละ ช่วงโค้งมากก็จะยิ่งแข็งมากครับ จุดใดก็ได้ ไม่ซีเรียสนัก กะดูให้สวยงามด้วยก็ดีครับ
เพิ่มเติม เทคนิคการยึดโรลบาร์
- เจาะรูแล้วทากันสนิมด้วย
- ทำแผ่นโลหะแผ่นเท่าหน้าแปลนยึดใต้ท้อง ใต้ซุ้ม ด้วยก็จะเป็นการดีครับ รองไว้ช่วยเพิ่มความแข็งแรง
- ทาซิลิโคนกันน้ำด้านใต้ท้อง และใต้ซุ้มด้วย
เรื่องของโจ
เวลาดูชาวญี่ปุ่นที่เค้าดริฟท์ใน VCD แล้วควันท่วมทุ่งขนาดนั้น เพราะปัจจัยเหล่านี้ใช่มั้ยครับ
1.ความเร็วที่เข้า
2.รอบที่ใช้ในการปั่น
3.ขนาดของยาง ยิ่งใหญ่ยิ่งออกมาก
4.ความสดของเนือยาง
คืออันสุดท้ายเนี่ย เรื่องความสดของเนื้อยางหนะครับ ถ้ายางยังใหม่ก็จะม่วมกว่ายางเก่าใช่มั้ยครับ
- ถูกต้องทุกข้อที่ท่านเอ่ยมาครับ
-
ขอบคุณมากครับ พี่เปิ้น
ตุลย์ รอดแล้ว ฮือๆๆๆ
-
4140....4340 คือ เบอร์ของโลหะครับ เหล็กตระกูล 4 นี่ก้อเป็นพวกเหล็กที่ผสม นิเกิล-โครเมี่ยม เรียกกันตามตลาดว่า" โครโมลี่" เบอร์ที่ต่างกันคือเลขส่วนผสมของนิเกิลที่มีอย่ในเนื้อโลหะนั่นแล สำหรับโลหะตระกูลนี้นะครับ ตระกูลอื่นๆก้อจะผสมธาตุต่างกันไป ไว้ใช้ในงานต่างๆกัน แล้วบางประเทศยังใช้เบอร์ต่างกันไป เยอรมันจะเรียกแบบนึง อเมริกาจะเรียกแบบนึง ญี่ปุ่นจะเรียกอีกแบบ ซึ่งบางทีมันก้อไอ้โลหะตัวเดียวกันนั่นแหละ อย่าถามว่ามีเลขอะไรมั่งนะ แค๊ตตาล๊อก เบอร์โลหะมันหนายังกะสมุดโทรศัพท์
-
ขอแถมเรื่อง Roll bar รึ Roll cage หน่อยนะ Roll bar หรือ Roll cage ส่วนใหญ่ที่หาๆซื้อได้กัน ไม่ว่าจะมาจากญี่ปุ่นหรืออังกฤษหรือสิงค์โปร์ ญวณ เกาหลี ฯลฯ มันจะออกแบบมาให้ใส่ได้ง่าย ไม่ต้องรื้อรถกันมากและมักจะแยกชึ้นแล้วยึดติดกันด้วยน๊อต บอกตรงๆว่าใส่สวยๆได้ อาจจะแข็งแรงพอสำหรับเอาไว้ยึด seat belt 4 จุด แต่อย่าเอาใส่เพื่อลงแข่งอย่างจริงๆจังๆ เพราะมันไม่แข็งแรงพอเท่าไหร่นัก ยิ่งยี่ห้อไหนที่เสาตัวหน้าที่ยึดตรงพื้นดัดหงิกๆหลบหน้าปัทม์คอนโซลหน้าด้วยแล้วจะไม่มีความแข็งแรงเหลืออีก มันจะหักตรงที่มันดัดนั่นแหละ ส่วนเสาค้ำหลังจาก main hoop หรือเสากลางนั้น ดีที่สุดควรยิงจากมุมบนซัายและขวาของเสากลางมาหาเบ้าโช้คหลัง จากนั้นมีท่อยิงจากเบ้าโช้คซ้ายไปขวาด้วย แล้วที่เสากลางควรมีท่อยิงเฉียงจากมุมขวาบนไปหามุมล่างซ้ายและอีกท่อยิงจากที่เดียวกันไปหาหัวโช้คหลังซ้าย และที่เสาหลักต้องมีท่อวิ่งขวางจากซ้ายไปขวาในระดับหัวไหล่คนขับด้วย ไม่งั้นถ้ามีแค่ 4 เสาเป็นเสาโกล์ฟุตบอล เวลาตีลังกาเสาทั้งหมดมันจะล้มได้ ด้านหน้าของเสาหลักนั้นอย่างน้อยควรมีท่อยิงจากระดับหัวไหล่ลงไปที่ตีนของเสาหน้า แน่นอน พอใส่เข้าไปทั้งหมดแล้วข้างหลังจะนั่งไม่ได้ ข้างหน้าก้อจะเข้ายาก แต่อย่างที่บอก นี่คือ"ดีที่สุด" ทีนี้ไหนๆจะใส่ให้มันหนักรถเล่นแล้วเนี่ย ใส่ให้มันมีประโยชน์มากกว่า"ดูเหมือนรถซิ่ง"ด้วยไม่ดีกว่าเหรอ นี่พูดแค่ Roll bar 4จุด กับ 6 จุดนะ ยังไม่เข้าไปถึง Roll cage ซักเท่าไหร่ หน้าที่ของ Roll bar และ Roll cage นั้น ไม่ใช่แค่สวยและกันยุบเวลาตีลังกาเท่านั้น ถ้าดีไซน์อย่างถูกต้อง มันจะทำให้ตัวรถแข็งแรงขึ้นและไม่มีการบิดตัว ทำให้ช่วงล่างทำงานได้แม่นยำและการตอบสนองของรถดีขึ้นด้วย เพราะฉะนั้น อย่าใส่"เอาแค่สวย"
-
สนับสนุนพี่โมเต็มเหนี่ยว...ผมซื้อของอะไรหว่า แบรนด์ดังเลยฮะ...ชื่อ เซฟๆ อะไรนี่แหละ....
ไปหมุนเล่นที่สายสามครับ พลิก หลังคายุบทั้งแผ่นเลย
ไอ้ตอนซื้อผมพยายามหาด้านหน้าที่ไม่งอแล้วนะครับ แต่มันก็งออยู่ดีอาจจะเป็นเพราะอย่างที่พี่โมพูดก็ได้คือเอาสวย และช่วยค้ำแบบประมาณนึงได้
ตอนนี้ก็เลยเก็บตังค์ อยากดัดโครโมรี่ตามแบบดีๆ ซักชุดนึง
เพราะผมเข็ดกับความว่าสวยแล้วครับ
-
พี่เปิ้ลครับ พวกรถ ที่มีเครื่องอยู่ข้างหลัง อย่าง พวก porch กับ เฟอร์รารี่ เนี่ย
เค้า drift กันได้เปล่าครับ เพราะว่า กำลัง มันเหลือเฟืออยู่แล้ว
แล้วหลักเทคนิคหรือหลักการ drift เนี่ย เหมือนกับ พวก FR ทั่วไปเปล่าครับ
แล้วลักษณะของการ เข้าเนี่ยแตกต่างกับพวก FR ยังไงอ่ะครับ
นําหนัก มันก็มากอยู่ที่ด้านหลัง แล้วท้ายมันจะออกได้มั้ย ยากหรือเปล่า
มันต้องน่าอันตรายน่าดูเลย ควรจะระวังอะไรบ้างหรือเปล่าครับ
ไม่เคยเห็น drift กันนะครับ แล้วก็ไม่มีขับด้วย แหะๆ พอดี นั่งเรื่อยเปื่อย แล้วมีความคิดนี้เข้ามาพอดี เลยอยากรู้อ่ะครับ
รถพวกนี้ ไม่ใช่ทำมา เพื่อ drift แต่ อยากทราบว่า มันเป็นไปได้มั้ย แล้ว มันทำกันอย่างไรครับผม
ขอบคุณครับพี่เปิ้ล ;D
-
ยังมีชีวิตอยู่อีกเหรอเนี่ย คนข้างบน
-
หากจะดริฟท์เสียอย่าง รถอะไรขอให้มีล้อ คนเรามันก็หาหนทางดริฟท์มันจนได้
ยิ่งรถขับหลัง แรงเยอะ แบบนี้ไม่ยาก แต่.. ลักษณะการดริฟท์มันจะไม่ได้ออกมาแบบที่เห็นกันในรถญี่ปุ่นขับหลังขนาดกลางแบบที่คุ้นตากัน
หลักการพื้นฐานก็จะเหมือนกันหมดครับ แต่โดยมากจะเล่นกันแบบไม่เต็มที่ คือดริฟท์ก็เพื่อโชว์ เพื่อแอคชั่นถ่ายรูป อะไรทำนองนี้ แถมสถานที่ก็มักจะเป็นตามสนามทดสอบ ไม่ก็สนามแข่งกว้างๆ
คำถามนี้ผมตอบได้ไม่เต็มปากนัก เพราะไม่เคยดริฟท์ด้วยรถลักษณะดังกล่าวครับ ;D
-
ยังมีชีวิตอยู่อีกเหรอเนี่ย คนข้างบน
ไม่ได้หายไปไหนเลย วนเวียนอยู่แถวนี้แหล่ะ
หนังเหนียว ตายยากกกกกก หุหุ
-
้ำheel and toe นี่มันทำไงเหรอคับ แล้วช่วยอะไร คือเห็นในการ์ตูน กับในกระทู้พี่ฟลุ๊ค ก็ไม่รู้อยู่ดีครับ พี่เปิ้ล ช่วยตอบหน่อยนะ ???
