racing-club.net

Fiction / Story => เวทีมือใหม่ => Topic started by: Yai_GuMP@ซิตี้พันม้า on February 29, 2004, 07:44:22 pm

Title: Living on A Prayer....
Post by: Yai_GuMP@ซิตี้พันม้า on February 29, 2004, 07:44:22 pm


         ขอเกริ่นนำ เพื่อบรรยากาศของเรื่องเล่าของผมสักนิดหนึ่งนะครับ

    โดยส่วนตัว ผมเป็นคนหลงใหลในเสียงเพลงเฮฟวี่เมทัลยุคพวกแฮร์แบนด์มากๆ เสียงพาวเวอร์คอร์ดกีต้าร์หนักๆ เบสแน่นๆ เสียงสแนร์ลั่นๆ และการร้องแบบแผดเสียงเต็มที่ บอกเล่าถึงความต้องการอิสระทางสังคมของยุคสมัยนั้น
อ๋อดังนั้นบรรยากาศการอัดรถในอุดมคติของผมคือ มีเสียงเพลงเฮฟวี่เมทัลอย่างSkidrowหรือPanteraประกอบไปด้วยตลอด มันเป็นเพลงที่กระตุ้นอาดรีนาลีนได้ดีในความรู้สึกผม  แต่อาจดูเชยในสมัยนี้ เพราะตอนนี้Hiphopกำลังอินเทรนด์ครับ  ฮิๆ  แต่ก็ไม่ไ้หมายความว่าผมจะเขียนเกี่ยวกับเรื่องรถอเมริกันนะ เพราะเพื่อนๆคงไม่ชอบใจกัน

          เรื่องของเครื่องยนต์และตัวรถ  ถ้ามีข้อมูลทางเทคนิคผิดพลาดไป ขออภัยด้วย เพราะผมเองก็ไม่ได้ถึงขนาดเก่งกาจมากมาย เป็นเพียงคนเล่นรถมาไม่กี่ปีเท่านั้นเองครับ
 
          ลองอ่านเรื่องอัดรถเคล้าดนตรีร็อค พร้อมจิบเบียร์เย็นๆไปด้วยกันเลยนะครับ




     
Title: Eighteen And Life...
Post by: Yai_GuMP@ซิตี้พันม้า on February 29, 2004, 09:35:06 pm


           บนถนนสายที่ทอดยาวออกไปยังจังหวัดชานเมืองกรุงเทพ กลางดึกของคืนวันหนึ่ง

   เสียงเพลงจากลำโพงหลังรถกำลังขับเสียงริฟท์กีต้าร์อันดุเดือดจากเพลงYouth gone Wild

  เดียร์ ซึ่งเป้นคนขับเองก็อดไม่ได้ที่จะโยกหัวตามเพลงไปอย่างสะใจในเนื้อหา และท่อนริฟท์อันหนักหน่วงนั้น

     "เมื่อไหร่รถกูจะเสร็จซะทีวะเนี่ย เบื่อจะตายห่า แม่งดองไว้เป้นอาทิตย์ไม่ทำให้กูซะที
  อยากเอามาอัดกะมึงจะตายอยุ่แล้ว"

    แบงค์ตะโกนแทรกเสียงเพลงขึ้นมา บ่นถึงรถคันเก่งที่เอาเข้าอู่ไปนานแล้วยังไม่ออกมาซะที

      "ทำไงได้ อู่เขางานเยอะ เอาน่าดีกว่าเขาเร่งๆแล้วเอารถมึงออกมาชุ่ยๆนะเว่ย"
 
      "เชี่ย ..แค่เปลี่ยนโบ กะจูนกล่อง มันทำอะไรนานนักหนาวะ" แบงค์ยังคงบ่นพึมพำต่อไปกับตัวเอง พลางขยับตัวไปมองข้างหลัง เพราะรู้สึกว่ามีแสงไฟสีขาวจ้าส่องมาจากข้างหลัง

      "เดียร์...ข้างหลัง"  เดียร์พยักหน้ารับ พลางเอื้อมมือไปบิดวอลุ่มของเครื่องเสียงให้เบาลงจนเกือบปิด

       ขณะนี้บรรยากาศในรถได้ยินเพียงเสียงกระหึ่มจากท่อBlitz Nurspecขนาด3นิ้วจากรถของเดียร์ และเสียงช่วงล่างดังกุกกักเล็กน้อยเท่านั้น ด้วยความเร็วเพียง80กิโลเมตร/ชั่วโมง

       ไฟสีขาวจากรถคันข้างหลัง  มาไม่เร็วมากนัก  แต่ก็ขึ้นมาเรื่อยๆ เดียร์แน่ใจว่าตัวเองวิ่งเลนซ้ายดีอยู่แล้ว แต่ก็ยังประคองพวงมาลัยนิ่งๆไว้

     ทั้งสองคนนั่งเงียบเพื่อดูว่าเป็นรถอะไรที่จะขับขึ้นมาทางด้านขวา

    "3ประตูเหรอวะ...มีสปอตไลต์เล็กๆข้างล่างน่าจะใช่...

  ยังไม่ทันขาดคำ  รถคันนั้นก็เข้ามาเทียบข้าง เป็นรถซีวิคคูเป้สีดำตัดกับแม็กสีขาว  ฝากระโปรงหน้าเคฟล่าร์ ทำให้ดูดุดันขึ้นกว่าเดิมมากทีเดียว คูเป้คันนั้นขับมาเทียบรถเดียร์สักพัก แล้วกดขึ้นไป  เสียงวีเทคแผดลั่นชัดเจนมาก  แล้วตบเข้าซ้าย  เหมือนจงใจให้ดูสติกเกอร์ที่บ่งบอกสังกัดของตนเองด้านหลัง และอุ่ที่ทำรถของตน  

       เดียร์ยังคงรักษาความเร็วไว้ระดับเดิม คู้เป้สีดำก็ผ่อนตาม ไม่ยอมกดต่อ  

  "มันจะเอาให้ได้เลยวุ้ย  ...เอาไงเดียร์"  เดียร์ยิ้มๆ  แต่ไม่ทำอะไรขับไปเรื่อยๆ

  ซีวิคคูเป้ดูท่าทางอยากเล่นกับเดียร์มาก อาจเพราะเห็นรถเดียร์เป้นรถที่ไม่ค่อยมีใครนิยมมาแต่ง  อาจคิดว่าเป็นเครื่องเดิมทำท่อเสียด้วยซ้ำไป

       "สัดแม่งไม่เล่นกะกูวะ"วินคนขับคูเป้สีดำ  บ่นพึมพำกับตัวเอง โดยไม่สนคำห้ามปรามของสาวน้อยหน้าตาน่ารักที่นั่งมาด้วย

       วินเหยียบคลัทซ์ไว้แล้วเบิ้ลคันเร่งใส่ขณะมาเทียบข้างเดียร์ เป็นเชิงท้าทาย

    พร้อมเปิดกระจกข้างซ้าย  แล้วยกนิ้วชี้ขึ้นเป็นการบอกเดียร์  ว่า"ขอลองรอบนึง"

   เดียร์หันไปยิ้มตอบและพักหน้า ปิดกระจก  และเอื้อมมือไปกดรีโมทของProfec E01 เข้าสู่โหมดที่ตั้งไว้ ปลดจาดHighway มาเป้น"Racing."

     ค่าการฉีดจ่ายน้ำมัน และไฟจุดระเบิด ถูกปรับไว้ตามที่เดียร์จุน แน่นอน อัตราการบูสต์เทอร์โบมีหรือจะคงเดิม

     แบงค์เอื้อมมือซ้ายไปจับหูยึดด้านบน  เตรียมพร้อมกับการอัดบนถนนของเพื่อนที่รู้นิสัยกันมานาน ว่าถ้าไปไม่ได้ เดียร์ก็จะไม่ฝืน  แต่กระนั้นก็ยังต้องระวังตัว

     เดียร์สับเกียร์ลงมาเกียร์2 รอบตีขึ้นไปพร้อมกับเสียงของระบบวีเทคที่ครางกระหึ่มขึ้นมา

  พ้องกับซีวิคคูเป้ของวินที่เตรียมรออยู่แล้ว

     ไม่ต้องมีคนนับ  ดูเหมือนทั้งสองจะรู้จังหวะดีว่าควรกดคันเร่งตอนไหน  

  ขณะนั้นถนนสายนั้นกึกก้องไปด้วยเสียงท่อไอเสียที่แผดสนั่นของรถทั้งสองคันคำรามไปทั่ว
เสียงวีเทคคำรามอย่างสะใจ หากใครได้ยินคงอดใจไใ่ไหวที่จะหันไปมองแน่

     เข็มบูสต์ของเดียร์ไต่ขึ้นไปสุดที่1.2บาร์อย่างรวดเร็ว พร้อมกับรอบเครื่องที่ถึงเรดไลน์ให้เดียร์ต้องสับเกียร์ทันที

     ปัง!!เสียงคลัทซ์แระแทกรถเดียร์กระโดดนำหน้าซีวิคคูเป้สีดำขึ้นไปอย่างไม่ยากเย็นนัก

  วินคนขับคูเป้เริ่มหัวเสีย  "สัดเอ๊ย  เทคเซ็ตโบนี่หว่า  ..พร้อมสับเกียร์3ตามขึ้นไปเนื่องจากรถตนเองยังไม่ได้เรียงเกียร์มาใหม่จังหวะจึงช้ากว่าเดียร์เล้กน้อย

       เสียงเวสต์เกตของเดียร์แผดสนั่น เคล้าไปกับเสียงหวีดของเทอร์โบบอลแบริ่งขนาดกำลังดีอัดอากาศเข้าสู่อินเตอร์คูลเลอร์แล้วยัดลงอินเทคที่ได้รับการขัดแต่งอย่างดีมาแล้ว เข้าห้องเผาไม้กระแทกกับลูกสุบฟอร์จราคาเรือนแสนที่เดียร์บรรจงเก็บเงินเปลี่ยนมาใช้

     ก่อเป็นกำลังที่ฉุดบอดี้อันเบาของรถเดียร์ให้ปลิวกระเด็นขึ้นไปตามแรงหมุนที่ถ่ายลงล้อหน้าทั้งสองได้แบบสบายๆ

       รูปการณ์ตอนนี้คือที่เกียร์4แล้ว ซีวิคคูเป้โดนนำไปไม่มากนัก  แต่ก็ไม่น่าสบอารมณ์เท่าไหร่สำหรับวิน ถึงเขาจะรู้แก่ใจว่าNAธรรมดาเพียงเปลี่ยนท่อนล่างเพื่อขยายความจุ โดยหวังจะได้แรงบิดมานั้น โดยมีการตกแต่งเล็กๆน้อยๆ  จะสามารถรังแกเครื่องตระกูลเดียวกันแต่รุ่นเล็กกว่าตนได้สบายๆ  แต่เมื่อเจอกับวีเทคเทอร์โบของเดียร์เข้า  ถึงกับทำให้เขาหัวเสียไม่ใช่น้อย เพราะผิดจากรูปการณ์ที่หวังจะขยี้รถแต่งร่วมถนนให้เด็กสาวที่นั่งข้างๆได้เห็นว่ารถตนเองแรงเพียงใด  กลับเจอตอซะนี่...

         เมื่อเดียร์เห็นว่าคูเป้ยังคงขึ้นนำตนเองไม่ได้ จนถึงเกียร์4ปลายๆ  เดียร์จึงสับ5แล้วยกคันเร่ง  เขาไม่นิยมเล่นความเร็วปลาย เพราะมันเป้นการสร้างอันตรายให้แก่เพื่อนร่วมทางได้มากกว่าการแข่งเพียงไม่กี่เกียร์เพื่อดูแรงม้าของรถในช้วงสั้นๆ  เนื่องจากความเร็วปลายของรถเขานั้น ตัวเขาเองรู้ดีว่ามันมากจนเกินบอดี้รถจะรับไหว

         เมื่อยกคันเร่ง  คูเป้สีดำของวินก็ตามขึ้นมาทันที  วินแปลกใจที่เดียร์ยกคันเร่ง

 " มึงหยามกูเหรอไงวะ" ...กูกำลังจะขึ้ืนมึงแล้วมึงยก  ยังงี้หมายความว่ายังไงวะ ...วินตะโกนเสียงดัง

        สาวน้อยที่นั่งข้างวิน เริ่มรู้สึกกลัวเพราะวินไม่ยกคันเร่งแต่กลับขยี้ต่อไปอีกความเร็วขณะนั้นประมาณ190กิโลเมตร/ชั่วโมง นับว่ามากสำหรับเด็กผู้หญิงที่เคยนั่งแต่รถหนุ่มหล่อพ่อรวย ที่ขับรถสแตนดาร์ดนุ่มๆมารับกับไปนอนด้วย นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้นั่งรถโมิฟายที่แรงม้าสูงขนาดนี้

   "พี่วินพอแล้ว  แนนกลัว"

 วินไม่สนใจ  พยามกดคันเร่งแซงเดียร์เพื่อขึ้นไปหน้าเดียร์ให้ได้  เดียร์ลดกระจดลง  แล้วยกนิ้วโป้งให้วิน  ขณะที่วินกำลังแซงรถเขาขึ้นไป  แต่วินไม่สนใจแล้ว

    แบงคืสังเกตเห็นท่าทีไม่ดี พร้อมกัับตะโกนบอกเดียร์

 "เดียร์  เฮ่ย  ระวัง!!!..."

  เอี๊ยดดดด....!!!!......ดดด...คืดๆๆๆๆ..!!...

  วินหักหัีวรถเข้าไปเลนซ้ายของเดียร์  ตรงหน้าพอดีแล้วกระแทกเบรคแบบสุดแรงใส่เดียร์  นั่นคือท่ามาของเสียงเบรคดังสนั่นนั้น  เดียร์ระวังไว้อยู่แล้ว จึงกดเบรคแล้วตบออกขวาทันที รถออกอาการทันทีคือพอหักขวากะทันหันแล้วหักซ้ายเพื่อแต่งไลน์ให้ตรง  รถจะเป๋ด้วยโมเมนตั้มที่สำสมไว้ในรถ  จะโคลงไปมานิดหน่อย  แต่ตัวรถที่เบา  ทำใไ้ไม่มีแรงเฉื่อยมากนัก

    แต่ซีวิคคูเป้ตอนนี้สิ หลังจากกดเบรคโดยแรงแล้ว  เกิดอาการหน้าอันเดอร์และล้อล็อคขึ้นมาทันที เพราะหลังจากกระทืบเบรคแล้วในเสี้ยววินาทีนั้นวินก็กดคันเร่งต่อเพื่อหวังผลให้เดียร์เบรคหลบตนเองจนเสียหลักไปเองไม่ได้หวังให้วินมาชนรถตัว  แต่การกดให้ล้อสลิปไปนั้น เป็นการซ่าตัวเองเพราะมันบวกกับแรงอันเดอร์ของรถและล้อที่ไถลทำให้วินควบคุมรถไม่ได้เสียแล้ว


     "แม่งวางมิดเลยเหรอวะ  โคตรเหี้ยเลย!!"แบงค์ตะโกนดังลั่นด้วยความแค้น

 เดียร์ทำหน้าซีเรียส เพราะเขาเคยเจอประสบการณ์โดนวางมิดแบบนี้ตอนที่เล่นรถใหม่ๆ  ตอนนั้นเขาต้องเสียรถที่รักและคนที่เขารักไปด้วยทั้งสองสิ่งในเวลาเดียวกัน  เหตุการณ์แบบนี้จึงทำให้เขาเกิดเอฟเฟคท์บางอย่างในจิตใจขึ้นมา ต่างกันแค่ว่า ครั้งนั้นเขาโดนรถสปอร์ตที่ไม่เคยได้รู้จักหรืออัดเล่นกันเลย  มาเบรคใส่ด้วยความหมั่นไส้  และตอนนี้เขาไม่ได้เป็นผู้เสียหลักและรถมิดไป...

       ถึงตอนนี้ซีวิคคูเป้คันงาม แถข้างเข้าไปครูดกับราวกั้นขอบทางด้านข้างซ้าย สีดำแห้งช้าสวยๆ  ล้อแม็กMugen MF10L สีขาว เป้นรอยเละเทะไปหมด  และหยุดนิ่งกับขอบทางนั้น ดีที่ไม่เอาหน้าปักเข้าไป  ไม่เช่นนั้นคงเสียชีวิตทั้งคนนั่งคนขับ

      เดียร์เบรครถไว้ด้านข้างทาง ไม่ห่างจากคูเป้คันนั้นมากนัก เปิดประตูแล้ววิ่งลงไปดู  ถนนตอนนั้นเป็น4เลนแล้ว รถบรรทุกใหญ่วิ่งผ่านไปมาได้สบาย  จึงไม่น่ากลัวมากนัก

      ส่วนแบงค์โมโหด้วยโทสะ จึงหยิบอาวุธที่ใส่ไว้ในเป้สะพายของตนลงไปด้วย หวังเจรจาว่าทำไมต้องทำแบบนี้

      ปัง!!!เสียงปืนดังขึ้นมา  ก่อนที่เดียร์จะฟุบลงไปกับพื้น  และคนขับซีวิคคูเป้เปิดประตุก้าวลงมาจากรถ

      "มึงทำให้รถกูเป็นแบบนี้  ไอ้ลุกหมา  มึง..."  วินเดินมาเอาปากกระบอกปืนเล้งไปที่เดียร์ที่นอนอยุ่ที่พื้น แบงค์รีบเล็งอาวุธของตนไปทางเป้าหมาย  คือวิน

       "ทำไมมึงเหี้ยอย่างงี้วะ  อัดรถแพ้แล้ววางมิด  พอวางมิดพลาด  ก้มายิงเขาอีก  มึงนี่มันเลวจริงๆ เป็นลูกผุ้ชายป่าววะ!!" แบงค์ตะโกนระบายอารมณ์ออกมาอย่างสติขาด  เมื่อเห็นเพื่อนตนเองถูกยิงฟุบลงไปกับพื้น

        วินไม่ตอบอะไร เพราะสติยังมึนงงกับการที่รถตนเองชนเข้ากับข้างทางทำให้เกิดอาการช็อคตามหลังขึ้นมา

     แวบนึงวินหันกลับไปทางเสียงประตูรถของเขาเปิดออกมา  เป็นแนนเด็กผู้หญิงคนที่นั่งรถมากับเขา  คลานออกมาทางที่นั่งคนขับ  พร้อมกับบาดแผลเลือดแแกที่ไหล่เพราะถูกสายเบลท์บาด...

      พล่อก!!...

      "ไอ้สัด!!..."  เดียร์ลุกขึ้นมา  พร้อมกับชกเข้าไปที่หน้าวินอย่างแรงครึ่งปากครึ่งจมูก
 
 เดียร์ไม่ได้โดนยิง  เพียงแต่แกล้งฟุบลงไปเมื่อเห็นอีกฝ่ายยกกะบอกปืนเล็งมาทางตน

         หากดูตามรุปร่าง ทั้ง2คน เดียร์ออกจะเสียเปรียบอยุ่สักหน่อยแต่อาศัยที่เคยเรียนศิลปะการต่อสุ้มาเล็กน้อย  และชีวิตที่เถื่อนแบบฉบับของลูกเจ้าพ่อที่ต้องต่อสุ้กับอิทธิพลของเขาทำให้เป็นคนที่ยอมคนไม่เป็น

    เมื่อวินล้มลงไปเดียร์ไม่พูดอะไรอีก แต่ประเคนข้าไปไม่ยั้งทั้งหมัดทั้งเท้า  แบงค์รีบวิ่งเข้ามาดึงเดียร์ออกไปเพราะรู้นิสัยเดียร์ดี  ว่าตนเองเป็นคนใจร้อนโมโหง่าย  เดียร์เป็นคนใจเย็น แต่หากฟิวส์ขาดแล้ว แบงคืยังไม่ได้ครึ่งของเดียร์หรอก

     "พอแล้วเดียร์  เดี๋ยวแม่งตาย  เฮ่ย"..

  "มันทำให้แม่กูตาย  กูจะฆ่ามัน  กูจะฆ่ามัน!!!!..ไอ้เหี้ยยย.."

 "มันคนละคนกันเดียร์  มันไม่ใช่คนขับซูปร้าคันนั้นนะโว้ย"

          ..........................


       เดียร์หยุดนิ่ง  มือซ้ายจับคอเสื้อของวินที่หมดสติไปแล้ว  ง้างมือขวาค้างไว้ในอากาศ  น้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว  ไม่ใช่มัน...ไม่ใช่มัน....มีแต่คำนี้ก้องอยุ่ในหัว

       แบงค์รีบลากเดียร์ขึ้นรถ  ตอนนี้เดียร์มึนงง  และเอาแต่ร้องไห้  แบงค์จัดแจงเอาน้ำมาเทราดหัวให้ได้สติขึ้นมา  แต่ดูเหมือนจะไม่ดึเท่าไหร่

       "แบงค์..."  เดียร์เอ่ยเรียกแบงค์ขึ้นมาเบาๆ

  แบงคืนั่งยองๆลงไปกับพื้น เงยหน้ามองหน้าเพื่อนที่นั่งอยู่กับเบาะรถ   โดยหันหน้าออกข้างรถด้านคนนั่ง

        "มึงต้องช่วยกูนะ ...."

     แบงค์ไม่ตอบ แต่จ้องหน้าเดียร์ด้วยสีหน้าเอาจริง แล้วพยักหน้าเล็กๆ แต่มั่นใจ

 
                แบงค์ผละจากเดียร์แล้วหยิบโทรศัทพ์มือถือขึ้นมาโทรเรียกตำรวจทางหลวง

  เล่าเหตุการณ์สั้นๆแค่ว่ามีรถเสียหลักอยุ่ตรงนี้   และแอบซุ่มดูอยู่  จนตำรวจนำคนเจ็บและลากรถที่เสียหายออกไป

       
          แบงค์สตาร์ทรถ เขาเป็นคนขับ เพราะเดียร์ไม่อยุ่ในอารมณ์ที่ควรขับรถต่อ

                    "พรุ่งนี้มึงจะไหวเหรอ  เรียนเช้านะมึง เดียร์"

      เดียร์ไม่ตอบ   ได้แต่จ้องมองถนนออกไปข้างหน้า  ผ่านกระจกหน้ารถ พร้อมกับจุดบุหรี่ขึ้นดูดแดงวาบขึ้นในความมืด และถอนหายใจแบบน่าอัึดอัดออกมา จนแบงค์รู้สึกได้ ว่าในลมหายใจนั้น          
               มันอัดแน่นไปด้วยความโกรธแค้นและน่าสังเวชใจเพียงใด


                                .............................................................

       
     
     
                                                                                        To be Continued..
 

       

     

 

       
   

   
Title: Re:Living on A Prayer....
Post by: DuMP_V8 on March 02, 2004, 09:41:20 am
เหอๆๆ ขยันจังเลยนะใหญ่ พิมพ์ซะยืดยาวเชียว
เล่นคำใช้ได้เลย เห็นภาพเลย น่าติดตามๆๆ...อิอิ ;D ;D
Title: Re:Living on A Prayer....
Post by: win civic on March 03, 2004, 12:57:30 pm
แงๆ พี่ใหญ่ใช้ชื่อผมเปงคนเลว หุหุ
Title: Re:Living on A Prayer....
Post by: *Aee-ViPeR-MR2* on March 04, 2004, 04:49:33 pm
ยาวมากเลยอ่า T-T เด๋วนั่งอ่านนะคะ แหง่มๆๆ
Title: Re:Living on A Prayer....
Post by: top on April 06, 2004, 02:30:56 pm
เขียนแล้วงงดีนะเพ่ ;D ;D ;D
Title: Re:Living on A Prayer....
Post by: Webmasturbation on April 11, 2004, 02:50:23 pm
อะ ฟังเพลงยุคเดียวกันเลยอะ


รออ่านต่ออยู่นะครับ.....เอามาลงไวๆ นะครับ   ;D
Title: Re:Living on A Prayer....
Post by: Yai_GuMP@ซิตี้พันม้า on April 29, 2004, 03:02:53 am


          ตอนนี้เขียนขึ้นในวันเบื่อๆของผมเอง  

  เป็นวันที่ผมไปยืนบนสะพานสูงๆแห่งหนึ่ง บนถนนนอกเมืองที่ผมคุ้นเคย  มองรถวิ่งไปมา

  และนึกเป็นฉากการอัดรถ  และเก็บเป็นไอเดียมาเขียน   ในตอนนี้อาจไม่มีเนื้อเรื่องมากมายนัก  แต่ก็เป้นคำ หรือบทสนทนาสนุกๆ เกี่ยวกับรถ  

 เกี่ยวกับคนตลกๆที่เราพบเจอได้บ่อยๆในชีวิตประจำวัน

           หลายคนถามผมว่าเดียร์ใช้รถอะไร  ผมจะบอกให้ก็ได้ครับ   มันเป็นรถในฝันของผม

 เป็นรถฮอนด้าCrx-EFหรือCrxตัวเก่านั่นเองครับ  ผมหลงใหลตัวรถคันนี้มากๆ  ด้วยเหตุผลที่บอกไม่ถูก

    เคยจะซื้อรถรุ่นนี้ครั้งหนึ่ง  ราคาน่าสนใจมาก และมันหายากมากๆ เจอที่เต๊นท์แถวบ้าน  ผมดีใจสุดๆ วันรุ่งขึ้นกำเงินไปจะดาวน์  ปรากฏว่า มีคนดาวน์ตัดหน้าไปแล้ว  เสียดายมากครับ  เจ้าCrxคันนั้นไปอยุ่ที่ใครหนอ?... เจ้าของเตนท์บอกว่าเป็นรถของน้องสาวสายฟ้า เศรษฐบุตร มาขาย

         ถ้ามีบุญสักวันผมคงได้ขับมันครับ....