-
รู้สึก definition ของคำว่า Heel & Toe ใน Drift นี่จะต่างจาก Road racing นะ เท่าที่ฟังดูจากหลายๆคน
ผมนั้นพื้นเพ Road racing เพราะฉะนั้น Heel & Toe นั้นจะหมายถึงการใช้ขวาในการ"เบิ้ล"คันเร่งในขณะที่เบรคไปด้วย ;D เพื่อที่จะ shift down ก่อนที่จะเข้าโค้ง (จะใช้ Heel หรือ Toe เหยียบอะไรนี่แล้วแต่รถนะ) ซึ่งถ้าจะเอาละเอียดกว่านี้จะซ้ำซากพอควร เพราะเคยเขียนมาหลายทีละที่นี่
ส่วน Heel & Toe สำหรับ Drift นั้น ผมยังหาวิธีอธิบายไม่ถูก เพราะบอกตรงๆว่าไม่เคยใช้เวลาเล่น Drift บางคนบอกว่า"เอาไว้แต่งอาการของรถโดยใช้เบรคและคันเร่งในเวลาเดียวกัน" ซึ่งพอจะเห็นภาพเลาๆแต่ไม่ชัดเจนนัก เพราะถ้าจะต้องทำแบบนั้นผมจะใช้ "Left foot braking" มากกว่าจะใช้ "Heel & Toe" ไหนเซียน Drift มาช่วยให้ความกระจ่างหน่อยดิ๊ ;D
-
ฮ่าๆ ผมเองก็ไม่ค่อยได้ใช้วิธี Heel & Toe ครับ ยิ่งในสนาม BRC ยิ่งมีโอกาศน้อย เพราะส่วนใหญ่ลากกันที่เกียร์ 2 (แต่ถ้าได้รถที่พร้อม ยางกริปเหนียวๆ ผู้ขับฝีมือหน่อย ผมว่าสามารถเล่นเกียร์ 3 ได้สบายๆ)
สไตล์แต่ละคนนั้นแตกต่างกันครับ โค้งๆ เดียวกัน สามารถพารถดริฟท์เข้าได้ตั้ง 6 วิธี
- ขับมาปานกลาง แล้วกระแทกคันเร่งส่งเข้าไปเลย
- Down Shift ให้รถกระชากนิดหน่อย แล้วก็กดส่งต่อ
- ย้ำคลัตช์ วิธีนี้เปลืองคลัตช์มากๆ
- เบรกแรงๆ สักที รอจังหวะรถสไลด์แล้วก็กดส่ง
- ดึงเบรกมือ
- พารถพุ่งเข้าโค้งแรงๆ (วิธีนี้จำเป็นสำหรับรถแรงน้อย) เข้าแบบ Overspeed
คร่าวๆ ราวๆ นี้นะครับ ยังไม่นับการ Mix คือใช้เทคนิคข้างต้นมากกว่า 1 ข้อมาผสมกัน เช่นอาจขับแบบเหวี่ยงรถเข้าโค้ง พอใกล้จังหวะดริฟท์ ก็ลดเกียร์ลง อะไรทำนองนี้
ช่วงแรกๆ ที่ผมดริฟท์ด้วย Mazda Miata ผมก็ใช้ Heel & Toe เหมือนกันครับ แต่มันทำไปก็เท่านั้น จะเสียมือเสียเปล่า ก็เพราะว่าเราฝึก Heel & Toe แบบเนียนๆ กันมาเสมอ พอจะเอาวิธีนี้มาใช้ดริฟท์ รถมันก็สมูธเหมือนตอนขับซิ่งเลย ลดเกียร์แล้วรถยังวิ่งเนียนอยู่เลย สุดท้ายก็ต้องเปลี่ยนไลน์ในการเข้า คือเข้าให้ตื้นกว่าเดิมหน่อย ไม่ก็ทำจังหวะเบรกให้มันแรงเกินธรรมดาสักนิด อะไรทำนองนี้
- เอาเป็นว่า ทำนะทำได้ แต่ถ้าไม่ทำ ก็ไม่เห็นเป็นอะไร
Heel & Toe สำหรับผมแล้ว มันก็จะจำเป็นก็ต่อเมื่อมีการแข่งขันแบบจับเวลาทำความเร็วน่ะครับ
-
อยากทราบว่า การdrift ในแต่ละครั้ง หน้ายางจะทนได้นานแค่ไหน แล้วนานเท่าไหร่ ควรจะเปลี่ยนยางครั้งนึงคะ?
-
ความเปลื้ยงของยางเนี่ย มันมีบัจจัยหลายๆอย่างครับ
ทั้งพื้นถนนที่เราวิ่ง ยางเรา น้ำหนักรถ ลมยาง และก้อมุมล้อ และวิธีการขับครับ
ส่วนใหญ่ทั้งขับกันแบบเต็มที่ เหมือนกันรอบ show off ที่ทุกคนขับกัน ก่อนเปลี่ยนรายการเป็น drag ผมว่า 15 นาทีก้อเก่งแล้วครับ เพราะว่ายางมันร้อนมากๆ มัน overheat โครงสร้างมันเริ่มเสียเพราะว่ายางมันร้อนบางทีดอกยางไม่หมด ก้อระเบิดก่อนเพราะว่าโคร้งสร้างมันเสียครับ
สนามที่ผ่านวิ่งเยอะเหมือนกันใช้ยางไป 22 เส้นครับ (ยางมันเก่าบางทีวิ่ง 2 รอบระเบิดแล้ว)
มันไม่แน่ไม่นอนบอกยากครับ
-
ว่าง ๆ ผมชอบเข้ากระทู้นี้มาอ่านเลย ความรู้มันเยอะดีนะครับ จะตั้งกระทู้ขึ้นมาเองก็สั้นเกินไป ไง ๆ ก็ตรงหัวข้ออยู่แล้ว ขอถามในนี้เลยละกันนะครับ
ผมอยากถามเรื่อง
-การทำล้อฟรีอ่ะคับ แบบฟรีทิ้งที่รถอยู่กับที่เค้าทำกันยังไงหรอคับ ทำไมรถมันไม่ไหลไปล่ะ
-ดูในcd เวลาทำโดนัทหรือดริฟท์เนี่ย สมมติว่าเลี้ยว"โค้งซ้าย" สมมติว่าใช้เบรคมือในการดริฟท์ หักซ้ายก่อน->ดึงเบรคมือ->หักพวงมาลัยไปทางวขวา->กดคันเร่ง (หากผิดพลาดประการใดต้องขอโทษด้วย...ผมดริฟท์ไม่เป็น :-[) ไอ้ตอนที่หักพวงมาลัยไปทางขวา ผมเห็นเค้าปล่อยพวงมาลัยให้มันกลับคืนเอง(คือหักไปทางซ้าย ดึงเบรคมือ แล้วปล่อยให้พวงมาลัยกลับเอง แล้วเลี้ยงพวงมาลัยนิดหน่อยไปทางซ้างต่อ) เค้าsetยังไงหรอคับ ให้พวงมาลัยมันหมุนติ้วคืนมาเอง เกี่ยวกับมุมtoeรึเปล่าครับ หรือเป็นปกติอยู่แล้ว ทำได้ทุกคันรึเปล่าครับ
ป.ล.ขอโทษด้วยครับที่แค่จะถามแต่ต้องเขียนซะยาวยืด:-[ ขอบคุณครับ
-
อยากทราบก็ถามมาได้ครับ เปิดเวปมาก็เพื่อการณ์นี้โดยเฉพาะอยู่แล้ว ขอให้นำสิ่งที่รู้ไปให้ให้เป็นประโยชน์ก็พอ
- การทำล้อฟรีอยู่กับที่ วัยรุ่นเรียกเบิร์นยาง ทำได้สามวิธี คือ
1 ล็อคเบรกหน้า รถแดร็กบางคันทำปุ่มล็อคให้เบรกหน้าทำงานอย่างเดียว จากนั้นออกตัวแรงๆ ล้อหลังก็หมุนฟรี แต่รถไม่เคลื่อนที่เพราะล้อหน้าเบรกไว้
2 ใช้เท้าขวากดเบรกไว้ แต่ส้นเท้ากดคันเร่ง ลักษณะการวางเท้าคล้าย Heel & Toe ครับ แค่ปล่อยคลัตช์แรงๆ กดคันเร่งหนักๆ ถ้าเครือ่งแรงบิดเยอะ ล้อเราก็จะฟรีได้
ปล มีเทคนิคการกดเบรกด้วยนะ คือค่อยๆ กดน้ำหนักลงแป้นเบรกเบาๆ ล้อเราก็จะฟรีไล่โทนเสียงได้จากค่อยไปดัง หรือดังไปค่อยได้ เห็นไหม เท่กว่าแบบล็อคเบรกอีก
3 ออกตัวแบบวัดใจ วิธีนี้ผมชอบ ผมซาดิส มันคล้ายการพิสูจน์พลังจิต คือถ้าเราไม่มั่นใจ รถมันก็จะพุ่งเคลื่อนไปข้างหน้า แต่ถ้าเราชัวร์ มั่นใจเต็มที่ (โดยพื้นฐานของการมีฝีมือพอตัว) รถเราจะแทบไม่เคลื่อนไปข้างหน้าเลย หรือเคลื่อนก็ไม่เกิน 1 วงรอบของล้อครับ
ขณะดริฟท์แล้วรถเปลี่ยนทิศทาง พวงมาลัยจะหมุนตีกลับอย่างแรงและเร็วเป็นเรื่องปกติครับ รถบ้านเดิมๆ ตอนหมุน และคุมรถไม่อยู่ ก็จะเกิดอาการเดียวกัน แต่มักจะจบลงด้วยอุบัติเหตุ
ปล ขณะที่พวงมาลัยหมุนตีกลับ ล้อหน้ามันก็หมุนกลับทิศทางอย่างแรงไปด้วยนะครับ แต่ที่มันหมุนเร็วก็เพราะเรากดคันเร่งส่งรถให้ดันมันไปข้างหน้า คือช่วยเพิ่มพลังการหมุนของมันนั่นเอง
รถทุกคันก็เป็นเช่นนี้แหละครับ
-
ผมว่าวิธีที่2ถ้าทางจะยากแฮะ ;D
การทำล้อฟรีอยู่กันที่ไม่มีประโยน์อะไรใช่มั้ยครับ
-
ไม่มีประโยชน์ในทางเทคนิคเลยแม้แต่น้อย แถมมีข้อเสีย
- ยางร้อนมาก
- ยางสึกมาก
- เปลืองน้ำมันเปล่าๆ
- หนวกหู และสามารถทำให้คนหมั่นไส้คุณได้ง่ายๆ มีโอกาศโดนขูดขีดรถโดยไม่ทราบสาเหตุ
- เหม็นควัน ควันจะฟุ้งตลบ และมักจะย้อนมาให้ตัวคุณดมเอง ฮ่าๆ (ระวังมะเร็งแดก)
ข้อดีแบบไร้สาระก็คือ
- เท่เว้ย กูเท่นะเนี่ยะ ทำแบบนี้ในที่ๆ คนพลุกพล่านน่ะ
- สะกดสายตาคนได้ ผู้คนจะมามองคุณกันเป็นจุดเดียว
-
ข้อดีแบบไร้สาระ
ไร้สาระจิง ๆ ด้วย ;D
-
ประโยชน์ของ Burnout นั้น มีเฉพาะใน Drag racing และเฉพาะคนที่ใช้ Drag Slick เพราะยางพวกนี้จะทำงานได้ดีเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น แต่ก้อมี Limit นะ ไม่ใช่ Burn กันเป็นบ้าเป็นหลัง ควันท่วมทุ่ง ไล่ยุงกระเจิดกระเจิง นั่นมันเว่อร์เกินไป ตามตำรา Drag Racing ทั่วๆไปในอเมริกาบอกไว้ง่ายๆว่า Burnout จนควันเริ่มออกแล้วก้อพอได้ ถ้ามองไม่เห็นก้อให้เพื่อนดูให้ คอยให้สัญญานว่า "พอแล้วมึง..เปลือง"
คิดดูละกันว่า Drag Slick ยังต้องการแค่นั้น ส่วนพวก Drag Radial นั้นไม่ต้องการ Burnout ให้เปลืองลยแม้แต่น้อย (BFG เป็นคนบอก รวมทั้งจากหนังสือ Drag Racer, Car Craft, Hot Rod ซึ่งทดสอบยางพวกนี้ประจำ) อย่างเก่งก้อแค่ทำ Dry Hop คือ ออกตัวแรงๆให้ยางสปินนี๊ดๆให้ขี้ฝุ่นหรือเศษดินที่เกาะหน้ายางหายไปหน่อยก้อพอ อีกอย่าง ยาง Drag Radial นั้นนิสัยเหมือนยาง Radial ทั่วไปคือ คายความร้อนเร็ว ถึง Burnout ให้ตายยังไง พอมารอที่เส้นยางก้อเย็นไปแล้ว ยิ่งถ้าต้องรอเลนข้างๆมาเข้าเส้นด้วยยิ่งเย็นชืดเลยทีนี้ แต่ยังไง Drag Radial พวกนี้ก้อยังทำงานที่อุณหภูมิต่ำได้ เพราะฉะนั้น ถ้าเห็นใครใส่ยาง Drag Radial แล้ว Burnout จนควันโขมงโลกละก้อ มันเว่อร์และไร้สติ
ในพวก Drag Racing ของอเมริกาเขายังมีเหตุผลอีกหลายอย่างในเรื่อง Burnout แต่รวมๆแล้วคือทำให้ยางขึ้นมาที่ Operating Temperature เท่านั้นเอง ยังสงสัยอยู่ว่าเมื่อไหร่มันจะใช้ Tire Blanket แบบ F1 ซะทีวะ จะได้ไม่เปลืองยาง แต่อย่างว่า เขาขว้างยางทิ้งกันแทบทุกรอบอยู่แล้ว ยางมันถูกอ่ะ (สำหรับเขานะ) ;D
-
เวลา burn out ต้องช่วยกันจับรถ
จะได้รู้ว่า
"นี่ นี่ เพื่อนผม เพื่อนผม" ;D
-
บ้านเรานั้นยังไม่รู้สึกถึงอันตรายของการที่คนไปยืนใกล้ๆรถที่กำลัง Burn Out แต่ในอเมริกา (ต้องอ้างอเมริกาก่อนเพราะเขาเป็นจ้าวตำรับและแหล่งกำเนิดของ Drag Racing) และหลายๆประเทศที่เล่น Drag Racing กันแบบใช้สมองนั้นเขารู้ถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นแล้ว เราจึงไม่เห็นใครมามุงใกล้ๆหรือ จับ ดัน ดึง รถตอน Burn Out ในเวลาแข่งขันในประเทศเขา เนื่องจากมันเคยมีเหตุการณ์อันตรายถึงแก่ชีวิตที่ทำให้เขาทราบซึ้งและเรียนรู้มาแล้ว
เหตุการณ์นึงที่จำได้เพราะเป็นข่าวก้อคือ รถคันนึงกำลัง Burn Out และในตอนนั้นยังมีลูกทีมคอยจับรถให้อยู่ทั้งซ้ายและขวาของรถ ปรากฏว่าเพลาทางขวาขาดตรง Drive flange ที่ติดกับล้อ ล้อขวาหลุดออกแล้วปลิ้นออกมากระแทกลูกทีมที่อยู่ทางขวา ผล...คาที่ไปหนึ่ง แล้วรถทั้งคันกระเด้งขึ้นแล้วเหวี่ยงท้ายออกซ้ายทับลูกทีมที่อยู่ทางซ้ายมือ เดี้ยงไปอีกคน ทีนี้พอจะนึกภาพออกมั้ยว่าทำไมที่อื่นเขาถึงห้ามให้มีคนไปจับรถเวลา Burn out
จากนั้นมา อุปกรณ์ที่ช่วยในการ Burn out ก้อมีทำออกมาขาย เช่น Line lock ซึ่งทำให้รถอยู่กับที่ได้ แต่ก้อมีหลายๆคนบอกว่า "ติด Line Lock แล้วรถก้อยังเป๋ตอน Burn out" นั่นไม่ได้เป็นเพราะ Line Lock แต่เป็นเพราะช่วงล่างของรถนั้นไม่ได้เรื่อง และถ้า Burn out ยังเป๋ ก้ออย่าหวังว่าจะออกตัวได้ดี แล้วพวกที่ออกแล้วเป๋เนี่ย นึกออกรึยังว่าทำไมออกรถทีไรมันหันเข้ากำแพงด้านขวาทุกที? วิธีแก้ปัญหานี้มีคนคิดได้มา 40 กว่าปีละนะ บ้านเรายังคิดกันไม่ออกอีกหรือ? ???