           

         

 
Title: Re:Living on A Prayer....
Post by: Yai_GuMP@ซิตี้พันม้า on April 29, 2004, 03:05:41 am




             ประมาณเที่ยงคืนเห็นจะได้  เดียร์ไม่มีอะไรทำ  อยู่ในอารมณ์เบื่อมากๆ  เลยขับรถออกจากบ้านหวังไปอัดรถเล่น  บนถนนแถวๆหน้าบ้านเขา ...ตั้งใจว่าถ้าเจอใครก็จะอัดมั่วล่ะ  

           มันก็พอมีรถให้เล่นด้วยบ้าง โดนเขามั่ง สวนเขามั่ง  ก็ว่ากันไป  ก็พอจะแก้เบื่อได้บ้าง
พอเหนื่อย  ก็เลยแวะเข้าไปนั่งพักในปั๊มJ.T ซื้อน้ำ ดูดบุหรี่  อะไรไปตามเรื่อง  และนั่งคุยกับเพื่อนใหม่ที่เพิ่งรู้จักกันจากการอัดบนถนนเมื่อครู่

            ปั๊มJ.T  ใครๆก็รู้ว่าเป็นปั๊มใหญ่  คนเข้าออกมากมายตลอดคืน  โอกาสเจอรถแต่งด้วยกัน ก็มี

      มีพรีลูดสีแดง โหลดเตี้ยสุดๆเข้ามาในปั๊มคันหนึ่งพร้อมด้วยแสงไฟอลังการระยิบระยับ เต็มไปหมด  ทั้งใต้รถ ทั้งไฟหน้าแถมมีตัดหมอกเพิ่มอีก  ไฟที่ฉีดน้ำฝน และรีเลย์กระพริบเต็มคัน

      โอ้แม่เจ้า...เพื่อนใหม่ของเดียร์อุทานขึ้นมา เดียร์ก็หันไปมองหน้าเขา

       เจ้าของรถที่ลงมาเป็นเด็กวัยรุ่น2คน ผู้ชาย ท่าทางเหมือนเด็กเพิ่งได้รถมา  และพูดเสียงดังเหมือนจะอวดคนแถวนั้น  พูดเป็นทำนองว่า  รถของเรา เป็นรถสปอร์ตที่แรง  หาใครมาวิ่งเทียบไม่ได้

        "เมื่อกี๊มึงเห็นป่ะ  เซเว่นคันเมื่อกี๊แม่ง โดนกูเป็นทุ่งเลย  แม่งขึ้นไม่ได้เว่ย"

        "แล้วNSXคันเมื่อกี๊อีก  ขนาดกูออกตัวไม่ดีนะ  ยังสวนแม่งตั้งหลายลำ  กุยกแล้วหรอก แม่งถึงขึ้นกูได้"

    เดียร์ก็นึกขำ  เพราะเมื่อกี๊นี้เอง  ที่เขาออกไปอัดเล่น  ไม่ได้เห็นรถพวกที่เขาว่ามานี้เลยสักคันเดียว

  เดียร์กับเพื่อนนั่งที่เก้าอี้หน้าปั๊ม  อยุ่ห่างรถพอสมควร  แต่ก็ได้ยินที่เด็กสองคนนั้นพูดกันได้ชัดเจน

          "เฮ่ย  มึงดูCrxนี่ดิวะ  มีอินเตอร์ด้วยว่ะ"  เพื่อนคนที่นั่งพูดขึ้นมา เจ้าของรถ ก็มองมาทางรถเดียร์และเดินอาดๆวางท่าเป็นผู้รู้เต็มที่  เดินตรงเข้าไปหารถ และส่องๆ มุดๆดูที่รถ  เดียร์กับเพื่อนก็เริ่มขำ

           "โธ่มึงดูไงวะ  นี่มันอินเตอรืแขวน  "

           " มึงรุ้ได้ไง"

           "เบรคแม่ง ยังดรัมหลังอยุ่เลย  ถ้าวางเครื่องต้องเปลี่ยนแล้ว  ไม่มีใครในโลกวางเครื่องแรงแล้วใส่ดรัมหลังเหมือนเดิมหรอก"

            "อ้าวเหรอ?  แต่ข้างหน้ามันดิสก์ดูใหญ่ๆนะ  "

             "ไม่มีทาง  ของกูเบรคเบรมโบ้นะมึง"

      เดียร์เลยชะเง้อไปดูเบรคเบรมโบ้ของพรีลูดซะหน่อยว่าเป้นยังไง  มันไม่ใช่หรอก มันเป็นเบรคเดิมพ่นสีแดง

               "ตรงไหนเบรมโบ้ของมึงวะ  กูก็ว่ามันเหมือนฮอนด้าทั่วไป  เบรมโบ้มันต้องหลายพ็อตไม่ใช่เหรอ
 ที่มีเขียนเบรมโบ้ขาวๆอ่ะ"

               "โธ่มึง ของกูนี่มันรุ่นพิเศษ เบรมโบ้ผลิตให้  .."

      เพื่อนอีกคนก็ดูเหมือนเป็นลูกไล่ที่คอยตามคำของเพื่อนเจ้าของรถ   เพื่อนว่าอะไรกูว่าตาม  เฮ่อ...

                 สรุป2คนนั่นก็คงจบประเด็นรถเดียร์ไปได้แล้ว    เดียร์นั่งต่อสักพีัก  และก็ขอตัวกลับก่อน  เพื่อนใหม่ของเดียร์ บอกว่าจะนั่งเล่นอยู่ที่ปั๊มก่อนสักพัก  
 
                 ขณะที่เดียร์กำลังจะไขกุญแจเพื่อเปิดรถเข้าไปนั่ง  เจ้าของพรีลูดและเพื่อนเขา  ทำท่าเหมือนกำลังจะรีบเข้ารถ  และตามออกมา  เดียร์นึกรู้ทันทีว่าเดี๋ยวต้องมาเล่นกะเขาแน่   ก็ดี  ยิ่งเบื่อๆอยู่

           เดียร์เลยไม่รีบร้อนนัก  ขับวนไปเติมน้ำมัน  แล้วค่อยออกจากปั๊ม

     พอออกจากปั๊ม  ก็ขับแบบปล่อยไหลแล้วกด ปล่อยให็เอี๊ยดปลายเกียร์นิดๆ  

  พรีลุดคันนั้นอัดตามมาทันที  แล้วมาจี้ท้าย  เดียร์ตบออกซ้าย  พรีลูดเทียบขวา  และกดทันที

     เดียร์ปล่อยพรีลูดออกไปก่อนเพื่อดูกำลังเครื่อง  และสับ2ตาม รอบกวาด  บูสต์เต็ม  โดดขึ้นไปแปะท้ายได้อย่างไม่ยากเย็นนัก  

     ยื้อๆเข็นกันอยู่แบบนั้นพอเห็นว่าทางนั้นหนีไม่ออกแน่ๆเลยถอนคันเร่งนิดนึง  เพื่อทิ้งระยะ  และกดเต็ม  รอบกวาดถึงเรดไลน์อีกครั้ง  ถึง7800 เดียร์ สับ3พร้อมตบออกซ้ายอีกครั้ง และแซงขึ้นไป  กดเต็มจนสับ4ถึงยก  และเข้าเกียร์5  ปล่อยรถไหล ขับปกติ เป็นอันจบพิธีการเล่นในวันนีี้  สักพักพรีลุดคันนั้นค่อยตามมา  และขึ้นสะพานยูเทิร์นไป  เดียร์โบกมือเป้นเชิงทักทาย แต่เขาไม่ตอบกลับมา

     สักพักเพื่อนที่ปั๊มโทรเข้ามา  บอกว่าเล่นกันเป็นไงมั่ง เดียร์เลยเล่าให้ฟัง

  เพื่อนใหม่ของเดียร์บอกว่า  พรีลูดคันนั้นวนเข้ามาในปั๊มและโวยวายกันใหญ่   หาว่าตอนที่พรีลุดกำลังจะขึ้น  เดียร์ดันยกคันเร่งเสียก่อน  พวกเขาเลยไม่ได้เก็บรถเดียร์เลย

      อย่างนี้ก็มีด้วยแฮะ  เดียร์นึกในใจ แบบขำๆ  บอกลาเพื่อนและวางสายโทรศัพท์  

  ขณะที่เดียร์กำลังเปิดไฟสัญญาณเลี้ยวซ้าย  เพื่อที่จะเลี้ยวเข้าซอยบ้านของตนนั้น

  ได้มีแสงไฟซีนอนสีขาวสว่างขนาดใหญ่  พุ่งตามหลังเขามาอย่างรวดเร็ว

   ขณะกำลังจะเลี้ยวคาหน้าปากซอยบ้าน  เดียร์หันไปทางขวาเพื่อจะดูว่านั้นคือรถอะไร  ทันทีที่เห็น  เดียร์เสียวแปลบขึ้นมาที่กระดูกซี่โครงที่เคยหักขึ้นมาทันที จนเขารู้สึกคลื่นไส้ อยากอาเจียนออกมา

         มันคือรถโตโยต้าซูปร้า  สีดำสนิท ติดสติกเกอร์สังกัดทีมใหญ่ทีมหนึ่ง ซึ่งน้อยคนจะกล้าปะทะกับทีมนี้ตรงๆ เนื่องจากชื่อเสียงความยิ่งใหญ่ ความแรงของรถ  และบารมีระดับเจ้าพ่อ

  ซูปร้าคันนั้นผ่านเดีียร์ไปอย่างรวดเร็ว เสียงเวสเกตที่แหวกอากาศและความดังของท่อไอเสีย บวกกับความเร็วระดับสองร้อยปลายๆ  ทำให้รถญี่ปุ่นบางๆของเดียร์ ถึงกับสั่นกระเพื่อมไปทั้งคัน
 
          เดียร์รีบหักหัวรถออกจากซอยกลับเข้าถนนใหญ่ทันที  และรีบกดคันเร่งตามซูปร้าคันนั้นไปอย่างบ้าคลั่ง

  แต่สุดปัญญาที่จะตามทัน รถที่กดมาด้วยความเร็วสองร้อยปลายๆ  กับรถที่เพิ่งเริ่มออกตัว  มันไม่มีทางตามขึ้นไปเทียบได้อยู่แล้ว  

           จิตใจของเดียร์ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว  สับเกียร์ผิดๆถูกๆมือไม้สั่น  ไม่ใช่เขาเพิ่งจะเจอรถแรงระดับนี้

   แต่รถคันนี้เขาเคยเห็นครั้งหนึ่ง  มันเป็นรถคันที่อยู่ในเหตุการณ์อุบัติเหตุที่ทำให้พ่อและแม่ของเขาต้องเสียชีวิต

   เดียร์พยายามกดคันเร่งจนมิด  เรียกได้ว่าถ้าทะลุพื้นเหล็กของรถลงไปได้เดียร์ก็จะทำ  แต่จนถึงตอนนี้  ไฟท้ายของซูปร้าคันนั้นหายลับไปจากกระจกหน้าของเดียร์ซะแล้ว  เดียร์หยุดรถ  ตั้งสติ หยิบขวดน้ำมาดื่มอึกใหญ่

           และวนรถกลับ  สวนเลนวิ่งเพื่อวนเข้าซอยหมู่บ้านของตน

   "เอาวะ  อย่างน้อยเราก็ได้รู้แล้ว  ว่ามันอยู่แถวนี้"   เดียร์คิด....

                                                                                                             


                      To be Continued...

               

               


               

     
 
     
Title: Re:Living on A Prayer....
Post by: *Aee-ViPeR-MR2* on May 03, 2004, 09:37:06 pm
โอ๊ววว พี่หย่าย แจ่มดีคะ  ;D Keep Goin I will Wait!!
Title: Re:Living on A Prayer....
Post by: วิน civic on May 03, 2004, 11:23:00 pm
มาเขียนต่อเร็วๆน่ะพี่
Title: Re:Living on A Prayer....
Post by: top on June 08, 2004, 04:37:28 pm
เขียนต่อ เร็วๆนะอยากอ่านต่อ ;D ;D ;D ;D
Title: Addicted to the Rush
Post by: Yai_GuMP@ซิตี้พันม้า on July 10, 2004, 03:55:53 am

     ขอบคุณที่มีคนเข้ามาอ่านนะครับ เห็นตัวเลขคนที่เข้ามาอ่านแล้วชื่นใจจังครับ

  ตอนนี้ก็จะกลับมาที่เรื่องของตัวละครหลักกันเหมือนเดิม และคราวนี้ จะให้แบงค์ เพื่อนของพระเอกเรา ได้หล่อเต็มที่ซะหน่อย

  บรรยากาศของรื่องตอนนี้ หลายคนอาจอินกับมันได้ง่ายๆ เพราะเป็นบรรยากาศที่ใกล้ตัวเอาซะมากๆ สำหรับหลายๆคน

  ที่ไม่ได้มาเขียนนาน เพราะช่วงนี้เรียนหนักครับ งานส่งวันเว้นวันเลย พล่ามซะเยอะ ไปอ่านกันเลยดีกว่าครับ.... ;D
Title: Addicted to the Rush
Post by: Yai_GuMP@ซิตี้พันม้า on July 10, 2004, 03:58:13 am

   

       เช้าที่สดใสวันหนึ่งในช่วงฤดูหนาว ที่มหาวิทยาลัยของเดียร์  ที่นี่เป็นมหาวิทยาลัยทางด้านศิลปะและการออกแบบที่เดียร์รักมาก
เขาเป็นนักศึกษาปีที่4ของคณะออกแบบที่นี่ ซึ่งเมื่อมีเวลาว่าง หรือไม่มีคลาสเข้าห้องเรียน นักศึกษาหลายๆคนมักมานั่งในสวนที่เต็มไปด้วยดอกแก้ว ที่ส่งกลิ่นหอมเย็นๆไปทั่วบริเวณนั้น เพื่อพักผ่อน มองสาวๆต่างคณะ หรือเป้นที่นัดพบกันของเพื่อนในกลุ่มตัวเอง

       เดียร์กำลังนั่งคอยแบงค์ที่เอางานขึ้นไปส่งบนห้องภาควิชา  ขณะกำลังนั่งอย่างใจลอย หนังสือรถเล่มใหม่ที่เพิ่งซื้อมา ก็ถูกดึงไปจากมือ ทำให้เดียร์หลุดจากห้วงความคิดนั้น และมองตามไปหาคนที่ดึงหนังสือจากเขาไป

       "นั่นแน่ พ่อหนุ่ม มานั่งเหม่ออะไรอยู่ตรงนี้.." เจ้าของเสียงนั้นคือเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักที่หนุ่มในคณะมาตอมกันให้หึ่ง

"เฮ่ย เอามา ยังอ่านไม่จบเลย"เดียร์บ่น พลางแย่งหนังสือกลับมา แต่เธอไม่คืนให้ "ไหน หนังสืออะไรเนี่ย มีแต่รถ รถแต่งทั้งนั้นเลยนี่นา.. นี่นายแต่งรถกับเขาด้วยเหรอ " เดียร์ยังไม่ทันตอบอะไร เสียงแบงค์ก็ดังมาจากข้างหลัง

 "นี่ ยัยตอง มายุ่งอะไรกับแฟนชั้นยะ"แบงค์พูดพลางทำท่าเหมือนสาวประเภทสองเดินเข้ามา เรียกเสียงฮาจากเพื่อนๆในความทุเรศได้เป็นอย่างดี
 
  ตองคุยกับเดียร์และแบงค์ถึงเรื่องรถอย่างสนใจพลางเปิดหนังสือรถดูตามไปด้วย ปากก็ชมว่าคันนั้นสวย คันนี้ก็เท่

และจบลงด้วยคำถามสุดฮิต"เออ แล้วเขาไปแข่งที่ไหนกันล่ะรถพวกนี้น่ะ?"

  เดียร์หันไปมองหน้าแบงค์และตอบเกือบจะพร้อมกัน "ไปดูมั้ยล่ะ" แน่นอน ตองตอบว่าไป

  ตกดึกของคืนวันนั้น ทั้งหมดนัดกันว่าจะไปเจอกันที่ปั๊มน้ำมันหน้าบ้านของเดียร์ และไปรถแบงค์คันเดียว เนื่องจากราคาน้ำมันที่แพง และความคับแคบของรถเดียร์ ส่วนรถของตองก็เป็นรถซีวิคธรรมดา ถ้าขับไปดูมิดไนท์เรซซิ่ง คงไม่ได้บรรยากาศเท่าไหร่ บวกกับรถแบงค์เพิ่งเสร็จออกมาจากอู่ เจ้าตัวจึงอยากนำมาอวดเพื่อนสาวซะหน่อย

   เดียร์มาถึงที่ปั๊มเป็นคนแรก เขาจอดรถหลบไว้ริมด้านในปั๊ม ที่จะไม่เกะกะคนมาใช้บริการ เขารู้จักผู้จัดการ และคุ้นเคยกับเด็กปั๊มนี้ดี

 เดียร์ดูดบุหรี่ยังไม่ทันหมดตัว รถของตองก็เลี้ยวเข้ามา  ทั้งสองนั่งคุยกันอยู่พักหนึ่ง ก็สะดุดกับเสียงคำรามของท่อไอเสียที่แผดสนั่นมาแต่ไกล ดังลั่นจนมาเบาแถวหน้าปั๊ม และรถเจ้าของเสียงนั้นก็เลี้ยวเข้าปั๊มมาอย่างน่าเกรงขาม ด้วยการเคลื่อนไหวของช่วงล่างที่กระด้าง และหน้ายางที่ใหญ่โต ทำให้ดูเหมือนสัตว์ประหลาดกำลังคำรามไม่มีผิด ทุกคนในปั๊ม หันมามองรถคันนั้นเป็นตาเดียว

    ตองจ้องรถคันนั้นอย่างไม่วางตา และถามเดียร์ว่านั่นรถอะไรเหรอไม่เคยเห็นเลย "Nissan skyline R33น่ะ" (ยาวจัง)

  เดียร์ตอบยิ้มๆ "ของไอ้แบงค์เองแหละ" ยังไม่ทันพูดจบ แบงค์ก็เปิดประตูเดินลงมาจากรถ ด้วยท่าทางตลกๆ ไม่ได้วางฟอร์มใหญ่โตเหมือนรถตัวเองที่น่ากลัวและดูดุดัน

    เดียร์ขอให้แบงค์เปิดเครื่องให้ดู เพราะหลังจากออกจากอู่มาสเต็ปนี้ เขายังไม่เห็นรถเพื่อนตัวเองเลยว่าทำอะไรไปบ้างหลังจากการพังเพราะแบงค์สะเพร่าปล่อยให้เทอร์โบพังและควันขาวไหลจนน้ำมันเครื่องหมด

    "มึงเอาโบอะไรมาใส่วะเนี่ย ใหญ่ชิบหาย ไม่รอรอบน่าดูเหรอวะ" เดียร์พูดจบ แบงค์ทำหน้าเคืองขึ้นมาทันที "ก็รถกูชอบเอาไว้อัดทางยาวนี่หว่า บูสต์มาช้าหน่อย แต่ชอบตอนมันดึงหนักๆ เลี้ยงคันเร่งสนุกดี"แบงค์ตอบ

   "ไม่เห็นแบงค์เคยเอารถไปมหาลัยเลย ไม่ยักรู้ว่าเพื่อนเราก็มีแบบนี้ด้วย"ตองยังปลื้มไม่หายจากความเท่ของรถเพื่อนตัวเอง

  มันกินน้ำมันและขับยากด้วย ไปเรียนนั่งรถไฟฟ้าไปง่ายกว่า นั่นคือคำตอบของแบงค์

   

       และทั้ง3ก็นั่งรถแบงค์ไปยังสถาณที่นัดพบของเหล่าวัยแรงยามค่ำคืน มันเป็นถนนที่ออกไปทางชานเมือง เพื่อที่จะไม่รบกวนชาวบ้านให้มากที่สุดและเพื่อกันเจ้าหน้าที่บ้านเมืองมาไล่  

       แบงค์ขับไปอย่างช้าๆบนถนนสายที่จะนำพวกเขาไปยังจุดหมาย เสียงเพลงGreen tinted sixty mindของวงMr.Bigก็ดังขึ้นมา

 ตองบอกว่าชอบเพลงนี้ ทั้งสองคนก็พยักหน้า และร้องตามไปด้วยความคึกคัก

       แบงค์ขับรถช้าลง และทำท่าเหมือนจะเอื้อมมือไปที่ปุ่มปรับบูสต์ไฟฟ้าตรงคอนโซล  เดียร์ถามว่ามีอะไรรึเปล่า

     แบงค์ตอบว่าเหมือนมีรถตามมาตั้งนานแล้ว แต่ยังมองไม่ถนัดว่ารถอะไร

     "เหรอ?" เดียร์ตอบพลางเงยหน้าขึ้นเพื่อมองกระจกข้างซ้ายไปทางข้างหลัง

     "เซฟิโร่นี่....มาเร็วด้วยแฮะ แบงค์"  ...แบงค์รับคำ พร้อมกระพริบไฟเลี้ยวซ้ายเป็นทำนองว่าหลบให้คันที่มาเร็วทางขวาไปก่อนตามมารยาท

      เซฟิโร่สีดำสนิท ตรงข้ามกับรถของแบงค์ที่เป็นสีขาวปลอดสะอาดตา ขับมาเทียบข้างรถแบงค์ แล้วเบิ้ลโบลว์ออฟใส่2ที แล้วกดขึ้นไป ทำนองว่าท้าทาย

      แบงค์เฉย และกดไฟฉุกเฉินให้กระพริบ2-3ที   เซฟิโร่สีดำคันนั้น ทำท่าลังเลอยู่พักหนึ่ง จึงได้กดคันเร่งอย่างหนัก เสียงท่อและเวสเกตที่แผดออกมา ทำให้คนที่ไม่เคยได้ยินอย่างตองถึงกับตกใจ

       "เสียงอะไรน่ะ ทำไมมันดังอย่างนั้น" เดียร์อธิบายถึงหลักการทำงานอย่างง่ายๆให้ตองเข้าใจ จากนั้นตองจึงถามว่าแล้วเขามาเร่งเครื่องใส่ทำไม เขารุ้จักกันกับแบงค์เหรอ?