-
นี่คือนิสัยคนไทย
ไม่เกิดกับตัวไม่รู้สึก
โทษแต่คนอื่นสิ่งอื่น ไม่โทษตัวเอง
เรื่องคนดูเหมือนกัน ไม่ว่าแข่งอะไร (เว้นแข่งที่พีระ เพราะสนามเค้าระดับ"อินเตอร์"
ทำไมห้ามกันไม่ได้หรือไง พวกประเภท นั่งดูข้างแทรค หนะต้องรอความฉิบหายมาก่อน ค่อยคิดกันได้เหรอ
ทำอะไรก็ได้ตามใจคือไทยแท้
รู้สึกว่าประโยคนี้ ห่วยแตก ครับ
-
เวลา burn out ต้องช่วยกันจับรถ
จะได้รู้ว่า
"นี่ นี่ เพื่อนผม เพื่อนผม" ;D
;D
-
;D สวัสดีครับผม เก๋ (ชาย) เพิ่งสมัครน่ะครับ สนใจเรื่องการ ดิฟท์ มานานกำลังพยายามเก็บเงินซื้อรถอีกคันมาดิฟท์ ระหว่างนี้ก็หาข้อมูลศึกษาเรื่อยๆ
อ่านตั้งแต่หน้าแรก โอ้ โห ยังกับตำราเลย เมื่อยตาเวย ปกติไม่ชอบอ่านหนังสือ แต่ครั้งนี้ยอมเพราะ
สนใจสุดๆ อยากขับดูสะใจดี ขอบคุณทุกคำถามและคำตอบที่ผมได้อ่าน ขอบคุณครับ
-
พี่ครับ อ่านมาหมดแล้ว มีคำถามข้องใจอยุ่คาใจอยุ่พอสมควรอ่ะคับ ถ้าไงมาอ่านแล้วสอนผมด้วยนะครับ คือเรื่องที่ผมจะถามต่อไปนี้อาจดู ตลกหน่อยนะครับ คือกำลังพายายามหัดอยุ่อ่ะคับ
อย่างแรกที่จะถามคือ ไอวิธี 6 อย่างที่พี่บอกอ่ะครับ มันทำตอนไหนหรอครับ ก่อนเข้าโค้งหรือเข้าโค้งอยู่ครับ แล้วเวลาเข้าโค้ง พี่หักหมดเลยป่าวคับละพี่คืนพวงมาลัยยังไงให้มันไม่หลุดไปกระแทกข้างทางอ่ะครับ ผมงงมากอ่ะครับช่วยบอกผมที
อีกอันนะครับ ถ้าเรามาด้วยความเร็วสูงการดริฟด้วยวิธีไหนจะทำให้เราเสียความเร็วไปน้อยที่สุดอ่ะครับ แบบว่า ความเร็วไม่ตกลงอ่ะครับ
แล้วก็ ที่พี่บอกว่า โยนรถอ่ะครับ มันคืออะไรหรอครับ ช่วยอธิบายให้ผมเข้าใจทีสิครับ อ่านแล้วก็งง โยนยังไงอ่า - . -
แล้วก็ท้ายสุดจิงๆละครับ เวลาพี่หักพวงมาลัยอ่ะครับ พี่กะว่าเมื่อไหร่หักยังไงหรอครับ? หรือว่า อันนี้ต้องใช้ เซ้น + ประสบการ อ่ะครับ ถึงจะเข้าใจอ่ะครับ ถ้าไงช่วยตอบผมด้วยนะครับ อยากรู้มาก จะได้ ดริฟได้ตามที่ใจคิดอ่ะครับ T-T บางทีอยากลองทำแต่แบบว่ายังทำไม่ได้อย่างใจคิดอ่ะครับ
-
6 วิธีที่ทำให้รถไม่กริป ก็ต้องทำขณะที่คุณต้องการให้มันไม่กริปครับ โดยมากจะเป็นช่วงทางตรงก่อนเข้าโค้ง
การหักพวงมาลัยนั้นจะขึ้นอยู่กับองศาของโค้ง ความกว้างของโค้ง ความเร็วของรถ และมุมที่ส่งรถเข้ามา
- วิธีทำให้รถไม่กระแทกข้างทางก็คือ ขับให้ไม่ช้าจนเกินไป หักพวงมาลัยไม่เร็วเกินไป และรอบเครือ่งไม่ต่ำจนเกินไป ทำทุกอย่างให้เข้ากันพอดี รถก็จะไม่ตกถนนครับ
วิธีที่เสียความเร็วน้อยสุดก็คือกริปครับ อย่าไปดริฟท์มัน
กะจังหวะหักพวงมาลัยก็ต้องขึ้นอยู่กับตำแหน่งของรถในสนาม มุมของโค้ง ความกว้างของโค้ง และความเร็วของรถครับ
คุณยังใหม่กับการดริฟท์มากครับ แต่ไม่ต้องท้อแท้หากใจรักจริง คำถามทั้งหมดที่คุณว่ามา จะไขออกด้วยตัวคุณเอง โปรดทำตามผมดังนี้
1. หัดทำโดนัท
2. ทำเลข 8
ทำทั้งสองอย่างได้อย่างคล่องแคล่วแล้ว คำตอบทั้งหมดที่คุณอยากรู้จะเผยออกมาครับ
-
???โทดนะครับแล้วรถกระบะพอ drift ได้มั้ยครับ
-
เชิญที่นี่ครับ http://www.racing-club.net/board/index.php?board=4;action=display;threadid=3952 ;D
-
สงสัยคับ อยากรู้ว่าถ้าเริ่มหัดดริฟท์ในสนามเลยโดยที่ไม่ได้หัดทำโดนัทหรือ8ก่อน
ถ้าเป็นแล้วจะทำโดนัทได้มั้ยอ่ะพี่...ไม่เอาโดนัทที่เป็นขนมนะ ;D
-
ทำได้ครับ ไม่ต้องทำโดนัทเป็นก็ดริฟได้ครับ
อย่างผมทำโดนัทได้ผมยัง ดริฟเข้าโค้งไม่เป็นเลยครับ ;D
-
คือวันก่อนไปซ้อมมาครับ
โดนัทเสร็จปุ๊บก้อมาจอดรถพักไว้(ยังไม่ได้ดับเครื่องนะคับ) ปรากดว่ารอบเครื่องไม่ยอมตกอ่ะคับ
จอดไว้เฉย ๆ รอบเครื่องอยู่ที่3พันรอบ ไม่ตกเลย เข็มความร้อนอยู่ประมาณตรงกลางพอดี
เคยเป็นอย่างนี้มารอบนึงแล้ว "ตอนนั้น"ลากเกียร์1จนเกือบred zone แล้วเปลี่ยนเกีย2 ทำถึงเกีย3 พอขับปกติก้อเป็นแบบนี้เลย
มันเป็นไรอ่ะคับ แล้วเครื่องจะเป็นไรมั้ย
-
ผมจะบอกว่าผมก็ไม่รู้จริงๆ
ต้องยอมรับก่อนอ่ะนะว่าโง่มากๆเรื่องเครื่องยนต์
แต่เคยเป็นเหมือนกัน เวลาใช้งานหนักๆเช่นเหยียบมาจากศาลายากลับดอนเมืองไม่มีพักเลย
พอจอดไฟแดงที เข็มรอบมันก็ค้างที่สองพันรอบเนี้ยล่ะ
ซักพักมันก็ลงมาเอง
เอาเป็นว่าอาจจะไม่ใช่เรื่องแปลกก็ได้
รบกวนพี่เปิ้ลมาไขความข้องใจหน่อยครับ ;D
-
ช่วยตอบด้วยนะครับ ;)
-
สวัสดีครับ สมาชิกใหม่ครับ
คือตอนนี้ยังไม่มีรถหรอกนะครับ แต่กำลังศึกษาอะไรต่างๆอยู่
คือ ตอนนี้กำลังหาข้อมูลเกี่ยวกับช่วงล่างของรถซะมากกว่า
การที่รถดริฟท์เนี่ย ภาระของช่วงล่างมันจะตกอยู่ที่ส่วนไหนเป็นหลักครับ
อย่างเช่นพวกยางรองแท่นอะไรต่างๆ คือเท่าที่ดูจะไม่ค่อยมีคนกล่าวถึงเรื่องพวกนี้ไว้อะครับ
เลยอยากทราบ คือถ้าสมมติว่าจะมาดริฟท์จริงๆเนี่ยคืออยากจะศึกษาให้ครบๆอะครับ
จะได้ดูแลถูก เด๋วไม่ใช่ดริฟท์ไปดริฟท์มาพังไปทีละอย่าง คงไม่ไหวอะครับ
เลยอยากหาข้อมูลไว้ เตรียมพร้อมก่อนอะครับ
ขอบคุณมากครับ
ปล.ส่วนใหญ่ที่ซ้อมๆกันซ้อมกันที่ไหนเหรอครับ
พอจะมีที่ๆซ้อมๆได้แบบว่าไม่มีคนบ้างมั๊ยคับ คือผมชอบปลีกตัวอะคับ - -"
ขอบคุณครับ
-
ถามว่า "ภาระของช่วงล่างมันจะตกอยู่ที่ส่วนไหนเป็นหลัก"
- ยางครับ ยางหมุนจนร้อนจี๋เลย ร้อนแล้วก็จะเริ่มสลายตัว แยกร่างออกเป็นชิ้นๆ อาจค่อยๆ สึก หรือหลุดเป็นแผ่น (แล้วแต่สภาพ และคุณภาพ) จนวาระสุดท้ายมาถึง ก็คือระเบิด ไม่ก็แตกจนเก็บลมไว้ไม่อยู่
ดริฟท์แล้วพังแน่นอนครับ ไม่ต้องกลัว รับประกันชัวร์ว่าต้องพัง ถ้าไม่พัง ก็คือคุณยังเล่นไม่สุด
- ถ้าจะไม่ให้พังก็ได้ แต่คุณต้องมีเงินเหลือเอามากๆ คือทำรถให้พร้อมทุกสนาม มียางไปเล่นแบบเหลือเฟือ
- อีกวิธีที่ถูกกว่าก็คือ เล่นแบบขำขำครับ คือไม่ต้องจริงจังมาก ค่อยๆ เล่น ค่อยๆ สาด ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็เก่งเอง
เมื่อก่อนผมซ้อมบนถนนจริงครับ แต่คนอื่นก็จะซ้อมกันในสนาม BRC กัน
- แบบที่ไม่ค่อยมีคนเห็นนั้นมักจะเล่นได้ไม่นานครับ ยามก็ไล่แล้ว
-
ยืนยันตามคุณเปิ้นน่ะครับเรื่อง"พัง" เตรียมใจไว้ได้เลยว่ามันต้องมีอะไรซักอย่างพังแน่ๆ เป้นได้ตั้งแต่ช่วงล่าง ยาง เบรค เครื่อง เกียร์ ฯลฯ เพราะเราเอา"รถถนน"มาเล่น ขึ้นชื่อว่ารถถนนแล้วมันก้อออกแบบมาให้วิ่งบนถนน พอเราเอามา Drift มันก้อเรียกได้ว่าเป็นการใช้รถแบบ Extreme ย่อมต้องมีพัง จริงอยู่ที่เราสามารถหาชุด"โม"มาใส่ได้ แต่ไม่ได้แปลว่ามันจะไม่พัง มันแค่"พังช้าลงอีกหน่อย"
ถ้าจะให้เล่นได้หนักๆโดยไม่พังต้องใช้ตังค์เยอะ มันก้อเข้าข่าย "ถูก แรง ทน" ที่เลือกได้ 2 อย่างและต้องเสีย 1 อย่าง ถูกแรงจะไม่ทน ถูกทนจะไม่แรง แรงทนจะไม่ถูก
ถามว่าภาระนั้นมันจะรับไปเต็มๆที่ส่วนไหน ยืนยันตามคุณเปิ้นคือยาง ส่วนช่วงล่างนั้นไม่ได้รับภาระไปมากกว่าขับแบบ road racing แถมเผลอๆจะน้อยกว่าเพราะแรง G ที่เกิดขึ้นนั้นมันตกลงทันทีที่รถมีอาการ Drift (แรง G มันจะ peak ก่อนที่ยางจะเริ่ม slip) ;D
-
ขอบคุณคับ ^^
แล้วพวกพี่ๆใช้รถอะไรกันมั่งอะคับ
ผมกำลังเล็ง 200 วางฝาดำหลังหักอยู่อะคับ
แต่ว่าตอนนี้ก็คงยังไม่ได้ เพราะค่าใช้จ่ายที่บ้านตอนนี้เยอะมาก ต้องหาข้อมูลต่อไป
อิอิ
-
สวัสดีครับ ผมเป็นสามชิกใหม่ โพสต์เรปนี้เป็นเรปแรกเลย และก็ขอถามเลยด้วยครับ
ที่เค้าบอกว่า "ปรับมุมล้อ" มันหมายถึงอะไรอ่ะคับ
แล้วปรับยังไงแบบไหน แล้วมันมีผลอะไรอะครับ ขอทราบรายละเอียดโดยละเอียดนะครับ
เอาแบบลึกซึ้งเลย ไม่ลึกซึ้งผมไม่เข้าใจอ่ะครับ แบ่บ ประเภทนักวิชาการอ่ะครับ หุหุ
ขอบคุณล่วงหน้าด้วยครับ ๑^ ^๑
-
การปรับมุมล้อ
หมายถึงการตั้งศูนย์ล้อครับ เรื่องนี้ไม่มีอะไรลึกซึ้งมากสำหรับมือใหม่ เพราะเราทำเองไม่ได้ เราต้องเข้าร้านตั้งศูนย์และปล่อยให้ช่างเขาจัดการ
ไอ้จุดนี้แหละครับที่สำคัญ เพราะช่างตั้งศูนย์เขาจะมีจุดหลอกแดกมากมาย เริ่มจากบอกว่าไอ้โน่นเสีย ไอ้นี่เสีย ที่เจอะประจำก็ตอนเปลี่ยนผ้าเบรกแล้วชวนเราเจียร์จาน ไอ้ที่จานเป็นรอยจานคดนั้น ถ้าเกิดจริงก็ไม่ใช่ปัญหา สมควรทำ แต่มีเยอะที่จานยังสวย แต่มันชวนเจียร์เล่นๆ (ก็ได้เงินนี่หว่า จานละ 100 สี่จานก็สี่ร้อย ค่าแรงต่างหาก)
- เอาเป็นว่ารถดูแลดี ห้าปีแรกไม่น่าเกิดปัญหาเรื่องพวกนี้ครับ
เข้าเรื่องปรับมุมล้อ
- ลำพังการขับปกติ เราก็แค่ตั้งศูนย์กันแบบปกติ ร้านตั้งศูนย์ใหญ่ๆ เขาจะมีข้อมูลรถรถรุ่นนั้นๆ ว่าควรตั้งให้ค่าออกมาเป็นเท่าไร โดยการเลือกยี่ห้อรถ รุ่น และปี แล้วก็แค่กดๆ หน้าจอก็จะมีค่ากลางออกมา เขาก็แค่ตั้งค่าในรถเราให้ตามหน้าจอนั้้น แต่ก็มีรถเก่าบางคันที่มันตั้้งให้ลงเท่ากันเป๊ะไม่ได้ ก็ต้องมีการชดเชยกันหน่อย อันนี้เป็นเทคนิคของช่าง เราขับแล้วไม่รู้เรืื่องอะไรหรอกครับ
การปรับมุมล้อสำหรับดริฟท์
- สำหรับผม ผมยกตัวอย่างตัวเองเพราะผมปรับเพื่อให้รถเกาะถนนดีขึ้นในทางโค้ง (ต่างจากหลายท่านที่มักจะปรับให้ท้ายไว ให้ร่อน)
- รถจะเกาะในโค้งได้ดีก็ต้องเริ่มจากยาง หากเลือกได้ผมก็จะเลือกใช้ยางแก้มบางที่มากับดอกยางลายตัดขวางเป็นเส้นๆ ตลอดหน้ายาง โดยมากจะเป็นยางสไตล์ของ Yokohama แต่ยี่ห้ออื่นก็มีล่ะ