       "เปล่าหรอก เขาท้าเล่นด้วยน่ะ" ตองถามต่ออีกว่าทำไมไม่เร่งเครื่องตอบเล่นกับเขาไปล่ะ แบงค์ส่ายหน้า และนึกในใจว่าถ้าเป็นแต่ก่อนเขาคงกดตามไปทันที แต่ตอนนี้เขามีเพื่อนร่วมทางมาอีก2 ที่ชีวิตทั้งสองคนนี้อยู่มนมือเขาที่เป็นผู้ถือพวงมาลัย หากมีอะไรผิดพลาดไป จะไม่สามารถเรียกอะไรกลับคืนมาไม่ได้เลย
        เดียร์หันไปมองหน้าเพื่อนตัวเอง แล้วยิ้มอย่างพอใจ


      เมื่อไปถึงที่นัดหมาย รถของแบงค์เป็นเป้าสายตาของคนในสถานที่นั้นอย่างดี  ส่วนตองเองก็ตื่นตาตื่นใจกับรถสปอร์ตรูปร่างและสีสันแปลกตามากมายหลายคัน

      ยังไม่ทันลงจากรถ ก็มีผู้ชายคนหนึ่ง ผมสีทองคาดกระเป๋าเงินที่เอว เดินเข้ามาหา และถามว่า

    "เครื่องไรเนี่ย วิ่งป่าว มีคนอยากวิ่งด้วย"  แบงค์หันไปมองเดียร์ เดียร์บอกว่าให้ดูรถก่อน ว่ารถอะไรจะวิ่งด้วย ท่าทางเดียร์ก็สนุกที่จะได้เห็นเพื่อนตัวเองวิ่ง ส่วนแบงค์ก็อยากจะรู้ว่ารถตัวเองที่ทำมาใหม่นั้น เป็นอย่างไรบ้าง

     คนจัด บอกให้คนที่อยากวิ่งกับแบงค์ เลื่อนรถเข้ามาเทียบกันเลย รถคันนั้นทำให้ทั้งเดียร์และแบงค์ร้องอ้าว

  เพราะมันคือเซฟิโร่สีดำคันที่ผ่านพวกเขาไปนั่นเอง  เจ้าของรถเป็นชายร่างท้วม ท่าทางไม่เป็นมิตรนัก พูดด้วยน้ำเสียงหยาบๆว่า

  "เปิดเครื่องดูหน่อย เครื่องอะไร ทำที่ไหนเนี่ย" แบงค์ก็เปิดให้ดู และบอกว่าไม่ได้ทำอู่ใหญ่โตอะไรที่ไหน แค่ร้านคนรู้จัก  แต่กลับโดนเจ้าของเซฟิโร่นั่น ต่อว่ากลับมา ว่าไม่ต้องหมกก็ได้น่า คนทำRBในไทยมีกี่ที่กันเชียว  เดียร์ชักเห็นว่่าไร้สาระ เลยบอกให้อีกฝ่ายเปิดเครื่องมาดูบ้าง

    เครื่องรถทั้ง2คันนั้นเหมือนกันแทบทุกอย่าง เครื่องRB26DETT เทอร์โบรหัสโหดT88-33Dเหมือนกัน  รถของแบงค์แคมก็เปลี่ยนแล้ว ทางนั้นก็เปลี่ยนเช่นกัน รางหัวฉีด และคอไอดี ก็ขนาดมหึมา ไม่ต่างกันเท่าไหร่

     ทางเซฟิโร่ ขอให้แบงค์ต่อให้ เพราะยังไงเครื่องของแบงค์ก็เป็นเครื่องตัวเดิมของรถมา มันตรงรุ่น แถมขับ4ด้วย

   แบงค์ตกลงต่อให้1แผ่นถนน ทางเซฟิโร่ไม่พอใจ บอกว่าน้อยเกินไป  ทุกคนพยามพูดให้แบงค์ต่อให้เยอะกว่านั้น แบงค์เหมือคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง จึงตกลงกันที่2แผ่นถนน หัวนอกเส้น  คือหัวเซฟิโร่ อยู่พอดีเส้นสตาร์ท และหัวรถแบงค์ถอยหลังจากเส้นสตาร์ทลงไป 2แผ่นถนน

    พอเริ่มเก็บเงินเดิมพัน ทางแบงค์ เดียร์และตอง ลงเงินรวมกันมาได้1หมื่นบาท  พอถามทางฝ่ายเซฟิโร่ ทางนั้นกลับบอกว่าไม่มีคนลงเลย  จะให้ต่อเพิ่มให้อีก  แบงค์ชักเริ่มอารมณ์เสีย และถามว่าเจ้าของรถจะลงเท่าไหร่

   คนจัดเห็นท่าไม่ดี เลยรีบบอกตัวเลขเงินทางฝั่งเซฟิโร่ ว่ามี1หมื่น5พันบาท  มีคนมาขอลงฝั่งรถแบงค์เพิ่มขึ้นมาอีก แบงค์เปิดให้ลง

 คู่นี้จึงวิ่งจบกันที่เงินเดิมพัน2หมื่นบาท (หักค่าน้ำให้คนจัดด้วย..อิๆ)

 
             เมื่อได้เวลาประจวบเหมาะ รถทั้ง2คัน ก็ไปอยู่ที่เส้นสตาร์ท คนดูมุงมากมาย2ข้างทางของทางวิ่งที่ยืมถนนหลวงใช้ชั่วคราว

  เซฟิโร่คันนี้เป็นรถที่วิ่งและมีชื่ออยู่แถบพัทยา หลายคนรู้จักในความแสบสันต์ของการโกงเวลาออกตัวเป็นอย่างดี และแน่นอน แบงค์รู้

  เมื่อคนปล่อยรถ ยกมือหันหน้าไปทางแบงค์ แบงค์กระพริบไฟสูง1ที พร้อมย้ำคันเร่งถี่ๆ ไม่ได้ล็อครอบออกตัวเหมือนเซฟิโร่

    เมื่อมือทั้ง2ข้างของคนปล่อยชูขึ้นเหมือนศีรษะ และแยกออกจากกันทั้ง2ข้าง จึงจะถือเป็นสัญญาณออกตัวที่ถูกต้อง

    แต่เพียงมือทั้งสองเพิ่งขึ้นไปถึงระดับไหล่ เซฟิโร่สีดำนั้น ก็กระชากคลัทซ์ออกไปอย่างรุนแรง รอบแรกนี้แบงค์พลาดไปหน่อย หูดันได้ยินเสียงยางของเซฟิโร่ ใจที่กำลังพลุ่งพล่าน ก็สั่งให้ถอนเท้าซ้ายออกจากคลัทซ์ และสวนคันเร่งลงไปทันที

    เป็นการออกตัวที่ช้าไปเกือบ1วินาที ถ้าคนเล่นควอเตอร์ไมล์หรือวิ่งแดรกบ่อยๆ จะรู้ว่าเวลาแค่นี้มีความหมายแค่ไหน

  เซฟิโร่คันนั้นไม่ธรรมดา แบงค์ได้ยินเสียงเกียร์หอนเบาๆตั้งแต่ตอนที่วิ่งบนถนนแล้ว  เมื่อออกตัวดี ได้ระบบส่งกำลังที่ดี และคนขับเก๋าประสบการณ์ ทำให้เซฟิโร่คันนั้น นำหน้ารถแบงค์เข้าเส้นชัยไปอย่างง่ายดาย โดยที่แบงค์ไม่มีโอกาสแม้จะได้ลุ้นเลยด้วยซ้ำ  แถมก่อนเข้าเส้น เซฟิโร่คันนั้น ยังเหยียบคลัทซ์แล้วเบิ้ลคันเร่งเป็นเชิงดูถูกอีกด้วย

   ขณะที่แบงค์ขับเพื่อวนกลับไปเส้นสตาร์ทอีกครั้ง เขาขับวนไปหาเดียร์ เพราะรู้ว่าเดียร์ต้องมีคำแนะนำสำหรับเขาแน่ๆ

  และใช่จริงๆ เดียร์บอกอะไรบางอย่าง ซึ่งแบงค์ยิ้มเล็กน้อย ก่อนตอบตกลง และวนเข้าเส้นไปใหม่

      สตาร์ทรอบที่2คราวนี้แบงค์มีสมาธิมากขึ้น ตาจับนิ่งไปข้างหน้าไม่วอกแวก มือขวากำพวงมาลัย มือซ้ายอยู่ในท่าเตรียมสับเกียร์2

  และเหมือนเดิม สัญญาณสตาร์ทยังไม่ทันสิ้นสุด เซฟิโร่คันนั้นก็พุ่งออกไปก่อนเหมือนเคย  เพียงแต่คราวนี้ แบงค์ไม่ออตัว ยังเฉยอยู่กับที่

      คนปล่อยเรียกเซฟิโร่กลับมาที่เส้นตั้งลำใหม่ คนขับเซฟิโร่ท่าทางหงุดหงิด ถอยรถด้วยอาการกระแทกกระทั้น

      สตาร์ทอีกครั้ง เซฟิโร่ชิงออกก่อนอีก และเหมือนเดิม แบงค์ไม่ออกตัว คนดูเริ่มหงุดหงิด และวิพากษ์วิจารณ์

      ครั้งที่3ก็ยังเป็นเช่นเดิม คนดูโห่ร้อง และแสดงท่าไม่พอใจ มีเสียงก่นด่ารถทั้ง2คัน ว่าห้เซฟิโร่เลิกโกงซะที ส่วนอีกฝ่ายก็ว่าแบงค์ ว่าทำไมไม่ออกตัว

      ครั้งที่4แบงค์ก็ยังทำเช่นเดิม และเซฟิโร่ก็ยังโกงอยุ่เหมือนเดิม

      จนครั้งที่5แบงค์รู้ได้ทันทีถึงจังหวะของคนขับเซฟิโร่ที่ไม่มีสมาธิแล้ว เนื่องจากอารมณ์โกรธจนหน้าแดง

      รอบนี้เซฟิโร่ออกตัวพลาดจังหวะบูสต์ห้อยเกินไป แต่รถเดียร์ที่กระโดดออกมาอย่างหนักหน่วงด้วยระบบAttessaหรือแทร็คชั่นที่จับตอนออกตัวให้เป็นขับเคลื่อน4ล้อ  กระโดดพรวดเดียวก็แซงหน้าเซฟิโร่คันนั้น เมื่อสับเกียร์2ก็แซงขึ้นทิ้งระยะห่างมากขึ้นไปอีก เซฟิโร่พยามไล่ตามอย่างบ้าคลั่ง
 เวสเกตของทั้ง2คันคายออกมาอย่างรุนแรงจนพื้นสะเทือน เสียงเครื่องแหบๆของRB26ที่ฟาดฟันกัน เหมือนเสียงของสัตว์ป่าที่ไล่ล่ากันอย่างหื่นกระหาย กลิ่นของยางเนื้อดีที่ไหม้ติดพื้นถนน และกลิ่นน้ำมันออกเทน นี่ไงเล่าที่เป็นสิ่งที่ทำให้หลายคน ติดใจกับคำว่า มิดไนท์เรซซิ่ง เดียร์คิด พลางมองไปที่ระยะห่างของรถแบงค์กับเซฟิโร่ ที่ระยะห่างนั้น มันมากถึง3-4ลำทีเดียว แต่ดูเหมือนเซฟิโร่กำลังจะไล่ขึ้นมาได้เพราะเมื่อสับเกียร์3 รถแบงค์ดูห้อยลงไป แต่พอกลางเกียร์เวสเกตก็คายออกมาอย่างรุนแรงอีดครั้ง พร้อมกับไฟจากท่อไอเสียลูกใหญ่ ถีบบอดี้อันใหญ่โตของSkylineR33นั้นให้ทะยานหน้าเชิดผ่านเส้นชัยเข้าไปอย่างไม่ลำบากยากเย็น

      ตองตะโกนด้วยความดีใจ ได้ตังค์ใช้แล้วๆ เดียร์บอกให้ใจเย็นๆ เพราะยังเหลืออีก1รอบ ตองจึงหันมาสนใจรถอีกครั้ง

รอบที่3นี้ มีความกดดันเป็นพิเศษ เพราะทั้ง2 รู้แล้วว่ารถของต่างฝ่ายวิ่งขนาดไหน ทางเซฟิโร่ ก็กลัว เพราะรถแบงค์ปลายหนักมาก โอกาสโดนเก็บหน้าเส้นสูงมาก ต้องชิงออกก่อนและหนีไม่ให้โดนขึ้นได้เท่านั้น

       ส่วนแบงค์ก็กลัวทางฝ่ายเซฟิโร่ เพราะยางของแบงค์ไม่ใช่ยางเนื้อดีอะไรมาก เป็นเพียงยางกึ่งซอฟท์คอมพาวน์ดเท่านั้น และเมื่อกี้เพิ่งผ่านการออกตัวหนักๆมา แบงค์กลัวว่ายางจะรับไม่ไหว ไหนจะน้ำมันเกียร์ที่ยังไม่ได้เปลี่ยน หากสับว่าว หรือเกียร์แตกตอนนี้จะทำอย่างไร เงินเดิมพันไม่ใช่ปัญหา แต่มันเสียศักดิ์ศรี ยิ่งเห็นสีหน้าและการโกงของคนขับเซฟิโร่นั้นแล้ว  เขายอมไม่ได้

       แบงค์คำนวนทุกอย่างในสมองเหมือนคอมพิวเตอร์ และบอกทางผู้จัด ว่าขอเวลาพัก ซึ่งปกติจะมีการให้พักรถได้ไม่เกิน15นาที

แบงค์ได้สิทธินั้น เดี๋ยวนี้เลยครับ...


       ช่วงเวลาที่ผ่านไป15นาที แบงค์ใช้เวลาไปกับการคุย คิด และคำนวน ปรับความแข็งของช่วงล่างกับเดียร์อย่างละเอียดยิบ
ท่ามกลางความสงสัยของผู้ชม และฝ่ายเซฟิโร่ ที่เดินเอาน้ำมาฉีดอินเตอร์หน้ารถตัวเองอย่างงงๆ และบ่นว่าน่าเบื่อชิบ อยากวิ่งให้จบๆไปซะที

        เมื่อผ่านไป15นาที กลับมาที่เส้นสตาร์ทอีกครั้ง คราวนี้กรรมการบอกทั้งคู่ ว่า หากมีการออกก่อน ฝ่ายนั้นปรับแพ้ และหากฝ่ายหนึ่งออกไปโดยถูกต้อง แลอีกฝ่ายไม่ออกตาม ก็ให้ปรับฝั่งที่ไม่ออกตัว แพ้ฟาล์วไป ทั้งคู่รับทราบ

        การออกตัวคราวนี้ไม่เป็นปัญหา ออกพร้อมกันทั้งคู่ เซฟิโร่ที่พักเครื่องมาเมื่อกี้ดูจะปรับบูสต์เพิ่มมา ตอนออกตัวล้อฟรีเยอะมาก แม้จะเลี้ยงคันเร่งช่วยแล้วก็ตาม ท้ายปัดไปมา แสดงถึงพละกำลังที่มหาศาลของเครื่องยนต์

        รถแบงค์ก็เช่นกันขณะนี้เขาปรับบูสต์ไปที่ บาร์ห้า ซึ่งเป็นMaxBoostสำหรับรถเขา แคม272ของJunที่เขาบรรจงเก็บเงินซื้อมาเพื่อใส่กับรถ มันรับอากาศที่อัดผ่านลิ้นปีกผีเสื้อVH45ขนาดมโหฬารนั้นเข้ามาได้อย่างสะดวก มาเจอกับเชื้อเพลิงที่ถูกอัดเข้ามาด้วยปั๊มติ๊กของNismoความเร็ว276ลิตร/ชั่วโมง ตรงไปยังเรกูเลเตอร์และผ่านหัวฉีด800cc.จากSard ผสมกันคลุกกับไฟจุดระเบิดที่ถูกตั้งเอาไว้ด้วยTunerฝีมือดีจากญี่ปุ่น ปล่อยพละกำลังของฝูงม้า ระดับ650ตัว ให้ออกมาอาละวาดอย่างบ้าคลั่ง แผดสนั่น ห้อทะยานผ่านเซฟิโร่ที่กำลังพยามเลี้ยงคันเร่ง  

        เข็มรอบฟาดขึ้นไปอย่างบ้าคลั่ง หมุนไปเกือบจะพร้อมๆกับเข็มวัดความเร็ว และเข็มบูสต์ที่ตีขึ้นไปอย่างรุนแรง เพียงอึดใจเมื่อรอบไปถึง7500 แบงค์ก้ต้องละมือจากพวงมาลัย เตรียมสับเกียร์2ที่8000รอบพอดี

        เมื่อสับเกียร์2 ทุกอย่างดูไม่เป็นปัญหากับR33สีขาวที่กำลังแหวกอากาศที่หนาวเย็นของค่ำคืนวันนี้เพื่อจะคว้าชัยชนะนี้เท่าไร
เมื่อบูสต์มาเต็ม เวสเกตคาย รอบใกล้เรดไลน์ แบงค์กำลังละมือจากพวงมาลัย เพื่อเข้าเกียร์3 ตรงนี้เองที่เป็นจุดเปลี่ยนของการอัดรถในคืนนี้  มีเสียงแตรดังลั่นมาจากรถเซฟิโร่ที่กำลังตามแบงค์มา ทันทีที่ได้ยินเสียงแตร เป็นจังหวะที่แบงค์กำลังเหยียบคลัทซ์เพื่อยัดเกียร์3เข้าอย่างรวดเร็ว ตามความเคยชินที่เท้าเหยียบคลัทซ์สุด เกียร์ก็เข้าไปถึงทันที
    แต่มันทำให้จังหวะนั้นสะดุด เกียร์3ของแบงค์ยัดไม่เข้า เพราะเสียสมาธิกับเสียงแตรที่ดังขึ้นมา ว่าทางนั้นเกิดอะไรขึ้น

   เซฟิโร่ ตีขึ้นมาขนาบข้างทันที ไวเท่าความคิด แบงค์คิดออกว่ามันเล่นสกปรกแน่ๆจึงยัด3เข้าไปใหม่กำลังรถกลับมาทำงานอีกครั้ง ดันให้R33พุ่งขึ้นไปอีกครั้ง นำหน้าเซฟิโร่ หายเข้าไปในหมอกที่ลงมาจนทันศนะวิสัยไม่ค่อยดีเท่าไหร่

        เดียร์และตอบที่ยืนอยู่ปลายเส้น ก็ลุนว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะตอนนี้หมอกลงเยอะจนมองต้นเส้นไม่เห็น  แต่เดียร์ก็ยิ้มออก เมื่อเห็นไฟซีนอนสีขาวของรถเพื่อนตน วิ่งหน้าเชิดมาในสายหมอกแต่ไกล  นำลิ่วรถคู่ต่อสู้มา ชนิดที่แพ้แบบแก้ตัวไม่ขึ้น

        เสียงเชียร์โห่ร้องของผู้ชมที่ลุ้นกันอยู่ ทั้งคนที่ลงเงินและไม่ลงเงิน สร้างความตื่นเต้นยินดีแก่แบงค์ขณะกำลังเข้าเส้นชัยยิ่งนัก

   เขาอยากจะยกนิ้วโป้งหรือชูมือขึ้นไปขณะเข้าเส้น แต่อย่าดีกว่า  เดี๋ยวจะมีคนหมั่นไส้เขา แบงค์คิด

        คนจัดนำเงินเดิมพันมาให้แบงค์ และบอกขอบคุณที่ช่วยวิ่งให้ พร้อมกับชักชวนให้มาบ่อยๆ แบงค์รับคำ และแบ่งเงินให้คนดูที่ลงเงินกับเขา

        ทางเจ้าของเซฟิโร่ท่าทางหัวเสียมาก เดินไปคุยกับผู้ชายคนหนึ่งที่มาด้วยกัน และผู้ชายคนนั้น ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา หันไปมองแบงค์และเดียร์ ที่ยืนจับกลุ่มกันอยู่ และกดโทรศัพท์ไปหมายเลขหนึ่ง  

         ซึ่งหมายเลขที่กดนี้ ตัวผู้ที่กดเองก็ไม่ทราบได้ว่าจะเป็นหมายเลขที่ก่อให้เกิดเหตุการณ์รุนแรง
         ซึ่งพัวพันกับพวกของเดียร์และแบงค์ต่อไปในภายหน้าด้วย  

                                                                                                                ..................To be Continued

 

   


 
Title: Re:Living on A Prayer....
Post by: Webmasturbation on July 10, 2004, 11:05:34 am
WoW !!!~   เนื้อหายังเข้มข้นเหมือนเดิมครับ  ชอบๆๆๆๆ

เพลงใกล้ตัวเราทั้งนั้นเลย   อยากอ่านต่อจัง  :D
Title: Re:Living on A Prayer....
Post by: วิน civic on July 14, 2004, 01:59:46 pm
หนุกมากเลยคับพี่ มาเขียนต่อไวๆน่ะ
Title: Re:Living on A Prayer....
Post by: *Aee-ViPeR-MR2* on July 19, 2004, 07:04:25 pm
พี่ใหญ่คร้าบบบ สนุกจิงๆเลยอ่า เอาอีกๆๆ  :-*
Title: Re:Living on A Prayer....
Post by: pat on July 29, 2004, 11:36:17 pm
I like that your story so much!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
Title: Re:Living on A Prayer....
Post by: armlux on September 03, 2004, 01:25:51 am
good ;D
รออ่านอยู่นะค๊าบ
Title: Re:Living on A Prayer....
Post by: black_sprinter on September 14, 2004, 08:31:04 pm
 :-* ชิลมากก
Title: Re:Living on A Prayer....
Post by: Yai_GuMP on November 29, 2004, 05:32:20 am

      ไม่ได้เข้ามาซะนานเลย มัวแต่วุ่นๆเรื่องเรียนครับ

   ใกล้จบแล้วเลยต้องเต็มที่หน่อย  

       ช่วงนี้ตัวละครชักจะเริ่มเยอะ อ่านไปอ่านมาจะเริ่มไม่สนุกหรือเปล่าครับนี่

    คือกลัวว่าถ้าไม่ปูแบคกราวน์ดของตัวละครเลย มาถึงอัดรถๆๆอย่างเดียว
   มันจะแบนไปน่ะครับ

       ตอนนี้ก็จะเอื่อยหน่อย ไม่ค่อยมีกลิ่นยางกับเสียงท่อ แต่รับรองอีกเดี๋ยวได้มันส์แน่ครับ เอาชนิดได้กลิ่นน้ำมันเครื่องแล้วรู้เลยว่ายี่ห้อไหน ดีมั้ยครับ




 

       
Title: What is to burn?
Post by: Yai_GuMP on November 29, 2004, 05:48:43 am

    ในคืนที่อากาศหนาวเย็นของจังหวัดนครปฐม เดียร์เดินสูบบุหรี่อย่างเงียบๆออกจากด้านหลังสุดของมหาวิทยาลัยเพื่อออกไปทำหาเพื่อนที่นั่งเล่นอินเตอร์เน็ตตรงฝั่งตรงข้ามมหาลัย อากาศเย็นแบบนี้ บวกกับความเงียบสงบที่นักศึกษาส่วนใหญ่เข้าหอพักกันไปหมด เนื่องจากเวลาล่วงเลยไปถึงตี3แล้ว เดียร์จึงทิ้งรถไว้ที่คณะและใช้วิธีเดินออกมา เขาคิดว่าบางครั้ง การเดินก็เป็นการทำให้เกิดสมาธิที่ดี

     ตอนนี้เดียร์เป็นนักศึกษาปีสุดท้ายแล้ว และเขาหวังว่าจะเป็นเช่นนั้นเพราะตอนนี้เพื่อนๆที่เอนทรานซ์เข้ามาพร้อมกับเขาได้จบการศึกษาไปมากแล้ว เพราะตอนนี้เขาติดอยู่ปีที่5พร้อมกับแบงค์นั่นเอง เขาตั้งใจว่าจะเบาๆเรื่องรถยนต์ลงให้น้อย และเอาจริงเอาจังกับการทำศิลปิพนธ์เพื่อจบการศึกษาของเขา แม้แบงค์จะแซวว่าจะทำได้หรือ แต่เดียร์ก็ตั้งใจเช่นนั้น

      ถนนที่เดียร์เดิน เป็นทางเรียบๆ มีต้นไม้ใหญ่ถูกปลูกเรียงทางเดินข้างรั้วมหาวิทยาลัย ความหนาวกับบุหรี่ดันแมนหนักๆนี่ มันเข้ากันดีแฮะ เดียร์คิด

       ขณะที่เดียร์กำลังจะข้ามถนนที่พาดผ่านหน้ามหาวิทยาลัย ไปยังร้านอินเตอร์เน็ต ก็มองไปทางขวาที่เป็นทิศที่รถจะมา  
เห็นแสงไฟที่คุ้นตากำลังใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่าจะซัดผ่านมา  เดียร์จึงชะงักเท้าไว้ไม่เดินต่อไป และจ้องดูว่าเป็นรถอะไร

        "3ประตูแฮะ....เสียงดีซะด้วย" แวบเดียว3ประตูสีบรอนซ์คันนั้นก็ผ่านหน้าเขาไป เสียงแคมคู่ของวีเทคแผดลั่น แต่แหบห้าว เขามองเข้าไปในรถ เห็นหน้าคนขับได้ชัดเจนผ่านกระจกสีชาของรถ เจ้าของรถหันหน้ามาสบตากับเดียร์แวบหนึ่ง และผ่านไป
         "นครปฐมมีเทควิ่งดีขนาดนี้อยู่ด้วยเหรอเนี่ย..แต่งซะซึมเชียว ดูไม่รู้เลยว่าวิ่งดี  เสียงอย่างนี้20แน่เลย" เดียร์พึมพัมกับตัวเอง และนึกขำที่เมื่อกี้ยังคิดอยุ่เลยว่าจะเลิกๆเรื่องรถ แต่ตัวเองกลับบอกสเปครถคันที่เพิ่งผ่านไปได้เป็นฉากๆทีเดียว

           แกร๊ง..กระดิ่งหน้าประตูร้านอินเตอร์เน็ตถูกสั่นจากแรงเปิดประตูของเดียร์ คนในร้านบางส่วนหันมามองเดียร์ที่เปิดประตูเข้ามา และหันกลับไป  เดียร์สะกิดแบงค์ที่หลับอยู่คาคีย์บอร์ดของร้าน "แบงค์ๆ ตื่นโว้ย กูเอาสเปคงานมึงมาให้แล้ว.."