- ลมยางก็สำคัญไม่น้อย ขณะดริฟท์ค่าลมยางจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก ถ้าเติมลมน้อยค่าความร้อนก็จะยิ่งสูงขึ้นเร็วการการเติมลมยางมาก แนะนำให้เติมไว้สูงกว่าปกติสักหน่อย
แคมเบอร์
- จะเป็นลักษณะของมุมล้อที่เอียง หรือวัยรุ่นเรียก ล้อแบะ แบะมากก็คือแคมเบอร์ลบมาก ล้อไม่แบะ ล้อตรง คือแคมเบอร์ศูนย์ ล้อแบะจะเกาะดี แต่ยางสึกเร็ว และความร้อนบนจุดมุมไหล่ยางที่สัมผัสถนนจะสูงมาก ยางไม่ชอบความร้อนครับ
โท
- คือการชี้ของล้อ เช่นชี้ไปด้านหน้าและหุบเข้า แบบนี้เรียกโทอิน แต่ถ้าชี้ออกเรียกโทเอ้า บางคนเรียกค่าโทเป็นบวกลบ อันนี้คุยกันลำบากหน่อย
แคสเตอร์
- เป็นการปรับแกนล้อให้เอียงมากหรือน้อย ลักษณะเดียวกับตะเกียบหน้าจักรยานครับ มุมเอียงหรือตั้งชันมากเกินไปก็จะทำให้ขับแล้วเหนื่อย คือพวงมาลัยมันจะตอบสนองไวมากจนคุมทิศทางได้ลำบาก
-
ขอบคุณมากครับ ได้ความรู้เพิ่มเติมเยอะแยะเลย ;D
ขออณุญาติถามต่อเลยนะครับ พอดีเพิ่งนึกออกครับ แหะๆ
สมมุติรถที่จะใช้ดริฟต์มีม้าน้อยไปหน่อย การปรับมุมล้อจะช่วยให้ดริฟท์ได้ง่ายขึ้นมั้ยครับ
ถ้าช่วยได้ ผมอยากทราบว่าจะต้องปรับแบบไหนอ่ะครับ
ขอบคุณล่วงหน้าด้วยครับ ๑^ ^๑
-
การปรับตั้งฯศูนย์ล้อ ไม่ได้มีผลทำให้รถมีแรงน้อยคันนั้นขับได้ง่ายขึ้นครับ
- มันแค่ทำให้รถตอบสนองได้ดีขึ้นต่างหาก บนข้อแม้ว่า ต้องตั้งศูนย์ให้ถูกต้องกับลักษณะการใช้งาน และเหมาะสมกับสภาพการขับด้วย
ว่าแต่ว่า แรงแค่ไหนหรือที่บอกว่ามีแรงน้อย ลองบอกรถที่คุณจะใช้ดริฟท์มาหน่อยครับ บางทีมันอาจไม่ได้เกิดมาเพื่อดริฟท์ก็เป็นได้
-
ผมยังไม่มีหรอกครับ หุหุ ;D ผมแค่ลองคิดเล่นๆดูน่ะคับ ถ้ามีอะไรที่ทำให้ก่ออาการโอเวอร์สเตียร์ได้
โดยไม่ต้องใช้ม้ามากนักก็คงจะสนุกไปอีกแบบนะครับ แหะๆ ;D ยังไงก็ต้องขอบคุณอีกครั้งนะครับ สำหรับคำตอบ
ถ้ามีอะไรสงสัยอีกผมจะมาโพสต์ถามอีกเรื่อยๆนะครับ คงต้องรบกวนคุณเปิ้ลอีกนานเลย
เพราะผมเพิ่งเริ่มศึกษา แหะๆ ฝากตัวด้วยนะครับ ;D
-
แรงม้าน้อย ก่อนจะเข้าโค้ง ต้องตั้งต้นไกลๆ แล้วมาเร็วๆ เมื่อเข้าในโค้งจะเกิดอาการแหกโค้งเองง่ายๆ :o
แต่จะเป็นแหกโค้งแบบ Under Steer หรือ Over Steer ก็แล้วแต่คับ อิอิ ;D ;D ;D
-
ผมยังไม่มีหรอกครับ หุหุ ;D ผมแค่ลองคิดเล่นๆดูน่ะคับ ถ้ามีอะไรที่ทำให้ก่ออาการโอเวอร์สเตียร์ได้
โดยไม่ต้องใช้ม้ามากนักก็คงจะสนุกไปอีกแบบนะครับ แหะๆ ;D ยังไงก็ต้องขอบคุณอีกครั้งนะครับ สำหรับคำตอบ
ถ้ามีอะไรสงสัยอีกผมจะมาโพสต์ถามอีกเรื่อยๆนะครับ คงต้องรบกวนคุณเปิ้ลอีกนานเลย
เพราะผมเพิ่งเริ่มศึกษา แหะๆ ฝากตัวด้วยนะครับ ;D
จริงๆแล้วถ้าคิดว่าจะดริฟต้องเป็นรถที่ท้ายออกง่ายๆนี่ไม่ใช่นะฮะ ออกง่ายไปก็กลายเป็นหมุนสะเปะสะปะนะฮะ
จริงๆต้องเป็นรถที่เกาะพอสมควรเลยนะ สั่งอะไรต้องสนองเราทันทีนะ
แต่ก็อีกล่ะ แล้วแต่คนถนัดครับ ;D
-
Oversteer และ Understeer นั้นจะเกิดขึ้นหรือไม่อย่างไร มันอยู่ตรงที่ยางหน้าหรือหลังมันเสีย Traction หรือเสียแรงยึดเหนี่ยวกับผิวถนนหรือปล่าว นี่เราพูดถึงสภาพของรถในขณะที่มีการ"เปลี่ยนทิศทาง"นะ ไม่อยากใช้คำว่า"เลี้ยว"เพราะมันกว้างไป พูดง่ายๆถ้ายางหน้ามันเสีย Traction รถเรามันก้อจะ Understeer ถ้ายางหลังมันเสีย Traction มันก้อจะ Oversteer พูดแบบง่ายๆนะ จะเอาละเอียดยิบต้องคุยกันสามวัน เพราะจะเจอพวก Traction Circle, Slip Angle ฯลฯ แล้วมันจพยาว แต่เข้าใจได้กระจ่าง
ในกรณีของ Drift เราคงไม่อยากให้เกิด Understeer กันนักอ่ะนะ เราชอบที่จะให้รถมัน Oversteer ตามสั่งได้มากกว่า ซึ่งสามารถทำได้ด้วยการ Set ช่วงล่าง ซึ่งไม่ได้มีแค่มุมล้อ มุมแคมเบอร์ มุมแคสเตอร์ แต่รวมไปถึงการ set ช๊อคอัพ Bump และ Rebound ด้วย แล้วยังมีการตั้ง Conner weight, Crossweight ซึ่งเมื่อทำรวมๆกันแล้ว สามารถทำให้รถนั้น"ออกอาการ"ได้ดั่งใจ แต่อย่าถามว่าต้องตั้งแค่ไหนอย่างไร เพราะรถแต่ละคันจะตั้งไม่เหมือนกัน ถึงแม้จะเป็นรถยี่ห้อเดียวกัน รุ่นเดียวกัน ใช้ของใช้เครื่องเหมือนกันทุกอย่างก้อตาม
แรงของเครื่องยนต์นั้นไม่จำเป็นต้องมีมาก แต่ต้อง"มีพอ" โดยเฉพาะแรงบิดในรอบต่ำนั้นถ้ามีจะช่วยให้ขับได้ง่ายขึ้นเยอะ ถ้าค่อนข้างขัดสนในเรื่องแรง (ซึ่งมักจะมาจากสาเหตุของความขัดสนในเรื่องเงิน ;D) ก้อต้องอาศัย"วิชาตัวเบา" คือทำรถให้น้ำหนักเบาลง....แต่ต้องคงไว้ซึ่งความแข็งแรงและความปลอดภัยนะเฟ้ย ไม่ใช่มีเครื่องแค่ 1600 ซีซี แต่ตัวรถล่อเข้าไปตันสามร้อยกิโล มันก้อคง Drift ไม่ออก เคยขับโกคาร์ทเครื่อง 4 จังหวะให้เช่าป่ะ ถ้าสาดออกมาจากโค้งแล้วมันจะ"เหี่ยว"แบบนั้นเลย เพราะฉะนั้น ถ้าแรงน้อย ทำรถเบาเข้าไว้ แล้ว Set ช่วงล่างช่วย ก้อพอที่จะสนุกได้แล้ว ;D
-
Oversteer และ Understeer นั้นจะเกิดขึ้นหรือไม่อย่างไร มันอยู่ตรงที่ยางหน้าหรือหลังมันเสีย Traction หรือเสียแรงยึดเหนี่ยวกับผิวถนนหรือปล่าว นี่เราพูดถึงสภาพของรถในขณะที่มีการ"เปลี่ยนทิศทาง"นะ ไม่อยากใช้คำว่า"เลี้ยว"เพราะมันกว้างไป พูดง่ายๆถ้ายางหน้ามันเสีย Traction รถเรามันก้อจะ Understeer ถ้ายางหลังมันเสีย Traction มันก้อจะ Oversteer พูดแบบง่ายๆนะ จะเอาละเอียดยิบต้องคุยกันสามวัน เพราะจะเจอพวก Traction Circle, Slip Angle ฯลฯ แล้วมันจพยาว แต่เข้าใจได้กระจ่าง
ในกรณีของ Drift เราคงไม่อยากให้เกิด Understeer กันนักอ่ะนะ เราชอบที่จะให้รถมัน Oversteer ตามสั่งได้มากกว่า ซึ่งสามารถทำได้ด้วยการ Set ช่วงล่าง ซึ่งไม่ได้มีแค่มุมล้อ มุมแคมเบอร์ มุมแคสเตอร์ แต่รวมไปถึงการ set ช๊อคอัพ Bump และ Rebound ด้วย แล้วยังมีการตั้ง Conner weight, Crossweight ซึ่งเมื่อทำรวมๆกันแล้ว สามารถทำให้รถนั้น"ออกอาการ"ได้ดั่งใจ แต่อย่าถามว่าต้องตั้งแค่ไหนอย่างไร เพราะรถแต่ละคันจะตั้งไม่เหมือนกัน ถึงแม้จะเป็นรถยี่ห้อเดียวกัน รุ่นเดียวกัน ใช้ของใช้เครื่องเหมือนกันทุกอย่างก้อตาม
แรงของเครื่องยนต์นั้นไม่จำเป็นต้องมีมาก แต่ต้อง"มีพอ" โดยเฉพาะแรงบิดในรอบต่ำนั้นถ้ามีจะช่วยให้ขับได้ง่ายขึ้นเยอะ ถ้าค่อนข้างขัดสนในเรื่องแรง (ซึ่งมักจะมาจากสาเหตุของความขัดสนในเรื่องเงิน ;D) ก้อต้องอาศัย"วิชาตัวเบา" คือทำรถให้น้ำหนักเบาลง....แต่ต้องคงไว้ซึ่งความแข็งแรงและความปลอดภัยนะเฟ้ย ไม่ใช่มีเครื่องแค่ 1600 ซีซี แต่ตัวรถล่อเข้าไปตันสามร้อยกิโล มันก้อคง Drift ไม่ออก เคยขับโกคาร์ทเครื่อง 4 จังหวะให้เช่าป่ะ ถ้าสาดออกมาจากโค้งแล้วมันจะ"เหี่ยว"แบบนั้นเลย เพราะฉะนั้น ถ้าแรงน้อย ทำรถเบาเข้าไว้ แล้ว Set ช่วงล่างช่วย ก้อพอที่จะสนุกได้แล้ว ;D
ขอบคุณมากครับ ได้แนวคิดในการแต่งเยอะเลย ;D และถ้าเป็นไปได้
อยากขอความอณุเคราะห์ช่วยอธิบายเรื่องที่ว่าด้วย
จะขอบคุณมากๆเลยครับ ;D
-
หวัดดีพี่ ๆทั่งหลายครับบบ ๆๆๆ
อยากทราบว่ารถ datsun 1200เครื่องเดิมเนี่ยเอาไปดริฟได้ปะครับบประมาณว่าเอาไปดริฟเล่น ๆอ่ะครับ
ปล.เครื่องเดิมเดิมทุกอย่าง
ขอบคุณครับ
-
หวัดดีพี่ ๆทั่งหลายครับบบ ๆๆๆ
อยากทราบว่ารถ datsun 1200เครื่องเดิมเนี่ยเอาไปดริฟได้ปะครับบประมาณว่าเอาไปดริฟเล่น ๆอ่ะครับ
ปล.เครื่องเดิมเดิมทุกอย่าง
ขอบคุณครับ
สามารถทำได้ครับ แต่ก็คงได้แค่แบบสาดไปสาดมา หรือไม่ก็สาดเล่นตอนจะกลับรถ ครั้นจะสาดในโค้งยาวๆ แบบให้ล้อหมุนส่งดันรถออกได้ตลอดโค้งนั้นคงยากครับ
- ได้แค่แบบขำขำตามที่คุณต้องการครับ
-
ขอบคุณมากครัยพี่เปิ้น
เอ่ออยาทราบว่าถ้าจะเอาไปทำรถดริฟจิงๆเนี่ย
น่าจะไปทำยังไงบ้างอ่ะครับขอบคุณครับบ :)
-
เริ่มจากบูรณะโครงสร้างรถให้แข็งแรง ปรับปรุงช่วงล่างทุกจุดให้สมบูรณ์แบบ
เครื่องยนต์ต้องมีพลังมากพอ ขอสัก 150 ม้าที่ล้อขึ้นไป ถ้าเป็นไปได้ก็ให้ปรับแต่งเครื่องให้มีแรงบิดที่กราฟออกมาเป็นแบบ Flat คือให้แรงบิดสูงสุดราบเรียบและต่อเนื่องกันนานๆหน่อย
ต้องการชุดเกียร์ที่แข็งแรง ทนต่อแรงกระชากและใช้งานต่อเนื่องได้ทนทาน
ต้องการ LSD ที่แข็งแรง
ต้องการเบรกที่ทรงพลัง
ต้องการรถที่บาลานซ์น้ำหนักมาอย่างดี
ที่เหลือก็คือเงินเติมน้ำมัน เพราะผมใช้ A31 RB20DET เดิมๆ เติมเต็มถังวิ่งใน BRC ได้ราว 80 โล (เหลือน้ำมันนิดหน่อยไว้ขับกลับบ้าน)
สุดท้ายก็คือเงินค่ายางครับ
-
ขอบคุณอยางมากครับเหอ ๆๆๆ
-
พี่คับ คือว่าผมเป็นคนรักรถ และเป็นคนชอบการดริฟท์ แต่คือว่าผมดริฟท์ไม่เป็นอะคับ อยากขอคำแนะนำสำหรับมือโคตรๆใหม่เลยได้มะครับ ตอนนี้อยู่ ม.5 ละ ปี2 ปีได้ใบขับขี่ ตอนนี้แม่ผมใช้ Yaris ผมเลยได้ mitsu champ มาใช้ ถามใครเขากบอกกันว่า ขับหน้าหรืออะไรเนี่ยแหละ มันดริฟท์ไม่ได้หรอก พอดี search ใน google เกี่ยวกับการดริฟท์แล้วมาเจอเว็ปนี้พอดี เลยอยากขอคำแนะนำอ่ะครับ
-
เริ่มจากต้องหารถขับหลังก่อนครับ
FF สามารถดริฟท์ได้ แต่มันไม่ได้สร้างทักษะอะไรให้คุณเลยนอกจากความมันส์
คำแนะนำสำหรับมือใหม่
- ดริฟทืไม่ได้ทำให้คุณขับรถเก่งขึ้น
- ดริฟท์มันเป็นเพียงแค่การโชว์
- จะเล่นดริฟท์ต้องมีเงินเยอะมากกว่าเล่นรถด้านอื่น ที่ต้องจ่ายประจำก็คือค่ายางและค่าน้ำมัน ยังไม่นับค่าซ่อม และค่าแต่ง