 สักพักแบงค์จึงตื่นและหลับต่อ ส่วนเดียร์นั่งเปิดอินเตอร์เน็ทเล่นไปเงียบๆ เข้าไปหาข้อมูลเพื่อทำงาน สักพักก็มีข้อความส่งมาถึงเขาทางmsnเดียร์จึงกดดู
 
            วิน:จำเราได้หรือเปล่า
         เดียร์:ใครครับนี่
             วิน:วินที่เคยมีเรื่องกันตอนนั้น
          เดียร์:อ๋อ แล้วเป้นยังไงบ้างหลังจากวันนั้น
             วิน:เออ จะขอโทษตั้งหลายทีแล้ว วันนั้นใจร้อนไปหน่อย
           เดียร์:ไม่เป็นไร
 จากนั้นทั้งคู่ก็พูดคุยกันปรากฏว่าวินได้อีเมล์ของเดียร์มาจากในเว็บแห่งหนึ่ง และก่อนที่วินจะออฟไลน์ไป ได้บอกข่าวสำคัญกับเดียร์อย่างหนึ่ง

           "เมื่อวานกูเพิ่งโดนสวนไป แม่งแรงชิบหาย มึงระวังไว้ให้ดี กูว่ามันวิ่งกับมึงสบายๆเลยล่ะ"
     เดียร์ถามไปว่าเป็นรถอะไร ได้คำตอบกลับมาว่า
 
           "3ประตูสีบรอนซ์ล้อดำ เครื่อง20 ของเต็มมาก เห็นว่าเพิ่งทำเสร็จนะเลยไม่ค่อยมีข้อมูล รู้สึกเป็นรถนครปฐมด้วย มึงอยู่แถวนั้นเดี๋ยวคงได้เจอมัน แม่งสับ2ก็ขึ้นกูแล้ว ยังไม่ทัน3เลยแม่งตบเข้าหน้ากูแล้วฉีกหายไปเลย โอเค ดึกแล้วไปก่อนล่ะบาย.."

             นั่นคือข้อความที่วินทิ้งเอาไว้ก่อนจะออฟไลน์ไป

             เดี๋ยวคงได้เจอกัน เดียร์คิด...
Title: Re:Living on A Prayer....
Post by: Yai_GuMP on November 29, 2004, 05:50:53 am

                    หลังจากนั้นอีกหลายวันแบงค์กระหืดกระหอบวิ่งขึ้นมาหาเดียร์
บนห้องเรียนตอนเลิกเรียนแล้ว
 "เออ แบงค์ ทำไมไม่มาเรียนวะวันนี้ โทรไปตั้งหลายทีก็ปิดเครื่อง แล้วมาตอนนี้มาทำห่าอะไรวะ"
 แบงค์บอกว่าเมื่อคืนตัวเองกลับมาดึกมาก เลยนอนยาวเป็นตายอยู่ที่บ้าน เมื่อเดียร์ถามว่าไปทำอะไรดึกดื่น

        "มึงฟังกูก่อนสิวะ เมื่อคืนกูไปดูเชงมา แม่งตำรวจจับเว่ย.."เดียร์ไม่ตื่นเต้นเท่าไหร่ บอกไปว่า มันก็เป็นปกตินี่ ตำรวจมาไล่บ่อยๆ
        "มันไม่แค่ไล่ดิมึง นี่เอาสิบล้อมาปิดเหมือนที่แจ้งเลยนะเว่ย เชี่ย กูกลับพอดีเลยห่า เลยรอดมาได้ แล้วหลบอยู่ตั้งนานกว่าจะรอจนโล่งแล้วค่อยวกขับกลับมาได้"
         "คนโดนจับเพียบเลยนะเว่ย  ...ส่วนกูโคตรซวย..
   
          "อะไรนะ ก็มึงหนีรอดมึงจะซวยห่าอะไรวะ"

          ก็แม่งมีซูปร้าสีดำTarga จะมาเล่นกับกูให้ได้ตอนขึ้นทางด่วน กูโบกมือแล้วนะว่าไม่เล่นๆปาดไปปาดมา สุดท้ายพี่แกยกปืนมาจ่อ กูเลยรีบตบออกทางลงตรงยมราชเลย  กะว่าจะลงพระราม4 หลอนเหี้ยๆ แม่งยังตามมาอีก กว่าจะหนีถึงบ้านได้ กูว่ากูไม่ได้ไปกวนตีนอะไรมันนะ"
         
          "อะไรวะ!!!.."   .ซูปร้าสีดำ แถมตัวtargaที่เดียร์รู้จักมีคันเดียวเท่านั้น เมื่อถามว่าสติกเกอร์ข้างหลังแปะว่าอะไร แบงค์ตอบมา ก็ตรงกับคันที่เดียรืรู้จักจริงๆ

           มันจะเล่นแบงค์ทำไมวะ มันรู้จักพวกเราด้วยเหรอ มันรู้แล้วเหรอว่าเรารอด  อะไรกัน มันกำลังจะเล่นอะไร?

      ทั้งหมดนี้คือคำถามที่วนเวียนผุดขึ้นมาบนหัวเดียร์ขณะขับรถกลับหอที่มหาวิทยาลัย  

      ทั้ง2คนแวะพักที่ปั๊มใหญ่กลางทาง ซื้อกาแฟและขนมกินเล่นนั่งสูบบุหรี่สักพักจึงเดินทางต่อ

            เดียร์ขับCrxนำหน้า แบงค์ขับR34ตามหลังห่างๆ โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่ามีผู้ร่วมเส้นทางขับตามหลังมาอีกกลุ่มเบ้อเร่อ

 
              เมื่อถึง4แยกนครชัยศรี  มีรถจอดติดไฟแดงอยู่คันหนึ่ง เป็นรถHonda Jazzสีขาวป้ายแดงน่ารักๆ จอดอยู่ขวามือสุดใส่ชุดแต่งและท่อตามสมัยนิยม เดียร์เข้าเลนซ้ายสุด แบงค์เห็นดังนั้นจึงหักออกขวาเข้าเลนกลางไปเทียบข้างเดียร์

     แบงค์พ่นควันบุหรี่ออกทางกระจก และมองไปทางรถแจ๊ส ประมาณว่าสวยดี แต่ก็สะดุดตากับคนขับที่เป็นหญิงสาวหน้าตาดี ผมยาวกำลังโน้มตัวเก็บของมาทางด้านฝั่งคนนั่น เมื่อเธอเงยหน้าเห็นแบงค์ชายหนุ่มในรถสปอร์ตกำลังมองอยุ่ เธอทำท่าไม่ชอบใจนัก

     พอไฟเขียว รถแจ๊สเทคตัวออกไปก่อนเสียงยางบดถนนดังลั่นเป็นเสียงยาวโหยหวน เดียร์กับแบงค์อ้าปากค้าง บุหรี่ตกใส่ตัก อุทานพร้อมกัน  

              "เครื่องเหี้ยไรวะ!!"

     แล้วต่างคนต่างก็รีบกระชากเกียร์ตามไปดูแจ๊สคันนั้นห่างๆ เดียร์เหี่ยวไปก่อนคนแรก เพราะแจ๊สเทคออกไปไกลกว่าจะตามขึ้นทันสำหรับเครื่องแค่1600เทอร์โบ  แต่แบงค์กดตามขึ้นไปอย่างสบายๆด้วยพลังของRB26Dett แต่แค่ตามห่างๆด้วยมารยาท ไม่ได้จี้จนน่าเกลียด

      พอถึงมหาลัย ปรากฏว่าแจ๊สคันนั้นขับวกเข้าหอพักหน้ามหาลัย  แบงค์รีบจอดรถและเดียร์ตามมา ทั้งคู่รีบเดินลงจากรถด้วยอาการตื่นเต้น เพราะไม่เคยเจอรถเล็กเครื่องแรงขนาดนี้มาก่อน

       "ขอโทษครับ ไม่ทราบว่ารถคุณเครื่องอะไรครับ"แบงค์เดินเข้าไปถามอย่างเก้ๆกังๆ

   เด็กผุ้หญิงซึ่งเป็นคนขับ หน้าตาคะเนอายุประมาณเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัย ทำหน้าเชิดๆ ตอบโดยไม่มองหน้าว่า

        "13Bมั้งพี่"....เดียร์กับแบงค์มองหน้ากันทำหน้าบู้...

    "เอาจริงๆดิคับ อยากรู้จริงๆ ทำไมมันวิ่งดีแบบนี้"

     เด็กสาวคนนั้นหันมาต่อว่าแบงค์ ว่าอย่าคิดว่ารถตัวเองแรงแล้วจะมาล้อเล่นกับคนอื่นแบบนี้ "รถคุณหากคิดจะกดก็ทิ้งรถชั้นไม่เป็นฝุ่นอยู่แล้ว อย่ามาดูถูกกันเลย"
   
      ทำเอาแบงค์ต้องรีบแก้ตัวเป้นการใหญ่ว่าไม่ใช่อย่างที่คิด เมื่อเฉไฉพูดคุยและเห็นท่าทีที่ไม่มีพิษมีภัยของเดียร์และแบงค์ เด็กผู้หญิงคนนี้จึงมีท่าทีผ่อนคลายลง วางของในมือลงบนหลังคารถ และเริ่มพูดคุยหลังจากทั้งสองแนะนำตัวเอง

      "เราชื่อเอม อยู่อักษรปี4 ส่วนรถเนี่ย เพิ่งทำเสร็จ วางตั้งร่วมครึ่งปี"เอมพูดพลางเปิดฝากระโปรงรถให้พวกเดียร์ดู
 
 เดียร์กับแบงค์มองหน้ากันเพราะนึกว่าแค่ปี1 และวาง วางอะไร ยังงงๆ...

       ทั้งคู่แทบช็อค เมื่อเครื่องที้เปิดออกมาคือK20Aฝาแดงแถมมีเทอร์โบเล็กๆเป็นไลท์เทอร์โบพ่วงอยู่ด้วย สภาพเครื่อง เหมือนกับถูกโมดิฟายมานานพอสมควรแล้ว
 
       "เป็นเครื่องที่พี่ชายส่งมาให้จากอเมริกา เขาบอกว่าเป็นผู้หญิงขับรถอันตรายถ้าเกิดเจอพวกรถซิ่งมาแกล้ง จึงให้เครื่องที่มีกำลังมาขับ เวลาเกิดเหตุอะไรจะได้หนีได้"

         เดียร์ดูแล้วไม่ค่อยเข้าใจเครื่องตัวนี้เท่าไรนักแม้เขาจะเล่นวีเทคเทอร์โบอยุ่ก็ตาม เพราะไม่เคยสัมผัสเครื่องตัวนี้เลย
ได้แต่ขับเผินๆเป็นK20Aฝาดำเกียร์ออโต้ในรถคนรู้จักเท่านั้นเอง แต่ก็พอดุออกว่ามันถูกแต่งโดยใช้ของที่เป็นชุดคิตจากสำนักแต่งมีชื่อ คงหวังผลเรื่องความคงทน เพราะยังไงผู้ใช้ก็คือเด็กผู้หญิงที่อาจรักษารถไม่เก่งเท่าผู้ชาย  ถึงกล่องECUจะเป็นกล่องแต่งที่มีมาในชุดคิท แต่ก็ไม่วายมีกล่องE-Manageพ่วงมาอีกใบ ซึ่งตรงนี้เอมบอกว่าพอนำมาใช้ที่เมืองไทย ค่าออกเทนต่างกัน ต้องใช้กล่องPiggybackช่วยให้เนียนขึ้น

          เมื่อพูดคุยกันสักพัก เดียร์กำลังจะบอกว่าตัวเองเรียนคณะอะไร แต่เอมกลับบอกว่ารู้จักทั้งคู่อยู่แล้ว รถทั้งสองคน ใครไม่รู้จักก็บ้า เสียงดังสนั่นทั้งมหาลัย และบอกว่า

           "เราก็เคยเรียนห้องเดียวกับพวกเธอ วิชาWestern Art มันเรียนรวมหลายคณะ เรายังจำพวกเธอได้ แต่เธอ2คนจำเราไม่ได้สักคน ถ้าเราไม่ได้ขับรถแต่ง เธอก็คงไม่สนใจชั้นเลยใช่มั้ยล่ะ "  ประโยคนี้เล่นเอาพวกแบงค์หน้าชาไปเลยทีเดียว

             เมื่อพูดคุยกันได้สักพัก เอมก็ขอตัวขึ้นหอพักไปก่อนเนื่องจากมืดแล้ว ยืนคุยกับผู้ชาย กลัวจะดูไม่ดี ทั้งคู่เลยกลับออกมาจากหอพักของเอมเพื่อเข้าหอของตนบ้าง

              ขณะเลี้ยวรถออกมาจากซอยหอของเอม  แบงค์ก็เห็นไฟหน้าของรถอีกคันหนึ่งสวนเข้ามาในซอย เป็นรถกระบะ แบงค์รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล  รีบเข้าเกียร์ถอยหลังกระแทกคลัทซ์หลบฉาก  ปรากฏว่ารถกระบะคันนั้นเร่งเครื่องขึ้นมาชนิดที่เรียกว่าตั้งใจชน ถ้าแบงค์ไม่ถอย กันชนหน้าUrasD1ของแท้ คงกระจุยไปซะแล้ว

 "อะไรวะ!!..." แบงค์เปิดประตูเดินลงจากรถด้วยความโมโห และเดินไปหารถกระบะคันนั้น ปรากฏว่าโดนชกสวนกลับมา แต่แบงค์หลบได้ เดียร์รีบวิ่งมาดุว่าเกิดอะไรขึ้น

                ชายคนที่ลงจากกระบะคนนั้นเดียร์รู้สึกคุ้นตา  ลงมาโวยวาย

  "พวกมึงยังไม่เลิกยุ่งกับเอมอีกเหรอ ผู้หญิงเขาไม่เล่นด้วย อย่าไปตอแยสิวะ"

   แล้ววิ่งมาจะเข้าไปชาร์จทันที แบงค์ยกมือขึ้นห้าม และบอกว่า"ตอแยอะไรวะ เพิ่งจะได้เจอกันเองเนี่ย"

  อีกฝ่ายจึงหยุด และถามไถ่ ได้ความว่า ฝ่ายที่เข้ามาบุกก่อนนี้ อยู่ในช่วงที่กำลังทำคะแนนเพื่อจีบเอม  และช่วงที่ผ่านมา มีพวกขับรถแต่ง เข้ามาวอแวด้วยและท่าทางไม่น่าไว้ใจ  ตนจึงต้องคอยระวังดูแล
 
       "พี่ต้องขอโทษจริงๆนะครับ ที่บุ่มบ่ามเข้ามาก่อน ถ้าเกิดชนรถแบงค์ไปนี่ แย่เลยนะครับเนี่ย"
 
     เดียร์และแบงค์เมื่อเห็นท่าทางของพี่ชายคนนี้ที่ดูอัธยาศัยดี ก็คลายความตึงเครียดลง และเริ่มพูดคุยกัน

      และพี่ชายคนนี้แนะนำตัวเอง ว่าชื่อก้อง อยู่ปี3แต่จริงๆแล้วเป็นรุ่นพี่ต่างคณะของทั้งเดียร์และแบงค์เนื่องจากมีการย้ายคณะ ชั้นปีจึงลดลง

      พี่ก้องบอกว่าตัวเขาเองก็สนใจการแต่งรถเช่นกัน และชมทั้งสองคนว่ารถสวย

      เมื่อจะแยกย้ายกันกลับ
 
           เดียร์นึกขึ้นได้ จึงตะโกนถามพี่ก้องที่ขึ้ืนไปบนรถกระบะเพื่อนเขาผ่านทางกระจก  "แล้วพี่ขับรถอะไรอยู่เหรอครับ"

            "อ๋อ พี่ขับ3ประตูครับ " แล้วกระบะก็เคลื่อนตัวออกไปจากบริเวณนั้น

           เดียร์นึกถึงประโยคต่างๆที่วินพิมพ์ส่งมาทางMsn

          "3ประตู สีบรอนซ์ ล้อดำ....." เดียร์พึมพัมอยู่ในใจ ขณะที่แบงค์นั่งฝันหวานถึงน้องเอมที่อยุ่บนหอ

Title: Re:Living on A Prayer....
Post by: Yai_GuMP@ซิตี้พันม้า on November 29, 2004, 05:53:31 am


         เช้าวันต่อมา เดียร์นอนหลับสบายอยู่บนที่นอน ลมพัดผ่านเข้าทางหน้าต่างบานใหญ่ อากาศเย็นสบายของเดือนพฤศจิกายน ทำให้เมื่อคืนเดียร์ไม่เปิดแอร์ เปิดแต่พัดลมเอื่อยๆ  แดดอ่อนๆตอนเช้าพาดเข้ามาในห้องนอนเป้นริ้วๆ ผ่านผ้าม่านที่ตอนนี้ปลิวไปมาเพราะแรงลม

     แต่สิ่งที่ปลุกเขาไม่ใช่แสงแดดอุ่นๆ แต่เป็นเสียงโทรศัพท์ในห้องนอนของเดียร์ มันดังขึ้น  เดียร์คว้ามากดรับอย่างรวดเร็วตามนิสัยเกลียดเสียงโทรศัพท์ของเขา และก็แปลกใจเมื่อปลายสายเป็นเสียงผู้หญิงที่ไม่คุ้นเคย

     "สวัสดีค่ะ นั่นเดียร์หรือเปล่าคะ?" เดียร์คิดในใจว่าคงโดนตอง
เพื่อนสาวของเขาแกล้งอำแน่ๆ
 "อะไรวะ ตอง มาอำอะไรแต่เช้าเลย"
     "ไม่ใช่ค่ะ นี่เอมเอง...แหม เอ่ยชื่อสาวๆมาก่อนเลยนะ ยังหลับอยู่เหรอ งั้นไม่กวนล่ะ"เดียร์รีบลุกและทำน้ำเสียงกระตือรือร้นขึ้นมาทันที

      "อะแฮ่ม..ไม่หรอกๆ คุยได้ๆ มีอะไรเหรอเอม แล้วเอาเบอร์เรามาจากไหนเนี่ย"

      เอมบอกว่าเห็นรถเดียร์จอดอยู่ที่หอนี้ เลยโทรเข้าที่หอแล้วถามเบอร์ห้องเจ้าของรถคันนั้น ซึ่งก็คือเดียร์
      "เป็นผู้หญิง เขาเลยไม่คิดว่าจะมีปัญหามั้ง"

       และเอมก็พูดถึงเรื่องเมื่อคืนที่พี่ก้องเข้าไปวุ่นวายซึ่งเดียร์ก็บอกว่าไม่มีอะไรหรอก คุยกันเข้าใจแล้ว

       "เดียร์ พี่ก้องบอกว่าอยากลองรถด้วยหน่อยน่ะ"


             
                                                        ...................................To be continued
Title: Re:Living on A Prayer....
Post by: Webmasturbation on November 29, 2004, 10:12:12 am

จุใจ แต่ยังไม่พอครับ

อยากอ่านต่อ

สนุกดีครับ

 :)
Title: Re:Living on A Prayer....
Post by: Win_GuMP on November 30, 2004, 04:02:35 am
มันส์ หยด ติ๋ง เรื่อง เราว เริ่ม เข้ม ข้น

เขียนต่อเร็วๆจิ หุ หุ  ;D
Title: Re:Living on A Prayer....
Post by: *Aee-ViPeR-MR2* on December 01, 2004, 02:16:16 pm
เอ่อออออออ พี่หย่าย จบแอบ ฮ้วนๆเลยอ่าพี่ เฮ้ยยยยย อยากอ่านต่อโคดๆเอามาลงหั้ยไวนะพี่  ;D ว่าแต่ตัวละครใหม่ >>>พี่ก้อง ขับ 3 doors สีบรอนซ์ นี่ พี่ก้องที่รู้จักป่ะเนี่ยยยย  ;D ไหนตัวละครชื่อวินอีก  ;D กั่กๆๆ
Title: Re:Living on A Prayer....
Post by: dori on December 11, 2004, 08:14:30 pm
R33 หรือ R34 กันแน่อะครับ งง ???
Title: Re:Living on A Prayer....
Post by: black_sprinter on December 13, 2004, 11:28:26 pm
พี่ก้อง ...เหอๆ เอาตัวละคร มาจากชีวิตจริงนี่นา... กลับมาต่อเร็วๆน๊า
ทิสีส ให้ช่วยไรก้อบอกล่ะ พี่ชายย..
Title: Re:Living on A Prayer....
Post by: Win_GuMP on December 14, 2004, 04:09:37 pm
เอ่อออออออ พี่หย่าย จบแอบ ฮ้วนๆเลยอ่าพี่ เฮ้ยยยยย อยากอ่านต่อโคดๆเอามาลงหั้ยไวนะพี่  ;D ว่าแต่ตัวละครใหม่ >>>พี่ก้อง ขับ 3 doors สีบรอนซ์ นี่ พี่ก้องที่รู้จักป่ะเนี่ยยยย  ;D ไหนตัวละครชื่อวินอีก  ;D กั่กๆๆ
[/quote

ต่อไป มี เอ๋ แน่เลย อิอิ  ;D   ;D
Title: Re:Living on A Prayer....
Post by: *Aee-ViPeR-MR2* on December 14, 2004, 09:55:12 pm
เอ่อออออออ พี่หย่าย จบแอบ ฮ้วนๆเลยอ่าพี่ เฮ้ยยยยย อยากอ่านต่อโคดๆเอามาลงหั้ยไวนะพี่  ;D ว่าแต่ตัวละครใหม่ >>>พี่ก้อง ขับ 3 doors สีบรอนซ์ นี่ พี่ก้องที่รู้จักป่ะเนี่ยยยย  ;D ไหนตัวละครชื่อวินอีก  ;D กั่กๆๆ

ต่อไป มี เอ๋ แน่เลย อิอิ  ;D   ;D
Quote
แว๊กกก ไม่จิงอ่ะพี่วิน ไม่มีหรอก  ;D นะๆๆ[/b]
Title: Re:Living on A Prayer....
Post by: Yai_GuMP on December 16, 2004, 02:51:28 pm


      โอ๊~~~ผิดๆๆ

     แบงค์ต้องขับR33ดังที่ตั้งใจไว้ครับ  เขียนแล้วมึนๆขอโทษครับ

     
     เอาน่า ตัวละครนึกชื่อไม่ออก ก็ยืมๆเอาแถวนี้ละกัน แหะๆ

 
Title: Re:Living on A Prayer....
Post by: Yai_GuMP on January 27, 2005, 04:52:49 am
      บรรยากาศในมหาวิทยาลัยที่เดียร์คุ้นเคยมาหลายปี วันนี้ทำไมทำให้เขารู้สึกอึดอัดและอึมครึมเช่นนี้ก็ไม่ทราบได้ เดียร์รู้สึกแปลกใจและตื่นเต้นหลังจากที่ได้รับโทรศัพท์จากเอมเมื่อเช้า เรื่องแรกคือเรื่องที่มีรถซีวิคที่วิน บอกว่าสามารถเก็บเขาได้อย่างสบายๆ เรียนอยู่ที่เดียวกับเขานี่เอง และเรื่องที่สองคือแบงค์ดันไปสนใจผู้หญิงคนเดียวกับเจ้าของซีวิค3ประตูคันนั้นเสียอีก เรื่องราวลุกลามมาจนทำให้เขาต้องลองวิ่งกับ3ประตูคันนั้นในคืนนี้อย่างเลี่ยงมิได้ เพราะแบงค์ขอร้องเนื่องจากอยากเจอกับเอมอีกครั้ง และดูเหมือนแบงค์อยากให้เดียร์ได้แข่งเพราะมั่นใจว่าเดียร์จะชนะและเป็นการข่มพี่ก้อง เจ้าของ3ประตูคันนั้นด้วย ซึ่งเดียร์ไม่ชอบใจกับไอเดียนี้เท่าไหร่แต่ก็จำใจ
           ที่บรรยากาศในมหาวิทยาลัยวันนี้ดูไม่ดีคงเพราะเหมือนกับมีคู่ต่อสู้ของรถเขาอยู่ในสถานที่เดียวกันเพียงแต่ไม่เห็นหน้ากัน
ละมั้ง เดียร์คิดระหว่างดูดโอเลี้ยงอึกสุดท้ายลงท้อง และเหม่อมองไปที่เจ้าCRXสีดำทะมึนที่จอดโชว์อินเตอร์คูลเลอร์สงบอยู่ใต้ต้นกร่างบริเวณโรงอาหารของมหาวิทยาลัย

    วันนี้CRXดูแปลกๆในเงามืดของร่มไม้ มันดูเครียดและจริงจังกว่าทุกวัน เดียร์ก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกนี้ ว่าเขาไม่อยากวิ่งคืนนี้เลย เขาหยิบโทรศัพท์กดไปหาแบงค์และบ่นถึงเรื่องนี้ แต่แบงค์ที่กำลังเดินลงจากตึกเรียนกลับบอกเดียร์ให้คิดเป็นเรื่องง่ายๆไปเสีย

     "มึงคิดว่ารถเขาจะวิ่งดีกว่ารถมึงเหรอวะ ไอ้บ้า เอาน่าวิ่งขำๆไป มึงค่อยๆขับ เขาก็ขึ้นมึงไม่ได้แล้ว"
 เดียร์วางโทรศัพท์ไปเพราะดูอารมณ์แบงค์แล้วพูดยังไงก็คงไม่มีอะไรดีขึ้น เขาคิดว่าน่าจะกลับไปที่หอพักและเช็ครถของตัวเองให้พร้อมเสียหน่อยดีกว่าในการวิ่งคืนนี้
Title: Re:Living on A Prayer....
Post by: Yai_GuMP on January 27, 2005, 04:54:07 am
ในอู่ซ่อมรถแห่งหนึ่งที่ไม่ไกลจากหน้ามหาวิทยาลัยมากนัก มีรถคันหนึ่งถูกยกหน้ารถลอยเอาไว้ ข้างใต้มีช่างประจำอู่คนหนึ่งกำลังมุดลงไปทำไขๆอะไรซักอย่างข้างใต้ และชายคนที่ยืนสูบบุหรี่อยู่ข้างรถ มองดูช่างทำงานอย่างใจเย็น  จะเป็นใครไปเสียไม่ได้นอกจากเจ้าของรถ

          "ได้ฟลายวีลอันนี้ไป รับรอง นรกแน่มึง ไอ้ก้องเอ๊ย" เสียงเจ้าของอู่ตะโกนหยอกเจ้าของรถ3ประตูคันที่ถูกขึ้น3ขาคันนั้นอย่างอารมณ์ดี

           "โห่ พี่ แต่ทางนู้นยังไงเขาก็เทอร์โบนะ จะแรงแค่ไหนก็ไม่รู้ จริงๆอยากทำเยอะกว่านี้นะ แค่เปลี่ยนฟลายวีล ยังไม่มั่นใจยังไงไม่รู้อ่ะพี่"ก้องตอบด้วยคำพูดถ่อมตัว แต่สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจ

          การเปลี่ยนฟลายวีล นักเล่นรถหลายคนคงเคยได้ยินและเคยทำมาบ้าง หลายคนเข้าใจว่า ยิ่งเบา ยิ่งดี ความคิดนี้ถูกต้อง แต่ไม่ทั้งหมด ฟลายวีล ชื่อไทยคือล้อช่วยแรง แต่มันก็กินแรงเครื่องเหมือนกันในการหมุนมัน

  ขอพูดย่อๆว่าในรถNAที่ไม่มีระบบอัดอากาศ ฟลายวีลยิ่งเบายิ่งเป็นผลดี เนื่องจากโหลดเครื่องไม่เยอะ เครื่องทำงานได้เต็มที่ ต่างจากรถเทอร์โบ ที่หากเบามากจนเกินไปจะหลายเป็นผลเสีย คือ รอบเครื่องกวาดเร็วมาก แต่รถไม่สามารถไปถึงแรงม้าสูงสุดในแต่ละเกียรืได้ทัน เนื่องจากรอบกวาดเร็วเกินไป ไม่มีแรงบิดที่จะนำพาเครื่องไปสู่แรงม้าสูงสุดนั่นเอง

           สิ่งที่ช่างกำลังใส่ลงไปในรถก้อง คือฟลายวีลไทเทเนี่ยมยี่ห้อTODAที่คนเล่นฮอนด้าหลายคนใฝ่หามาในครอบครอง น้ำหนักของมัน เพียง3.5กิโลกรัม เทียบกับของเก่าที่เคยใส่คือฟลายวีลของB16Bที่หนัก8กิโลแล้ว มันคงปล่อยม้าให้วิ่งได้เต็มตีนกว่า

           "ทางนู้นจะทำอะไรมามั่งนะ อยากรู้จริงๆ"นี่คือความคิดของก้องในขณะนั้น

Title: Re:Living on A Prayer....
Post by: Yai_GuMP on January 27, 2005, 04:56:18 am
             เสียงโทรศัพท์ของเดียร์ดังขึ้นหลังจากที่เดียร์ทานข้าวเย็นเสร็จพอดี คือตอน3ทุ่มนิดๆ เป็นโทรศัพท์ของเอมโทรเข้ามาหาเดียร์เพื่อนัดเวลาที่เดียร์จะมาเจอกับพี่ก้อง นั่นคือเวลาเที่ยงคืน ที่หน้าร้านเซเว่นอีเลฟเว่นในมหาลัย เอมอยากให้ทั้งคู่ได้ลองมานัั่งคุยในบรรยากาศสบายๆกันก่อน จะได้ลดความตึงเครียดลงบ้าง ซึ่งเดียร์และพี่ก้องก็เห็นด้วย "ไม่อยากให้รู้สึกเหมือนต้องเอารถมาฆ่ากัน"พี่ก้องพูดด้วยน้ำเสียงตลกๆแทรกขึ้นมาระหว่างที่เอมพูด

              เมื่อถึงเวลานัด เดียร์และแบงค์มาถึงที่นัดเกินเวลาไปนิดหน่อย เห็นพี่ก้องและเอม นั่งรออยู่แล้ว หลังจากทักทายกันเสร็จ ก็พูดคุยเรื่องทั่วๆไปสักพัก จากนั้นจึงเข้าเรื่องรถของทั้งคู่ว่าใครทำอะไรไปบ้าง

   "ของผมไม่มีอะไรเลยพี่ เทอร์โบลูกนึง กล่องใบ ปะเก็น แต่ทำไส้แล้วแค่นั้นเอง" โหนั่นก็เยอะแล้วนะเว่ย พี่ก้องโวยวาย

    "ส่วนของพี่ก็ 20เดิมๆเลยครับ"คำพูดนี้เรียกเสียงโห่จากเดียร์และแบงค์ได้อย่างสนุกสนาน

    "กล่องไรพี่"
   
    "กล่องเดิมครับ"

    "ไม่ถูกต้องแล้วมั้งงงง บอกมาซะดีๆ "

    "อ้า กล่องเดิมแหละครับ แต่ทำรอม"

    "โฮ่ ค่อยฟังดูดี"

    แบงค์รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เมื่อเห็นเดียร์คุยกับพี่ก้องอย่างสนุกสนาน และเอมก็ร่วมวงสนทนาด้วยความรู้เรื่องรถที่อาจไม่มากแต่ก็ซึมซับมาเยอะจากทั้งพี่ชายตัวเองและพี่ก้อง   ทำให้แบงค์ไม่ค่อยชอบใจนัก

    "ถึงเวลาแล้ว ไปวิ่งเหอะ กูอยากดูแล้ว" พี่ก้องหันมาบอกเดียร์ว่าไปเลยก็ดีเหมือนกัน  แต่เดียร์ยังอิดออดเล็กน้อย

   "เดี๋ยวดิ เวลานี้หน้าถนนใหญ่รถยังเยอะอยู่นา"

   "ตี2แล้ว ไม่มีรถแล้ว มึงบ้าเหรอ ไปๆๆ"เดียร์ค่อยยอมลุกเดินตามแบงค์ไป

               

                 เดียร์นั่งในรถ บิดกุญแจสตาร์ท แชะ..ไม่ติด แชะ..ไม่ติดอีก คราวนี้เหยียบคันเร่งช่วย สตาร์ทอีกครั้ง คราวนี้ติดเป็นปกติ สงสัยอากาศเย็น เดียร์คิด พลางเหลือบมองไปที่เข็มวัดบูสต์เพื่อเช็คแวคคั่ม ปกติ เขาเหยียบคลัทซ์และขยับคันเกียร์ ขับตามรถพี่ก้อง ออกจากมหาลัยไป สู่ถนนใหญ่ ซึ่งเป็นทางตรงยาว3เลน พี่ก้องพาวนเพื่อดูทางวิ่ง และทางกลับรถ  "ยูเทิร์นนึงคงซัดได้หมด5เกียร์สบายๆ ยาวมากเลย"เดียร์บ่นคนเดียว ถึงแม้เขาจะขับผ่านถนนเส้นนี้เป็นร้อยเป็นพันครั้ง แต่เขาไม่เคยสังเกตว่ายูเทิร์นตรงนี้จะยาวขนาดนั้น

              เมื่อวนกลับมาอีกรอบ ทั้ง2จะติดไฟแดงพอดีที่ปล่อยจาก4แยก(อธิบายลำบาก ช่างมันเหอะนะ) ทั้งคู่ตกลงว่าจะใช้สัญญาณไฟจราจรเป็นตัวปล่อยรถ

              แบงค์ขับรถของเขามาจอดไว้กลางๆทาง กะระยะที่เขาคิดว่าน่าจะเป็นจุดเปลี่ยนที่จะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งขึ้นนำ ยืนอยู่กับเอม

              เมื่อตั้งลำรถได้แล้ว จะมีเวลาชั่วครู่หนึ่งให้ได้ทำสมาธิและเบิ้ลรอบออกตัว เดียร์เอื้อมมือไปกดปุ่มE01ไปสู่โหมดเรซซิ่ง เพื่อเปลี่ยนอัตราบูสต์และการจ่ายน้ำมันของกล่อง ให้พร้อมกับการแข่ง และเริ่มเร่งรอบค้างไว้ที่4500รอบ  

               ส่วนก้อง เมื่อยกมือไหว้พระเสร็จแล้ว ก็ขยับมือซ้ายเตรียมในท่าที่จะสับเกียร์ลง2ไว้ก่อน และขยี้คันเร่งย้ำรอบเครื่องเอาไว้

         ไอ้เดียร์ทำไมมันออกรอบสูงจังวะ แบงค์ถึงกับอุทานออกมาเมื่อได้ยินเสียงรอบเครื่องของเดียร์

         มันคิดห่าอะไรวะเนี่ย

          ส่วนเอมก็ยืนทำหน้าตื่นเต้นอยู่ข้างๆ ไม่ได้พูดอะไร

      เวลาเพียงไม่กี่วินาทีที่ทั้ง2นั่งอยู่ในรถ ตาจ้องไปที่เสาไฟสัญญาณจราจรที่ตอนนี้เป็นสีแดง เดียร์จ้องมันจนเหมือนจะนับได้ว่าในโคมนั้นมีหลอดLEDอยู่กี่หลอด เช่นเดียวกับก้องที่รู้สึกว่าทำไมในรถมันช่างร้อนระอุขนาดนี้

       ทันทีที่รถบรรทุกจากฝั่งขวามือจากสี่แยกคันหนึ่งชะลอและเบรค ทั้งคู่รู้ทันทีว่าต้องเพ่งสมาธิเข้าไปอีกเพราะนั่นคือสัญญาณไฟเขียวกำลังจะมาแล้ว และก็เป็นเช่นนั้น

      เมื่อไฟเขียวสว่างวาบขึ้น ผู้ที่ปล่อยคลัทซ์ดีดตัวรถออกไปก่อนคือก้อง พอปล่อยเสร็จก้องขยี้คันเร่งสวนลงไปทันที เสียงยางโหยหวนไปทั่ว พร้อมกับตัวรถที่ดีดพุ่งขึ้นนำหน้ารถเดียร์ไปก่อนด้วยพละกำลังของลิมิเต็ดสลิปชั้นดีที่ไม่ทำให้รถเป๋ไปมาต้องมานั่งแก้
อาการให้เสียเวลา

      ทางฝ่ายเดียร์ออกตัวช้ากว่าก้องไปนิดเดียวเพียงชั่วไม่ถึง1วินาที เขาเห็นหน้ารถของก้องผ่านด้านซ้ายของรถเขาขึ้นไป เดียร์พยามไม่หันไปมอง แต่จับจ้องตาอยู่ที่เข็มวัดรอบ และหูคอยฟังเสียงยาง  ถึงแม้ลิมิเต็ดสลิปของเขาจะไม่ดีเท่าก้อง แต่ด้วยยางชั้นดีที่เพิ่งเปลี่ยนมาใหม่ และแม็กขอบ16ที่ใหญ่กว่าของก้อง หน้าสัมผัสมากกว่า ทำให้การออกตัวไม่ด้อยไปกว่ากัน เพียงแต่เขาออกช้ากว่าและสภาพถนนที่เขาไม่คุ้นเคยทำให้การออกตัวเสียเปรียบเล็กน้อย  

       รอบเครื่องของก้องฟาดไป7500 เสียงแผดสนั่นของระบบวีเทคลั่นออกจากปลายท่อ ฟลายวีลที่เพิ่งเปลี่ยนมา ได้ผลเกินคาด รอบฟาดเร็วมาก จนตั้งตัวแทบไม่ทัน ก้องปล่อยให้รอบไปถึง7800แล้วสับลง2ทันที

       ทางด้านเดียร์เมื่อรู้ว่าตัวเองออกตัวด้อยกว่า ก็คิดว่าต้องสู้ที่ความเร็วในการสับเกียร์ล่ะ แรงบูสต์ของเทอร์โบ ดันให้รอบเครื่องของเดียร์ฟาดไปอย่างมีพลังและดันรถของเดียร์จิกตูด3ประตูขึ้นไปได้สบาย รอบเครื่องไหลไปเรื่อยๆอย่างรวดเร็ว7200 7500 อีกนิดน่า ขึ้นไปให้ได้อีกหน่อย ขณะนี้เดียร์กำลังจะขึ้นเทียบหัวกับ3ประตูได้ เขาพยามดันรถให้นำขึ้นไปได้อีกหน่อยด้วยรอบเครื่องที่เหลืออยู่เพียง2-300รอบเท่านั้น เพื่อที่เวลาสับเกียร์แล้วรถจะได้ดันต่อได้ ...
Title: ...OVER 8000.RPM....
Post by: Yai_GuMP on January 27, 2005, 04:58:26 am
              7800!!  นั่นคือตัวเลขที่ทั้ง2คน รอคอยให้เข็มรอบฟาดไปถึง เครื่องของเดียร์ไม่ใช่เครื่องรอบจัดเป็นนิสัย เมื่อนำมาเซ็ตเทอร์โบเข้าไป ด้วยช่วงชักที่ยาวของมัน ทำให้การลากรอบสูงๆ เป้นการเสี่ยงต่อการ"ก้านขาด" เช่นเดียวกันท่อนล่างB20Bของก้อง ก็เป็นเครื่องนิสัยเช่นนั้น ก้านบางๆนั้นเป็นข้อจำกัดในการใช้รอบ ทั้งสองจึงตั้งเกณฑ์ของเครื่องตัวเองเอาไว้ ว่า8000ตัด สับก่อนนิดนึง                       เพื่อกันไม่ให้รอบตัด

        ก้องสับ2ก่อนเดียร์รถก้องดันหนีเดียร์ขึ้นไป เกียร์ของB16Aทำไมหมดไวจัง เดียร์คิดและ ลากเกียร์1จนกล่องตัด มีแบ๊คไฟร์ออกจากท่อเวสเกตแยกเป็นลูกไฟสว่างวาบเสียงดังปัง!!ออกมา2ลูกแล้วเดียร์จึงสับเกียร์2ตามอย่างรวดเร็ว
ที่เดียร์ทำเช่นนั้นเพราะต้องการให้บูสต์ยังค้างอยู่ในเกียร์ต่อไป เมื่อสับ2ก็เห็นผล รถเดียร์ดันขึ้นไปเสมอกับก้องอีกครั้ง

        เกียร์2เริ่มทำให้ทั้งสองคิดเช่นเดียวกันว่าต้องรีบขึ้นให้ได้ ไม่งั้นโดนแน่

  เวสเกตของเดียร์คายลงพื้น เสียงมันดังสนั่นกระเทือนไปทั่วบริเวณ รถทั้ง2ตีคู่กันมา และก็ถึงจุดเครียดของทั้งสองอีกครั้ง

  ก้องสับ3ก่อนเดียร์อีกครั้งคราวนี้เดียร์ไม่ปล่อยกล่องตัด เมื่อถึงรอบ เขาสับเปลี่ยนเป็นเกียร์3อย่างตั้งใจ และรวดเร็ว เมื่อกดคันเร่งจมลงไปหมด บูสต์มาเต็มเกียร์อีกครั้ง หัวรถเริ่มนำ3ประตู ที่เสียงกำลังแผดอย่างดุดัน แต่ดูเหมือนกำลังของการดูดอากาศเองจะเหนื่อยเมื่อเจอกับรถที่มีเครื่องช่วยหายใจอย่างเทอร์โบของเดียร์

         ก้องเห็นว่ารถตัวเองถูกนำขึ้นไปครึ่งลำแล้ว เขามีความคิดหนึ่งวูบขึ้นมา มือซ้ายที่จับพวงมาลัย เตรียมละไปขยับคันเกียร์สำหรับเกียร์4

          เดียร์เริ่มโล่งอกเมื่อเห็นว่าเขานำขึ้นไปได้ เพราะหลังจาก2เกียร์แรกจะเป็นการวัดฝีมือคนขับ แต่พอเกียร์3แล้วจะเป็นการวัดกำลังเครื่องล้วนๆ สำหรับการแข่งoutlawแบบนี้ เกียร์นี้เอาแค่7500ก็พอ

          แต่รอบเครื่องของเขาใกล้7500เข้ามาทุกที แต่เสียง3ประตูยังไม่เปลี่ยนเกียร์เสียที เดียร์เริ่มรู้สึกไม่ดี

 เมื่อสับเกียร์ที่7500 ทันทีที่สับ รถก้องก็ขึ้นนำรถเขาไปทันที

               มันอะไรกันวะ!!!    เดียร์ร้องอย่างตกใจ ที่รถก้องแซงรถเขาขึ้นไปเหมือนจับหัวรถของเขาไว้แล้ว    ดันขึ้นไปยังงั้นแหละ

             ก้องหัวเราะอย่างสะใจ เกียร์เมื่อกี้ เขาลากไปจนรอบเกิน8000จึงเปลี่ยนเกียร์ เป็นการกระทำที่ฝืนเครื่องของตัวเอง แต่เพียงแค่ครั้งเดียว คงไม่เป็นอะไรมาก

             ก้องลากเกียร์4ยาวไป พร้อมด้วยเดียร์ที่ยังกดแช่ตามอย่างไม่หวังที่จะชนะ เนื่องจากทิ้งเกิน2คันรถแล้ว ถ้าเดียร์กดต่อไป เขารู้ว่ายังไงความเร็วปลายก็ต้องแซงก้องแน่ๆ แต่เราไม่ได้แข่งความเร็วปลาย จึงไม่มีประโยชนือะไร เดียร์ได้แต่ยอมรับว่ารอบนี้เขาแพ้ เมื่อก้องเห็นเดียร์แผ่วลงไป เขาจึงยก และปล่อยรถไหล เข้ายูเทิร์นเพื่อวิ่งอีกรอบ

              รอบกลับนี้ไม่มีสัญญาณไฟปล่อยตัว  พอเทียบแล้ว ต้องกะจังหวะชิงออกเอาเอง รอบนี้เดียร์ออกตัวได้ก่อน ก้องออกตามค่อนข้างช้า ผลที่ออกมาก็คือเดียร์นำอยู่เยอะมากพอสมควร ก้องจึงยกคันเร่งไปเสียก่อน ไปตัดสินเอาอีกรอบหนึ่ง  จุดเปลี่ยนของรอบนี้ คือก้องเป็นนักซิ่งที่ชินกับประสบการณ์แข่งในสนามที่มีการปล่อยตัวด้วยไฟ ชินกับกฏกติกา เพราะรอบตัวคนที่อู่และช่าง ก็เป็นนักแข่งทัวริ่งมาก่อน เขาจึงรับจุดนี้ไป ต่างจากเดียร์ที่มีแต่ประสบการณ์แบบมิดไนท์เรซซิ่งเต็มตัว คือโตมากับ71 ตัดใหม่และบางใหญ่ ซึ่งเป็นสถานที่อัดรถแบบแข่งเถื่อน เข้ายูเทิร์น เทียบหัว ชิงออก วางมิด บังไลน์ เดียร์เจอแต่ประสบการณ์แบบนี้ จึงค่อนข้างสบายใจ ไม่กดดัน เมื่อเจอรอบที่ไม่ต้องดูไฟออก ผิดกับก้องที่ไม่ค่อยมีประสบการณ์แบบMRเท่าไหร่
Title: ...Crash And Burn....
Post by: Yai_GuMP on January 27, 2005, 05:00:31 am

           แบงค์ยืนสูบบุหรี่อย่างตื่นเต้น "อีกรอบนึง" เอมหันมาบอก                     แบงค์พยักหน้ารับ

      รอบที่สามนี้ ทั้งคู่จอดที่ไฟแดงเช่นเดิม และเมื่อไฟเขียวกรากฏ ทั้งคู่ออกตัวพร้อมกัน เดียร์ใช้สมาธิทั้งหมดไปที่เท้าขวาและมือซ้าย ในการเลี้ยงคันเร่งและสับเกียร์  เมื่อเป็นเช่นนั้น รถที่มีแรงบิดและกำลังเหนือกว่า คือรถเดียร์ ก็นำก้องขึ้นไปได้อีกครั้ง

      ก้องใช้วิธีเดิม คือลากรอบเกินอีกครั้ง เพื่อพยามตีขึ้นมาเทียบเดียร์ ซึ่งก็ได้ผลดี เดียร์เห็นเป็นเช่นนั้น จึงลากเต็มเกือบ8000 เป็นผลคือเขาขึ้นนำไปได้อีกครั้งจนถึงเกียร์4ที่กดแช่ไว้ คราวนี้ก้องไม่โดนทิ้ง เดียร์ก็เช่นกัน จะละเท้าจากคันเร่งไม่ได้เด็ดขาด ขยี้มันลงไปอีก...อีก...อีก... แวบหนึ่งเดียร์รู้สึกเท้าขวาเบาๆและเขาเห็นรถพี่ก้องแซงทางซ้ายขึ้นไปนำหน้าเขา เดียร์หูอื้อฟังอะไรไม่รู้เรื่อง มองตามรถพี่ก้องไปอย่างงงๆ  และเมื่อมองมาที่วัดรอบของตัวเอง มันชี้ไปที่8000 เดียร์ลนลานควานหาคันเกียร์เพื่อรีบเปลี่ยนเกียร์ แต่ตากลับเคืองเพราะแสงที่กระพริบจากจอดิสเพลย์ของE01 ตัวเลขบูสต์กระพริบที่1.5บาร์ เดียร์เปลี่ยนเกียร์ แต่รอบเครื่องไม่ฟาดขึ้นไปเหมือนเคย หูของเดียร์เริ่มได้ยินอีกครั้ง มีเสียงดังเหมือนเม็ดทรายกระทบพื้นรถ ดังแกรกกราก ในรถเต็มไปด้วยควันสีขาว ไม่มีเสียงของท่อไอเสีย ไม่มีเสียงของเวสเกต ทั้งที่เขาเหยียบคันเร่งค้างไว้จนจม พวงมาลัยหนักอึ้ง เดียร์แตะเบรค มันแข็งเสียจนนึกไม่ออกว่าครั้งนึงมันเคยเป็นแป้นเบรคที่เหยียบได้ เขาเริ่มมองซ้ายขวา และเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
 เดียร์ประคองรถเข้าข้างทางแล้วจอดเปิดไฟกระพริบ  ไฟท้ายของรถก้องหายไปจากสายตาเขาเสียแล้ว

       
                                                   ..........................................................


Title: A Scene From A Memory....
Post by: Yai_GuMP on January 27, 2005, 05:13:42 am
        ในวันที่อากาศเย็นสบายเช่นนี้ แบงค์ไม่อยากตื่นแต่เช้าแบบนี้เลย วันนี้ไม่มีเรียนเสียด้วย แต่ความรับผิดชอบของเขา ทำให้เขาต้องตื่นขึ้นมา ล้างหน้าลวกๆ เดินไปที่ระเบียง ยืนรับแสงแดดของเช้าที่สดชื่นนั้นบนตึกอพาร์ตเม้นท์ชั้น9 ลมเย็นสบาย และจุดบุหรี่ตัวแรกของเช้าวันนั้น สูดควันแรกของบุหรี่เมนทอลไลท์เข้าไปแรงๆและพ่นออกมาช้าๆ นิโคตินในบุหรี่ ทำให้สมองเขาเริ่มทำงาน คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้

               เขาที่ยืนอยู่กับเอม มองไปที่ถนนอีกรอบเห็นแต่รถของพี่ก้องวิ่งมายูเทิร์นแล้วกลับรถมาเทียบข้างพวกเขา

 พี่ก้องเปิดกระจกข้างคนนั่ง และร้องบอกให้แบงค์ขับรถตัวเองตามเขาไปด้วย แบงค์กลับกังวลว่าเอมจะเลือกขึ้นรถใคร ในเวลาแบบนั้น  เอมไปขึ้นรถก้อง ก้องขับออกไป  แบงค์เดินไปขึ้นรถตัวเองอย่างเซ็งๆ "โธ่วีอย" และซัดตามออกไป

        เดียร์ยืนอยู่หน้ารถ กอดอกสูบบุหรี่ เขาไม่กล้าเปิดฝากระโปรงรถขึ้น เพราะยังทำใจไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น แม้ว่าพอจะเดาออก แต่เขาก็ไม่อยากคิดถึง

        แสงไฟหน้ารถของ3ประตูที่สาดมาแยงตา ทำให้เขาเห็นว่าก้องและเอม เข้ามาต่อท้ายรถเขาและลงมาถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง  ตามด้วยไฟซีนอนดวงใหญ่ของรถแบงค์ ที่เดินเข้ามาหาด้วยหน้าตาไม่สบอารมณ์นัก

         จากการพูดคุยกับเดียร์ ก้องพอทราบดีว่าเขารู้สึกอย่างไร ก้องขอโทษที่ขอเดียร์วิ่งและทำให้รถเดียร์ต้องพัง เอมขอโทษที่รับปากพี่ก้องว่าจะมาบอกเดียร์ให้  เดียร์ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกดีขึ้น

         ส่วนแบงค์เดินเข้ามาถามว่าไม่เปิดดูหน่อยเหรอ ว่าเป็นอะไรบ้าง เดียร์ว่าอย่าเลย ไว้ค่อยไปดูที่อู่

    "มึงขับยังไงของมึงวะ ปกติก็เห็นขับดีนี่หว่า ทำไมวันนี้เป็นเงี้ย" แบงค์พูดพลางเอาเชือกไนล่อนเส้นโต จากท้ายรถเขามาผูกกับหูลากรถเดียร์ เพื่อที่จะได้พ่วงเข้ากับskylineของเขาแล้วลากรถไปที่อู่

    "ขับยังไงวะ ยังงี้เนี่ย"เดียร์ย้อนถามด้วยสีหน้าไม่ค่อยพอใจนัก

     "ก็ห่วยไง สัด รถก็แรง แต่ขับโง่ชิบหาย เปลี่ยนเกียร์ประสาห่าอะไร ลากยังไม่สุดเลย เปลี่ยนแล้ว"
    แบงค์พูดแบบกระชากน้ำเสียง ฟังดูก็รู้ว่าเขาไม่พอใจที่เดียร์แพ้

     "เฮ้ย...มึงพูดอะไรวะ ไอ้แบงค์ มึงก็รู้นะ สัด ว่ากูแข่งเนี่ย เพื่ออะไร กูพังเนี่ย เพราะอะไร มึงยังพูดแบบนี้อีกเหรอ"

     "ก็ใครจะไปคิดล่ะ ว่ามึงจะโง่ขนาดขับไม่ดูบูสต์..."

    ทั้งสองคนทุ่มเถียงกันใหญ่โต ก้องและเอมมองหน้ากันอย่างลำบากใจ

      "ดูดิ๊ กูต้องลากมึงกลับกรุงเทพอีก ทิ้งไว้นี่ไม่ได้รึไงวะ น้ำมันก็ไม่ค่อยมี แถมปั๊มปิดแล้วอีก"

      "ยังไงก็ต้องลากกลับอู่ที่กรุงเทพ นครปฐมจะทำที่ไหนได้วะ หรือมึงจะลากตอนกลางวัน ลากรถกูจากนครปฐมไปเซียงกงสามย่านเนี่ยนะ รถติดตายห่า"

        จังหวะนี้ก้องพูดแทรกขึ้นมา ว่า ถ้ารถแบงค์ไม่มีน้ำมัน เดี๋ยวเอารถพี่ลากไปหรือดูดน้ำมันจากรถพี่ไปก็ได้นะครับ

      เดียร์หยุดพูดและลังเล กำลังจะหันไปถามแบงค์ว่าจะเอายังไง แบงค์นั่งนิ่งมองหน้าก้อง ในมือยังถือเชือกลากอยู่ กำลังจะผู้เข้ากับรถตัวเอง  แบงค์ยืนขึ้น และขว้างปมเชือกนั้นกับพื้นอย่างแรง และเดินหันหลังกลับไปขึ้นรถ สตาร์ทได้ก็กระชากคันเร่งออกไปทันที  เขามองกระจกหลังไปเห็นเอมวิ่งตามรถเขามา

Title: ...Strange Deja vu....
Post by: Yai_GuMP on January 27, 2005, 05:16:21 am
           นั่นคือสิ่งที่เขานึกออกเมื่อคืน และลำดับเหตุการณ์ได้  ยังมีต่อนี่หว่า ...

    แบงค์นึกต่อไปอีก เมื่อเขามาถึงที่อพาร์ตเมนท์ได้พักใหญ่ๆ มีโทรศัพท์เข้ามาขณะอาบน้ำ เอมโทรเข้ามาเป็นมิสสคอล

  เขาตัดสินใจโทรกลับด้วยความดีใจ เมื่อเอมรับ เสียงเอมไม่สดชื่นเหมือนเคย เอมบอกว่าเธออยู่ที่ชั้นล่างของอพาร์ทเมนท์

  อยากจะคุยด้วย  แบงค์บอกให้เอมขึ้นมาที่ห้อง  สักพักก็มีเสียงกริ่ง เมื่อประตูเปิด เอมก็เข้ามานั่งคุยกับแบงค์ถึงเรื่องของก้องและเดียร์เมื่อสักครู่

           พี่ก้องส่งเอมที่หอเมื่อกี๊ และวนออกไปลากรถเดียร์เข้าอู่ที่กรุงเทพแล้วทั้งค้างบ้านเดียร์ที่กรุงเทพจากนั้นตอนเช้าจะไปที่อู่ด้วยกัน และจึงกลับมานครปฐม นั่นคือแพลนที่พวกเดียร์จะทำ

           "ส่วนเอมต้องเรียนตอนเช้า เลยไม่ได้ไปด้วย นี่เอมจะมาคุยกับแบงค์ว่าทำไมทำหยาบคายแบบนั้นกับเพื่อนตัวเอง ทุกคนก็ไม่สบายใจที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นนะ"

     แบงค์เงียบไปครู่หนึ่งและพูดกลับไป ว่าแล้วทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ล่ะ รู้มั้ย?  เอมทำหน้างง ว่าทำไม

   แบงค์จึงบอกเรื่องที่เขาเกลี้ยกล่อมให้เดียร์ยอมไปแข่งกับพี่ก้อง เพื่อที่เขาจะได้มีโอกาสอยู่กับเอม ยืนคุยกับเอม และเขารู้ว่ารถเดียร์ชนะพี่ก้องแน่ๆ  ต้องการข่มพี่ก้องไปในตัว แต่เมื่อผลออกมาคือเดียร์รถพัง ก็เท่ากับแพ้ เลยไม่ตรงกับที่เขาคิดไว้  เดียร์พูดด้วยอารมณ์โมโห

       "นายมันเห็นแก่ตัวชะมัด พี่ก้องมาขอวิ่งเพราะอยากได้เพื่อนที่เล่นรถด้วยกัน ไม่ได้คิดถึงเรื่องแพ้ชนะเลย เห็นว่าพวกนายเป็นคนใช้ได้ เลยอยากรู้จักกัน ไม่คิดเลยว่านาย...." พอถึงตอนนี้ แบงค์ตะโกนสวนกลับไป

    "ก้องๆๆ อะไรๆก็ก้อง เออ ก้องมันวิเศษ เดียร์มันประเสริฐ ส่วนแบงค์แม่งเหี้ย ขี้โมโห เพื่อนกันยังด่าได้ ไม่มีอะไรดีเลย พอใจรึยัง!!"
 
       "ถ้าเป็นแบบนี้คงคุยกันไม่รู้เรื่องแล้ว งั้นเอมกลับก่อนนะ พรุ่งนี้มีเรียนแต่เช้า"

    และแบงค์ก็ทำสิ่งที่ไม่ควรทำที่สุด นั่นคือ เดินเข้าไปกอดเอมดื้อๆ......(เริ่ม...ติดเรทป่าววะ)....

       เฮ้ย!! นายจะทำอะไรชั้น....

     แบงค์พยามดึงแขนเอมไว้และกอดทางข้างหลัง พยามเอาหน้าซุกตรงซอกคอ แต่เอมไม่เล่นด้วยศอกกลับเข้าดั้งจมูกอย่างแรง แบงค์ยิ่งโมโห พยามใช้กำลังดึงเอมให้ล้มลงตรงโซฟา
     แบงค์ก้มลงกดแขน เอมแหกปากร้องลั่น สักพักแบงค์เริ่มได้สติ ตอนนั้นเอมร้องไห้จนเพลียหมดแรงไปแล้ว

   ชิบหายแล้วไงกู แบงค์คิด....เอาไงดีวะ

Title: ...A Whiter Shade Of Pale....
Post by: Yai_GuMP on January 27, 2005, 05:25:58 am

            ...................นั่นคือเรื่องของเมื่อคืนที่แบงค์คิดออก เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ใครวะโทรมาแต่เช้า...แต่เสียงแปลกๆ เขาไม่เคยใช้ริงโทนเสียงนี้นี่นา เขารีบหันหน้ากลับเข้าห้อง หาที่มาของเสียงนั่น

 โทรศัพท์ของเอมหล่นอยู่บนโซฟา เบอร์ที่โชว์ขึ้นอยู่ ขึ้นชื่อว่า KONG  เขากำลังลังเลว่าจะทำยังไงกับโทรศัพท์นั้น แล้วเขาก็ตกใจจนบุหรี่หล่นจากปาก  

          เอมนอนอยู่ตรงมุมห้อง ตรงซอกตู้เสื้อผ้า ยังหลับไม่รู้เรื่อง

    ชิบหายอีกรอบ กูทำอะไรเขาไปหรือเปล่าวะเนี่ย แต่ดูเสื้อผ้าไม่ได้ยับเยินมากนี่นา เอ..คงไม่มีอะไรมั้ง ตายห่าๆ

        เสียงโทรศัพท์นั้นดังขึ้นมาอีกรอบ เอมชักรู้สึกตัว ส่งเสียงงัวเงียๆไม่เป็นภาษามนุษย์ แบงค์เหงื่อแตก ในใจคิดอยากจะเขวี้ยงไอ้โทรศัพท์นี่ไปให้ไกลๆจังเลยว่อย เลยกดปิดเสียงไปเสีย

         ขณะที่กำลังนั่งมึนว่าจะทำยังไงต่อไปดี เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก คราวนี้เป้นเสียงของเครื่องเขาเอง เป้นเบอร์ของเดียร์โทรเข้ามา

         "ไอ้แบงค์...มึงอยู่ในมหาลัยป่าววะ"เดียร์พูดน้ำเสียงเรียบๆเป็นปกติ

         "ป่าวว่ะ กูอยู่ที่ห้อง มึงมีอะไรเหรอ?" แบงค์พยายามทำเสียงให้ดูปกติ      

   "ก็ พี่ก้อง เขาโทรหาเอมเท่ไหร่ก็ไม่รับ จะโทรไปปลุก ไม่รุ้ตื่นหรือยัง เช้านี้เอมมีสอบ นึกว่ามึงเข้ามหาลัยแล้ว จะให้ดูที

   ว่าเห็นเอมมั่งมั้ย กลัวไปสอบไม่ทัน"

   "เหรอ มึงจะให้กูทำไงอ่ะ.."แบงค์เหงื่อแตกหนัก มองไปเอมที่กองอยุ่ที่พื้น

    "เอางี้ ตอนไปมหาลัย มึงต้องผ่านหอเอมใช่มะ มึงลองไปถามแม่บ้านที่หอดูได้ป่ะ ว่าเอมออกไปยัง พี่ก้องบอกว่าเอมเขาสนิทกับป้าที่ดูแลหอ ป้าน่าจะรู้"

    "อ๋อ เออ ก็ได้ เอางั้นก็ได้ ว่าแต่รถมึงเป็นไงมั่ง " แบงค์พยามเปลี่ยนเรื่อง

    " ยาวว่ะ เนี่ย รื้อออกมาแล้ว ก้านขาด ลูกแตก ปะเก็นแตก ใบเทอร์โบบิ่น เสื้อเครื่องแตก ชาฟท์ละลายเยอะอ่ะ" เดียร์ตอบเซ็งๆ

    "เอาวะ ใจเย็นๆ ของมันยังซ่อมได้เว้ย เดี๋ยวก็แรงเหมือนเดิม เดี๋ยวกูไปดูเอมที่หอให้ละกัน ถ้ายังไงเดี๋ยวกูโทร..."

     พอพูดได้ถึงแค่นี้  มีเสียงร้องโวยวายของเอมขึ้นมาจากมุมห้องด้านนั้น ร้องห้ามแบงค์ไม่ให้ทำอะไรเธอ

      "...........แบงค์ นั่นเสียงใครวะ แบงค์ ....เอมอยู่กับมึงเหรอ เฮ่ย แบงค์...แล้วเอมร้องอะไรวะ...

   
            ชิบหายแล้ว กู  แบงค์คิด พลางตัดสายโทรศัพท์ทิ้งไป  และยืนจ้องหน้ากับเอมที่เพิ่งตื่นมาเจอเขา

             และทำหน้าเบ้เหมือนจะร้องไห้
 
                                                   ..........................................................

Title: ...พักก่อนๆ...
Post by: Yai_GuMP on January 27, 2005, 05:37:54 am
     คราวนี้มายาวเลยครับ จากตอนที่แล้ว ก็คิดๆพล็อตค้างไว้ แล้วก็ลืม

 พอจะพิมพ์โพสต์์จริงๆจังๆ ก็อยากเปลี่ยนเนื้อเป็นแบบนั้น แบบนี้ คิดไว้เยอะ สุดท้ายก็เบลอ

      วันนี้ได้มานั่งหน้าคอม ในวันว่างๆ อากาศเย็น เพิ่งได้แผ่นคอนเสิร์ตของAngraกับYngwieMalmsteenมาฟัง เลยคึกๆ ประกอบกับรถของผมเพิ่งพัง
 และได้ออกจากอู่เมื่อวานนี้เอง อารามดีใจ ก็เลยเขียนถึงเรื่องรถซะหน่อย

       ตอนนี้เดียร์เครื่องพังซะแล้ว  กำลังคิดอยู่ว่าจะเปลี่ยนรถใหม่ให้เดียร์ไปเลยดีมั้ย หรือแค่เปลี่ยนเครื่องดี

        คิดว่ายังไงดีครับ ฮ่ะๆ

           ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านมากๆครับ
     เรื่องของท่านอื่นผมก็อ่านและติดตามนะครับ

                     [size=8]รักคนอ่าน[/size]
Title: Re:Living on A Prayer....
Post by: R-TONG on January 27, 2005, 12:04:34 pm
 ;D ;D เปลี่ยนรถไปเยย จ้าบดีค้าบอิอิ ใหญจารู้ไม้ว่าผมคือคนที่ขับตามจากเส้นวงเเหวนไปคุยด้วยที่คาลเท็ก ที่ขับ EG สีบรอน อะค้าบบ ยังรออ่านอยู่เรื่อยๆนะค้าบ
Title: Re:Living on A Prayer....
Post by: Yai_GuMP on January 27, 2005, 08:26:23 pm


  แหม รู้สิครับ คุยกันมาตั้งหลายครั้ง ยินดีที่ได้เจอตัวจริงเสียทีนะครับเหอๆ

 

 
Title: Re:Living on A Prayer....
Post by: novelty on February 08, 2005, 10:27:45 am
ติดตามอ่านอยู่ครับ สนุกดี เอามาต่อเร็วๆนะครับ ;D ;D
Title: Re:Living on A Prayer....
Post by: Win_GuMP on February 17, 2005, 04:55:59 am
ต่อๆๆๆๆๆๆๆๆ
Title: Re:Living on A Prayer....
Post by: *Aee-ViPeR-MR2* on April 18, 2005, 09:45:41 pm
แอบติดเรดนิด 55 หุหุ ถ้าเปลี่ยนรถ พี่เดียร์จะใช้ไรว้า เอิ๊ก  ;D ติดตามอยู่ฮะพี่
Title: Re:Living on A Prayer....
Post by: Yai_GuMP on May 25, 2005, 02:32:10 pm

      ในมุมหนึ่งของมหาวิทยาลัย ที่ร่มรื่นตอนเย็นๆของวันที่เพิ่งมีเรื่องราวต่างๆเกิดขึ้นมากมาย
 ในขณะนั้นทุกคนกำลังนิ่งฟังแบงค์ซึ่งกำลังเล่าหเหตุการณ์ที่ทุกคนไม่เข้าใจ ว่าเกิดอะไรขึ้ืนบ้าง

  เดียร์ ก้อง เอม ทั้ง3คนนั่งหน้ามุ่ยมองไปยังแบงค์ซึ่งนั่งทำหน้าเบ้อยู่ตรงข้ามพวกเขา

 "เออ กูขอโทษ กูงี่เง่าเอง" แบงค์สรุปเรื่องทั้งหมดด้วยคำขอโทษ และพลางหันไปหาพี่ก้อง
 
 "ผมขอโทษด้วยนะครับพี่..." ก้องยิ้มและบอกว่าไม่เป็นไร และหันไปหาเอมซึ่งก็ไม่ได้ติดใจจะเอาความอะไรมาก
 
 เดียร์ลุกขึ้นยืนพลางบิดขี้เกียจ และบอกให้แบงค์เลี้ยงข้าวทุกคนเป็นการขอโทษ
 
 "เออ กูเลี้ยงมื้อใหญ่ยังได้โว้ย ถ้าพวกมึงจะไม่โกรธกูเนี่ย "


                                      ................................................................................


             เวาลา5ทุ่มของคืนวันเสาร์ เดียร์ยืนเหม่อบนระเบียงของห้องพักของเขาในกรุงเทพ ย่านสาธร ซึ่งเป็นอาคารสูงที่สามารถมองลงมาเห็นวิวของกรุงเทพและเป็นวิวริมแม่น้ำ แน่นอน มันต้องราคาแพงระยับทีเดียว ลำพังเขาคงไม่มีปัญญาเป้นเจ้าของมันหรอก เพียงแต่ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นของพ่อและแม่ของเขา
แต่ตอนนี้ เขากลายมาเป้นเจ้าของมัน เพียงแต่ห้องชุดนี้ ดูจะใหญ่โตเกินไปสำหรับเขาในเวลานี้เหลือเกิน

 บุหรี่ตัวแล้วตัวเล่า ถูกจุดวาบขึ้นมาในความมืดและถูกใช้งานไปในเวลาไม่กี่นาที มันก็เผาไหม้ไปหมด แต่ดูยังจะไม่เพียงพอสำหรับผู้ที่กำลังสูบขณะนี้เสียที

              เดียร์กำลังนึกถึงสิ่งที่เขาทำอยู่ตอนนี้ เขากำลังสนุกกับชีวิตในการเรียนหนังสือ เพื่อน รถ ผู้หญิง เท่านี้ก็เป็นสิ่งที่วัยรุ่นอย่างเขาควรพอใจแล้ว แต่ทำไมเขายังต้องหนักใจเรื่องอะไรอีก  ภาพเก่าๆเกี่ยวกับครอบครัวของเขา ย้อนกลับมาอีกครั้ง เขาได้แต่หลับตา ดูดควันเข้าปอดเฮือกใหญ่ และถ่มมันออกมาพร้อมๆกับภาพอดีตที่น่าขมขื่นนั้น

         เขากลับมาคิดถึงรถของเขา เจ้าCrxของเขา มันเป็นรถที่พ่อของเขาเคยขับในสมัยหนุ่มๆ เขาได้แตะต้องมันมาตั้งแต่ยังเด็กๆ ได้นั่งมันไปไหนมาไหน จนเรียนมหาวิทยาลัย เขาจึงได้นำมันมาใช้อย่างจริงจัง และเลยเถิดไปจนถึงการโมดิฟายอย่างหนักหน่วง  

          มันคงเกินตัวมันแล้ว มันแก่มากแล้ว น่าจะได้พัก เหนื่อยมานานแล้วนี่ เดียร์คิดถึงรถคู่ใจของเขา ว่าถึงเวลาปลดระวางเสียทีแล้วละมัง " เปลี่ยนเครื่อง ทำเป็นปกติแล้วเก็บไว้ดีกว่า..ทำต่อก็ช้ำเปล่าๆ"

           เมื่อคิดจบประโยคนั้น เดียร์ดูดควันเฮือกสุดท้าย แล้วขว้างก้นบุหรี่ลงจากระเบียง และเดินกลับเข้าห้องทำงาน พร้อมกับเปิดอินเตอร์เน็ตทันที

           เขาเปิดเว็บที่เขาคุ้นเคย มีคนรู้จักมากมายทั้งคนไทยและชาวต่างชาติที่เป็นเพื่อนในวงการของเขา

 หลายคนคงรู้ว่าเดียร์จะออนเข้าอินเตอร์เน็ตทำไม แน่นอน เขากำลังหารถคันใหม่ของเขา ที่เขาคิดว่ามันจะต้องรองรับความต้องการของเขาได้ครบถ้วน ไม่มากทั้งหมด ก็ต้องได้มากที่สุด

   สกายไลน์อย่างของแบงค์ก็ดี แต่บอดี้มันใหญ่โต แต่เครื่องแรงและโมดิฟายได้ค่อนข้างจะกว้าง

   ซีวิค3ประตูอย่างพี่ก้องก็คล้ายๆกับCrxของเขาที่พัง ถ้าทำเป็นNA.แบบยังวิ่งถนนได้ ก็ได้ม้าไม่มากมายนัก ควอเตอร์ไมล์กว่าจะทำลง13ได้ก็เหนื่อยและใช้เงินเยอะ ถ้าจะมาทำเทคเซ็ตโบอีก ก็ไม่ได้อารมณ์ต่างจากรถเขาเท่าไรนัก ก็ไม่รู้จะเปลี่ยนรถทำไม

    หรือถ้าจะเป็นซูปร้า ไม่ มันไม่ต่างจากสกายไลน์เท่าใดนัก จะเป็นเซฟิโร่ หุ่นเขาก็ไม่เสี่ยพอที่จะขับรถคันใหญ่แบบนั้น

    รถอะไรดีโว้ยยย...เดียร์พิงเบาะเก้าอี้และมองขึ้นไปบนเพดาน

     เรายังอยากได้อารมณ์ของรถขับหน้าอยู่ แต่บอดี้ต้องแข็งแกร่งและเครื่องต้องโมดิฟายได้แรงๆ

      นั่นคือความต้องการของเดียร์ที่จะจำกัดข้อแม้รถคันใหม่ของเขา เขานึกไล่ไปถึงข้อดีข้อเสียของรถคนที่เขารู้จัก และเขาก็นึกถึงเอมเป็นคนสุดท้าย...

     และเขาก็นึกออก เขาเปิดเวบไซต์เวบหนึ่งเช็คราคาของบางสิ่ง เมื่อทราบราคาแล้ว เดียร์โทรไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่อเมริกาทันที และสั่งของแต่งมากมายเท่าที่หัวของเขาจะคิดได้ในเวลานั้น เพื่อนของเขาที่อยู่ปลายสาย ดูจะตื่นเต้นกับสิ่งที่เดียร์กำลังจะทำน่าดูเหลือเกิน

      เดียร์ได้แต่หัวเราะ และบอกว่าถ้านึกอะไรออก จะโทรไปสั่งอีกแล้วกัน

                     ............................................................

Title: Re:Living on A Prayer....
Post by: Yai_GuMP on May 25, 2005, 02:33:16 pm

  ต่อเลยละกันนะครับ นานๆมาที เอาไปยาวหน่อยเลยละกััน

 ขอบคุณที่ตามอ่านมาเรื่อยๆนะครับ

Title: Re:Living on A Prayer....
Post by: Yai_GuMP on May 25, 2005, 02:34:39 pm

               ตอนนี้เดียร์ไปไหนมาไหนด้วยรถของแบงค์มาหลายอาทิตย์  รถCrxของเขาเสร็จเมื่อวันก่อน แต่ก็ไม่ได้ใช้งาน เอาเข้าไปจอดที่โรงรถ แบงค์เองก็ไม่ได้ถามว่าทำไมเดียร์ไม่ใช้รถ  เขาคิดว่าการที่เดียร์วางเครื่องสแตนดาร์ดกลับไปให้รถCrxเป็นเพราะเดียร์ยังช็อคที่รถพังไม่หาย เลยถอดใจไม่ทำต่อแล้ว แบงค์เลยไม่อยากพูดอะไร แต่ก็ไปรับไปส่งด้วยความเต็มใจ เขาคิดแบบนี้มาตลอดจนวันนี้หลังเลิกเรียน  เขาจึงได้รู้ว่าคามคิดนี้ มันผิดหมดเลย เมื่อเดียร์ขึ้นรถเขา และบอกกับเขาว่า

      "เออแบงค์ มึงเข้าเมืองไปกะกุหน่อยดิ"

     "ไปดิๆ กูอยากไปซื้อซีดีใหม่ๆเหมือนกัน "

     "มึงจอดรถไว้มหาลัยดิ นั่งรถทัวร์ไป ..."

     "เฮ้ย ทำไมอ่ะ ..."
 
      เดียร์อ้างเหตุผลบางอย่าง แบงค์จึงจอดรถไว้มหาลัยและขึ้นรถทัวร์ตามไปอย่างงงๆ

           ใช้เวลาสักพักรถทัวร์กรุงเทพ-ดำเนิน ก็มาส่งทั้งคู่ที่สายใต้ใหม่ จากนั้นเดียร์ก็โบกแท๊กซี่ แบงค์ได้ยินว่าจะไปศูนย์ฮอนด้า จึงถามว่าไปซื้ออะไหล่เหรอ และนึกในใจว่ามันคงใหญ่มาก ใส่รถเราไม่ได้ละมังเลยต้องนั่งรถแท๊กซี่ไป  เมื่อถึงที่หมาย ทั้งคู่เดินลงไป แบงค์เดินไปที่ฝ่ายอะไหล่ แต่เดียร์ดึงแบงค์ให้ตามมา เดินดุ่ยๆไปหาพนักงานคนหนึ่ง และพูดจากันอย่างสนิทสนม

      พนักงานคนนั้นเป็นคนรู้จักเก่าแก่ของครอบครัวเดียร์ จึงทักทายกันอยู่พอสมควร

     "น่าเสียดายนะครับ คุณพ่อคุณเป็นคนดีแท้ๆ ไม่น่า  เอ่อ ...โอ ขอโทษนะครับ ผมไม่น่า..." พนักงานคนั้นพูดหลางมองหน้าเดียร์
      "ไม่เป้นไรครับ มีคนคิดถึงพ่อผมแบบนี้ ผมก็ดีใจเสียอีกครับอย่าคิดมากเลย"เดียร์ปลอบกลับ

       "ว่าแต่ไหนเหรอครับ ของที่ผมสั่งไว้"

         พนักงานคนนั้นพาเดินไปที่หลังศูนย์บริการ  แบงค์แซวเดียร์ว่ามึงจะมาซื้อแจ๊สไปขับรึ? เดียร์ยิ้มๆ ไม่ตอบ

     แต่แบงค์ก็ถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อพนักงานคนนั้นถลกผ้าคลุมสีเทาๆออก เผยให้เห็นสีขาวมันวาบที่ตัดกับสีผ้าคลุมนั้นอย่างสิ้นเชิง  สิ่งที่อยู่ใต้ผ้าคลุมนั้น เป็นสิ่งที่แบงค์คุ้นตา แต่คุ้นที่มันอยู่ในแมกกาซีน ไม่เคยเห็นตัวเป็นๆใกล้ชิดกันขนาดนี้มาก่อน

         Integra DC5 minorchange? ....แบงค์อุทาน  "มึงจะซื้อมันจริงๆเหรอวะ?  สวยสัดๆ.. "

       เดียร์ ยืนยิ้มอยู่ข้างรถ ถึงกับเก็บอาการตื่นเต้นไว้ไม่อยู่
     "ใช่ กูยังขนลุกเลย ว่ากูจะได้เป็นเจ้าของมันจริงๆเหรอเนี่ย.."

      ทั้งคู่เดินไปถลกผ้าคลุมส่วนที่เหลือ และเดินลูบคลำไปตามแก้มข้างที่โป่งออกมาโชว์ความดุดันของความเป็นTypeRอย่างเด่นชัด เปิดดูภายใน และลงไปนั่ง

      เมื่อทั้งคู่สำรวจรถจนพอใจแล้ว พนักงานคนนั้น ก็เดินนำเอกสารบางอย่างมาให้เซ็นนิดหน่อย เป็นเอกสารรับรถ ซึ่งเดียร์ใช้เวลาไม่นานก็จัดการได้หมด

       ทั้งคู่กระโดดขึ้นรถ เดียร์บิดกุญแจสตาร์ท เสียงเครื่องยนต์ทำงานอย่างกระฉับกระเฉงทันที เมื่อเหยียบคลัทซ์แล้วเลี้ยงรอบเพื่อพาตัวเองออกจากที่เก็บและเลี้ยวออกถนนใหญ่ การตอบสนองนั้นเป้นไปอย่างราบรื่น

       เมื่อตั้งลำออกถนนใหญ่ได้ เดียร์กดคันร่งจมทันที เสียงยางบดและฟรีไปกับพื้นถนนทันที เมื่อเลี้ยงตันเร่ง อาการรถก็กลับมาดึงขึ้นไป เมื่อสับเกียร์2รอบคงตกลงนิดหน่อยและดันขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง ไปที่เกียร์3-4 การตอบสนองนั้นทำให้ทั้งคู่พอใจมาก

      และแบงค์ก็นึกขึ้นได้"ไอ้เชี่ย รถใหม่ๆ ต้องรันอินก่อนดิโว้ย มึงซัดเลยได้ไง เดี๋ยวก็พังหรอก"

   "เฮ่ยสบายมาก กูให้พี่เขาเอาไปวิ่งรันอินบนมอเตอร์เวย์ให้แล้วพันโล 5555  วันนี้แค่มาเอารถตามฤกษ์"

       และทั้งคู่ก็ชวนกันไปเที่ยวในเมืองต่อ แบงค์บอกว่าขับรถแบบนี้ไป ได้สาวแน่นอน เดียร์ก็ยิ้มๆและส่ายหัวในความหม้อของเพื่อนตัวเอง "สาวที่ว่านี่ เขาจะมาหามึงรึกูวะ ฮ่าๆๆ"
 
     
                 จากนั้นทั้งสองก็มาที่บ้านของเดียร์แถบชานเมือง เดียร์มีบ้านหลายที่ ด้วยความที่พ่อแม่ของเขาเป็นคนมีฐานะ และคิดถึงอนาคตของครอบครัวเช่นพี่ชายของเขา ตัวเขา และน้องสาว  จึงซื้อบ้านซื้อที่เก็บไว้เผื่อให้ลูกให้หลานมากมาย

 เดียร์จึงมีที่อยู่หลายที่เหลือเกิน และCRXก็เก็บไว้ที่บ้านนี้แหละครับ

                  แบงค์เดินเข้าไปในบ้านและนั่งลงบนโซฟาพร้อมกับตั้งท่าจะเปิดทีวีเพื่อเล่นเกมส์ แต่ก็ต้องตกใจกับกองอะไหล่ขนาดมหีมาที่สุมอยู่ข้างโซฟาในห้องนั่งเล่น

     "นั่นมันเหี้ยอะไรวะนั่น  ของใครวะ?"

      "นั่นแหละ เหตุผลที่กูพามึงมา มึงต้องช่วยจัดการกับอะไหล่พวกนี้ให้เสร้จ ไม่งั้นเราสองคนก็กลับไปเรียนไม่ได้ โอเค๊? ฮ่าๆๆ"

       อะไหล่กองนั้น คือของที่เดียร์สั่งเพื่อนซื้อมาจากอเมริกาเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน

     มันมีทั้งโช้ค แคมชาฟท์ กล่องECU หม้อน้ำแต่ง ชุดเบรคซิ่งพ็อตใหญ่ รวมไปถึงล้อแม็ก และยาง แม้กระทั่งสายถักน้ำมัน  จนถึงชุดเสริมโป่งแก้มข้างและกันชนหน้าใหม่

       และแบงค์ที่รื้อของออกมาดูเล่นก็สะดุดกับกล่องๆหนึ่งที่เขาคุ้นตา
 
   "เย็ดเข้!! ....."  ในกล่องใบนั้น มันคือเทอร์โบ ยี่ห้อIHI รุ่นRX-6
 ถือเป็นเทอร์โบระดับสูงที่ราคาสูงสามารถปั่นแรงม้าได้มหาศาล  และการที่มันมาอยู่ในชุดของแต่งพวกนี้ เดียร์จะเอามาเซ็ต มันต้องกลายเป้นรถที่น่ากลัวมากแน่ๆ

        "เอาวะ ลุย  เดียมึงไปลากไอ้เข้กับสามขามา  กูไม่ได้คึกแบบนี้มานานแล้วโว้ย" แบงค์ตะโกน

Title: Re:Living on A Prayer....
Post by: Yai_GuMP on May 25, 2005, 02:35:57 pm



                        จากเวลาที่ทั้งสองมาถึงที่บ้านนี้ เป็นเวลา5โมงเย็น  จนบัดนี้เป็นเวลาตี3 20นาที
   เดียร์กำลังขันน็อตฝาสูบหลังจากที่ใส่ลูกสูบและก้านสูบชุดใหม่ของJEลงไปเพื่อความคงทนในการใช้งาน

   "ไอ้เดียร์ๆ ...เชี้ย มึงลืมอะไรป่าววะ" แบงค์ที่กำลังมุดอยู่ใต้รถ โวยวายขึ้นมา และเหวี่ยงห่อพลาสติกที่ข้างในมีปะเก็นฝาสูบอยู่ขึ้นมา

     "ไอ้ชิบหาย!! ต้องใส่แผ่นนี้นี่หว่า กูเสือกเอาปะเก็นเดิมใส่ลงไป กูลืมว่ะ"

   ในเมื่อจะเซ็ตเทอร์โบ แล้วจะไม่เปลี่ยนปะเก็นซักหน่อยได้ยังไงกันเล่า

         
       "ห่าเอ๊ย...ไม่ไหวแล้วว่ะ เหนื่อย มึน ง่วง หิวสุดๆ" เดียร์โวยวายขึ้นมา แบงค์ถึงกับขำ ว่าปกติเพื่อนเขาคนนี้เป็นคนใจเย็นและความอดทนสูง แต่วันนี้กลับบ่นเสียยืดยาวขนาดนี้ แบงค์จึงชวนเดียร์เดินออกไปซื้อบะหมี่หน้าปากซอยเข้ามากินกัน

      "มึงจะเอาเข้าไปกินในบ้านหรือนั่งกินที่ร้านเลยอ่ะ"แบงค์ถาม เดียร์บอกให้กินที่ร้านไปเลย เพราะขี้เกียจเก็บล้าง ทั้งคู่นั่งรอบะหมี่อย่างเนือยๆอยู่ริมถนน เมื่อได้บะหมี่ ทั้งคู่กินอย่างเอร็ดอร่อย เมื่อสั่งชามที่2เสร็จเดียร์กำลังยกแก้วน้ำดิ่ม แล้วก็ชะงักเมื่อได้ยินเสียงเครื่องยนต์ดังลั่น ลากรอบยาวมาแต่ไกล
       "เจแน่ๆเลยว่ะ แรงด้วย เสียงโคตรดีเลย รถอะไรวะ เซฟเหรอ?"แบงค์พูดแบบไม่เงยหน้าจากชามบะหมี่
ซูปร้าว่ะ อยู่ฝั่งนู้น...เดียร์ตอบแล้วดูดโอเลี้ยง  

      ร้านบะหมี่ที่ทั้ง2นั่ง อยู่หน้าปากซอย ติดถนนใหญ่ ที่ไม่ไกลจากยูเทิร์นมากนัก แสงไฟซีนอนสีขาวแยงตาเขามาจึงทำให้เห็นว่าเป็นรถซูปร้าคันนั้นนั่นเอง ที่ซัดจากฝั่งตรงข้ามและยูเทิร์นกลับมาจอดหน้าร้านบะหมี เสียงท่อที่ดังทุ้มและหนักแน่น เครื่องเดินหอบเป็นจังหวะจากแคมองศาสูง เสียงคลัตซ์ซิ่งครางดังแกรกๆตลอดเวลา ถ้าใครไม่รู้เรื่องก็คงคิดว่ารถไอ้หมอนี่จะพังแหงๆ แต่สำหรับเดียร์และแบงค์ มันคือเสียงของปีศาจชัดๆ มันคลานมาช้าๆ เลียบฟุตบาทมาเรื่อยๆ
      เมื่อซูปร้าสีดำคันนั้นวิ่งผ่านโต๊ะเดียร์ไปและจอด ทำให้เดียร์เห็นสติกเกอร์สังกัดของรถคันนั้นชัดเจน มันทำให้เขาขนลุกขึ้นมาอีกครั้ง มันเป็นคันเดียวกันที่เขาเคยเจอ
      "ไอ้สัด คันนี้ไง ที่แม่งเคยมาเล่นกะกูบนทางด่วนไงเดียร์มึงจำได้ป่ะที่เคยเล่าให้มึงฟัง" แบงค์บอก "แม่งแรงชิบหาย แต่ขับกวนตีน" ทั้งสองมองรถซูปร้าคันนั้นอย่างไม่ละสายตา เพื่อจะดูว่าเจ้าของที่ออกมา เป็นคนแบบไหน

        ปึ้ง..เสียงประตูรถปิด เจ้าของรถเดินออกมา พร้อมเข้ามาสั่งบะหมี่ทาน เป็นชายวัยกลางคน หุ่นแบบคนเล่นกีฬาที่ดูแลร่างกายตลอด ผมสั้น หน้านิ่ง เฉย ใส่แว่นกันแดดสีดำทั้งที่เป็นเวลากลางคืน มีรอยสักโผล่มาจากปลายเสื้อโปโลแขนสั้น กล้ามแขนนั้น ใหญ่กว่าขาเดียร์ซะอีก เป็นคนที่ดูน่ากลัวทีเดียว
       เหี้ย..แม่งยากูซ่าเหรอวะ แบงค์กระซิบ ...สัด ทำเต๊ะ แม่งขับซูปร้ามาแดกบะหมี่ข้างทางเหมือนกูแล้วยังทำหน้าดูถูกกูอีก ...แบงค์ยังนินทาไม่จบ เดียร์หัวเราะและส่ายหน้า

       เมื่อทั้งสองคนทานเสร็จและจ่ายเงินแล้ว ก้เดินผ่านชายคนนั้นที่กำลังลุกจะไปจ่ายเงินเหมือนกัน ชายคนนั้นพูดขึ้นมาลอยๆว่า"รถเสร็จแล้ว มาวิ่งกันหน่อยมั้ยไอ้หนู" เดียร์หันกลับไปทันที ขมวดคิ้วทำหน้าแบบไม่พอใจและงุนงง
       ชายคนนั้น ก้าวขึ้นรถ และสตาร์ท เดียร์เดินตามเข้าไปจะถามถึงสิ่งที่ชายผู้นั้นพูด

       เจ้าของซูปร้าสีดำนั้นลดกระจกลง และทิ้งคำพูดลอยๆไว้ "หวังว่าแกคงไม่ทำอะไรทุเรศๆเหมือนพ่อแกนะ"พร้อมกับรอยยิ้มแบบไม่ชวนสบอารมณ์  เดียร์ยังงงไม่หาย ซูปร้าคันนั้นก็เทคตัวออกแต็มเกียร์ ทั้งฝุ่นควัน เสียงท่อและกลิ่นยางตลบคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ แม่ค้าบะหมี่ตะโกนด่าโวยวาย คู่ไปกับเดียร์ที่ยืนงงกับสิ่งที่ชายคนนั้นพูด

                       ......................................................................To be Continued
 
Title: Re:Living on A Prayer....
Post by: อิ๊ก osk121 611 on May 26, 2005, 09:52:08 pm
ัมันส์คับ
ติดตามมาตลอด
น่าจะเอาไปทำหนังนะเนี่ย 55
Title: Re:Living on A Prayer....
Post by: *Aee-ViPeR-MR2* on May 31, 2005, 08:10:22 pm
อ้ากกกกกกกกก มันส์ว้อยยย  ;D
Title: Re:Living on A Prayer....
Post by: Win_GuMP on June 05, 2005, 07:20:44 pm
มาเขียนต่อโดยด่วนๆ เลยน่ะ หนุกดีๆๆๆ  ;D
Title: Re:Living on A Prayer....
Post by: *Aee-ViPeR-MR2* on June 16, 2005, 06:34:30 pm
อัพหั้ยไวนะพี่หย่าย รออยู่คับ  8)
Title: Re:Living on A Prayer....
Post by: Win_GuMP on July 28, 2005, 04:12:52 pm
ให้ วัย ๆ
Title: Re:Living on A Prayer....
Post by: Yai_GuMP on January 31, 2006, 05:07:51 am

 
    เมื่อทั้งสอง ทานบะหมี่เสร็จเรียบร้อย ก็กลับเข้าไปในบ้าน แบงค์หยอบโช้คขึ้นมา
กำลังจะใส่ แต่มือก็ค้างอยู่แบบนั้น มองไปทางเดียร์ ที่ยืนเหม่อหน้ารถCRXคันเก่า

 "ถ้าพ่อกูไม่มาเล่นรถแต่ง หรือมายุ่งเกี่ยวกับวงการนี้ ก็คง.." เดียร์ยังพูดไม่ทันจบ
แบงค์ตะโกนขึ้นมาขัดคำพูดที่รู้ว่าเดียร์จะพูดอะไรต่อ

 " เดียร์ กูรู้มึงยังทำใจไม่ได้ ถึงจะเป็นเวลานานมากแล้ว แต่มึงเคารพพ่อมึง มึงรักพ่อมึง
มึงก็ต้องเคารพในสิ่งที่เขาทำ รักในสิ่งที่เขารัก

    การที่เขาชอบรถ รักรถ แข่งรถ นั่นก็หมายความว่าเป็นสิ่งที่เขาเลือก มึงพูดแบบนี้
เท่ากับไม่ให้เกียรติพ่อตัวเองนะโว้ย"

 เดียร์หันไปทางแบงค์แล้วขว้างกล่องโช้คใส่แบงค์

 "แล้วยังไงวะ เป็นนักเลงใหญ่ เป็นเจ้าพ่อ บารมีมากมาย คนนับถือเยอะแยะ แล้วไง ตอนตายก็สภาพเหมือนไอ้ข้างถนนที่โดนรถชนตาย
 ศพยังจำแทบไม่ได้ ตัวเองตายไม่พอ ลากแม่กูมาตายไปด้วย ส่วนตัวกูก็ต้องหนีหัวซุกหัวซุน
ต้องเปลี่ยนชื่อ ต้องย้ายโรงเรียน ย้ายบ้านหนี
 ไปใช้ชีวิตต่างจังหวัดเหมือนไอ้พวกบ้านนอก เรื่องราว กิจการผิดกฏหมายเหี้ยอะไรก็ทิ้งไว้ให้กูรับผิดชอบ ตัวเองตายไปแล้ว จะมารับรู้อะไรวะ ตายไปแล้วก็สบายแล้วนี่"

  "ชีวิตที่เหมือนคนบ้านนอกนั่น มันเป้นชีวิตที่ทำให้มึงมาเจอกูนะเดียร์".....แบงค์ยืนขึ้น
จ้องหน้าเดียร์ที่กำลังตกใจกับสิ่งที่เพื่อนตัวเองพูด

 "กูรู้ กูเป็นคนบ้านนอก บ้านกูจน กว่าจะมีวันนี้ได้ พ่อแม่กู เหนื่อยลำบากขนาดไหน
กูรู้คุณค่าชีวิตกู กุรักชีวิตกูแบบนี้ ภูมิใจที่บอกใครๆว่ากูเป็นลูกชาวนา
 ลูกชาวนาที่ทำให้กูมีวันนี้ วันที่สามารถขับรถราคาเป็นล้านเล่นไปเล่นมากับมึง
ที่ดูถูกความเป็นคนบ้านนอกอย่างมึงได้"

  เดียร์พยามนึกคำพูดมาเถียงเพื่อนตัวเอง แต่เหมือนมีก้อนอะไรมาจุกที่คอ

 "แล้วมึงจะให้กูภูมิใจได้ยังไง จะให้กูป่าวประกาศ ยิ้มหน้าระรื่นได้เหรอ
 ว่าพ่อกูเป็นนักการเมืองมือสกปรก เป็นคนทำธุรกิจผิดกฏหมายที่
รัฐบาลต้องการตัวเป็นอันดับต้นๆของประเทศ?"
 
  .....หลังจากนั้น ต่างคนต่างนิ่งเงียบ ยืนนิ่ง

 แบงค์เป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นมาก่อนด้วยน้ำเสียงราบเรียบที่พยามสะกดอารมณ์

 "...มึงไม่เคยเล่าอะไรให้กูฟัง กูก็เคารพในตัวมึง เลยไม่ถาม ข้อมูลเกี่ยวกับมึง กูรู้เท่าๆคนอื่น แล้วมึงเคยมั้ย ที่จะเห็นกูเป็นเพื่อนสนิท
 แล้วเล่าอะไรให้กูฟังมากไปกว่าที่คนอื่นได้รู้ เดียร์?"

    เดียร์จึงเริ่มเล่าเหตุการณ์ครั้งสำคัญ และที่มาที่ไปของมันให้แบงค์ฟัง

                                                  .....................................................

 
Title: ....Blue Blood....
Post by: Yai_GuMP on February 01, 2006, 04:13:48 am
                พ่อของเดียร์ เกิดมาในตระกูลที่ร่ำรวย เติบโตมากับลูกน้องของปู่ที่เป็นผู้มีอิทธิพลชาวจีนในสมัยนั้น ซึ่งเป็นพวกมือปืน และอันธพาลของก๊ก แก๊งต่างๆมากมายที่ถูกแบ่งแยกตามย่านต่างๆของกรุงเทพ ย่านพาหุรัด ย่านเยาวราช ย่านประตูน้ำ และย่านสะพานควาย
                 
                ต้นตระกูลของเดียร์เป็นเจ้าสัวที่ทรงอิทธิพลทางการค้าของย่านเยาวราชในขณะนั้น เป็นการร่ำรวยจากการค้าฝิ่น กว่ารัฐบาลจะประกาศให้ผิดกฏหมาย ตระกูลของเดียร์ก็ร่ำรวยจากการค้าฝื่นนี้จนเป็นที่รู้จัก และเริ่มสั่งสมอำนาจบารมีทางด้านลบมาเรื่อยๆเสียแล้ว ทั้งการเปิดซ่อง บ่อนพนัน และธุรกิจมือปืน พ่อของเดียร์ เมื่อโตขึ้น ก็ดูเหมือนจะเรียนรู้การทำธุรกิจพวกนี้มาจากปู่ได้เป็นอย่างดี มีหลายครั้งที่ลุกน้องไม่เชื่อฟัง เนื่องจากเห็นพ่อของเดียรื เป็นเด็กวัยรุ่นที่ดูสำรวย ไม่สามารถควบคุมพวกลูกน้องได้ มีการกระด้างกระเดื่อง
 ซึ่งหลายครั้ง พ่อของเดียร์ต้องพิสูจน์ตัวเองให้ลูกน้องเห็น ว่าสามารถฝากชีวิตไว้กับเขาได้

                การค้า และธุรกิจ ย่อมมีผู้ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ ในระดับผู้นำการค้าย่านต่างๆ ผู้มีความรุ้ด้วยกัน มักคุยกันอยู่แต่บนตึกที่สูง มีอาหารอร่อยๆ ตกลงเจรจากัน
แต่หารู้ไม่ ว่าข้างล่างตึกนั้น ลูกน้องของทั้งสองฝ่าย กำลังมีการปะทะกันอย่างต่อเนื่อง ฝ่ายตรงข้ามที่ว่านี้ คือตระกูลของนักธุรกิจชาวอินเดีย ที่คุมการค้าย่านพาหุรัด
                ค่อหน้าอย่าง ลับหลังอย่าง ..การที่มีมือปืนฝ่ายตรงข้าม มาเดินอ้อยอิ่งในพื้นที่ของตัวเอง มีหรือที่พ่อของเดียร์ที่กำลังร้อนวิชา กำลังจะได้รับมรดกธุรกิจของปู่มาไว้ในมือจะยอมได้ง่ายๆ
                 พ่อของเดียร์จับคนของนักธุรกิจขาวอินเดียพวกนั้นรุมซ้อมจนพิการ และส่งตัวกลับไป ทางเจ้าสัวพาหุรัด โกรธแค้นมาก เนื่องจาก1ในนั้นมีหลานชายของตัวเองด้วย
 จึงยกเลิกสัญญาที่จะไม่ก้าวก่าย ข้ามเขตการค้ากัน นับเป็นการประกาศสงครามของเจ้าสัวทั้งสองฝ่ายที่สะเทือนไปถึงย่านประตูน้ำและย่านสำคัญที่ต้องจับพวกให้ดี ไม่งั้นจะโดนลูกหลงไปด้วย
 
                ปู่ โกรธมาก ถึงขนาดขับไล่พ่อของเดียร์ออกจากตระกูล เพื่อเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อการเป็นอัมพาตของหลานชายเจ้าสัวแห่งพาหุรัด
พ่อของเดียร์โกรธแค้นปู่มาก หนีออกจากบ้านไปโดยไม่มีอะไรติดตัวไปด้วย ลูกน้องของตัวเอง ก็ถูกปู่ริบคืนไปจนหมด  ไหนจะโดนมือปืนฝ่ายพาหุรัดตามฆ่าเนื่องจากความโกรธแค้น
 หนีกระเซอะกระเซิง ไปซบอกเจ้าพ่อที่ชลบุรี เข้าสู่วงจรมือปืนข้ามชาติ พ่อของเดียร์เป็นคนใจถึง ทำงานเด็ดขาด และรวดเร็ว ถูกใจเจ้าพ่อคนใหม่ที่ชลบุรีเป้นอย่างมาก ถึงขนาดส่งให้ไปร่ำเรียนต่อที่อเมริกา และดูแลกิจการบ่อนการพนันที่นั่นด้วย ซึ่งที่นี่เอง ที่พ่อของเดียร์ ได้พบกับกลุ่มนักวิ่งผิดกฏหมายที่มีเรื่องของยาเสพติด และการพนันเข้ามาเกี่ยวข้อง
 พ่อของเดียร์ชอบ และรักรถยนต์เป็นชีวิต การขโมยรถยนตืก็เป็นหนึ่งในธุรกิจที่ทำเงินได้ดี บางครั้งพ่อของเดียร์จะนำรถที่ถูกขโมยมา ไปขับเล่นจนพอใจ แล้วค่อยส่งให้นาย
 เมื่อกลับมาเมืองไทย จึงได้เป็นคนขับรถให้นาย เนื่องจากมีฝีมือขับรถที่เก่งกาจ และในสมัยนั้น สิ่งที่นิยมใช้ตามเก็บพวกเจ้าพ่อทั้งหลาย คือเอามอเตอรืไซค์ประกบแล้วยิง
นายของพ่อเดียร์ ตระหนักถึงเรื่องนี้ จึงให้พ่อเดียร์มาขับรถให้

               เมื่อกลับมาเมืองไทยอีกครั้ง พ่อของเดียร์คราวนี้เติบโตเป็นหนุ่มใหญ่เต็มตัว ความสุขุมเพิ่มขึ้นเยอะ แต่ความใจถึง ยังคงมี
Title: ....The dance of eternity....
Post by: Yai_GuMP on February 01, 2006, 04:19:56 am


             พ่อของเดียร์กลับมาได้ไม่ถึง2อาทิตย์ ข่าวการเสียชีวิตของเจ้าสัวเยาวราช
ก็แพร่สะพัดไปทั่ว มีข่าวลือหนาหู ว่าเจ้าพ่อฝั่งชลบุรีมีส่วนเกี่ยวข้อง
การลงมือของคนร้ายรวดเร็ว
 และฉับไว ไม่มีพิธีการมากมาย วิธีการ ลักษณะเหมือนมือปืนจากต่างชาติ

               หลังจากนั้นไม่นาน การค้า ธุรกิจต่างๆในย่านเยาวราช
 ก็กลับมาเป็นของพ่อเดียร์ โดยไม่มีใครรู้ที่มาที่ไป
 มีคนยืนยันว่าเห็นเจ้าสัวแห่งชลบุรี มานั่งทานอาหารกับพ่อของเดียร์บ่อยครั้ง
  พ่อของเดียร์กลับเชิดหน้าขึ้นรับตำแหน่งท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ของนักธุรกิจรุ่นเก่าที่เคารพในตัวปู่ของเดียร์ ถึงสาเหตุการตายของปู่ หลายคนถึงกับสาปแช่ง

               การตายของเจ้าสัวเยาวราช และการกลับมาขึ้นสุ่จุดสูงสุดของการค้าย่านเยาราช
สร้างความลำบากใจให้แก่เจ้าสัวเฒ่าแห่งพาหุรัดที่บัดนี้แก่ชราแล้วเป็นอย่างมาก
 จึงได้มีการดึงตัวลูกชายของตน ที่ใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศอังกฤษ กลับมาช่วยดูแลกิจการ
หวังให้สืบทอด และคุมเชิงกับพ่อของเดียร์อยุ่เนืองๆ

               พ่อของเดียร์ ไม่อยากลงมืออะไรกับเจ้าสัวเฒ่านี้มากนัก
เพราะก้ตระหนักได้ว่าเมื่อก่อน ตนก็เคยทำกับครอบครัวนี้ไว้มาก จึงได้แต่กำชับคนของตัว
ว่าอย่าไปยุ่งเกี่ยว
และได้ยินกิตติศัพท์ของชายที่จะมาสืบกิจการทางฝั่งพาหุรัด ว่า "โหดเหี้ยมไม่แพ้กัน"
ทั้งสองฝ่าย จึงเหมือนเลี่ยงๆที่จะปะทะกันอีกครั้ง

   แต่เจ้าสัวแห่งชลบุรี ไม่คิดเช่นนั้น การที่ตนดันให้พ่อของเดียร์กลับมาคุมย่านเยาราชที่เป็นถิ่นเดิมของตัวนั้น ก็เพื่อหวังกำไรและอำนาจ เมื่อเห็นทางฝั่งพาหุรัด กำลังจะมีการเปลี่ยนอำนาจ คือเจ้าสัวเก่าก็แก่ชรา คนที่จะมาแทน ก้ยังอ่อนหัด จึงคิดกำจัดเสียและฮุบเป็นของตนให้หมด วาดฝันไว้อย่างสวยหรู แต่ต้องพังทลาย เมื่อได้รับคำปฏิเสธจากพ่อของเดียร์

   พ่อของเดียร์ทิ้งระยะการทำสงครามไว้นาน บ้านเมืองเริ่มเปลี่ยนแปลง การขยับตัวของพวกผู้มีอิทธิพล ทำได้ยากขึ้น เงิน ดูจะมีความหมายมากกว่าอำนาจในเวลานั้น
เพียงแค่ดูแลกิจการไปเรื่อยๆ ก็สบายจะตายอยุ่แล้ว....นี่เป็นสิ่งที่ทั้งสองฝ่ายคิด
 
   ในช่วงเวลาหลายปีนั้นเอง ที่พ่อของเดียร์ได้ชักชวนให้แม่ของเดียร์ซึ่งพบรักกันตั้งแต่สมัยทำงานอยู่อเมริกา ให้มาอยุ่ด้วยกัน

 แม่ของเดียร์เป็นคนสวย เป็นลูกครึ่งอเมริกัน ญี่ปุ่น หน้าตาออกไปทางคนเอเชีย แต่ผมแดง ผิวขาวเนียน ตาสวย ไม่นานนักทั้งสองก็มีลูกด้วยกัน คือเดียร์

   เดียรืเริ่มเติบโตมาอย่างลุกคนรวยที่ต้องการอะไร ได้ทุกอย่าง พ่อของเดียรืพยามให้ในสิ่งที่ตอนเด้กๆตัวเองไม่เคยมี
  คือความรักและเอาใจใส่ลูก ที่ปุ่ไม่เคยให้ ปู่เป็นคนดุ แข็ง ไม่อ่อนโยน

 หลังจากมีลูก บทบาทด้านวงการนักเลงของพ่อเดียรืก็ลดน้อยลงไปตามลำดับ ลูกน้องหลายคนเริ่มอายุมากขึ้น และผันตัวไปทำอาชีพอื่นกันหลายคน

 และช่วงนี้เองที่เดียร์ได้ซึมซับสิ่งที่พ่อตัวเองถ่ายทอดมาให้เต็มๆ คือเรื่องการแข่งรถ นิสสัน240Z คือรถที่เดียร์นั่งมาแต่เด็ก กลางคืนบางวัน แม่จะพาเดียร์นั่งตัก และพ่อขับกินลมเล่น
ขับไปเที่ยวพัทยาบ้าง ไปหาเจ้านายพ่อบ้าง ซึ่งเจานายของพ่อก้ดูจะเอ็นดุเดียร์เป็นอย่างดี
Title: Re:Living on A Prayer....
Post by: Yai_GuMP on February 01, 2006, 04:29:05 am
............

  เดียร์ได้ไปดูการแข่งขันรถยนต์หลากหลาย ในโรงรถของพ่อ มีรถดีๆมากมายหลายคัน ที่มานับดุตอนนี้ถึงจะมีเงินก็ไม่ใช่รถที่จะหามาได้ง่ายๆเลย
ทั้งLamborghini Countach  หรือFord Mustangปีเก่าๆ  มีรถญี่ปุ่นเพียงไม่กี่คัน อย่าง240Z  พ่อของเดียร์ เคยบอกไว้ ว่าเป็นรถญี่ปุ่นที่ทำได้เทียบเท่า และดีกว่ารถอเมริกันบางคัน

  ในช่วงที่เดียร์อยุ่เพียงชั้นม.1 เกิดความเคลื่อนไหวของวงการผุ้มีอิทธิพลอีกครั้ง ที่สร้างความร้อนใจให้พ่อของเดียร์มาก เนื่องจากทางฝั่งพาหุรัด เจ้าสัวคนเก่าลงจากอำนาจและให้ลุกชายขึ้นนั่งอย่างเต็มตัว ลุกชายรุกหนักอย่างเต็มกำลัง ได้มือปืนฝีมือดีมาไว้ข้างตัวหลายคน ขยายเขตอิทธิพลของตนออกไป ฆ่าไม่เลือกหน้า ไม่เว้นแต่ตำรวจ
   พ่อของเดียรืที่บัดนี้มีครอบครัวเป็นภาระ ลูกน้อง กำลังคน มือปืนของตัวเองก้ลดน้อยลง พวกฝีมือดีๆก็แยกตัวออกไปทำอย่างอื่นหมดแล้ว ครั้นจะตามตัวกลับมา
 อายุอานามก็แก่กันมากแล้ว แถมมีครอบครัวเป้นภาระกันแทบทุกคน จึงตัดสินใจไปหาเจ้านายเก่าที่ชลบุรี เพื่อขอคำปรึกษาและกำลังคน

   เจ้านายที่ชลบุรี ยังรู้สึกเอ็นดู และยอมรับในความซืื่อสัตย์และเก่งกาจของพ่อเดียร์ในสมัยหนุ่มๆ จึงรับปากว่าจะพูดคุยกับทางฝั่งพาหุรัดให้ไม่มายุ่งเกี่ยวกัน

 แต่ฑูตเจรจาของทางเมืองชล กลับถูกยิงกลางแสกหน้าในห้องอาหารที่นัดเจรจากับทางพาหุรัด สร้างความโกรธแค้นให้เจ้าพ่อเมืองชลมาก จึงเริ่มการประกาศสงครามอีกครั้ง

 แน่นอน มีการพูดคุยให้เยาวราชซึ่งเป็นทัพหน้า ต้องร่วมมือด้วย พ่อของเดียร์ปฏิเสธไม่ได้ เนื่องจากบุญคุณที่เคยทำกันมาแต่อดีต

     ขณะเดียร์กำลังไปโรงเรียน คนขับรถยังต้องขับหนีมอเตอร์ไซคืที่ขับตาม  พ่อของเดียร์ทนไม่ไหว สวมวิญญาณมือปืนเหมือนสมัยยังหนุ่มอีกครั้ง
  กะตัดไฟแต่ต้นลม บุกเข้าหาตัวอุกฤษ เจ้าสัวของพาหุรัด ขณะนั่งทานอาหารในโรงแรม  ท่ามกลางฝูงบอดี้การืดและมือปืนมากมาย

     อุกฤษเองก้ไม่แพ้กัน สั่งลูกน้องออกไปข้างนอก และนีั่งคุยกันสองคน โดยมีปืนวางไว้บนโต๊ะทั้งคู่

 การเจรจาจบลง อุกฤษถูกยิงเฉี่ยวเบ้าตาซ้าย  พ่อของเดียร์ถูกยิงเข้าที่ไหล่ซ้าย ขณะหลบหนีออกจากที่เกิดเหตุ พ่อของเดียร์ จัดการมือปืนคนสำคัญของอุกฤษได้หมดทั้ง5คน

    เดียร์เล่าว่าหลังจากนั้นไม่นาน มีผู้ชายหน้าตาเป็นคนแขก หน้าตาดี มาพบเขาที่โรงเรียนขณะที่รอคนขับรถมารับที่โรงเรียน และชวนพูดคุย หยอกล้อกับเขา
 
    วันนั้นพ่อมารับ ชายแขกคนนี้ ยืนจ้องหน้ากับพ่ออยู่นาน ในที่สุดก็ยิ้ม และเดินจากไป

    เดียร์รุ้จากพ่อทีหลัง ว่านั่นคืออุกฤษ ศัตรูของพ่อ  ... ขณะนี้พ่อกลัว กลัวคนคนนี้มาก เพราะคนคนนี้ไม่มีจุดอ่อน ไม่มีครอบครัว ไม่มีคนรัก และคนคนนี้ทำได้ทุกอย่างที่ตัวเองต้องการ เงินไม่ใช่เรื่องสำคัญของชายคนนี้ ชายคนนี้จะทำในสิ่งที่อยากทำ
และจะชื่นชมกับผลงานของมัน  

    หลายคนอาจมองอุกฤษ ว่าเป็นหนุ่มนักเรียนนอกหน้าตาดี ความรู้สูง ดูภูมิฐาน แต่ลึกๆแล้ว  สัญชาตญาณสัตว์ป่า มันมากกว่าคนถ่อยที่ไม่มีการศึกษาบางคนเสียอีก

     ใครจะรู้บ้าง ว่าอุกฤษขึ้นชื่อเรื่องผู้หญิงแค่ไหน พอใจผู้หญิงคนไหน เป็นต้องได้มาขึ้นเตียง
ไม่ว่าจะชักชวนหลอกล่อ ใช้เงิน  วางยา หรือบังคับ วิะีวางยา อุกฤษไม่ค่อยชอบ เนื่องจากเหยื่อจะสลบไสลไม่รู้ตัว ไม่มีการต่อสู้ขัดขืนให้เขาได้ออกแรงให้สมกับเป็นผู้ชนะ
  ไม่เว้นแม้แต่ลูกสาวของเพื่อนพ่อตัวเอง หรือคนในครอบครัวิของลูกน้องตน หากพอใจ ก็จะเดินตามเข้าบ้านไปแล้วจัดการให้สมใจอยาก โดยที่ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวจะคิดห้ามปราม เพราะขัดขวางอารมณ์ของสัตว์ป่าแบบนั้น หมายถึงชีวิตของตนทีเดียว

      หรือเหยื่อที่เป็นเป้าหมายเล่นงานที่ได้รับมอบหมายให้กำจัด เขาก็จะเล่นกับเหยื่อจนทรมานอย่างที่สุด หวาดกลัว และดิ้นรนจนสิ้นหวัง  ใบหน้าของคนสิ้นหวัง
 อุกฤษเคยบอกว่าชอบมากที่สุด เหตุนี้ พ่อของเดียร์ถึงได้หวั่นกับอุกฤษนักหนา เพราะมันเป็นโรคจิต อย่างเขามันก็มีแค่ใจที่บ้าระห่ำ แต่กับคนโรคจิตที่พูดไม่รู้ฟัง อาจตกลงกันยาก
 เขาจึงเลี่ยงที่จะไม่ปะทะกันมาจนถึงเวลานี้
Title: ...Black Star....
Post by: Yai_GuMP on February 01, 2006, 04:29:56 am
   ค่ำวันหนึ่ง หลังจากไปงานเลี้ยงกลับมา เดียร์หลับอยู่บนเบาะหลังของรถเบนซ์เอสคลาสคันโต  พ่อขับ เปิดเพลงเบาๆฟังมาตลอดทาง เดียร์รู้สึกตัวตื่นเมื่อได้ยินเสียงพ่อเร่งคันเร่งและเบรคแรงๆเป็นระยะ

         เดียร์โผล่หน้าออกไปดูกระจกหลัง เห้นแสงไฟส่องเข้ามากระทบหน้า เขาดุไม่ออกว่าเป็นรถอะไร แต่แม่หันกลับมาดึงเขาลงให้นอนลง

        พ่อขับเร็วมาก ปาดซ้าย ขวา เบรคหนักๆสลับกับเร่ง รถคันนั้นตามติดท้ายตลอดไม่มีผ่อน ในที่สุดเลนกลางเป็นรถคอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่ รถคันนั้นตีขึ้นมาเทียบขวา
  เป็นรถสปอรืตสีดำคันใหญ่ ที่เดียร์ได้รับเป็นของขวัญวันเกิด โตโยต้าซูปร้า  คนขับที่อยุ่ในรถคันนั้น เป็นชายหน้าแขกคนนั้นนั่นเอง

         ข้างน้าของพ่อเดียร์ มีรถขับช้ามากอยุ่เลนซ้ายสุด และพอพ่อกำลังจะผ่านมันไป รถคันนั้นหักเข้ามาเลนกลาง ขณะนั้นความเร็ว200กว่าๆแล้ว พ่อเดียร์จะตบออกขวา แต่ไม่ทัน
ซูปร้าอาศัยเครื่องยนต์ที่แรงกว่า เหวี่ยงออกข้างขวาขึ้นมาปิดที่ไว้อย่างรวดเร็ว พ่อเดียร์เบรคลั่นถนนยาวหลายเมตร รถเริ่มเสียหลัก เดียร์เห็นพ่อกำลังพยายามแก้อาการของรถ
 ในที่สุดหน้ารถของพ่อเดียร์ก้ไปเกี่ยวกับกันชนหลังของรถคันหน้า ทำให้รถหมุนคว้าง

        ยางรถนั่งธรรมดา คงทนสภาพการขับขี่แบบนี้ไม่ไหว รถหมุนแบบไร้ทิศทาง ขณะกำลังพยายามประคองควบคุมรถ เดียร์ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด เสียงพ่อและแม่ร้องเอะอะกันอยุ่เพียงไม่กี่วินาที แล้วก็ตามมาด้วยเสียงที่ดังที่สุดในชีวิตของเดียร์ คือรถชนเข้า....ไม่ช้าทุกอย่างก็สงบเงียบลง

  เดียร์ค่อยๆลืมตาจากเบาะหลังที่ตนเอาหน้าซุกอยุ่ มองผ่านคอนโซลกลาง ทะลุไปยังกระจกหน้า เห็นฝากระโปรงรถเปิดอ้าจากทางด้านข้าง มีควันขึ้นขาว ในรถเต็มไปด้วยแอร์แบีคสีขาว เขาหันไปดูแม่ที่นั่งนิ่งหน้าซบกับแอรืแบคที่กางออกมา ส่วนพ่อนั่งหงายหน้าคอพับไปทางด้านขวา และเขาเริ่มเห็นเลือด ไหลออกจากจุดเล้กๆสีแดงๆบนตัวพ่อ  เด็กม.ต้น ไม่โง่พอที่จะไม่รุ้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวตัวเอง

     เขามองออกจากกระจกข้าง กลั้นน้ำตาเอาไว้ มองเห็นซูปร้าสีดำนั้นจอดอยุ่ไม่ไกลมากนัก มีคนเดินลงมาสองคน เดินมาทางรถ

   เดียร์ไม่รู้จะไปอยุ่ส่วนไหนของโลก เขากลัว เขาเก่งเต้มที่ก็แค่เรื่องชกต่อยกับเพื่อนฝูง แต่เจอกับความตายแบบนี้เขาไม่รู้จักมัน เขากลัว ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงเอาสัมภาระข้างหลังรถ มาห่มๆ และคลุมตัวเอาไว้ และนอนนิิ่งสนิทกับพื้นรถ

    "มันตายรึยังวะ..." เสียงหนึ่งดังขึ้น พร้อมเปิดประตูรถทางฝั่งพ่อเดียร์

    "มีเหรอจะรอด ห่า ดูดิ เข้าตรงไหนมั่ง รอดได้ก็เกิดคน...

 ยังไม่ทันสิ้นเสียง มีเสียงปืนดังขึ้นนัดหนึ่ง คนที่พูดยังไม่เสร้จ ร้องเฮือก..เอามือคว้าคอเสื้อพ่อเดียรืไว้ แล้วล้มฟุบลงกับพื้น

    พ่อ...เดียร์ตะโกนในใจ พ่อยังไม่ตาย...

 เสียงพ่อตวาดดังลั่น "มึง ไอ้ขี้ขลาด เก่งจริง มึงอย่ามาทำกับครอบครัวกูสิวะ" มีเสียงปืนดังอีกสองนัด มีอีกนัดซ้อนขึ้นมา แล้วมือพ่อก้ตกลง

   คนยิงคืออุกฤษ ก่อนเดินกลับไปที่รถ เขายืนสวดพึมพำอะไรสักอย่างหน้าร่างของพ่อ ก่อนทิ้งท้ายถึงพ่อ ว่าเป็นผู้ชายที่น่ากลัวที่สุดในชีวิต


                    เดียร์เป็นคนโทรหาเจ้านายของพ่อที่ชลบุรี จากโทรศัพท์มือถือของพ่อ เจ้าสัวตกใจมาก รีบบอกให้เดียรืทำตัวอย่างไร เขารับปากว่าจะจัดการทุกอย่างให้
 ไม่นานก้มีรถตำรวจไม่เปิดไซเรนวิ่งมารับเดียร์ขึ้นรถ  เดียร์ร้องไห้โวยวายไม่ยอมออกจากที่เกิดเหตุ แต่คนที่มารับเดียรื จุดไฟเผารถที่มีทั้งพ่อและแม่ของเขาอยู่ในนั้น
เขาร้องไห้อย่างบ้าคลั่ง จนหมดสติไป

 
            ........"จากนั้น กุก็ถูกส่งไปอยุ่กับญาติของท่านเจ้าสัวคนนั้นแหละ แล้วก้ไปเรียนที่เดียวกับมึง ถึงได้เจอมึงไงแบงค์.."

           แบงค์รับคำ...แล้วเงียบ จะให้เดียร์เล่าต่อ

        "เจ้านายพ่อกูก็เป็นคนไปเคลียรืเรื่องราวทั้งหมด ให้ออกข่าวหนังสือพิมพ์ว่ารถเกิดอุบัติเหตุ แต่ศพพ่อกับแม่นำออกจากรถไปแล้วถึงเผา กุไม่รุ้เรื่องเอง

   เพราะถ้าหนังสือพิมพ์มาลงว่าเป็นการฆ่ากันของแก๊งค์ พวกแก๊งค์จะขับตัวแก้แค้นอะไรก็ลำบาก"

         "จากนั้นก็จัดการเรื่องกูว่ากูก็ตายไปด้วยในรถคันนั้น เจ้านายพ่อกูต้องการให้มันเข้าใจอบบนั้น จะได้ไม่มีการรังควานตามหากันอีก เพราะถ้ากูโตไป มันกลัวว่าจะเกิดเรื่องซ้ำรอยเหมือนรุ่นพ่อกู"

          "ส่วนเรื่องกิจการต่างๆ ทางอุกฤษ ก็เอาอะไรไปไม่ได้เลย เหมือนมันจะไม่สนใจอะไรอยู่แล้ว เพียงแค่เหมือนแค้นพ่อกู อยากเอาชนะให้ได้เท่านั้นมากกว่า  สุดท้าย เจ้านายพ่อกูก็จัดการดูแลให้ ตอนนี้เขาก็ยังจัดการให้อยู่ และรอจนกูโตพอที่อยากจะเข้ามาทำ หรือรับตำแหน่งได้ เขาจะคืนให้กู ซึ่งกูยังไม่เห็นความจำเป็นต้องเอามา  แค่รับค่าเลี้ยงดูจากเขา ปีนึงก็คิดไม่ออกว่าจะใช้ยังไงให้หมดแล้ว  และเขาก็แฮปปี้ เพราะเขาก้ได้เงินเพิ่มจากการที่มาดูแลส่วนของพ่อกูเห็นๆ..."

           "แต่ทีนี้ มันมีพวกลูกหลานของทางด้านอุกฤษนี่สิ ที่เล่นรถแต่งเหมือนเรา
โตมารุ่นๆเดียวกับเรา และรับรู้เรื่องราวต่างๆจากตระกูลมันมากันเต็มๆ
ซึ่งกูไม่รู้ว่าเป็นพวกเดียวกับที่มาหาเรื่องมึงในครั้งนั้น หรือเรื่องของคนที่ขับซูปราคันนั้นก็ด้วย ที่มาพูดอะไรแปลกๆ  
แต่กุว่านั่นไม่ใช่อุกฤษ แต่รถ น่ะใช่แน่ๆ"
Title: ....Revolution is my name....
Post by: Yai_GuMP on February 01, 2006, 04:42:14 am

    สวัสดีครับ ไม่รู้ยังมีคนเข้ามาตามอ่านกันอีกหรือเปล่า

 ผมหายไปนานมาก ไม่ได้เขียนมาเพิ่มเลย วันก่อนนั่งรื้อคอม เปิดไฟล์เก่าๆไปเรื่อย
เจอพล้อตเรื่องนี้ที่เขียนไว้แล้วคิดว่าไม่ชอบ เลยยังไม่ทำต่อ  
อ่านแล้วคิดอะไรเพิ่มเติมลงไปได้
จึงนั่งทำต่อ ทำไปทำมา ยาวมาาาาาาก
  แต่คิดอีกทีก็ดีเหมือนกัน ค่อยๆขยายแบ๊คกราวน์ดของตัวละครออกไปอีกหน่อย
ถ้าหนังแอคชั่น มีแต่ยิงๆๆๆอย่างเดียว ก็คงน่าเบื่อแย่

     รอบหน้าจะกลับมามันส์ต่อแล้วครับ ขับเอื่อยๆมาหลายช่วงแล้ว

       สับ2 แล้วกดเต็มออกไปพร้อมๆกันเลยดีกว่าครับ!!!



   
Title: Re:Living on A Prayer....
Post by: อิ๊ก osk121 611 on February 01, 2006, 06:25:35 am
ยังอ่านคับ กำลังมันส์ พอๆกับ innitial d 5555
Title: Re:Living on A Prayer....
Post by: *Aee-ViPeR-MR2* on February 01, 2006, 10:12:03 pm
บูสสสสเริ่มมาและพี่ หลังติดเบาะไปกันเลย เย้!  ;D
Title: Re:Living on A Prayer....
Post by: Yim_E33_Galant on February 06, 2006, 01:24:49 am
สนุกครับ ยิ่งอ่านยิ่งเจ๋ง อยากอ่านเร็วๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
Title: Re:Living on A Prayer....
Post by: tumtum on March 18, 2006, 12:33:31 pm
ต่อเร็วๆนะครับ
Title: Re:Living on A Prayer....
Post by: Boss_JazZ894 on May 18, 2006, 01:33:28 pm
สนุกมากครับพี่ รอติตตามอยู่นะครับ
Title: Re:Living on A Prayer....
Post by: t^ud....t'oo on May 30, 2006, 09:06:56 am
มาเข้าคิวรอครับ  ;D
Title: Re:Living on A Prayer....
Post by: trin on August 25, 2006, 11:25:39 pm
มันสุดๆเลยคับ....ต่อเลยคับๆกะลังได้ฟิวส์ ;D
Title: Re:Living on A Prayer....
Post by: y O k e e P | a y B o y on October 10, 2006, 03:24:55 pm
จัดมาอย่าให้เสีย ไวรุ่นจัยร้อนอ่า