- เงินน้อยก็เล่นดริฟท์ได้ แต่เล่นได้น้อยหน่อย พอเงินหมดหรือเริ่มคิดได้ก็จะเลิกไปเอง
- คนขับรถเก่งๆ มันจะทำดริฟท์ได้ แต่คนทำดริฟท์ได้อาจขับรถไม่เก่ง
หากคัน และเงินเหลือ แนะนำให้หา A31 แล้วค่อยคิดจะเล่นครับ
-
ได้ความรู้เยอะเลย ขอบคุณมากๆครับ
-
ผมมีข้อสงสัยที่อยากจะถามผู้ที่รู้หน่อยอ่ะครับ
ว่าเรื่องอุณหภูมิของยางในการดริฟท์
ถ้าร้อนมากเกินไป หรือร้อนน้อยเกินไป มันส่งผลต่อการเกาะถนนขนาดไหน
ใครรู้ช่วยตอบหน่อยนะครับ ขอบคุณครับ :yociexp30:
-
ไม่เคยวัดอุณหภูมิยางเลยครับ ผมวัดแต่แรงดันลมยาง แต่ดูจากคราบยางเหนียวๆ ที่มันหลุดสึกหายไป ขอเดาว่าต้องใกล้ 90 C ในขณะที่กำลังดริฟท์ครับ
ยางยิ่งร้อน
- ยิ่งจะเนื้อนิ่ม ยิ่งเกาะดี
- แต่ถ้าร้อนมากๆ เข้า เนื้อยางก็จะแยกตัวออกจากชั้นผ้าใบ ยางเก่าเก็บ ยางคุณภาพต่ำ ฯลฯ ก็จะออกอาการต่างๆ กันไป บ้างก็หลุดเป็นชิ้นๆ บ้างก็แยกตัวหลุดออกมาทั้งแผ่นเลย
ยางเย็น
- เนื้อแข็ง ไม่เกาะ
-
อุณหภูมิของยางขณะที่ Drift อยู่นั้น ยางหน้าคงไม่ร้อนเท่าไหร่ อย่างเก่งก้อประมาณเดียวๆกับ Road Racing หรือต่ำกว่า แต่คิดว่าคงต่ำกว่าเพราะไม่ค่อยมี Side load มากมายนัก ส่วนยางหลังนั้นถ้า drift จนควันโขมงโฉงเฉง ก้อคง Overheat ไปเรียบร้อยแล้ว อุณหภูมิคงเกิน 100 องศา เพราะควันที่ว่านั้นมันมาจากน้ำมันที่ผสมอยู่ในเนื้อยาง มันถึงออกมาขาวไง เวลาเราหมุนยางจนควันออกขนาดนั้น เหมือนๆกับพวก Drag เขาทำ Burn-out ยางนั้นมันร้อนจน Overheat
คำถามต่อมาก้อคือ "แล้วมันดีไม๊?" ถ้าหมุนกันจนควันโขมงละก้อ ไม่ดีแน่ๆ แม้แต่ใน Drag Racing ก้อไม่ควรทำ การ Burn-out ที่ถูกต้องนั้นคือ spin ยางอยู่กับที่จนเริ่มมีควัน"นิดๆ"แล้วพอ จบ ไม่ต้องทำต่อ ส่วนที่เรามักจะเห็นทีมใหญ่ Burn-out กันยาวๆนั้น มันแค่เป็นการ Show-off เพราะ Drag Racing มันหน้าเบื่อ มันเลยใช่การ Burn-out มาเป็นการ Entertain คนดู ใน Drift ก้อเหมือนกัน ยิ่งควันออกเยอะ คนดูยิ่งชอบ เพราะธรรมชาติของคนเรานั้นชอบดูความฉิบหายวายป่วงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
-
เพิ่งรู้นะครับเนี่ย ว่าควันมันมายังไง แล้วทำไมจึงต้องมีควัน ขอบคุณมากๆครับ ทั้งพี่ O'Pern และก็พี่ Mokan
ขอบคุณมากครับ :JFBQ00224070614A:
-
วันนี้มาถามเรื่องค่า Bump/Rebound Damping ครับ
เท่าที่ผมทราบมา คือค่ายืด/คืนต้วของโช๊คอัพ
ผมอยากรู้ว่า ถ้าเราจะเซ็ตค่า Bump/Rebound Damping ควรปรับค่าให้อยู่ในระดับไหน
แล้วถ้ามันแข็ง หรืออ่อนไป อะไรจะเกิดขึ้น แล้วมันจะให้ผลอย่างไรกับการขับขี่ในรูปแบบดริฟท์
แล้วพี่ๆ ตั้งค่าไว้อย่างไรบ้าง
_ _ _ _ _ _ _
ถามยังกะผมมีรถกะเค้าอ่ะ อิอิ .. เอาเป็นความรู้อ่ะครับ ^^
-
ถามง่าย ถามกว้าง ใครตอบได้จะเก่งระดับเทพฯ
เพราะไม่มีโจทย์อะไรให้มาสักอย่าง เช่น รถอะไร ช้อคฯ สปริง อะไร ขับสนามแบบใด ล้อยางขนาดไหน ลมยางอย่างไร ฯลฯ
แต่ถึงมีโจทย์ดังที่ผมยกตัวอย่างมาให้ ก็ยังตอบได้ไม่ชัดเจนอยู่ดีครับ เพราะเรื่องพวกนี้เราจะไป Fine Tune กันที่หน้างานอีกที ขับๆ ไปสักพักก็จะต้องกลับเข้าพิทมาเซ็ทติ้งใหม่อีก เพราะยางมันกริปไม่เหมือนเดิมแล้ว
สรุป
- รถแต่ละคันเซ็ทติ้งต่างกัน
- ผู้ขับแต่ละคน แม้จะเป็นรถคันเดียวกัน ก็เซ็ทติ้งต่างกัน
- มีการปรับเปลี่ยนเซ็ทติ้งใหม่ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ ร้อน ฝน ฝุ่น ล้วนมีผลทั้งสิ้น
-
อันนี้ถามเป็นความรู้นะครับ
สงสัยมานานแล้ว ว่า Parallel Steer มันคืออะไร แล้วมันางผมยังไงต่อการขับขี่
:yociexp30:
-
อันนี้ถามเป็นความรู้นะครับ
สงสัยมานานแล้ว ว่า Parallel Steer มันคืออะไร แล้วมันางผมยังไงต่อการขับขี่
:yociexp30:
ขอประโยคที่มาแบบเต็มๆ ด้วยครับ ไม่รู้จัก Parallel Steer มาก่อนเลย
ถ้าจะให้เดา ก็ขอเดาว่ามาจากภาษาอังกฤษแนวญี่ปุ่น ไม่ก็แนววัยรุ่นที่เรียกกันเอง บัญัติศัพท์กันเอง ความหมายน่าจะเป็นการดริฟท์แบบเคียงคู่กัน
-
น่าจะถามว่ามีผลต่อการขับขี่อย่างไรหรือเปล่าครับ
งั้นคงหมายถึง Parallel Steering Arms ละมั๊ง เหอๆ
/
:JFBQ00134070103A:
ที่มา http://www.rctek.com/technical/handling/ackerman_steering_principle.html
(http://www.rctek.com/technical/handling/images/ackerman_steering_principle_parallel.png)
-
พอเงินหมดหรือเริ่มคิดได้ก็จะเลิกไปเอง
คำนี้แทงใจดำมากครับพี่เปิ้น :yocifans004: